ยอดหญิงสกุลเสิ่น 253.1-254.1

ตอนที่ 253-1 ห้องลับกักขังผู้ใด

 

ไท่จื่อไม่ฟังเสด็จแม่ของเขา ฟ้องร้องผิงจวิ้นอ๋องต่อหน้าเสด็จพ่อ นี่ไม่ใช่การกระทำของสตรีหรอกหรือ เขาคือไท่จื่อ มุมมองต่อสภาพการณ์จะน้อยเพียงนี้หรือไร เช่นนั้นเสด็จพ่อจะมองเขาอย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นผิงจวิ้นอ๋องก็เป็นญาติผู้พี่ของเขา เขาจะโง่พูดเรื่องเล็กน้อยของเขาต่อหน้าเสด็จพ่อได้อย่างไร


 


 


ฮองเฮาเหนียงเหนียงไม่มีความตระหนักรู้นี้ นางคิดว่าบ้านฝั่งมารดาของตนได้รับความไม่เป็นธรรม พาให้ไท่จื่อเสียหน้าไปด้วย ต่อให้ผิงจวิ้นอ๋องจะได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้แต่ก็เป็นเพียงหลานชาย หลานชายจะใกล้ชิดกว่าลูกชายได้อย่างไร


 


 


ด้วยเหตุนี้เมื่อเห็นจังหวะที่ฮ่องเต้ยงเซวียนเสด็จเข้ามาในตำหนักนางนางก็พูดเรื่องผิงจวิ้นอ๋องเชื่อถือไม่ค่อยได้นักหลายประโยคอย่างคล้ายหยอกล้อ ฮ่องเต้ยงเซวียนที่เดิมมีความสุขอย่างยิ่งก็ขมวดคิ้วในชั่วพริบตา ความคิดที่เดิมจะบรรทมในพระตำหนักคุนหนิงก็หมดไปทันที สะบัดมือของฮองเฮาเหนียงเหนียงยกเท้าเดินออกไป ทิ้งให้ฮองเฮาเหนียงเหนียงโมโห แทบจะกัดจนฟันแตกเป็นเสี่ยง


 


 


ทุกๆ การกระทำของฮ่องเต้ยงเซวียนต่างก็ถูกวังหลังจับจ้อง ข่าวฮ่องเต้ยงเซวียนออกจากตำหนักคุนหนิงของฮองเฮาเหนียงเหนียงกลางดึกดังไปถึงหูของเหยียนกุ้ยเฟยกับฉินซูเฟยและคนอื่นๆ ด้วยความรวดเร็วอย่างยิ่ง


 


 


เหยียนกุ้ยเฟยเพียงแค่เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ แต่กลับไม่ได้พูดอะไร ฉินซูเฟยก็ดีใจบนความทุกข์ของผู้อื่นอย่างมาก สั่งขันทีคนสนิทข้างกาย “พรุ่งนี้ไปสืบมา ดูสิว่าเป็นเพราะเรื่องอันใด” ไม่ว่าจะเป็นเพราะเรื่องใด ได้เห็นฝ่าบาทไม่ไว้หน้าฮองเฮาเหนียงเหนียงแม้แต่นิดเดียว จิตใจนางก็สบายอารมณ์ยิ่งนัก


 


 


ทว่า เรื่องที่ทำให้ฮองเฮาเหนียงเหนียงเดือดดาลยังตามมาทีหลัง เช้าตรู่วันเดียวกัน ฮ่องเต้ยงเซวียนชมเชยผิงจวิ้นอ๋องสวีโย่วต่อหน้าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ทั่วท้องพระโรง เมื่อออกว่าราชการเสร็จแล้ว บำเหน็จของฮ่องเต้ยงเซวียนก็มาถึงจวนผิงจวิ้นอ๋อง


 


 


เดิมทุกคนก็มีท่าทีเฝ้าสังเกตการณ์เรื่องที่ผิงจวิ้นอ๋องมีเรื่องกับจวนเฉิงเอินกง นอกจากผู้ตรวจการเล็กๆ ที่ไม่รู้จักเปิดหูเปิดตาไม่กี่คนกระโดดออกไปยื่นมติไม่ไว้วางใจผิงจวิ้นอ๋องแล้ว คนที่เหลือต่างก็ปิดปากไม่พูด


 


 


ตอนนี้การกระทำนี้ของฮ่องเต้ยงเซวียนทุกคนยังมีอะไรไม่เข้าใจอีก คนที่รอดูเรื่องสนุกก็รีบเก็บความคิด บ้านฝั่งมารดาของฮองเฮาเหนียงเหนียง บ้านตาของไท่จื่อแล้วอย่างไร ยังคงได้รับความโปรดปรานไม่เท่าผิงจวิ้นอ๋องด้วยซ้ำ!


 


 


สีหน้าของไท่จื่อย่ำแย่อย่างมาก แม้เสด็จพ่อของเขาจะไม่เอ่ยถึงความผิดของจวนเฉิงเอินกงแม้แต่ประโยคเดียว และยังไม่ได้ลงโทษอะไร แต่เขาปูนบำเหน็จให้ผิงจวิ้นอ๋องมหาศาลไม่ใช่การแสดงท่าทีแล้วหรือ


 


 


โดยเฉพาะไท่จื่อที่รู้ว่าเรื่องนี้ยังเป็นฝีมือของเสด็จแม่เขา ก็ยิ่งลำบากใจ บ้านตาเป็นตัวถ่วงเขา เสด็จแม่ยังสร้างปัญหาเพิ่มอีก ไท่จื่อเช่นเขาก็โชคร้ายอย่างมากจริงๆ


 


 


ออกว่าราชการเสร็จแล้วเขาก็ไปขอโทษต่อหน้าฮ่องเต้ยงเซวียนแทนเสด็จแม่ของเขา ฮ่องเต้ยงเซวียนไม่ได้โมโห เขามองลูกชายที่เขาเลี้ยงมากับมือผู้นี้ กล่าวอย่างเรียบง่าย “เจ้าคือเจ้า เสด็จแม่เจ้าก็คือเสด็จแม่เจ้า เจ้าเป็นมกุฎราชกุมาร ตั้งแต่เล็กก็ได้รับการสั่งสอนจากขุนนางและปราชญ์ชื่อดังหนึ่งกลุ่ม ยังไม่เข้าใจแม้แต่หลักการเช่นนี้หรือ ไท่สื่อเจ้าจงจำไว้ เป็นผู้ปกครองต้องมีจิตใจที่โอบอุ้มใต้หล้า ไม่อาจเลือกข้างแต่คนที่สนิทกับตน ใจแคบเหมือนไส้ไก่”


 


 


ผู้ตรวจการที่ยื่นมติไม่ไว้วางใจผิงจวิ้นอ๋องไม่กี่คนนั้นก็น่าขำจริงๆ เจ้าจะยื่นมติไม่ไว้วางใจ ก็ต้องหาโทษที่ถูกต้องตามกฎหมายมามิใช่หรือ ใช้อำนาจแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน เหอๆ พวกเขายังกล้าพูดจริงๆ


 


 


ผิงจวิ้นอ๋องเป็นคนโหยหาอำนาจหรือ แม้แต่ตำแหน่งผู้บัญชาการกองปัญจทิศรักษานครนี้ยังเป็นตนที่ยืนกรานยัดให้เขา แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนหรือ เขายังต้องแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนอีกหรือ ไม่ต้องพูดถึงสินเดิมสิบลี้นั่นของคุณหนูสี่แซ่เสิ่น เพียงแค่สินเดิมของต้วนซื่อแม่แท้ๆ ของผิงจวิ้นอ๋องก็เพียงพอให้ใช้จ่ายไปสามชาติแล้ว


 


 


