กระบี่จงมา 254.4-255.1

 บทที่ 254.4 คนหนึ่งส่งกระบี่ คนหนึ่งรอ

โดย

ProjectZyphon

หลังจากนั้นผู้หญิงสองคนอายุประมาณสิบแปดสิบเก้าสองคนก็ตามมาถึง คนหนึ่งนั่งลงข้างกายเด็กหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์ คนทั้งสามนั่งเบียดอยู่บนม้านั่งยาวตัวเดียวกัน ทำเอาก้นของเด็กหนุ่มร่างอ้วนต้องลอยค้างอยู่กลางอากาศถึงสามส่วน ลำบากอย่างยิ่ง เด็กหนุ่มแซ่ต่งไม่กล้าด่าเด็กหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์อีกต่อไป ทำท่าขลาดกลัว ราวกับว่ากลัวพี่สาวหน้ากลมท่าทางเป็นมิตรที่นั่งอยู่ตรงข้ามคนนั้นอย่างมาก


เด็กสาวอีกคนหนึ่งที่หน้าตางดงามคางแหลมเล็กนั่งลงข้างกายเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาโดยไม่ลังเล ฝ่ายหลังถึงกับกลอกตามองบนโดยตรง ในใจคิดว่าเจ้าที่เป็นผู้หญิงยังหน้าตางดงามได้ไม่เท่าข้า กลับยังจะกล้าคิดมาแต่งงานพลิกผ้าห่มกับข้าอีกหรือ?


หลังจากถามพี่สาวหน้ากลมถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วการฝึกประสบการณ์ของบุรุษอายุยี่สิบได้สิ้นสุดลงแล้ว จะต้องกลับไปที่สถานศึกษาลัทธิขงจื๊อทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้ว ถึงเวลานั้นจะได้เปลี่ยนจากนักปราชญ์เป็นวิญญูชน


เขาปลดกระบี่ ‘ฮ่าวหรันชี่’ (ปราณแห่งความเที่ยงธรรม) วางลงบนโต๊ะ บอกว่านี่คือกระบี่ที่อาเหลียงมอบให้แก่ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ได้มอบให้เขา ดังนั้นต้องคืนให้


เด็กหนุ่มตัวอ้วนยิ้มแก้มปริ เขาปรารถนาในกระบี่เล่มนี้ไม่ใช่แค่วันสองวันแล้ว ดังนั้นจึงรีบพยักหน้ารับ พร้อมพูดทันทีว่าบุรุษแห่งสถานศึกษาลัทธิขงจื๊อมีคุณธรรม เข้าใจกฎระเบียบเป็นอย่างดี วันหน้าขอยินดีต้อนรับ และเขาจะต้องประคองสองมือสองเท้าให้การรับรองเป็นอย่างดีแน่นอน


เด็กสาวแขนเดียวสีหน้าเฉยชาเปิดปากพูดอย่างไม่ค่อยเป็นบ่อยนัก บอกว่าศึกแห่งความเป็นความตายสองครั้ง เขาสังหารเผ่าปีศาจห้าขอบเขตกลางไปได้มากมาย สามารถเอาฮ่าวหรันชี่ไปได้


เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาไม่สนใจเรื่องนี้ เขาเหลียวซ้ายแลขวา ดูว่าบนทางมีคนที่เขารู้จักคุ้นเคยพอจะช่วยจ่ายค่าอาหารให้ได้หรือไม่


เด็กหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์เอาแต่ดื่มเหล้าเงียบๆ ผู้หญิงหน้ากลมคือพี่สาวของเขาจึงเกลี้ยกล่อมให้เขาดื่มน้อยๆ หน่อย เด็กหนุ่มผิวดำเกรียมแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน สีหน้าของหญิงสาวจึงค่อนข้างจะระอาใจ


เด็กสาวท่าทางองอาจให้ข้อสรุปด้วยคำเดียวว่า “เอาไป”


คนอื่นๆ จึงไม่มีความเห็นต่างอีกต่อไป


ต่อให้คนทั้งโต๊ะกำลังจะมีคนได้เป็นวิญญูชนของสถานศึกษา และยิ่งมีคนแซ่ต่ง แซ่เฉิน


หากมีแซ่ฉีอีกคน


ถ้าเช่นนั้นก็จะมีครบทั้งสามแซ่สกุลของกำแพงเมืองปราณกระบี่


จู่ๆ เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาก็ขมวดคิ้ว พึมพำว่า “ทำไมไม่ว่าจะไปทางไหนก็ต้องเจอขี้หมาเละๆ ด้วย”


บนถนนมีคนกลุ่มหนึ่ง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปี แต่ละคนเปี่ยมล้นไปด้วยปณิธานกระบี่ พลังสังหารล้นเหลือ


บังเอิญมาก คนที่เป็นผู้นำของกลุ่มแซ่ฉีพอดี ด้านหลังของเขาแบกกระบี่คู่ เรือนกายสูงใหญ่ พลังอำนาจเฉียบคมน่าครั่นคร้าม


เขาเป็นคนเดินนำออกจากกลุ่มมาหยุดอยู่ข้างร้านเหล้าก่อน สายตาจ้องเป๋งไปที่หญิงสาวท่วงท่าองอาจผู้นั้น เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มน้ำเสียงอ่อนโยน พยายามไม่ให้ตัวเองแสดงออกว่าบีบบังคับผู้อื่นจนเกินไป “หนิงเหยา แท่นสังหารมังกรก้อนนั้นของเจ้า จะขายหรือไม่? ราคาสามารถตกลงกันได้ ข้าไม่มีทางเอาเปรียบเจ้าแน่นอน อีกอย่างพ่อแม่ข้ากับพ่อแม่เจ้าสนิทกันถึงเพียงไหน เจ้ารู้ดียิ่งกว่าใคร หากไม่เป็นเพราะท่านปู่ข้าขัดขวางไว้ ปีนั้นพวกเราคงได้หมั้นหมายกันตั้งแต่เด็กแล้ว ถูกไหม?”


