หมอดูยอดอัจฉริยะ 253-255
ตอนที่ 253 ตื่นตระหนกตกใจ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เหล่าเฉิน บัตรนั้นเยี่ยเทียนเขาได้รับไว้ไหม?”
ภายในออฟฟิศของรีสอร์ท หวังเจียซวินกับเฉินสี่ฉวนนั่งอยู่ด้วยกันหลังจากที่ทำงานเสร็จแล้ว ถึงแม้พวกเขาจะให้เงินนักพรตหยุนหยางไปแล้ว แต่หวังเจียซวินรู้อยู่แก่ใจ ว่าการจับปีศาจน้ำได้ในครั้งนี้ เป็นฝีมือของเยี่ยเทียนทั้งหมด
เฉินสี่ฉวนส่ายหน้า พลางพูด “เปล่า ไม่ว่าจะพูดยังไงน้องชายของฉันคนนี้ก็ไม่ยอมรับเงิน เหล่าหวัง อีกสักพักรอตอนที่เขาจะกลับ ให้หาคนขับรถคันหนึ่งไปเอาน้ำพุบนภูเขายามฟ้าสาง ให้เขาชงดื่มน้ำชา!”
ความสะอาดและบริสุทธิ์ของน้ำบนภูเขายวี่เฉวียนซานมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก และเคยเป็นน้ำดื่มน้ำใช้ของราชสำนักในสมัยโบราณอีกด้วย ซึ่งจักรพรรดิเฉียนหลง (จักรพรรดิชิงเกาจง) ยังเคยเขียนหลักศิลาจารึกว่าเป็น “น้ำพุที่ดีอันดับหนึ่งของโลก” แต่ในยุคปัจจุบันกลับมีโรงงานน้ำพุแร่ขนาดเล็กใหญ่ล้อมรอบอยู่บนภูเขายวี่เฉวียนซานไม่น้อย
นอกจากรีสอร์ทแล้ว เฉินสี่ฉวนกับหวังเจียซวินยังมีโรงงานน้ำพุแร่อยู่แห่งหนึ่งและยังขนส่งน้ำพุแร่คุณภาพหลายเกรดไปยังปักกิ่งทุกวัน ถือว่ากิจการรุ่งเรืองเลยทีเดียว
น้ำของภูเขายวี่เฉวียนซานแบ่งเป็นน้ำพุกลางวันและน้ำพุกลางคืน โดยมีคุณภาพของน้ำที่แตกต่างกัน และน้ำพุแร่ที่ดีที่สุดคือต้องเก็บในยามฟ้าสาง ซึ่งเป็นของดีและบริสุทธิ์ในการชงน้ำชา
อย่าเห็นว่าคนมีเงินในเมืองปักกิ่งถิ่นชาววังจะมีมากมาย แต่คนที่ได้ดื่มน้ำแร่จากภูเขาในยามรุ่งอรุณนั้นกลับมีน้อยมาก เพียงแค่น้ำหนึ่งถังก็ต้องจ่ายถึงสองสามร้อยหยวน และสำหรับคนปักกิ่งในช่วงปีหนึ่งพันเก้าร้อยเก้าสิบแปด ก็ถือว่ามีค่าใช้จ่ายสูงมากเช่นกัน
หวังเจียซวินพยักหน้า แล้วพูด “ได้ ต่อไปจะส่งน้ำหนึ่งคันรถให้เขาทุกเดือน นอกจากนี้ก็จะแถม ‘ข้าวจิงซี’ สองร้อยจินให้อีกด้วย…”
หวังเจียซวินกับเฉินสี่ฉวนมีนิสัยคล้ายๆ กัน เป็นคนจริงใจ แม้ว่าเยี่ยเทียนไม่เอาเงิน อย่างนั้นก็ต้องให้น้ำให้ของกิน ซึ่งถือว่าเป็นน้ำใจของตัวเองอย่างหนึ่ง
สิ่งที่เขาเรียกว่า ‘ข้าวจิงซี’ นั้น ใช้น้ำถังรดจากภูเขายวี่เฉวียนซาน ทำให้มีเม็ดข้าวที่ใหญ่ได้สัดส่วนและสีข้าวเป็นขาวอมเขียว มีปริมาณการผลิตน้อย ถึงแม้ในปัจจุบันนี้ จะเป็นข้าวสารที่มีชื่อเสียงมากก็ตาม
“เมื่อวาน สหาย XXX ท่านผู้นำประเทศของพรรคได้มาต้อนรับคุณถังเหวินหย่วนผู้รักชาติของฮ่องกง สหาย XXX แสดงความชื่นชมต่อการกระทำในการบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือการศึกษาภายในประเทศจีนของคุณถัง เหวินหย่วนมาก…”
ตอนที่เฉินสี่ฉวนกับหวังเจียซวินกำลังคุยกันอยู่นั้น กลับมีข่าวในโทรทัศน์ทำให้พวกเขาทั้งสองคนต้องหุบปาก พร้อมกับมองชายชราผมขาวคนนั้นที่อยู่บนหน้าจอโทรทัศน์ด้วยสายตาที่ตกตะลึง
ถึงแม้ภาพบนหน้าข่าวจะผ่านแวบไปเพียงช่วงเวลาสั้นๆ สองสามวินาที แต่ทั้งสองคนก็เห็นหน้าตาของชายชราคนนั้นอย่างชัดเจน แล้วจึงพูดออกมาพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย “เขา…เขาคือถังเหวินหย่วนที่มาจากฮ่องกง?”
“ไม่แปลกใจเลยทำไมฉันถึงรู้สึกคุ้นหน้าชายแก่คนนี้?”
เฉินสี่ฉวนเคยเห็นรูปภาพของถังเหวินหย่วนบนหน้าปกนิตยสารฉบับหนึ่ง แต่ต่อให้เขามีจินตนาการมากมายเพียงใด เขาก็ไม่เคยคิดว่าชายชราที่ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าจะเป็นมหาเศรษฐีชาวฮ่องกงแดนไกลคนนั้น
“ฉัน…ฉันก็ว่าอยู่เหล่าเฉิน เพื่อน … เพื่อนของนายคนนั้นเป็นใครมาจากไหนกันแน่?” เมื่อนึกถึงท่าทางของถังเหวินหย่วนที่มีต่อเยี่ยเทียนก่อนหน้านั้น ทำให้หวังเจียซวินพูดไม่คล่อง พลางคิดว่าเยี่ยเทียนต้องเป็นคนสุดยอดมากแค่ไหน ถึงกล้าพูดจาแบบนั้นกับถังเหวินหย่วน?
เฉินสี่ฉวนฝืนยิ้ม แล้วจึงพูด “ฉันรู้ว่าบ้านของเขาเปิดร้านขายของเก่า และเขาเลิกเรียนหนังสือจากหวาชิงเมื่อสองสามปีก่อน ส่วนอย่างอื่นฉันก็ไม่รู้แล้ว…”
“เหล่าเฉิน ถ้าอย่างนั้น…ถ้าอย่างนั้นพวกเราให้ของพวกนี้กับเขาจะเหมาะสมไหม?” หวังเจียซวินถาม พลางคิดว่าคนที่รู้จักกับถังเหวินหย่วน เกรงว่าคงจะไม่ชอบน้ำแร่กับข้าวสารพวกนั้นหรือเปล่า?
เฉินสี่ฉวนส่ายหน้า พลางพูด “มีอะไรไม่เหมาะสม?เหล่าหวัง เยี่ยเทียนไม่ใช่ลูกผู้ลากมากดีอะไรแบบนั้นแน่นอน พวกเรามอบของให้เพื่อเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ฉันว่าให้ของพวกนี้ยังดีกว่าให้เงินเสียอีก!”
เฉินสี่ฉวนรู้จักกับเยี่ยเทียนมาก่อน เขาก็ไม่มีความคิดจะเอาผลประโยชน์อะไร ถึงแม้ว่าฐานะของเยี่ยเทียนจะเปลี่ยนไป เฉินสี่ฉวนก็ไม่เคยคิดอยากได้อะไรจากตัวเขา
“งั้นก็ได้ ฉันจะสั่งให้คนไปเตรียมน้ำพุแร่บนเขากับข้าวสาร!” หวังเจียซวินพยักหน้า แล้วจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาสั่งงาน
………………-
“ลุงเหวิน คุณชาย พวกเราจะกลับแล้วใช่ไหมครับ?”
