กระบี่จงมา 253.2-253.3
บทที่ 253.2 พระโพธิสัตว์เหยียบกระบี่ข้ามแม่น้ำ
โดย
ProjectZyphon
ไปถึงบ้านบรรพบุรุษสกุลซุนที่ไม่ได้ใหญ่โต ไม่มีสาวรับใช้หน้าตาน่ารักงดงามอะไร มีเพียงชายชราและหญิงชราหลายสิบคนที่คอยอยู่ดูแลบ้าน ซุนเจียซู่เลี้ยงข้าวเฉินผิงอันหนึ่งมื้อ ทั้งไม่ใช่อาหารล้ำค่าหายาก แต่ก็ไม่ได้ยากแค้นอนาถาอะไร ล้วนเป็นผักสดตามฤดูกาลและปลากุ้งไก่เป็ดที่อยู่ใกล้เคียงกับบริเวณบ้าน รสมือดีเยี่ยมทำให้คนเจริญอาหาร มีเพียงอาหารอย่างเดียวที่ไม่คุ้นชินซึ่งเป็นน้ำแกงที่วัสดุการปรุงน่าจะมาจากทะเล เฉินผิงอันกินอาหารที่มาจากแม่น้ำจนเคยชิน จึงไม่คุ้นปากนัก ซุนเจียซู่เองก็ไม่คะยั้นคะยอให้เขากิน เฉินผิงอันแค่กินอาหารที่ตัวเองชอบก็พอ
กินข้าวเสร็จแล้วคนทั้งสองก็มาเดินเล่นกันที่ริมแม่น้ำด้านนอก เฉินผิงอันถามว่า “คุณชายซุน รู้จักร้านยาแห่งหนึ่งในนครมังกรเฒ่าที่ชื่อว่าร้านฮุยเฉินหรือไม่?”
ซุนเจียซู่ครุ่นคิด “เมื่อก่อนไม่เคยได้ยิน แต่ข้าสามารถหาให้เจ้าได้โดยใช้เวลาไม่นาน”
เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ
ซุนเจียซู่ยิ้มพลางโบกมือเป็นการบอกเฉินผิงอันว่าไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนี้ เขาก้มตัวลงไปหยิบก้อนหินที่แบนราบขึ้นมาก้อนหนึ่ง โยนออกไปด้านข้าง ก้อนหินปลิวเด้งกระแทกผิวน้ำไปจนถึงฝั่งตรงข้าม
ฝั่งตรงข้ามคือสวนดอกน้ำมันที่แผ่ยาวออกไป มองไปจึงเห็นเป็นเพียงสีเหลืองอร่าม
เฉินผิงอันเอาห่อสัมภาระวางเก็บไว้ในห้องแล้วก็หยิบเอาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มารัดไว้ตรงเอวอีกครั้ง แน่นอนว่ายังคงสะพายกล่องกระบี่ด้วย เขาปลดน้ำเต้า ‘เจียงหู’ ลงมาเพื่อดื่มเหล้า น้ำในแม่น้ำไหลรินอย่างเชื่องช้า คล้ายผู้เฒ่าคนหนึ่งที่เงียบสงบ
ซุนเจียซู่หยุดเดินแล้วพูดว่า “ข้าลองคำนวณดูคร่าวๆ แล้ว ช่วงนี้เรือที่ไปยังภูเขาห้อยหัวเหลืออยู่สามลำ สามลำที่เหลือยังไม่กลับมา ลำหนึ่งคือเต่าทะเลภูเขาของสกุลซุนเรา นอกจากนี้ก็คือปลาวาฬกลืนสมบัติของตระกูลฝู รวมไปถึงนกกุ้ยฮวาของตระกูลฟ่าน หากให้พูดถึงในมุมของความมั่นคงปลอดภัย ข้าแนะนำให้เจ้าโดยสารปลาวาฬกลืนสมบัติ เพราะสิบปีที่ผ่านมานี้ เส้นทางการเดินเรือไปยังภูเขาห้อยหัวมีสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายมาก เต่าทะเลภูเขาสู้ปลาวาฬกลืนสมบัติไม่ได้ หรือถึงขั้นสู้นกกุ้ยฮวาที่ถูกสร้างขึ้นมาไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะต่อให้เต่าทะเลภูเขาจะนิสัยดีแค่ไหนก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเลือดเนื้อ เรื่องที่เรือคุนของภูเขาต่าเจี้ยวร่วงลงมาตรงภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปก็คือตัวอย่าง ส่วนปลาวาฬกลืนสมบัติสามารถว่ายในทะเลลึกได้ จึงปลอดภัยที่สุด อีกทั้งเส้นทางเดินเรือสายนั้นยังเป็นเส้นทางคุ้นเคยที่ตระกูลฝูบุกเบิกมาหลายปี ควรจะหลีกเลี่ยงพวกมารใหญ่ที่อยู่ในน้ำอย่างไร พวกเขาย่อมรู้ชัดเจนดี หากคิดจะประหยัดเงินและต้องการความสบาย ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นเต่าทะเลภูเขาของตระกูลข้า เมื่อเจ้าขึ้นไปอยู่บนเรือ ไม่กล้าพูดว่าสามารถเสวยสุขได้ แต่ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกินอยู่ ไม่ว่าเรื่องอะไรเจ้าก็ไม่ต้องคอยกลัดกลุ้ม…”
เฉินผิงอันลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็หลุดประโยคหนึ่งออกมาว่า “หากไม่ใช่เต่าทะเลภูเขาก็ต้องเป็นนกกุ้ยฮวา ข้าไม่มีทางโดยสารปลาวาฬกลืนสมบัติเด็ดขาด”
ซุนเจียซู่แปลกใจอย่างมากจึงถามว่า “ทำไมล่ะ?”
เฉินผิงอันรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “ตอนอยู่ถ้ำสวรรค์หลีจูบ้านเกิด ข้าเคยเกือบจะฆ่าฝูหนันหัวนายน้อยของนครมังกรเฒ่า ไหนเลยจะกล้านั่งเรือข้ามฟากของตระกูลเขา”
ซุนเจียซู่อดยื่นมือมาตบไหล่ของเฉินผิงอันหนักๆ ไม่ได้ “เฉินผิงอัน! ข้าเคยเห็นวีรบุรุษมาไม่น้อย แต่คนที่ใจกล้าแบบเจ้ากลับพบเจอมาไม่มากจริงๆ!”
เฉินผิงอันถอนหายใจ เพราะฟังจากน้ำเสียงของซุนเจียซู่ก็รู้แล้วว่าฝูหนันหัวต้องไม่ใช่คนที่ควรไปมีเรื่องด้วยจริงๆ
ซุนเจียซู่อดกลั้นอยู่นานสุดท้ายก็หลุดหัวเราะอย่างอดไม่ได้ “แม้ว่านายน้อยของนครมังกรเฒ่าจะไม่ได้มีแค่คนเดียว ลูกหลานของครอบครัวอื่นในตระกูลฝูที่มีหวังว่าจะได้สืบทอดเสื้อคลุมมังกรเฒ่าตัวนั้นก็มีอยู่หลายคน แต่ทุกคนล้วนรู้ว่าฝูหนันหัวได้รับความสำคัญจากเจ้านครฝูฉีมากที่สุด บรรพบุรุษตระกูลฝูคนหนึ่งที่ได้ครอบครองอาวุธกึ่งเซียนก็ยิ่งเป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาให้แก่ฝูหนันหัว เพียงแต่ว่าช่วงหลายปีมานี้เขาปิดด่าน เล่าลือกันว่ากำลังพยายามฝ่าสู่ห้าขอบเขตบน ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้มากที่สุดว่าฝูหนันหัวจะกลายเป็นเจ้านครคนถัดไป เฉินผิงอัน เจ้าใช้ได้เลยนี่นา หากเรื่องนี้แพร่ออกไป รับรองว่าชื่อเสียงของเจ้าต้องดังไปครึ่งทวีปภายในเวลาหนึ่งเดือนแน่นอน”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ชื่อเสียงแบบนี้ ไม่เอาดีกว่ามั้ง”
ซุนเจียซู่ยิ่งหัวเราะก็ยิ่งอารมณ์ดี “ถึงแม้ว่าข้าจะเคยพบค้าสมาคมกับฝูหนันหัวมาหลายครั้ง หรือถึงขั้นที่ว่าความสัมพันธ์เกินกว่าจะเป็นสหายที่ร่วมดื่มเหล้าธรรมดาทั่วไป แต่ฝูหนันหัวยังอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบเคียงกับหลิวป้าเฉียวได้ วันนี้ได้ยินความจริงเรื่องนี้ ข้าก็ยิ่งอยากหัวเราะ ดูท่าข้าคงไม่ค่อยมีคุณธรรมเท่าไหร่นัก ดังนั้นเจ้าเฉินผิงอันก็ยั้งๆ ไว้หน่อย เป็นเพื่อนกับคนแบบข้า อย่าเพิ่งมอบใจให้มากเกินไปนัก ต้องรู้จักกันให้นานก่อน”
ผลกลับกลายเป็นว่าเฉินผิงอันหลุดประโยคหนึ่งมา “อันที่จริงข้ากับหลิวป้าเฉียวก็ไม่ได้สนิทกันเท่าไหร่ แค่เคยเจอหน้ากันสองครั้งเท่านั้น”
ซุนเจียซู่อัดอั้นตันใจเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นในจดหมายที่หลิวป้าเฉียวบอกว่าสนิทกับเจ้าเหมือนผ่านความเป็นความตายร่วมกันมาหลายร้อยรอบล่ะ หมายความว่าอย่างไร? ในจดหมายเขาชื่นชมเจ้าซะจนไม่มีผู้ใดทัดเทียมได้อีกแล้ว แถมยังบอกด้วยว่าหากข้าไม่มารับรองเจ้าด้วยตัวเองจะตัดขาดกับข้า จากนั้นก็จะป่าวประกาศฉายาข้าไปให้ทั่วแจกันสมบัติทวีป”
เฉินผิงอันลองถามหยั่งเชิง “ฉายาคือซุนจื่อ” (ซุนจื่อแปลว่าหลาน)
ซุนเจียซู่ยื่นมือมากุมขมับ ยิ้มเจื่อนพูดว่า “เรื่องนี้เจ้าก็เดาได้ด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันพูดยิ้มๆ “แม้ว่าจะเคยเจอกันแค่สองครั้ง แต่ข้ากลับรู้นิสัยของหลิวป้าเฉียวดีว่าเป็นคนไม่จริงจังมากที่สุด”
ซุนเจียซู่ทอดถอนใจ “ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับฝูหนันหัว ย่อมต้องมีจุดจบเป็นดั่งประโยคที่ว่าต่อให้ผมขาวก็ยังเหมือนเพิ่งรู้จักกัน (เปรียบเปรยว่าคนที่คบหากันมานานก็ไม่สนิทใจ ได้แต่รู้จักกันอย่างผิวเผิน) แต่เจ้ากับหลิวป้าเฉียวกลับเหมือนประโยคว่าเพิ่งพบหน้าก็เหมือนรู้จักกันมานาน”
