ยอดหญิงสกุลเสิ่น 252.1-252.2

ตอนที่ 252-1 สวีโย่วเข้าดำรงตำแหน่ง

 

เมื่อผลการตัดสินของฉินมู่หรานมาถึงจวนเสนาบดี น้ำตาของนายหญิงผู้เฒ่าฉินกับต่งซื่อฮูหยินเสนาบดีฉินก็ไหลไม่ขาดสาย รื้อบรรพบุรุษแปดชั่วโคตรของผู้พิพากษาศาลต้าหลี่จ้าวเฉิงซวี่ออกมาด่าหนึ่งรอบ “คนแซ่เฮยจิตใจดำผู้นั้น ผีอายุสั้นผู้นั้น เหตุใดถึงได้เกลียดหลานสุดรักของข้า ภรรยาเหล่าต้า เจ้าเข้าวังไปคุยกับเหนียงเหนียงแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงยังตัดสินให้เนรเทศอีกเล่า ตั้งแต่เล็กหลานสุดรักของข้าก็ไม่เคยห่างจากสายตาของย่าอย่างข้าเลย นี่ไม่ใช่เป็นการทำลายชีวิตของข้าหรือ”


 


 


ต่งซื่อก็เจ็บใจราวกับถูกมีดฟัน “เหนียงเหนียงของเราก็พูดอยู่ว่าหรานเอ๋อร์จะไม่เป็นไร ลูกเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเปลี่ยน หรานเอ๋อร์ผู้น่าสงสารของข้าต้องทนรับความลำบากมากเพียงใด!” นางไม่เพียงแต่ปวดใจ ซ้ำยังเป็นกังวล เส้นทางการเนรเทศเดินง่ายเพียงนั้นหรือไร ระหว่างการเดินทางคนมากน้อยเพียงใดที่เดินยังไม่ถึงครึ่งชีวิตก็หาไม่แล้ว


 


 


ไม่อาจตำหนิซูเฟยเหนียงเหนียงที่จัดการไม่ดี นายหญิงผู้เฒ่าด่าจ้าวเฉิงซวี่เสร็จก็เปลี่ยนมาด่าลูกชายต่อ “ไป ไปดูสิว่าท่านเสนาบดีของพวกเจ้าทำอะไรอยู่ วันทั้งวันเอาแต่ยุ่งๆๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าเขายุ่งอะไร แม้แต่เรื่องของลูกตัวเองยังไม่ใส่ใจ เขาจะทำให้ข้าโมโหตายใช่หรือไม่” อารมณ์ฮึกเหิมเกินไป นางไอออกมาอย่างแรง


 


 


ต่งซื่อรีบเข้าไปช่วยนางระบายความโกรธ “ท่านแม่ท่านต้องระงับโทสะให้ได้ หากท่านเป็นอะไรไป ใครจะตัดสินใจให้หรานเอ๋อร์เล่า ท่านแม่ ลูกฟังว่าครั้งนี้แม่นางตระกูลจางที่หนีไปผู้นั้นเป็นพยานหรานเอ๋อร์ในศาล ท่านเสนาบดีเองก็หมดหนทางเช่นกัน” เทียบกับนายหญิงผู้เฒ่าฉิน ต่งซื่อรู้มากกว่านางเล็กน้อย


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดของต่งซื่อ นายหญิงผู้เฒ่าฉินก็มีสีหน้าดุร้าย “แม่นางตระกูลจางอะไรนี่ก็ไม่ใช่คนดี ตระกูลพวกเรารับปากให้นางเข้าจวนแล้ว นางจะเอาอย่างไรอีก หญิงชั่วให้เกียรติไม่เอาเกียรติ นางทำร้ายหลานชายสุดรักของข้า เช่นนั้นนางก็อย่าได้คิดจะอยู่อย่างสงบเลย” นางตบพนักเก้าอี้อย่างหนักหน่วง “วันนี้ข้าจะฝังพวกเขาทั้งครอบครัวลงไปพร้อมกันหลานชายสุดรักของข้า ภรรยาเหล่าต้า เจ้าสั่งคนไปจัดการเรื่องนี้เสีย” ในเมื่อหรานเอ๋อร์ต้องถูกเนรเทศ เช่นนั้นตระกูลจางก็ไม่จำเป็นต้องอยู่อีกต่อไป คิดว่าจวนเสนาบดีรังแกง่ายหรืออย่างไร


 


 


คำพูดนี้ตรงใจของต่งซื่อพอดี นางกัดฟันกล่าว “เจ้าค่ะ ท่านแม่วางใจ ลูกทราบแล้ว”


 


 


“ไม่ต้อง” ท่านเสนาบดีฉินที่ถูกเรียกเข้ามาได้ยินประโยคนี้พอดี เอ่ยปากห้ามปราม


 


 


นายหญิงผู้เฒ่าฉินกับต่งซื่อไม่เข้าใจ “เหล่าต้า หรานเอ๋อร์ยังเป็นลูกเจ้าอยู่หรือไม่ เจ้าทนความโกรธนี้ได้ แต่ข้าทนไม่ได้”


 


 