คนอื่นไม่รู้ฐานะของต้วนซื่อ แต่ฮ่องเต้ยงเซวียนผู้เป็นฮ่องเต้ย่อมรู้ดี ฮ่องเต้องค์ก่อนตอนที่ยังทรงพระเยาว์มีหญิงงามหวานใจที่รักที่สุดผู้หนึ่ง ท้ายที่สุดแล้วทั้งสองไม่อาจลงเอยกันได้ สุดท้ายหญิงผู้นั้นก็แต่งงานกับคนอื่นตามสามีออกไปอยู่อย่างสันโดษ ภายหลังไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น หญิงผู้นั้นและสามีเสียชีวิตทั้งคู่ เหลือเพียงลูกสาวก็คือต้วนซื่อ ก่อนตายหญิงผู้นั้นฝากฝังลูกสาวไว้ให้ฮ่องเต้องค์ก่อนดูแล


 


 


ฮ่องเต้องค์ก่อนเสียพระทัยอย่างยิ่ง ดูแลต้วนซื่อเหมือนลูกสาวแท้ๆ ตามคำสัญญา ตอนที่นางออกเรือนสินเดิมที่ฮ่องเต้องค์ก่อนเตรียมให้อย่างน้อยก็ครึ่งท้องพระคลัง ตอนนี้ทั้งหมดอยู่ในมือของผิงจวิ้นอ๋อง เขาไม่มีอะไรทำหรือถึงต้องแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน


 


 


เหอะ ไม่มีผู้ตรวจการโจวดูแลกรมตรวจการราชสำนักไม่ได้เลยจริงๆ! ตอนนี้ฮ่องเต้ยงเซวียนคิดถึงผู้ตรวจการโจวที่ถูกเขาส่งไปขังอยู่ทางตอนเหนืออย่างถึงที่สุด ไม่รู้เหมือนกันว่าคดีของแม่ทัพอันเขาตรวจสอบไปถึงไหนแล้ว


 


 


สบสายตาที่แฝงความนัยของเสด็จพ่อเหงื่อของไท่จื่อก็ไหลออกมา เสด็จพ่อหมายความว่าอย่างไร ไม่พอใจเขาแล้ว หรือว่ารังเกียจที่เขาใจกว้างไม่พอ ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็เพียงพอให้เขาอกสั่นขวัญแขวนได้ทั้งสิ้น อดเกลียดชีเว่ยตัวสร้างหายนะอีกครั้งไม่ได้


 


 


เร็วอย่างยิ่งฉินซูเฟยก็รู้แล้วว่าฮองเฮายั่วโมโหฮ่องเต้ยงเซวียน มุมปากยกขึ้น กล่าวกับองค์ชายรองด้วยความเหยียดหยามอย่างถึงที่สุด “เห็นแล้วหรือยัง นั่นก็คือคนโง่” นางบอกเป็นนัยไปยังทิศของตำหนักคุนหนิง คนที่ทำให้นางไม่ยินยอมก็คือคนที่โง่เพียงนี้แต่ตลอดมากลับกดอยู่บนหัวนาง


 


 


อารมณ์ที่กลัดกลุ้มขององค์ชายรองก็ดีขึ้นเล็กน้อย ในที่สุดก็ไม่ได้มีเพียงบ้านตาของเขาที่เป็นตัวถ่วงแล้ว มีไท่จื่อรับโทษด้วย ความกดดันบนตัวเขาก็เบาลงไม่น้อยในชั่วพริบตา


 


 


“เสด็จแม่ ท่านเห็นแล้วใช่หรือไม่ เสด็จพ่อปกป้องผิงจวิ้นอ๋องยิ่งนัก” องค์ชายรองฉวยโอกาสโน้มน้าวเสด็จแม่อีกครั้ง


 


 


ฉินซูเฟยที่กำลังอารมณ์ดีก็หมดอารมณ์ในชั่วขณะ โบกมือกล่าวอย่างหงุดหงิด “พอแล้ว พอแล้ว รู้แล้ว เจ้าคิดว่าแม่เจ้าเป็นคนโง่หรือ วางใจเถอะ ไม่เพิ่มภาระให้เจ้าหรอก”


 


 


หยุดครู่หนึ่งคล้ายนึกอะไรขึ้นได้จึงกล่าว “ภรรยาเจ้าไม่มีความคืบหน้าหรือ แต่งงานมานานเพียงนี้แล้ว เสด็จพ่อเจ้าให้ความสำคัญกับทายาท เจ้าเองก็ใส่ใจให้มากหน่อย อย่าเอาแต่ทุ่มเทให้งานทั้งวัน หากเจ้ามีบุตรชายได้ ก็ดียิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น”


 


 


ดวงตาองค์ชายรองกะพริบวาบ กลับไม่ได้คัดค้าน “เสด็จแม่วางใจ ลูกทราบแล้ว”


 


 


ทว่าฉินซูเฟยกลับเชิดคาง แค่นเสียงหนึ่งครา รู้แล้วมีประโยชน์บ้าอะไร บอกเขาแล้วว่าทายาทสำคัญ มีครั้งไหนบ้างที่ไม่ใช่ตอบปากรับคำอย่างขอไปที นี่ก็ผ่านมาหนึ่งปีแล้ว ในจวนเขายังไม่มีสักคนที่ตั้งท้อง อู๋ซื่อ คิดถึงลูกสะใภ้ผู้นั้นของนาง ซูเฟยก็อยากพูดอีกหลายประโยคอย่างอดไม่ได้ แต่เมื่อนึกถึงพ่อที่เป็นแม่ทัพผู้นั้นของลูกสะใภ้ นางอ้าปากแล้วก็ยังคงอดทนไว้


 


 


เสิ่นเวยพลิกดูบำเหน็จของฮ่องเต้ยงเซวียนรอบหนึ่ง หลังจากนั้นก็มองสวีโย่วแล้วกล่าว “ความรู้สึกของการมีคนหนุนหลังสบายใจจริงๆ”


 


 


มุมปากสวีโย่วกระตุกเล็กน้อย เรื่องนี้เขามีเหตุผลรู้หรือไม่ หากเขาสลับตำแหน่งกับชีเว่ย ต่อให้ฝ่าบาทจะโปรดปรานเขาก็ไม่อาจหนุนหลังเขาอย่างมีเหตุมีผลเช่นนี้ได้


 


 


เสิ่นเวยกล่าวต่อ “ฟังว่าคบไฟอันที่สองกับอันที่สามของท่านก็จุดแล้วงั้นหรือ ทำเอาไก่อ่อนพวกนั้นร้องไห้หาพ่อหาแม่เลยทีเดียว”


 


 


สวีโย่วพยักหน้า “แม้จะบอกว่ากองปัญจทิศรักษานครเทียบกองทหารรักษาพระองค์กับค่ายใหญ่ซีซานไม่ได้ แต่ก็ไม่อาจด้อยเกินไปได้ แม้แต่โจรกระจอกยังจับไม่ได้ ขายหน้ายิ่งนัก” อย่างไรเสียก็เป็นดินแดนของพวกเขาตระกูลสวี ในเมื่อเขาได้รับหน้าที่นี้แล้ว ก็ต้องทุ่มเทแรงบ้าง อีกทั้งกองปัญจทิศรักษานครก็ควรจะปรับปรุงได้แล้ว แม้แต่เด็กรับใช้ในจวนเขายังเทียบไม่ได้ หวังจะให้พวกเขาดูแลความปลอดภัยในเมืองหลวงงั้นหรือ ฝันไปเถอะ


 


 


เสิ่นเวยเองก็รู้สึกขายหน้า มีครั้งหนึ่งนางเคยเห็นกับตาตัวเองว่าเจ้าหน้าที่ของกรมปัญจทิศรักษานครจับคนไม่ได้แต่กลับถูกคนตี ยังคงเป็นนางที่สั่งคนเข้าไปช่วย นี่เองก็เป็นเหตุผลที่นางรู้สึกตกใจตั้งแต่แวบแรกที่ได้ยินว่าสวีโย่วได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการกองปัญจทิศรักษานคร สามีที่หาญกล้าและใจดำอย่างถึงที่สุดของนางจะนำคนไร้ประโยชน์หนึ่งกลุ่มได้อย่างไร