สารถีคนนั้นมาปรากฏตัวอยู่ไกลๆ ซุนเจียซู่หันกลับไปมองแวบหนึ่งก็หันกลับมาพูดกับเฉินผิงอันว่า “ข้าต้องไปที่จวนตระกูลฝูในเมืองเพื่อพบแขกคนหนึ่ง เพราะว่านัดหมายกันมาล่วงหน้าแล้ว เรื่องของร้านยาฮุยเฉิน ช้าสุดก่อนคืนวันพรุ่งนี้จะมีคนมาบอกเจ้า อีกอย่างก็คือในเมื่อเจ้ามีความแค้นกับฝูหนันหัว ถ้าอย่างนั้นช่วงนี้หากเจ้าจะออกไปข้างนอกก็ต้องให้คนมาบอกข้าก่อน ข้าจะให้คนจัดการเรื่องการเดินทางของเจ้า เมื่อเป็นอย่างนี้การเดินทางไกลโดยเรือข้ามฟากก็สามารถตัดปลาวาฬกลืนสมบัติของตระกูลฝูออกไปก่อนได้แล้ว เจ้าก็นั่งเต่าทะเลภูเขาของตระกูลข้าไปที่ภูเขาห้อยหัวเลยแล้วกัน อีกยี่สิบวันให้หลังจะออกเดินทางตรงเวลา ช่วงเวลานี้เจ้าสามารถมาอาศัยอยู่ที่บ้านบรรพบุรุษของตระกูลข้า ต้องการของสิ่งใด ขอแค่ที่นครมังกรเฒ่ามี ข้าก็สามารถช่วยนำมาส่งให้เจ้าได้ แล้วเจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ ก่อนจะเปิดปาก เจ้าสามารถบอกตัวเองได้ว่า ‘ซุนจื่อผู้นั้นมีเงินเยอะมากๆ เป็นเพื่อนกัน เดิมทีก็ต้องมีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้านอยู่แล้ว ร่วมเสพสุขก่อน แล้ววันหน้าค่อยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน ค่อยร่วมทุกข์ร่วมยาก นี่ต่างหากถึงจะไม่เสียเปรียบ’”
“ตกลง งั้นข้าจะไม่เกรงใจเจ้าแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม กะพริบตาปริบๆ “หลิวป้าเฉียวต้องพูดประโยคนี้ใช่ไหม?”
ซุนเจียซู่ยกนิ้วโป้งให้ “มิน่าเล่าหลิวป้าเฉียวถึงหน้าด้านอยากจะเป็นสหายกับเจ้า เจ้าเข้าใจเขานี่เอง!”
ซุนเจียซู่บอกลาจากไป ค่อยๆ เดินจากไปไกลพร้อมกับสารถีเฒ่าที่เฉินผิงอันมองตื้นลึกหนาบางไม่ออก แล้วนั่งรถม้าเดินทางไปยังเมืองในของนครมังกรเฒ่า
ดังนั้นเฉินผิงอันที่อยู่เพียงลำพังจึงเริ่มฝึกเดินนิ่งหกก้าวเลียบริมแม่น้ำ
น้ำในแม่น้ำนิ่งสงบ มองไปก็เห็นแปลงดอกน้ำมันกว้างไกลไร้ที่สิ้นสุด ถนนดินที่ธรรมดา หากไม่เป็นเพราะที่นี่ไม่มีสะพานหินโค้งและร้านกระบี่ของตระกูลหร่วน เฉินผิงอันก็เกือบคิดไปว่าที่นี่คือบ้านเกิดของตัวเอง
เฉินผิงอันฝึกวิชาหมัดจนเดินไปได้สิบกว่าลี้ หากขยับไปข้างหน้าอีกนิดก็คือหมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งขึ้นริมน้ำ มีเสียงไก่ขัน มีเสียงหมาเห่า และยังมีควันจากการทำอาหารลอยคลุ้ง เฉินผิงอันหยุดการฝึกหมัด มองไปรอบด้าน ข้างกายมีสะพานไม้เล็กๆ ข้ามแม่น้ำอยู่แห่งหนึ่ง ตอนนี้อยู่ดีๆ เขาก็รู้สึกเหมือนอยู่ห่างไกลคนละโลกอย่างไม่ทราบสาเหตุ
เฉินผิงอันกำลังจะหมุนตัวกลับไปที่บ้านบรรพบุรุษตระกูลซุนก็สังเกตเห็นว่าในสวนดอกน้ำมันฝั่งตรงข้ามที่อยู่ห่างออกไปไกลมีเด็กกลุ่มหนึ่งที่สวมชุดธรรมดาเดินออกมา ส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในวัยของเด็กนักเรียนชั้นประถม และยังมีบางส่วนที่อายุน้อยยิ่งกว่า แต่ละคนมีขี้มูกยืดออกมาจากจมูกเดินตามมาด้านหลัง มีเด็กผู้ชายที่อายุมากหน่อยสองคนถือกระบี่ไม้ไผ่กระบี่ไม้ที่ผู้ปกครองในครอบครัวน่าจะเป็นคนช่วยเหลาให้อยู่ในมือ รูปลักษณ์เรียบง่าย แค่รูปร่างคล้ายกระบี่อย่างหยาบๆ เท่านั้น ดูเหมือนคนทั้งสองต่างก็กำลังแข่งวิชากระบี่กัน พวกเขาทยอยกันขึ้นมาเดินขึ้นมาบนเนินดิน ฟาดฟันกระบี่ใส่ดอกน้ำมัน แถมยังร้องตะโกนคำรามส่งเดช ทว่าพละกำลังกลับเปี่ยมล้น
สงสารดอกน้ำมันที่ถูกเด็กสองคนฟันจนแหลกเละ แต่ไม่นานด้านหลังก็มีเด็กอายุน้อยร้องไห้จ้าขึ้นมา ที่แท้ตอนแรกเขาเองก็สนุกร่วมไปกับคนอื่น แต่พอพบว่าที่นี่คือลานดอกน้ำมันของครอบครัวเขาเอง แล้วถ้าพ่อแม่ของเขารู้เรื่องนี้ กลับไปถึงบ้านตนจะไม่ก้นลายหรือ?