ต่งซื่อเองก็มองสามีของตนอย่างสะอึกสะอื้นไห้ “ท่านเสนาบดี ต่อให้หรานเอ๋อร์จะไม่ได้เรื่องแต่นั่นก็เป็นเลือดเนื้อที่ข้าตั้งครรภ์มาสิบเดือนเพื่อคลอดออกมาให้ท่าน จิตใจของท่านเสนาบดีโหดเ**้ยมเกินไปแล้วหรือไม่”


 


 


เห็นแม่เขาเสียใจจนแทบหมดสติ ท่านเสนาบดีฉินก็รีบพูด “ท่านแม่อย่าเพิ่งร้อนใจ ลูกไม่ใช่ไม่อยากจัดการตระกูลจางนั้น วันนี้ออกมาจากศาลต้าหลี่ ลูกก็แอบส่งคนไปจับตาดูละแวกตระกูลจาง แต่คนที่ส่งไปกลับมารายงาน ตระกูลจางทั้งตระกูล แม้แต่ครอบครัวคู่หมั้นของจางหยวนเหนียงผู้นั้น ต่างก็หายไปหมดแล้ว”


 


 


ตอนที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาดวงตาของนายท่านเสนาบดีฉินก็เคียดแค้น ท่านเสนาบดีผู้ยิ่งใหญ่เช่นเขาคาดไม่ถึงว่าเรือคว่ำในร่องน้ำสายเล็ก เรื่องนี้หากบอกว่าไม่มีคนวางแผนอยู่เบื้องหลัง เขาก็คงจะปักศีรษะลงดินเป็นลูกบอลให้เตะแล้ว


 


 


“อะไรนะ หายไปหมดแล้วหรือ เหล่าต้า เรื่องนี้มันเกิดอะไรขึ้น” เมื่อนายหญิงผู้เฒ่าฉินได้ยินก็จับลูกชายของนางแล้วถามทันที หากหาตระกูลจางนั่นไม่เจอแล้ว ความทุกข์ยากที่หลานสุดรักของนางได้รับใช่จะเสียเปล่าหรือไม่


 


 


ต่งซื่อเองก็กล่าว “ก็แค่สกุลชั่วทั้งตระกูล จะวิ่งหนีไปไหนได้ ท่านเสนาบดีไม่สั่งคนให้หาหรือ”


 


 


ดวงตาของท่านเสนาบดีฉินกะพริบวาบ หาหรือ เขาย่อมสั่งคนไปหาแล้ว แต่ไหนเลยจะหาเจอ! เขาควบคุมน้ำเสียงกล่าว “ท่านแม่วางใจ เรื่องนี้ลูกไม่ยอมให้จบแบบนี้แน่นอน” ต่อให้พวกเขาสองตระกูลจะหลบอยู่ในรูหนู เขาเองก็ต้องจับคนออกมาให้ได้


 


 


จากนั้นก็กล่าวปลอบ “แม้จะบอกว่าเนรเทศ แต่ก็เพียงแค่ห้าร้อยลี้ หลานจื่อเฉินในตระกูลก็เป็นข้าหลวงประจำจังหวัดอยู่ที่นั่น ข้าเรียบเรียงหนังสือหนึ่งฉบับให้คนส่งไปแล้ว ให้เขาดูแลหรานเอ๋อร์ให้ดี ส่วนระหว่างเดินทาง พวกเราก็เพิ่มเงินติดสินบนเจ้าหน้าที่คุมตัวให้มากหน่อย ส่งคนในตระกูลหลายคนติดตามไป หรานเอ๋อร์ไม่ลำบากอะไรหรอก” เขาวางแผนไว้ดีแล้ว


 


 


ได้ยินท่านเสนาบดีฉินพูดเช่นนี้ สีหน้าของนายหญิงผู้เฒ่าฉินกับต่งซื่อก็ดีขึ้นเล็กน้อย นายหญิงผู้เฒ่าฉินก็ยิ่งจับมือลูกชายแล้วกล่าว “เหล่าต้า ไม่มีวิธีอื่นหรือ หรานเอ๋อร์ไม่ไปไม่ได้หรือ พวกเราให้เงินเพิ่มอีก…” นางกระทั่งเกิดความคิดโยนความผิดให้แพะรับบาป


 


 


ทว่ากลับถูกท่านเสนาบดีฉินปฏิเสธทันควัน “ท่านแม่ เกรงว่าจะไม่ได้ ท่านต้องรู้ว่า หรานเอ๋อร์เพียงแค่ถูกตัดสินให้เนรเทศไปเพียงห้าร้อยลี้ อีกทั้งที่ที่ถูกเนรเทศยังเป็นอาณาเขตของพวกเขา นี่ล้วนแต่เป็นผลจากการที่ซูเฟยเหนียงเหนียงกับองค์ชายรองออกหน้าจึงได้มา” หากได้คืบจะเอาศอกอีก เขาเองก็กลัวจะยั่วยุคนที่ซ่อนตัวอยู่เบื้องหลัง!