ตู้เฟยกับอาติงนั้นอยู่ในร้านกาแฟเห็นถังเหวินหย่วนกับเยี่ยเทียนลุกขึ้น จึงรีบลุกตาม และตู้เฟยรู้สึกว่าเรียนคุณปู่ดูจะไม่ค่อยคล่องปาก ดังนั้นจึงเรียกเขาว่าคุณชายเหมือนกับอาติง
เยี่ยเทียนส่ายหน้าพลางพูด “พวกคุณกลับไปก่อน ผมจะไปทักทายกับเพื่อน เพราะตอนเย็นยังมีธุระอีก!”
“อย่าสิครับ คุณชาย คุณจะไปทำธุระ ผม…ผมจะขับรถไปส่งคุณเอง!” ตู้เฟยได้ยินจึงร้อนใจทันที เพราะเขายังหวังที่จะได้ยารักษาช่วยชีวิตจากเยี่ยเทียนอีก ถ้าหากเยี่ยเทียนอารมณ์เสียขึ้นมา ไม่ให้ยาเขาอีกจะทำอย่างไร?
“ไม่ต้องครับ สถานที่ที่ผมจะไปอยู่ไม่ไกลจากที่นี่…”
เยี่ยเทียนอ่านความคิดของตู้เฟยออก แล้วจึงพูดว่า “พรุ่งนี้คุณกับถัง…ถังเหล่ามาด้วยกัน และต่อไปก็ต้องหัดเปลี่ยนนิสัยอารมณ์ร้อน ไม่อย่างนั้นคงไม่ตายดีแน่!”
“ครับ คุณชายสอนถูกต้องแล้วครับ!”
ตู้เฟยพยักหน้าหงึกๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าเยี่ยเทียน ตอนนี้เขาไม่มีนิสัยหุนหันพลันแล่นเลยสักนิดเดียว ถ้าหากคนที่รู้จักเขาในเมืองปักกิ่งถิ่นชาววัง ได้มาเห็นสภาพของลุงสี่แบบนี้ คงจะต้องตกใจจนกรามค้างแน่นอน
หลังจากเฉินสี่ฉวนกับหวังเจียซวินได้รับข้อมูลจากพนักงานแล้วจึงรีบมาทันที ทำให้เห็นฉากตอนที่เยี่ยเทียนกำลังอบรมสั่งสอนตู้เฟยพอดี ทั้งสองคนจึงสบตากัน พร้อมกับสีหน้าที่ตกตะลึงยากที่จะใช้คำพูดมาบรรยายได้
ชายชราคนนั้นก็มีอายุหกสิบกว่าแล้ว แถมยังมีบุคลิกท่าทางที่ไม่ธรรมดา แต่ตอนนี้กลับเป็นเหมือนลูกหลานที่ถูกเยี่ยเทียนสั่งสอนจนไม่กล้าเถียง พลางคิดว่าพ่อหนุ่มคนนี้มีอะไรที่พวกเขายังไม่รู้อีกบ้าง?
“เยี่ยเทียน ทำไมเหรอ? จะกลับแล้วใช่ไหม?”
เฉินสี่ฉวนเดินเข้าไป และเนื่องจากเขาเป็นคนที่ทำธุรกิจมานาน จึงเก็บสีหน้าที่ตกตะลึงไปหมดแล้ว แต่สายตาของเขายังคงมองถังเหวินหย่วนเหมือนจะตั้งใจและไม่ตั้งใจ ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสได้สัมผัสกับมหาเศรษฐีชาวจีนในระยะใกล้ขนาดนี้
เยี่ยเทียนพยักหน้าพลางพูด “ลุงเฉิน ท่านประธานหวัง ขอบคุณกับการต้อนรับของทั้งสองคนด้วยนะครับ พวกเราจะกลับแล้วครับ…”
“ทำไมคุณพูดแบบนี้ วันนี้ถ้าไม่มีคุณ ไม่แน่รีสอร์ทของลุงเฉินอาจจะไม่สามารถเปิดบริการได้อีก!”
เฉินสี่ฉวนฝืนยิ้มแล้วจึงพูด “เยี่ยเทียน ลุงเฉินก็ไม่รู้จะขอบคุณคุณยังไง ผมจึงได้จัดรถมาส่งคุณกลับบ้าน และยังขนข้าวสารจิงซีกับน้ำจากภูเขายวี่เฉวียนซานบางส่วนกลับไปที่บ้านของคุณด้วย หวังว่าคุณจะรับของพวกนี้นะครับ! “
“ได้ครับ ผมจะรับไว้ น้ำจากภูเขายวี่เฉวียนซานเอามาชงน้ำชาก็ไม่เลวครับ!” และแล้วก็เป็นเหมือนอย่างที่เฉินสี่ฉวนคิดไว้จริงๆ เยี่ยเทียนยอมตอบตกลงทันที จึงทำให้เขาสบายใจมาก
เพราะความรู้สึกที่เฉินสี่ฉวนให้กับเยี่ยเทียนนั้นไม่ใช่การขอบคุณเขา แต่เป็นการให้ของขวัญระหว่างเพื่อน กระทั่งความรู้สึกแบบนี้ยังสบายใจกว่าเงินสามสิบล้านที่เยี่ยเทียนเพิ่งจะทำกำไรได้เสียอีก
“อะแฮ่ม ถังเหล่า ไม่ทราบว่าผู้น้อยคนนี้จะโชคดีมีโอกาสได้ถ่ายรูปกับคุณไหมครับ?” เมื่อเห็นว่าคนสองสามคนเตรียมจะออกไปแล้ว ทันใดนั้นหวังเจียซวินจึงพูดอย่างกระบิดกระบวน
ธุรกิจอาชีพงานบริการของเมืองปักกิ่งถิ่นชาววังในสองสามปีที่ผ่านมา การเชิญคนดังมาเขียนคำขวัญกับถ่ายรูปร่วมกับคนดังนั้นมีความนิยมเป็นอย่างมาก และภายในห้องโถงใหญ่รีสอร์ทของหวังเจียซวิน ก็มีรูปถ่ายร่วมกับดาราไม่น้อย
แต่เมื่อเทียบกับชายชราที่อยู่ตรงหน้านี้กับดาราพวกนั้น จึงไม่สามารถจัดอยู่ในระดับเดียวกันได้จริงๆ ถ้าหากได้ถ่ายรูปกับถังเหวินหย่วน และถูกแพร่ออกไปภายในเมืองปักกิ่งถิ่นชาววังแห่งนี้ ก็จะเพิ่มความมีหน้ามีตาให้เขาอีกหนึ่งเท่าตัว
“คุณรู้จักคนแก่ๆ อย่างผม? เรื่องถ่ายรูปไม่จำเป็นหรอกครับ…”
ถังเหวินหย่วนมองหวังเจียซวินอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง เขาเป็นคนค่อนข้างถ่อมตัวคนหนึ่ง ตอนนั้นเขาได้บริจาคเงินให้กับมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในประเทศจีน และมหาวิทยาลัยแห่งนั้นจะตั้งชื่อว่ามหาวิทยาลัยเหวินหย่วนตามชื่อของเขา แต่ถังเหวินหย่วนไม่เห็นด้วย
เมื่อเห็นถังเหวินหย่วนพูดปฏิเสธออกมาโดยตรง หวังเจียซวินจึงเผยความอับอายออกมาจากใบหน้า จากนั้นเยี่ยเทียนจึงยิ้มแล้วพูดว่า “เหล่า..เหล่าถัง ก็แค่ถ่ายรูปเอง ไม่ได้ขอทานข้าวฟรีๆทำไมถึงจะถ่ายรูปไม่ได้ล่ะ?”
นิสัยของเยี่ยเทียนก็เป็นอย่างนี้ มีเพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อน เขารู้สึกถูกคอกับเฉินสี่ฉวน และก็ชอบหวังเจียซวินด้วย ดังนั้นเขาจึงพูดบีบบังคับถังเหวินหย่วนโดยตรง
“ได้ ถือว่าผมกลัวคุณก็แล้วกัน…”
ถังเหวินหย่วนส่ายหน้าพลางฝืนยิ้ม แล้วจึงหันหน้าไปพูดกับหวังเจียซวิน “ถ่ายรูปได้ครับ แต่อย่าเอาไปแขวนข้างในนี้!”