เด็กสาวท่าทางองอาจไม่แม้แต่จะเงยหน้า “ไสหัวไป”


บุรุษแซ่ฉีเองก็ไม่ขุ่นเคือง เขาลูบคลำปลายคางแล้วหมุนตัวเดินจากไปอย่างปุบปับฉับไว


คนในกลุ่มบางคนไม่พอใจ จึงเอ่ยด้วยคำพูดแปร่งหูเสียงไม่ดังนัก “คนบางคนโชคดี พ่อแม่ต่างก็เป็นเซียนกระบี่ใหญ่ ร้ายกาจจริงๆ ร้ายกาจจนเกือบจะทำให้กำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเราพ่ายแพ้ จุ๊ๆๆ”


เด็กสาวท่าทางองอาจไม่สะทกสะท้าน


แต่ทุกคนที่นั่งรอบโต๊ะพากันลุกพรวดขึ้นยืน ต่อให้เป็นวิญญูชนสถานศึกษาที่มาฝึกประสบการณ์ที่นี่ก็ยังกำด้ามกระบี่ฮ่าวหรันชี่เล่มนั้น


เด็กหนุ่มร่างอ้วนแสยะปากเผยให้เห็นฟันขาวสะอาด “โอ๊ะโอ เมื่อครู่นี้พูดว่าอะไรนะ นายท่านใหญ่ได้ยินไม่ชัด ลองพูดอีกทีสิ?”


ส่วนเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลากลับสบถด่าโดยตรง “ไอ้ลูกหมา บรรพบุรุษทั้งสิบแปดรุ่นของเจ้ามันสวะ!”


เขาชำเลืองตามองไปทางเด็กหนุ่มหน้าดำเกรียม “ว่าไง? ใครเปิดก่อน?”


เด็กหนุ่มอัปลักษณ์ตรงไปตรงมาที่สุด เขาสะบัดไหล่หลุดจากการดึงรั้งของพี่สาว ถือกระบี่บุกขึ้นหน้า


เด็กหนุ่มแซ่ฉียื่นแขนออกมาข้างหนึ่งห้ามไม่ให้ทุกคนที่อยู่ข้างหลังพูดอะไร จากนั้นก้าวออกมาหนึ่งก้าว ถามยิ้มๆ ว่า “ต่งถ่านดำ เจ้าจะต่อยตีกันจริงๆ หรือ?”


เด็กหนุ่มอัปลักษณ์สีหน้าไร้อารมณ์ เพียงเดินไปข้างหน้า มือทั้งสองข้างกดลงไปบนด้ามกระบี่ซ้ายขวาสองด้าน หนึ่งเล่มคือจิงซู (คัมภีร์) หนึ่งเล่มคืออวิ๋นเหวิน (ลายเมฆ) ล้วนเป็นกระบี่ที่อาเหลียงเอามาจากสถานที่ที่เรียกว่าราชวงศ์ต้าหลีของแจกันสมบัติทวีปแล้วเอามาโยนทิ้งไว้ที่นี่


อาเหลียงจากไปแล้ว พี่หญิงหนิงที่ช่วยชีวิตตนมาสามครั้ง ตอนนี้พ่อแม่ของนางล้วนไม่อยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นหากเขาต่งฮว่าฝูไม่ทำอะไรเลยในเวลาอย่างนี้ ก็ไม่สมควรแซ่ต่งแล้ว


ผู้หญิงหน้ากลมยิ้มบางๆ “แค่ไม่ฆ่าคนก็พอแล้ว เรื่องอื่นๆ ข้าจะช่วยเจ้าพูดกับทางท่านปู่ให้เอง”


ประโยคนี้หลุดมา แม้แต่เด็กหนุ่มแซ่ฉีก็ยังรู้สึกว่ายุ่งยาก


จู่ๆ เสียงนิ้วที่เคาะกับผิวโต๊ะก็ดังขึ้นมาระลอกหนึ่ง


เด็กหนุ่มที่ผิวเข้มเหมือนถ่านดำหันกลับไปมอง


หนิงเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “ถ่านดำ กลับมาดื่มเหล้า”


เด็กหนุ่มหมุนตัวกลับไปนั่งที่เดิมอย่างอัดอั้น หญิงสาวหน้ากลมลูบศีรษะของเขา เด็กหนุ่มที่เดิมทีก็หงุดหงิดอยู่แล้วหันมาถลึงตาใส่ทันที พี่สาวของเขาทำหน้าทะเล้นกลับ ทำเอาเด็กหนุ่มหน้าตาดีมองตาไม่กะพริบ


ทั้งสองฝ่ายถึงไม่ได้ลงไม้ลงมือกัน


ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มแซ่ฉีพาสหายเดินจากไป หลังจากเดินห่างไปไกลมากแล้ว ถึงได้เอ่ยกับเด็กหนุ่มที่พูดท้าทายคนอื่นเมื่อครู่ว่า “ช่วงนี้อย่าเพิ่งออกจากบ้าน หรือไม่ก็ไปพักอยู่ที่บ้านข้าเลย”


คนผู้นั้นอืมรับหนึ่งทีอย่างไม่ลังเล แต่ในใจก็ให้กระวนกระวายไม่เป็นสุข


หลังจากที่ทุกคนกลับมานั่งที่แล้ว หนิงเหยาก็ถอนหายใจหนึ่งครั้ง “พวกเจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว ยังทำตัวเป็นเด็กอยู่อีก  อีกอย่างเรื่องในครอบครัวข้า พวกเจ้าที่เป็นคนนอกมายุ่งอะไรด้วย ตัวข้าแค่จำไว้เองก็พอแล้ว”