 


 


“เช่นนั้นเหล่าต้าเจ้าต้องส่งคนในตระกูลสองคนที่มีความสามารถมากไปดูแล อย่าให้หลานสุดรักของข้าลำบาก” นายหญิงผู้เฒ่าฉินกำชับ “ต่อให้จะต้องใช้เงินมาก็ไม่เป็นไร อีกประเดี๋ยวเหล่าต้าก็เอาทรัพย์สินส่วนตัวหนึ่งหมื่นตำลึงนี้จากแม่ไป”


 


 


ท่านเสนาบดีฉินปฏิเสธอย่างต่อเนื่อง “ท่านแม่ ไม่ต้อง หรานเอ๋อร์เป็นลูกข้า จะใช้เงินส่วนตัวของท่านได้อย่างไร”


 


 


ทว่านายหญิงผู้เฒ่าฉินกลับไม่ซาบซึ้ง ถลึงตากล่าว “ข้ายินดีให้เงินหลานสุดรักของข้าแล้วอย่างไร คนแก่อย่างข้าน่าสงสารไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีชีวิตอยู่ถึงวันที่หลานสุดรักกลับมาหรือไม่” เบือนหน้าไปเช็ดน้ำตาอีกครั้ง


 


 


ท่านเสนาบดีฉินทำสีหน้าเหยเกทันที กล่าวประนีประนอม “ขอรับๆ แล้วแต่ท่านแม่” พลางส่งสายตาให้ต่งซื่อข้างๆ บอกเป็นนัยให้นางรีบปลอบนายหญิงผู้เฒ่า


 


 


ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น ต่งซื่อกับนายหญิงผู้เฒ่าฉินแม่สามีลูกสะใภ้คู่นี้มีท่าทีลำเอียงต่อเรื่องของฉินมู่หรานเหมือนกัน บ้านใหญ่เองก็เป็นเพราะฉินมู่หรานจึงได้รับผลประโยชน์ไม่น้อย ต่งซื่อไม่อยากสูญเสียที่พึ่งที่สำคัญนี้ไป รีบยกมุมปากกล่าว “ท่านแม่ในใจท่านคิดถึงหรานเอ๋อร์ ข้ากับท่านเสนาบดีก็มีเพียงความซาบซึ้งดีใจ ท่านอย่าได้เสียใจไปเลย บำรุงกำลังวังชาให้ดี รอวันที่หรานเอ๋อร์ออกจากเมืองหลวงพวกเราก็ไปส่งเขา หากให้เขาเห็นท่านซีดเซียว เขาก็คงจะไปด้วยความไม่สบายใจ!”


 


 


คำพูดนี้พูดกระทบส่วนลึกในใจของนายหญิงผู้เฒ่าแล้ว “ใช่ ใช่ ข้ายังต้องไปส่งหลานสุดรักของข้า หลานสุดรักของข้าเป็นเด็กที่มีจิตใจดีที่สุดแล้ว ข้านอนไม่หลับแค่คืนเดียวเขาก็ดูออก” นึกถึงภาพที่หลานชายอยู่ตรงหน้าเมื่อก่อน น้ำตาของนายหญิงผู้เฒ่าฉินไหนเลยจะเก็บได้อยู่


 


 


ท่านเสนาบดีฉินยังคิดจะตามหาตระกูลจางและตระกูลซั่งออกมาให้ได้ เขาไหนเลยจะรู้ว่าภายใต้ความช่วยเหลือของเสิ่นเวย ตระกูลจางกับตระกูลซั่งได้ทำหลักฐานการเดินทางและทะเบียนบ้านเรียบร้อยเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่ย้ายออกไปพันลี้นานแล้ว


 


 


ปัญญาชนแซ่จางได้ยินที่ลูกสาวเล่า ทั้งยังนึกถึงชายวัยกลางคนที่ช่วยเหลือดูแลพวกเขาทุกอย่างและส่งพวกเขาออกไป ในใจก็มั่นใจว่าพวกเขาสองตระกูลได้รับความช่วยเหลือจากบุคคลสูงส่ง มิเช่นนั้น อย่าว่าแต่จากมาอย่าสงบ คาดว่าพวกเขาคงจะไม่เหลือแม้แต่ชีวิตแล้ว


 


 


“ส่งออกไปแล้วหรือ” เสิ่นเวยถามเสี่ยวตี๋ที่กลับมารายงาน


 


 


เสี่ยวตี๋พยักหน้า “คนของพวกเราเห็นตระกูลจางกับตระกูลซั่งขึ้นเรือกับตา มุ่งไปทางตะวันตกแล้ว ส่วนพวกเขาจะเลือกไปอยู่ที่ใด นั่นก็เป็นเรื่องของพวกเขาเองแล้ว” สามารถช่วยถึงขั้นนี้ได้ ก็นับว่าจวิ้นจู่เมตตาเป็นพิเศษแล้ว


 


 


เสิ่นเวยพยักหน้าบอกเป็นนัยว่ารับรู้ จากนั้นจึงถาม “ใช่แล้ว ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของจวนเสนาบดีฉินมีอะไร ศาลบรรพบุรุษหรือ เจ้ามั่นใจหรือว่ามีเพียงแค่ศาล”


 


 


