กระบี่จงมา 252.2-253.1

 บทที่ 252.2 นครมังกรเฒ่า

โดย

ProjectZyphon

เด็กสาวหัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดี หันไปแบมือข้างหนึ่งให้เฉินผิงอัน “ห้าพัน!”


เฉินผิงอันกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุจึงไม่ทันมีเวลามาตกตะลึง เขารีบพูดทันทีว่า “แม่นางขับรถระวังด้วย”


เด็กสาวหัวเราะคิกหนึ่งทีแล้วหันตัวกลับไป หันหลังให้เฉินผิงอัน เพียงแต่เด็กสาวเชิดคางขึ้นสูง พูดอย่างภาคภูมิใจว่า “คุณชาย ข้าไม่ได้โม้จริงๆ นะ แต่ต่อให้ข้าปล่อยเชือกบังคับม้าทั้งสองมือ หลับตาขับรถ รถม้าก็ยังคงวิ่งไปถึงประตูตะวันตกได้อย่างมั่นคงปลอดภัย แต่เพราะกลัวว่าพวกลูกค้าจะไม่สบายใจ ข้าถึงได้แกล้งทำเป็นตั้งใจขับรถแบบนี้”


เฉินผิงอันพูดเสียงเบา “อย่าแกล้งทำสิ”


เด็กสาวหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ตกลง จะตั้งใจเพื่อคุณชายเลย!”


เฉินผิงอันมองแผ่นหลังของเด็กสาวแล้วก็หลุดหัวเราะอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็หันหน้าไปมองภาพความเจริญรุ่งเรืองบนฝั่งหนึ่งของถนน สายลมเย็นพัดโชยมาปะทะใบหน้า ประหลาดมาก ตลอดทางที่ลงใต้มามักจะโดนลมพัดและแดดส่องอยู่ตลอดเวลา แต่ผิวของเฉินผิงอันกลับขาวขึ้นหลายส่วน ไม่ได้ดำเกรียมเหมือนถ่านอย่างตอนเป็นช่างในเตาเผาอีกแล้ว


ดูเหมือนเด็กสาวจะมีตาหลัง รู้ว่าเด็กหนุ่มต่างถิ่นกำลังหันหน้าไปมองถนน นางจึงแอบหันกลับมาแล้วหันกลับไปอย่างรวดเร็ว เพียงแค่แอบมองใบหน้าด้านข้างของเด็กหนุ่มสะพายกระบี่แวบเดียว


เด็กหนุ่มไม่ใช่คนหล่อเหลา แต่มองแล้วสบายตาจริงๆ


จู่ๆ เด็กสาวก็ส่งเสียงหัวเราะ “คุณชาย ท่านหน้าตาดีมากเลยนะ”


คงเพราะถูกอารมณ์เบิกบานของเด็กสาวแพร่มาสู่ เฉินผิงอันจึงพูดเล่นอย่างที่หาได้ยาก “งั้นก็จะให้แม่นางมองมากๆ หน่อย ส่วนแม่นางก็เก็บเงินเกล็ดหิมะจากข้าน้อยลงสักเหรียญ ตกลงไหม?”


เฉินผิงอันเปลี่ยนมาเป็นแบบนี้ คิดดูแล้วอาเหลียง สวีหย่วนเสีย หลิวป้าเฉียว คนพวกนี้ล้วนเป็นตัวการสำคัญทั้งสิ้น


เด็กสาวเอ่ยยิ้มๆ “แบบนั้นไม่ได้หรอก จากที่ร้านมาถึงประตูเมือง ไปกลับเกือบหกร้อยลี้ ข้าต้องวิ่งรถสิบรอบถึงจะได้เงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญ”


เฉินผิงอันพยักหน้า “ลำบากมากเลย”


เด็กสาวที่นั่งหันหลังให้เฉินผิงอันส่ายหน้าอย่างแรง “คุณชาย นี่มีอะไรที่เรียกว่าลำบากกัน ข้าชอบวิ่งไปวิ่งมาแบบนี้ตั้งแต่เด็กแล้ว ต่อให้วันหน้าข้ามีร้านเป็นของตัวเอง มีรายได้เยอะแยะมากมาย ก็จะยังขับรถม้าด้วยตัวเองอยู่ดี แถมยังได้รู้จักลูกค้ามากมาย อย่างเช่นคนแบบคุณชายไงล่ะ”


จากนั้นเด็กสาวก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงกลัดกลุ้มเล็กน้อย “แต่ว่าซื้อร้านร้านหนึ่งต้องใช้เงินเยอะมากเลย ข้าว่าชั่วชีวิตนี้คงไม่มีหวังแน่ๆ”


เด็กสาวหัวเราะเสียงดัง “ไม่มีหวังแน่ๆ!”


แต่ว่าถึงท้ายที่สุดแล้วเด็กสาวก็ยังปิดท้ายด้วยความอารมณ์ดี


เฉินผิงอันช่วยให้กำลังใจด้วยรอยยิ้ม “ค่อยๆ เก็บเงินไป วันนี้มีเงินมากกว่าเมื่อวาน พรุ่งนี้มีเงินมากกว่าวันนี้ วันมะรืนมีเงินมากกว่าพรุ่งนี้!”