คนทั้งโต๊ะเงียบงันไร้คำพูดตอบโต้


นางนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงกระตุกมุมปาก หัวเราะหยันพูดว่า “ได้ยินว่าเจ้าหมอนั่นถูกเต๋าเหล่าเอ้อร์ (บุคคลที่อยู่อันดับสองของลัทธิเต๋า ในที่นี้หมายถึงลูกศิษย์คนรองของมรรคาจารย์เต๋า) ต่อยกลับลงมาในใต้หล้าไพศาลด้วยหมัดเดียว”


เมื่อหนิงเหยาพูดถึงคนผู้นี้ แทบทุกคนต่างก็คลี่ยิ้ม แน่นอนว่ารอยยิ้มของวิญญูชนสถานศึกษาผู้นั้นเป็นรอยยิ้มจืดเจื่อน


เด็กหนุ่มตัวอ้วนเหม่อลอย ไม่รู้ว่าคิดถึงเรื่องที่ดีใจหรือเสียใจถึงได้กระดกเหล้าขึ้นดื่มอึกใหญ่


หลังจากที่เขาขึ้นไปบนกำแพงเมืองเพื่อสังหารศัตรูเป็นครั้งแรก


ตอนนั้นเด็กหนุ่มมองชายฉกรรจ์ที่แต่งตัวปอนๆ ด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง เอ่ยถามว่า “อาเหลียงๆ กระบี่เมื่อครู่นี้ของข้าเป็นอย่างไร? มีมาดของท่านได้สักครึ่งหนึ่งหรือเปล่า?”


ชายฉกรรจ์แค่ดื่มเหล้า แล้วตอบรับอย่างขอไปทีว่า อ้อๆๆ อืมๆๆ


“อาเหลียง! เจ้าพูดอะไรสักคำสิ จะดีหรือเลวก็ได้หมด!”


“ก็ได้ เวทกระบี่เมื่อครู่นี้ของเจ้า…ยั่วยวนมาก”


“หมายความว่ายังไง?”


“ความหมายของข้าก็คือ กระบี่ที่เจ้าฟาดฟันไปมั่วซั่วเมื่อครู่นี้ดุดันดุจพยัคฆ์ ผลคือฆ่าหนูตายไปตัวหนึ่ง”


ตอนนั้นเด็กหนุ่มที่มีแต่คราบเลือดเต็มร่างอยากจะร้องไห้แต่ไร้น้ำตา ท่าทางน่าสงสารยิ่ง เขารู้สึกเหมือนฟ้าถล่มดินทลาย ชั่วชีวิตนี้ตนอาจจะไม่มีทางได้ดิบได้ดีแล้ว


จากนั้นบุรุษคนนั้นก็โยนกาเหล้ามาให้เขา พูดยิ้มๆ ว่า “ตอนที่ข้าอายุเท่าเจ้า ยังทำได้ไม่เท่าเจ้าเลย”


เจ้าอ้วนน้อยพลันยืดอกขึ้นทันที นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาดื่มเหล้า แม่งไม่อร่อยเอาซะเลย


เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาใช้มือหนึ่งเท้าคาง ปากกัดจอกเหล้า แหงนหน้าดื่มเหล้าหนึ่งจอกเบาๆ


ท่าทางเช่นนี้เขาเรียนรู้มาจากไอ้หมอนั่น เท่ห์จริงๆ


“อาเหลียง ได้ยินว่าเจ้าเคยไปถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ จู๋ฮูหยินคนนั้นสวยจริงหรือไม่?”


“สวยสิ ขาสองข้างยาวสุดๆ ไปเลยล่ะ”


“ข้าถามถึงใบหน้านาง ขายาวไม่ยาวจะมีความหมายอะไร?”


จากนั้นเด็กหนุ่มก็ถูกชายฉกรรจ์ที่ดื่มเหล้าอย่างเอ้อระเหยลอยชายผลักศีรษะหนึ่งที “พวกเราสองคนคุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว”


ต่อให้เป็นหญิงสาวหน้ากลมคนนั้นที่ไม่ได้แตะต้องสุราแม้แต่น้อยก็ยังมีรอยยิ้มเคลิบเคลิ้ม


นางเคยยืนอยู่ต่อหน้าบุรุษคนนั้นด้วยความกล้าหาญอย่างเต็มเปี่ยม ถามเขาว่า “อาเหลียง คิดถึงบ้านไหม?”


“คิดถึงสิ”


“กลับบ้านคราวหน้าจะพาภรรยากลับไปด้วยไหม?”


“ก็อยากอยู่เหมือนกันนะ”


“อาเหลียงๆ พาข้า พาข้ากลับไปสิ?”


บุรุษคลี่ยิ้มและกล่าวอย่างแปลกใจ “โอ้โหแหะ ไม่คิดว่าข้าอาเหลียงบุกไปทั่วยุทธภพ ยังไม่เคยเจอคู่ต่อสู้สมน้ำสมเนื้อคนไหน วันนี้กลับมาถูกเด็กสาวเอ๊าะๆ ลองของซะแล้ว…”


ตอนนั้นน้องชายของเด็กสาวยังเป็นเด็กน้อยขี้มูกยืด ถ่านดำน้อยนั่งยองอยู่ด้านข้าง แต่เขาก็รู้ความแล้วจึงหันหน้าไปถ่มน้ำลายลงข้างๆ


บุรุษยื่นกาเหล้าให้เด็กสาว ลูบศีรษะของนาง “อย่าเป็นภรรยาของข้าเลยจะดีกว่า ข้าอาเหลียงเป็นแค่คนพเนจรในยุทธภพคนหนึ่ง ไม่สมควรทำร้ายผู้หญิงดีๆ”