เสี่ยวตี๋เม้มปากกล่าว “ถูกต้อง จวิ้นจู่ นอกจากศาลาริมน้ำหนึ่งหลังแล้วก็มีเพียงศาลบรรพบุรุษ ข่าวที่คนสามคนส่งออกมาล้วนเหมือนกัน”


 


 


เสิ่นเวยหลุบตา ท่าทางคล้ายครุ่นคิด ครึ่งเค่อจึงกล่าว “อืม ให้พวกเขาจับตามองศาลาริมน้ำกับศาลบรรพบุรุษ สังเกตการณ์เคลื่อนไหวของท่านเสนาบดีฉินให้มาก” ตั้งแต่ต้นจนตอนนี้นางมีความสงสัยต่อการกระทำของท่านเสนาบดีฉินในคืนนั้น


 


 


ขุนนางใหม่สร้างปรากฎการณ์ สวีโย่วก็ไม่เว้นเช่นกัน หลังวันเกิดของเสิ่นเวยผ่านไปคบไฟอันแรกของเขาก็ลุกไหม้โชติช่วงขึ้นมา เริ่มปรับปรุงราชนิกุลและบุตรหลานสูงศักดิ์ที่เกียจคร้านในกองปัญจทิศรักษานคร


 


 


ในอดีต แม้ว่ากองปัญจทิศรักษานครจะมีจำนวนคนไม่น้อย แต่ที่ทำงานจริงๆ กลับมีไม่เยอะ บางคนก็มีเบื้องลึกเบื้องหลัง เพียงแค่มีชื่อไว้ประดับก็เท่านั้น หนึ่งปีโผล่หน้ามาได้สามถึงห้าครั้งก็นับว่าดีแล้ว แต่เงินเดือนกลับรับเต็มจำนวน


 


 


หลังจากที่สวีโย่วรับตำแหน่งผู้บัญชาการนี้ ก็ประกาศให้มาลงชื่อเข้างานทุกวัน คนที่ไม่ลาล่วงหน้า ลงชื่อไม่ถึงสามครั้งก็จะถูกถอนถอนตำแหน่งไล่กลับบ้าน ขออภัย ในเมื่อเจ้าเป็นคนใหญ่คนโตแบบนี้ เช่นนั้นพวกเราก็เรียกใช้เจ้าไม่ได้ รีบกลับบ้านไปพักเสียดีกว่า


 


 


สวีโย่วสั่งคนให้แจ้งกฎใหม่นี้ไปยังทุกๆ คน เจ้าไม่มาทำงานที่ว่าการมิใช่หรือ ไม่เป็นไร เราส่งคนไปแจ้งเจ้าแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ในจวน หรือว่าขดตัวอยู่ในหอเสพสำราญบ่อนพนัน ต่อให้จะอยู่ในคฤหาสน์ที่ซ่อนชู้คนงามไว้ เราก็จะแจ้งข่าวไปถึงเจ้า เช่นนี้เจ้าก็ไม่สามารถอ้างว่าไม่รู้ได้แล้วมิใช่หรือ


 


 


ความสามารถของเจ้าธรรมดาไม่กลัว มิใช่สามารถเรียนรู้ได้หรอกหรือ อย่างไรเสียไม่ว่าใครก็ไม่สามารถทำงานเป็นตั้งแต่เกิด แต่ทั้งปีเจ้าไม่รู้กระทั่งว่าประตูของกองปัญจทิศรักษานครเปิดไปทางไหน เช่นนั้นก็ไม่สมควรแล้ว ในเมื่อข้าจวิ้นอ๋องรับตำแหน่งผู้บัญชาการนี้ เช่นนั้นก็ไม่อนุญาตให้ทำนิสัยเลวทรามอย่างแต่ก่อนได้


 


 


เมื่อกฎใหม่ออกมา คนที่ไม่มีเบื้องหลังคอยหนุน กระทั่งบุตรหลานลูกคุณชายที่ขี้ขลาดส่วนหนึ่งต่างก็มาลงชื่อฟังคำสั่งอย่างว่าง่าย แต่ก็ยังมีคนที่หัวแข็งหลายคนยังคงทำตามอำเภอใจตัวเอง ไม่เห็นสวีโย่วอยู่ในสายตา หลานชายของฮองเฮาเหนียงเหนียง ญาติผู้พี่ของท่านไท่จื่อ ชีเว่ยคุณชายรองจวนเฉิงเอินกงก็เป็นหนึ่งในนั้น


 


 


คนผู้นี้ก็เป็นคนประเภทที่เอาแต่กินดื่มเที่ยวผู้หญิงติดพนันต่างๆ ด้วยความที่ป้าของตนเป็นฮองเฮา แต่ไหนแต่ไรก็ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา เมื่อเขารู้กฎใหม่ที่สวีโย่วประกาศ ก็แค่นเสียงขึ้นจมูก ยังคงทำตัวตามอำเภอใจ กระทั่งประกาศต่อสาธารณะ “ก็แค่คนขี้โรค เอาขนไก่มาเป็นธนู ข้าไม่ไปหรอก ข้าจะดูว่าเขาจะทำอะไรข้าได้”