เด็กสาวพลันฮึกเหิมเปี่ยมไปด้วยปณิธาน หันหน้ามายิ้มสดใสให้เฉินผิงอัน


ตอนนั้นสาเหตุเป็นเพราะฝูหนันหัวแห่งนครมังกรเฒ่า ความประทับใจที่เฉินผิงอันมีต่อนครมังกรเฒ่าจึงย่ำแย่มาก ไม่ได้ดีไปกว่าเขาตะวันเที่ยงสักเท่าไหร่


แต่เฉินผิงอันชอบเด็กสาวคนนี้จากใจจริง แน่นอนว่าไม่ใช่ความชอบแบบชายหญิง แต่เพราะบนตัวของเด็กสาวให้ความรู้สึกเหมือนดอกทานตะวัน เฉินผิงอันเต็มใจคบค้าสมาคมกับคนแบบนี้ กับนักพรตหนุ่มและชายฉกรรจ์เคราดกที่เพิ่งบอกลาจากกันมาก็ยิ่งเป็นเช่นนี้


เด็กสาวยังคงคอยแนะนำบรรยากาศสองข้างถนน เฉินผิงอันจึงคอยมองตามนิ้วของนางที่ชี้ไป


กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปท่ามกลางเสียงกีบม้า


ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามเฉินผิงอันก็มองเห็นกำแพงสูงด้านนอกของนครมังกรเฒ่าแล้ว มันสูงกว่ากำแพงเมืองหน้าด่านใดๆ ที่เคยได้เห็นมาก่อนหน้านี้มากนัก


ก่อนที่รถม้าจะจอดลง เฉินผิงอันถามว่า “เจ้ารู้จักซุนเจียซู่ไหม?”


 เด็กสาวหันหน้ากลับมาถามอย่างประหลาดใจ “ใครนะ?”


เฉินผิงอันจึงได้แต่เอ่ยชื่อนั้นซ้ำอีกครั้ง “ซุนเจียซู่”


เด็กสาวกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ เงียบไปนานโดยที่ไม่ยอมพูดอะไร จนกระทั่งรถจอดลง เด็กสาวจึงลุกพรวดขึ้นยืน ชี้ไปยังถนนเส้นที่อยู่ด้านหลัง วาดมือเป็นวงกลมขนาดใหญ่ดูวุ่นวาย “คุณชาย เห็นแล้วหรือยัง?”


เฉินผิงอันพยักหน้า


ดวงตาทั้งคู่ของเด็กสาวโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว “จากประตูเมืองตรงนี้ไปจนถึงที่ท่าเรือ ถนนที่ยาวสามร้อยลี้เส้นนี้ล้วนเป็นฝีมือของเขา!”


เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนบนรถม้าตามเด็กสาว เขารู้สึกอึ้งเล็กน้อย “เป็นฝีมือของซุนเจียซู่คนเดียวเลย?”


เด็กสาวพยักหน้ารับอย่างแรง ภาคภูมิใจเป็นพิเศษ “ใช่! ล้วนเป็นฝีมือของคุณชายซุน!”


จากนั้นเด็กสาวก็กดเสียงลงต่ำ กล่าวอย่างลึกลับว่า “ข้าได้ยินเถ้าแก่เล่าว่า คุณชายซุนเป็นคนดีมากเลย แม้ว่าจะเป็นคนที่ทำธุรกิจเก่งที่สุด แต่กลับมีจิตใจดุจดั่งพระโพธิสัตว์ ต่อให้เป็นพวกผู้อาวุโสที่นิสัยแย่แค่ไหนก็ยังคอยพร่ำพูดถึงความดีของคุณชายซุนกับผู้อาวุโสในตระกูลของเขา บอกว่าในอดีตบนถนนเคยเกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ เผาไหม้ร้านค้าของตระกูลซุนไปสองสามพันร้าน ตอนนั้นคุณชายซุนที่เพิ่งได้รับตำแหน่งประมุขตระกูลไม่เพียงแต่ไม่สืบสาวเอาเรื่อง ยังออกเงินช่วยทุกคนสร้างร้านขึ้นมาใหม่ อีกทั้งข้ายังเคยได้ยินพวกหญิงสาวหลายคนพูดว่า คุณชายซุนหน้าตาหล่อเหลามาก ดังนั้นเขาจึงเป็นผู้ชายที่จิตใจดีที่สุดและหล่อเหลาที่สุดของนครมังกรเฒ่าเรา!”


