ยอดหญิงสกุลเสิ่น 254.2-258.1

ตอนที่ 254-2 เลือกอนุเลือกความงาม

 

ดวงตาของเสิ่นเวยกะพริบวาบ นี่มันละครฉากไหน เมื่อครู่นางเห็นชัดเจนแจ่มแจ้ง สาวใช้ผู้นั้นตั้งใจคว่ำน้ำชาหกใส่ชุดของฉินอิงอิง หากไม่มีคำสั่งจากนายเบื้องบน สาวใช้ไม่กล้าทำเองโดยพลการอย่างแน่นอน พระชายาจิ้นอ๋องคิดจะทำอะไร หรือว่าฉวยโอกาสให้ฉินอิงอิงได้พบหน้าสวีฉั่งระหว่างที่นางไปเปลี่ยนชุด จำเป็นต้องเล่นใหญ่เพียงนี้เลยหรือ


 


 


ขณะที่เสิ่นเวยกำลังคิด ก็ได้ยินพระชายาจิ้นอ๋องเรียกนาง เสิ่นเวยได้สติกลับมาทันที “พระชายามีอะไรหรือเพคะ”


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องเองก็เห็นว่าเสิ่นเวยใจลอยแล้ว ในก็ไม่ค่อยพอใจนัก แต่คิดแล้วก็ยังคงอดทนไว้ กล่าวด้วยท่าทีอ่อนโยน “ข้าจะถามเจ้าว่าข้อเสนอของข้าคราวก่อนเจ้าลองพิจารณาดูแล้วหรือยัง”


 


 


“ขอเสนออะไรเพคะ” เสิ่นเวยงงงัน


 


 


“ย่อมเป็นข้อเสนอแต่งอนุให้คุณชายใหญ่อย่างไรเล่า! หากเจ้าไม่ชอบอี๋ฮุ่ย นี่ไม่ใช่ว่ายังมีอี๋จยาหรอกหรือ” เสียงของพระชายาจิ้นอ๋องสูงขึ้นสามส่วนอย่างอดไม่ได้


 


 


คราวนี้เสิ่นเวยก็เข้าใจแล้ว อ้อ ที่แท้แล้วพระชายาจิ้นอ๋องก็อ้อมใหญ่เพียงนี้บีบให้ฉินอิงอิงออกไปก็เพื่อพุ่งเป้ามาที่นาง! “คราวก่อนลูกปฏิเสธไปแล้วมิใช่หรือ กลับไปข้าก็ถามท่านจวิ้นอ๋องของเราแล้ว เขาไม่เห็นด้วยกันการแต่งอนุภรรยาอะไร” เสิ่นเวยกล่าวอย่างเรียบง่าย


 


 


คิ้วของพระชายาจิ้นอ๋องขมวดมุ่น กล่าวตำหนิ “เหลวไหล แต่งภรรยาเป็นเรื่องของสตรีผู้เป็นนาย บุรุษเช่นเขาจะเข้าใจอะไร เสิ่นซื่อ ไม่ใช่ข้าว่าเจ้า เป็นสตรีต้องมีคุณธรรมเมตตา เจ้าไม่อาจตั้งครรภ์ ยังไม่อนุญาตให้คนอื่นมาผลิดอกออกผลให้คุณชายใหญ่อีกหรือ”


 


 


เสิ่นเวยหัวเราะเยาะออกมาหนึ่งครา นางแต่งงานกับสวีโย่วยังไม่ถึงสามเดือนเลย พระชายาจิ้นอ๋องดูจากไหนว่านางตั้งครรภ์ไม่ได้ หูซื่อสะใภ้สุดรักผู้นั้นของนางก็แต่งเข้ามาปีกว่าจึงจะตั้งท้องได้ไม่ใช่หรือ เหตุใดพอถึงตานางสมองของพระชายาจิ้นอ๋องถึงได้ผิดปกติแล้วเล่า ก่อนหน้านี้ยังพูดจามีเหตุผลกับฉินอิงอิงอย่างยิ่งอยู่เลยมิใช่หรือ น่าหงุดหงิดนัก!


 


 


“อันที่จริง ตัวข้าจวิ้นจู่ไม่อาจเทียบกับพระชายาได้ อย่างปีนั้น พระชายาท่านแต่งเข้ามาในจวนจิ้นอ๋องไม่ถึงสิบเดือนก็คลอดองค์ชายรองท่านซื่อจื่อแล้ว แต่ว่า ข้าเคยได้ยินการคลอดก่อนกำหนดเจ็ดเดือน แต่ยังไม่เคยได้ยินจริงๆ ว่ามีการคลอดก่อนกำหนดห้าหกเดือน อีกทั้งองค์ชายรองยังมีสุขภาพแข็งแรงมากเป็นพิเศษ น่าแปลกจริงๆ” เสิ่นเวยอ้าปากก็กล่าวเสียดสี เกือบจะพูดว่าสวีเยี่ยเป็นบุตรที่เกิดจากชู้แล้ว


 


 


สีหน้าคนทั้งหมดภายในห้องต่างก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ท่าทีตกใจ พระชายาจิ้นอ๋องก็ยิ่งหน้าซีดเผือด ทั่วทั้งร่างสั่นระริก แววตามีความเดือดดาลที่ดุร้ายยิงออกมา อยากจะฉีกเสิ่นเวยออกเสียตอนนี้ “เสิ่นซื่อ เจ้ามันคนอกตัญญูเนรคุณ”


 


 


ซ่งอี๋จยาที่อยู่ใกล้นางที่สุดเข้ามาพยุงพระชายาจิ้นอ๋องทันที “ท่านอาท่านอย่าบันดาลโทสะ สุขภาพเป็นสิ่งสำคัญ” จากนั้นจึงหันหน้ากล่าวกับเสิ่นเวย “พี่สะใภ้ใหญ่ ดูสิท่านทำท่านอาโกรธแล้ว”


 


 


หูซื่อหลังจากที่ตกตะลึงแววตาหางคิ้วก็เต็มไปด้วยความยินดีบนความทุกข์ผู้อื่น “พี่สะใภ้ใหญ่ ไม่ใช่ข้าที่เป็นน้องสะใภ้จะว่าท่าน แต่ท่านพูดเช่นนี้กับเสด็จแม่ได้อย่างไร หากเสด็จแม่โมโหจนเป็นอะไรไป ก็จะเป็นอุปสรรคกับชื่อเสียงของท่านด้วย!”


 


 


มีเพียงฮูหยินซื่อจื่อที่ถือผ้าเช็ดหน้าไม่เอ่ยปาก แต่สายตาที่มองเสิ่นเวยมีความไม่พอใจแฝงอยู่ พี่สะใภ้ใหญ่มีปากเสียงกับแม่สามี ทว่ากลับเอาสามีนางเป็นข้ออ้าง อีกทั้งยังเป็นเรื่องที่สุดจะทนเพียงนั้น นี่จะให้นางดีใจได้อย่างไร


 


 


ทว่ามุมปากของเสิ่นเวยกลับยกสูง ไม่ใส่ใจคำว่ากล่าวของพวกนางอย่างสิ้นเชิง สายตากวาดมองซ่งอี๋จยากับหูซื่อด้วยความเฉยเมย “ลุกผู้น้องตระกูลซ่ง นี่เรื่องในตระกูลจวนอ๋อง มีที่ให้แขกเช่นเจ้าพูดด้วยหรือ เข้ามาเป็นอนุภรรยาให้คุณชายใหญ่ของพวกเราเช่นนี้ ใช่เจ้าแต่งไม่ออกหรือไม่ ฝ่าบาทอนุญาตแล้วหรือ จวนราชนิกุลอนุญาตแล้วหรือ”


 


 


เห็นสีหน้าอับอายแทบตายของซ่งอี๋จยา เสิ่นเวยก็กล่าวต่อ “หากข้ามีความสุข สามีของข้าก็คือท่านจวิ้นอ๋อง หากข้าไม่มีความสุข สามีของข้าก็เป็นเพียงอี๋ปิน รู้หรือไม่ว่าอี๋ปินหมายถึงอะไร บอกให้ก็ได้ ก็แค่ข้าทาสของจวิ้นจู่ก็เท่านั้นเอง” เสิ่นเวยอธิบายอย่างอารมณ์ดี ได้ยินเสียงสูดหายใจในห้องสำเร็จ


 


 


ทุกคนรู้สึกเพียงเสิ่นเวยกล้ามากเกินไปแล้ว อี๋ปิน นางกล้าพูดว่าบุตรคนโตของจวนจิ้นอ๋อง ผิงจวิ้นอ๋องผู้ที่ฝ่าบาทพระราชทานบรรดาศักดิ์ด้วยตัวพระองค์เองว่าเป็นอี๋ปินได้อย่างไร ไม่ว่าจะอย่างไรคุณชายใหญ่ก็เป็นคนในราชนิกุล สูงศักดิ์ไม่เท่าจวิ้นจู่ไร้ประโยชน์ที่นอกคอกผู้นี้หรอก


 


 


เสิ่นเวยมองหูซื่ออีกครั้ง “น้องสะใภ้สามลืมบทเรียนก่อนหน้านี้แล้วหรือ ครรภ์นี้ของเจ้าปลอดภัยแล้วหรือ จุๆ หากข้าเป็นเจ้า คงจะหาที่นอนพักอย่างสงบไปนานแล้ว วิ่งเต้นไปมาเช่นนี้ เจ้านี่ไม่รู้จักจำเสียเลย!” ประโยคสุดท้ายที่แฝงคำขู่ทำให้เส้นเลือดบนใบหน้าหูซื่อหายเรียบ


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องเห็นเสิ่นเวยเหมเกริมยิ่งขึ้น ก็ไม่สนใจสิ่งใดแล้ว ตบพนักเก้าอี้อย่างแรง ตะโกนเสียงแหลม “เสิ่นซื่อ เจ้ายังมีมารยาทอยู่หรือไม่ ผู้ใหญ่ให้อย่าปฏิเสธ วันนี้ข้าต้องเป็นผู้ตัดสิน อี๋จยายาโถ่วจะต้องเป็นอนุภรรยาของคุณชายใหญ่ให้ได้ อีกประเดี๋ยวเจ้าก็เอานางกลับไปด้วย อีกสองวันก็เลือกฤกษ์จัดการเรื่องนี้เสีย”


 


 


บนใบหน้าซ่งอี๋จยามีความดีใจแวบผ่าน ทันใดนั้นก็ก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย


 


 


เสิ่นเวยไม่โมโหเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่มองหน้าพระชายาจิ้นอ๋อง กล่าวอย่างตั้งใจ “ให้อภัยที่ข้ามิบังอาจทำตาม” ยังมีหน้ามายัดเยียดให้คุณชายใหญ่อีก นางคิดว่าตัวเองเป็นเทพเจ้าหรือไร


 


 


“เจ้า เจ้าอกตัญญู!” มือที่จับพนักเก้าอี้ของพระชายาจิ้นอ๋องมีเส้นเลือดดำปูดนูน ดูท่าแล้วคงจะโมโหสุดขีด


 


 


เสิ่นเวยยังคงมีท่าทางสบายๆ “อกตัญญูหรือ แม่เลี้ยงเช่นท่านวันๆ เอาแต่ยัดเยียดคนให้เรือนหลังของลูกเลี้ยง ข้ายังไม่บอกว่าท่านไร้เมตตาเลย ข้าว่านะพระชายาชีวิตของท่านใช่ว่างเกินไปหรือไม่ ว่าที่ลูกสะใภ้คนเล็กที่มาเป็นแขกท่านก็ยังไม่ลืมที่จะคิดวางแผนกับข้า”


 


 


ชายตามองซ่งอี๋จยาที่ตกใจจนแทบจะยืนไม่อยู่ปราดหนึ่ง “ไม่ใช่ว่ากันไว้หรือว่า เลือกภรรยาเลือกความดีเลือกอนุเลือกความงาม พระชายาหน้าตาหลานสาวผู้นี้ของท่านแม้แต่ตัวข้าจวิ้นจู่ยังเทียบไม่ได้ ท่านยังหวังดียัดเยียดให้คุณชายใหญ่ของพวกเรา คิดว่าจวนผิงจวิ้นอ๋องของพวกเราเป็นถังขยะหรือ”


 


 


จวิ้นพระชายารู้สึกเพียงเบื้องหน้าดำมืด ร่างหงายไปข้างหลัง ล้มลงบนเก้าอี้


 


 


“ท่านอา!”


 


 


“เสด็จแม่!”


 


 


เสียงกรีดร้องดังขึ้นพร้อมกัน แม้แต่หูซื่อยังพยุงท้องล้อมเข้ามา มีเพียงเสิ่นเวยที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้จิบชาอย่างไม่สะทกสะท้าน ท่าทางสบายอารมณ์ ประหนึ่งพระชายาจิ้นอ๋องไม่ได้ถูกนางยั่วโมโห


 


 


“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านพูดให้น้อยลงบ้างเถิด” อู๋ซื่ออดพูดกับเสิ่นเวยไม่ได้ “ยืนบื้อทำอะไรอยู่ ยังไม่รีบไปเชิญหมอมาอีก”


 


 


ในตอนนี้เอง พระชายาจิ้นอ๋องบนเก้าอี้ก็ฟื้นขึ้นแล้ว โบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรง กล่าว “ไม่ต้อง!” จากนั้นจึงยื่นมือไปผลักซ่งอี๋จยาที่ขวางหน้านางอยู่ มองเสิ่นเวยนิ่งๆ กล่าวหนึ่งคำหยุดหนึ่งคำ “เจ้าจะยั่วโมโหข้าให้ตายหรือไร”


 


 


เสิ่นเวยสบสายตากับนาง ไม่อ่อนข้อแม้แต่นิดเดียว “มิบังอาจ! ขอเพียงแค่พระชายาไม่สร้างความลำบากใจให้ข้าไม่เว้นแต่ละวัน ไม่คิดจะยัดเยียดคนไว้ข้างกายคุณชายใหญ่เช่นนี้ ตัวข้าจวิ้นจู่ย่อมหวังให้พระชายามีชีวิตไปอีกพันปีหมื่นปี ส่วนคุณชายรองที่ท่านคลอดก่อนกำหนดห้าหกเดือน ก็เพราะท่านคอลดคุณชายรองก่อนที่จะเข้ามาในจวนอ๋องก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า”


 


 


“พูดเช่นนี้ อนุคนนี้เจ้าจะไม่เอาใช่หรือไม่” พระชายาจิ้นอ๋องโมโหอย่างถึงที่สุดแต่กลับสงบนิ่ง สายตาเย็นเยียบ เสียงเย็นยะเยือก ประหนึ่งเกร็ดน้ำแข็ง


 


 


“ไม่เอา” เสิ่นเวยไม่อ้อมค้อมอย่างสิ้นเชิง เบนสายตาออกไป มุมปากปรากฏรอยยิ้มชั่วร้าย “ในเมื่อพระชายาทุกข์ใจที่พึ่งพิงของหลานสาวฝั่งมารดาเพียงนี้ เช่นนั้นตัวข้าจวิ้นจู่ก็จะช่วงแบ่งเบาภาระพระชายา หาที่ที่เหมาะสมให้นางแทน เถาฮวา พาคุณหนูอี๋จยาผู้นี้ไป”


 


 


เถาฮวากระโดดขึ้นมาข้างหน้าทันที การเคลื่อนไหวเร็วอย่างยิ่ง เสียงร้องตกใจของซ่งอี๋จยาเพิ่งจะออกจากปากก็ถูกเถาฮวาคว้าเสื้อไว้แล้ว กำไว้ในมือราวกับกำลูกไก่ ขอความดีความชอบจากเสิ่นเวยด้วยความดีใจ “คุณหนู พวกเราจะไปไหน” หลังจากครั้งนั้นที่เสิ่นเวยพูดเอาไว้ เถาฮวาก็เปลี่ยนกลับมาใช้คำเรียกเดิม นางยังคงรู้สึกว่าเรียกคุณหนูดีกว่า จวิ้นจู่จะต้องเรียกเหมือนคนอื่น ส่วนข้างกายเสิ่นเวย คนที่ยังเรียกนางว่าคุณหนูก็มีเพียงเถาฮวาคนเดียว


 


 


คนทั้งหมดก็ถูกสถานการณ์กะทันหันนี้ทำให้มึนงง ได้สติกลับมา เสียงของพระชายาจิ้นอ๋องก็แทบจะทำห้องถล่มลงมาได้ “เสิ่นซื่อเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้ เจ้าจะพาอี๋จยาไปไหน”


 


 


เสิ่นเวยหยุดฝีเท้า หันกลับมาช้าๆ กะพริบตาอย่างทะเล้น เผยรอยยิ้มที่หยาดเยิ้มออกมา “ไม่ใช่บอกแล้วหรือว่า หาที่พึ่งพิงที่ดีให้นาง! ตัวข้าจวิ้นจู่จะพานางไปดูที่เรือนของเสด็จพ่อสักหน่อย” ในเมื่อจิ้นพระชายาจะยัดเยียดคนให้สวีโย่ว เช่นนั้นไม่สู้ยัดเยียดคนให้จิ้นอ๋องเสีย


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องได้ยินดังนั้นก็แทบจะเป็นลม ฝืนจิกฝ่ามือตนเองไม่ให้ตนหมดสติ “เร็ว รีบขวางพวกนางไว้!” รอยยิ้มนั้นของเสิ่นเวยในสายตาของพระชายาจิ้นอ๋องน่ากลัวยิ่งกว่าผีร้ายร้อยเท่า


 


 


เวรกรรม! จวนจิ้นอ๋องแต่งสะใภ้ที่ไม่มีขื่อไม่มีแปเช่นนี้เข้ามาได้อย่างไร หากรู้ก่อนว่าเสิ่นซื่อมีนิสัยเช่นนี้ นางคงจะเล่นลูกไม้อื่น ให้คนชั่วผู้นั้นแต่งภรรยาแต่เนิ่นๆ ก็ได้แล้ว สามคนนั้นที่หมั้นหมายก่อนหน้านี้ ไม่ว่าคนไหนก็ดีกว่าคนร้ายกาจผู้นี้หมื่นเท่า!


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องเสียใจภายหลังยิ่งนัก!

 

 

 


ตอนที่ 255-1 ตอบโต้กลับไป

 

วันนี้สาวใช้สี่คนที่เสิ่นเวยพามาคือเถาฮวา เหอฮวา เถาจือและเย่ว์กุ้ย ตัวเถาฮวากับเย่ว์กุ้ยเองก็เป็นยุทธ์ แม้แต่เถาจือกับเหอฮวาก็ฝึกยุทธ์มาพอประมาณ ร่างกายปราดเปรียวกว่าสาวใช้ทั่วไป


 


 


แม้ว่าพระชายาจิ้นอ๋องจะตะโกนให้ขวางเสิ่นเวยไว้ แต่สาวใช้หนึ่งกลุ่มที่ล้อมเข้ามาก็ขวางไว้ไม่ได้ เถาฮวาลากซ่งอี๋จยาวิ่งนำหน้าไปแล้ว เพียงแค่มือข้างเดียวก็ผลักสาวใช้หญิงชราที่ขวางอยู่ข้างหน้าออกไปข้างๆ ได้ เย่ว์กุ้ย เถาฮวา เถาจือปกป้องอยู่ข้างกายเสิ่นเวย เดินวางก้ามออกจากเรือนพระชายาจิ้นอ๋อง ออกไปนอกเรือนแล้ว


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องร้อนรนอยู่ข้างหลัง โมโหจนกระทืบเท้า ถลึงตามองอู๋ซื่อ “ยังไม่รีบตามไปอีก รออะไรอยู่” ภายใต้การพยุงของหวาเยียนหวาอวิ๋นตนก็ไล่ตามไปด้วยความร้อนอกร้อนใจ เสิ่นซื่อผู้นี้สามารถฉีกหน้าได้ จะยังมีเรื่องอะไรที่นางทำไมได้อีก หากนางยัดเยียดอี๋จยาให้ท่านอ๋องจริงๆ หลานสาวเป็นอนุภรรยาของอาเขยเช่นนี้ นางจะยังมีหน้าใช้ชีวิตอยู่อีกหรือ


 


 


ฝีเท้าของกลุ่มเสิ่นเวยเร็วอย่างยิ่ง บ่าวข้างทางยังคงมึนงงอยู่พวกนางก็เดินผ่านไปราวกับสายลมหนึ่งหอบแล้ว หลังจากนั้นก็เห็นพระชายากับฮูหยินซื่อจื่อไล่ตามอยู่ข้างหลังด้วยสีหน้ารีบร้อน คนทั้งหมดมองหน้ากัน นี่มันเรื่องอะไร!