 


 


คำพูดนี้ก็ดังไปถึงหูของสวีโย่วเช่นกัน หนังตาของเขาไม่แม้แต่จะเหลือบขึ้น บนใบหน้าก็ยิ่งดูไม่ออกว่าโมโหหรือเดือดดาล ทำให้คนเดาความคิดที่แท้จริงในใจเขาไม่ออก

 

 

 


ตอนที่ 252-2 สวีโย่วเข้าดำรงตำแหน่ง

 

ลงชื่อวันแรกคนที่ไม่มามีเจ็ดแปดคน จางหู่หลี่หลงที่ได้รับคัดเลือกมาใหม่ก็มองผู้บัญชาการคนใหม่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยความระแวดระวัง แข็งใจรายงานชื่อของเจ็ดแปดคนที่หัวรั้นไม่มา


 


 


สวีโย่วพยักหน้า สั่งให้จำไว้ทันที จากนั้นจึงสั่งคนให้รายงานผลลัพธ์ไปยังเจ็ดแปดคนนี้


 


 


ลงชื่อวันที่สองมีห้าคนไม่มา สวีโย่วยังคงไม่พูดอะไร เพียงแค่จำห้าคนนี้ไว้ และตัดเงินเดือนสามเดือน


 


 


ลงชื่อวันที่สามคนที่ไม่มามีเพียงสองคน นอกจากชีเว่ยที่พูดถึงก่อนหน้านี้แล้ว ยังมีบุตรอนุภรรยาผู้หนึ่งของจวนกงอ๋อง


 


 


สวีโย่วยังไม่ได้พูดอะไร ก็ถอนคนทั้งสองออกจากตำแหน่งทันที แต่ว่าก่อนถอดถอนก็โบยคนละสิบครั้ง คนที่ลงโทษก็เป็นคนของกองปัญจทิศรักษานคร ไหนเลยจะกล้าโบยราชนิกุลสองคนนี้จริงๆ เพียงแค่เสแสร้งแกล้งทำก็เท่านั้นเอง หลังจากโบยสิบครั้งแล้ว บนร่างคนทั้งสองก็ไม่มีบาดแผลแม้แต่นิดเดียว โดยเฉพาะชีเว่ยคนผู้นั้น ตอนที่เขากระโดดขึ้นมา ชี้จมูกคนลงโทษก่นด่า ขึ้นเสียงจะเอาคืน


 


 


“เอ๋ ท่านไหวหรือไม่ เด็กแซ่ชีผู้นั้นร้ายจริงๆ จะให้ฟังจงหลี่พาคนไปจัดการเขาสักหน่อยหรือไม่” เสิ่นเวยกระทุ้งแขนของสวีโย่ว กล่าวด้วยความแค้นเคือง


 


 


มีความคิดนี้ได้อย่างไรกัน! ข้าคุณหนูสี่แซ่เสิ่นยังไม่ใช้อำนาจระรานในเมืองหลวงเลย ลูกคุณชายที่เอาแต่กินดื่มเที่ยวผู้หญิงติดพนันคนหนึ่งเช่นเจ้ากลับระรานไปทั่วเมืองหลวง คาดไม่ถึงว่ายังประกาศประจานสามีที่รักของนางอีก ข้าไม่ตีเจ้าจนเลือดออกจมูกเจ้าก็คงไม่รู้ว่าเหตุใดดอกไม้ถึงมีสีแดงเช่นนี้


 


 


เสิ่นเวยถกแขนเสื้อเตรียมจะสั่งฟังจงหลี่ไปซุ่มต่อยคนโง่ชีเว่ย


 


 


สวีโย่วรีบลากนางกลับมา กล่าวอย่างขบขัน “ในสายตาเวยเวย ข้าไร้ประโยชน์เพียงนี้เลยหรือ เศษสวะเช่นนี้ไหนเลยจะต้องให้เวยเวยออกมือ รอดูเถอะ!” ไม่ต้องให้เขาออกมือเอง ชีเว่ยผู้นั้นก็สามารถรนหาที่ตายเองได้


 


 


เสิ่นเวยกะพริบตา กล่าว “ได้ ท่านจัดการก่อน หากท่านไม่ไหว ข้าจะออกมืออีกที เราเรียกนี่ว่าอะไรนะ สามีภรรยาใจเดียวกัน ตัดทองให้ขาดได้” เสิ่นเวยทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยค ทำให้สวีโย่วหัวเราะร่าด้วยความสุข


 


 


หากเป็นเพียงการถอดถอนจากตำแหน่ง การตอบสนองของชีเว่ยอาจจะไม่ใหญ่เพียงนี้ อย่างไรเสียเขาก็ไม่ขาดเงิน ไม่ได้สนใจตำแหน่งงานนี้ ถอดถอนก็ถอดถอนไปสิ


 


 


แต่สวีโย่วดันสั่งคนมาโบยเขาสิบครั้ง อีกทั้งยังโบยต่อหน้าแม่นางซูหว่านในหอเสพสำราญที่เขาชื่นชม เป็นความอัปยศอันใหญ่หลวง! ขายหน้า ขายหน้าเกินไปแล้ว ขายหน้าไปถึงบ้านยายแล้วรู้หรือไม่ เขาจะกล้ำกลืนความโกรธนี้ได้อย่างไร