ยังอยู่ห่างจากประตูเมืองมาอีกหนึ่งร้อยลี้ บนถนนล้วนมีแต่รถม้าแบบนี้จอดอยู่ จากนั้นท่ามกลางกระแสผู้คนก็มีชายหนุ่มสวมชุดป่านสีขาวคนหนึ่งเดินตรงมาหยุดข้างรถม้าที่เฉินผิงอันกับเด็กสาวยืนอยู่ เรือนกายของชายหนุ่มสูงเพรียว ประหนึ่งต้นไม้หยกที่ตั้งตระหง่านรับลม แต่ไม่ได้มอบความกดดันแบบไร้รูปลักษณ์ประหนึ่งนกกระเรียนในฝูงไก่ให้กับผู้คน เพียงแค่มีบุคลิกของความสะอาดบริสุทธิ์ คล้ายคนที่เดินออกมาจากในตระกูลของปัญญาชน สุภาพอ่อนโยนและสง่างาม


ช่องว่างระหว่างรถม้าที่จอดรวมกันอยู่สองข้างฝั่งของถนนส่วนใหญ่ล้วนมีคนที่เร่งรีบเดินทาง มีคนไม่ทันระวังเดินชนไหล่ของชายผู้นั้นจึงรีบพูดขอโทษ ชายหนุ่มยิ้มส่ายหน้า บอกว่าไม่เป็นไร


เด็กสาวหันหน้าไปมองทางนครมังกรเฒ่า พึมพำเบาๆ ว่า “คุณชาย ท่านว่าใต้หล้านี้ทำไมถึงมีคนที่ดีสุดๆ แบบคุณชายซุนได้นะ?”


เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้


ชายหนุ่มที่มายืนได้พักหนึ่งแล้ว ในที่สุดก็ยิ้มตาหยี เงยหน้าขึ้นมองคนทั้งสอง พูดกับเด็กสาวเบาๆ ว่า “ขอบใจนะ”


เด็กสาวก้มหน้าลงมองอย่างมึนงง กล่าวด้วยความฉงนว่า “เจ้าขอบใจข้าทำไม?”


ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม ไม่ได้อธิบายสาเหตุ จากนั้นก็หันมามองเฉินผิงอัน “เจ้าคงเป็นเฉินผิงอันสินะ ข้าคือเพื่อนของหลิวป้าเฉียว ก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งได้รับจดหมายกระบี่บินจากเขา ดังนั้นข้าเลยตั้งใจมารอเจ้าที่นี่”


เฉินผิงอันกระโดดลงจากรถม้า ยืนพูดค้ำหัวคนอื่นแบบนี้ ไม่มีมารยาทเกินไปแล้ว เขาถามหยั่งเชิงว่า “เจ้าคงไม่ใช่…”


เฉินผิงอันอดกลั้นเอาไว้ ไม่ได้เอ่ยชื่อของอีกฝ่ายออกมา


แต่ชายหนุ่มพยักหน้ากล่าวว่า “ใช่ ข้าก็คือซุนเจียซู่”


เด็กสาวถอนหายใจหนึ่งที “คุณชายท่านนี้ ทำไมเจ้าถึงมีชื่อเหมือนคุณชายซุนเลยล่ะ น่าสงสารมากนะ”


ชายหนุ่มยิ้ม ไม่เอ่ยต่อคำ


เด็กสาวบอกลากับเฉินผิงอัน ค่อยๆ หันหัวรถม้ากลับหลัง สุดท้ายก็หมุนกายจากไป


เฉินผิงอันที่เดินไปทางประตูเมืองทิศตะวันตกของนครมังกรเฒ่าพร้อมกับซุนเจียซู่ถามขึ้นอย่างอดไม่ไหวว่า “คุณ…คุณชายซุน ถนนทั้งสาย เจ้าเป็นคนสร้างเองหรือ?”


ซุนเจียซู่ไม่ได้ถ่อมตัวอะไร เขาพยักหน้ารับแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ช่วงที่รุ่งโรจน์ที่สุดของบรรพบุรุษ ตลอดทั้งเมืองนอกของนครมังกรเฒ่าล้วนเป็นของตระกูลข้า ภายหลังนครมังกรเฒ่ายิ่งขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ตระกูลซุนของพวกเราขาดทุนด้านการค้าครั้งใหญ่อยู่หลายครั้ง จึงไม่ได้มีเงินเหมือนตระกูลฝูอีกต่อไป แต่แน่นอนว่าตอนนี้ตระกูลซุนยังมีเงินมาก อืม ถือว่าข้าซุนเจียซู่มีเงินก็แล้วกัน”


เฉินผิงอันแอบชำเลืองมองซุนเจียซู่แวบหนึ่ง บนร่างของบุรุษไม่ได้ห้อยเครื่องประดับอะไร ถึงขั้นมองไม่ออกถึงกลิ่นอายความร่ำรวยด้วย


ซุนเจียซู่เอ่ยยิ้มๆ “เครื่องประดับมังกรเฒ่าพลิกเมฆ? พวกเราตระกูลซุนไม่มีใครมี ข้าเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น อันที่จริงก็อยากซื้อนะ แต่บรรพบุรุษตั้งกฎตายตัวข้อหนึ่งที่สืบทอดต่อกันมา นั่นคือห้ามลูกหลานรุ่นหลังใช้เงินมือเติบกับเรื่องเล็กน้อยประเภทนี้ ข้าเองก็ไม่สามารถแก้ไขกฎบ้านของบรรพบุรุษได้ จึงได้แต่อดทนไว้ ทว่าอันที่จริงกลับรำคาญมาก”


เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด


ซุนเจียซู่หันหน้ามาหา “ทำไม อยากถามว่าจะคืนเงินเกล็ดหิมะยี่สิบเหรียญให้เจ้าได้หรือไม่? แน่นอนว่าไม่ได้ เพื่อนก็ส่วนเพื่อน การค้าก็ส่วนการค้า”


เฉินผิงอันเกาหัว “ข้าอยากถามว่านครมังกรเฒ่ากว้างใหญ่ขนาดนี้ พวกเราต้องเดินไปจนกว่าจะถึงบ้านของเจ้าหรือ?”