 


 


ตลอดทางซ่งอี๋จยาดิ้นพล่านอย่างถึงที่สุด ปากก็ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือสาปแช่ง นางอยากเข้าจวนจิ้นอ๋องเป็นอนุภรรยา แต่ไม่อยากเป็นอนุภรรยาของจิ้นอ๋อง หนึ่งคือจิ้นอ๋องอายุมากแล้ว อายุมากกว่าพ่อนางสองปีด้วยซ้ำ สองคือท่านอาของนางสามารถฉีกนางเป็นๆ ได้ อีกทั้งใต้หล้านี้นอกจากคนที่กำเริบเสิบสานจะมีหลานสาวตระกูลใดที่เป็นอนุภรรยาของอาเขยบ้าง พ่อนางกับแม่นางยอมให้นางตายดีกว่าจะต้องให้นางนำความอับอายมาสู่ตระกูล


 


 


“หนวกหู อุดปากเสีย” เสิ่นเวยออกคำสั่ง เย่ว์กุ้ยก็ยัดผ้าเช็ดหน้าเข้าไปในปากซ่งอี๋จยาอย่างแม่นยำทันที ชั่วขณะโลกก็กลับคืนสู่ความสงบ เสิ่นเวยจึงถอนหายใจอย่างสบายอารมณ์


 


 


การเคลื่อนไหวที่ดังเช่นนี้ย่อมรบกวนจิ้นอ๋องในห้องหนังสือแล้ว เขาวางแก้วชาในมือลงอย่างอารมณ์ไม่ดีเล็กน้อย “เสี่ยวเฉวียนออกไปดูหน่อย เกิดอะไรขึ้น” ใครกันที่บังอาจเพียงนี้กล้ามารบกวนถึงเรือนนอก กล้าเกินไปแล้วจริงๆ


 


 


“จยาฮุ่ยจวิ้นจู่” ฝีเท้าของพ่อบ้านเสี่ยวเฉวียนเพิ่งจะก้าวออกจากธรณีประตู เสิ่นเวยก็พาคนเข้ามาด้วยความเหิมเกริมแล้ว พ่อบ้านเสี่ยวเฉวียนตกใจหน้าถอดสี “จวิ้นจู่ เกิดอะไรขึ้นหรือ”


 


 


“เสด็จพ่อเล่า ตามเสด็จพ่อมาตัดสิน” เสิ่นเวยเดินผ่านพ่อบ้านเสี่ยวเฉวียนเข้าไปข้างใน แรกเริ่มพ่อบ้านเสี่ยวเฉวียนยังไม่ได้สติกลับมา เมื่อเห็นคุณหนูอี๋จยาหลานสาวของพระชายาถูกสาวใช้ของจยาฮุ่ยจวิ้นจู่จับไว้ในมือ ชั่วขณะก็รู้สึกว่าเหตุการณ์ไม่ดีแล้ว รีบตามเข้าไป “จวิ้นจู่ จวิ้นจู่ท่านมีอะไรก็พูดดีๆ เถิดขอรับ!” ลูกสะใภ้บุกเข้ามาในห้องหนังสือพ่อสามี นี่หมายความว่าอย่างไร


 


 


จิ้นอ๋องเองก็ถูกสถานการณ์นี้ทำให้สะดุ้งตกใจ “เสิ่นซื่อ เจ้าทำอะไร” หน้าของเขาดำราวกับก้นหม้อ ไหนเลยจะมีอย่างที่คนเป็นลูกสะใภ้ไม่สนสิ่งใดบุกเข้ามาในห้องหนังสือของพ่อสามี นี่ยังมีกฎระเบียบอยู่หรือไม่


 


 


เสิ่นเวยถือโอกาสยืนนิ่ง “เสด็จพ่อโปรดอภัย เหตุการณ์คับขันต้องปรับตามสถานการณ์ ลูกเองก็ถูกบีบบังคับจนหมดหนทาง ต้องมาให้ท่านตัดสินด้วยความยุติธรรมแทน”


 


 


จิ้นอ๋องได้ยินดังนั้นสีหน้าก็ดีขึ้นเล็กน้อย แต่คิ้วก็ยังคงขมวดมุ่น “เรื่องอันใด” ต่อให้จะมีเรื่องที่ใหญ่เท่าฟ้าก็ไม่อาจบุกเข้ามาเช่นนี้ได้เหมือนกัน!


 


 


“เสด็จพ่อท่านเคยสั่งไว้แล้วว่า เรื่องของลูกกับองค์ชายใหญ่พระชายาไม่อาจสอดมือเข้ามา พ่อบ้านเสี่ยวเฉวียนเองก็ได้ยินเองกับหู นี่เพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่วัน พระชายาก็วุ่นอยู่กับเรื่องจะแต่งอนุภรรยาให้ท่านพี่ ไม่คิดถึงร่างกายนั่นของท่านพี่บ้าง นี่ไม่ใช่เป็นการทำร้ายท่านพี่หรอกหรือ หรือว่าไม่ใช่ลูกที่คลานออกมาจากท้องนางนางจึงไม่สงสาร นางไม่สงสารแต่ลูกสงสาร ตั้งแต่ที่ลูกแต่งเข้ามา หมอดียาดียาบำรุงราคาแพงก็เป็นตัวดูแลร่างกายเขา กว่าสีหน้าจะดูดีขึ้นได้ พระชายาก็จะยัดเยียดอนุภรรยาไว้ข้างกายท่านพี่อีกแล้ว มีเจตนาใดกันแน่” ฝีปากของเสิ่นเวยคล่องแคล่วยิ่งนัก


 


 


“คราวก่อนก็เป็นญาติผู้น้องอี๋ฮุ่ยผู้นั้น คราวนี้ก็เปลี่ยนเป็นญาติผู้น้องอี๋จยา ทั้งยังบอกว่าหน้าตาของญาติผู้น้องอี๋จยาดีกว่า หรือว่าในสายตาของพระชายาท่านพี่เป็นคนตื้นเขินมักมากในกาม นิสัยคนตระกูลซ่งนี้เป็นอะไรไป เหตุใดหนึ่งคนสองคนล้วนแต่จะรีบให้แต่งเป็นอนุภรรยาคนอื่น เป็นฮูหยินอันดับหนึ่งไม่ดีกว่าหรือ ในเมื่อพระชายาหวังจะส่งหลานสาวออกไปเป็นอนุภรรยาเช่นนี้ ลูกก็คิดแล้วว่า แต่งอนุภรรยาให้ท่านพี่ ไม่สู้แต่งอนุภรรยาให้เสด็จพ่อ อย่างไรเสียเสด็จพ่อท่านก็มีอำนาจมากกว่า ก็ยิ่งเติมเต็มจิตใจที่ฟุ้งเฟ้อของเด็กผู้หญิงได้ มิหนำซ้ำยังทำให้พระชายาดูแลหลานสาวได้สะดวกมิใช่หรือ เถาฮวา ส่งคนไปให้เสด็จพ่อ”


 


 


“เจ้าค่ะ!” เถาฮวาแสยะปากยิ้ม ผลักซ่งอี๋จยาในมือไปให้จิ้นอ๋อง


 


 


จิ้นอ๋องไม่ทันระวัง ซ่งอี๋จยาถูกผลักเข้าไปในอ้อมอกเขาทันที ฉากๆ นี้ตกอยู่ในสายตาของจิ้นพระชายาที่รีบตามเข้ามาพอดี นางแทบจะอกสั่นขวัญหาย “ท่านอ๋อง!” เสียงแหลมเปรียวพุ่งขึ้นชั้นเมฆ ทำเอานกที่พักอยู่บนต้นไม้ในลานบ้านต่างก็กระพือปีกบินขึ้นมา


 


 


จิ้นอ๋องเพิ่งจะเห็นว่าคนที่อยู่ในอ้อมอกคือหลานสาวของพระชายา สีหน้าแดงจัด ชั่วขณะก็ผลักออกไปประหนึ่งถูกไฟเผา “เหลวไหล เสิ่นซื่อเจ้าไม่รู้กาลเทศะเกินไปแล้ว” เหตุใดถึงมีสตรีหน้าไม่อายเช่นนี้ จิ้นอ๋องโมโหจนแทบจะหมดสติ


 


 


ซ่งอี๋จยาถูกลากมาตลอดทาง ซ้ำยังถูกผลักไปผลักมา ขาคู่นั้นก็ไม่ใช่ของตัวเองอีกต่อไปแล้ว ล้มลงบนพื้นทันที แม้แต่ลุกยังลุกไม่ขึ้น โชคดีที่ตอนนี้ไม่มีคนสนใจนางแล้ว


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องถูกหวาเยียนหวาอวิ๋นพยุงเดินเข้ามา “เสิ่นซื่อ เจ้ากำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว เจ้าจะเอาเช่นไรกันแน่”


 


 


แววตาเสิ่นเวยมีความเหยียดหยาม “ควรเป็นข้าที่ถามพระชายาว่าจะเอาอย่างไรมากกว่าหรือไม่ เรื่องในวันนี้ไม่ใช่ท่านยืนกรานจะยัดเยียดหลานสาวบ้านฝั่งมารดาของท่านมาให้จวนจวิ้นอ๋องของพวกข้าหรอกหรือ พูดถึงกำเริบเสิบสาน พระชายาน่าจะเป็นคนนั้นมากกว่ากระมัง วันทั้งวันแม่เลี้ยงเช่นท่านเอาแต่คิดว่าสามีของข้าทำอะไร ลูกแท้ๆ สามคนของท่านยังทุกข์ใจไม่พอหรือไร”


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องคิดไม่ถึงว่าต่อหน้าท่านอ๋องเสิ่นซื่อผู้นี้จะไม่สำรวมเลยแม้แต่น้อย บนใบหน้าเดี๋ยวดำเดี๋ยวม่วง “เสิ่นซื่อเจ้ากำลังอิจฉา ทำผิดกฎเจ็ดขับ ข้างกายนายท่านตระกูลใดบ้างไม่มีอนุภรรยาหลายคน ข้าเป็นแม่เลี้ยงของคุณชายใหญ่ หาคนมาปรนนิบัติข้างกายเขาแล้วอย่างไร ท่านอ๋อง ท่านว่าข้าทำผิดหรือไม่”


 


 


บนใบหน้าจิ้นอ๋องเองก็ไม่เห็นด้วย ก็แค่อนุภรรยามิใช่หรือ ความหึงหวงของเสิ่นซื่อผู้นี้มากเกินไปแล้ว “เสิ่นซื่อ เจ้าทำผิดแล้ว พระชายาเองก็หวังดีต่อเจ้า มีคนปรนนิบัติโย่วเอ๋อร์เพิ่มอีกคนไม่ใช่เป็นการแบ่งเบาภาระเจ้าหรือ”


 


 


ความคิดแปลกประหลาดนี้ทำให้เสิ่นเวยอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ถูกต้อง ข้าอิจฉา หากผู้ใดยัดเยียดคนไม่ดีเหล่านี้ไว้ข้างกายสามีของข้าผู้นั้นก็คือศัตรูของข้า! พระชายาบอกว่าข้าผิดกฎเจ็ดขับ เช่นนั้นพวกท่านก็ขับข้าสิ!” เสิ่นเวยกล่าวอย่างตรงไปตรงมา ฝ่าบาทพระราชทานสมรส แม้แต่หย่ายังหย่าไม่ได้ ยังคิดจะโยนโทษเจ็ดขับอะไรนั่นให้นาง น่าขันจริงๆ


 


 


เป็นดังคาด จิ้นอ๋องกับพระชายาจิ้นอ๋องต่างก็นึกถึงเรื่องนี้ได้ สีหน้าดำทะมึนพร้อมกัน


 


 


เสิ่นเวยกล่าวต่อ “ในเมื่อพระชายาใจกว้างเมตตาเพียงนี้ ก็น่าจะไม่ห้ามให้เสด็จพ่อแต่งอนุภรรยา เมื่อครู่พระชายาเองก็เห็นแล้ว เสด็จพ่อแตะเนื้อต้องตัวญาติผู้น้องอี๋จยาแล้ว พระชายาใจกว้างนักก็ทำให้พวกเขาสมหวังสิ! พระชายาพูดเองไม่ใช่หรือว่าญาติผู้น้องอี๋จยาเป็นคนที่เหมาะสมอย่างยิ่ง จะต้องแบ่งเบาภาระท่านดูแลเสด็จพ่อได้เป็นอย่างดีแน่นอน”


 


 


หยุดครู่หนึ่ง คิดแล้วคิดอีกก็กล่าว “อนุภรรยาหนึ่งคนก็น้อยไปหน่อย ข้างกายท่านอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ไม่มีบุปผารู้ใจแปดคนสิบคนหากพูดออกไปแล้วคงอายคนแย่ แม้จะบอกว่าเรือนหลังยังมีอี๋เหนียงอีกสองคน แต่สองคนนั้นก็อายุมากแล้ว เสด็จพ่อคงจะเห็นจนเบื่อแล้ว ลูกกับท่านพี่เป็นลูกกตัญญู จะต้องตั้งใจหามาให้เสด็จพ่ออีกหลายๆ คน อืม ท่านพี่ไม่เพียงแต่เป็นลูกกตัญญู แต่ยังเป็นพี่ชายที่รักน้องชายอีกด้วย องค์ชายรองยังไม่มีลูก น้องสะใภ้สามก็ตั้งครรภ์อยู่ น้องสะใภ้รองกับน้องสะใภ้สามไม่ต้องการคนมาแบ่งเบาภาระให้มากหน่อยหรือ ส่วนคุณชายสี่ ช่างเถอะ รอคุณชายสี่แต่งงานก่อนแล้วค่อยว่ากันดีกว่า ส่งอนุภรรยาก่อนแต่งงานมีแต่คนไม่มีมารยาทเท่านั้นที่จะทำได้” เสิ่นเวยแฉอดีตอันน่ารังเกียจของพระชายาจิ้นอ๋องอย่างไม่มีเยื่อใยเลยแม้แต่น้อย


 


 


“บังอาจ” จิ้นอ๋องกับพระชายาจิ้นอ๋องตะโกนด้วยความโกรธพร้อมกัน


 


 


ทว่าเสิ่นเวยกลับไม่สนใจอย่างสิ้นเชิง “พระชายาคิดจะให้ญาติผู้น้องอี๋จยาเข้าจวนเมื่อใด กำหนดวันแล้วก็แจ้งมา เสด็จพ่อแต่งอนุภรรยา เป็นชนรุ่นหลังย่อมต้องมาดื่มสุรามงคลด้วย วุ่นวายมากว่าครึ่งเช้า พระชายาควรไปดูว่าที่ลูกสะใภ้สี่หรือไม่ว่าแต่งตัวเสร็จหรือยัง พระชายาท่านว่าท่านเป็นคนฉลาดเพียงนี้เหตุใดถึงเลือกวันนี้เล่า พวกเราเป็นคนครอบครัวเดียวกัน ปิดประตูแล้วจะวุ่นวายอย่างไรย่อมได้ แต่อย่างไรเสียคุณหนูเจ็ดแซ่ฉินก็ยังไม่เข้าเรือน ถูกคนอื่นเห็นเป็นเรื่องตลกจะไม่ดีเอาได้! เอาล่ะ เสด็จพ่อกับพระชายาไม่ต้องไปส่งแล้ว ลูกขอลากลับจวนตรงนี้ อากาศร้อนยิ่งนัก พักอยู่ในจวนตัวเองสบายกว่าเยอะ!”


 


 


ไม่ได้สนใจว่าจิ้นอ๋องสองสามีภรรยาจะมีสีหน้าย่ำแย่เพียงใด เสิ่นเวยก็พาสาวใช้ทั้งสี่ของนางเดินกรีดกรายออกไปแล้ว


 


 


เมื่อออกจากประตูใหญ่จวนจิ้นอ๋อง เสิ่นเวยก็สั่งเย่ว์กุ้ย “ไป ไปเรียกท่านจวิ้นอ๋องของพวกเจ้ากลับจวน”


 


 


สวีโย่วกำลังดูบุตรหลานลูกคุณชายกลุ่มนั้นฝึกซ้อมอยู่ในสนามฝึกกองปัญจทิศรักษานคร ได้ยินเจียงไป๋รายงานว่าเสิ่นเวยเรียกเขากลับจวน ก็ลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอกทันที


 


 


เขารู้ว่าวันนี้เสิ่นเวยกลับจวนอ๋อง พระชายาเล่นลูกไม้ยั่วโมโหเวยเวยของเขาอีกแล้วหรือ สวีโย่วกังวลยิ่งนัก!