 


 


วันนี้ตอนที่ฉินมู่หรานเดินทาง ท่านเสนาบดีฉินนำคนทั้งหมดในจวนมา พ่อบ้านหนึ่งคนเด็กรับใช้สี่คนที่ร่วมเดินทางไปพร้อมเขารอคำสั่งอยู่ข้างๆ แล้ว


 


 


เป็นถึงคุณชายน้อยของจวนเสนาบดี สวัสดิการของฉินมู่หรานดีอย่างยิ่งมาโดยตลอด ไม่เพียงแต่ไม่ต้องใส่เครื่องจองจำ ก่อนออกเดินทางยังอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่ แม้แต่ผมก็ยังหวีอย่างเป็นระเบียบที่สุด


 


 


แต่นายหญิงผู้เฒ่าฉินกับต่งซื่อที่ลงมาจากรถยังคงเห็นตั้งแต่แวบแรกว่าเขาผอมลง จับแขนของเขาร้องไห้เงียบๆ ฉินมู่หรานเห็นแม่กับย่าเขา ก็เหมือเห็นผู้ช่วยชีวิต กอดคนทั้งสองอ้อนวอน “ท่านย่า ท่านแม่ ข้าอยากกลับจวน ข้าไม่อยากไปเจียงโจว ข้าเชื่อฟัง จะไม่ก่อเรื่องอีกแล้ว ท่านย่า ท่านให้ข้ากลับจวนเถิด” คืนวันเหล่านี้ในคุกเขานับว่าทนทุกข์ทรมานมาพอแล้ว แม้พ่อเขาจะเตรียมคนมาดูแล แต่ต่อให้จะดูแลนั่นก็เป็นห้องขัง เพียงแค่หนูที่ออกมาหาอาหารทุกคืนก็ทำให้เขากลัวจนอกสั่นขวัญหายแล้ว


 


 


หัวใจของนายหญิงผู้เฒ่าฉินกับต่งซื่อแทบจะแตกร้าว “หลานสุดรัก หลานสุดรักของข้า!” นายหญิงผู้เฒ่าฉินลูบใบหน้าของฉินมู่หราน ในใจประหนึ่งถูกมีดกรีด


 


 


ส่วนต่งซื่อก็ร้องขอกับท่านเสนาบดีฉินอย่างอดไม่ได้แล้ว “ท่านเสนาบดี หรานเอ๋อร์ไม่ไปแล้วได้หรือไม่ เด็กรับใช้บ่าวรับใช้มากมายเช่นนี้ เลือกมาแทนหรานเอ๋อร์สักคนไม่ได้หรือ หากยังไม่พอ ในจวนก็มีบุตรหลานไม่น้อย พวกเรา ตระกูลพวกเราออกเงินให้มากหน่อย จะต้องหา…”


 


 


“หุบปาก” พูดยังไม่ทันจบก็ถูกท่านเสนาบดีตะโกนห้าม หญิงโง่ เป็นหญิงโง่ที่สุดจริงๆ ภายใต้สายตาที่จับจ้องก็คิดจะให้บ่าวกับบุตรหลานในตระกูลมาแทนที่หรานเอ๋อร์ นี่ไม่ใช่การส่งจุดอ่อนไปในมือผู้อื่นหรือ แผนที่เขาวางไว้อย่างดีถูกหญิงโง่ผู้นี้เอ่ยปากทำลายแล้ว


 


 


เดิมทีท่านเสนาบดีฉินยังมีความคิดเช่นนี้จริงๆ เพียงแต่ไม่ใช่ตอนนี้ แต่เป็นระหว่างทาง ติดสินบนผู้คุมให้มากหน่อย ค่อยๆ เปลี่ยนตัวหรานเอ๋อร์ออกมาใครจะรู้


 


 


ตอนนี้ไม่ได้แล้ว ถูกต่งซื่อหญิงโง่ผู้นี้เอ่ยปากเน่าๆ ทำลายแล้ว คนในที่ลับจะต้องจับจ้องไม่ให้คลาดสายตาเป็นแน่ หากคิดจะเปลี่ยนตัวหรานเอ๋อร์อีกก็ยากแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 253-2 ห้องลับกักขังผู้ใด

 

สายตาที่นิ่งขรึมของท่านเสนาบดีฉินจ้องมองต่งซื่อ รู้สึกเพียงหงุดหงิดใจ กล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดี “พอแล้ว อย่าเสียเวลาเลย ให้หรานเอ๋อร์เดินทางเถิด เส้นทางนี้ก็ลำบากพี่ชายผู้คุมทั้งสองท่านแล้ว”


 


 


เจ้าหน้าที่ผู้คุมตัวฉินมู่หรานทั้งสองคนนั้นตกใจที่ได้รับความโปรดปราน นี่คือท่านเสนาบดีฉินเชียวนะ ปกติพวกเขาไหนเลยจะเห็นหน้าท่านเสนาบดีฉินได้ ตอนนี้ไม่เพียงแต่ได้เห็น ท่านเสนาบดีฉินยังเป็นมิตรกับพวกเขาอีก พวกเขาต่างก็ตื่นเต้นจนหน้าแดง ตบอกรับปาก “ท่านเสนาบดีวางใจ มีพวกข้าสองคนอยู่ ไม่อาจลำบากคุณชายน้อยตระกูลฉินแน่นอน” แม้ว่าจะลำบากพวกเขาเองก็ไม่อาจสร้างความลำบากให้ลูกรักของท่านเสนาบดีฉินได้!


 


 


แม้ฉินมู่หรานจะไม่ยินดีแต่ก็ต้องเดินทางตามเจ้าหน้าที่ไปอย่างอาลัยอาวรณ์ พ่อบ้านและเด็กรับใช้สี่คนโขกศีรษะให้ท่านเสนาบดีฉินแล้วก็กระชับผ้าห่อของบนหลังตามออกไป


 


 


กระทั่งเงาร่างของกลุ่มฉินมู่หรานหายไป ท่านเสนาบดีฉินจึงหันหลังกลับจวนด้วยความอาลัย นายหญิงผู้เฒ่าฉินกับต่งซื่อถูกสาวใช้พยุงขึ้นรถม้า เพราะว่าเสียใจมากเกินไป ทั้งสองแทบจะทรุด นี่ทำให้ฉินมู่หย่วนบุตรคนโตของท่านเสนาบดีฉินกังวลอย่างถึงที่สุด


 


 


แม้จะบอกว่าเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน แต่ความสัมพันธ์ของฉินมู่หย่วนกับน้องชายผู้นี้ก็ไม่ค่อยลึกซึ้งจริงๆ ตอนที่น้องชายเขาเกิดเขาก็เป็นปัญญาชนเรียนหนังสือแล้ว ภายหลังน้องชายเขาถูกอุ้มไปเลี้ยงที่เรือนของท่านย่า ทั้งสองก็ยิ่งพบหน้ากันน้อยลง เขานิสัยไม่เหมือนน้องชายคนนี้ เขาชอบอ่านหนังสือ และชอบพัฒนาการเรียน น้องชายเขาเป็นคนชอบเที่ยวเล่น หยิบหนังสือขึ้นมาก็ปวดหัว เช่นนี้ความสนิทของคนทั้งสองก็น้อยลง นับประสาอะไรกับความผูกพันลึกซึ้ง หากไม่ใช่ว่าท่านแม่มักจะรำพึงรำพันถึงน้องชายของเขาข้างหูเขาบ่อยๆ เขาที่เป็นพี่ชายจะต้องดูแลน้อง วันนี้เขาก็คงไม่คิดแม้แต่จะมาแล้ว


 


 