ซุนเจียซู่ไม่ได้พูดอะไร เพียงหันมามองเฉินผิงอันยิ้มๆ


เฉินผิงอันถอนหายใจ ตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “ช่างเถอะ ไม่คืนก็ไม่คืน”


ซุนเจียซู่กล่าวอย่างคนที่กระจ่างแจ้ง “มิน่าเล่าหลิวป้าเฉียวถึงได้บอกว่าพวกเราจะต้องเข้ากันได้ดี”


เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู้ “เจ้าเองก็ถูกคนด่าว่าเป็นคนโลภในทรัพย์สินบ่อยเหมือนกันหรือ?”


ซุนเจียซู่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ส่ายหน้าเบาๆ “หลิวป้าเฉียวบอกว่าพวกเราสองคนเป็นคนที่ยิ่งจนก็ยิ่งทำเป็นใจกว้าง”


เอาตรงไหนมาพูด ประโยคนี้ของหลิวป้าเฉียวพูดได้ประหลาดจริงๆ


ยังไม่พูดถึงว่าใจกว้างหรือไม่ แต่ซุนเจียซู่น่ะหรือที่จน?


จู่ๆ ซุนเจียซู่ก็เอ่ยว่า “ข้ามีความสามารถที่ไม่เหมือนใครอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือสามารถมองออกถึงเงินทองที่ผ่านมือของคนคนหนึ่งไป”


จากนั้นเขาก็หยุดเดิน หันมามองเฉินผิงอัน เปิดเผยความลับด้วยประโยคเดียวว่า “ของที่เจ้ามอบออกไป มีค่ามากยิ่งกว่านครมังกรเฒ่าทั้งหลังเสียอีก”


……


ในนครมังกรเฒ่า ตรอกที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง มีร้านยาแห่งเล็กๆ ที่เพิ่งเปิดใหม่ ขนาดพื้นที่กว้างแค่ฝ่ามือเท่านั้น แต่ชายที่เป็นเจ้าของร้านกลับจ้างสตรีแต่งงานแล้วและดรุณีน้อยหน้าตางดงามถึงเจ็ดแปดคน พวกนางต่างก็มีขาเรียวยาวไม่ต่างกัน บุรุษว่างสุดๆ ไม่มีอะไรทำทั้งวัน แต่กลับไม่เคยต้องเป็นกังวลกับกิจการร้านยาของตัวเองเลย วันๆ เขาเอาแต่พูดจาเกี้ยวพาราสี เอ่ยถ้อยคำหวานเลี่ยนที่ตัวเองคิดว่ามีวาทศิลป์ สีหน้าของพวกผู้หญิงแสดงความเขินอาย แต่พอหันหน้าไปทางขึ้นกลับกลอกตาขึ้นสูง


วันนี้ชายฉกรรจ์ยกม้านั่งตัวเล็กมานั่งอยู่หน้าปากซอย แทะเมล็ดแตง มองพวกสตรีที่เดินผ่านทางมา สายตาของชายฉกรรจ์ก็เปล่งประกายวาบ คิดในใจตัวเองว่าดอกไม้ในบ้านไม่หอมเหมือนดอกไม้ป่าจริงๆ


วันนี้มีหญิงสาวอีกคนมาปรากฏตัวที่ตรอก นางเดินผ่านด้านหน้าของชายฉกรรจ์ไป แต่งกายงดงามเพริศพริ้ง ส่วนหน้าตาและรูปร่างของนาง…เอาเป็นว่าชายฉกรรจ์ทิ้งเมล็ดแตง ยกเก้าอี้ขึ้นแล้ววิ่งหนีไป