 


 


เขาจึงปรึกษากับสหายสนิทผู้เป็นบุตรอนุภรรยาจวนกงอ๋องผู้นั้น คิดอยากจะสั่งสอนสวีโย่ว แต่น่าเสียดายวันที่สองที่เคลื่อนไหว บุตรอนุภรรยาจวนกงอ๋องผู้นั้นกลับถูกพ่อเขาขังไว้ในจวน


 


 


ชีเว่ยสาปแช่งสหายสนิทว่าโง่เขลาต่างๆ นานา และทำได้เพียงปรึกษากันให้ดีอีกครั้ง


 


 


วิธีล้างแค้นของชีเว่ยเรียบง่ายป่าเถื่อนอย่างถึงที่สุด แตกต่างแต่มีผลลัพธ์เดียวกันกับความคิดของเสิ่นเวยเล็กน้อย ก็คือนำคนไปปิดล้อมเส้นทางเลิกงานของสวีโย่ว คิดจะทุบตีสวีโย่วอย่างโหดเ**้ยม


 


 


ในสายตาเขา สวีโย่วก็คือคนขี้โรคที่ร่างกายผอมบางผู้หนึ่ง จัดการคนแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายดายหรอกหรือ


 


 


หึ ไม่ต้องพูดถึงวิทยายุทธ์ที่สวีโย่วฝึกจนสมบูรณ์แบบนั่น เพียงแค่เจียงเฮยเจียงไป๋ที่ติดตามอยู่ข้างกายเขาก็ไม่ใช่คนธรรมดาแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทหารคุ้มกันกล้าตายในที่ลับ


 


 


ชีเว่ยผู้นี้ยังคงเป็นคนโง่จริงๆ เจ้าบอกว่าเจ้าอยากซุ่มตีผู้บัญชาการสวี ขอเพียงแค่ขยับปากสั่งคนไปทำก็ได้แล้ว แต่เขาไม่ เขาดันพาคนลงสนามด้วยตัวเอง นี่ไม่ใช่รนหาที่ตายเองหรือ


 


 


ดูสิ บนร่างสวีโย่วไม่เปื้อนแม้แต่เศษดิน เพียงแค่เจียงเฮยเจียงไป๋สองคนก็ตีชายแข็งแกร่งหนึ่งกลุ่มที่ชีเว่ยพามาจนลุกไม่ขึ้นแล้ว แม้แต่ชีเว่ยเองก็ถูกตีเกือบตาย นอนอยู่บนพื้นร้องโอดโอย


 


 


เจียงเฮยเจียงไป๋เกลียดชีเว่ยผู้ที่ใส่ร้ายประณามนายของพวกเขายิ่งนัก ดังนั้นลูกน้องจึงไม่เหลือเยื่อใย นอกจากบนตัว ก็มีบาดแผลบนหน้าที่หนักที่สุด จมูกช้ำหน้าบวม ราวกับหัวหมู


 


 


คราวนี้แย่แล้ว ชีเว่ยกลับไปถึงจวนด้วยสภาพเหมือนผีเช่นนี้ จวนเฉิงเอินกงก็ระเบิด ย่าเขาแม่เขาดึงเขาไปเช็ดหน้ำตา ซื่อจื่อเฉิงเอินกงพ่อเขาก็ตกใจและโมโหมากเป็นพิเศษ สีหน้าไม่ดีอย่างมาก แม้ลูกของตนจะทำตัวเหลวไหล แต่เจ้าผิงจวิ้นอ๋องก็ไม่อาจไม่ไว้หน้าเลยได้! อย่างไรเสียจวนเฉิงเอินกงของพวกเขาก็เป็นบ้านฝั่งมารดาของท่านไท่จื่อ ฮองเฮาเหนียงเหนียงยังมีอำนาจอยู่ในวัง ดูถูกจวนเฉิงเอินกงของพวกเขา ก็เท่ากับไม่เห็นฮองเฮาเหนียงเหนียงกับไท่จื่ออยู่ในสายตามิใช่หรือ


 


 


ชีซื่อจื่อทั้งโมโหทั้งเดือดดาล วันที่สองก็เข้าวังไปร้องทุกข์กับน้องสาวของเขาแล้ว


 


 


เมื่อฮองเฮาเหนียงเหนียงกับไท่จื่อได้ฟังเรื่องนี้ ก็ตกใจอย่างถึงที่สุด “อะไรนะ ผิงจวิ้นอ๋องตีเว่ยเอ๋อร์หรือ เพราะเหตุใดกัน”


 


 


ฮองเฮาเหนียงเหนียงกับไท่จื่อไม่ค่อยเชื่อเล็กน้อย ความสุขุมของสวีโย่วเป็นที่ประจักษ์ แม้แต่ฝ่าบาทยังเคยชม ไม่ได้มีนิสัยทำชั่วต่อยตีหาเรื่องอย่างสิ้นเชิง


 


 