แต่เขาก็ไม่กล้าห้าม ‘มือกระบี่’ ที่อายุมากกว่าสองคนนั้น ได้แต่ร้องไห้ปานจะขาดใจ ยังดีที่เพียงไม่นานมือกระบี่คนหนึ่งก็ตระหนักได้ว่าท่าไม่ดี จึงควักขนมข้าวพองที่บ้านของเขาอบเองแผ่นหนึ่งออกมา เอ่ยสั่งความกับเด็กคนนั้นสองสามประโยค เด็กน้อยที่มีขี้มูกยืดก็ยิ้มหน้าบานได้ทันที เดินอาดๆ ตามหลังมือกระบี่สองคน มองพวกเขาออกกระบี่เสียงดังสวบๆ อย่างร้ายกาจ คิดว่าเดี๋ยวพอตนโตอีกนิด มีเรี่ยวแรงมากหน่อยก็จะขอกระบี่เล่มหนึ่งจากบิดาที่เป็นช่างไม้ ตัดดอกน้ำมันทั้งหมดให้เกลี้ยง แบบนั้นจะดูน่าเกรงขามถึงขนาดไหน? ชุ่ยฮวานังหนูน้อยที่อยู่ข้างบ้านยังจะชอบไปเล่นกับเสี่ยวซิ่วไฉที่อยู่หลังหมู่บ้านอีกไหม? ถึงเวลานั้นนางต้องตามตนแจทุกวันแน่
เฉินผิงอันเห็นพวกเขาแล้วก็หลุดหัวเราะออกมาทันที
นี่ไม่ใช่ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนตอนเด็กหรอกหรือ? ปีนั้นหลิวเสี้ยนหยางชอบทำเรื่องที่ชวนให้คนรังเกียจแบบนี้มากที่สุด ไม่เพียงแต่เอากระบี่ไม้ไปฟันดอกน้ำมัน ยังชอบดันคันดินสูงๆ ต่ำๆ ให้ล้มลง หยิบก้อนหินขว้างเป็ดที่อยู่ในน้ำ แต่ละวันจะต้องถูกพวกสตรีแต่งงานแล้วด่าทอ ถูกคนไล่ตี ภายหลังเขากับเฉินผิงอันต่างก็กลายมาเป็นช่างในเตาเผา หลิวเสี้ยนหยางจึงทำเรื่องพวกนั้นน้อยลงเพราะรู้สึกว่าไม่น่าสนใจแล้ว จะชอบขึ้นเขาไปจับงูจับไก่ป่าเสียมากกว่า ทว่าหลังก้นของเฉินผิงอันมีกู้ช่านเพิ่มมาอีกคน ความสามารถของหลิวเสี้ยนหยางก็ยิ่งขยับขยาย เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับหลิวเสี้ยนหยางที่ทำเรื่องร้ายๆ แบบเปิดเผยแล้ว กู้ช่านกลับระมัดระวังตัวกว่ามากเยอะ เขาแทบจะไม่เคยถูกใครจับได้ ทั้งมีความเพียรพยายามที่แม้แต่เฉินผิงอันก็ยังชื่นชม แล้วก็มีความเจ้าเล่ห์เกินตัวที่ไม่สมวัย
ภายใต้แสงแดดเจิดจ้า เพื่อให้ตกปลาไหลได้หนึ่งตัว กู้ช่านสามารถนั่งกระดกก้นรอได้เกินครึ่งวัน
ทุกครั้งที่ถึงเวลากินข้าวของคนในตรอกหนีผิง จะต้องมีเสียงตะโกนที่แม่ของกู้ช่านตะเบ็งเสียงเรียก
เฉินผิงอันนั่งยองอยู่ริมน้ำ ขว้างก้อนหินลงในน้ำ
พวกเด็กๆ พากันเดินข้ามสะพานไม้มาเป็นขบวนใหญ่ แต่ละศีรษะเรียงติดๆ กันคล้ายพุทราเชื่อมเสียบไม้อันยาว
เห็นคนแปลกหน้าอย่างเฉินผิงอัน พวกเด็กๆ ก็ไม่กลัว เพียงแต่หันมามองอยู่หลายครั้ง แล้วก็เดินไปทางหมู่บ้านที่ห่างไปไม่ไกล แต่เด็กคนหนึ่งที่ถือกระบี่ไม้ไผ่ เดินหนึ่งก้าวหันกลับมามองสามรอบ สายตาหยุดอยู่บนกล่องกระบี่ที่เฉินผิงอันสะพายอยู่ด้านหลังตลอดเวลา สุดท้ายระงับความใคร่รู้ไว้ไม่อยู่จึงหมุนตัววิ่งกลับมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ถามด้วยภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปด้วยสำเนียงที่ชัดเจนถูกต้อง “หรือว่าเจ้าเองก็เป็นมือกระบี่คนหนึ่ง?”
—–
บทที่ 253.3 พระโพธิสัตว์เหยียบกระบี่ข้ามแม่น้ำ
โดย
ProjectZyphon
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ปัดมือ ถามยิ้มๆ ว่า “เจ้าก็ใช่ด้วยหรือ?”