—–


บทที่ 253.1 พระโพธิสัตว์เหยียบกระบี่ข้ามแม่น้ำ

โดย

ProjectZyphon

หลังจากจ่ายเงินเข้าประตูตะวันตกของนครมังกรเฒ่าแล้ว เดินผ่านบานประตูกำแพงเมืองที่แทบจะใช้คำว่ายาวเหยียดมาบรรยายได้นั้น ซุนเจียซู่ก็พาเฉินผิงอันเดินไปขึ้นรถม้าที่ใหญ่และกว้างขวางคันหนึ่ง มองปราดๆ นอกจากรถม้าจะใหญ่เล็กน้อย ม้าที่ลากรถมีนิสัยนุ่มนวลแล้ว ก็มองไม่ออกถึงลักษณะของคนมีเงินอีก สารถีคือผู้เฒ่าที่ไม่ชอบยิ้มและพูดคุยคนหนึ่ง รอจนเฉินผิงอันเข้าไปนั่งในห้องโดยสารแล้ว ถึงได้สังเกตเห็นว่าด้านในมีความเป็นเอกลักษณ์ วางเบาะรองนั่งสีขาวสะอาดไว้สี่ใบ ผนังที่ตรงข้ามกับหน้าต่างรถวางชั้นหนังสือที่สูงจรดเพดานซึ่งบรรจุหนังสือไว้จนเต็มแน่น มีกระถางธูปทองสัมฤทธิ์ที่เป็นมันวาวน่าหลงใหลใบหนึ่ง ควันธูปสีม่วงลอยอวล เฉินผิงอันกับซุนเจียซู่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน อันที่จริงเฉินผิงอันค่อนข้างระมัดระวังตัวด้วยกลัวว่าจะทำให้ ‘ห้องหนังสือ’ ที่สะอาดเอี่ยมไร้ฝุ่นผงแห่งนี้สกปรก ซุนเจียซู่มองรองเท้าแตะเฉินผิงอันแล้วก็พูดยิ้มๆ ว่า “ตอนยังเด็ก เนื่องจากทำตามกฎของตระกูล ท่านปู่จึงพาข้าเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ ก่อนจะอายุสิบแปด ข้าก็ต้องเปลี่ยนที่อยู่แทบทุกปี ดังนั้นจึงเคยเป็นลูกจ้างในร้านค้า เคยเป็นชาวนา ชาวประมง เคยตั้งแผงลอยขายข้าวสาร เคยเป็นเจ้าพนักงานในที่ว่าการ เคยทำมาหลายสิบอาชีพ อันที่จริงข้าเองก็ถักรองเท้าสานเป็น เพียงแต่ว่าถักได้แบบหยาบๆ ไม่แน่นหนาและละเอียดประณีตอย่างรองเท้าคู่นี้ของเจ้า”


ซุนเจียซู่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรอง ไม่ได้มีท่าทางเกียจคร้านใดๆ แต่กลับให้ความรู้สึกผ่อนคลายใจเย็นแก่คนมอง เขาถามยิ้มๆ ว่า “เฉินผิงอัน รู้หรือไม่ว่าในอดีตข้ากลัวที่จะต้องทำงานแบบใดที่สุด?”


เฉินผิงอันไม่ใช่เทพเซียนที่เก่งด้านการคำนวณพยากรณ์ซะหน่อย แล้วก็ยิ่งไม่ใช่แมลงในท้องซุนเจียซู่ ย่อมเดาไม่ออก แล้วนับประสาอะไรกับที่ซุนเจียซู่คนนี้เป็นคนประหลาดมาก แม้ว่าคนทั้งสองจะเพิ่งพบหน้ากันไม่นาน แต่ความรู้สึกที่อีกฝ่ายมอบให้เฉินผิงอันกลับกลายเป็นว่ายิ่งนานก็ยิ่งพร่าเลือน


ซุนเจียซู่ยิ้มบางๆ “การเก็บใบต้นหม่อน กว่าจะเก็บได้เต็มตะกร้าไม่ใช่ง่ายๆ ท่านปู่ข้ายื่นมือไปกดบนตะกร้าเบาๆ หนึ่งทีก็หายไปครึ่งตะกร้าแล้ว พอเก็บเต็มตะกร้า เขาก็ยื่นมือมากดอีก ข้าต้องเก็บไปอีกเป็นครึ่งๆ วัน มันทำให้คนสิ้นหวังได้เลย อีกทั้งทุกครั้งที่ขึ้นเขาจะต้องถูกต้นไม้ใบหญ้าบาดจนเป็นแผลเล็กๆ เต็มไปหมด พอแดดส่อง เหงื่อออกก็จะปวดแสบปวดร้อน สรุปคือดำนาปลูกข้าว ถูกปลิงดูดเลือดกัดยังสนุกเสียกว่า ท่านปู่ของข้าชอบสูบยา พอถูกความร้อน พวกมันก็จะร่วงลงมาเอง”


เฉินผิงอันเห็นด้วยอย่างมาก “ตอนที่ข้าอยู่บ้านเกิด ถ้าถูกปลิงกัดในน้ำจะลำบากมาก เพราะเสียดายเกลือกับน้ำส้ม ไม่อยากเอามาใช้ เสียเวลาแข่งความฉลาดความกล้าหาญอยู่กับพวกปลิงที่น่ารำคาญเป็นครึ่งๆ วัน สุดท้ายเลือดไหลเป็นสายลงมาจากขา ยังดีที่ข้างเถียงนามีต้นหญ้าที่พวกเราคนท้องถิ่นเรียกว่า ‘ลวี่เหนียงเนียง’ ขึ้นอยู่ เอาหญ้ามาแปะลงบนบาดแผล เพียงไม่นานเลือดก็จะหยุดไหล พอข้าออกมาจากบ้านเกิดก็ไม่เคยได้เห็นอีก”