 

 

 


ตอนที่ 255-2 ตอบโต้กลับไป

 

เสิ่นเวยกับสวีโย่วกลับจวนจวิ้นอ๋องตามลำดับ “เกิดอะไรขึ้น” สวีโย่วเดินเข้ามาหาเสิ่นเวยด้วยสีหน้าเป็นห่วง


 


 


อารมณ์ที่ไม่ดีของเสิ่นเวยก็ดีขึ้นเล็กน้อยทันที มองสวีโย่วแล้วกล่าวด้วยความน้อยใจ “วันนี้ข้าผิดใจเสด็จพ่อแม่เลี้ยงท่านทั้งคู่”


 


 


สวีโย่วได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกในชั่วขณะ “ไม่เป็นไร พวกเราไม่ต้องใช้ชีวิตที่นั่น ผิดใจก็ผิดใจเถอะ” เขายังคิดว่าเสิ่นเวยได้รับความไม่เป็นธรรมเสียอีก ขอเพียงแค่ไม่ได้รับความไม่เป็นธรรม ไม่ว่าอะไรก็ดีทั้งสิ้น


 


 


เสียงของเสิ่นเวยยังคงอัดอั้น “พระชายาจะส่งซ่งอี๋จยามาเป็นอนุภรรยาของท่าน ข้าเลยส่งไปให้เสด็จพ่อท่านแทน”


 


 


“ส่งก็ส่งเถอะ ข้างกายเสด็จพ่อก็ไม่มีคนใหม่เข้ามาหลายปีแล้ว ได้มาเพิ่มบ้างก็ดีเหมือนกัน” สวีโย่วยังคงไม่ใส่ใจ


 


 


“ข้ายังบอกว่าท่านเป็นอี๋ปิน” เสิ่นเวยเงยหน้ามองดวงตาของสวีโย่วแล้วกล่าว


 


 


สวีโย่วนิ่งงัน จากนั้นก็เข้าใจความหมายของเสิ่นเวยทันที ยกมุมปากขึ้นเบาๆ ยิ้มแล้ว หันหน้าออกคำสั่ง “เจียงไป๋ ไปเชิญอาจารย์ซูมาช่วยข้าร่างสาส์นหนึ่งฉบับ ทูลถามฝ่าบาทว่าสามารถเปลี่ยนจวนจวิ้นอ๋องเป็นจวนจวิ้นจู่ได้หรือไม่” อี๋ปินก็อี๋ปิน ขอเพียงแค่ภรรยาเขามีความสุข เขาจะเป็นจวิ้นอ๋องหรืออี๋ปินก็ไม่ได้แตกต่างอะไร


 


 


เสิ่นเวยจ้องมองสวีโย่วอย่างไม่ละสายตา “ชอบข้าขนาดนี้เลยหรือ” ในน้ำเสียงมีความไม่แน่ใจเ ล็กน้อย


 


 


สวีโย่วลูบผมของเสิ่นเวย พยักหน้าอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย กล่าวอย่างตั้งใจ “เจ้าไม่ใช่ไม่รู้ ตั้งแต่เล็กจนโตเสด็จพ่อก็ไม่เคยเห็นข้าอยู่ในสายตา ทิ้งไว้ในเรือนเล็กปล่อยให้ข้าเอาตัวรอดเอง พอเห็นหน้าก็ตำหนิดุด่า ส่วนพระชายาน่ะหรือ นางไม่ทำร้ายข้าต่อหน้าเสด็จพ่อก็ดีเท่าไรแล้ว ใครๆ ก็บอกว่าฝ่าบาทให้ความสำคัญกับข้า อันที่จริงเหตุผลส่วนใหญ่ก็ยังเป็นเพราะว่าข้ามีประโยชน์ เวยเวย ข้าตัวคนเดียวไม่มีญาติมิตรให้พึ่งพา มีเพียงเวยเวยที่เป็นของข้า และมีเพียงเจ้าที่ดีต่อข้าอย่างไม่มีข้อแม้ ปกป้องข้า ออกหน้าเพื่อข้า เวยเวย ข้ารับรู้ทั้งหมดแล้ว” เพื่อที่จะเก็บความอบอุ่นนี้ ไว้เขายอมแลกทุกอย่าง


 


 


เสิ่นเวยย่นจมูก ไม่กลัวคนอื่นบอกว่าท่านกลัวภรรยาหรือ ไม่กลัวเสียศักดิ์ศรีหรือ” ผู้ชายไม่ใช่ต้องรักษาศักดิ์ศรีอย่างยิ่งหรือ


 


 


สวีโย่วหัวเราะเสียงเบาออกมา บีบจมูกเสิ่นเวยเล็กน้อยแล้วกล่าว “ตั้งแต่วันที่แต่งงานกับเจ้าข้าก็กลัวภรรยามาโดยตลอดมิใช่หรือ ส่วนศักดิ์ศรี มีเพียงคนที่ไม่มีความมั่นใจมากพอจึงจะต้องการศักดิ์ศรี ข้า รู้อยู่แก่ใจก็พอแล้ว” ยังมีอีกเล็กน้อยที่สวีโย่วไม่ได้พูด ก็คือเขาโหยหาความอบอุ่นบนร่างนาง มลทินนั้นที่เขาลากนางเข้ามาในจวนจิ้นอ๋อง ทำให้เขาติดหนี้นาง


 


 


เสิ่นเวยคลี่ยิ้ม มือทั้งคู่เกี่ยวลำคอของสวีโย่ว แนบหน้าลงบนแผงอกของเขา “สวีโย่ว ข้าว่าข้าชอบท่านมากกว่าเดิมอีก!” ชีวิตนี้มีสวีโย่วผู้รับความรักของนางเช่นนี้ได้ ดูท่าแล้ววาสนาของนางจะดีจริงๆ


 


 


สวีโย่วใจวาบหวิว กระชับแขนทั้งคู่กอดเสิ่นเวยแนบแน่น กล่าวในใจ ข้าต่างหากที่เป็นคนโชคดีที่สุด เวยเวย ขอบคุณที่เจ้าเข้ามา ชีวิตนี้ข้าไม่ต้องเดียวดายอีกต่อไปแล้ว


 


 


“อ้อจริงสิ ข้ายังบอกว่าจะส่งหญิงงามไปให้เสด็จพ่อและน้องชายของท่านด้วย” เสิ่นเวยกล่าวเสริม


 


 


คางของสวีโย่วถูกไถอยู่บนศีรษะของเสิ่นเวย “อืม ความคิดนี้ไม่เลว เจ้าพักอยู่ในจวนเถอะ เรื่องนี้ข้าจัดการเอง ข้าเป็นบุตรคนโตและพี่ชายคนโต ต้องดูแลพวกเขาให้มากหน่อย”


 


 


ไอหยา คุณชายใหญ่เฉียบแหลมจริงๆ! เสิ่นเวยอารมณ์ดีแล้ว!


 


 


หลังเสิ่นเวยไป จิ้นอ๋องก็บันดาลโทสะใส่พระชายาจิ้นอ๋อง พระชายาจิ้นอ๋องปาดน้ำตาร้องทุกข์ “ข้าทำเพื่อใคร ไม่ใช่ทำเพื่อคุณชายใหญ่หรอกหรือ ข้างกายเขามีเสิ่นซื่อเพียงคนเดียว ทั้งยังมีนิสัยแบบนั้น ไหนเลยจะดูแลคุณชายใหญ่ให้ดีได้ อี๋ฮุ่ยกับอี๋จยาต่างก็เป็นหลานที่ข้าเห็นมาตั้งแต่เล็กจนโต นิสัยอ่อนโยน สุขุมหนักแน่น หากไม่ใช่คุณชายใหญ่ ข้าก็คงจะตัดใจให้ไม่ได้หรอก”


 


 


จิ้นอ๋องฟังนางร้องไห้จนรำคาญ “พอแล้ว พอแล้ว พวกเขาไม่ชอบเจ้าก็ยุ่งให้น้อยหน่อย ตามใจพวกเขาเถอะ เจ้าทุกข์ใจเรื่องการสมรสของฉั่งเอ๋อร์กับลูกในท้องของภรรยาเหยียนเอ๋อร์ให้มากจะดีกว่า” วันทั้งวันมีแต่เรื่องจุกๆ จิกๆ เหล่านี้ น่ารำคาญจะตายชัก!


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องยังคิดจะพูดต่อ แต่จิ้นอ๋องเดินมือไพล่หลังออกไปอย่างหงุดหงิดแล้ว พระชายาจิ้นอ๋องเอ่ยปากไม่ทันการ สีหน้าก็แย่อย่างยิ่ง


 


 


สำหรับซ่งอี๋จยาย่อมไม่อาจอยู่ใจห้องหนังสือของจิ้นอ๋องต่อได้ ถูกพระชายาจิ้นอ๋องพากลับเรือนในแล้ว


 


 


“ท่านอา!” ซ่งอี๋จยาน้ำตานองหน้า ทั้งน้อยใจทั้งอัดอั้น


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องนึกถึงภาพที่นางล้มลงในอ้อมอกของจิ้นอ๋อง ชั่วขณะหัวใจก็ร้อนรนทันที แม้รู้ว่าจะโทษหลานสาวไม่ได้ แต่ในใจกลับไม่อาจยอม “พอแล้ว กลับไปค่อยว่ากัน”


 


 


ซ่งอี๋จยาใจเต้นรัว ในดวงตามีความกลัวแวบผ่าน ไม่ นางไม่อยากตาย ไม่อยากเดียวดายไปตลอดชีวิต ไม่อยากแม้แต่นิดเดียว!


 


 


จะจัดการหลานสาวคนนี้อย่างไร พระชายาจิ้นอ๋องก็ปวดหัวอย่างถึงที่สุด อย่างไรเสียเรื่องในวันนี้ก็วุ่นวายจนบ่าวจำนวนมากในจวนเห็นหมดแล้ว นางออกคำสั่งปิดปากได้ แต่คนในเหตุการณ์ไม่ได้มีเพียงบ่าวของจวนอ๋อง ยังมีเสิ่นซื่อนายบ่าวอยู่ด้วย หากรั่วไหลออกไปแม้แต่นิดเดียว จวนอ๋องกับตระกูลซ่งก็คงไม่เหลือศักดิ์ศรีแล้ว


 


 


ไม่รอให้พระชายาจิ้นอ๋องคิดแผนการ ก็เกิดเรื่องแล้ว


 


 


เช้าวันรุ่งขึ้น สะใภ้สามหูซื่อเจ็บครรภ์อีกแล้ว ตอนที่พระชายาจิ้นอ๋องมาถึง หูซื่อก็ร้องโอดโอยไปพลาง ร้องไห้ขอให้นางตัดสินไปพลาง ลูกสามสวีเหยียนหน้าดำคร่ำเครียดยืนอยู่ข้างๆ ทว่าบนพื้นข้างเท้ากลับมีอี๋จยาหลานสาวของนางคุกเข่าอยู่


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องตกใจใหญ่ “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ อี๋จยายาโถ่วอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” หัวใจของนางมีลางสังหรณ์ไม่ดีกลุ่มหนึ่งปรากฎขึ้นมา


 


 


ซ่งอี๋จยาโผเข้าไปกอดขาของนางทันที เงยหน้าข้อร้อง “ท่านอา ท่านต้องตัดสินให้หลาน เมื่อคืน เมื่อคืนญาติผู้พี่สามจะครอบครองร่างกายของหลาน”


 


 


ตอนนี้ซ่งอี๋จยายอมสู้สุดชีวิตแล้ว นางรู้ดีว่าตนไม่อาจเป็นอนุภรรยาของอาเขยได้แล้ว เพื่อรักษาหน้าของจวนทั้งสองเกรงว่าท่านอาจะเอาชีวิตของนางแล้วจริงๆ แม้นางจะไม่รู้ว่าตนอยู่บนเตียงญาติผู้พี่สามได้อย่างไร แต่ตอนนี้ลูกพี่สามก็เป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวของนาง นางจะต้องคว้าไว้ให้ได้ จะต้องทำให้ได้


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องตกใจอีกครั้ง ส่วนหูซื่อฝั่งนั้นก็ร้องโอดโอยก่นด่าแล้ว “เจ้ามันหญิงชั่วหน้าไม่อาย นังจิ้งจอกที่เอาแต่ยั่วยวนคน คิดจะเข้าประตูจวนจิ้นอ๋อง ฝันไปเถอะ โอ๊ย โอ๊ย เสด็จแม่ ท่านต้องตัดสินให้ลูกนะเพคะ!”


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องทั้งเป็นห่วงลูกในท้องของหูซื่อ ทั้งโมโหเรื่องที่หลานสาวทำ ได้ยินหูซื่อยิ่งพูดก็ยิ่งเหลวไหล ตะโกนกล่าวทันที “เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้ หากเด็กเป็นอะไรไป ข้าจะให้เจ้ารับผิดชอบ”


 


 


หูซื่อกำแหงเช่นนี้ได้ล้วนแต่อาศัยก้อนเนื้อนั้นในท้อง ถูกพระชายาจิ้นอ๋องดุด่าเช่นนี้ ก็ไม่กล้าโวยวายอีก เพียงแค่สะอึกสะอื้นไห้ร้องโอดโอย


 


 


“เหยียนเอ๋อร์ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” ไม่ว่าอย่างไรพระชายาจิ้นอ๋องก็คิดไม่ออกว่าหลานสาวขึ้นมาบนเตียงลูกสามได้อย่างไร เรือนที่หลานสาวพักอยู่ไกลจากที่นี่มาก หลานสาวเข้ามาในเรือนของลูกสามทั้งยังขึ้นมาบนเตียงลูกสามได้อย่างไร


 


 


สีหน้าของเหยียนเอ๋อร์ไม่ดีเลยแม้แต่นิดเดียว “เสด็จแม่ ลูกก็ไม่รู้เช่นกัน เมื่อคืนลูกดื่มสุราเล็กน้อย ตื่นเช้ามาก็พบว่าญาติผู้น้องอยู่บนเตียงลูกแล้ว”


 


 


เมื่อคืนเขานอนหลับด้วยความสะลึมสะลือ รู้สึกว่ามีร่างกายนุ่มๆ ซุกเข้ามาในอ้อมอกเขา เขาคิดว่าเป็นสาวใช้อนุภรรยา ไหนเลยจะคิดว่าเป็นญาติผู้น้องอี๋จยา


 


 


“อี๋จยาเจ้าบอกมา เจ้าเข้ามาในเรือนของญาติผู้พี่สามเจ้าได้อย่างไร” พระชายาจิ้นอ๋องมองหลานสาวที่คุกเข่าอยู่บนพื้นอีกครั้ง” บนใบหน้าเต็มไปด้วยความดุร้าย


 


 


ซ่งอี๋จยายังไม่ทันเอ่ยปาก ก็ได้ยินหูซื่อตะโกนลั่นแล้ว “จะเข้ามาได้อย่างไรเล่า ย่อมต้องติดสินบนคนใช้จึงจะเข้ามาได้ คนหน้าด้าน เจ้ารอข้าก่อน”


 


 


“เจ้าเองก็พูดให้น้อยหน่อย” พระชายาจิ้นอ๋องมองหูซื่อบนเตียงด้วยความไม่พอใจ จากนั้นก็ละสายตากลับมา “อี๋จยาเจ้าว่ามา”


 


 


ซ่งอี๋จยาที่คุกเข่าอยู่ตัวสั่นระริกทันที น้ำตาไหลส่ายหน้า “ท่านอา หลานเองก็ไม่รู้เหมือนกัน! เมื่อคืนหลานจำได้แม่นว่าตัวเองอยู่ที่เรือนชิงอู๋ ไหนเลยจะรู้ว่าตื่นมากลับอยู่บนเตียงของญาติผู้พี่สาม”


 


 


“เจ้าโกหก” เสียงที่แหลมเปรียวของหูซื่อดังขึ้นมาก่อน “กล้าทำก็ต้องกล้ารับ โกหกเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ไม่รู้งั้นหรือ หรือว่าผีหลอกงั้นหรือ”


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องเองก็ไม่เชื่อ “อี๋จยาเจ้าพูดมาตามตรงๆ เจ้าเข้ามาในเรือนได้อย่างไร “ใครเปิดประตูเรือนให้เจ้า”


 


 


ซ่งอี๋จยาร้องไห้ไม่หยุด ส่ายหน้าถี่ๆ “ท่านอา หลานไม่ได้โกหกจริงๆ เจ้าค่ะ หลานตื่นมาก็พบว่าอยู่ที่นี่แล้วจริงๆ หากหลานโกหกของให้หลานถูกฟ้าฝ่าไม่ตายดี” นางสาบานอย่างมั่นใจ ในใจน้อยใจอย่างถึงที่สุด ที่นางพูดเป็นความจริง เหตุใดถึงไม่มีใครเชื่อนางเล่า


 


 


“เสด็จแม่ ลูกคิดว่าญาติผู้น้องอี๋จยาน่าจะพูดความจริง ก่อนหน้านี้ลูกไต่สวนบ่าวรับใช้แล้ว ประตูเรือนนั่นไม่ได้เปิดออก” สวีเหยียนกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


 


 


“คาดไม่ถึงว่านายท่านจะปกป้องนังจิ้งจอกผู้นี้ ข้าจะยังมีชีวิตอยู่ไปทำไม ข้าไม่อยู่แล้ว ให้ข้าตายเถอะ” เมื่อหูซื่อได้ยินคำพูดของสวีเหยียนก็ไม่ยอมทันที กุมท้องร้องตะโกนอยากตาย เสียงแหลมจนทำให้มือของหมอหลวงที่ช่วยนางดูแลครรภ์อยู่สั่นระริก


 


 


ใบหน้าของพระชายาจิ้นอ๋องโมโหเป็นอย่างยิ่ง “หูซื่อ หูซื่อเจ้ารีบสงบอารมณ์เดี๋ยวนี้ได้ยินหรือไม่ เด็ก เด็กสำคัญที่สุด” นางมองเหงื่อท่วมศีรษะของหมอหลวง อยากจะฉีกหูซื่อยิ่งนัก หญิงล้างผลาญครอบครัวสมควรตายผู้นี้ ไม่หัดดูตาม้าตาเรือเสียบ้าง เอาแต่หึงหวง ยั่วโมโหนางแทบตายจริงๆ!


 


 


สวีเหยียนเองก็ตื่นตระหนกทั้งใบหน้า “หมอหลวง ครรภ์ไม่เป็นไรใช่หรือไม่” นี่เป็นลูกภรรยาเอกคนแรกของเขา เขาย่อมต้องใส่ใจ


 


 


หมอหลวงตอบกลับหนึ่งประโยคด้วยความลำบากใจ “คุณชายสาม ฮูหยินสามอารมณ์รุนแรงเกินไป ไม่สะดวกต่อการรักษา” ต่อให้เขามีความสามารถดังเทพก็ช่วยฮูหยินสามที่ทำเช่นนี้ไม่ได้!


 


 


เมื่อสวีเหยียนได้ยิน ใบหน้าก็ดำคร่ำเครียดจนแทบบีบน้ำออกมาได้ ทั้งกังวลทั้งโมโห “หูซื่อ หากเจ้าลองดีอีก หากลูกเป็นอะไรไปอย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าเจ้า”


 


 


ฝั่งสวีเหยียนยังไม่ทันสงบ ในเรือนของท่านซื่อจื่อสวีเยี่ยก็เกิดเรื่องแล้วเช่นกัน สาวใช้ใหญ่ที่เข้ามาเชิญคนกล่าว “เชิญพระชายาไปตัดสินความยุติธรรมให้ฮูหยินของพวกเราด้วยเพคะ เมื่อคืนคุณหนูอี๋ฮุ่ยขึ้นมาบนเตียงของท่านซื่อจื่อ”


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องได้ยินดังนั้นร่างก็โซเซ แทบจะล้มลงไปกับพื้น เวรกรรม นี่มันเรื่องอะไรกันแน่!


 


 


เช้าตรู่วันเดียวกัน เกิดเหตุการณ์หลานสาวสองคนของพระชายาจิ้นอ๋องปีนขึ้นเตียงลูกสองคนของนาง ซ้ำหลานทั้งสองยังยืนกรานว่าก่อนนอนพวกนางยังอยู่ในเรือนตัวเอง ทว่าตื่นขึ้นมากลับพบว่าอยู่บนเตียงของญาติผู้พี่ ร้องขอความเป็นธรรมให้นางตัดสิน นางสืบอยู่ครึ่งวันก็สืบหาเงื่อนงำใดๆ ไม่พบ


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องนึกถึงความกำเริบเสิบสานของเสิ่นซื่อเมื่อกลางวันเมื่อวาน ยังมีอะไรที่ไม่เข้าใจอีก ในใจก็เกลียดแค้น แต่กลับอับจนปัญญา ทำได้เพียงกัดฟันกรอดกลืนเลือดลงไปในท้อง


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องคิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่านี่เพิ่งจะเริ่มต้น ฝีมือของสวีโย่วเพิ่งจะแสดงออกมา นี่เป็นเพียงอาหารเรียกน้ำย่อย อาหารจานหลังยังมาไม่ถึง

 

 

 


ตอนที่ 256-1 สวีโย่วหลงภรรยา

 

เสิ่นเวยคิดว่าสวีโย่วหลอกให้นางดีใจ ไม่คิดว่าเขาจะยื่นสาส์นกราบทูลฉบับนั้นจริงๆ ร้องขอฝ่าบาทให้เปลี่ยนจวนจวิ้นอ๋องเป็นจวนจวิ้นจู่


 


 


เมื่อสาส์นฉบับนี้เปิดเผยสู่สาธารณะชน ทั่วทั้งราชสำนักก็สั่นสะเทือน ผิงจวิ้นอ๋องผู้นี้หลงภรรยาเกินไปแล้วหรือไม่ นี่ไม่ได้หมายความห้ามหลงภรรยา แต่เจ้าหลงก็หลง รักก็รัก แต่ไม่อาจไร้เหตุผลไร้ขอบเขตเช่นนี้ได้!