ท่านเสนาบดีฉินกลับไปถึงจวนเสนาบดีอารมณ์ก็ยังคงดิ่ง นั่งอยู่ในห้องหนังสือคนเดียวอยู่นานจึงค่อยๆ ลุกขึ้นเดินไปยังศาลบรรพบุรุษ เห็นแผ่นหลังที่เดียวดายของท่านเสนาบดีฉิน จิตใจคนรับใช้ในจวนก็เต็มไปด้วยความเห็นใจ ต่อให้มีอำนาจล้นฟ้าแล้วอย่างไร ก็ยังปกป้องลูกชายคนเล็กไว้ไม่ได้


 


 


ตอนที่ข่าวดังไปถึงหูของนายหญิงผู้เฒ่าฉิน นางก็อดเสียงใจอีกรอบไม่ได้ ถอนหายใจกล่าวกับแม่นมข้างกาย “เหล่าต้าเองก็ไม่ง่าย หรานเอ๋อร์เป็นลูกที่เกิดตอนเขาอายุมากแล้ว แม้ปากจะไม่พูด แต่ในใจกลับเจ็บปวด เฮ้อ เขาอยู่ในศาลบรรพบุรุษคนเดียวไม่รู้ว่าจะเสียใจเพียงใด”


 


 


ในความจริงแล้วนายหญิงผู้เฒ่าคิดมากไปแล้วจริงๆ ผู้กระทำการณ์ใหญ่ไม่ใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อย ท่านเสนาบดีฉินเสียใจเพียงแค่ชั่วครู่นั้น เมื่อเดินเข้าไปในศาลบรรพบุรุษริมฝีปากของเขาก็เม้มแน่นด้วยความเคยชิน


 


 


“ท่านเสนาบดี!” ผู้ดูแลศาลบรรพบุรุษเป็นชายชราหลังค่อมคนหนึ่ง ผมและหนวดขาวหมดแล้ว สวมชุดสีดำทั้งร่าง ไม่รู้เหมือนกันว่าไม่ได้ซักมานานเพียงใด คนมองดูแล้วสกปรกมอมแมม แต่หากเจ้ามองท่าทางการเดินของเขาให้ดี กลับจะพบว่าขาทั้งคู่ของเขาแข็งแรง ไม่สอดคล้องกับความชราภายนอกของเขาอย่างสิ้นเชิง


 


 


ท่านเสนาบดีฉินขานอืมหนึ่งครา โบกมือ ชายชราผู้นั้นก็กระแอมเดินออกจากศาลบรรพบุรุษมานั่งลงข้างประตู


 


 


ท่านเสนาบดีฉินยืนอยู่ในศาลบรรพบุรุษ มองแท่นบูชาบรรพบุรุษอย่างนิ่งงันครู่ใหญ่ จากนั้นก็เดินเข้าไปหมนุแท่นบูชาของพ่อเขา ได้ยินเพียงเสียง ‘แกรก’ เบาๆ หนึ่งครั้ง ตำแหน่งที่เขายืนอยู่เมื่อครู่ก็เปิดปากอุโมงค์กว้างหนึ่งเมตรออกมา ท่านเสนาบดีฉินเหยียบบันไดเดินลงไปจากปากอุโมงค์ ข้างล่างเป็นห้องลับหนึ่งห้อง


 


 


“ฉินชังเสี่ยวเอ๋อร์ ไม่เจอกันนาน” เสียงที่แหบพร่าเสียงหนึ่งดังขึ้น “เจอปัญหามาอีกแล้วหรือ” ในน้ำเสียงแฝงความดีใจ


 


 


ห้องลับใต้ดินนี้คาดไม่ถึงว่ามีคนผู้หนึ่งอยู่ เป็นชายชรา ผมขาวหนวดขาวหมดแล้ว รอยย่นบนใบหน้าก็ลึกราวกับใช้มีดกรีดเข้าไป ทำให้คนรู้สึกว่าเขาแก่มากๆ ดูจากที่เขาเรียกท่านเสนาบดีฉินว่าเสี่ยวเอ๋อร์ (เด็กน้อย) อายุของเขาก็น่าจะมากอย่างยิ่ง


 


 


เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ทำขึ้นเป็นพิเศษหนึ่งตัว สองมือสองขาล้วนถูกโซ่ล่ามไว้ คิดจะขยับเล็กน้อยล้วนไม่ง่ายดาย


 


 


ทว่าชายชราผู้นี้กลับมีท่าทีสูงสง่า หลังตรงอย่างยิ่ง ประหนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ รอบตัวมีพลังน่าเกรงขามที่ทำให้คนไม่อาจประมาทหนึ่งกลุ่มกระจายอยู่


 


 


“ไยถึงพูดเช่นนี้” ท่านเสนาบดีฉินเลิกคิ้ว ไม่โมโห


 


 


ชายชราผู้นั้นก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากขึ้นมา เสียงแสบหูมากเป็นพิเศษ “ครั้งใดบ้างที่เจ้าฉินชังเสี่ยวเอ๋อร์มาหาข้าโดยที่ไม่ใช่เวลาที่เจ้าอารมณ์ไม่ดี ดูความผิดหวังบนหน้าเจ้าก็รู้แล้ว ราวกับพ่อตาย อ้อไม่ใช่สิ พ่อเจ้าตายไปนานแล้ว คงไม่ใช่ว่าบุตรชายตายหรอกนะ”


 


 


ท่านเสนาบดีฉินส่งลูกคนสุดท้องไปแล้ว ฟังคนเอ่ยถึงบุตรชายสองคำนี้ไม่ได้อย่างสิ้นเชิง ความโกรธแวบผ่านใบหน้า แม้ว่าจะเร็วอย่างยิ่ง แต่ก็ยังคงถูกชายชราจับได้แล้ว


 


 


ชายชราหัวเราะร่าฮ่าๆ “ฉินชังเสี่ยวเอ๋อร์ คงจะไม่ถูกข้าทายถูกจริงๆ หรอกกระมัง บุตรคนไหนของเจ้าตายเล่า ข้าจำได้ว่าบุตรคนโตผู้นั้นของเจ้าปีนี้ก็น่าจะอายุได้ยี่สิบปีแล้ว ตอนเขายังเด็กข้ายังเคยเจอเขา เป็นคนฉลาดเฉียบแหลม คงไม่ใช่ว่าบุตรคนโตผู้นี้ของเจ้าเป็นอะไรไปหรอกนะ ฮ่าๆๆ เช่นนั้นก็ดีจริงๆ! ฉินชังเสี่ยวเอ๋อร์ ข้าเฝ้ารอให้เจ้าไร้ผู้สืบสกุลอยู่” ในดวงตาของชายชรามีรอยยิ้ม ทว่าปากกลับพูดวาจาที่โหดเ**้ยมที่สุด


 


 


แต่ท่านเสนาบดีฉินกลับไม่ขยับ “เช่นนั้นก็ขออภัยจริงๆ ต้องทำให้ท่านผิดหวังแล้ว บุตรคนโตของข้ายังมีชีวิตอยู่ดี ทั้งยังเป็นคุณชายยอดเยี่ยมที่มีชื่อในเมืองหลวง ได้รับความสำคัญจากฝ่าบาทอย่างมาก แน่นอนว่าบุตรคนอื่นของข้าก็ล้วนมีชีวิตอยู่ดี มีจวนข้าอยู่ พวกเขาย่อมมีอนาคตที่งดงาม กลับเป็นท่าน!”