ซุนเจียซู่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “คนที่เกิดมาในครอบครัวยากจนไม่มีอะไรให้ต้องพิถีพิถันมากมาย แถมยังอดทนกับความยากลำบากได้เก่งกว่า นายน้อยที่มีเงินอย่างข้าย่อมเทียบไม่ได้อยู่แล้ว ต่อให้จะลำบากแค่ไหนก็สู้พวกเจ้าไม่ได้ ตอนแรกที่ข้าติดตามท่านปู่ออกจากบ้านเดินทางไกล จะต้องร้องไห้งอแงว่าจะกลับบ้านทุกสามวันห้าวัน ตอนนี้มาย้อนนึกดูแล้ว หากวันหน้าข้าต้องพาหลานที่นิสัยเหมือนข้าไปไหนมาไหนด้วยกัน คงไม่มีความอดทนเท่าท่านปู่ข้าในตอนนั้น”


เฉินผิงอันพูดยิ้มๆ “หากมีวันนั้นจริงๆ ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะไม่เหมือนเดิมแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะนิสัยดีมากขึ้นก็ได้”


ซุนเจียซู่ตะลึงเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับ “มีความเป็นไปได้จริงๆ”


คนหนึ่งคือชายที่ได้ครอบครองถนนใหญ่ทั้งสายของนครมังกรเฒ่า อีกคนหนึ่งคือเด็กหนุ่มที่เขาบอกว่านครมังกรเฒ่าหลุดจากมือไป พูดคุยเรื่องหยุมหยิมที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความบ้านๆ เหล่านี้ คนทั้งสองกลับรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน ไม่ชวนกระอักกระอ่วนแม้แต่น้อย


รถม้าขับเคลื่อนไปอย่างมั่นคง แม้ว่าจะมีควันสีม่วงลอยขึ้นมาจากกระถางธูปตลอดเวลา แต่ในห้องโดยสารกลับไม่มีควันธูปฟุ้งอบอวล แค่มีกลิ่นอายของความสดชื่นเหมือนต้นไม้ใบหญ้าและสายลมเย็นในฤดูใบไม้ผลิเพิ่มขึ้นมาเท่านั้น


เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าต้องดูแลกิจการที่ใหญ่โตขนาดนี้ แล้วยังมารับข้าด้วยตัวเอง ต้องสูญเงินไปมากน้อยเท่าไหร่กัน? อันที่จริงเจ้าให้คนอื่นมารับข้าก็ได้”


ซุนเจียซู่ส่ายหน้า “จะหาเงินอย่างไรคือเรื่องหนึ่ง ต้องคิดเล็กคิดน้อยไปซะทุกเรื่อง ต่อให้เป็นแค่เหรียญทองแดงเหรียญเดียวก็ต้องคิดให้ชัดเจน แต่ว่าพอมีเงินแล้วใช้เงินอย่างไร นั่นก็ต้องดูที่ความเคยชินของแต่ละคนแล้ว อย่างเช่นข้าที่ตั้งใจทำงานหาเงินตลอดทั้งปีนั้น ทำไปเพื่ออะไร? ก็เพื่อให้ตัวเองไม่ต้องขี้เหนียวกับสหายมากเกินไป ไม่ต้องคิดเล็กคิดน้อยกับเงินแค่อีแปะเดียว”


เฉินผิงอันเข้าใจโดยพลัน “มีเหตุผลมาก!”


ใจเขาอยากจะเอาแผ่นไม้ไผ่ใบเล็กในวัตถุฟางชุ่นออกมาจดเหตุผลข้อนี้ของซุนเจียซู่โดยเร็วเสียด้วยซ้ำ


รอจนตนมีเงินแล้วจริงๆ หากมีคนบอกว่าตนเป็นคนดีเกินเหตุอีกก็จะเอาประโยคนี้ของซุนเจียซู่โต้กลับไป


พูดคุยกันอย่างถูกคอไปตลอดทาง ซุนเจียซู่เล่าเรื่องน่าสนใจและเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มากมายที่พบเจอมาระหว่างที่ไปหาประสบการณ์ในอดีต เดิมทีเฉินผิงอันก็เป็นผู้ฟังที่ดีมากคนหนึ่งอยู่แล้ว อีกอย่างจากเรื่องที่พูดคุยกันก็ทำให้ภาพลักษณ์ที่เดิมทีพร่าเลือนของซุนเจียซู่เริ่มชัดเจนขึ้นทีละนิด นั่นคือเขาเป็นคน ‘สุภาพและเยือกเย็น’ ที่…มีเงินมาก


ข้าซูนเจียซู่มีเงินมากขนาดนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ร้ายกาจอะไร แต่ก็ไม่จำเป็นต้องจงใจข่มคนอื่น หรือจงใจลดระดับคุณค่าในตัวเอง เมื่อคบค้ากับสหายที่ได้รับการยอมรับจากเขาซุนเจียซู่ ก็จะได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมอย่างแท้จริงตั้งแต่ในจรดนอก