 


 


เปลี่ยนจวนผิงจวิ้นอ๋องเป็นจวนจวิ้นจู่ ยินยอมพร้อมใจเป็นอี๋ปิน ศักดิ์ศรีนี้ยังต้องการอยู่หรือไม่


 


 


ทว่าสวีโย่วผู้เป็นคนต้นเรื่องกลับยืดหลังตรง พยายามร้องขอฝ่าบาทด้วยความมั่นอกมั่นใจ “ทุกท่านต่างก็ทราบดี สุขภาพของกระหม่อมไม่ดีตั้งแต่เล็ก แต่จยาฮุ่ยจวิ้นจู่ก็ไม่ทอดทิ้ง ซ้ำยังช่วยชีวิตกระหม่อมไว้นับครั้งไม่ถ้วน กระหม่อมเกิดมาก็ต้องกินยา ชั่วชีวิตนี้ไม่รู้ว่าจะสามารถมีทายาทได้หรือไม่ และไม่รู้เหมือนกันว่าวันไหนจะมีอันเป็นไป จยาฮุ่ยจวิ้นจู่ดูแลกระหม่อมด้วยความรักและจริงใจ กระหม่อมจึงต้องใช้เวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ตระเตรียมครึ่งชีวิตที่เหลือของนางให้เป็นอย่างดี!”


 


 


หยุดครู่หนึ่ง จึงกล่าวอย่างจริงจัง “หากฝ่าบาทรู้สึกลำบากใจ ไม่สู้ลองเมตตาพระราชทานจวนจวิ้นจู่ให้อีกหลัง แม้จะเป็นเพียงเรือนหลังเล็กหนึ่งเรือน ก็สามารถเลี่ยงไม่ให้จยาฮุ่ยจวิ้นจู่ถูกผู้อื่นรังแกภายหลังจากที่กระหม่อมไม่อยู่แล้ว” พูดจบเขาก็คุกเข่าลงบนท้องพระโรงเสียงดัง


 


 


การกระทำนี้ดึงดูดสายตาของคนทั้งหมด ให้ตายสิ ที่แท้แล้วผิงจวิ้นอ๋องที่หน้าตายเป็นเอกลักษณ์ก็เป็นทาสภรรยาที่ตกหลุมรักหัวปักหัวปำอย่างแท้จริง! แม้แต่ตนอาจจะมีทายาทไม่ได้ก็ยังกล้าพูดออกไปข้างนอก ความรู้สึกของคนทั้งหมดซับซ้อนยิ่งนัก ไม่รู้ว่าจะใช้สายตาแบบใดมองผิงจวิ้นอ๋องดี


 


 


ชั่วขณะ ในสายตาของคนทั้งหมดที่มองใต้เท้าราชครูเสิ่นผิงยวน จงอู่โหวเสิ่นหงเหวินและเสิ่นหงเซวียนกรมพิธีการก็เต็มไปด้วยความอิจฉา ดูสิว่าเขาเลี้ยงหลานสาวเก่งเพียงใด มัดใจผิงจวิ้นอ๋องที่ไร้มลทินได้อย่างเหนียวแน่นจนกลายเป็นนุ่นพันดรรชนี ผิงจวิ้นอ๋องหลงภรรยาเช่นนี้ ความสัมพันธ์ที่มีต่อบ้านภรรยาจะไม่สนิทยิ่งขึ้นได้อย่างไร เลี้ยงบุตรสาวเหมือนกัน แต่เหตุใดจวนจงอู่โหวของคนอื่นถึงได้มีวาสนาดีเพียงนั้นเล่า


 


 


หากจะบอกว่าสายตาที่ทุกคนมองจงอู่โหวสามพ่อลูกอิจฉา สายตาที่มองจวนจิ้นอ๋องก็มีเลศนัย ท่านจิ้นอ๋องไม่ออกว่าราชการ ดังนั้นคนที่รับสายตาของคนทั้งหมดแทนก็คือท่านซื่อจื่อสวีเยี่ยกับคุณชายสามสวีเหยียน สีหน้าคนทั้งสองล้วนไม่ดีอย่างยิ่ง


 


 


ฮ่องเต้ยงเซวียนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ทรงพิโรธแล้ว เขามองสวีโย่วที่คุกเข่าอยู่ข้างล่างด้วยความมั่นอกมั่นใจอยากจะถีบเขากระเด็นเสียจริงๆ ไม่รู้ว่ายังสามารถมีทายาทได้หรือไม่อะไร ไม่รู้เหมือนกันว่าวันไหนจะมีอันเป็นไปอะไร คิดว่าเขาไม่รู้หรือว่าตอนนี้สุขภาพของเขาแข็งแรงราวกับวัว ไม่ใช่ว่าคุณหนูสี่แซ่เสิ่นทะเลาะกับพระชายาจิ้นอ๋องอีกแล้วหรือ เจ้าจึงวิ่งเข้ามาหนุนหลังเช่นนี้ ไม่ดูนิสัยที่ห้าวหาญนั่นของคุณหนูสี่แซ่เสิ่นเสียบ้าง นางไม่รังแกคนอื่นก็ดีเท่าไรแล้ว


 


 


กลัวภรรยา เหตุใดเขาถึงคิดไม่ถึงว่าหลานชายที่เขาสั่งสอนเองกับมือจะเป็นคนกลัวภรรยา ลมหายใจในทรวงอกฮ่องเต้ยงเซวียนอุดตันยิ่งนัก คายไม่ออก กลืนไม่ลง


 


 


“ราชครูคิดเห็นเช่นไร” ฮ่องเต้ยงเซวียนถอนหายใจหนึ่งคราออกมาช้าๆ มองเสิ่นผิงยวนที่หลุบตาไม่พูดปราดหนึ่ง


 


 


เสิ่นผิงยวนกล่าวด้วยความเคารพ “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมไม่มีความคิดเห็น สตรีที่แต่งออกไปก็เหมือนน้ำที่สาดออก ทั้งหมดตามแต่ผิงจวิ้นอ๋องจะมีความสุข”


 


 


อย่าว่าแต่ฮ่องเต้ยงเซวียน แม้แต่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งหมดที่ยืนอยู่ข้างล่างก็ยังถูกคำตอบกลับที่น่าไม่อายนี้ลดขีดจำกัดลงไปอีก ให้ตายสิ ใครไม่รู้บ้างว่าหลานสาวของเจ้ากลับบ้านฝั่งมารดาอยู่บ่อยครั้ง ไม่เพียงแต่กลับไปคนเดียว ผิงจวิ้นอ๋องยังไปเป็นเพื่อน ต่อให้จะไม่ว่างจริงๆ ตกค่ำหลังเลิกงานก็ไปรับด้วยตัวเอง ตอนนี้เจ้าบอกว่าสตรีที่แต่งออกไปก็เหมือนน้ำที่สาดออก เจ้าตัดใจสาดออกไปได้หรือ


 


 


จุๆๆ หนังหน้านี้ ด้วยระดับความหน้าไม่อายนี้ ทำให้พวกเขาละอายใจตัวเองจริงๆ! มิน่าเล่าเขาถึงได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท ไม่ยอมรับไม่ได้!


 


 


จิ้งจอกเฒ่า! ฮ่องเต้ยงเซวียนสำลักเล็กน้อย มองเสิ่นหงเหวินกับเสิ่นหงเซวียนอย่างไม่ตายใจ “จงอู่โหวกับขุนนางเสิ่นคิดเห็นเช่นไร”


 


 


คนทั้งสองรีบเข้าไปขานรับ “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมคิดเช่นเดียวกับบิดา ออกเรือนเชื่อฟังสามี ทั้งหมดเอาตามแต่เจตนาของผิงจวิ้นอ๋อง”


 


 


ให้ตายสิ ใครบอกว่าลูกชายหลายคนของเสิ่นผิงยวนสติปัญญาธรรมดาเล่า นี่ไม่ใช่ว่าเฉียบแหลมรอบคอบอย่างยิ่งหรอกหรือ


 


 


มือที่จับพนักเก้าอี้ของฮ่องเต้ยงเซวียนพลันแน่น เห็นหลานชายของเขาก็ยิ่งรู้สึกอึดอัด ตรัสด่า “รีบไสหัวไป คิดว่าบ้านที่เรามอบให้เป็นของเหลือหรือ เจ้าวางใจ หากถึงวันนั้นเจ้ามีอันเป็นไปจริงๆ ก็ยังมีราชสำนักดูแลจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ ไม่อาจให้ใครมารังแกได้” ประโยคสุดท้ายสวีโย่วแทบจะได้ยินเสียงกัดฟันของเสด็จลุงเขาแล้ว


 


 


สวีโย่วถอยออกไปอย่างคล่องแคล่ว คำนับขอบคุณ “ขอบคุณฝ่าบาทที่กรุณา เช่นนี้กระหม่อมก็วางใจแล้ว” ท่าทางไร้กังวลทั้งใบหน้า ฮ่องเต้ยงเซวียนเห็นแล้วก็ยิ่งว้าวุ่นใจ


 


 


หลังว่าราชการเสร็จ เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ก็ทยอยกันเดินออกไปข้างนอก เนื่องด้วยหน้าตาของสวีโย่ว จึงไม่มีใครไม่ดูตาม้าตาเรือเข้าไปพูดอะไรกับเขา ท่านเสนาบดีฉินที่เดินอยู่ข้างหลังประสานมือคารวะเสิ่นผิงยวน หัวเราะเหอเหอกล่าว “ยินดีกับราชครูที่เลี้ยงหลานสาวดี!”


 


 


เสิ่นผิงยวนก็หัวเราะท่าทางเหมือนสุนัขจิ้งจอก “ไยท่านเสนาบดีจะต้องดูถูกตัวเองเกินไปด้วยเล่า คุณหนูในจวนท่านก็ไม่ได้ด้อย!”


 


 


ท่านเสนาบดีฉินหัวเราะร่าฮ่าๆ “ดีพอกัน ดีพอกัน”


 


 


เสิ่นผิงยวนเองก็หัวเราะร่าฮ่าๆ ในดวงตามีประกายแวบผ่าน


 


 


ภาพๆ นี้ตกอยู่ในสายตาของผู้อื่น ในใจอิจฉาอย่างถึงที่สุด ความสัมพันธ์ของท่านเสนาบดีกับราชครูดีจริงๆ!


 


 


สาส์นกราบทูลในพระตำหนักจินหลวนของสวีโย่วถูกประกาศทั่วเมืองหลวงในชั่วพริบตา ไม่ว่าเหล่าขุนนางจะแอบวิจารณ์ว่าสวีโย่วว่ากลัวภรรยาหลงภรรยาอย่างไร เหล่าฮูหยินคุณหนูแต่ละจวนต่างก็อิจฉาวาสนาของเสิ่นเวยอย่างถึงที่สุด หากรู้ก่อนหน้านี้ว่าผิงจวิ้นอ๋องรักภรรยาเช่นนี้ ต่อให้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเขาสุขภาพไม่ดี ก็ต้องชิงลงมือก่อน! ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจให้เด็กผู้หญิงที่เติบโตในชนบทฉกฉวยไปได้


 


 


สวี่ซื่อป้าสะใภ้ใหญ่บ้านฝั่งมารดาของเสิ่นเวยทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ข้าบอกแล้วว่าเวยเอ๋อร์มีวาสนา ดูสิ ข้าพูดถูกแล้วมิใช่หรือ อมิตาพุทธ ผิงจวิ้นอ๋องปฏิบัติเช่นนี้ต่อเวยเอ๋อร์ได้ ในที่สุดหัวใจของข้าก็วางลงได้แล้ว” เวยเอ๋อร์สามารถยืนหยัดมั่นคงได้เป็นผลประโยชน์ต่อจวนจงอู่โหวมากเพียงใด เพราะผิงจวิ้นอ๋องสนิทชิดเชื้อกับบ้านพ่อตา แม้แต่ในกรมกลาโหมท่านโหวก็ถูกคนให้ความสำคัญสามส่วน ตอนนี้เสนาบดีกรมกลาโหมปฏิบัติต่อท่านโหวด้วยความสุภาพยิ่งนัก


 


 


โหลวซื่อพี่สะใภ้ใหญ่ของสวี่ซื่อเองก็ยิ้มแย้มทั้งใบหน้าเช่นกัน “นี่เองก็เป็นเพราะเวยเอ๋อร์ฉลาดมีคุณธรรม” เวยเอ๋อร์มีบุญคุณใหญ่หลวงกับบุตรสาวนาง นางย่อมหวังดีต่อเวยเอ๋อร์


 


 


แม้ในใจจ้าวซื่อจะอิจฉาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่คนที่ตาไม่มีแวว “เวยเอ๋อร์ของพวกเราหน้าตาดี นิสัยดี ซ้ำยังมีสินเดิมมหาศาล ผิงจวิ้นอ๋องจะไม่รักไม่หลงได้อย่างไร” นางนึกถึงบุตรสาวของตน กลุ้มใจยิ่งนัก! นางไม่กล้าฝันว่าเซวียนเอ๋อร์จะแต่งงานได้อย่างผิงจวิ้นอ๋อง ดีได้ครึ่งหนึ่งนางก็พอใจแล้ว


 


 


“ใช่ๆๆ พูดให้ดีก็คือเวยเอ๋อร์ของพวกเราดีเยี่ยม ดีได้ด้วยตัวเอง” โหลวซื่อกล่าวคล้อยตาม


 


 


สวี่ซื่อเองก็พยักหน้า ฝีมือของเวยเอ๋อร์ชัดเจนที่สุด สามารถทำให้ผิงจวิ้นอ๋องเชื่อฟังและโปรดปรานเช่นนี้ได้ นางไม่แปลกใจเลยจริงๆ


 


 


“น้องสาว คู่หมั้นของเสิ่นเชียนเจ้าเลือกได้แล้วหรือยัง” โหลวซื่อเปลี่ยนเรื่อง ถามถึงคู่หมั้นของเสิ่นเชียนขึ้นมา


 


 


เมื่อเอ่ยถึงการหมั้นหมายของลูกชาย รอยยิ้มบนใบหน้าสวี่ซื่อก็ยิ่งกว้าง “เลือกได้แล้ว เลือกได้แล้ว เป็นบุตรสาวคนโตของตระกูลใต้เท้าฉังหัวหน้าราชวิทยาลัยกั๋วจื่อ ปีนี้อายุสิบหกปีแล้ว เด็กกว่าเชียนเอ๋อร์สามปี เหมาะสมพอดี”


 


 


“ยิ่งไปกว่านั้นอีก คุณหนูตระกูลฉังผู้นั้นยังหน้าตาดี อีกทั้งตั้งแต่เล็กก็อ่านกลอน รู้กฎระเบียบทำนองคลองธรรมที่สุด นางเป็นบุตรสาวคนโตในตระกูล แม่นางร่างกายไม่ค่อยดีนัก งานในจวนของพวกนางล้วนแต่เป็นนางที่ดูแล ตั้งแต่อายุแปดเก้าปีก็จัดการได้แล้ว พี่สะใภ้ใหญ่ได้ลูกสะใภ้ที่มีความสามารถยิ่งนัก” จ้าวซื่อกล่าวเสริมด้วยสีหน้าอิจฉา


 


 


บนใบหน้าของโหลวซื่อเองก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ “จริงหรือ เช่นนั้นก็ดีจริงๆ คุณหนูใหญ่แซ่ฉังมีความสามารถเช่นนี้ หลังจากนี้น้องก็รอใช้ชีวิตอันสุขสบายได้เลย ท่านแม่ของเราเป็นทุกข์เรื่องการหมั้นหมายของเชียนเอ๋อร์ทั้งวัน กลับไปได้ยินข่าวดีนี้ จะต้องดีใจมากแน่นอน”


 


 


สวี่ซื่อพยักหน้า “อ่านบทกลอนหรือไม่ หน้าตาโดดเด่นหรือไม่ นี่เป็นสิ่งรองลงมา เรื่องที่ข้าให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือความสามารถของคุณหนูฉัง แม้จวนของพวกเราจะไม่ได้มีทายาทบางตาเหมือนจวนแม่ทัพใหญ่หร่วน แต่อันที่จริงสถานการณ์ที่เผชิญหน้าก็เหมือนกัน เหิงเอ๋อร์ต้องการภรรยาที่มีสามารถมาดูแลเรือนหลัง เชียนเอ๋อร์ของพวกเราเองก็เหมือนกัน เขาอยู่ไกลถึงซีเจียง ก็ต้องการภรรยาที่มีความสามารถมาจัดการงานในเรือนหลังด้วยมิใช่หรือ”


 


 


หยุดครู่หนึ่งจึงกล่าวต่อ “อันที่จริงเรื่องนี้ยังคงเป็นนายท่านผู้เฒ่าโหวที่เตือนข้า ก่อนหน้านี้ข้าคิดเพียงแต่ว่าจะหาภรรยาที่นิสัยอ่อนโยนให้เชียนเอ๋อร์ มีชีวิตที่เข้ากันกับเขาปรนนิบัติเขาได้ดีก็เพียงพอแล้ว ยังคงเป็นนายท่านผู้เฒ่าโหวที่บอกว่า วิถีชีวิตของคนในซีเจียงห้าวหาญ นิสัยอ่อนโยนไปที่นั่นแล้วจะปรับตัวไม่ได้ แม้แต่ตัวเองยังดูแลไม่ได้ จะดูแลเชียนเอ๋อร์ได้อย่างไร อีกทั้งไปถึงซีเจียงแล้วไม่เพียงแต่ต้องปรนนิบัติเชียนเอ๋อร์ แต่ยังต้องผูกมิตรกับครอบครัวฝ่ายหญิง ไม่หาสตรีที่มีนิสัยแข็งแกร่งมีความสามารถก็จะจัดการสถานการณ์ไม่อยู่ คุณหนูตระกูลฉังผู้นี้นายท่านผู้เฒ่าเองก็เคยเอ่ยถึง ข้าดูแล้ว โห ดีจริงๆ ด้วย นี่ไม่ใช่ว่าต้องรีบหมั้นหมายให้เชียนเอ๋อร์หรอกหรือ หาช้าไปจะถูกคนแย่งตัวไปได้”


 


 


สำหรับว่าที่ลูกสะใภ้ที่นายท่านผู้เฒ่าโหวเลือก สวี่ซื่อไม่มีความคิดเห็นแม้แต่นิดเดียว อย่างไรเสียสายตาของนายท่านผู้เฒ่าโหวแม้แต่พ่อนางยังเลื่อมใส อีกทั้งคุณหนูฉังผู้นี้ก็โดดเด่นจริงๆ ดีกว่าคนที่นางเคยดูก่อนหน้านี้หลายส่วน


 


 