เด็กชายกลอกตา รู้สึกว่าคำถามข้อนี้ช่างไร้เดียงสายิ่งนัก จึงตอบเสียงขุ่น “ข้ายังขาดสุดยอดตำราลับอีกเล่มหนึ่ง”
เฉินผิงอันกลั้นยิ้ม พยักหน้ารับ “ข้าก็เหมือนกัน”
เด็กชายก้มหน้าลงมองกระบี่ไม้ไผ่ในมือ แล้วค่อยเงยหน้ามองด้ามกระบี่ในกล่องด้านหลังคนผู้นี้ ถามว่า “ขอข้าดูกระบี่ของเจ้าหน่อยได้ไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ได้หรอก”
เด็กชายเบ้ปาก ปรายตามองน้ำเต้าสีชาดตรงเอวของเฉินผิงอัน “เจ้าขี้เหนียวแบบนี้ ไม่เหมือนมือกระบี่ที่ท่องอยู่ในยุทธภพเลย ข้าว่าที่บรรจุไว้ในน้ำเต้าของเจ้าคงไม่ใช่เหล้า แต่เป็นน้ำ แกล้งทำเป็นหลอกคนอื่นไปอย่างนั้นกระมัง”
เฉินผิงอันถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยเห็นมือกระบี่ตัวจริงหรือไม่?”
เด็กชายพยักหน้ารับอย่างแรง
ด้านหลังมีแม่นางน้อยใบหน้าแดงปลั่งพูดขึ้นอย่างขลาดๆ ว่า “พวกเราเคยไปไกลที่สุดก็แค่ตลาดที่อยู่ห่างไปหลายสิบลี้ ไม่เคยได้เห็นมือกระบี่ซะหน่อย”
เพียงไม่นานก็มีเด็กที่ซื่อสัตย์คนหนึ่งเอ่ยคล้อยตามว่า “อาจารย์ที่โรงเรียนเคยสอนพวกเราเกี่ยวกับมือกระบี่ ที่ตลาดก็มีหนังสือรูปคนตัวเล็ก (หนังสือการ์ตูน) ที่ราคาแพงมากวางขาย บนหนังสือวาดจอมยุทธ์ใหญ่ในยุทธภพไว้เป็นจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือมือกระบี่ที่ร้ายกาจที่สุด คนชั่วทุกคนล้วนเอาชนะพวกเขาไม่ได้”
เด็กชายที่บอกว่าเคยเห็นมือกระบี่ที่แท้จริงมาก่อนหันไปถลึงตาใส่ด้านหลังหนึ่งที เด็กสองคนที่อยู่ด้านหลังหุบปากฉับทันที
เด็กชายที่ค่อนข้างโตซึ่งถือกระบี่ไม้อีกคนหนึ่ง ท่าทางซื่อๆ น่ารักถามเฉินผิงอันว่า “เวทกระบี่ของเจ้าร้ายกาจแค่ไหน?”
คำถามข้อนี้ทำให้เฉินผิงอันลำบากใจจริงๆ
เฉินผิงอันได้แต่พูดว่า “ข้าเคยเห็นมือกระบี่ที่มีฝีมือร้ายกาจมากกับตาตัวเองมาก่อน ไม่ใช่เห็นจากในหนังสือรูปคนตัวเล็กของพวกเจ้า”
เด็กชายกระบี่ไม้ไผ่หัวเราะหยันไม่หยุด
เด็กชายท่าทางซื่อตรงที่ถือกระบี่ไม้กลับเชื่อไปแล้วถึงเจ็ดแปดส่วน ซักถามต่ออีกว่า “แล้วเจ้าได้เรียนเวทกระบี่มาจากจอมยุทธ์ใหญ่พวกนั้นหรือไม่? หากเจ้าสามารถแสดงวิชากระบี่ให้พวกเราได้เห็น ข้าก็จะเชื่อว่าเจ้าคือมือกระบี่จริงๆ หากเป็นไปได้ ถึงเวลานั้นเจ้าก็รับข้าเป็นลูกศิษย์ได้ไหม? ข้าอยากเรียนเวทกระบี่กับเจ้า ไม่ใช่แค่ฟันดอกน้ำมันได้อย่างเดียว ยกตัวอย่างเช่นเมื่อเจ้าฟันกระบี่ลงไปก็สามารถทำให้สะพานของหมู่บ้านเราขาดท่อน ข้าก็จะกราบเจ้าเป็นอาจารย์ขอเรียนวิชาจากเจ้าเดี๋ยวนี้เลย!”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่
ด้วยวิชากระบี่ของตนเนี่ยนะ คิดจะกราบเขาเป็นอาจารย์ ขอเรียนวิชาจากเขา?