เฉินผิงอันคิดว่านี่ต่างหากควรจะเป็นลักษณะที่คนมีเงินพึงมี


รถม้าขับมาถึงเส้นทางชนบทสายหนึ่ง ใต้กีบเท้าม้าคือถนนดินเหลือง เป็นเหตุให้รถม้าโยกคลอนขึ้นๆ ลงๆ เล็กน้อย ซุนเจียซู่เห็นว่าเฉินผิงอันมีท่าทีแปลกใจจึงยิ้มแล้วเลิกหน้าต่างขึ้น นอกหน้าต่างคือต้นกกกอใหญ่ใบดกหนาสีเขียวสดขึ้นเรียงราย เมื่อรถม้าขับเคลื่อนไปข้างหน้ากลับมีดอกน้ำมันสีเหลืองอร่ามปรากฏให้เห็น ทำให้คนมองรู้สึกสบายตาสบายใจ ตามหลักแล้วช่วงออกดอกของดอกน้ำมันควรจะผ่านไปนานแล้วถึงจะถูก เฉินผิงอันจึงได้แต่คิดว่าดินและน้ำของนครมังกรเฒ่าแตกต่างไปจากที่บ้านเกิดของตน


ซุนเจียซู่อธิบายว่า “ที่นี่คือที่ดินที่บรรพบุรุษสกุลซุนของพวกเรามาก่อตั้งตระกูล ลูกหลานรุ่นหลังพยายามรักษาสภาพเดิมไว้ให้ได้มากที่สุด เพราะกลัวว่าจะทำลายร่มเงาฮวงจุ้ยที่บรรพบุรุษสร้างไว้ให้ แล้วก็เพราะต้องการจะระลึกถึงบรรพบุรุษด้วย เวลาที่ตระกูลซุนรับรองแขกผู้มีเกียรติ ไม่ว่าจะเทพเซียนบนภูเขาหรือจักรพรรดิอัครเสนาบดีก็ล้วนพาไปรับรองที่จวนตระกูลซุนในเมืองทั้งหมด เป็นสถานที่ที่โอ่อ่าหรูหรา ไม่ด้อยไปกว่าจวนมังกรเฒ่าของตระกูลฝูเลย แต่หากรับรองสหายที่แท้จริงจะเต็มใจพามาที่นี่มากกว่า ไปข้างหน้าอีกสิบกว่าลี้ก็คือบ้านบรรพบุรุษของตระกูลซุนแล้ว มีพื้นที่ไม่มาก เป็นเรือนสามชั้น ตัวบ้านตั้งติดริมน้ำ หันหน้าเข้าหาแม่น้ำสายหนึ่ง สามารถตกปลาได้ หวังว่าเจ้าจะชอบ”


เฉินผิงอันยิ้มกว้าง “ชอบสิ จะไม่ชอบได้อย่างไร”


ซุนเจียซู่ถามยิ้มๆ “ไม่อย่างนั้นพวกเราลงรถแล้วเดินกันไปดีไหม?”


เฉินผิงอันย่อมไม่มีความเห็นต่างอยู่แล้ว คนทั้งสองจึงลงจากรถม้าเดินมุ่งหน้าไปยังบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน ซุนเจียซู่เล่าสถานการณ์ของที่ดินบรรพบุรุษแห่งนี้ให้ฟังอีกคร่าวๆ ประโยคเดียวที่อธิบายอย่างเรียบง่ายว่า ‘ในรัศมีหนึ่งร้อยลี้ล้วนเป็นของตระกูลซุนพวกเรา มีหมู่บ้านหกแห่ง ประมาณสองพันหลังคาเรือน เลี้ยงไหมปลูกชา ผลผลิตทั้งหมด ตระกูลซุนจะรับซื้อด้วยราคาที่สูงกว่าตลาดเล็กน้อย รายได้ของพวกชาวบ้านจึงนับว่าดีพอสมควร ถือว่ามีชีวิตที่สงบสุขมั่นคง’ ก็ทำให้เฉินผิงอันเข้าใจได้อย่างแท้จริงถึงความกว้างขวางของนครมังกรเฒ่า และความใจกว้างของตระกูลซุน


ตอนที่พอจะมองเห็นเค้าโครงของบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุนรางๆ เฉินผิงอันก็ถามว่า “นครมังกรเฒ่ามีเรือข้ามฟากที่ไปยังภูเขาห้อยหัวหรือไม่?”


ซุนเจียซู่พยักหน้ารับ “มี อันที่จริงนครมังกรเฒ่าก็คือศูนย์กลางการค้าที่ใหญ่ที่สุดของแจกันสมบัติทวีป ที่ไหนหาเงินได้ก็ไปที่นั่น เพียงแต่ว่าคิดจะผ่านภูเขาห้อยหัวไปหาเงินที่กำแพงเมืองปราณกระบี่กลับไม่ใช่ทุกคนที่มีความสามารถนี้ ต่อให้เป็นตระกูลฝูและห้าสกุลใหญ่ซึ่งรวมถึงสกุลซุนของนครมังกรเฒ่า คิดจะทำการค้านี้ก็ต้องระมัดระวังให้มาก ต้องดูแลให้รอบคอบรัดกุมไปทุกด้าน”