“นายท่านผู้เฒ่าโหวใส่ใจหลานชายจริงๆ” โหลวซื่ออิจฉายิ่งนัก นายท่านผู้เฒ่าโหวเป็นราชครูของรัชทายาท สายตาของเขาใช่คนทั่วไปสามารถเทียบได้หรือ ภรรยาดีรุ่งโรจน์ไปสามชั่วโคตร เชียนเอ๋อร์มีวาสนาจริงๆ


 


 


คราวนี้จ้าวซื่ออิจฉาแล้วจริงๆ กล่าวด้วยความริษยา “ลูกหลานเต็มจวน คนที่นายท่านผู้เฒ่าโหวรักที่สุดก็คือเวยเอ๋อร์ อีกคนหนึ่งก็คือเชียนเอ๋อร์” เทียบกันแล้ว ซงเอ๋อร์ไป่เอ๋อร์และเซวียนเอ๋อร์ของนางห่างชั้นอยู่มาก

 

 

 


ตอนที่ 256-2 สวีโย่วหลงภรรยา

 

สวี่ซื่อปรายตามองนางปราดหนึ่ง กล่าว “ดูน้องสะใภ้พูดเข้า นายท่านผู้เฒ่าโหวไหนเลยจไม่รักซงเอ๋อร์ไป่เอ๋อร์ นายท่านผู้เฒ่าโหวไม่ใช่ไหว้วานคนให้เขียนจดหมายแนะนำส่งซงเอ๋อร์ไปที่วิทยาลัยชิงซานหรอกหรือ ไป่เอ๋อร์ก็มีพรสวรรค์ด้านภาพวาดอักษร เดือนก่อนนายท่านผู้เฒ่าโหวก็ยังใช้เงินจำนวนมากเชิญปรมาจารย์ด้านภาพวาดอักษรมามิใช่หรือ อย่าร้อนใจไป รอให้จัดการเรื่องของเชียนเอ๋อร์เสร็จก็ถึงตาซงเอ๋อร์ไป่เอ๋อร์แล้วมิใช่หรือ เป็นหลายชายเหมือนกัน นายท่านผู้เฒ่าโหวก็ต้องห่วงใยเหมือนกัน”


 


 


น้องสะใภ้รองผู้นี้ก็จริงๆ เลย นายท่านผู้เฒ่าโหวปฏิบัติต่อเชียนเอ๋อร์ดีกว่าเล็กน้อยก็เป็นเรื่องสมควรมิใช่หรือ เชียนเอ๋อร์เป็นหลานชายคนโตในจวน ซงเอ๋อร์กับไป่เอ๋อร์เป็นเพียงบุตรอนุภรรยาบุตรภรรยาเอกก็เท่านั้น จะเหมือนกันได้หรือไร แม้แต่เจวี๋ยเอ๋อร์บ้านสามก็ยังมีฐานะสูงกว่าพวกเขาเล็กน้อย สำหรับเวยเอ๋อร์ แม้แต่เชียนเอ๋อร์ของนางยังเทียบไม่ได้ นางจ้าวซื่อยังคิดจะเทียบเคียง ช่างไม่รู้อะไรจริงๆ นายท่านผู้เฒ่าโหววางแผนเพื่อพวกเขามากแล้ว นึกไม่ถึงว่ายังไม่พอ ใจคนโลภไม่สิ้นสุดดั่งงูจะกลืนช้างจริงๆ! นี่ทำให้สวี่ซื่อไม่พอใจอย่างมาก


 


 


จ้าวซื่อถูกพี่สะใภ้ใหญ่พูดใส่หน้าโครมๆ สีหน้าก็เจื่อนอย่างอดไม่ได้ “ใช่แล้ว นายท่านผู้เฒ่าโหวเป็นผู้มีเมตตาอย่างหาได้ยาก ปฏิบัติต่อลูกหลานดียิ่งนัก” ทว่าในใจกลับวิจารณ์ ก็แค่ส่งจดหมายแนะนำเชิญอาจารย์มิใช่หรือไร ยังอยู่ห่างเชียนเอ๋อร์กับเวยเอ๋อร์อีกไกล


 


 


มีคนดีใจและมีคนโกรธา


 


 


บุตรสาวคนอื่นๆ เพียงแค่อิจฉา บ้างก็ริษยาความโชคดีของเสิ่นเวยก็เท่านั้น ส่วนเสิ่นเสวี่ยกลับโมโหอย่างประจักษ์แจ้ง มิหนำซ้ำจ้าวเฟยเฟยยังกล่าวกับนางด้วยความใส่ซื่อไร้เดียงสา “พี่สะใภ้ จยาฮุ่ยจวิ้นจู่ทำให้คนอิจฉาจริงๆ! ท่านเป็นพี่น้องกับนาง มีโอกาสก็แนะนำข้าบ้างได้หรือไม่”


 


 


ชั่วขณะเสิ่นเสวี่ยก็โมโหเดือดดาล รู้อยู่แกใจว่านางแย่งคู่หมั้นของเสิ่นเวยแต่งเข้าจวนหย่งหนิงโหว ความสัมพันธ์ของพวกนางพี่น้องจะดีได้อย่างไร ยังจะให้นางแนะนำอีก นี่ไม่ใช่เป็นการตบหน้านางหรอกหรือ


 


 


“แม้จะบอกว่าเป็นพี่น้อง แต่ต่างคนต่างก็แต่งงานแล้ว ธรณีประตูจวนผิงจวิ้นอ๋องสูง ข้าเกรงว่าจะไม่มีความสามารถแนะนำให้ญาติผู้น้องได้” เสิ่นเสวี่ยตอบปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา


 


 


จ้าวเฟยเฟยผิดหวังทั้งใบหน้า “มิใช่พูดกันหรือว่าผิงจวิ้นอ๋องมักจะกลับบ้านฝั่งมารดาเป็นเพื่อนจยาฮุ่ยจวิ้นจู่บ่อยครั้ง ถึงตอนนั้นพี่สะใภ้ก็กลับไป พาข้าไปด้วยก็ได้แล้วมิใช่หรือ” นางยังคงกล่าวอย่างไม่ตายใจ


 


 


อวี้ซื่อฮูหยินหย่งหนิงโหวเองก็ใจเต้น นางมองหลานสาวตาที่น่ารักน่าเอ็นดู รู้สึกว่านี่เป็นความคิดที่ดีจริงๆ นั่นเป็นถึงผิงจวิ้นอ๋อง ลูกชายของท่านจิ้นอ๋อง หลานชายของฝ่าบาท ซ้ำยังดูแลกองปัญจทิศรักษานคร หากเฟยเฟยเข้าตาของเขา ความร่ำรวยมีเกียรติก็อยู่ไม่ไกลแล้ว แม้จะไม่เข้าตาผิงจวิ้นอ๋อง แต่สามารถผูกมิตรกับจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ได้ นี่เองก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน! มีจยาฮุ่ยจวิ้นจู่พาเฟยเฟยออกไปคบค้าสมาคม ฮูหยินเหล่านั้นก็ต้องให้ความสำคัญสักหน่อยมิใช่หรือ


 


 


นึกถึงตรงนี้อวี้ซื่อก็กล่าว “เฟยเฟยพูดถูก แม้จะบอกว่าต่างคนต่างแต่งงานแล้ว แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องยังคงต้องเดินต่อไป ช่วยเหลือซึ่งกันและกันจึงจะถูกต้อง เอาเช่นนี้แล้วกัน จยาฮุ่ยจวิ้นจู่กลับจวนจงอู่โหวเมื่อไร เสิ่นซื่อเจ้าก็พาเฟยเฟยกลับไปด้วย”


 


 


เสิ่นเสวี่ยมองจ้าวเฟยเฟยอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ญาติผู้น้องคิดจะผูกมิตรกับพี่สาวของข้า หรือว่าผิงจวิ้นอ๋องกันแน่” จากนั้นจึงละสายตามองอวี้ซื่อ “จะเข้าหาผู้มีอำนาจ ลูกยังไม่มีความสามารถนั้นจริงๆ ยังต้องขอให้ท่านแม่ไปหาผู้ปราดเปรื่องคนอื่นแทน” จับมือของสาวใช้บิดเอวกลับเรือนไปแล้ว


 


 


ทำอวี้ซื่อโมโหเดือดดาล เฮ้อ ไม่ต้องเอ่ยถึงแล้ว


 


 


จ้าวเฟยเฟยเข้าไปเกลี้ยกล่อมท่านน้านางอย่างว่าง่าย “ท่านน้าอย่าได้โมโห เฟยเฟยผิดเอง หากไม่ใช่เฟยเฟยอยากผูกมิตรกับจวิ้นจู่ พี่สะใภ้คงจะไม่โกรธ”


 


 


อวี้ซื่อกล่าวด้วยความโมโห “ไม่เกี่ยวกับเจ้า พี่สะใภ้เจ้าก็ไม่ใช่สตรีมีคุณธรรมอยู่แล้ว เหอะ ก็แค่อาศัยอำนาจบ้านฝั่งมารดา หากรู้ว่านางมีนิสัยเช่นนี้ คงไม่สู้…” ดวงตาของนางกะพริบวาบ ไม่ได้พูดต่อ หากจะบอกว่าเสียดายนางก็เสียดายตั้งนานแล้ว ใครจะรู้ว่าเด็กผู้หญิงที่เติบโตในชนบทผู้นั้นจะเปลี่ยนไปมากเพียงนี้


 


 


จ้าวเฟยเฟยเองก็ดวงตากะพริบวาบ กล่าวด้วยสีหน้าลังเล “ท่านน้า หากตอนนั้นญาติผู้พี่แต่งงานกับจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ผู้นั้นก็คงดี ฟังว่านายท่านผู้เฒ่าโหวในจวนนั้นรักนางที่สุด มิเช่นนั้นจะให้นางนำสินเดิมมากมายเพียงนั้นไปด้วยได้อย่างไร หากสินเดิมมากมายเพียงนี้เข้ามาในจวนพวกเราก็คงจะดียิ่งนัก! ภายหลังอนาคตของญาติผู้พี่ก็ไม่ต้องทุกข์ใจแล้ว” เรื่องในจวนหย่งหนิงโหวจ้าวเฟยเฟยสืบถามมาอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว รวมถึงรู้ว่าคู่หมั้นเดิมของญาติผู้พี่นางคือจยาฮุ่ยจวิ้นจู่


 


 


“ใครว่าไม่ใช่เล่า ยังคงเป็นจวนหย่งหนิงโหวของพวกเราที่ขาดวาสนาเล็กน้อย” อวี้ซื่อตบขาอ่อนด้วยสีหน้าเสียดาย จวนหย่งหนิงโหวขาดวาสนาอะไร ชัดเจนว่าเป็นฝีมือนางมิใช่หรือ เป็นนางที่รังเกียจเสิ่นเวยไม่คู่ควรกับลูกชายของนาง กระโดดโลดเต้นขัดขวางการหมั้นหมาย ดังนั้นก็สมน้ำหน้าแล้วที่นางได้ลูกสะใภ้เช่นเสิ่นเสวี่ยมาแทน


 


 


คิดถึงสินเดิมที่ยาวสิบลี้นั่นของเสิ่นเวย จิตใจของอวี้ซื่อก็เจ็บปวกอย่างถึงที่สุด เนื้อที่มาถึงปากวิ่งหนีไปเช่นนี้ ทุกครั้งที่นึกถึงนางก็เจ็บใจจนนอนไม่หลับ


 


 


จ้าวเฟยเฟยย่อมมองเห็นความเสียดายบนใบหน้าของท่านน้านางแล้ว อดหัวเราะเยาะในใจไม่ได้ นางไม่หวังให้จยาฮุ่ยจวิ้นจู่แต่งงานกับญาติผู้พี่อยู่แล้ว ท่านน้าไม่รู้ แต่นางรู้ดีว่าญาติผู้พี่ชอบจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ผู้นั้นมากเพียงใด ในตู้ลับห้องหนังสือของญาติผู้พี่ซ่อนภาพไว้หนึ่งภาพ คนในภาพวาดก็คือจยาฮุ่ยจวิ้นจู่


 


 


ยังคงเป็นพี่สะใภ้ผู้นี้ที่ดีกว่า นางยิ่งกำแหงยิ่งใช้อำนาจบาตรใหญ่ โอกาสของตนก็จะยิ่งสูงมิใช่หรือ หากเป็นจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ บุคคลที่สามารถกุมใจได้แม้กระทั่งผิงจวิ้นอ๋องจะเป็นคนไร้ฝีมือได้อย่างไร อีกทั้งญาติผู้พี่เดิมก็ชอบนางอยู่แล้ว เช่นนั้นตนจะยังทำอะไรได้อีก


 


 


เมื่อจ้าวเฟยเฟยคิดเช่นนี้ คิ้วก็พลันขมวดมุ่น วางแผนในใจ กล่าวกับอวี้ซื่อ “ท่านน้า ญาติผู้น้องแต่งงานเข้ามาได้ครึ่งปีกว่าแล้ว ยังไม่มีข่าวเลย ญาติผู้พี่ก็อายุไม่น้อยแล้ว” ท่าทางกังวลยิ่งนัก


 


 


เสิ่นเสวี่ยยังไม่ตั้งครรภ์เสียที นี่เองก็ทำให้อวี้ซื่อหงุดหงิดใจ “เฮ้อ ใครให้นางตั้งครรภ์ยากเล่า คิดดูสิว่าตอนนั้นที่น้าเจ้าเข้ามาไม่ถึงสามเดือนก็ตั้งท้องญาติผู้พี่เจ้าแล้ว เสิ่นซื่อเป็นเช่นนี้ ทำให้คนร้อนใจแทบแย่จริงๆ”


 


 


อวี้ซื่อไม่พอใจเสิ่นเสวี่ยยิ่งขึ้น นางกำเริบเสิบสานไม่เห็นแม่สามีอยู่ในสายตายังไม่พอ อย่างไรเสียนางให้ทายาทแก่อวี้เอ๋อร์บ้างก็ยังดี แต่นางกลับไม่ แต่งเข้ามากว่าครึ่งปีแล้วยังไม่มีข่าวแม้แต่นิดเดียว วันทั้งวันเอาแต่หึงหวง ปรนนิบัติอยู่ข้างกายอวี้เอ๋อร์ไม่ไปไหน ตนไม่มีความสามารถจะตั้งครรภ์ ก็ยังไม่อนุญาตให้อวี้เอ๋อร์เข้าใกล้ผู้อื่น หากชั่วชีวิตนี้นางไม่ตั้งครรภ์ จวนหย่งหนิงโหวใช่จะไร้ผู้สืบสกุลแล้วหรือไม่


 


 


จ้าวเฟยเฟยเห็นไฟร้อนกำลังได้ที่ ก็ออกความคิดเห็นเสียงเบา “ท่านน้า ข้าว่าเทียนเซียงผู้นั้นข้างกายญาติผู้พี่ก็ไม่เลว ทั้งรอบคอบทั้งมีความสามารถ จงรักภัคดีต่อญาติผู้พี่อย่างถึงที่สุด ท่านคิดจะเลื่อนขั้นนางเป็นอี๋เหนียงหรือไม่”


 


 


“เทียนเซียงเป็นคนที่เหมาะสมมาโดยตลอด” เทียนเซียงก็คือคนที่ออกไปจากข้างกายอวี้ซื่อ นางยกเทียนเซียงให้ลูกชายก็เพื่อเจตนานี้ “ข้ากลับคิดเหมือนกัน แต่พี่สะใภ้เจ้าจะยอมหรือ”


 


 


จ้าวเฟยเฟยกกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “ก็แค่อี๋เหนียงเท่านั้นเอง พี่สะใภ้จะไม่ยอมเชียวหรือ อีกอย่าง ผู้อาวุโสมอบให้ไม่อาจปฏิเสธ ท่านเป็นแม่สามี ให้คนปรนนิบัติลูกชายจะเป็นอะไรไป ต่อให้พี่สะใภ้จะโวยวายก็ไม่มีเหตุผล แม้แต่จวนจงอู่โหวก็ก้าวก่ายเรื่องนี้ไม่ได้”


 


 


ถูกหลานสาวตาพูดเช่นนี้ อวี้ซื่อยังคงสนใจจริงๆ “อืม มีเหตุผล ยังคงเป็นเฟยเฟยที่สมองไว” อวี้ซื่อกล่าวชม


 


 


จ้าวเฟยเฟยยิ้มอย่างเขินอาย “ท่านน้า ข้าก็แค่แบ่งเบาภาระให้ท่านมิใช่หรือ” ท่าทางราวกับไม่เห็นแก่ตัวเลยสักนิดเดียว


 


 


ทั่วทั้งเมืองหลวงกำลังวิพากษ์วิจารณ์เรื่องผิงจวิ้นอ๋องกลัวภรรยาหลงภรรยา สวีโย่วกับเสิ่นเวยผู้เป็นคนต้นเรื่อง สองสามีภรรยาคู่นี้กลับไม่รู้สึกอะไรแม้แต่นิดเดียว ใครอยากพูดก็พูดไป ศักดิ์ศรีอะไร กินได้หรือ มีผลประโยชน์อยู่ข้างในก็พอแล้ว


 


 


แม้แต่อาจารย์ซูหยอกล้อต่อหน้าเสิ่นเวยยังไม่สนใจ กลอกตาทั้งคู่กล่าว “มีอะไรให้เสียประโยชน์หรือ” คนเหล่านี้ต่างก็ไม่มีงานทำ คุณชายใหญ่ของนางเต็มใจจะกลัวภรรยา เต็มใจจะหลงนาง ไปขัดขาใครหรือ ไม่น่าเลื่อมใสหรือ มากัดข้าสิ! เจ้ากล้าหรือไม่ ข้าจะโบยเจ้าให้ตายภายในไม่กี่นาที


 


 


ไม่นานนักทุกคนก็เลิกถกเถียงเรื่องนี้ เพราะว่าในราชสำนักมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแล้ว


 


 


ผู้ตรวจการราชสำนักโจวรับพระราชโองการไปสืบคดีแม่ทัพอันทุจริตเงินเดือนทหารลับลอบขายม้าที่ด่านชายแดนตอนเหนือมิใช่หรือ ผ่านการลอบสังหารตลอดเส้นทาง ภายใต้การคุ้มกันของทหารเงาที่สวีโย่วส่งไปในที่สุดก็ไปถึงด่านชายแดน ตอนนี้ส่งข่าวกลับมาแล้ว


 


 


ฮ่องเต้ยงเซวียนทอดพระเนตรอ่านสาส์นลับของผู้ตรวจการโจวห้ารอบเต็มๆ ตบโต๊ะบันดาลโทสะทันที “ดี ดี เจ้าแต่ละคนเป็นขุนนางดีของเราจริงๆ!”


 


 


บอกว่าอันอี้ทุจริตเงินเดือนทหาร ผู้ตรวจการโจวสืบหาตรวจสอบ เงินเดือนที่ถูกทุจริตจำนวนนั้นไม่ถึงมือกองทัพตอนเหนืออย่างสิ้นเชิง ถูกคนเก็บเอาไว้กลางทาง บังอาจจริงๆ!