 


 


สายตาของเขาสาดยิงอยู่บนใบหน้าของชายชรา เหยียดหยามอย่างถึงที่สุด “กลับเป็นบุคคลที่เคยเรียกลมฝนได้เช่นท่านตกต่ำจนถูกขังอยู่ในที่แคบๆ เพียงนี้ ราวกับหนูในท่อน้ำ ต่อให้ข้าปล่อยท่านออกไป ยังจะมีคนจำได้อีกหรือว่าท่านเป็นใคร”


 


 


“ถุ้ย!” ชายชราแค้นเสียงหนักๆ หนึ่งครา “ข้าดูคนไม่ออกจึงมีจุดจบเช่นนี้ ข้ารู้แล้ว แต่ธรรมะชนะอธรรม คนชั่วช้าเช่นเจ้าไม่อาจมีจุดจบที่ดีได้ เจ้าปิดบังฝ่าบาทได้ชั่วคราว แต่หางจิ้งจอกของเจ้าไม่ช้าไม่เร็วก็ต้องโผล่ออกมา ฝ่าบาทไม่อาจปล่อยเจ้าไปแน่”


 


 


“เช่นนั้นท่านก็ต้องเปิดตามองให้ชัดๆ ฝ่าบาทหรือ เหอะ เขาสวีเซิ่นเป็นใครกัน เพียงแค่โชคดีมากกว่าคนอื่นก็เท่านั้น ใต้หล้านี้คนที่ควรสมน้ำหน้าก็คือตระกูลสวีมิใช่หรือ” วาจาที่ท่านเสนาบดีฉินพูดออกมาเนรคุณอย่างถึงที่สุด


 


 


“อะไรกัน เจ้ายังวางแผนจะยึดอำนาจก่อกบฏอีกหรือ” ในดวงตาชายชรามีความดุดันแวบผ่าน “อ้อ นึกออกแล้ว เจ้ายังมีบุตรสาวคนหนึ่งที่ให้กำเนิดองค์ชายแก่ฝ่าบาท เจ้าต้องการจะประคองหลานชายของเจ้าให้ขึ้นเป็นหุ่นเชิดหรือ ฮ่าๆ เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่า ครอบครัวฝั่งภรรยาที่กุมอำนาจล้นฟ้าแต่ละยุคแต่ละสมัยมีจุดจบที่ดีหรือไม่”


 


 


ทว่าท่านเสนาบดีฉินกลับยิ้มไม่พูด สายตาที่มองชายชราสงสารประหนึ่งเห็นมด “ท่านวางใจ ในเมื่อข้ารับอำนาจในมือท่านมาแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ยังจำครั้นจุดธูปสาบานได้สามส่วน ข้าจะไม่ฆ่าท่าน ข้าจะปล่อยให้ท่านดูว่าตระกูลฉินของข้าจะไต่ขึ้นยอดผาแห่งอำนาจอย่างไร”


 


 


พูดถึงตรงนี้เขาก็หยุดครู่หนึ่ง คล้ายจู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นได้ “อ้อ ยังมีอีกเรื่องที่ลืมบอกท่าน กำลังพลหลายพันคนนั้นบนเขาชิงลั่วไม่เหลือแล้ว เฮ้อ ไม่คิดว่าจมูกของฝ่าบาทจะดมกลิ่นได้ว่องไวอย่างยิ่ง ข้าเพียงแค่ออกมือกับตาเฒ่าเสิ่นผิงยวนครั้งเดียวเขาก็สังเกตเห็นร่องรอยได้แล้ว ไม่เหลือแล้วก็ไม่เป็นไร ข้าเองก็ไม่หวังว่าคนไม่กี่พันคนนั้นจะทำสำเร็จได้”


 


 


“ฉินชังเสี่ยวเอ๋อร์เจ้า!” ดวงตาของชายชราเบิกกว้างฉับพลัน มือเท้าดิ้นพล่าน ดึงโซ่เสียงดังครืดๆ “เห็นชีวิตคนเป็นต้นหญ้า จะต้องไม่ตายดี”


 


 


ท่านเสนาบดีฉินหัวเราะฮ่าๆ ชื่นชมความโกรธของชายชรา กล่าวอย่างไม่สนใจ “ตายดีตายไม่ดีข้าไม่รู้ อย่างไรเสียข้าก็ต้องตายหลังท่าน” พูดจบก็หัวเราะร่าเดินวางก้ามออกไป


 


 


เมื่อท่านเสนาบดีฉินออกไป ความโกรธบนใบหน้าชายชราก็หายไปทันที เขามองทิศทางที่แผ่นหลังของท่านเสนาบดีฉินหายไป ในใจก็เสียใจอย่างถึงที่สุด นี่คือลูกสนัขจิ้งจอก ถอดแบบออกมาจากบิดาของเขาสุนัขจิ้งจอกเฒ่าตัวนั้น เขายังไม่เอาไพ่ลับของเขาออกมาเลย! ศีรษะของชายชราเงยขึ้นเล็กน้อย บนใบหน้าปรากฎสีหน้างงงวย


 


 


ถูกขังอยู่ในห้องลับที่มืดมิดไร้แสดงอาทิตย์นี้มานานเพียงใดแล้ว แปดปี? สิบปี? หรือว่าสิบห้าปีแล้ว ตัวเขาเองยังจำไม่ได้ หากไม่ใช้ว่าอาศัยความสามารถในการอดทนที่น่าตกใจ เขาก็คงจะตายไปนานแล้ว


 


 


ในเมื่อตายไม่ได้ เช่นนั้นเขาก็จะพยายามมีชีวิตอยู่ มีชีวิตรอวันที่จะได้ฆ่าศัตรูด้วยมือตนเอง


 


 


สวีโย่วผู้บัญชาการกองปัญจทิศรักษานครผู้นี้ยุ่งสุดขีด เสิ่นเวยเองก็ไม่ได้ว่าง พาเถาฮวาไปทารุณกองทหารเด็กกับเหล่าทหารคุ้มกันจวนหนึ่งรอบ กองทหารเด็กต่างก็ถูกทารุณจนชินแล้ว ยิ่งทารุณก็ยิ่งกล้าหาญ ยิ่งทารุณก็ยิ่งมีกำลังวังชา ไม่กี่วันสั้นๆ ก็พัฒนาจนยอดเยี่ยมแล้ว


 


 


ความสามารถในการรับของเหล่าทหารคุ้มกันจวนด้อยกว่ามาก ถูกกองทหารเด็กทารุณก็ไม่เท่าไร อย่างไรเสียนั่นก็เป็นลูกหมาป่าหนึ่งกลุ่ม แต่ถูกจวิ้นจู่เหนียงเหนียงที่หวานหยาดเยิ้มของพวกเขาตีจนไม่มีแรงตอบโต้ หนึ่งคนต่อสู้กับพวกเขาหนึ่งกลุ่มนี้ นี่มันเรื่องอะไรกัน เจ็บใจนัก อยากตายไปเสียเดี๋ยวนี้!


 


 


เรื่องที่ทำให้พวกเขาอยากตายยิ่งกว่าก็คือ เด็กผู้หญิงที่มองดูแล้วผอมๆ โง่ๆ ผู้นั้น คาดไม่ถึงว่าใช้มือเดียวก็โยนพวกเขาออกไปได้ทันที หลังจากนั้นก็หิ้วเด็กรับใช้ผู้หนึ่งที่สามารถใช้กลอุบายได้หลายอย่างออกมา ในจวนผิงจวิ้นอ๋องแห่งนี้เป็นคนประเภทใดกันแน่


 


 


ตอนนี้ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจแล้วว่าสีหน้าที่แฝงความนัยนั่นของหัวหน้าโอวหยางคืออะไร ต่างก็บ่นในใจ ให้ตายเถอะ หัวหน้าโอวหยางช่างหลอกลวงจริงๆ จวิ้นจู่ไหนเลยจะเป็นยุทธ์แค่สองสามท่า เป็นยอดฝีมือในยอดฝีมือต่างหากเล่า! ไม่แปลกใจที่เป็นคุณหนูจากจวนจงอู่โหว มิน่าเล่าท่านจวิ้นอ๋องถึงได้ถูกนางจับไว้ในกำมือได้ ตั้งแต่นี้ไป ต่างก็สงบจิตใจอยู่ในจวนผิงจวิ้นอ๋อง นอบน้อมถ่อมตัว เคารพรอบคอบ


 


 