กล่าวมาถึงตรงนี้ ซุนเจียซู่ก็รู้สึกปลงอนิจจังเล็กน้อย เขาพูดต่อเนิบช้าว่า “หลายพันปีมานี้ ไม่พูดถึงเจ้านครอย่างตระกูลฝู ห้าสกุลใหญ่ของนครมังกรเฒ่านอกจากสกุลซุนล้วนถูกเปลี่ยนใหม่หมดมาแล้วหลายรอบ ไปสิ้นท่าที่ภูเขาห้อยหัวเสียเกินครึ่ง หลายครั้งที่สกุลซุนเกือบจะเสียหายอย่างสาหัสก็ล้วนเกี่ยวข้องกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ ตอนนี้ในนครมังกรเฒ่ามีเรือแค่หกลำเท่านั้นที่เดินทางไปยังภูเขาห้อยหัว ตระกูลฝูมีสองลำ เรือทั้งหกลำล้วนใหญ่มาก อย่างน้อยครั้งหนึ่งก็สามารถบรรทุกคนได้สองพันกว่าคน เรือข้ามฝากของตระกูลฝูคือปลาวาฬกลืนสมบัติตัวหนึ่งกับภูเขาลอยตัวที่จวี้จื่อแห่งสำนักโม่เป็นคนสร้าง ถูกขนานนามให้เป็น ‘ห้อยหัวน้อย’ ด้านบนมีหอเก๋งมีศาลาที่สวยงาม ทิวทัศน์ชวนมองอย่างยิ่ง เป็นเรือข้ามฟากที่เทพเซียนบนภูเขาเลือกเป็นอันดับแรก จะต้องมีผู้ฝึกลมปราณใหญ่ขอบเขตโอสถทองก่อกำเนิดโดยสารอยู่บนเรือแทบทุกครั้ง ส่วนเรือข้ามฟากของสกุลซุนเรา คือเต่าทะเลภูเขาที่บรรพบุรุษจับมาได้และเอามากำราบให้เชื่อง ส่วนของกระดองเต่าใหญ่ดุจขุนเขา สามารถบรรจุคนได้สองพันสี่ร้อยคน แน่นอนว่ามีสินค้ามากกว่าคน การเดินทางไปกลับภูเขาห้อยหัวครั้งหนึ่ง กำไรที่ได้มาจริงๆ ไม่ใช่มาจากค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ ของผู้โดยสาร แต่เป็นทรัพยากรและผลผลิตที่พิเศษของแจกันสมบัติทวีปกับกุรุทวีป ขอแค่เอาไปส่งถึงภูเขาห้อยหัวได้ก็จะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ แต่ว่าระยะทางยาวไกล เรื่องไม่คาดฝันมีมากมาย ใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้เสียเลยที่จะเกิดการบาดเจ็บล้มตายขึ้นบนเรือ หรือขาดทุนย่อยยับ ดังนั้นผู้ฝึกลมปราณจะต้องดูตามปี ฤดูกาลและแผนภูมิสวรรค์เพื่อเลือกเรือข้ามฟากที่เหมาะสมกับตัวเอง นี่ก็ถือเป็นหลักความรู้ที่ใหญ่มากเช่นกัน”


กล่าวมาถึงท้ายที่สุด ซุนเจียซู่ก็ยิ้มบางๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่คล้ายจะดูแคลนตัวเองเล็กน้อย “ลืมบอกกับเจ้าไปว่า ตระกูลฝูของนครมังกรเฒ่าและห้าสกุลใหญ่อย่างพวกเราต่างก็เป็นลูกศิษย์สำนักการค้าหนึ่งในเมธีร้อยสำนัก บรรพบุรุษที่ตั้งบูชาในโถงบรรพชนของทุกตระกูลล้วนไม่เหมือนกับอริยะลัทธิขงจื๊อในศาลเจ้าบุ๋น ต่อให้ถึงตอนนี้สำนักการค้าก็ยังมีแต่ความรู้ที่ไม่เข้าพวกกับสำนักอื่น ได้ยินมาว่าช่วงแรกเริ่มสุดมีอริยะของสถานศึกษาขงจื๊อที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในศาลบุ๋น อีกทั้งตำแหน่งยังอยู่ในระดับหน้าๆ คนหนึ่งกล่าวประโยคหนึ่งว่า ‘เนื้อสุนัขไม่นำขึ้นโต๊ะอาหาร’ อันที่จริงนั่นเป็นการพูดถึงสำนักการค้าของพวกเรา คำวิจารณ์นี้ยังถือว่าเกรงใจกันแล้ว คำกล่าวที่ว่าพวกพ่อค้าคือพวกชั้นต่ำ ไม่มีตำแหน่งในร้อยสำนัก ทั่วร่างมีแต่กลิ่นเหม็นของทองแดง พ่อค้าไม่มีจิตเมตตา ใต้หล้านี้สำนักการค้าไร้คุณความชอบมากที่สุด ถือเป็นคำด่าที่แรงยิ่งกว่า ดังนั้นเก้าทวีปใหญ่ของใต้หล้าไพศาลมีพ่อค้าเยอะมาก แต่ไม่มีทางถูกราชวงศ์ไหนยกขึ้นเป็นอาชีพหลักแน่นอน”


เรื่องวงในที่เกี่ยวข้องกับความรู้และจุดประสงค์ของเมธีร้อยสำนักพวกนี้ เฉินผิงอันได้แต่รับฟัง ไม่กล้าวิจารณ์หรือให้ข้อสรุปส่งเดช


—–

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)