เด็กสาวรับกาเหล้าไป แต่กลับไม่กล้าดื่ม


บุรุษหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “แอบดื่มแค่ไม่กี่คำ ไม่เป็นไรหรอก ต่อให้บุรพาจารย์ตระกูลเจ้าจะเข้มงวดแค่ไหนก็ไม่มีทางด่าเจ้า มีแต่จะด่าข้าอาเหลียง”


ตอนที่เด็กสาวไร้เดียงสาดื่มเหล้า บุรุษดีดปลายเท้าขึ้นไปยืนบนหัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ทอดสายตามองไปไกล ใช้มือสองข้างเสยผมที่ปรกหน้าผากขึ้นไปด้านบน เอ่ยด้วยน้ำเสียงสะท้อนใจว่า “เหล้าทำให้สองแก้มแดงฝาด ความกลัดกลุ้มทำให้ผมเต็มศีรษะกลายเป็นสีขาวโพลน วันหน้าหากคิดจะหาบุรุษ ต้องหาคนที่มีความสามารถด้านบทกวีซึ่งเรียนมาห้าปีเต็มอย่างข้า…แน่นอน ข้าพูดว่าหาคนที่เหมือนข้า ไม่ใช่ข้า”


จู่ๆ ถ่านดำน้อยก็โหวกเหวกขึ้นมาว่า “อาเหลียง ข้าปวดอึ! ข้าจะไปอึทางทิศใต้ เร็วหน่อย อึจะราดแล้ว!”


บุรุษรีบกระโดดลงจากกำแพง สบถด่าพลางอุ้มเจ้าตะพาบน้อยขึ้นมา แล้วพุ่งตัวมุ่งไปทางทิศใต้ดั่งสายรุ้ง


ส่วนข้อที่ว่าทางทิศใต้มีอันตราย มีปีศาจใหญ่ซ่อนตัวอยู่หรือไม่ บุรุษไม่ใส่ใจอยู่แล้ว


เด็กสาวเองก็ไม่สนใจ เพราะเขาคืออาเหลียง


ในใต้หล้าแห่งนี้ไม่มีที่ใดที่กระบี่ของอาเหลียงฟาดฟันไปไม่ถึง


ต่อให้ท่านปู่ของนางจะไม่ชอบบุรุษผู้นี้มากแค่ไหนก็ไม่เคยพูดว่าวิชากระบี่ของอาเหลียงไม่สูงมากพอ


ผลคือเจ้าลูกหมาทนไม่ไหว อึราดรดเต็มกางเกง บุรุษที่นั่งซักกางเกงอยู่ข้างบ่อน้ำสะอาดมองเจ้าตะพาบตัวนั้นที่เปลือยก้นวิ่งเล่นไปทั่วพลางพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ไปด้วย “ปีนั้นข้าก็แค่ปฏิเสธแม่เจ้าไปเจ็ดแปดรอบเท่านั้น วันนี้กลับต้องมาเจอกรรมตามสนอง เจ้าเหมือนพ่อยิ่งกว่าพ่อแท้ๆ ของข้าเสียอีก…”


สุดท้ายบุรุษจากไป บุรุษที่ไม่มีกระบี่สลักอักษรคำว่าเหมิ่ง (ห้าวหาญ กร้าวแกร่ง) ทิ้งไว้ สวมงอบไม้ไผ่แล้วไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่


วันนั้นในนครด้านหลังกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่รู้ว่าสตรีน้อยใหญ่กี่คนที่ร่ำสุรา บุรุษของพวกนางก็ยิ่งดื่มเหล้าด้วยความกลัดกลุ้ม


หลังจากนั้นชายฉกรรจ์ที่พกดาบไม้ไผ่เล่มหนึ่งก็เจอตัวเด็กหนุ่มที่ฉีจิ้งชุนเลือกไว้ บอกกับเขาว่า ข้าชื่ออาเหลียง เหลียงจากซ่านเหลียงที่แปลว่าจิตใจดีงาม ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง


พอสนิทสนมคุ้นเคยกันแล้ว บุรุษบอกกับเด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงของใต้หล้าไพศาลคนนั้นยิ้มๆ ว่า เจ้ารู้หรือไม่ สตรีใต้หล้าที่ชื่นชอบข้าอาเหลียงมีมากมายจนนับไม่ถ้วน


เด็กหนุ่มคิดแค่ว่าเขาโอ้อวดตน


……


ดื่มเหล้าหมดโต๊ะ สหายแยกย้ายกันไป


หนิงเหยาเดินกลับบ้านเพียงลำพัง


ตลอดทางมีคนชี้นิ้ววิพากษ์วิจารณ์ใส่นางมากมาย


มีทั้งสงสาร มีทั้งเย้ยหยัน มีทั้งถอนหายใจ มีทั้งเลื่อมใส


หนิงเหยากลับมาถึงบ้าน ยังคงเป็นหนึ่งในจวนที่ใหญ่ที่สุดของนคร ยังคงมีผู้ฝึกกระบี่ซึ่งเป็นคนในตระกูลอยู่มากมาย แต่กลับขาดคนบางคนไป


นางเดินไปยังลานประลองกระบี่ จากนั้นก็ทิ้งตัวนอนลงบนแท่นสังหารมังกรที่ใหญ่ดุจกระท่อม หรี่ตางีบหลับ


ในจดหมายบอกว่ามีคนโง่คนหนึ่งจะเอากระบี่มาส่งให้นาง ทำไมยังมาไม่ถึงสักทีนะ?