วันนี้เสิ่นเวยกลับจากสนามแสดงวิทยายุทธมาถึงเรือน เพิ่งจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ก็เห็นเถาจือเข้ามารายงาน “จวิ้นจู่ แม่นมซือประจำกายหวังเฟยมาขอพบเจ้าค่ะ”


 


 


แม่นมซือหรือ นางมาทำไม คิ้วของเสิ่นเวยเลิกขึ้น ความคิดแรกที่แวบผ่านมาในสมองก็คือจิ้นหวังเฟยจะเล่นลูกไม้อะไรอีกแล้ว


 


 


ตั้งแต่ที่ย้ายมาจวนผิงจวิ้นอ๋องก็เป็นเวลากว่าครึ่งเดือนแล้ว เสิ่นเวยไม่กลับไปจวนจิ้นอ๋องแม้แต่ครั้งเดียว อย่างไรเสียนางก็พูดชัดเจนอย่างยิ่งแล้ว วันแรกและวันที่สิบห้าของเดือนจะเคารพหรือไม่ต้องดูอารมณ์ ประจวบเหมาะที่ช่วงนี้นางอารมณ์ไม่เลว จึงไม่ได้ไปหาพระชายาจิ้นอ๋องให้กระทบอารมณ์เล่น


 


 


ในเมื่อแม่นมซือมาหาถึงที่แล้ว ไม่พบก็ไม่ค่อยดีนัก เสิ่นเวยจึงกล่าว “เรียกนางเข้ามาเถอะ”

 

 

 


ตอนที่ 254-1 เลือกอนุเลือกความงาม

 

แม่นมซือมาตามคำสั่ง ตัวนางเองก็เป็นคนฉลาดมีสายตาเฉียบแหลม รู้ว่าคุณชายใหญ่สองสามีภรรยาต่างก็ไม่ใช่คนที่ยั่วยุได้ง่ายๆ ด้วยเหตุนี้จึงยิ้มแย้มวางท่าทางดี แต่หลังจากที่เข้ามาในจวนผิงจวิ้นอ๋องแล้ว ตลอดทางที่เข้ามา คนรับใช้ทั้งหมดมีมารยาทดีอย่างถึงที่สุด เป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่เป็นรองจวนจิ้นอ๋องเลย ความดูถูกเล็กๆ นั้นในเบื้องลึกจิตใจนางก็ถูกเก็บไป


 


 


เสิ่นเวยกลับให้เกียรติแม่นมซืออย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่ให้ที่นั่ง ซ้ำยังสั่งสาวใช้ยกชามาให้ ทำให้แม่นมซือประหลาดใจจนขอบคุณแล้วขอบคุณอีก ก่อนมานางยังเตรียมใจว่าคงจะไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดีจากฮูหยินใหญ่ พระชายากับฮูหยินใหญ่นับได้ว่าฉีกหน้ากันแล้ว นางเป็นแม่นมคนสนิทข้างกายพระชายาไม่ถูกฮูหยินใหญ่กลั่นแกล้งสิแปลก ไหนเลยจะคิดถึงว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติเช่นนี้ นี่ทำให้ในใจแม่นมซือทั้งดีใจทั้งเป็นกังวล


 


 


อันที่จริงเสิ่นเวยไม่มีเจตนาอื่นอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่มีสุภาษิตว่าไว้หรือว่า ‘มีมารยาทต่อผู้อื่น ผู้อื่นไม่อาจกล่าวโทษ’ อีกอย่าง ต่อให้นางจะโกรธเกลียดพระชายาจิ้นอ๋อง แต่นั่นก็เป็นเรื่องระหว่างนาย นางกลับไม่อาจพาลใส่บ่าว อีกทั้งนางมองดูแล้ว แม่นมซือผู้นี้ยังค่อนข้างรู้จักหนักเบา ตอนที่นางมีเรื่องกับพระชายาจิ้นอ๋องก็ไม่ได้ฉวยโอกาสวางแผนร้ายอะไร


 


 


จุดประสงค์ในการมาของแม่นมซือเรียบง่ายอย่างยิ่ง คุณหนูเจ็ดจวนเสนาบดีฉิน ว่าที่ฮูหยินสี่ของจวนจิ้นอ๋องได้รับเชิญมาเป็นแขกวันพรุ่งนี้ นางที่เป็นพี่สะใภ้คนโตย่อมต้องไปรับแขกที่จวน


 


 


เสิ่นเวยตอบตกลงด้วยความง่ายดายอย่างถึงที่สุด ต่อหน้าลูกสะใภ้ที่ยังไม่เข้าเรือน พระชายาจิ้นอ๋องต้องสำรวมอาการหน่อยหรือไม่ เสิ่นเวยคิดเช่นนี้ แน่นอน หากพระชายาจิ้นอ๋องก่อเรื่องอะไรอีกนางก็ไม่กลัวเช่นกัน อย่างไรเสียถึงตอนนั้นคนที่เสียหน้าก็ไม่ได้มีแค่นางเพียงคนเดียว พระชายาจิ้นอ๋องยังไม่กลัว นางที่เป็นชนรุ่นหลังจะกลัวอะไร


 


 


คบค้ากับคนเช่นพระชายาจิ้นอ๋อง หน้าไม่หนาพอไม่ได้


 


 


วันรุ่งขึ้น เสิ่นเวยทานข้าวเช้าเสร็จก็ไปจวนจิ้นอ๋อง อาจจะอยู่ไกล เจอไม่บ่อย พระชายาจิ้นอ๋องจึงต้อนรับนางด้วยความเป็นมิตรอย่างยิ่ง ทักทายพอเป็นพิธีหลายประโยค ดึงเข้ามาถามว่างานในจวนจัดการดีหรือไม่ บ่าวรับใช้เชื่อฟังหรือไม่


 


 


เสิ่นเวยย่อมไหลไปตามน้ำ พระชายาจิ้นอ๋องจะเป็นแม่สามีที่ดี เช่นนั้นนางย่อมเป็นลูกสะใภ้ดีที่ว่าง่ายเชื่อฟังที่สุด


 


 


บอกว่ารับแขก อันที่จริงไม่ต้องให้เสิ่นเวยทำอะไรเลย เสิ่นเวยเองก็ไม่อาจโง่เข้าไปทำอะไรได้ นางแยกจวนออกมาแล้ว แน่นอนว่าไม่อาจแย่งงานอู๋ซื่อสร้างความรำคาญใจให้คนได้


 


 


เสิ่นเวยนั่งอยู่ไม่นาน สาวใช้ใหญ่หวาเยียนก็นำฉินอิงอิงเข้ามา เสิ่นเวยมองดูนิ่งๆ ครู่หนึ่ง เห็นเพียงนางสวมชุดกระโปรงรัดอกสีเขียวอ่อน ทำให้ดูสดชื่นอย่างถึงที่สุด บนใบหน้าแต้มชาดบางๆ จมูกโด่งเป็นสันริมฝีปากสีแดงสด ดวงตาคู่โตเป็นประกาย ความจริงแล้ว ฉินอิงอิงแม่นางผู้นี้นอกจากนิสัยสร้างความรำคาญให้ผู้อื่นแล้ว คนก็ยังคงมีหน้าตาที่งดงามอย่างยิ่งจริงๆ


 


 


“ผู้น้อยเคารพพระชายาเพคะ” ฉินอิงอิงเคารพได้เพียงครึ่งเดียวก็ถูกพระชายาจิ้นอ๋องจับขึ้นมา นางมองประเมิณคนที่งดงามดั่งหยกผู้นี้ ในแววตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องมารยาทมาก ไม่ใช่คนอื่นคนไกล” ประโยคสุดท้ายพูดอย่างแฝงความนัยโดยเฉพาะ


 


 