 


 


ในสาส์นลับยังบอกว่ากำลังสืบเรื่องลักลอบขายม้า ในเมื่อทุกจริตเงินเดือนทหารเป็นการใส่ร้ายป้ายสี เช่นนั้นลักลอบขายม้าก็ยิ่งไม่มีทางเป็นฝีมือของอันอี้


 


 


ในพระตำหนักจินหลวน ฮ่องเต้ยงเซวียนโยนสาส์นของผู้ตรวจการโจวทิ้ง ที่โยนทิ้งไปด้วยยังมีหลักฐานที่ผู้ตรวจการโจวสืบหาได้ “สืบ กรมอาญา กรมพระคลัง ศาลต้าหลี่ สำนักตรวจตรา ไปสืบให้หมด เราจะดูว่าใครที่มันบังอาจฆ่าใส่ความแม่ทัพใหญ่อันของเรา”


 


 


ฮ่องเต้ยงเซวียนไม่เพียงแต่ทรงพิโรธ แต่ยังรู้สึกไม่เป็นธรรม สีปีก่อน แต่ละคนๆ บอกเขาว่าหลักฐานมัดตัว บอกว่าอันอี้กลัวความผิดจึงฆ่าตัวตาย แต่ความจริงเล่า


 


 


ฮ่องเต้ยงเซวียนน้อยนักที่จะบันดาลโทสะเช่นนี้ ขุนนางทั้งหมดข่างล่างต่างก็อกสั่นขวัญหาย


 


 


แม่ทัพอันอี้ถูกฆ่าใส่ความ เรื่องนี้เร็วอย่างยิ่งก็ดังไปถึงหูคนทุกระดับชั้นทั้งในภาคราชสำนักและภาคประชาชน มีพระบรมราชโองการของฮ่องเต้ยงเซวียน คดีเมื่อสี่ปีก่อนถูกรื้อออกมาอีกครั้ง ใครเป็นผู้พิพากษา ผู้ใดเป็นพยาน ใครเป็นผู้กล่าวหา รื้อออกมาทั้งหมด


 


 


ประชาชนชาวบ้านในเมืองหลวง ที่ค่อนข้างมีอายุต่างก็หวนนึกถึงปีนั้น ตอนนั้นแม่ทัพเล็กอันนำทัพออกจากเมือง ไอหยา แม่ทัพเล็กชุดเงิน ขี่อยู่บนม้าตัวสูงใหญ่ มีกำลังวังชามากเป็นพิเศษ มีราศีมากเป็นพิเศษ เป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาดียิ่งนัก!


 


 


ชั่วพริบตาก็กลายเป็นเถ้าถ่านแล้ว ไม่คิดว่าจะถูกฆ่าใส่ความ เฮ้อ ประหารทั้งตระกูล แม้แต่ทายาทยังไม่เหลือไว้ น่าสงสารยิ่งนัก!

 

 

 


ตอนที่ 257-1 จิตใจกตัญญูของสวีโย่ว

 

วันหยุดประจำสัปดาห์ สวีโย่วไม่เกาะแกะอย่างไม่น่าเชื่อ แต่กลับตื่นแต่เช้าตรู่ ทานอาหารเช้าเสร็จเขาก็เดินออกไปข้างนอกอย่างมีชีวิตชีวา เดินไปสองก้าวก็หันหน้ากลับมา มองเสิ่นเวยที่ขดตัวไม่เป็นรูปไม่เป็นร่างอย่างยิ่งอยู่บนเก้าอี้ไผ่ลาย มุมปากก็ยกขึ้น “จำไว้นะ คืนนี้ต้องชดเชยสองเท่า”


 


 


เสิ่นเวยโบกมืออย่างขบขำ “รู้แล้ว รู้แล้ว ไปเถอะ รีบไป” อยากจะตามไปดูคุณชายใหญ่มาดห้าวหาญเหลือเกิน! คิดๆ ดูแล้วก็อย่าราดน้ำมันบนกองไฟเลยดีกว่า


 


 


“ท่านจวิ้นอ๋อง ท่านมาแล้ว! ท่านอ๋องพระชายาและท่านซื่อจื่อต่างก็รออยู่” คนที่มาต้อนรับสวีโย่วด้วยตัวเองคือพ่อบ้านเสี่ยวเฉวียน เขาโค้งตัวแย้มยิ้ม ท่าทางเคารพ


 


 


สวีโย่วพยักหน้าเล็กน้อย เดินมือไพล่หลังเข้าไปในเรือนของพระชายาจิ้นอ๋อง เมื่อคืนสั่งคนมาส่งข่าว ว่าวันนี้เขาจะกลับจวนทำหน้าที่ลูกกตัญญู มาเคารพพ่อเขา และถือโอกาสกระชับความสัมพันธ์กับน้องชายทั้งหลาย


 


 


“ท่านจวิ้นอ๋อง พวกนางไม่ต้องตามมาก็ได้กระมัง” พ่อบ้านเสี่ยวเฉวียนชี้สตรีวัยแรกแย้มสองกลุ่มที่ตามมาข้างหลัง ถามกลับอย่างดื้อรั้น


 


 


หนังตาของสวีโย่วไม่เหลือบขึ้นแม้แต่น้อย เสมือนว่าไม่ได้ยิน เจียงไป๋ยิ้มแย้มดึงพ่อบ้านเสี่ยวเฉวียนออกมาข้างๆ “ข้าจะบอกให้นะพ่อบ้านใหญ่ จิตใจของท่านเป็นกังวลเกินไปแล้วหรือกระมัง เหล่านี้ล้วนแต่เป็น ‘จิตใจกตัญญู’ ของนายท่านพวกเรา จะไม่ตามไปได้อย่างไร” เขาเพยิดคางชี้สตรีเหล่านั้นเล็กน้อย กล่าวอย่างแฝงความนัย “พวกเราต่างก็เป็นบ่าวรับใช้ ต้องรู้จักลำดับความสำคัญปฏิบัติตามกฎระเบียบ รู้ว่าเรื่องใดถามได้ เรื่องใดถามไม่ได้ ใช่หรือไม่ พ่อบ้านใหญ่” เขาใช้ศอกกระทุ้งพ่อบ้านเสี่ยวเฉวียนเล็กน้อย ท่าทางสนิทสนม


 


 


พ่อบ้านเสี่ยวเฉวียนที่ถูกเจียงไป๋ลากออกมาแทบจะร้องไห้แล้ว ดูแนวรบนี้ของผิงจวิ้นอ๋องไหนเลยจะเป็นการมาเคารพอย่างเรียบง่าย ในใจเขาพะว้าพะวง แต่เมื่อสบสายตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของเจียงไป๋ เขาอ้าปากแล้ว ท้ายที่สุดก็ถอนหายใจ คำพูดขัดขวางก็ไม่กล้าพูดอีกต่อไป


 


 


บ่าวสองคนนี้ข้างกายผิงจวิ้นอ๋องคือหายนะ อย่ามองว่าเจียงไป๋ยิ้มแย้มอารมณ์ดีทั้งวัน แต่พ่อบ้านเสี่ยวเฉวียนกลับรู้ว่าเขาพลิกหน้าแล้วไร้ความปราณี คราวก่อนนายท่านใหญ่ตระกูลซ่งมาที่จวน บ่าวรับใช้คนหนึ่งข้างกายเขาไม่เคารพผิงจวิ้นอ๋องเล็กน้อย ก็ถูกเจียงไป๋ถีบกระดูกซี่โครงหักไปสามท่อนโยนออกจากประตูใหญ่ ท่านอ๋องโมโหแทบตาย ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ลงโทษเขามิใช่หรือ


 


 


“เสด็จพ่อ ไม่พบกันนานไม่เจ็บป่วยใช่หรือไม่!” สวีโย่วกล่าวด้วยสีหน้าเมินเฉย หลังจากนั้นก็พยักหน้าให้สวีเยี่ยและคนอื่นๆ


 


 


เดิมจิ้นอ๋องเห็นบุตรคนโตก็ยังดีใจหลายส่วน โดยเฉพาะลูกคนนี้ยังมาเคารพเขา แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใส่ใจบุตรคนโต แต่อย่างไรเสียบุตรคนโตก็มีความสามารถ นี่ทำให้ในใจเขาเองก็รู้สึกมีเกียรติ


 


 


ใครจะรู้พอบุตรคนโตเอ่ยปากก็ทักว่าไม่พบกันนานไม่เจ็บป่วยใช่หรือไม่ อะไรคือไม่พบกันนานไม่เจ็บป่วยใช่หรือไม่ ลูกอกตัญญูคนนี้ย้ายออกไปไม่กี่วันก็ทักเขาว่าไม่พบกันนานไม่เจ็บป่วยใช่หรือไม่แล้วหรือ เขาย่อมไม่เจ็บป่วย สบายดีอย่างยิ่ง ทุกวันกินอิ่มนอนหลับ กำลังวังชายอดเยี่ยม


 


 


สวีโย่วไม่สนว่าในใจจิ้นอ๋องจะคิดเช่นไร สะบัดชุดคลุมนั่งลงบนเก้าอี้ มองพระชายาจิ้นอ๋อง กล่าวทักทาย พระชายาเองก็ไม่เจ็บป่วยใช่หรือไม่” ดูจากสีหน้าก็ยังไม่เลว ดูท่าแล้วจิตใจของเขาจะอ่อนไปเล็กน้อย! เขาไม่ควรส่งซ่งอี๋จยากับซ่งอี๋ฮุ่ยเข้าไปในเรือนของสวีเยี่ยกับสวีเหยียน แต่ควรจะโยนไปบนเตียงของเสด็จพ่อเขาแทน


 


 


“พูดจาอะไรกัน” จิ้นอ๋องสีหน้าเคร่งขรึม ตำหนิหนึ่งประโยคอย่างไม่พอใจ


 


 


ทว่าพระชายาจิ้นอ๋องกลับห้ามเขา “คุณชายใหญ่อุส่ามา มีอะไรก็พูดกันดีๆ ไม่ได้หรือ” จากนั้นก็ยิ้มกับสวีโย่ว “สบายดี ข้ากับเสด็จพ่อเจ้าสบายดียิ่งนัก จริงสิ เหตุใดภรรยาเจ้าถึงไม่กลับมาด้วยกันเล่า” ท่าทางเป็นห่วงอย่างมาก


 


 


สวีโย่วชายตามองนางปราดหนึ่ง ตอบไม่ตรงคำถาม “จริงสิ ฟังว่าลูกผู้น้องสองคนฝั่งมารดาพระชายาก็อยู่ เหตุใดจึงไม่เห็นเล่า”


 


 


เมื่อได้ยินสวีโย่วเอ่ยถึงซ่งอี๋จยากับซ่งอี๋ฮุ่ย สีหน้าคนหลายคนต่างก็ไม่ดีนัก เมื่อไม่กี่วันก่อนเรื่องวุ่นวายใจปีนขึ้นเตียงเรื่องนั้นไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร แต่สวีเยี่ยกับสวีเหยียนแตะต้องตัวซ่งอี๋ฮุ่ยกับซ่งอี๋จยาแล้วกลับเป็นเรื่องจริง แม้ว่าพวกนางสองคนจะเป็นบุตรสาวอนุภรรยา แต่ก็ยังเป็นลูกผู้น้องของสวีเยี่ยกับสวีเหยียน ก็ต้องรับผิดชอบมิใช่หรือ ต่อให้อู๋ซื่อกับหูซื่อจะไม่ยินยอม ในเรือนของพวกนางต่างก็ต้องมีอนุภรรยาเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน รอแค่เพียงเลือกฤกษ์ยกน้ำชา


 


 


มีเพียงสวีฉั่งที่กล่าวด้วยสีหน้าอิจฉา “พี่ใหญ่ยังไม่รู้ใช่หรือไม่ อีกไม่ช้าลูกผู้น้องสองคนก็จะกลายเป็นคนในเรือนของพี่รองพี่สามแล้ว” เหตุใดเรื่องดีเช่นนี้จึงไม่ถึงตาเขาบ้าง โดยเฉพาะลูกผู้น้องอี๋จยา เรือนร่างนั่นมองปราดเดียวกระดูกในร่างกายก็อ่อนไปกว่าครึ่งแล้ว พี่สามโชคดียิ่งนัก!


 


 


สวีโย่วพยักหน้า “อืม นี่เป็นเรื่องดี! แต่ไหนแต่ไรพระชายาก็ยกย่องชมเชยบุคลิกนิสัยของลูกผู้น้องสองคน มีพวกนางสองคนปรนนิบัติข้างกายน้องรองน้องสาม พระชายาก็สามารถวางใจได้ไม่น้อย น้องสะใภ้สองคนก็ลดภาระลงได้ไม่น้อย กลับไม่ทำให้ความพยายามของข้าเสียแรงเปล่า” สวีโย่วยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่านี่คือฝีมือของเขา


 


 


“อะไรนะ พี่ใหญ่ ฝีมือท่านหรือ” สวีฉั่งที่สะกดอารมณ์ไม่อยู่กระโดดขึ้นมาทันที ตอนที่เกิดเรื่องแม้ว่าเขาจะไม่อยู่ในจวน แต่ภายหลังก็ได้ยินบ่าวในเรือนพูดถึง ที่แท้แล้วลูกผู้น้องสองคนไปปรากฎตัวอยู่บนเตียงของพี่รองพี่สามก็เป็นฝีมือของพี่ใหญ่นี่เอง! ช่าง ช่างลำเอียงเกินไปจริงๆ พี่ใหญ่ เหตุใดท่านถึงไม่ส่งให้ข้าสักคนบ้าง สายตาที่สวีฉั่งมองพี่ใหญ่เขามีความไม่พอใจปรากฎเด่นชัด


 


 


นอกจากสวีฉั่งคนโง่ผู้นี้แล้ว หลายคนที่เหลือก็หน้าเปลี่ยนสี


 


 


จิ้นอ๋องตบโต๊ะก่นด่า “เจ้าลูกอกตัญญูแท้จริงแล้วเจ้าทำอะไรกันแน่ เจ้าใช่ต้องยั่วโมโหข้าให้ตายจึงจะพอใจหรือไม่”


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องกุมหน้าร้องไห้ “คุณชายใหญ่ทำเพื่ออะไรกัน น้องชายเจ้าไปก่อเรื่องให้เจ้าหรือ”


 


 


ริมฝีปากของสวีเหยียนเม้มแน่น ส่วนสวีเยี่ยก็มีสายตาซับซ้อนผิดปกติ “พี่ใหญ่ เหตุใดต้องทำถึงเพียงนี้!” แม้พวกเขาจะไม่สนิท แต่อย่างไรเสียก็ยังเป็นพี่น้องกัน!


 


 


ทว่าสวีโย่วกลับไขว่ห้างดื่มชาราวกับไม่ใช่คนบงการ เขาเกลี่ยฟองใบชาเบาๆ จิบช้าๆ หนึ่งอึก ขยับริมฝีปากเล็กน้อยแล้วจึงกล่าว “ทำเพื่ออะไรงั้นหรือ พระชายาไม่ใช่รู้ดีแก่ใจหรือ ท่านบอกไม่ใช่หรือว่าลูกผู้น้องสองคนต่างก็เป็นผู้ที่เหมาะสม วางแผนเป็นร้อยเป็นพันคิดจะยัดเยียดพวกนางให้ข้ามิใช่หรือ ข้าสุขภาพไม่ค่อยดีนัก ในด้านสตรีก็ต้องรอบคอบหน่อย เพื่อไม่ทำให้พระชายาผิดหวัง ข้าจึงคิดวิธีนี้ไม่ใช่หรือ น้องรองน้องสามก็เหมือนข้ามิใช่หรือ หรือจะบอกว่าพระชายาคิดแต่จะเตรียมให้ข้าล่วงหน้าจนลืมน้องรองกับน้องสามไปงั้นหรือ ให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้ พระชายาจะทำอะไรต้องมีความยุติธรรม”


 


 


จากนั้นจึงมองสวีเยี่ยอย่างเฉยเมย “น้องรองว่าอย่างไรนะ เหตุใดต้องทำถึงเพียงนี้หรือ ที่พระตำหนักจินหลวนพี่ใหญ่ก็พูดชัดเจนอย่างยิ่งแล้วมิใช่หรือ พี่สะใภ้ใหญ่ของพวกเจ้าเป็นคนใจแคบ เมื่อครู่พระชายายังถามว่าเหตุใดนางถึงไม่มาด้วยกัน ป่วยแล้ว ตั้งแต่กลับจากจวนอ๋องไปก็ป่วย แน่นหน้าอก ดื่มยาอยู่หลายวันก็ยังไม่ดีขึ้น หากข้าไม่ช่วยนางระบายอารมณ์สักหน่อยหากนางอัดอั้นจนเป็นอะไรไป พี่ใหญ่พวกเจ้าคงจะกลายเป็นพ่อหม้าย พวกเราต่างก็เป็นพี่น้อง พวกเจ้าคงไม่อาจทนเห็นข้าโดดเดี่ยวเดียวดายได้กระมัง” สีหน้าของสวีโย่วจริงจังยิ่งนัก


 


 


“พระชายาก็บอกแล้ว บุรุษในสังคมนี้คนใดบ้างที่ไม่มีสามสี่ภรรยา เห็นได้ว่าพระชายาเห็นด้วยกับเรื่องนี้ หลายปีมานี้ข้าเองก็ไม่ได้ส่งของขวัญอะไรให้พวกท่าน ลูกผู้น้องสองคนก็ถือเป็นของขวัญใหญ่ที่พี่มอบให้พวกเจ้า รับไว้ดีๆ พี่ใหญ่พวกเจ้าสุขภาพไม่ดี ซ้ำยังกลัวภรรยา แต่งอนุแต่งอี๋เหนียงต่างๆ ถือว่าอย่าเลย หลังจากนี้พระชายาก็ไม่ต้องทุกข์ใจเรื่องข้าแล้ว”


 


 


“เจ้าลูกอกตัญญูพูดอะไรของเจ้า เจ้าไสหัวไปเดี๋ยวนี้ ไสหัวไปให้ไกล ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้าอีก” จิ้นอ๋องออกแรงขว้างแก้วลงพื้น โมโหเลือดขึ้นหน้า ชี้สวีโย่วก่นด่าใหญ่ “เจ้าบอกไม่ใช่หรือว่ามาแสดงความกตัญญูต่อข้า ข้าว่าจิตใจกตัญญูของเจ้าคงเอาไปให้หมากินแล้วกระมัง”


 


 


“อย่าร้อนใจไปเสด็จพ่อ จิตใจกตัญญูของลูกไม่ใช่อยู่ตรงนั้นหรอกหรือ” สวีโย่วตบมือ “เข้ามาให้หมด”


 


 


ตามเสียงตบมือของสวีโย่ว นอกประตูก็มีสตรีวัยแรกแย้มสิบคนเดินเข้ามาเป็นสองแถวด้วยความชดช้อยอ่อนหวาน โน้มตัวเคารพอย่างพร้อมเพรียง คารวะท่านอ๋องพระชายาผิงจวิ้นอ๋องและคุณชายทั้งหลายเจ้าค่ะ”


 


 


“นี่ นี่ พวกนางเป็นใครกัน เจ้าจะเล่นลูกไม้อะไรอีกแล้ว พาออกไป รีบพาออกไปเดี๋ยวนี้” ท่านจิ้นอ๋องตกใจจนปากอ้าตาค้าง ครู่ใหญ่กว่าจะหาเสียงของตัวเองกลับมาได้


 


 


ส่วนสวีเยี่ยสวีเหยียนสวีฉั่งก็จับต้นชนปลายไม่ถูก มีเพียงพระชายาจิ้นอ๋องที่คล้ายคิดอะไรอยู่ ในใจมีลางสังหรณ์ไม่ดีปรากฏขึ้นมา


 


 