เด็กสาวเริ่มโมโหนิดๆ แล้ว


บทที่ 255.1 ความจริงใจประทับใจคน แต่ก็ทำร้ายคนให้เจ็บปวด

โดย

ProjectZyphon

ก่อนฟ้ามืดเฉินผิงอันก็ได้ข้อมูลของร้านยาฮุยเฉินจริงๆ นอกจากที่อยู่ในเมือง ยังมีข้อมูลว่าเจ้าของร้านแซ่เจิ้ง ร้านนี้เป็นกิจการของบรรพบุรุษตระกูลฟ่านหนึ่งในห้าสกุลใหญ่ของนครมังกรเฒ่า เถ้าแก่เจิ้งมีสำเนียงของต้าหลีที่อยู่ทางทิศเหนือ นิสัยภายนอกหยาบกระด้าง ชื่นชอบอิสตรี ทุกวันจะนั่งเฝ้าอยู่ในร้านกินข้าวฟรีรอความตาย แต่ในความเป็นจริงแล้วคนผู้นี้เคยเข้าไปในจวนตระกูลฟ่านสองครั้ง ตระกูลฟ่านให้ความสำคัญต่อเขาอย่างยิ่งยวด มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นพระวิสุทธิ์จารย์ด้านวิถีวรยุทธ์ที่มาสอนลูกหลานตระกูลฟ่าน ส่วนภาพวาดหน้าตาของคนผู้นี้ต้องรอพรุ่งนี้ถึงจะได้


เฉินผิงอันทำสีหน้าประหลาด ไม่จำเป็นต้องครุ่นคิดให้มากความก็รู้แล้วว่าคือเจิ้งต้าเฟิงคนเฝ้าประตูของเมืองเล็กบ้านเกิด ส่วนการที่ตระกูลฟ่านให้ความสำคัญกับเจิ้งต้าเฟิงขนาดนี้ เฉินผิงอันไม่แปลกใจ ชายฉกรรจ์ที่เคยได้รับเงินแก่นทองผ่านมือมาหลายถุง ต่อให้มองภายนอกจะไม่เป็นโล้เป็นพายมากแค่ไหน แต่ตัวตนที่แท้จริงย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน หาไม่แล้วหยางเหล่าโถวก็คงไม่มีทางให้เขาช่วยตนคลายยันต์ปราณแท้จริงสองตำลึง


นอกจากนี้ซุนเจียซู่ก็ให้คนนำเอกสารรายละเอียดเกี่ยวกับเต่าทะเลขุนเขาและนกกุ้ยฮวาที่เป็นเรือข้ามฟากสองลำมาให้ บอกว่าให้เฉินผิงอันทำความเข้าใจกับเรื่องภายในของเส้นทางการเดินเรือให้มากขึ้น เดินทางข้ามแคว้นระยะทางหลายล้านลี้ มรสุมยากจะคาดการณ์ ไม่ใช่เรื่องเล็ก ตรงกลางสอดแทรกจดหมายฉบับหนึ่งที่ซุนเจียซู่เขียนด้วยลายมือตัวเองอย่างรีบเร่ง ความหมายคร่าวๆ ก็คือ เดินทางไปภูเขาห้อยหัวครั้งนี้ เจ้าเฉินผิงอันนั่งเรือข้ามฟากของข้า แต่เรือข้ามฟากนกกุ้ยฮวาค่อนข้างจะได้เปรียบเต่าทะเลภูเขามากกว่า ข้าเองก็เคยบอกกับเจ้าไว้อย่างชัดเจนแล้ว


การกระทำนี้อาจมองดูเหมือนเกินความจำเป็นคล้ายวาดงูเติมหาง แต่เฉินผิงอันที่อ่านจบแล้วไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก็ให้รู้สึกนับถือในวิธีทำการค้าของซุนเจียซู่ หากลองเอาตัวเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ และตนคือพ่อค้าที่ต้องเอาสินค้ามาเร่ขายในนครมังกรเฒ่าก็ต้องยินดีร่วมงานกับตระกูลซุน


เพียงแต่ว่ามีอยู่ข้อหนึ่งที่เฉินผิงอันคิดออกนอกประเด็น นั่นก็คือตระกูลซุนแห่งนครมังกรเฒ่าที่ยึดมั่นต่อการทำการค้า อาศัยชื่อเสียงที่บรรพบุรุษแต่ละรุ่นสั่งสมมา ไม่ได้อาศัยทรัพย์สมบัติ แต่ไหนแต่ไรมาจึงเป็นฝ่ายเลือกคนที่จะมาทำการค้าด้วย ไม่ใช่ว่าใครคิดอยากค้าขายกับตระกูลซุนก็จะทำได้เลย ต่อให้อีกฝ่ายจะร่ำรวยมากแค่ไหนก็ไม่ได้เหมือนกัน


กฎเกณฑ์ประหลาดของตระกูลซุนก็เหมือนคนประหลาดและมหัศจรรย์ของตระกูลฟ่านที่มีมากมายไม่ต่างกัน


เลื่อนสู่ขอบเขตสี่ หาร้านยา เลือกเรือข้ามฟาก เฉินผิงอันที่ตัดสินใจเรื่องเล็กใหญ่สามเรื่องติดเสร็จแล้วก็กินอาหารเย็น อาหารทะเลเมื่อตอนเที่ยงเปลี่ยนมาเป็นต้มที่ปรุงจากวัตถุดิบสดใหม่จากในแม่น้ำ คราวนี้เฉินผิงอันกินอย่างมีความสุข พุ้ยตะเกียบว่องไว หาได้ยากที่จะกินอิ่มแปล้ถึงขนาดนี้ เฉินผิงอันจึงไปเดินเล่นที่ริมแม่น้ำ ภายใต้แสงอาทิตย์ตะวันรอน ทิวทัศน์งดงามสบายตา เฉินผิงอันรู้สึกว่าที่นี่คือพื้นที่มงคลของตน หากวันหน้ามีโอกาสจะต้องมาเยือนอีกครั้งแน่นอน