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าพื้นที่ร้อยลี้รอบรัศมีของบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุนแห่งนี้คือดินแดนสวรรค์ในอุดมคติที่มีชื่อเสียงของนครมังกรเฒ่า แม้ว่าชาวบ้านที่อยู่ที่นี่มาหลายยุคหลายสมัยจะเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาทั่วไป แต่ก็มียอดฝีมือหลายคนคอยเฝ้าพิทักษ์อย่างลับๆ ช่วยจับตามองฮวงจุ้ยของของบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน ไม่ให้ถูกคนนอกทำลาย เพียงแต่ว่าบนภูเขาและล่างภูเขามองดูเหมือนต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่ในความเป็นจริงแล้วก็มีบางสถานการณ์ที่เทพเซียนอยู่ตรงหน้า แต่คนไม่รู้ก็เท่านั้น นอกจากผู้เฒ่าสองท่านของบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุนแล้ว ยังมีคนตัดต้นไม้อีกคนหนึ่งที่ไปสร้างกระท่อมอยู่อย่างสันโดษบนภูเขา รวมไปถึงผู้เฒ่าอีกคนหนึ่งที่แตกกิ่งก้านสาขามีลูกหลานเต็มบ้านอยู่ที่นี่ พวกเขาต่างก็เป็นผู้ฝึกลมปราณใหญ่ที่แท้จริง สามคนคือขอบเขตโอสถทอง อีกคนคือขอบเขตก่อกำเนิด มีทั้งบรรพบุรุษสกุลซุนสาขาแยกที่ไม่สนใจเรื่องทางโลก แล้วก็มีทั้งยอดฝีมือที่หนีภัยมาเร้นกายอยู่ที่นี่ แน่นอนว่าก็มีคนที่ถูกตระกูลซุนจ้างมาด้วยเงินจำนวนมหาศาล หวั่นไหวเพราะทรัพย์สิน เทพเซียนเองก็เลี่ยงเรื่องแบบนี้ไม่ได้ ถึงอย่างไรเงินที่รับมาแต่ละปีก็ล้วนเป็นเงินฝนธัญพืช (คือฝนที่ตกมาทำให้ธัญพืชที่ปลูกเจริญเติบโตงอกงาม ตรงกับวันที่ 19 20 หรือ 21 เมษายน)
เวลานี้ผู้ฝึกลมปราณใหญ่ทั้งสี่ท่านมารวมตัวกันอยู่หน้ากระท่อมของคนตัดต้นไม้ เพราะว่าที่นี่เป็นหนึ่งในตาของค่ายกล คนตัดต้นไม้ที่ลักษณะเหมือนชายฉกรรจ์แข็งแรงจึงโบกมือหนึ่งครั้ง ลมภูเขาและไอน้ำลอยตัวมารวมกันเป็นม้วนภาพวาดภาพหนึ่ง สายตาของทุกคนมองตามไปที่เงาร่างของเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่ฝึกวิชาหมัดเลียบริมน้ำตลอดเวลา คนทั้งสี่เริ่มวางเดิมพันเกี่ยวกับขอบเขตของคนผู้นี้ มีคนบอกว่าในเมื่อเป็นเพื่อนของซุนเจียซู่ก็น่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์โดดเด่นคนหนึ่ง ปณิธานหมัดที่แผ่อวลตลอดทั้งร่างเป็นเพียงแค่การปิดบัง ต้องเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตถ้ำสถิตที่อายุยังน้อย มีคนค้าน บอกว่าไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นห้าขอบเขตกลาง ส่วนที่เหลืออีกสองคนกำลังเถียงกันว่าเด็กหนุ่มคือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่หรือขอบเขตห้ากันแน่ คนหนึ่งในนั้นบอกว่าเด็กหนุ่มคือขอบเขตสี่ที่สร้างรากฐานไว้ได้ดีเยี่ยม ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้าธรรมดาทั่วไป นอกจากที่เด็กหนุ่มจะมีพรสวรรค์ดีเยี่ยมแล้ว ยังต้องมียอดฝีมือคอยให้ความช่วยเหลือมาตั้งแต่เด็ก คือลูกหลานตระกูลผู้สูงศักดิ์ที่บอบบาง และไม่แน่ว่าอาจจะถือกำเนิดในตระกูลที่คงอยู่มานานนับพันปี ร่ำรวยจนตั้งตัวเป็นศัตรูกับแคว้นได้เลย
แม้ว่าเทพเซียนทั้งสี่จะถกเถียงกันจนหน้าดำหน้าแดง แต่กลับดูอารมณ์ดีกันไม่น้อย
……
ร้านยาขนาดเล็กของเมืองใน ชายฉกรรจ์ที่ไม่เอาไหนคนนั้นยกม้านั่งออกมานั่งในตรอกอีกครั้ง เพียงแต่ว่าวันนี้ไม่ได้พกเมล็ดแตงมานั่งแทะ แต่เอาหนังสือเบ็ดเตล็ดเล่มหนึ่งที่ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนไหนในร้านซื้อมา ในหนังสือเขียนเรื่องราวลวงโลกไว้มากมาย ส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวและคำสอนของอริยะลัทธิเต๋าและลัทธิขงจื๊อ เขียนหลักการยิ่งใหญ่ที่เกินจริงดั่งสองเท้าลอยเหนือพื้นดินหนึ่งแสนแปดพันลี้ ในอดีตชายฉกรรจ์เคยอ่านหนังสือพวกนี้ซะที่ไหน เพียงแต่ว่านั่งอยู่ในตรอกมานานขนาดนี้ ไม่มีผู้หญิงคนไหนเต็มใจอยากจะเสวนากับเขาสักที ทำให้ชายฉกรรจ์รู้สึกว่าบางทีอาจเป็นเพราะบนร่างของตนไม่มีกลิ่นอายของตำรา หยิบหนังสือมาพลิกอ่านดู ไม่แน่ว่าอาจมีเรื่องน่ายินดีที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นก็ได้