“นี่ก็คือจิตใจกตัญญูของลูกอย่างไรเล่า!” สวีโย่วเชิดคางอย่างไร้เดียงสา “ลูกคิดว่าข้างกายเด็จพ่อไม่มีคนใหม่มานานแล้ว ในเรือนน้องรองน้องสามก็ไม่มีหญิงงามอะไร จึงขอหญิงงามสิบคนจากฝ่าบาท สี่คนในนั้นมอบให้เสด็จพ่อ น้องรองน้องสามแบ่งกันคนละสามคน บวกกับลูกผู้น้องก็เป็น ‘สี่’ ทุกเรื่องสมดังใจหวัง! ขอเสด็จพ่อกับน้องรองน้องสามจงรับไว้เถิด”


 


 


จิ้นอ๋องโมโหจนหน้าเขียวจัด ไม่รอให้เขาบันดาลโทสะ สวีฉั่งก็ชิงไม่พอใจก่อนแล้ว “พี่ใหญ่ แล้วข้าเล่า แล้วข้าเล่า ท่านลืมน้องไปแล้วใช่หรือไม่ เหตุใดท่านถึงเลือกที่รักมักที่ชังเช่นนี้ หญิงงามสิบคนให้ข้าสักคนเถิด” สวีฉั่งมองหญิงงามทั้งหมดตรงหน้า ดวงตาตะลึงงัน ให้ตายเถอะ พี่ใหญ่ไปเสาะหาของดีมาจากไหน แต่ละคนงดงามยอดเยี่ยมจริงๆ แทบไม่ต่างจากหญิงงามแถวหน้าในหอเสพสำราญเลย


 


 


“ฉั่งเอ๋อร์เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้” พระชายาจิ้นอ๋องตะคอกใส่สวีฉั่งด้วยสีหน้าไม่ดีนัก ทั้งอัดอั้นทั้งโมโห สายตาที่ดุร้ายจ้องมองสวีโย่ว ราวกับว่าจะกินเขาแล้ว


 


 


“ไป เจ้าไสหัวไป ไสหัวไปเดี๋ยวนี้!” จิ้นอ๋องเตะโต๊ะคว่ำ เห็นได้ว่าโกรธอย่างรุนแรง สวีเยี่ยสวีเหยียนเข้าไปห้าม “เสด็จพ่อท่านโปรดระงับโทสะ พี่ใหญ่ไม่ได้ตั้งใจ”


 


 


ทว่าสวีโย่วกลับทำราวกับว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตนเอง เลิกชุดคลุมลุกขึ้นยืน กล่าวกับสวีฉั่งด้วยความอ่อนโยน “น้องสี่เจ้ายังไม่แต่งงาน ตอนนี้ยังไม่ควรแต่งอนุภรรยา นี่ไม่เหมาะสมกับกฎของวงศ์ตระกูล เอาเช่นนี้แล้วกัน หากเจ้าชอบจริงๆ รอเจ้าแต่งงานแล้วพี่ใหญ่จะส่งให้เจ้าหลายคน”


 


 


“จริงหรือ สวยเช่นนี้หมดเลยหรือ” สวีฉั่งแสยะปากยิ้มดีใจ


 


 


สวีโย่วยิ้มพยักหน้า “สวยกว่านี้ก็มี”


 


 


“ได้ๆๆ เช่นนั้นน้องขอบคุณพี่ใหญ่ไว้ก่อนเลย” สวีฉ่างประสานมือคารวะสวีโย่วอย่างเอาจริงเอาจัง จิตใจเบิกบาน


 


 


สวีโย่วยิ้ม จากนั้นจึงหันกลับ กล่าว “เสด็จพ่อท่านรักษาร่างกายเถิด ลูกจะไปเดี๋ยวนี้” สะบัดชุดคลุม เดินออกไปอย่างคล่องแคล่ว เดินไปได้สองก้าวก็หันกลับมาราวกับนึกอะไรขึ้นได้ “อ้อจริงสิ หญิงงามสิบคนนี้ล้วนแต่เป็นนางกำนัลที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ พระชายาทั้งมีความสามารถทั้งใจกว้างเมตตา ต้องลำบากท่านแบ่งให้เสด็จพ่อและน้องรองน้องสามแล้ว”


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องได้ยินดังนั้นเบื้องหน้าก็ดำมืด คนข้างกายลนลานตะโกนเสียงดังพร้อมกัน “เสด็จแม่ เสด็จแม่ท่านเป็นอะไรไป” “พระชายาท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่” “รีบไปเชิญหมอมา”


 


 


เสียงที่ว้าวุ่นดังเข้าไปในหูของสวีโย่ว เขากระตุกมุมปาก ในดวงตาเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม พระชายา ค่อยๆ เตรียมรับเถิด! อืม ในที่สุดก็ช่วยเวยเวยระบายความโกรธได้แล้ว


 


 


เหตุใดพระชายาจิ้นอ๋องถึงโกรธจนเป็นลมได้เล่า สวีโย่วส่งหญิงงามมาสิบคนนางไม่ได้ใส่ใจอย่างสิ้นเชิง ตกอยู่ในมือนางแล้วก็ปล่อยให้นางจัดการได้มิใช่หรือ สตรีวัยแรกแย้มที่อ่อนช้อยเช่นนี้ ต่อให้เอาออกไปขายก็ยังสามารถขายได้เงินไม่น้อย แต่สวีโย่วดันเอานางกำนัลที่ฝ่าบาทพระราชทานมา นางกำนัลที่ฝ่าบาทพระราชทานอย่าว่าแต่ขายไม่ได้ ยังต้องดูแลให้ดี มิเช่นนั้นจะเป็นการไม่เคารพต่อฝ่าบาท จะต้องถูกลงโทษ เจ้าว่าพระชายาจิ้นอ๋องจะไม่เป็นลมได้หรือ ไม่กระอักเลือดออกมาก็ดีเท่าไรแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 257-2 จิตใจกตัญญูของสวีโย่ว

 

เสิ่นเวยที่สวีโย่วบอกว่าพักฟื้นอาการป่วยอยู่ในจวนกลับไม่อยู่ในจวน หลังสวีโย่วไปได้ไม่นานเสี่ยวตี๋ก็มาแล้ว “จวิ้นจู่ เสี่ยวอันอยากพบท่านเจ้าค่ะ”


 


 


“เสี่ยวอันหรือ” เสิ่นเวยประหลาดใจ เสี่ยวอันคือใคร นางจำไม่ได้ว่านางรู้จักคนผู้นี้


 


 


เสี่ยวตี๋ตบหน้าผากนึกออกทันที กล่าวอธิบาย “จวิ้นจู่ เสี่ยวอันก็คือคนผู้นั้นที่พวกเราช่วยหลังกลับมาจากซีเจียงตอนนั้น คือนายโลมผู้นั้น” นางกล่าวเตือน


 


 


เสิ่นเวยเพิ่งจะนึกออก “เขาน่ะหรือ เขายังไม่ไปอีกหรือ” ตอนแรกที่ช่วยไว้เพียงแค่ถือโอกาส นางคิดว่าคนผู้นั้นจากไปนานแล้ว


 


 


“เปล่า” เสี่ยวตี๋ส่ายหน้า “เสี่ยวอันหายดีแล้วก็ไม่ได้เอ่ยปากว่าจะไป ผู้น้อยเคยพูดครั้งหนึ่ง เขาบอกว่าไม่มีที่จะไป ผู้น้อยนึกถึงตอนแรกที่เขาบอกว่าเชี่ยวชาญการคำนวณและกลไก จึงเก็บเขาไว้ เขากลับซื่อสัตย์อย่างยิ่ง หางานมาทำเอง ซ้ำยังไม่ถามนู่นถามนี่ นอกจากถามหาพู่กันหมึกกระดาษกับผู้น้อยแล้วก็ไม่เคยร้องขออะไรที่เกินไปเลย” ดูออกว่าเสี่ยวตี๋มีความประทับใจต่อเสี่ยวอันผู้นี้อย่างมาก


 


 


“เจ้าเอ่ยถึงฐานะของข้าต่อหน้าเขาแล้วหรือ แล้วรู้หรือไม่ว่าเหตุใดเขาถึงขอพบข้า” คิ้วของเสิ่นเวยขมวดมุ่น


 


 


บนใบหน้าเสี่ยตี๋มีความกระดากใจปรากฏขึ้น “จวิ้นจู่ เป็นผู้น้อยที่สะเพร่า มีครั้งหนึ่งที่พูดพลั้งปาก ผู้น้อยเอ่ยคำว่าจวิ้นจู่ออกไป คาดว่าเสี่ยวอันคงจะเดาได้จากตรงนี้กระมัง”


 


 


หยุดครู่หนึ่งนางจึงกล่าวต่อ “สำหรับเหตุผลที่ต้องการพบท่าน เขากลับไม่ได้บอก เพียงแค่ฝากข้ามาบอกท่านให้ได้ อีกทั้งยังให้สิ่งนี้กับผู้น้อย บอกว่าให้นำมาให้ท่านดู” เสี่ยวตี๋ยื่นซองจดหมายที่ยังไม่เปิดซองฉบับหนึ่งเข้าไป


 


 


เสิ่นเวยรับมาเปิดออก ดึงกระดาษข้างในออกมาอ่าน ยิ่งอ่านลงไปข้างล่าง สีหน้าก็ยิ่งเคร่งขรึม ที่แท้แล้วในกระดาษล้วนเป็นภาพกลไกแต่ละภาพๆ จุดที่ชำนาญแม้แต่คนที่ทะลุมิติมาจากยุคปัจจุบันเช่นนางยังตกตะลึง ดูท่าแล้วเสี่ยวอันผู้นี้ยังเป็นผู้มีฝีมือจริงๆ


 


 


“ไปเถอะ ข้าจะไปพบเขาเสียหน่อย” เสิ่นเวยเก็บกระดาษกลับเข้าไปในซอง ไม่พูดไม่ได้ว่าเสี่ยวอันอะไรนี่ดึงดูดความสนใจของนางสำเร็จ อย่างไรเสียก็ว่างไม่มีอะไรทำ ไปดูเสียหน่อยว่าเขาต้องการอะไรกันแน่


 


 


เสี่ยวตี๋นำเสิ่นเวยเลี้ยวเลาะมาถึงเรือนหลังเล็กที่ไม่ดึงดูดสายตาหลังหนึ่ง เคาะประตูเบาๆ เพียงแค่ชั่วครู่ ประตูก็เปิดออกจากข้างใน เป็นชายรูปร่างเตี้ยอายุประมาณยี่สิบปี เห็นเสี่ยวตี๋ก็ดีใจอย่างนิ่ง กำลังจะพูดอะไร จู่ๆ ก็เห็นเสิ่นเวยที่ตามมาข้างหลัง รีบยืนคำนับ “นายท่าน”


 


 


เสิ่นเวยพยักหน้า “ไม่ต้องมารยาทมาก เข้าไปเถอะ”


 


 


นี่ยังคงเป็นครั้งแรกที่เสิ่นเวยมายังจุดประสานงานของทหารลับ อยากรู้อยากเห็นเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ แต่หลังจากดูไปได้พักหนึ่งแล้วนางก็ไม่ได้สนใจ ก็แค่เรือนหลังเล็กที่ธรรมดาที่สุด ต่อให้ดูมากกว่านี้ก็ไม่มีดอกไม้บานออกมาหรอก


 


 


ไม่นานนักเสี่ยวอันก็ถูกพาเข้ามา “ผู้น้อยคารวะจวิ้นจู่” เขาคำนับอย่างนอบน้อม


 


 


คิ้วของเสิ่นเวยเลิกขึ้น หัวเราะเงียบๆ เล็กน้อย เกรงว่าเสี่ยวอันผู้นี้จะไม่ใช่คนธรรมจริงๆ แค่ดูจากกิริยาการเดินและการคำนับของเขาก็ดูออกเล็กน้อยแล้ว ของบางอย่างก็ตีตราอยู่บนตัว ไม่ใช่ว่าเจ้าปิดแล้วจะปิดได้


 


 


“ฟังว่าเจ้าอยากพบข้างั้นหรือ” เสิ่นเวยพูดเข้าประเด็น


 


 


“ไม่ทราบว่าของของผู้น้อยเข้าตาจวิ้นจู่บ้างหรือไม่ขอรับ” เสี่ยวอันไม่ตอบแต่ถามกลับ


 


 


มุมปากของเสิ่นเวยยกขึ้นเล็กน้อย “ไม่เลวเลย ภาพกลไกของเจ้าเป็นภาพที่ประณีตที่สุดที่ข้าเคยเห็นในชีวิตนี้ ไม่รู้ว่าฝีมือของเจ้าใช่จะเป็นเช่นนี้เหมือนกันหรือไม่” ไม่ใช่ว่ารู้เพียงกลยุทธ์บนแผ่นกระดาษเหมือนกับจ้าวคั่วหรอกนะ


 


 


เสี่ยวอันชายตามองเสิ่นเวยปราดหนึ่ง กล่าวอย่างตั้งใจ “ขอเพียงแค่จวิ้นจู่รับปากผู้น้อยเรื่องหนึ่ง ผู้น้อยจะไม่ทำให้จวิ้นจู่ผิดหวังเด็ดขาด” มือของเขากำแน่น พยายามสงบความตื่นเต้นภายในใจ


 


 


โอกาส นี่คือโอกาสล้างแค้นเพียงครั้งเดียวของเขา เขาจะต้องคว้าไว้ให้ได้ เขาไม่กล้าดูถูกสตรีที่อายุน้อยกว่าเขาหลายปีผู้นี้ตรงหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว เขาอยู่ในเรือนหลังเล็กแห่งนี้ได้หลายเดือนแล้ว จากเงื่อนงำเบาะแสในวันปกติก็สามารถคาดเดาได้ว่าคนเหล่านี้เป็นคนประเภทใด แล้วคนที่เป็นนายของพวกเขาจะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร เขาไม่สนว่านางจะเป็นจวิ้นจู่ตระกูลใด ขอเพียงแค่สามารถช่วยเขาล้างแค้นได้ ต่อให้จะเป็นปีศาจเขาก็ยินยอมถวายชีวิตของเขา


 


 


เสิ่นเวยยังคงสนใจจริงๆ ในจวนเสนาบดีฉินจะต้องมีห้องลับอยู่แน่นอน เสี่ยวอันผู้นี้ยังส่งไปใช้งานได้จริงๆ “ขอเพียงแค่ไม่ผิดหลักทำนองคลองธรรมเจ้าก็พูดมาเถอะ”


 


 


เสี่ยวอันมองเสิ่นเวยนิ่งๆ หลังจากนั้นก็คุกเข่าลงบนพื้นเสียงดัง “จวิ้นจู่ ข้าคืออันจยาเหอ อันอี้แม่ทัพใหญ่อันคือพ่อข้า”


 


 


ประโยคหน้าเสิ่นเวยไม่ได้สนใจ ประโยคหลังก็เปรียบเสมือนฟ้าผ่าบนที่ราบ เสิ่นเวยลุกพรวดขึ้นมา “ว่าไงนะ พ่อเจ้าคือแม่ทัพใหญ่อันหรือ แม่ทัพใหญ่อันที่ถูกฆ่าใส่ความเมื่อสี่ปีก่อนหรือ ตระกูลเขาไม่ใช่ตายยกครัวหมดแล้วหรือ”


 


 


ฆ่าใส่ความคำนี้ทำให้อันจยาเหอตาแดงให้ชั่วพริบตา ประหนึ่งย้อนกลับไปในวันตะวันรอนที่อาทิตย์อัสดงเป็นสีเลือด พ่อเขาถูกจับขึ้นรถขนนักโทษ แม่เขาตาย พี่ชายทั้งหลายของเขาตาย น้องสาวที่เพิ่งจะหมั้นหมายของเขาก็ตาย ลุงเฝ้าประตูตาย อาหลี่ที่ขับรถตาย ยังมีลุงพ่อบ้านที่ตายเช่นเดียกวัน กระทั่งเสี่ยวเฮยจื่อที่โตมาพร้อมกับเขาก็ตาย…ล้วนตายหมดแล้ว พวกเขาล้วนตายหมดแล้ว โลหิตนองพื้น!


 


 


“มีเพียงข้าที่ยังมีชีวิตอยู่ มีเพียงข้าที่ยังใช้ชีวิตไปวันๆ” เสียงของอันจยาเหอสะอื้นไห้ “จวิ้นจู่ พ่อข้าถูกฆ่าใส่ความ พ่อข้าเป็นชายกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ไม่มีทางทุจริตเงินกองทัพทำเรื่องที่ผิดต่อฝ่าบาทและราชสำนักแน่นอน!”


 


 


เสิ่นเวยพยักหน้า “ใช่ ผู้ตรวจการโจวก็เดินทางไปตรวจสอบที่ด่านชายแดนตอนเหนือแล้ว พ่อเจ้าจะต้องถูกใส่ความแน่นอน ฝ่าบาททรงพิโรธ สั่งให้ราชสำนักตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว เจ้าได้ยินข่าวลือนี้แล้วใช่หรือไม่”


 


 


“ขอรับ ข้าได้ยินพวกเขาพูดโดยไม่ได้ตั้งใจ” อันจยาเหอยอมรับด้วยความไร้กังวลอย่างยิ่ง “ตอนแรกที่จวิ้นจู่ช่วยไว้น่าจะรู้ภูมิหลังของข้า ตกอยู่ในสถานที่โสมมเช่นนั้น ข้าทำให้บรรพบุรุษตระกูลเหอต้องอับอาย แต่เป็นลูกหลาน ข้าไม่อาจทนมองพ่อข้าได้รับความไม่เป็นธรรมคนในตระกูลถูกฆ่าตายเฉยๆ ได้ เพื่อที่จะแก้แค้น จึงแบกร่างกายที่พิการพยายามมีชีวิตต่อไป จวิ้นจู่ได้โปรดช่วยข้าอีกแรง” ศีรษะของเขาก้มต่ำอย่างยิ่ง แม้แต่นายโลมก็เป็นแล้ว ศักดิ์ศรีถูกย่ำยีติดพื้นไปนานแล้ว ยังจะห่วงหน้าไปทำไม


 


 


“เจ้ารีบลุกขึ้นเถอะ” เสิ่นเวยรีบกล่าว บุตรของแม่ทัพใหญ่อัน เขาเองก็เป็นคุณชายตระกูลดัง คุกเข่าเช่นนี้อย่างกับอะไรดี


 


 


ทว่าอันจยาเหอกลับดื้อรั้นไม่ขยับ “จวิ้นจู่ได้โปรดช่วยข้าด้วย” ท่าทางเสิ่นเวยไม่ตอบรับเขาก็จะไม่ลุกขึ้น


 


 


เสิ่นเวยก่ายหน้าผากกล่าว “เจ้ารู้หรือว่าข้าคือใคร”


 


 


อันจยาเหอส่ายหน้า “รู้เพียงแต่ว่าท่านเป็นจวิ้นจู่”


 


 


เสิ่นเวยกล่าว “ตำแหน่งจวิ้นจู่นี้ของข้าไม่ใช่สายโลหิตราชนิกุล ข้าเกิดในจวนจงอู่โหว ปู่ข้าคือเสิ่นผิงยวนที่เคยปกครองซีเจียง ข้าเคยได้ยินเขาพูดว่ามีสัมพันธไมตรีกับแม่ทัพใหญ่อันเล็กน้อย ยกย่องชมเชยแม่ทัพอันอย่างยิ่ง หลังตระกูลเจ้าเกิดเรื่องปู่ข้ายังส่งคนไปหาที่ตอนเหนือ แต่น่าเสียดาย ข่าวที่ได้รับคือพวกเขาเสียชีวิตทั้งตระกูล เจ้ารีบลุกขึ้นเถอะ หากปู่ข้ารู้ว่าแม่ทัพใหญ่ยังมีทายาทอยู่ จะต้องไม่นิ่งดูดายแน่นอน”