จู่ๆ เฉินผิงอันก็นึกอยากตกปลา จึงวิ่งไปที่บ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน ถามพ่อบ้านชราคนหนึ่งว่ามีคันเบ็ดตกปลาหรือไม่ และยังถามถึงสถานการณ์ของปลาช่วงนี้ว่าเป็นอย่างไร ในแม่น้ำมีสิ่งมีชีวิตตัวใหญ่หรือไม่ ต้องใช้เคล็ดลับการปล่อยเหยื่อล่อปลาหรือไม่ ผู้เฒ่าที่เชี่ยวชาญในด้านนี้ทยอยอธิบายไปทีละข้อด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ช่วยเตรียมการทุกอย่างให้เฉินผิงอันอย่างเหมาะสม คนทั้งสองไปยังจุดตกปลาที่ริมแม่น้ำด้วยกัน พ่อบ้านชราได้ยินว่าเฉินผิงอันจะตกปลาจนถึงดึก เดิมทีจึงคิดจะช่วยตั้งกระโจมค้างคืนให้เฉินผิงอัน แต่เฉินผิงอันที่เคยยากจนอย่างถึงที่สุดมาก่อนไม่ได้พิถีพิถันนัก สำหรับการกินอยู่หลับนอน เขาไม่เคยเรียกร้องอะไรมาก่อน จึงไม่ได้ตอบรับ ผู้เฒ่าเองก็ไม่ได้บังคับ เพียงเดินจากไปช้าๆ


เฉินผิงอันไม่รีบร้อนที่จะตกปลา เขาเริ่มฝึกเดินนิ่งกลับไปกลับมาข้างริมน้ำ เดินนิ่งไปได้หนึ่งชั่วยามก็ฝึกยืนนิ่งริมน้ำอีกหนึ่งชั่วยาม แล้วถึงได้เริ่มตกปลาตอนกลางคืน เฉินผิงอันหลับตาเหวี่ยงคันเบ็ดไม้ไผ่ออกไป เสียงเหยื่อจมลงน้ำดังจ๋อม


สายลมเย็นพัดโชยให้เกสรดอกน้ำมันสั่นระริก


น้ำในแม่น้ำเคลื่อนหน้าไปอย่างเชื่องช้า ไหลรินหายไปยังจุดไกล สามารถมองเห็นริ้วกระเพื่อมบนผิวน้ำ หลอดเลือดแห่งแม่น้ำที่มองไม่เห็นอยู่ก้นบึ้งล่างสายน้ำ


สายเอ็นที่เล็กเรียวดุจเส้นผมถูกกระชากเบาๆ บางครั้งตึง บางครั้งหย่อน


เฉินผิงอันนั่งนิ่งไม่กระดุกกระดิกไปตลอดคืน ปล่อยให้ปลาน้อยจิกเหยื่อจนแหลกเละ ไม่มีปลาตัวใหญ่มาติดเบ็ด จากนั้นก็นั่งนิ่งอย่างแห้งแล้งแบบนี้ไปจนฟ้าสว่าง


เมื่อเฉินผิงอันสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาก็หันหน้าไปมองทางทิศตะวันออก นาทีที่เขาค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น ก็ได้เห็นภาพงดงามที่ไม่เคยพบเจอมาตลอดชีวิต


อริยะเคยกล่าวว่า หันหน้าเข้าหาแสงอรุโณทัย ดวงตะวันส่องแสงเหลืองแดง


สายตาของคนธรรมดาทั่วไป แสงอรุโณทัยน่าจะมีแค่สีแดงสดเท่านั้น แต่เฉินผิงอันกลับเห็นว่าท่ามกลางแสงตะวันขึ้นตรงขอบฟ้าทิศตะวันออกที่งดงามพร่างพราวมีสีเหลืองทองเป็นเส้นๆ ไหลวน เส้นแสงเหล่านั้นเหมือนมังกรที่กำลังว่ายวนอยู่ช้าๆ ท่ามกลางทะเลเมฆสีแดงเพลิง


เฉินผิงอันแหงนหน้าจ้องมองแสงอรุโณทัยหมื่นจั้งและเส้นแสงสีทองอร่ามอยู่ตลอดเวลา เผชิญหน้ากับแสงเจิดจ้าและการไหลเวียนของเส้นแสงสีเหลืองทองเหล่านั้น เฉินผิงอันกลับไม่รู้สึกสบายดวงตาแม้แต่น้อย


ไม่รู้ว่าตาฝาดหรือไม่ เฉินผิงอันคล้ายจะสัมผัสได้ถึงก้อนเมฆงดงามกลิ้งหลุนๆ ลงมา หลังจากนั้นจิตใจของเขาก็สั่นสะท้านน้อยๆ พริบตาเดียวมังกรสีทองหลายสิบเส้นก็กรูลงมาจากฟากฟ้า ตรงดิ่งเข้าหาเขาด้วยลักษณะน่าเกรงขาม ราวกับจะบดขยี้คนที่กล้าจับจ้องมองพวกมัน


มังกรเหล่านั้นพุ่งเข้ามาเร็วมาก เฉินผิงอันทิ้งคันเบ็ดตกปลา ลุกพรวดขึ้นยืน ปณิธานหมัดทั่วร่างพรั่งพรูออกมาโดยอัตโนมัติ อาบเต็มไปทั่วเรือนกายด้านนอกและช่องโพรงด้านใน สามารถเคลื่อนไหวได้ดังใจปรารถนา เผชิญหน้ากับการท้าทาย เฉินผิงอันเพียงรู้สึกว่าเหมือนเผชิญหน้ากับผู้เฒ่าในเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว ฟ้าดินกว้างใหญ่ มีเพียงวิชาหมัดที่ใหญ่ที่สุด และเขาต้องออกหมัดครั้งนี้!