ในช่วงฤดูร้อนที่อากาศร้อนจัด เสื้อผ้าที่พวกสตรีสวมใส่จะบางมากกว่าปกติ ชายฉกรรจ์นั่งอยู่ใต้ร่มไม้เล็ก แสร้งทำเป็นอ่านหนังสือ แต่อันที่จริงหางตาคอยแอบชำเลืองมองหุ่นและหน้าตาของพวกผู้หญิงอยู่ตลอดเวลาเหมือนเม็ดเหงื่อที่เกาะแนบผิวหนัง เห็นผู้หญิงโตเต็มวัยคนหนึ่งที่มีรูปร่างเย้ายวน ชายฉกรรจ์มองนางแล้วเหมือนวิญญาณถูกล่อลวงไป พึมพำอยู่ในใจตัวเองว่าสะโพกกว้างกว่าไหล่ น่าจะสร้างความสำราญได้ดั่งเป็นเทพเซียน
น่าเสียดายก็แต่ชายฉกรรจ์ค้นพบว่าตนหยิบตำรามาวางท่าเป็นคนมีความรู้แล้ว แต่ก็ยังไม่มีผู้หญิงคนไหนเต็มใจอยากจะมองเขาสักครั้ง
เว้นจากผู้หญิงบางคนที่มาอีกแล้ว เอวอย่างกับถังน้ำ ใบหน้ามีแต่กระ กรามใหญ่กว่าก้นของชายฉกรรจ์ซะอีก ชายฉกรรจ์หน้ามุ่ย ในที่สุดก็เริ่มอ่านหนังสืออย่างตั้งใจ หญิงสาวที่อาศัยอยู่ไม่ไกลจากร้านยาเดินกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ เอวไม่ใช่บิดส่าย แต่เป็นแกว่งไกว ชายฉกรรจ์ก็ยังแสร้งทำเหมือนคนตาบอดอยู่อย่างนั้น ภายหลังหญิงสาวทนกับอากาศที่ร้อนระอุไม่ไหวจริงๆ มองชายที่ตนชอบพอด้วยความอาลัยอาวรณ์อยู่ครู่หนึ่ง แล้วกลับบ้านไปด้วยความพึงพอใจ
ชายฉกรรจ์พลิกเปิดหนังสือเร็วมาก สุดท้ายมาหยุดอยู่บนหน้าที่บันทึกเรื่องของอริยะใหญ่ลัทธิเต๋าที่มีคำต่อท้ายว่า ‘จื่อ’ ซึ่งเคยได้เล่าเรื่องราวหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับ ‘เรือกลวง’ เพื่อใช้มันมาบรรยายหลักสัจธรรมแห่งมรรคาที่ยิ่งใหญ่ เล่าว่ามีคนนั่งเรือลำเล็กล่องไปในแม่น้ำ มีเรือเล็กอีกลำลอยตรงเข้ามา คนผู้นั้นจึงออกเสียงเอ่ยเตือนสามครั้ง แต่เรือก็ยังชนกันอยู่ดี คนผู้นั้นจึงด่าทออย่างอารมณ์เสีย สุดท้ายค้นพบว่าบนเรืออีกลำไม่มีคน เขาจึงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
และหลังจากนั้นมาก็มีอริยะนำเรื่องราวเหล่านี้ถ่ายทอดให้แก่คนรุ่นหลัง อริยะท่านนั้นกล่าวว่า ‘ไปมาเพียงลำพัง คือคำว่าเฉพาะตัว คนที่มีความเฉพาะตัว ก็คือคนที่ล้ำค่าสูงส่ง’
อริยะยังกล่าวอีกว่า ‘มีเพียงบุคคลที่สูงส่งจึงจะอยู่บนโลกเหมือนล่องลอยอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า ไม่จำเป็นต้องหลบเลี่ยงใคร’
ชายฉกรรจ์ไม่คิดว่านี่เป็นคำพูดที่เหลวไหล เขายังถึงขั้นเข้าใจความหมายแท้จริงที่ซ่อนอยู่ในประโยคเหล่านี้ด้วย เพียงแต่ว่าต่อให้เข้าใจหลักการที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้ก็ยังไม่มีประโยชน์ต่อเขา
เพราะเขากับอริยะลัทธิเต๋าคนนั้นไม่ใช่คนบนเส้นทางเดียวกัน
ต่อให้เป็นโรงเรียนของอาจารย์คนนั้น เขาก็เคยไปแอบฟังอยู่หลายครั้ง เหตุผลทุกข้อเขาเข้าใจทั้งหมด ต่อให้เป็นความรู้บางส่วนที่ค่อนข้างลึกซึ้ง เขาก็ยังตระหนักรู้ได้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีประโยชน์ต่อตบะของตัวเขาเองอยู่ดี
แต่เรื่องหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจมากที่สุดก็คือศิษย์พี่ที่ฝึกตนอยู่ในสถานที่เล็กๆ เหมือนกันกับเขา ไอ้หมอนั่นวันๆ ทำแต่งานหยาบๆ เหมือนชาวบ้านในชนบททั่วไป แต่ขอบเขตกลับทะยานเอาทะยานเอา ไปที่วังหลวงต้าสุยมารอบหนึ่ง ตอนนี้ไอ้หมอนั่นยังถึงขั้นกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบไปแล้ว อาจารย์ที่ชอบด่าตนตลอดทั้งปีทั้งชาติยังพูดเป็นประจำว่าการตระหนักรู้แจ้งของศิษย์พี่ผู้นั้นดีมาก
เขาไม่ได้เกลียดแค้นอาจารย์และศิษย์พี่เพราะสาเหตุนี้ แค่คิดไม่ตกเท่านั้น ดังนั้นหลายปีมานี้เขาจึงใช้ชีวิตไม่เอาไหนไปวันๆ แม้แต่ใจที่อยากจะพิสูจน์ตัวเองกับอาจารย์ก็ยังไม่มี เป็นเหตุให้ยิ่งคับอกคับใจมากขึ้น
จนกระทั่งอาจารย์ไล่เขาออกจากเมืองเล็กทางทิศเหนือมายังนครมังกรเฒ่าแห่งนี้
เขาไม่มีคำบ่นหรือความไม่พอใจใดๆ
เขาเพียงแค่เป็นห่วงว่าท่านผู้อาวุโสอยู่ในเมืองเล็กเพียงลำพัง หลี่เอ้อร์จากไปแล้ว ไม่มีคนให้ชม เขาจากมาแล้ว ไม่มีคนให้ด่า ผู้เฒ่าที่สูบยาตั้งแต่เช้าจรดค่ำทุกวันจะเบื่อหน่ายแค่ไหน?