 


 


อันจยาเหอที่นั่งอยู่มีความรู้สึกประดังประดาเข้ามา ในดวงตาปรากฏความหวังอันแรงกล้า ดี ดีจริงๆ ที่แท้แล้วจวิ้นจู่ผู้นี้ก็เป็นหลานสาวของสหายผู้นั้นของพ่อเขา! สวรรค์มีตา ในที่สุดก็ให้เขาหาถูกคนแล้ว


 


 


“ข้าขอบคุณบุญคุณช่วยเหลือของจวิ้นจู่ไว้ก่อน” การแก้แค้นมีหวัง เบ้าตาของอันจยาเหอร้อนผ่าว พยายามกำหมัดบังคับน้ำตากลับไป


 


 


ในเมื่อรู้เรื่องนี้แล้ว เสิ่นเวยย่อมไม่อาจไม่ยุ่ง คราวก่อนตอนที่ท่านปู่เอ่ยถึงเรื่องของแม่ทัพอัน ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเสียใจ เพื่อทำให้ปู่นางสบายใจนางก็ต้องลงมือ! ส่วนจะลงมืออย่างไร ยังคงต้องไปปรึกษาท่านปู่กับคุณชายใหญ่ของนางก่อน


 


 


“เรื่องนี้ใหญ่ยิ่งนัก ข้าต้องกลับไปปรึกษาท่านปู่ก่อน เจ้าอยู่ที่นี่ไปก่อนชั่วคราว มีเรื่องอะไรก็ให้พวกเขาส่งข่าวให้เจ้าก็ได้แล้ว” เสิ่นเวยกล่าวกับอันจยาเหอด้วยความสุภาพ


 


 


อันจยาเหอพยักหน้า กล่าวขอบคุณอีกครั้ง “ตามแต่ที่จวิ้นจู่จะจัดการ” สี่ปีเขายังรอได้ รออีกไม่กี่วันจะเป็นอะไรไป


 


 


เสิ่นเวยพาคนออกไปแล้ว ก่อนไปยังสั่งให้เสี่ยวตี๋เพิ่มการคุ้มกันเรือนหลังนี้ให้เข้มงวดขึ้นอีกด้วย

 

 

 


ตอนที่ 258-1 ลมเมฆแปรปรวน

 

ในศาลบรรพบุรุษเล็กที่มืดทึบมุมนึงในจวนจิ้นอ๋อง ยายหรูเบิกดวงตาทั้งคู่ที่ขุ่นมั่วถือธูปหนึ่งดอกกำลังปักลงไปในกระถางธูป ท่ามกลางหมอกควันที่ลอยวนใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยย่นของนางคล้ายเห็นคล้ายไม่เห็น จุดธูปเสด็จแล้วนางก็ถอยไปหลายก้าวคุกเข่าบนเบาะกลมกราบไว้อย่างตั้งใจจริง เมื่อลุกขึ้นยืนบนใบหน้าก็เต็มไปด้วยความเคารพศรัทธา


 


 


สายตาที่มองแท่นบูชาของนางอ่อนโยนเช่นนั้น ราวกับว่านั่นคือลูกของนาง “คุณหนู ตอนนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว ท่านน่ะเป็นคนที่กลัวร้อนเป็นที่สุด ทุกปีเมื่อถึงเวลานี้ท่านก็จะวางอ่างน้ำแข็งหลายใบไว้ในห้อง ไม่ว่าบ่าวจะพูดอย่างไรท่านก็ไม่ยอมฟัง ตอนนี้บ่าวเองก็วางให้ท่านสี่ใบ ท่านไม่ต้องกลัวร้อนแล้ว” สายตาของนางตกลงบนอ่างน้ำแข็งที่วางอยู่ตรงมุม


 


 


“คุณหนู คุณชายใหญ่กับฮูหยินใหญ่ต่างก็ย้ายออกจากจวนอ๋องแล้ว ฝ่าบาทพระราชทางสวนชิงหยวนหลังนั้นให้คุณชายใหญ่ใช้เป็นจวนจวิ้นอ๋อง ฟังว่าข้างในงดงามยิ่งนัก! คุณชายใหญ่กับฮูหยินใหญ่ต่างก็เป็นเด็กที่จิตใจดี ยังคิดจะรับบ่าวเขาไปใช้ชีวิตช่วงบั้นปลาย บ่าวไม่ได้รับปาก บ่าวแก่แล้ว อยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้นคุณหนูท่านยังอยู่ที่นี่ หากบ่าวไปแล้วใครจะอยู่คุยเป็นเพื่อนคุณหนูเล่า! บ่าวไม่ไป บ่าวจะอยู่เป็นเพื่อนคุณหนู อยู่เป็นเพื่อนคุณหนูไปชั่วชีวิต” สีหน้าของนางมีรอยยิ้มบางๆ ปรากฏ ใบหน้าที่เ**่ยวย่นใบนั้นก็มีชีวิตชีวาขึ้นมา


 


 


“บ่าวเห็นแล้วว่า คุณชายใหญ่กับฮูหยินใหญ่ล้วนไม่ใช่คนที่จะถูกเอาเปรียบได้ โดยเฉพาะฮูหยินใหญ่ ปฏิบัติต่อคุณชายใหญ่ดียิ่งนัก! ท่านอยู่ข้างล่างก็ไม่ต้องกังวลแล้ว เพียงแต่จิตใจของคุณชายใหญ่กับฮูหยินใหญ่ยังแข็งไม่พอ!” ยายหรูทอดถอนใจหนึ่งครา “เช่นนี้ก็ดี ยังมีบ่าวอยู่ มือของบ่าวเปื้อนเต็มไปด้วยเลือดนานแล้ว ไม่ถือสาจะเพิ่มอีกหน่อย คุณหนูท่านทิ้งบ่าวไปตั้งแต่วัยที่กำลังรุ่งโรจน์ คนที่เคยทำผิดต่อท่านเหล่านั้น ไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดจะมีจุดจบที่ดี ท่านคอยดู เบิกตาดูให้กว้างเถิด!” ยายหรูออกแรงลุกขึ้นยืนเช็ดแท่นบูชาในมือช้าๆ การกระทำอ่อนโยน ราวกับว่าดูแลเด็กทารก


 


 


แม้ว่าฮ่องเต้ยงเซวียนจะมีพระราชโองการให้สืบคดีของแม่ทัพอัน แต่เมื่อดำเนินการแล้วกลับยุ่งยากลำบาก แม้ตอนนั้นจะมีหลักฐานก็ถูกทำลายไปนานแล้ว เบาะแสคดีที่เก็บไว้ต่างก็เป็นหลักฐานปลอมแปลงที่ไม่มีผลประโยชน์ต่อแม่ทัพอัน คิดจะสืบหาเงื่อนงำจากเบาะแสคดีที่ถูกทำเป็นคดีซึ่งโต้แย้งไม่ได้ไหนเลยจะง่ายดาย ด้วยเหตุนี้กรมอาญา ศาลต้าหลี่ กรมพระคลังและสำนักตรวจตราจึงปวดหัวอย่างถึงที่สุด


 


 


โดยเฉพาะเลขาธิการกรมพระคลัง สืบคดีเดิมก็ไม่ความเกี่ยวข้องกับกรมพระคลังของเขาอยู่แล้ว แต่ตอนนั้นเงินกองทัพจำนวนนั้นดึงออกไปจากกรมพระคลัง ตอนนี้ฝ่าบาทจึงสั่งให้กรมพระคลังตรวจสอบพร้อมกัน แต่ตอนนั้นเงินกองทัพส่วนนั้นถูกดึงออกไปอย่างซื่อสัตย์ อีกทั้งยังเป็นเขาที่ลงชื่อด้วยตัวเอง ส่วนจะถึงมือกองทัพตอนเหนือหรือไม่เขาไม่ทราบ อย่างไรเสียกรมพระคลังก็ได้รับหลักฐานยืนยันการรับเงินแล้ว ในนี้เป็นฝีมือของใครเขาจะรู้ได้อย่างไร


 


 


ขณะที่ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ใต้เท้าราชครูเสิ่นผิงยวนก็วางระเบิดลูกใหญ่ในราชสำนักอีกครั้ง ประกาศว่าพบบุตรคนสุดท้องของแม่ทัพอันที่รอดหายนะแล้ว


 


 


หลังจากที่ฮ่องเต้ยงเซวียนทรงประหลาดใจแล้วก็ยังคงเชื่อมั่นอย่างถึงที่สุด เขารู้ว่าเสิ่นผิงยวนกับอันอี้มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกันหลายส่วน ตอนนั้นหลังจากอันอี้กลัวความผิดฆ่าตัวตายขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนอื่นๆ ก็กลัวเป็นต้นเหตุให้เขาโมโหจึงไม่กล้าเอ่ยถึงแม้แต่ประโยคเดียว และมีเพียงเสิ่นผิงยวนที่กล้าทวงความยุติธรรม บอกเขาว่าแม่ทัพอันไม่ใช่คนแบบนั้น


 


 


หลังออกว่าราชการเสร็จเสิ่นผิงยวนก็ถูกฮ่องเต้ยงเซวียนสั่งให้อยู่ต่อ ไม่ต้องรอให้ฮ่องเต้ยงเซวียนเอ่ยปากถาม เสิ่นผิงยวนก็เล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบให้ฟังเอง “ฝ่าบาท ตอนนั้นกระหม่อมสั่งคนไปค้นหาครอบครัวของแม่ทัพอันแล้ว บอกว่าเสียชีวิตทั้งตระกูล บุตรคนสุดท้องของแม่ทัพอันนามว่าอันจยาเหอ จยาฮุ่ยจวิ้นจู่หลานสาวกระหม่อมบังเอิญช่วยไว้เมื่อหลานเดือนก่อน เพิ่งจะรู้ฐานะของเขาเมื่อสองวันมานี้”


 


 


มองสีหน้าฮ่องเต้ยงเซวียนแล้วจึงกล่าว “ตอนที่ช่วยเหลืออันจยาเหอผู้นั้นบาดเจ็บทั่วร่าง บอกว่าหนี…หนีออกมาจากหอนายโลม หลานสาวผู้นั้นของกระหม่อมเห็นเขาน่าสงสาร จึงพาเขากลับมาด้วย คิดว่าอย่างไรเสียเขาเองก็เป็นปัญญาชน รอรักษาบาดแผลหายแล้วค่อยหางานทำ คิดเสียว่าสร้างสมบุญกุศล”


 


 


“อะไรนะ” ดวงเนตรของฮ่องเต้ยงเซวียนหดเล็กอย่างรวดเร็ว “หนีออกมาจากสถานที่นั้นจริงหรือ” แม้แต่จะพูดคำสองคำนั้นออกมาเขายังรู้สึกรังเกียจ


 


 


ในเมื่อเป็นบุตรคนสุดท้องของแม่ทัพอัน อายุนั้นย่อมไม่มาก สี่ปีก่อนก็ยิ่งเด็ก เด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปีเดินทางพันลี้เข้าเมืองหลวงทวงคืนความยุติธรรมแทนบิดา แต่กลับตกอยู่ในสถานที่โสมมเช่นนั้น เป็นความบังเอิญหรือว่าตั้งใจ แล้วจุดประสงค์คืออะไร ไม่ว่าจะเป็นแบบใดก็ทำให้เขาปวดใจอย่างถึงที่สุด คุณชายของแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ลดตัวลงเป็นนายโลม เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นในช่วงที่เขากุมอำนาจ กระทั่งเกิดขึ้นใต้สายตาของเขา เขาไม่เพียงแต่ปวดใจซ้ำยังเดือดดาลอย่างถึงที่สุด


 


 


“จริงแท้แน่นอนพะยะค่ะ กระหม่อมมิบังอาจหลอกลวงฝ่าบาท ตามที่คุณชายน้อยอันผู้นั้นบอกก็เพื่อทวงความยุติธรรมให้บิดาเขาจึงพยายามมีชีวิตอยู่จนถึงวันนี้” เสิ่นผิงจวนหลุบตาลง ในใจก็ทอดถอนใจอย่างถึงที่สุด


 


 


“ดี ดี ดี!” พระหัตถ์ที่ยกขึ้นของฮ่องเต้ยงเซวียนหยุดค้างกลางอากาศ ดวงตามีประกายมืดสลัวแวบผ่าน สูดหายใจเข้าลึกหนึ่งคราแล้วกล่าว “จยาฮุ่ยจวิ้นจู่กลับมีจิตใจดี ในเมื่ออันจยาเหอเป็นนางที่ช่วยไว้ ราชครูก็จัดการตามที่เหมาะสมเถิด เห็นแก่ชื่อแม่ทัพอัน เราจะสั่งให้ชดเชยอีก”


 


 


“กระหม่อมน้อมรับพระราชโองการ” เสิ่นผิงยวนย่อมพอใจอย่างถึงที่สุด


 


 


“พวกโง่ บุตรคนสุดท้องของอันอี้ยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร ไม่ใช่บอกหรือว่าตายไปหมดแล้ว ตระกูลอันที่โผล่ออกมาผู้นี้เป็นใครอีก” ท่านเสนาบดีฉินโมโหเดือดดาล “ไป ไปถามฟังจ้งว่าทำงานประสาอะไร”


 


 


“ท่านเสนาบดีโปรดระงับโทสะ ใต้เท้าฟังสะพร่าชั่วขณะก็เป็นได้ เพียงแค่เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่ง จะสร้างคลื่นลูกใหญ่อะไรได้ หลายปีมานี้ใต้เท้าฟังก็จงรักภัคดีมาโดยตลอด ท่านเสนาบดีว่าใช่หรือไม่” นายทหารผู้ช่วยเริ่นหงซูกล่าวโน้มน้าว


 


 


ท่านเสนาบดีฉินแค่นเสียงหึหนึ่งครา เก็บสีหน้าเดือดดาลบนใบหน้า กล่าว “เขื่อนยาวนับพันลี้ ทลายเพราะรังมด นับแต่อดีตจนถึงวันนี้ยอดฝีมือคว่ำเรือในหนองน้ำไปมากเพียงใดแล้ว เรื่องนี้ประมาทเพียงนิดเดียวไม่อาจฟื้นคืนตลอดไป พวกเราจำเป็นต้องรอบคอบ!” หยุดครู่หนึ่งจึงกล่าวต่อ “ความภัคดีของฟังจ้งข้าเชื่อมั่น แต่เรื่องของอันจยาเหอไม่สืบให้ชัดเจนข้าก็ไม่อาจวางใจได้ เจ้าไปถามที่จวนเขาเถอะ”


 


 


“ขอรับ ท่านเสนาบดี ผู้น้อยจะไปเดี๋ยวนี้” เริ่นหงซูประสานมือคารวะกล่าว “ท่านเสนาบดีเองก็ไม่จำเป็นต้องกังวลมากไปนัก หลักฐานทั้งหมดต่างก็ทำลายหมดแล้ว ไม่ว่าฝ่าบาทจะสืบอย่างไรก็สืบมาไม่ถึงพวกเรา แต่องค์ชายรองเล่า” เขามองไปทางท่านเสนาบดี ในดวงตาแฝงความสงสัย


 


 


ท่านเสนาบดีโบกมือ “องค์ชายรองยิ่งไม่อาจเป็นอะไรได้ เรื่องนี้มาถึงข้าก็พอแล้ว” แม้จะบอกว่าเงินกองทัพจำนวนนั้นกับเงินที่ได้จากการลักลอบขายม้าส่วนใหญ่เข้าจวนองค์ชายรอง แต่คนที่ลงมือทำเรื่องนี้เป็นเขา ต่อให้จะเกิดเรื่องจริงๆ ก็มีเขาเป็นหนังหน้าไฟ องค์ชายรองไม่อาจเกิดเรื่องได้ ขอเพียงแค่องค์ชายรองไม่เป็นไร เช่นนั้นตระกูลฉินก็จะไม่เป็นไร


 


 


“แต่ก็ไม่อาจสะเพร่าได้ ใครจะรู้ว่าพวกเขาทำลายหลักฐานทั้งหมดแล้วจริงๆ หากแอบเก็บไว้สักชิ้นสองชิ้นก็เพียงพอให้เรื่องร้ายแรงแล้ว” กลายเป็นจิ้งจอกเฒ่าผู้หลักแหลมแล้ว ใครจะไม่เหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้ตนเอง “สั่งพวกเขาว่าหากในมือยังมีหลักฐานอะไร ให้รีบทำลายเสีย ปิดปากให้สนิท ระมัดระวังตัว” ท่านเสนาบดีฉินกำชับด้วยความไม่สบายใจ


 


 


“ขอรับ ผู้น้อยรับคำสั่ง!” เริ่นหงซูถอยออกไปแล้ว


 


 


ท่านเสนาบดีฉินอยู่ในห้องหนังสือเพียงผู้เดียว เขาเปิดภาพผืนนั้นบนฝาผนัง กดลงบนบริเวณที่นูนขึ้นมาบนผนังเบาๆ ก็เห็นผนังฝั่งซ้ายแยกออกเป็นช่องหนึ่งสาย ค่อยๆ ปรากฎให้เห็นประตูเล็กหนึ่งบานผ่านได้เพียงคนเดียว ท่านเสนาบดีฉินตะแคงตัวเดินเข้าไป หลังจากนั้นประตูบานนั้นก็ปิดลงอีกครั้ง


 


 


นี่คือห้องลับอีกหนึ่งแห่ง ห้องไม่ใหญ่ ทว่าเครื่องเรือนกลับหรูหราอย่างยิ่ง บนโต๊ะตรงกลางวางแท่นบูชาหนึ่งแท่น สลักว่าแท่นบูชาของฉินเฮ่อบิดาผู้ล่วงลับ


 


 


ท่านเสนาบดีฉินกราบไหว้แท่นบูชาด้วยความเคารพ “ท่านพ่อ ลูกมารบกวนความสงบของท่านอีกแล้ว คดีของอันอี้ถูกสืบใหม่อีกครั้ง ฝ่าบาทคล้ายสังเกตได้แล้ว ช่วงนี้เขาเริ่มส่งคนไปสืบเรื่องเก่าในอดีตเงียบๆ แต่ว่าท่านวางใจ ลูกเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว ไม่ว่าเขาจะสืบหาอย่างไร อย่างมากก็สืบหาได้แค่เพียงอ๋องเคียงบ่า ไม่มีทางสืบมาถึงลูกแน่นอน”


 


 


เขาหัวเราะเบาๆ บนใบหน้ามีความพอใจหลายส่วน “ลูกเชื่อฟังท่านพ่อ อดทนมาโดยตลอด เด็กคนนั้นดีอย่างยิ่ง บุ๋นบู๊ล้วนชำนาญการ ความคิดฝีมือไม่เป็นสองรองใคร ลูกว่าเขาเลื่อมใสในความมองการณ์ไกลของท่านพ่อจริงๆ แต่น่าเสียดายที่ท่านจากไปเร็วนัก หากท่านยังอยู่ก็คงจะดียิ่งนัก!


 


 


ท่านเสนาบดีฉินพูดกับแท่นบูชาอยู่คนเดียวเป็นเวลานาน ผ่านไปครึ่งชั่วยามจึงออกมาจากห้องลับอย่างรวดเร็ว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)