มังกรสีทองหลายสิบตัวที่ไม่มีร่างแท้จริงตรงดิ่งกดทับเข้ามาหาเฉินผิงอัน


เฉินผิงอันไม่พูดไม่จาก็ตั้งกระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่ทันที เท้าสองข้างทยอยกันเหยียบลงบนพื้นดินริมแม่น้ำ พละกำลังมหาศาลทะลุลงไปใต้ดินหนึ่งจั้งกว่า ไม่เพียงแค่พื้นดินที่ส่งเสียงดังตึงๆๆ รัวไม่หยุดเหมือนมีสายฟ้าพลิกหมุนอยู่บนผืนดิน ผิวน้ำที่อยู่ใกล้ตลิ่งก็เกิดคลื่นเป็นระลอกที่ตีกระทบฝั่งตรงข้าม


ชูอีกับสืออู่ต่างก็พุ่งออกจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อย่างเงียบเชียบ แต่ต่างฝ่ายต่างนอนพังพาบอยู่บนปากน้ำเต้าอย่างเกียจคร้าน ราวกับว่ากำลังรอชมเรื่องสนุก ไม่ได้เห็นมังกรสีทองที่พุ่งลงมาจากชั้นเมฆยามอรุณรุ่งนี้เป็นศัตรู


จิตใจของเฉินผิงอันจมจ่อมอยู่ท่ามกลางปณิธานหมัด ไม่รู้เลยว่าตัวเองได้สร้างภาพเหตุการณ์ที่น่าตกตะลึงถึงเพียงนี้ เพียงแค่รู้สึกว่าในเมื่อเลื่อนสู่ขอบเขตสี่แล้ว การออกหมัดก็ควรจะเร็วยิ่งกว่าเดิม ทว่าการตกปลาเมื่อคืนก่อนนี้ เขาทำความเข้าใจกับโลกใบใหม่ที่สายตาของตัวเองมองเห็น รวมถึงสร้างประตูใหญ่ของช่องโพรงลมปราณต่างๆ ให้มั่นคง และระงับลมปราณที่ก่อกวนอยู่ในร่างกายให้สงบอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยมีโอกาสได้ทดลองออกหมัดเพื่อพิสูจน์มาก่อนว่าเร็วขนาดไหน ก็คงต้องดูตอนนี้แล้วล่ะ!


“กลับไปให้ข้า!” เฉินผิงอันปล่อยหมัดต่อยเข้าใส่มังกรตัวนำที่อยู่กลางอากาศสูง พายุหมัดพัดกระโชกเป็นเหตุให้ชายแขนเสื้อที่เต็มไปด้วยปณิธานหมัดพองบาน พัดพึ่บพั่บ


เสียงกัมปนาทดังกึกก้อง


น้ำในแม่น้ำสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง คลื่นน้ำโถมใส่ดอกน้ำมันดังซ่าจนดอกน้ำมันล้มเอนไปแถบใหญ่


เห็นๆ อยู่ว่ามังกรสีทองตัวใหญ่เท่าปากบ่อตัวนั้นเป็นเพียงภาพมายาเลื่อนลอย ไม่ได้มีร่างที่แท้จริง แต่พอถูกหมัดที่มีปณิธานหมัดมากไพศาลต่อยเข้าที่ศีรษะกลับหัวหมุนติ้วกระเด็นไปไกลหลายสิบจั้ง


หลังจากนั้นเสียงกัมปนาทก็ดังขึ้นถี่ยิบ


มังกรทองหลายสิบตัวถูกเฉินผิงอันใช้กระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่ต่อยกลับขึ้นไปบนฟ้า พวกมันนอนขดตัวไม่ยอมจากไป ก้มหน้าลงมองเฉินผิงอันที่เปลี่ยนกระบวนท่าเป็นท่าหมัดที่พลังอำนาจน่าหวาดผวาอีกครั้ง สายตาของพวกมันมีทั้งความไม่เข้าใจ และมีทั้งความอาฆาต ทว่าสุดท้ายก็ได้แต่ส่ายหาง ย้อนกลับเข้าไปยังทะเลเมฆที่ส่องประกายสีพร่างพราวอย่างพร้อมเพรียงกัน เฉินผิงอันอึ้งตะลึง พอมองไปอีกครั้งก็ไม่มีลมปราณสีทองไหลเวียนวนอีกแล้ว ดูเหมือนว่าแสงอรุโณทัยทางทิศตะวันออกจะกลับคืนสู่ความเป็นปกติแล้ว


เฉินผิงอันเก็บหมัดยิ้มกว้างด้วยความพึงพอใจไม่น้อย


แต่ละหมัดที่ปล่อยไปช่างรวดเร็วและดุดันจริงๆ ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่ การออกหมัดแต่ละครั้งคล้ายไม่มีพันธนาการของฟ้าดิน ไม่มีความรู้สึกอืดอาดชักช้า สะใจดีจริง!


ชูอีและสืออู่ที่อยู่บนปากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ‘หันมามองหน้ากัน’ สืออูคล้ายจะไม่มีหน้าพบเจอคนจึงไหลกลับเข้าไปในน้ำเต้า


ชูอีที่นิสัยดุร้ายเกรี้ยวกราดมากกว่าอึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะบินฟิ้วขึ้นมา แม้จะไม่สามารถสร้างบาดแผลที่จับต้องจริงได้ แต่มันก็ยังแทงทะลุร่างของเฉินผิงอันอย่างเสียเวลาเปล่าครั้งแล้วครั้งเล่า คล้ายกำลังระบายไฟโทสะ


กระบี่บินหากอยู่ในช่องโพรงของเจ้าของที่เป็นผู้ฝึกกระบี่จะเป็นเพียงภาพมายา แต่หากออกจากช่องโพรงจึงจะเป็นของจริง นี่คือกฎเกณฑ์ของฟ้าดิน เป็นเหตุให้การเข้าออกช่องโพรงลมปราณของผู้ฝึกกระบี่จะไม่มีการทำร้ายร่างกายของผู้ฝึกกระบี่ ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเฉินผิงอันกับกระบี่บินสองเล่มอย่างชูอีกับสืออู่ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบนายบ่าวอย่างผู้ฝึกกระบี่กับกระบี่บิน ไม่ถึงขั้นชีวิตผูกติดกัน ร่วมเป็นร่วมตายกัน แต่กลับเหมือนเจ้าของบ้านกับคนเช่าบ้าน และเฉินผิงอันก็คล้ายเป็นกึ่งๆ เจ้าของของพวกมันมากกว่า


เฉินผิงอันเกาหัวด้วยความมึนงง แต่ก็ยังปล่อยให้ชูอีอาละวาดต่อไป “เป็นอะไร? หรือว่าขอบเขตสี่ของข้าอ่อนแอเกินไป เลยทำให้พวกเจ้าอายคน?”