“ได้ครับ ผมจะไม่แขวนตรงนี้ครับ ขอบคุณคุณถังเหล่าครับ!” หวังเจียซวินดีใจมาก และเขาพูดว่าจะไม่แขวนในห้องโถง แต่เขาสามารถนำไปแขวนในออฟฟิศได้นี่นา
หลังจากรอให้หวังเจียซวินกับเฉินสี่ฉวนแยกกันถ่ายรูปคู่กับถังเหวินหย่วนเสร็จแล้ว ทุกคนจึงออกมาจากรีสอร์ท ถังเหวินหย่วนกับอาติงแล้วก็ตู้เฟยกลับไปที่โรงแรม ส่วนเยี่ยเทียนได้ถูกหวังเจียซวินคนขับรถไปส่งที่มหาวิทยาลัยหวาชิงด้วยตัวเอง
เขานัดอวี๋ชิงหย่าทานข้าวเย็น แต่คนที่มาด้วยยังมีสวี๋เจิ้นหนานกับเว่ยหรง หรง หลังจากผ่านเรื่องราวคราวที่แล้ว ความรู้สึกของทั้งสองคนได้มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว และได้ยินอวี๋ชิงหย่าพูดว่า เหมือนพวกเขาจะเช่าบ้านที่อยู่ข้างมหาวิทยาลัยเพื่ออาศัยอยู่ด้วยกันอีกด้วย
เมื่อพูดถึงการอาศัยอยู่ด้วยกัน ในใจของเยี่ยเทียนก็รู้สึกร้อนรุ่มไปหมด แต่เขาเพิ่งจะช่วยแก้ไขดวงชะตาให้อวี๋ชิงหย่า และยังไม่รู้ว่าจะสำเร็จไหม ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงไม่กล้าล้ำเส้นกับอวี๋ชิงหย่าเร็วเกินไป
เมื่อนั่งอยู่ภายในร้านอาหารเล็กๆ ข้างมหาลัยวิทยาลัย พร้อมกับอาหารสองสามอย่างกับเบียร์ที่วางอยู่บนโต๊ะแล้ว เยี่ยเทียนกับสวี๋เจิ้นหนานก็คุยกันอย่างถึงอกถึงใจ ถ้าหากตู้เฟยมาเห็นฉากนี้ คงไม่มีทางเชื่อมต่อภาพของเยี่ยเทียนที่โหดเหี้ยมเหมือนซาตานในช่วงบ่ายได้แน่นอน
…………………………
ภายในคอนโดหรูห้องหนึ่งในนครนิวยอร์กของสหรัฐอมเริกา มีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังรับสายโทรศัพท์ แต่เมื่อฟังคำบรรยายที่อยู่ในสายแล้ว คิ้วของเขาจึงเริ่มขมวดขึ้นมา
“ปัง!”
หลังจากวางสายแล้ว เครื่องเคลือบม้าสามสีที่มีความสูงเกือบสามสิบเซนติเมตร ถูกชายหนุ่มจับทิ้งลงไปบนพื้นอย่างแรง เศษเครื่องปั้นดินเผากระจายเป็นชิ้นๆ อยู่บนพื้น มองไม่เห็นคราบเดิมว่าเป็นสิ่งของที่เขาประมูลมาจากประเทศอังกฤษในราคาสามล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว
เครื่องเคลือบม้าสามสีที่แตกละเอียดยังคงไม่สามารถทำให้ไฟโกรธของชายหนุ่มลดลงได้ และปากของเขาก็สบถด่าไม่หยุด “เศษสวะ เศษสวะ นอกจากรู้จักแต่ดื่มเหล้าเคล้านารีแล้ว แม่งยังจะรู้อะไรอีกบ้าง?!”
ซ่งเสี่ยวหลงโกรธจนไม่อาจยับยั้งสติได้ เพราะหลังจากที่เขาส่งผู้เชี่ยวชาญไปเซี่ยงไฮ้แล้ว คนที่คอยต้อนรับกลับเกิดอุบัติเหตุอย่างไม่คาดคิด ทำให้แผนการของซ่งเสี่ยวหลงล้มเหลวทั้งหมด เขาจึงต้องเรียกคนกลับมาที่ประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างช่วยไม่ได้
แต่นอกเหนือจากความโกรธแล้ว หัวใจของซ่งเสี่ยวหลงก็ยังรู้สึกดีใจอยู่บ้าง เพราะโทรศัพท์ที่เขารับสายเมื่อครู่ ได้เป็นการพิสูจน์ว่าการตายของซ่งเสียวเจ๋อนั้นเป็นอุบัติเหตุที่มาจากการดื่มเหล้าเกินขนาด หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ แผนที่เขาจงใจจัดการกับเยี่ยเทียนทั้งหมด ไม่ได้ถูกเปิดเผยออกไป
ต้องเข้าใจก่อนว่า ตอนนี้ซ่งเสี่ยวหลงครอบครองทุกอย่างได้ ล้วนสร้างมาจากตัวอาสาวของเขา ถ้าหากข้อมูลนี้ถูกเผยออกไปเพียงนิดเดียว เขาก็จะถูกขับไล่ออกไปเหมือนเศษขยะ
“ถือว่านายดวงดี แต่ไฉถวนกรุ๊ปเป็นของฉัน ใครก็อย่าคิดจะแย่งไปจากมือของฉัน!” หลังจากสงบเงียบไปพักหนึ่ง ใบหน้าของซ่งเสี่ยวหลงก็เผยรอยยิ้มอันดุร้ายออกมา
ตอนที่ 254 มาหาถึงบ้าน
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ติ๊งต่อง ติ๊งต่อง…”
เยี่ยเทียนกำลังใส่ผ้ากันเปื้อน และกำลังยุ่งอยู่ในห้องครัวของเรือนกลางบ้านอย่างขมักเขม้น จู่ๆ ได้ยินเสียงกดกริ่งประตูดังมาจากห้องเซียงฝางจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เยี่ยเทียนก็ยังไม่สนใจ และนำยาสมุนไพรที่ชั่งตามน้ำหนักใส่ลงไปในหม้อยาทีละอย่าง
“ถ้ารู้ว่าเป็นอย่างนี้จะไม่ติดตั้งกริ่งประตูเลย!”
เนื่องจากเสียงกดกริ่งที่ดังไม่หยุด เยี่ยเทียนจึงนำยาสมุนไพรใส่ลงไป และหลังจากปรับไฟของเตาแก๊สเรียบร้อยแล้ว เขาจึงเดินออกไป
แต่ก่อนบ้านหลังใหญ่แบบนี้จะมีคนคอยเฝ้าประตูอยู่ และยังแบ่งเป็นประตูใหญ่กับประตูสองห้องที่ขนาบข้างอีกด้วย ถ้าหากมีคนมาเยี่ยมเยียน ก็จะผ่านประตูห้องใหญ่ไปยังประตูที่สอง สุดท้ายจึงจะแจ้งให้เจ้าของบ้านทราบ และนี่ก็คือสัญลักษณ์ในการแสดงฐานะอย่างหนึ่ง
แต่บ้านห้องชุดสี่ห้องในตอนนี้ มีเยี่ยเทียนอาศัยอยู่คนเดียว เพราะตัวของเขามีความลับมากกมายเกินไป จึงไม่อยากจ้างคนเฝ้าประตู และเยี่ยตงผิงก็เคยมาหาเขาที่บ้านสองสามครั้งตะโกนอย่างไรก็ไม่เปิดประตู สุดท้ายด้วยความโกรธจึงติดตั้งกริ่งประตูในบ้านหลังนี้
เยี่ยเทียนล้างมืออย่างช้าๆ จากนั้นจึงเดินไปในห้องของตัวเองที่อยู่ตรงลานหลังบ้าน แล้วจึงเทยาลูกกลอนสีดำสนิทขนาดเท่าลูกลำไยออกมาสามเม็ดจากขวดพอร์ซเลน[1] หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงใส่กลับเข้าไปหนึ่งเม็ด
ยารักษาอาการบาดเจ็บนี้ท่านนักพรตเป็นคนกลั่นปรุงด้วยตัวเอง ถึงแม้จะไม่สามารถทำให้ตายแล้วฟื้นขึ้นมาได้ แต่ก็มีผลการรักษาที่ดีเยี่ยมต่อแผลที่บอบช้ำภายใน เพียงแต่ยาสุมนไพรที่ต้องใช้นั้นค่อนข้างล้ำค่า ทำให้เยี่ยเทียนไม่สามารถปรุงยาออกมาได้เสียที
“ตงผิง หรือเยี่ยเทียนจะไม่อยู่บ้านหรือเปล่า?”