“ท่านน้า ญาติผู้พี่สร้างเรื่องอีกแล้วหรือ” ไท่จื่อถามอย่างตรงไปตรงมา


 


 


สีหน้าของชีซื่อจื่อไม่ดีอย่างยิ่ง เล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบหนึ่งรอบ กล่าวอย่างเคียดแค้น “เหนียงเหนียง ไท่จื่อ เว่ยเอ๋อร์มีความผิด แต่ผิงจวิ้นอ๋องก็ถอดตำแหน่งของเขาแล้ว เหตุใดยังต้องโบยเขาอีกเล่า เว่ยเอ๋อร์เป็นผู้ใหญ่แล้ว หน้าไหนเลยจะยังประดับได้อยู่ ไม่เห็นแก่หน้าภิกษุสงฆ์ก็ควรเห็นแก่หน้าพระพุทธรูป แม้จวนเฉิงเอินกงจะไม่ใหญ่อะไร แต่นี่ไม่เท่ากับว่าไม่เห็นเหนียงเหนียงกับซื่อจื่ออยู่ในสายตาหรอกหรือ”


 


 


เขามองสีหน้าของฮองเฮาเหนียงเหนียง กล่าวต่อ “ยกเรื่องเมื่อวานมาพูด เว่ยเอ๋อร์เป็นคนซื่อ แต่ผิงจวิ้นอ๋องต้องการสั่งสอนก็เพียงแค่ระบายอารมณ์กับบ่าวก็พอ เหตุใดจะต้องตีเว่ยเอ๋อร์จนเป็นเช่นนั้นให้ได้ หมอบอกแล้วว่า บนร่างนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรักษาตัวครึ่งปี ต่อให้เว่ยเอ๋อร์จะไม่ดี นั่นก็ยังเป็นบุตรของขุนนาง เป็นญาติผู้พี่ของไท่จื่อ!”


 


 


อันที่จริงอาการบาดเจ็บของชีเว่ยชีซื่อจื่อก็พูดเกินจริงเล็กน้อย บนร่างนั้นของเขาแม้ว่าจะดูน่ากลัว แต่ส่วนใหญ่ก็บาดเจ็บที่เนื้อหนัง อย่างมากรักษาตัวหนึ่งเดือนก็พอแล้ว ลูกน้องเจียงเฮยกับเจียงไป๋รู้หนักเบาดีอย่างยิ่ง


 


 


“อาการบาดเจ็บของเว่ยเอ๋อร์สาหัสเพียงนั้นจริงหรือ” คิ้วของฮองเฮาเหนียงเหนียงขมวดมุ่น


 


 


ชีซื่อจื่อรีบกล่าวสาบาน “จริงแท้แน่นอน ไหนเลยจะกล้าหลอกเหนียงเหนียงกับไท่จื่อ”


 


 


“ผิงจวิ้นอ๋องผู้นี้ ปกติก็ดูสุขุมยิ่งนัก เหตุใดถึงไม่รู้หนักเบาเช่นนี้เล่า เว่ยเอ๋อร์เด็กกว่าเขามาก สั่งสอนทางวาจาก็เพียงพอแล้ว เหตุใดยังจะต้องลงไม้ลงมืออีก” ฮองเฮาเหนียงเหนียงฟังคำพูดของพี่ชายจบแล้ว ในใจก็ตำหนิสวีโย่วเล็กน้อยเช่นกัน


 


 


เว่ยซื่อจื่อเห็นว่ายั่วยุให้ฮองเฮาเหนียงเหนียงไม่พอใจผิงจวิ้นอ๋องสำเร็จ ก็แสดงท่าทีซื่อสัตย์ออกมา กล่าว “ไม่ใช่เพราะว่าจวนเฉิงเอินกงไร้ประโยชน์หรอกหรือ”


 


 


ฮองเฮาเหนียงเหนียงตำหนิทันที “ไร้ประโยชน์อะไรจวนเฉิงเอินกงเป็นบ้านฝั่งมารดาของไท่จื่อ จะไร้ประโยชน์ได้อย่างไร” ในใจก็ยิ่งไม่พอใจสวีโย่วมากขึ้น


 


 


อย่างไรเสียไท่จื่อก็เป็นบุรุษผู้มีหน้าที่การงาน ไม่เหมือนเสด็จแม่ของเขาที่อยู่ในวังหลังตบตาเก่ง เห็นเขามองน้าเขาด้วยความไม่พอใจปราดหนึ่ง กล่าว “ท่านน้าเองก็น่าจะดูแลญาติผู้พี่รองหน่อย โตป่านนี้แล้วยังเอาแต่ก่อเรื่อง ผิงจวิ้นอ๋องเป็นผู้บัญชาการกองปัญจทิศรักษานครที่เสด็จพ่อสั่งด้วยตัวพระองค์เอง เขาปรับปรุงกองปัญจทิศรักษานครก็เป็นหน้าที่ที่รับผิดชอบ ญาติผู้พี่รองลงชื่อไม่ถึงสามครั้ง โบยเขาสิบครั้งยังเบา มิหนำซ้ำยังกำแหงนำคนไปซุ่มต่อยผิงจวิ้นอ๋อง สมควรแล้วที่เขาถูกสั่งสอน”