การที่ปรากฎภาพเหตุการณ์มังกรสีทองขึ้นท่ามกลางแสงอรุณแล้วกระโจนเข้าหาบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุนก่อนหน้านี้ สามโอสถทองหนึ่งก่อกำเนิด ผู้รับใช้ตระกูลซุนรวมสี่ท่านจำต้องให้ความสำคัญ เพียงไม่นานพวกเขาก็มารวมตัวกันอยู่ในห้องเก็บหนังสือขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ตอนนี้ในที่สุดคนทั้งสี่ก็ไม่ได้เถียงกันว่าเด็กหนุ่มเป็นผู้ฝึกลมปราณหรือผู้ฝึกยุทธ์แล้ว แต่มีหัวข้อใหม่เพิ่มเข้ามาแทน


เพราะภาพเหตุการณ์มหัศจรรย์ในระดับนี้มีความเป็นไปได้อยู่สองอย่าง หนึ่งคือผู้ฝึกลมปราณกลายเป็นขอบเขตโอสถทอง นับจากนี้ท่องอยู่ในโลกได้อย่างอิสระเสรี ดังนั้นจึงชักนำการตอบรับจากฟ้าดิน โอสถทองที่ระดับสูงต่ำไม่เท่ากันเม็ดหนึ่งจะก่อตัวขึ้นมาในห้องโอสถ ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องดูว่าความเคลื่อนไหวของเหตุการณ์ฟ้าดินใหญ่หรือเล็ก อีกหนึ่งประเภทคือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสามฝ่าสู่ขอบเขตสี่ หรือขอบเขตหกฝ่าสู่ขอบเขตเจ็ด โอกาสความเป็นไปได้ของข้อแรกมีน้อยมาก เรียกได้ว่าเลือนรางมาก ส่วนฝ่ายหลังนั้นเป็นเรื่องปกติ หากถูกชักนำมา ตามคำกล่าวของวิถีวรยุทธ์นี่เรียกว่าสามารถเอาหินของภูเขาลูกอื่นมากลึงเป็นหยกได้ หาได้ยากยิ่งกว่าพระโพธิสัตว์ข้ามแม่น้ำ มักจะอาศัยโอกาสนี้มาหล่อหลอมร่างกายและจิตใจได้ เป็นโชควาสนาที่ใหญ่มากต้องรู้จักถนอมแล้วถนอมอีก


ดูจากสัจธรรมแห่งวิชาหมัดที่ล้นหลามเข้มข้นทั่วร่างของเด็กหนุ่ม เขาย่อมไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณ ต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์อย่างแน่นอน แต่สุดท้ายจะเป็นขอบเขตสี่หรือขอบเขตเจ็ด คนทั้งสี่จึงถกเถียงกันอีกครั้ง คราวนี้คนทั้งสามเชื่อว่าเป็นขอบเขตเจ็ด ดังนั้นซุนเจียซู่เจ้าประมุขถึงได้เต็มใจเชื้อเชิญให้มาอยู่ที่บ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน ผูกสัมพันธ์ควันธูปแก่กัน อีกทั้งหากขอบเขตสามเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ อย่างไรก็ไม่สามารถชักนำภาพปรากฎการณ์ที่มังกรเมฆเยื้องกรายลงมาแบบนี้ได้ มีเพียงคนผู้เดียวที่เชื่อว่าเด็กหนุ่มเพิ่งเลื่อนสู่ขอบเขตสี่


จู่ๆ คนตัดต้นไม้ก็เอ่ยขึ้นว่า “อย่าเพิ่งเถียงกันเลยว่าขอบเขตที่เท่าไหร่ พวกเราไม่ควรทอดถอนใจด้วยความเสียดายที่เด็กหนุ่มคนนั้นพลาดโอกาสอันดีไปหรอกหรือ?”


คนทั้งสามได้สติในฉับพลัน แล้วก็พากันทอดถอนใจ


เด็กหนุ่มชมทัศนียภาพ ชักนำภาพเหตุการณ์ประหลาด คือการขานรับจากคนบนสวรรค์ที่ลี้ลับมหัศจรรย์ยิ่ง


โชควาสนาครั้งยิ่งใหญ่ที่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวในโลกปรารถนาอยากครอบครอง กลับถูกเด็กหนุ่มผู้นี้รัวหมัดตะพาบต่อยกลับคืนไปทั้งอย่างนี้…


จากนั้นคนทั้งสี่ต่างก็รู้สึกเหลือเชื่อ ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธ์ขนาดนี้ อาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาของเขาไม่เคยสอนเรื่องที่ตื้นเขินที่สุดประเภทนี้หรือไร? ยกตัวอย่างเช่นขอบเขตสามฝ่าสู่ขอบเขตสี่ หรือขอบเขตหกฝ่าสู่ขอบเขตเจ็ดจะเกิดการขานรับจากคนฟ้า จำเป็นต้องคว้าจับไว้ให้มั่น เพราะสามารถช่วยทำให้ขอบเขตมั่นคงได้…


—–

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)