ตรงหน้าประตูบ้านหลังใหญ่ของเยี่ยเทียน มีคนยืนอยู่ห้าถึงหกคน นอกจากถังเหวินหย่วนที่พาหลานสาวกับอาติงและตู้เฟยมาด้วยแล้ว ก็ยังมีเยี่ยตงผิงตามมาด้วยอีกคน
ถังเหวินหย่วนมาหาเยี่ยเทียนที่บ้านสองสามครั้ง ถึงแม้จะไม่เคยเจอตัวเยี่ยเทียนเลย แต่กลับทำให้เขารู้จักกับเยี่ยตงผิง และเนื่องจากถังเหวินหย่วนให้ความเคารพในตัวของเยี่ยเทียน ดังนั้นเขาจึงไม่เคยวางมาดของผู้อาสุโวกว่าต่อหน้าเยี่ยตงผิง
หลังจากได้ยินคำพูดของถังเหวินหย่วน เยี่ยเทียนจึงส่ายหน้าพลางพูด “เป็นไปไม่ได้ หลังจากเขาย้ายมาอยู่ที่นี่ ถ้าไม่ไปออกกำลังกายตอนเช้า ตอนนี้ก็ต้องอยู่ในบ้าน”
แต่ก่อนเวลาที่เยี่ยเทียนออกกำลังกายตอนเช้า เขาจะไปวิ่งที่สวนหย่อมเล็กๆ แห่งหนึ่งนอกเขตบ้านชุดสี่ห้อง แต่ตอนนี้ในบ้านเต็มไปด้วยพลังหลิงชี่ เขาจึงไม่จำเป็นต้องออกไปข้างนอกแล้ว
“คุณเยี่ย คุณไม่มีกุญแจของบ้านหลังนี้ใช่ไหมครับ?”
ถ้าจะพูดว่าใครร้อนใจที่สุดในสองสามคนนี้ ก็ต้องเป็นตู้เฟยอย่างไม่ต้องสงสัย หลังจากกลับไปเมื่อวานเขาก็ได้ลองเดินวรยุทธ์ แต่ใครจะรู้ว่าตอนนั้นได้ทำให้อวัยวะภายในทั้งห้าสั่นสะเทือนอย่างหนัก และกระอักเลือดออกมา
ด้วยเหตุนี้ตู้เฟยจึงเชื่อคำพูดของเยี่ยเทียนโดยไม่มีข้อสงสัยใดๆ อีก และเวลาประมาณหกโมงเช้าเขาจึงปลุกถังเหวินหย่วนและคนอื่นๆ ขึ้นมา ถ้าหากไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะทำให้คุณเยี่ยเทียนโกรธ คาดว่าเขาคงจะมาเคาะประตูบ้านเมื่อสองชั่วโมงก่อนหน้านี้แล้ว
“กุญแจมีครับ แต่…แต่เวลาที่เสี่ยวเทียนกำลังฝึกวรยุทธ์จะไม่ชอบให้ใครรบกวนครับ”
ผู้เป็นพ่อไม่กล้าเปิดประตูเข้าไปในบ้านของลูกชาย และตอนที่เยี่ยตงผิงพูดถึงตรงนี้เขาจึงทำสีหน้ากระอักกระอ่วนอยู่บ้าง เพราะเขาเคยไขกุญแจเข้าไปในบ้านครั้งหนึ่ง และเกือบทำให้เยี่ยเทียนที่กำลังเดินวรยุทธ์โจวเทียนอยู่นั้นแทบกระอักเลือด
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจะเปิดประตูใหญ่ให้ทุกคนไปรอข้างในนะครับ!” เมื่อเห็นว่านานแล้วเยี่ยเทียนก็ยังไม่เปิดประตูเสียที เยี่ยตงผิงจึงทนไม่ไหว หยิบกุญแจออกมาเตรียมไขประตูด้านข้าง
“อย่าเลยครับ พวกเราก็รออีกหน่อยดีกว่าครับ!” ตู้เฟยคว้ามือของเยี่ยตงผิงเอาไว้ เพราะชีวิตน้อยๆ ของเขาอยู่ในกำมือของเยี่ยเทียน จึงไม่อยากทำอะไรให้เยี่ยเทียนไม่พอใจแม้แต่นิดเดียว
“มากันครบทุกคนเลยเหรอ? หืม พ่อครับ พ่อมาได้ยังไง?”
ระหว่างที่ทุกคนกำลังคุยอยู่ข้างนอก ประตูที่ปิดสนิท ในที่สุดก็มีเสียงเปิดประตู ดังกึกออกมา และเงาร่างเยี่ยเทียนก็ปรากฏตัวอยู่หน้าประตู
และบนไหล่ของเยี่ยเทียน ยังมีสัตว์ขนขาวราวกับหิมะเกาะอยู่ด้วย ดวงตาดำทั้งสองข้างส่องประกายระยิบระยับเหมือนกับอัญมณีสีดำ กำลังกลอกตามองทุกคนไปมา
เยี่ยตงผิงที่รู้สึกว่าตัวเองเสียหน้าเมื่อครู่ เมื่อรู้ตัวจึงพูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจ “ไอ้ลูกคนนี้เป็นอะไร? กดกริ่งนานครึ่งค่อนวันแล้วทำไมถึงไม่เปิดประตู? ช่างเถอะ แขกก็มาหมดแล้ว เข้าไปพูดข้างในเถอะ!”
เยี่ยตงผิงพูดพลางผลักลูกชายออก แล้วจึงเดินตรงเข้าไปในลานบ้าน แต่เยี่ยเทียนกลับมาขวางทางเอาไว้ เหมือนไม่ต้องการเชิญใครเข้ามา
หลังจากเดินไปได้สองสามก้าว เยี่ยตงผิงจึงหันหน้ามามอง และถามอย่างประหลาดใจ “เอ๊ะ เยี่ยเทียน เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
“พ่อ บ้านของผมไม่ใช่ใครจะเข้าได้นะครับ”
เยี่ยเทียนหัวเราะให้พ่อ แล้วจึงควักยาเม็ดที่ห่อด้วยกระดาษสีเหลืองออกมาจากกระเป๋า โยนไปให้ตู้เฟยพลางพูด “ยาแต่ละเม็ดให้แบ่งออกเป็นเศษหนึ่งส่วนสาม ใช้น้ำอุ่นผสมแล้วค่อยดื่ม โดยดื่มหนึ่งครั้งในช่วงเช้า กลางวัน และตอนเย็นติดต่อกันสองวัน จากนั้นใช้ฉั่งฉิกต้มกับหญ้าฝรั่น แล้วดื่มต่อไปอีกหนึ่งอาทิตย์ อาการบาดเจ็บของคุณก็จะหายดี!”
แท้จริงแล้วถ้าหากเยี่ยเทียนให้ยาลูกกลอนสามเม็ดกับตู้เฟย ก็จะสามารถรักษาแผลบอบช้ำภายในของเขาได้ภายในเวลาสามวัน แต่ยาลูกกลอนนี้เป็นของอาจารย์ที่ทิ้งเอาไว้ ดังนั้นจึงเหลือไม่มาก อีกทั้งแผลหายช้าไปสองสามวันก็ไม่ทำให้คนตายได้หรอก เพียงแต่ตู้เฟยต้องทนรับความทุกข์ทรมานไปอีกหนึ่งอาทิตย์เท่านั้นเอง
แน่นอนว่า ตู้เฟยไม่รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว หลังจากเขารับยาลูกกลอนมาแล้ว จึงพูดพลางโค้งคำนับ “ขอบคุณคุณชายครับ ตู้เฟยจะจดจำบุญคุณของคุณไม่มีวันลืมครับ!”
“ยังอยากจะกลับไปสู้อีก?” เยี่ยเทียนถลึงตามองหนึ่งที เพราะทำไมฟังคำนี้แล้วถึงรู้สึกอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไร? เดิมทีเป็นเพราะเขาทำตัวเองให้เจ็บเอง แล้วจะมีบุญคุณเข้ามาเกี่ยวข้องได้ยังไง?