เขาที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวซึ่งอยู่ในขอบเขตแปดขั้นสูงสุดมานานแล้วต้องมาเฝ้าอยู่ในร้านยาเล็กๆ ร้านหนึ่งทั้งวัน ปากก็ค่อยพูดจาหวานเลี่ยนแทะโลมสาวๆ ขายาวทั้งหลาย
วันหนึ่งอาจารย์ที่นานๆ ทีจะทนคุยกับเขาได้นานพูดกับเขามากกว่าปกติอย่างที่หาได้ยาก แต่ประโยคที่พูดนั้นกลับเป็นดั่งข้อสรุปตอกปิดฝาโลงซึ่งไม่เป็นมงคลอย่างยิ่ง ‘ชีวิตนี้เจ้าเจิ้งต้าเฟิงอย่าได้หวังว่าจะเลื่อนสู่ขอบเขตเก้าเลย’
ชายฉกรรจ์ปิดหนังสือ เอามาทำพัดพัดที่ข้างหูของตัวเองแรงๆ
จากนั้นเขาก็หน้าดำ หิ้วม้านั่งขึ้นแล้วเผ่นกลับเข้าไปในร้านยาอย่างคล่องแคล่ว
ที่แท้ผู้หญิงคนนั้นที่บังอาจลอบมองความหล่อเหลาของเขายังไม่ยอมถอดใจ นางกลับไปเปลี่ยนชุดที่งดงามสดใสมากกว่าเดิมแล้วออกมาเดินเยื้องย่างไปมาอยู่ในตรอกอีกครั้ง
กลับมาที่ร้านด้วยความอกสั่นขวัญผวา ชายฉกรรจ์ก็นอนพังพาบอยู่บนเก้าอี้ของเถ้าแก่ แต่แล้วจู่ๆ ดวงตาเขาก็เป็นประกาย กระดกก้นขึ้นเอามือลูบไปบนเก้าอี้ ว้าว ที่แท้ก็มีสาวงามแอบมานั่ง บนผิวเก้าอี้ถึงยังมีความอุ่นหลงเหลืออยู่ แต่จะปล่อยให้เสียเปล่าไม่ได้ เขาจึงรีบเอาก้นไปถู
สายตาของเด็กสาวอายุน้อยคนหนึ่งฉายความอาฆาต ควักเหรียญทองแดงสองสามเหรียญกระแทกใส่มือของสตรีวัยที่สมควรแต่งงานคนหนึ่งอย่างไม่เต็มใจ จากนั้นก็หันไปถลึงตามองเถ้าแก่ร้านอย่างดุดัน
ชายฉกรรจ์เข้าใจได้ทันที จึงหัวเราะหึหึอยู่ในใจ ผู้หญิงพวกนี้เอาตนมาเดิมพันนี่นา อยากดูว่าตนจะฉลาดจนสัมผัสได้ถึงไอความร้อนจากร่างกายของสาวงามหรือไม่ ซุกซนกันจริงๆ
มีคนเข้ามาที่ร้าน คือเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่ง ดูจากการแต่งกายของเขาก็มองออกว่าต้องเป็นคนมีเงิน แต่มีเงินมากน้อยเท่าไหร่ ถึงอย่างไรสตรีทั้งหลายในร้านยาก็มีชาติกำเนิดจากสังคมของชาวบ้านร้านตลาด สายตาจึงค่อนข้างตื้นเขิน มองไม่ออก ทว่าบุรุษชอบมองสาวงาม แล้วทำไมสตรีจะชอบมองผู้ชายที่หล่อเหลาบ้างไม่ได้?
เหล่าสาวงามในร้านยามีสีหน้าสดชื่นแจ่มใสกันขึ้นมาทันที แต่ชายฉกรรจ์กลับห่อเหี่ยว พูดอย่างมีอารมณ์แต่ไร้เรี่ยวแรง “เจ้าเด็กตระกูลฟ่าน มาทำอะไรอีก?”
เผชิญหน้ากับชายฉกรรจ์ท่าทางสกปรกมอซอ เด็กหนุ่มคนนั้นมีท่าทางระมัดระวังตัวอย่างเห็นได้ชัด แต่เขาก็พยายามอดกลั้นความอึดอัดในใจ ใช้สองนิ้วคีบม้านั่งตัวเล็กมานั่งลงข้างกายชายฉกรรจ์ ถามเสียงเบา “อาจารย์เจิ้ง บิดาให้ข้ามาถามว่า เมื่อไหร่ท่านถึงจะสามารถสอนวิชาหมัดให้ข้าได้อย่างเป็นทางการ?”
ชายฉกรรจ์ตอบอย่างขอไปที “เจ้าเด็กฟ่าน เลื่อนจากขอบเขตสามไปขอบเขตสี่จะรีบร้อนไม่ได้”
เด็กหนุ่มหน้าเจื่อน แต่ก็ไม่กล้าเร่งรัดอาจารย์เจิ้งท่านนี้
ชายฉกรรจ์คิดถึงข้อที่ว่าตั้งแต่ต้นจนจบความรู้ที่ตนสอนให้เด็กหนุ่มคนนี้แค่งูๆ ปลาๆ มีค่าแค่ไม่กี่ตำลึง เทียบกับมูลค่าของร้านยาเมืองในร้านนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้าและหกก็สามารถสอนเขาได้
—–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น