แก้มทั้งสองของฉินอิงอิงแดงระเรื่อ หลุบตาลงด้วยความเขินอายเล็กน้อย ทว่าปากกลับพูด “พระชายาเมตตา แต่กฎย่อมไม่อาจละเมิด” ยืนกรานเคารพพระชายาจิ้นอ๋องใหม่อีกครั้ง จากนั้นก็คำนับเสิ่นเวยและคนอื่นๆ


 


 


การกระทำนี้ของฉินอิงอิงทำให้พระชายาจิ้นอ๋องพอใจยิ่งขึ้น ให้ความสำคัญแก่นางเพิ่มขึ้นหลายส่วน กล่าวชมซ้ำๆ “เป็นสตรีรู้จักมารยาท”


 


 


ก่อนหน้านี้พระชายาจิ้นอ๋องเองก็เคยเห็นฉินอิงอิงแล้ว ความพอใจที่สุดที่มีต่อนางนอกจากจะมีฐานะเป็นญาติผู้น้องของซูเฟยเหนียงเหนียงแล้ว ยังมีหน้าตาของนาง นางรู้นิสัยลูกชายคนเล็กของนางดี ชอบความงามที่สุด ฉินอิงอิงหน้าตาสละสลวยจะต้องมัดใจลูกชายได้แน่นอน เลี่ยงไม่ให้เขาออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกบ่อยครั้ง


 


 


ตอนนี้เห็นมารยาทการอบรมของนางล้วนไม่เลว ก็ยิ่งพอใจ


 


 


อันที่จริงนางไม่รู้ว่าฉินอิงอิงใช้ความพยายามมากเพียงใดจึงจะไม่ทำให้ตนเสียกิริยาได้ คำนับอู๋ซื่อกับหูซื่อ นางมองดวงตาของของฝ่ายตรงข้ามอย่างเปิดเผยสบายใจ คำนับเสิ่นเวย นางกลับหลุบสายตาจ้องมองปลายเท้าตัวเอง ร่างทั้งร่างแข็งทื่ออย่างถึงที่สุด กลัวว่าจะสบสายตาที่เหยียดหยามของเสิ่นเวยแล้วจะอดทนต่อไปไม่ได้ กระทำการที่เสียกิริยาใดๆ ออกมา


 


 


เสิ่นเวยเองย่อมเห็นความอึดอัดของฉินอิงอิงแล้ว แต่ขอเพียงแค่ไม่หาเรื่องมาถึงนาง นางก็ไม่ใช่คนที่ชอบทะเลาะ ยิ่งไปกว่านั้นระหว่างนางกับฉินอิงอิงด็ไม่ได้มีความแค้นฝังลึกอะไร เพียงแต่ทะเลาะกันตามประสาเด็กผู้หญิงก็เท่านั้นเอง


 


 


“ดูสิ ดูสิ เสด็จแม่ลำเอียงจริงๆ มีคุณหนูเจ็ดแซ่ฉินที่งดงามถูกใจแล้ว ก็ทิ้งคนเก่าเหล่านี้เช่นพวกลูกไว้ข้างๆ เสด็จแม่ อย่างไรเสียท่านก็สนใจลูกสักหน่อยได้หรือไม่!” เห็นพระชายาจิ้นอ๋องพูดกับฉินอิงอิงด้วยความสนิทสนม อู๋ซื่อก็กล่าวหยอกล้อ


 


 


หูซื่อเองก็บุ้ยปากคล้อยตาม “เสด็จแม่ ท่านได้ใหม่ลืมเก่าเร็วเพียงนี้ ลูกไม่ยอมนะเพคะ”


 


 


“เฮ้อ ใครให้พวกเราไม่สวยเหมือนคุณหนูเจ็ดเล่า ดูคุณหนูเจ็ดของพวกเราสิ ให้ตาย ใบหน้าเล็กๆ นี้อ่อนนุ่มราวกับกลีบดอกไม้ เปรียบเทียบกันแล้ว พวกเราก็เป็นหมันโถวที่เผาจนไหม้ เสด็จแม่ไม่รังเกียจได้ก็ไม่เลวแล้ว” อู๋ซื่อกล่าวด้วยท่าทีเสียใจ


 


 


คนทั้งสองแทรกมุขตลกเย้าหยอกให้พระชายาจิ้นอ๋องหัวเราะจนไม่อาจปิดปาก “พวกเจ้าก็ชอบหยอกคนอื่น วันนี้แม่ยังชอบใจคุณหนูสี่อยู่ พวกเจ้าน่ะไปยืนอยู่ข้างๆ เสีย” ยกมือไล่ ราวกับว่ารังเกียจมาก


 


 


ส่วนฉินอิงอิงที่ถูกหยอกล้อก็ก้มหน้าอย่างเขินอาย ใบหน้าด้านข้างราวกับเมฆหมอกที่แผดเผาอยู่บนขอบฟ้า น่าหลงใหลเหลือเกิน ทำให้พระชายาจิ้นอ๋องยิ่งหัวเราะเสียดัง


 


 


มีเพียงเสิ่นเวยผู้เดียวที่อมยิ้ม พูดแทรกประโยคครึ่งประโยคบ้าง ส่วนใหญ่นางไม่พูด เป็นเสมือนผู้ชม


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องชายตามองมาทางนางปราดหนึ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดอะไรอยู่ กลับไม่ได้พูดอะไรออกมา


 


 


ในขณะนี้เอง ก็มีสาวใช้เข้ามารายงาน “พระชายา คุณหนูอี๋ฮุ่ยกับคุณหนูอี๋จยามาแล้วเพคะ”


 


 


ดวงตาของพระชายาจิ้นอ๋องเป็นประกาย “เด็กน้อยฮุ่ยยาโถ่วกับจยายาโถ่วมาแล้ว รีบเชิญเข้ามา” จากนั้นก็หันหน้าไปอธิบายให้ฉินอิงอิงฟัง “อี๋ฮุ่ยกับอี๋จยาเป็นหลานสาวตระกูลฝั่งมารดาของข้า อายุไล่เลี่ยกับเจ้า พวกเจ้าจะต้องเข้ากันได้แน่นอน”


 


 


ฉินอิงอิงเม้มปากยิ้มพยักหน้า ท่าทางเชื่อฟังนี้ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของพระชายาจิ้นอ๋องกว้างยิ่งขึ้น ในใจพอใจมากเป็นพิเศษ สะใภ้ทั้งสามคนล้วนแต่เป็นคนที่ตนเลือกเองกับมือ แต่ละคนต่างก็ทำให้นางพอใจ


 


 


ม่านประตูเปิดออก แม่นางรูปร่างสูงโปร่งสองคนเดินเข้ามาจากข้างนอก คนที่สวมชุดสีเหลืองอ่อนเสิ่นเวยรู้จัก คือซ่งอี๋ฮุ่ยที่นางเคยเจอครั้งหนึ่ง อีกคนหนึ่งที่สวมชุดสีม่วงอ่อนกลับแปลกหน้า คาดว่าคงจะเป็นซ่งอี๋จยา


 


 


“ท่านอา หลานเคารพท่าน” แม่นางทั้งสองเสียงใสกังวาน ทำความเคารพช้าๆ


 


 


จากนั้นก็คำนับเสิ่นเวยซ่งซื่อหูซื่อ “คารวะพี่สะใภ้ญาติผู้พี่ทั้งสามท่าน”


 


 


ท้ายที่สุดจึงจะเป็นฉินอิงอิง “คนผู้นี้คือคุณหนูเจ็ดจวนเสนาบดีฉินใช่หรือไม่ ญาติผู้พี่สี่มีวาสนายิ่งนัก!” ซ่งอี๋จยาปิดปากหัวเราะคิกคัก


 


 