“จี๊ดจี๊ด..จี๊ดจี๊ด!” เหมือนจะรู้สึกได้ถึงความจงใจของเยี่ยเทียน เจ้าขนฟูจึงยืนบนไหล่ของเยี่ยเทียน แล้วทำเสียงขู่ออกมาจากปากของมันไปที่ตู้เฟย
“พอเลย แกอยู่นิ่งๆ ไปเลย จะซนไปถึงไหน หืม?”
เยี่ยเทียนตบเจ้าขนฟูอย่างไม่พอใจ ตั้งแต่เขาสั่งไม่ให้คนเอาแกะมาส่งอีก เจ้าตัวนี้ก็ไม่มีเป้าให้โจมตี ทำให้มีนิสัยดุขึ้น แถมเมื่อวานยังกล้าแยกเขี้ยวยิงฟันใส่คุณยายอีกด้วย
“จีจี!”
เมื่อถูกเยี่ยเทียนตบเบาๆ เจ้าขนฟูจึงใช้อุ้มเท้าหน้าทั้งสองข้างมาปิดตา และท่าทางน่ารักแบบนั้นทำให้ทุกคนรู้สึกน่ารักน่ามันเขี้ยวจริงๆ
“พี่เยี่ยเทียน หนู…หนูขออุ้มมันหน่อยได้ไหมคะ?” นัยน์ตาของถังเสวียเสวี่ยเปล่งประกายแวววาวเหมือนดวงดาว อยากอุ้มสัตว์ตัวเล็กน่ารักตัวนั้นมาอยู่ในอ้อมอกอย่างอดใจไม่ไหว
“เสวียเสวี่ย เธออย่าไปหาเรื่องมันนะ!”
เยี่ยเทียนยังไม่ทันพูด เยี่ยตงผิงก็ตกใจทันที เพราะเขาเคยเห็นท่าทางของเจ้าสัตว์ตัวเล็กนี้โจมตีแกะมากับตาตัวเอง การเคลื่อนไหวเร็วปานสายฟ้าแลบ พอกระโจนขึ้นไปได้ก็กัดหมับเข้าไปที่คอของแกะแล้ว
“ใช่ เสวียเสวี่ย มันไม่ค่อยชอบคนแปลกหน้า เธออย่าอุ้มมันเลย!” เยี่ยเทียนพยักหน้า เพราะนอกจากคนในครอบครัวแล้ว เขาก็ไม่ให้เจ้าขนฟูสัมผัสกับคนภายนอก อีกทั้งยังเป็นการรักษาระดับการโจมตีของเจ้าเฟอร์เร็ต ด้วย
ต้องรู้ว่า เจ้าเฟอร์เร็ตเป็นสัตว์ดุร้ายแม้แต่เสือดาวหิมะยังต้องหนีหัวซุกหัวซุน เยี่ยเทียนจึงไม่อยากให้มันกลายเป็นแกะที่เชื่องมากเกินไป
เมื่อถูกเจ้าขนฟูขัดจังหวะ จึงทำให้มาดของความสั่นสะเทือนที่สยบตู้เฟยเมื่อครู่คลายลงไป ทำให้ตู้เฟยที่ตื่นเต้นไม่หยุดโล่งอก แล้วจึงเอ่ยพูด “คุณชาย ถ้าหากคุณให้ความกล้าแก่ผมอีก ผมก็ไม่กล้าโกรธเกลียดคุณหรอกครับ!”
“อืม มานี่ผมมีอะไรจะพูดกับคุณ” เยี่ยเทียนกวักมือเรียกตู้เฟย แล้วจึงเดินไปนอกประตูพูดกระซิบข้างหูเขาสองสามประโยค จากนั้นตู้เฟยจึงพยักหน้า สุดท้ายก็ยังเอามือตบหน้าอก
หลังจากพูดกำชับตู้เฟยเรียบร้อยแล้วเยี่ยเทียนจึงโบกมือพลางพูด “โอเค งั้นคุณก็กลับไปได้ และในหนึ่งอาทิตย์นี้ก็ห้ามไปมีเรื่องกับใครนะ”
“ครับ คุณชาย เรื่องนั้นผมจะจัดการให้คุณอย่างเรียบร้อยครับ!” ตู้เฟยรู้ว่าเยี่ยเทียนไม่อยากให้เขาเข้าไปในลานบ้าน จากนั้นเขาอำลาถังเหวินหย่วนทันทีแล้วตัวเองก็กลับไป
หลังจากตู้เฟยกลับไปแล้ว เยี่ยเทียนจึงมองเห็นเพื่อนบ้านหลายคนออกมาแต่ไกลๆ เขาจึงหมุนตัวพูดกับถังเหวินหย่วน “ไปกันเถอะครับ เข้าไปพูดข้างใน ว่าแต่ท่านผู้เฒ่า ท่านต้องเตรียมเงินไว้ให้เรียบร้อยนะครับ!”
มองดูเยี่ยเทียนทำท่าทางเล่นแง่ ถังเหวินหย่วนจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “วางใจได้ครับ ผมยังต้องใช้หน้าตาแก่ๆ ใบนี้อยู่ ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ ก็จะให้เงินคุณครบแน่นอนครับ!”
“ถังเหล่า คุณพาถังเสวียเสวี่ยเข้าไปก่อนนะครับ…”
เยี่ยตงผิงหลีกทางให้ เพื่อให้ถังเหวินหย่วนปู่หลานเข้าไปก่อน จากนั้นเขาจึงดึงเยี่ยเทียนเอาไว้แล้วถาม “เยี่ยเทียน เกิดเรื่องอะไรกับลูก? ทำไมตาแก่นั่นถึงเรียกลูกว่าคุณชาย? หรือว่าลูกเข้าไปอยู่ในแก๊งมาเฟียใช่ไหม?”
“พ่อคิดไปถึงไหนกัน?”
เยี่ยเทียนถูกคำพูดของพ่อจนร้องไห้และหัวเราะไม่ออก จากนั้นจึงพูดเสียงทุ้มต่ำ “ตาแก่นั่นเป็นเด็กรุ่นหลังของอาจารย์ผม ถ้าหากนับตามศักดิ์แล้วเขาต้องเรียกผมว่าปู่ แต่ผมให้เขาเรียกว่าคุณชายก็ถือเป็นการไว้หน้าเขาแล้ว”
“อ้อ เป็นอย่างนี้เองเหรอ? เยี่ยเทียน เขาก็อายุมากขนาดนั้นแล้ว ต่อไปถ้าเจอเขาอีกก็อย่าพูดอะไรที่รุนแรงเกินไป อ้อใช่ เมื่อครู่ลูกคุยอะไรกับคนนั้น? เห็นเขาทั้งพยักหน้าทั้งตบหน้าอก?”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว เยี่ยตงผิงจึงเข้าใจทุกอย่าง เพราะเขารู้สึกตกใจมากเมื่อรู้ว่าหลี่ซั่นหยวนอายุมากขนาดไหน ดังนั้นการมีเด็กรุ่นน้องอายุหกสิบกว่าปีจึงเป็นเรื่องปกติ
“พ่อครับ ผมรู้แล้ว เมื่อครู่ก็ไม่ได้พูดอะไร แค่พูดอะไรเรื่องเปื่อย ไปกันเถอะ พ่อรีบเข้าไปข้างในได้แล้ว…”
เยี่ยเทียนหัวเราะพลางผลักพ่อเข้าไปข้างในลานบ้าน แล้วจึงพูดเปลี่ยนประเด็น ความจริงเมื่อครู่เขากำชับให้ตู้เฟย ไปสืบเรื่องของซ่งเสี่ยวหลง
ถึงแม้เยี่ยเทียนจะไม่กลัวอีกฝ่าย แต่ศัตรูอยู่ในที่ลับตัวเองอยู่ในที่แจ้ง บวกกับครอบครัวตัวเองเป็นครอบครัวใหญ่ เขากลัวจริงๆ ว่าถ้าหากซ่งเสี่ยวหลงคิดแผนสกปรก แล้วทำให้ครอบครัวต้องเดือดร้อน เยี่ยเทียนคงจะเสียใจเป็นอย่างมาก
หลังจากปิดประตูด้านข้างแล้ว เยี่ยเทียนจึงหันไปเห็นถังเหวินหย่วนปู่หลานทั้งสองคนกำลังยืนเหม่ออยู่หน้าลานบ้าน แล้วจึงอดพูดหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ “เป็นยังไงบ้างครับ?เมื่อวานเสนอราคาให้คุณ ตอนนี้คงไม่รู้สึกขาดทุนใช่ไหมครับ?”
หลังจากถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงของเยี่ยเทียนแล้ว ถังเหวินหย่วนจึงรีบพูดทันที “ไม่…ไม่ขาดทุน ไม่ขาดทุนครับ!” ถังเหวินหย่วนนึกไม่ถึงว่า ประตูด้านในและประตูด้านนอก เหมือนกับเปลี่ยนไปเป็นคนละโลกเลยทีเดียว
บ้านชุดสี่ห้องที่ตกแต่งใหม่นี้ ในสายตาของเขาไม่ได้แปลกอะไรมาก ดอกไม้ใบหญ้าพวกนี้ถังเหวินหย่วนก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ถึงอย่างไรการใช้ชีวิตที่ฮ่องกงของเขา ก็มีดอกไม้สดบานตลอดทั้งสี่ฤดูอยู่แล้ว
แต่อากาศของที่นี่ กลับทำให้ถังเหวินหย่วนตื่นตระหนกตกใจเป็นอย่างมาก หลังจากสูดลมหายใจเข้าไปภายในร่างกายแล้ว ถังเหวินหย่วนก็รู้สึกว่าร่างกายทั้งตัวของเขาเหมือนจะเบาขึ้นมาก และระหว่างที่หายใจเข้าและหายใจออก ก็รู้สึกว่าสมองปลอดโปร่งโล่งสบาย แขนขาที่เชื่องช้าเหมือนจะเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วมากขึ้น
ไม่ใช้แค่ถังเหวินหย่วนที่รู้สึกแบบนี้ หลังจากที่ถังเสวียเสวี่ยเข้ามาที่นี่ ก็รู้สึกร่างกายอบอุ่นไปทั้งตัว พลังหยินพิฆาตที่ทรมานเธอมานานนับสิบกว่าปี ก็เหมือนจะหายไปหมดแล้ว
เมื่อเห็นใบหน้าที่ตกตะลึงของสองคนปู่หลาน เยี่ยเทียนจึงพูดพลางยิ้ม “โอเค พวกเราไปนั่งที่เรือนลานกลางบ้านดีกว่าครับ ห้องของเสวียเสวี่ยนั้นให้เลือกด้วยตัวเองได้ แต่ผ้าห่ม ฟูกและหมอนต้องซื้อใหม่นะครับ”
…………
[1] ขวดเซรามิกเนื้อขาว
ตอนที่ 255 เรื่องยุ่ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ที่นี่อยู่สบายจังเลยค่ะคุณปู่ เสวียเสวี่ยไม่รู้สึกหนาวแล้วละค่ะ!” หลังจากได้ยินเยี่ยเทียนพูด ถังเสวียเสวี่ยก็โห่ร้องขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นยินดี
เพราะข้อจำกัดทางร่างกาย ตั้งแต่เด็กถังเสวียเสวี่ยจึงมักจะรู้สึกหนาวเย็นไปจนถึงไขกระดูก ถึงจะไปนั่งอยู่ข้างเตาไฟก็ไม่มีประโยชน์ ทว่าตั้งแต่เดินเข้ามาในลานบ้านนี้ ความหนาวเย็นนั้นก็อันตรธานหายไปทันที
เยี่ยเทียนตบไหล่ถังเหวินหย่วน ยิ้มแย้มพลางถามว่า “เป็นไง คุ้มกับเงินที่คุณจ่ายไปไหมล่ะ?”
ถังเหวินหย่วนพยักหน้ารัวๆ แล้วลองถามหยั่งเชิงดูว่า “คุ้ม คุ้มที่สุดเลย เยี่ยเทียน ถ้ายังไง…ให้ผมอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเสวียเสวี่ยด้วยเลยดีไหม?”
อาณาจักรธุรกิจของถังเหวินหย่วนนั้นมีรากฐานมั่นคงมานานแล้ว และตอนนี้ก็อยู่ภายใต้การบริหารของบรรดาลูกหลานของเขาทั้งหมดแล้ว ปกติเวลาเขาอยู่ที่ฮ่องกงก็มีแต่ไปจิบชาตีกอล์ฟกับพวกเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ จริงๆ ก็ไม่ได้มีงานอะไรให้ทำอยู่แล้ว
ดังนั้นหลังจากที่สัมผัสได้ถึง ‘อากาศ’ อันสะอาดสดชื่นในบ้านซื่อเหอย่วนของเยี่ยเทียน ถังเหวินหย่วนก็เกิดความคิดที่จะพักอาศัยอยู่ที่นี่ในระยะยาว เขารู้สึกได้เลยว่า ถ้าได้อยู่ที่นี่สักหนึ่งวัน ต่อให้ไม่ใช้ยาอะไร โรคประจำตัวของเขาแต่ละโรคก็น่าจะอาการทุเลาลงไปได้มากเลยทีเดียว
เยี่ยเทียนส่ายหน้า “ร่างกายแบบคุณน่ะไม่ได้หรอก อย่างมากที่สุดก็อยู่ได้แค่อาทิตย์ละสองวัน ไม่อย่างนั้นถ้าบำรุงมากไปกลับจะกลายเป็นแย่เอา…”
ถังเหวินหย่วนไม่ได้มีโรคภัยไข้เจ็บอะไรมากมาย เพียงแต่อายุมากแล้ว ร่างกายจึงชราภาพไปตามปกติเท่านั้นเอง ถ้ามาอาศัยอยู่ที่นี่เป็นเวลานาน กลับจะทำให้เกิดโรคขึ้นมาเสียอีก
ส่วนถังเสวียเสวี่ยนั้นถึงจะร่างกายอ่อนแอ แต่การบำรุงด้วยปราณวิเศษนั้นเป็นสิ่งที่เธอต้องการอยู่พอดี ปราณวิเศษที่มีอยู่ทั่วบ้านนี้มีแต่จะช่วยฟื้นฟูระบบร่างกายของเธอ และทำให้เส้นลมปราณภายในกายของเธอค่อยๆ แข้งแกร่งขึ้นมา
“งั้นเอาอย่างนี้ไหม ผมมาอยู่ที่นี่ทุกวัน วันละหกชั่วโมง ตอนเย็นก็กลับไปอยู่บ้านตัวเอง ดีไหมล่ะ?” ถังเหวินหย่วนถามต่ออย่างไม่ยอมตายใจ
“ถ้าคุณอยากจะตายเร็วๆ ก็ทำแบบนั้นไปเถอะ แต่อย่ามาหาว่าผมไม่ได้เตือนคุณล่ะ”
เยี่ยเทียนขึงตาใส่ชายชราคนนี้อย่างไม่สบอารมณ์ ระหว่างรับปราณวิเศษหกชั่วโมงกับหนึ่งวันก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไร ถ้าถังเหวินหย่วนจะทำแบบนั้นจริงๆ ละก็ ไม่ถึงหนึ่งเดือนเขาก็คงจะถึงขีดจำกัดแล้ว
เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนว่าอย่างนั้น ถังเหวินหย่วนก็ไม่กล้าพูดอะไรมากอีก ได้แต่ตอบไปว่า “ก็ได้ อย่างนั้นก็อาทิตย์ละสองวัน…”
ภาษิตว่า คนยิ่งสูงวัยยิ่งทรงปัญญา ถังเหวินหย่วนไม่คิดจะถามเยี่ยเทียนเลยว่า ทำไมบ้านซื่อเหอย่วนหลังนี้ถึงกลายเป็นแบบนี้ได้ เพราะเขารู้ว่า ถ้าตัวเองถามมากไป นอกจากจะไม่ได้รับคำตอบแล้ว กลับจะทำให้เยี่ยเทียนอารมณ์เสียขึ้นมาเสียอีก
เยี่ยเทียนพยักหน้า “อืม พวกชุดเครื่องนอนน่ะให้คนมาส่งไว้ที่โรงรถหลังบ้านก็แล้วกัน แล้วผมจะช่วยเอาเข้ามาให้ เพราะที่นี่ไม่เหมาะให้คนนอกเข้ามา…”
“ใช่ๆ ที่นี่น่ะให้คนนอกเข้ามาไม่ได้หรอก!”