 


 


คำพูดของไท่จื่อไม่เหลือเยื่อใยเลยแม้แต่นิดเดียว เขาไม่มีความรู้สึกดีต่อญาติผู้พี่รองผู้นี้เลยแม้แต่น้อย คนโง่ยังไม่พอ ยังไม่รู้จักเก็บกระบี่ เหตุใดบุตรอนุภรรยาจวนกงอ๋องผู้นั้นที่ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งและโบยเหมือนกันยังไม่วิ่งมาแก้แค้นผิงจวิ้นอ๋องเลยเล่า ท่านน้ายังมีหน้ามาฟ้องร้องเสด็จแม่อีก เห็นเลยว่าไม่มีเหตุผล ดังนั้นไท่จื่อจึงไม่พอใจจวนเฉิงเอินกงขึ้นมา


 


 


“ท่านน้าไม่ได้ยินเรื่องคุณชายน้อยจวนเสนาบดีฉินหรือ ฝ่าฝืนกฎก็โดนเนรเทศตามระเบียบ คุณชายจวนเสนาบดีผู้ยิ่งใหญ่ น้าแท้ๆ ขององค์ชาย ถูกเนรเทศ พูดไปแล้วก็น่าขายหน้า ข้าไม่หวังให้ญาติผู้พี่รองช่วยข้า แต่ก็อย่าได้หาเรื่องข้างนอกมาให้ข้าทั้งวัน!”


 


 


ชีซื่อจื่อถูกไท่จื่อบุตรน้องสาวของเขาตำหนิจนหูแดงจัด ฮองเฮาเหนียงเหนียงเห็นท่าทีก็รีบหยุดลูกชาย “ไท่จื่อ!” จากนั้นจึงหันมาปลอบพี่ชาย “ช่วงนี้ไท่จื่อจัดการงานกับฝ่าบาท เห็นเรื่องฝ่าฝืนกฎเหล่านี้ไม่ได้ที่สุด เขามีนิสัยตรงไปตรงมา พี่ใหญ่อย่าได้ถือสาเขาเลย”


 


 


ชีซื่อจื่อย่อมไม่พอใจ ไท่จื่อแค่นเสียงเบาหนึ่งครากลับไม่พูดอะไรแล้ว แต่ท่าทางนั้นก็ทำให้ชีซื่อจื่ออึดอัดอย่างมาก


 


 


ส่งชีซื่อจื่อไปแล้ว ฮองเฮาเหนียงเหนียงก็พูดกับลูกชาย “อย่างไรเสียนั่นก็เป็นน้าของเจ้า ตั้งแต่เล็กก็รักเจ้าเอาใจเจ้า เหตุใดเจ้าถึงไม่ไว้หน้าเขาเลยเล่า”


 


 


ทว่าไท่จื่อกลับไม่คิดว่าตัวเองผิด “เสด็จแม่ ท่านไม่อาจตามใจท่านน้าพวกเขาแล้ว ดูเรื่องที่ญาติผู้พี่รองทำนี่สิ หรือว่าท่านเองก็หวังให้ราชสำนักเห็นลูกเหมือนที่เห็นพี่รองเป็นตัวตลก”


 


 


ฮองเฮาเหนียงเหนียงเห็นซื่อจื่อไม่พอใจแล้ว ก็กล่าวปลอบ “เอาล่ะๆๆ แม่รู้แล้ว แม่จะคุมบ้านน้าของเจ้าแน่นอน ไม่ให้พวกเขามาเป็นภาระเจ้า”


 


 


ทว่าเปลี่ยนเรื่องแล้วก็ยังกล่าว “แต่คำพูของน้าเจ้าก็มีเหตุผล! ญาติผู้พี่รองของเจ้าผิด แต่ตีหมาก็ต้องดูเจ้าของ ผิงจวิ้นอ๋องตีญาติผู้พี่รองของเจ้า นี่หมายความว่าไม่เห็นข้ากับไท่จื่อเช่นเจ้าอยู่ในสายตา ดูท่าแล้วผิงจวิ้นอ๋องผู้นี้จะได้รับความโปรดปรานมากเกินไปแล้ว กระทั่งเกิดความรู้สึกทะนงตน เจ้าเองก็คอยหาโอกาสพูดกับเสด็จพ่อเจ้าหน่อย”


 


 


ในใจไท่จื่อไหนเลยจะมีความสุข โมโหเพราะความเหลวไหลของญาติผู้พี่รองบ้านฝั่งมารดา ความรู้สึกที่มีต่อสวีโย่วเองก็ไม่พอใจสองส่วน ญาติผู้พี่รองก่อเรื่อง เจ้าผิงจวิ้นอ๋องก็ควรจับคนมาให้เขาตัดสินเงียบๆ หรือว่าเขาไม่สามารถตัดสินแทนเขาได้หรือ ต้องลงไม้ลงมือตีคนด้วยตัวเอง อย่างไรเสียก็ไม่เห็นไท่จื่อผู้นี้อยู่ในสายตาเลย!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)