ซ่งอี๋ฮุ่ยเองก็ไม่ยอมน้อยหน้า “ก็ใช่น่ะสิ มิเช่นนั้นเหตุใดใครๆ ถึงบอกว่าสายตาของท่านอาดีเล่า” เหลือบตามองซ่งอี๋จยาที่ปิดปากหัวเราะปราดหนึ่ง แล้วกล่าวต่อ “น้องเจ็ด ในหมู่พวกเราพี่น้องหน้าตาของเจ้าโดดเด่นที่สุด วันนี้เห็นคุณหนูเจ็ดแซ่ฉินก็นับว่าได้เข้าใจสุภาษิตเหนือคนยังมีคนเหนือฟ้ายังมีฟ้าแล้ว เจ้าถูกเปรียบเทียบแล้ว” นางเองก็ปิดปากหัวเราะคิกคักเช่นกัน ในดวงตามีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น


 


 


ซ่งอี๋จยาอยากจะฉีกปากของซ่งอี๋ฮุ่ยยิ่งนัก แต่สีหน้ากลับยังคงยิ้ม “ดูพี่หกพูดเข้า น้องจะเทียบคุณหนูเจ็ดแซ่ฉินได้อย่างไร น้องเพียงแค่หน้าตาพอๆ กันเท่านั้น จะโดดเด่นที่สุดได้อย่างไร หากจะนับว่าโดดเด่น ท่านอาของพวกเราจึงจะเป็นที่หนึ่ง” ไม่เพียงแต่โต้กลับซ่งอี๋ฮุ่ยเล็กๆ ซ้ำยังประจบพระชายาจิ้นอ๋องอีกด้วย


 


 


เสิ่นเวยเลิกคิ้ว ไอหย่า พี่น้องสองคนนี้ยังจิกกัดกันแล้วหรือ พระชายาจิ้นอ๋องก็ไม่จัดการหรือ


 


 


เสิ่นเวยมองพระชายาจิ้นอ๋องอย่างเงียบๆ ก็เห็นคิ้วของนางขมวดมุ่นอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงยื่นมือชี้ซ่งอี๋ฮุ่ยกับซ่งอี๋จยา ยิ้มก่นด่า “พวกเจ้าสองคนชอบเย้าแย่คนอื่น โดดเด่นอะไรกัน ที่หนึ่งอะไรกัน ไม่อายคนหรือไร คุณหนูเจ็ดแซ่ฉินหัวเราะพวกเจ้าแล้ว”


 


 


ฉินอิงอิงที่เป็นคนต้นเรื่องย่อมไม่กล้าไม่เอ่ยปาก “คุณหนูทั้งสองพูดถูก หากจะพูดถึงหน้าตา ใครในที่นี้จะเทียบพระชายาได้! ผู้น้อยเพียงแค่มีรูปร่างหน้าตากลางๆ คุณหนูทั้งสองชมเชยเช่นนี้ ผู้น้อยทำตัวไม่ถูกจริงๆ” นางกล่าวอย่างตั้งใจจริง บนใบหน้าสัตย์ซื่อ เปลี่ยนเรื่องแล้วกล่าว “หน้าตาสวยไม่สวยอะไร ท่านแม่สั่งสอนผู้น้อย วาจาความประพฤติมีคุณธรรม คุณธรรมของสตรีจึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด หน้าตาจึงจะเป็นรอง”


 


 


คำพูดนี้ชนะจนพระชายาจิ้นอ๋องชื่นชมทันที “ได้ยินหรือไม่ ได้ยินหรือไม่ พวกเจ้าเด็กโง่สองคน นี่จึงจะเป็นสิ่งที่ควรจะเทียบจริงๆ”


 


 


มีพระชายาจิ้นอ๋องนำ หลายคนที่เหลือก็ย่อมพากันเลียเท้า ฉินอิงอิงก็โบกมืออย่างเขินอาย “ผู้น้อยเพียงแค่พูดความจริงก็เท่านั้นเอง ไหนเลยจะควรค่าให้ทุกคนชื่นชมเช่นนี้ ผู้น้อยละอายยิ่งนัก”


 


 


แม้แต่เสิ่นเวยยังอดมองฉินอิงอิงใหม่ไม่ได้ อ้อ ที่แท้แล้วเด็กเจ้าอารมณ์ยังมีด้านนี้ด้วยงั้นหรือ ดูท่าแล้วในบ้านจะทุ่มเทสั่งสอนมาแล้ว


 


 


ขณะที่เสิ่นเวยกำลังคิดเรื่อยเปื่อย ก็ได้ยินเพียงเสียงร้องอุทาน ‘อ้ะ’ หนึ่งครา เห็นสาวใช้คุกเข่าขอโทษอยู่บนพื้น “บ่าวสมควรตาย บ่าวสมควรตาย คุณหนูเจ็ดแซ่ฉิน บ่าวไม่ได้ตั้งใจจริงๆ เจ้าค่ะ” ในน้ำเสียงมีความตกใจกลัว


 


 


ฉินอิงอิงยืนอยู่ข้างๆ มองชุดที่ถูกน้ำชาหกใส่ สีหน้าค่อยข้างไม่ดีเล็กน้อย นางสูดหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งเค้นรอยยิ้มออกมากำลังจะพูดว่าไม่เป็นไร เสียงตำหนิของพระชายาจิ้นอ๋องก็ดังขึ้น “เจ้าทำอะไร ไม่รู้จักระมัดระวัง แม้แต่ยกชายังทำไม่ได้ เก็บเจ้าไว้ทำไม ไสหัวออกไป!”


 


 


จากนั้นก็มองฉินอิงอิงด้วยความเป็นห่วง “ไม่เป็นไรใช่หรือไม่ ไม่โดนลวกใช่หรือไม่ รีบมาให้ข้าดูหน่อย”


 


 


ฉินอิงอิงส่ายหน้า “ไม่เป็นไรเพคะ น้ำชาอุ่นอยู่” หยุดครู่หนึ่งจึงมองสาวใช้ที่ร้องขอชีวิตไม่หยุดบนพื้น ในแววตามีบางอย่างแวบผ่าน ร้องขอ “พระชายา ให้อภัยนางเถิด นางเองก็ไม่ได้ตั้งใจ อีกอย่างก็ไม่เป็นอะไรมิใช่หรือ”


 


 


คราวนี้พระชายาจิ้นอ๋องย่อมต้องไว้หน้า อีกทั้งนางตำหนิสาวใช้เป็นเพียงแค่การเสแสร้ง ไม่คิดจะลงโทษจริงๆ อย่างสิ้นเชิง ด้วยเหตุนี้จึงผลักเรือตามน้ำ “ในเมื่อคุณหนูเจ็ดแซ่ฉินขอร้องแทนเจ้าแล้ว ครั้งนี้ก็อภัยให้เจ้าแล้วกัน ยังไม่รีบขอบคุณคุณหนูเจ็ดแซ่ฉินอีก”


 


 


สาวใช้คนนั้นคลานเข้าไปโขกศีรษะไม่หยุด “ขอบคุณพระชายาเพคะ ขอบคุณคุณหนูเจ็ดแซ่ฉิน”


 


 


“พอแล้ว เจ้าออกไปเถอะ คราวหน้าก็ระวังให้มากหน่อย” ฉินอิงอิงสะกดกลั้นความไม่พอใจแล้วกล่าว นางมองชุดที่เปียกบนร่างตัวเอง มองพระชายาจิ้นอ๋องด้วยความลำบากใจเล็กน้อย “พระชายา โปรดอนุญาตให้ผู้น้อยไปเปลี่ยนชุด” คุณหนูตระกูลใหญ่ออกมาเป็นแขก มักจะต้องเตรียมชุดสำรองมาด้วยเสมอ


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องกล่าว “สมควรยิ่งนัก สมควรยิ่งนัก ฮุ่ยยาโถ่ว เจ้าพาคุณหนูเจ็ดไปเปลี่ยนชุดที่ห้องข้าง”


 


 


“เจ้าค่ะ คุณหนูเจ็ดแซ่ฉินโปรดตามมา” ซ่งอี๋ฮุ่ยที่ถูกเรียกชื่อก็คล้ายไม่ค่อยดีใจเล็กน้อย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)