ถังเหวินหย่วนเห็นด้วยกับคำพูดของเยี่ยเทียนเป็นอย่างยิ่ง ที่เขาจ่ายเงินมาพักที่นี่วันละหนึ่งล้าน ก็เพื่อที่จะซื้ออากาศที่มองไม่เห็น จับต้องก็ไม่ได้เหล่านี้ไม่ใช่หรอกรึ?แล้วจะยอมให้คนอื่นมาสูดอากาศที่นี่โดยไม่เสียเงินสักแดงได้อย่างไรกัน?
“อ้าว เยี่ยเทียน ที่บ้านคุณนี่ไม่มีสัญญาณหรือ?” ถังเหวินหย่วนหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าที่พกติดตัวมาด้วย แต่พอเห็นจอแล้วก็ต้องอึ้งไป เพราะโทรศัพท์สัญญาณดาวเทียมที่เขาสั่งผลิตเป็นพิเศษเครื่องนี้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ต้องมีสัญญาณทั้งนั้น
“ในห้องทางโน้นมีโทรศัพท์บ้านอยู่ คุณไปใช้ก็ได้นะครับ…”
เยี่ยเทียนพาสองปู่หลานเดินไปที่เรือนกลาง “ห้องที่นี่พวกคุณเลือกกันตามสบายเลยนะ อยู่ได้หมด แต่ห้องครัวในเรือนกลางนี่พวกคุณอย่าเข้าไปนะ เพราะห้องนั้นผมใช้ต้มยาอยู่ นอกจากนั้นเรือนหลังก็อย่าเข้าไปเหมือนกัน!”
“หนูทราบแล้วค่ะพี่เยี่ยเทียน แต่ว่า…แต่ว่า…” ถังเสวียเสวี่ยท่าทางเหมือนอยากจะขออะไรบางอย่าง แต่โตมาจนป่านนี้แล้วเธอก็ยังไม่เคยเอ่ยปากขอร้องอะไรจากใครเลย ดังนั้นถึงอยากจะพูดแต่ก็พูดไม่ออก
“แม่หนูน้อย มีอะไรก็พูดมาเถอะ!”
เยี่ยเทียนหัวเราะ แล้วยื่นมือออกไปลูบศีรษะของถังเสวียเสวี่ย เธอน่าจะอายุมากกว่าหลิวหลันหลันไปสักปีสองปี แต่เพราะเป็นโรคเส้นลมปราณเก้าหยินขาด ทำให้ดูเหมือนเป็นเด็กผู้หญิงอายุสิบสี่สิบห้าปี เยี่ยเทียนเองก็รู้สึกว่าเด็กคนนี้น่าสงสารอยู่เหมือนกัน
ถังเสวียเสวี่ยชี้ไปที่เหมาโถวซึ่งแอบมาจับปลาในบ่อตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ และกำลังสวาปามปลาตัวนั้นอยู่พอดี “พี่เยี่ยเทียนคะ ถ้าหนูมาอยู่ที่นี่คนเดียว คุณปู่ไม่อยู่ด้วย ก็คงจะเหงาแน่ๆ เลย พี่…พี่ให้มันมาอยู่เล่นเป็นเพื่อนหนูได้ไหมละคะ?”
“เหมาโถว อยากโดนตีอีกแล้วใช่ไหม?”
พอเห็นเหมาโถวกำลังขโมยปลากิน เยี่ยเทียนก็มีน้ำโหขึ้นมาทันที ก้าวเข้าไปคว้าคอของเจ้าตัวน้อยนั้นไว้ แล้วด่าว่า “แกนี่มันรู้จักแต่กินล้างกินผลาญ ปลาทั้งบ่อจะโดนแกกินจนหมดบ่ออยู่แล้วเนี่ย”
“จี๊ดๆ…จี๊ดๆ!” เหมาโถวรู้ตัวว่าก่อเรื่องอีกแล้ว แต่ก็ทำหน้าเฉยเมยไม่แยแส ปล่อยให้เยี่ยเทียนอบรมไปตามสบาย
ถังเสวียเสวี่ยที่อยู่ข้างๆ พลันพูดขึ้นว่า “พี่เยี่ยเทียน หนู…หนูจะให้คุณปู่ซื้อปลามาไว้ในบ่อดีไหมคะ?พี่…พี่อย่าไปด่ามันเลยนะ!”
ถังเสวียเสวี่ยพูดเสียงจ่อยๆ ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกอย่างกับว่าตัวเองไปทำเรื่องเลวร้ายอะไรมา จึงตอบไปอย่างฉุนๆ “เธอเลี้ยงไว้กี่ตัวก็ไม่พอให้มันกินหรอก เอาเถอะ ต่อไปให้มันมาอยู่เป็นเพื่อนเธอก็แล้วกัน”
พอปล่อยเหมาโถว เจ้าตัวน้อยก็โดดเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของถังเสวียเสวี่ยทันที ทำให้เยี่ยเทียนออกจะประหลาดใจอยู่ ปกติเจ้านี่ก็ไม่ได้เชื่องขนาดนี้นี่นา?
แต่เมื่อเห็นเหมาโถวทำหน้าเคลิ้ม เยี่ยเทียนก็เข้าใจในทันที ถังเสวียเสวี่ยเส้นลมปราณเก้าหยินขาดมาตั้งแต่เกิด ร่างกายจึงมีไอปราณหนาวเย็น ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของเจ้าตัวนี้พอดี
เยี่ยเทียนชี้ไปที่ห้องด้านข้างแล้วบอกว่า “เสวียเสวี่ย เธอกับคุณปู่ไปโทรศัพท์เถอะ โทรเสร็จแล้วก็ไปเลือกห้องนะ…”
ถังเหวินหย่วนแทบจะทนรอไม่ไหวอยู่แล้ว เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนพูดอย่างนั้น ก็เข้าห้องไปต่อสายโทรศัพท์ทันที เขามีกิจการที่ปักกิ่งอยู่หลายกิจการเหมือนกัน จึงมีธุระหลายอย่างที่ต้องมอบหมายให้บริวารไปจัดการ
พอสองปู่หลานไปกันหมดแล้ว เยี่ยเทียนก็หันไปยิ้มให้พ่อ “พ่อ ที่ผมสัญญากับพ่อไว้ว่า ภายในครึ่งปีจะเปลี่ยนรถคันใหม่ให้น่ะ เดี่ยวพรุ่งนี้พ่อก็ไปซื้อได้แล้วนะครับ…”
“ที่…ที่ลูกให้พวกเขามาอยู่ที่นี่น่ะ เก็บเงินไปแล้วเหรอ?เก็บเท่าไหร่ล่ะ?”
เมื่อได้ยินลูกชายพูดแบบนั้น และนึกโยงไปถึงบทสนทนาระหว่างเยี่ยเทียนกับถังเหวินหย่วนเมื่อครู่นี้ แล้วเยี่ยตงผิงจะไม่เข้าใจได้อย่างไรกัน?ลูกชายของเขาคนนี้นี่ ท่าจะมีความสามารถในการโน้มน้าวคนอื่นสูงยิ่งกว่าฝีมือจริงๆ ของตัวเองเสียอีก
“หนึ่งวันคิดเท่านี้!” เยี่ยเทียนชูนิ้วมือขึ้นมาหนึ่งนิ้ว
“หนึ่งหมื่น?”
เยี่ยตงผิงถามอย่างลังเล เพราะในเมืองปักกิ่งสมัยนี้ ต่อให้เป็นโรงแรมที่ดีที่สุด ห้องพักชนิดที่แพงที่สุด ค่าพักวันหนึ่งก็แค่ไม่กี่พันหยวนเองนี่นา?
เยี่ยเทียนตอบอย่างขุ่นเคือง “พ่อ นี่พ่อจะมีจินตนาการให้มากกว่านี้หน่อยไม่ได้รึไง?หนึ่งหมื่นเนี่ยนะ น่าขายหน้าจริงๆ เลย!” ทำไมพ่อยังมักน้อยยิ่งกว่าเขาอีกล่ะ?ตอนแรก…ราคาที่เขาคิดไว้ก็ปาเข้าไปวันละหนึ่งแสนแล้ว
“งั้นก็…แปลว่าหนึ่งแสน?เฮ้ยเยี่ยเทียน นี่แกคิดแพงเกินไปแล้วมั้ง?” เยี่ยตงผิงได้ยินลูกชายพูดอย่างนั้นก็ตกใจ ปีหนึ่งๆ เขาก็หาเงินได้หลายแสน ยังสู้ค่าเช่าบ้านหนึ่งวันของเยี่ยเทียนไม่ได้เลยนะ?
“เอาเถอะ พ่อไม่ต้องทายแล้วละ วันละหนึ่งล้าน เดี๋ยวพ่อก็ไปธนาคารกับคุณคนนั้นนะ แล้วโอนเงินเข้าบัญชีพ่อไปสามสิบล้านก่อน ถ้าขาดไปแม้แต่สตางค์เดียวละก็พ่อมาบอกผมเลยนะ แล้วผมจะให้พวกเขาม้วนเสื่อกลับบ้านไปเดี๋ยวนั้นเลย!”
เยี่ยเทียนรู้ว่า พ่อของเขาทำงานตั้งแต่เช้าจรดมืด กว่าจะหาเงินมาได้สักนิดหนึ่งก็ไม่ใช่ง่ายๆ จึงตัดบทไม่ให้พ่อทายต่อแล้ว และเล่าเรื่องข้อตกลงระหว่างตนกับถังเหวินหย่วนให้ฟังเลย
ส่วนเรื่องที่ให้โอนเงินไปเข้าบัญชีของเยี่ยตงผิงนั้น เป็นความตั้งใจของเยี่ยเทียนเอง เพราะเขาชอบรู้สึกว่า กระเป๋าเงินของตัวเองเหมือนจะรั่วอยู่ ไม่ว่าจะหาเงินมาได้แค่ไหน ก็มักจะต้องใช้จ่ายไปจนหมดอย่างประหลาด ดังนั้นถึงได้วางแผนที่จะฝากเงินไว้ในบัญชีของพ่อแทน
“แก…แกนี่มัน ขูดรีดกันเกินไปแล้วมั้ง?”
หลังจากฟังลูกชายพูด หัวใจของเยี่ยตงผิงก็เต้น “ตูมตาม” เขาเป็นเพียงเถ้าแก่ธุรกิจเล็กๆ คนหนึ่ง เคยได้สัมผัสเงินมากมายขนาดนั้นที่ไหนกัน?วันละหนึ่งล้าน?นี่มันได้เงินเร็วยิ่งกว่าไปปล้นธนาคารอีกนะ!
“ผมเนี่ยนะขูดรีด?”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า “พ่อ ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นน่าสงสาร ถึงจะให้วันละหนึ่งล้านผมก็ไม่ให้เขามาเช่าอยู่หรอก ปราณวิเศษที่นี่น่ะถึงมีเงินก็ไปหาซื้อที่ไหนไม่ได้ ยิ่งสูดเข้าไปเท่าไหร่ก็ยิ่งลดลงไปเท่านั้น ถ้าเปลี่ยนเป็นผมให้เงินพ่อล้านนึง พ่อจะยอมขายให้ผมสักนิดไหมล่ะ?”
ที่เยี่ยเทียนพูดมานี้เป็นความจริงครึ่งหนึ่งเท็จครึ่งหนึ่ง ที่ว่าปราณวิเศษที่นี่ไปหาซื้อที่อื่นไม่ได้นั้นเป็นความจริง แต่ที่ว่ายิ่งสูดเข้าไปก็ยิ่งลดลงนั้น กลับเป็นเรื่องโม้ทั้งเพ
เมื่อค่ายกลชุมนุมพลังนี้แปลงสภาพของกระแสพลังชี่และพลังหยินพิฆาตจากวังต้องห้ามไปเรื่อยๆ ระดับความหนาแน่นของปราณวิเศษก็มีแต่จะบางเบาลงไปทุกวัน ต่อให้ถังเหวินหย่วนกับหลานจะไม่เข้ามาอยู่ อย่างมากผ่านไปอีกสามสี่ปี ที่นี่ก็คงไม่ต่างอะไรกับบ้านซื่อเหอย่วนธรรมดาๆ แล้ว
“ก็จริงเหมือนกัน…”
คราวนี้เยี่ยตงผิงไม่ได้แย้งลูกชายแล้ว เนื่องจากเขาก็มาที่นี่อยู่บ่อยๆ อาการปวดข้อที่ได้มาจากการทำไร่ไถนาที่ชนบทในสมัยก่อนนั้น ในช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมานี้กลับไม่ได้กำเริบขึ้นมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่ลูกชายเรียกค่าเช่าสูงลิ่วขนาดนี้ เยี่ยตงผิงก็ยังอดรู้สึกตื่นตระหนกไม่ได้อยู่ดี
วันละหนึ่งล้าน ถ้าอยู่ไปหนึ่งเดือนตามที่ลูกชายบอก นั่นก็จะเป็นเงินสามสิบล้านเต็มๆ เลยนะ แม้แต่คุณปู่ของเขาที่เคยคอร์รัปชั่นในตอนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้บัญชาการหยวนเมื่อสมัยก่อน ก็ดูเหมือนไม่น่าจะเคยหาเงินได้มากขนาดนี้เลยนะ?
“เย็นนี้ให้พวกป้าๆ มาที่เรือนนี้กันเถอะครับ ทำกับข้าวฉลองกันที่นี่ จะได้ครื้นเครงกันหน่อย!”
เรื่องที่จะได้ครอบครองเงินสามสิบล้านในพริบตานี้ ถ้าบอกว่าเยี่ยเทียนไม่ตื่นเต้นเลย ก็คงจะเป็นการโกหก เป็นซินแสฮวงจุ้ยแล้วยังไงล่ะ…ก็ต้องหาข้าวกินเหมือนกับคนธรรมดานั่นแหละใครล่ะจะไม่อยากให้ตัวเองมีชีวิตที่สุขสบายหน่อย?
“ได้ งั้นเดี๋ยวพ่อจะไปจ่ายตลาด…”
เยี่ยตงผิงพยักหน้า เขาเองก็เข้าใจแล้วว่า ด้วยฐานะของถังเหวินหย่วน เงินไม่กี่สิบล้านนี้คงไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาอยู่แล้ว ในเมื่อลูกชายมีปัญญาหาเงินมาได้ เขาเองก็กล้ารับไว้เหมือนกัน!
สองพ่อลูกทางนี้เพิ่งจะคุยกันเสร็จ ถังเหวินหย่วนก็คุยโทรศัพท์เสร็จพอดี จึงเดินเข้ามาบอกว่า “เยี่ยเทียน ผมจัดการเรียบร้อยหมดแล้วละ เดี๋ยวจะมีคนมาส่งของให้ แล้วก็ยังมีปลาเป็นๆ อีกห้าร้อยชั่งด้วย เสวียเสวี่ยเขาขอมาน่ะ!”
“ห้าร้อยชั่ง?นี่คุณได้ดูรึเปล่าครับว่าบ่อผมจะพอใส่ไหม?”
เยี่ยเทียนหัวเราะเจื่อนๆ ขณะที่กำลังจะเอ่ยถึงเรื่องเช่าบ้าน ทันใดนั้นโทรศัพท์ในห้องก็ดังขึ้นมา “ผมไปรับโทรศัพท์ก่อนนะ เดี๋ยวเราค่อยมาคุยกัน”
เยี่ยเทียนเดินเข้าไปในห้องด้านข้าง ในใจรู้สึกฉงนสงสัย เบอร์โทรศัพท์บ้านของเขานี้มีคนรู้อยู่ไม่กี่คน แล้วใครกันถึงได้โทรมาตั้งแต่เช้าแบบนี้?
“เยี่ยเทียน?” พอไปรับสาย สองพยางค์นี้ก็ดังออกมาจากหูโทรศัพท์ทันที
“โจวเซี่ยวเทียน?!” เยี่ยเทียนฟังออกในทันที เพราะในบรรดาคนที่เขารู้จัก ก็มีตาคนนี้แหละที่พูดจาน้อยที่สุด เรียกได้ว่าประหยัดคำพูดอย่างกับเป็นเงินทองเลยทีเดียว
“มีเรื่องยุ่ง อยากให้คุณช่วยหน่อย!” พี่แกคงจะเขียนคำว่าเกรงใจไม่เป็นเลยละสินะ?
เยี่ยเทียนไม่ได้ใส่ใจกับน้ำเสียงของโจวเซี่ยวเทียนเท่าไรนัก ถามกลับไปว่า “เรื่องยุ่งอะไรล่ะ?ทำไมเสียงคุณฟังดูไม่ค่อยมีพลังเลยนะ?”
………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น