กระบี่จงมา 251.1-252.1

 บทที่ 251.1 จากเหนือสุดสู่ใต้สุด

โดย

ProjectZyphon

เมื่อช่วงเพาะปลูกผ่านไปก็มาถึงช่วยสุดท้ายของการเดินทางในช่องทางเดินมังกรระยะทางสองแสนกว่าลี้ เรือข้ามฟากลำนี้กำลังจะไปถึงปลายทางที่อยู่ทางทิศใต้ของเส้นทางมังกรเดิน


ในเมื่อฝึกเดินนิ่งครบสองแสนรอบแล้ว การฝึกหมัดในลำดับถัดมาของเฉินผิงอันจึงไม่ได้เคร่งเครียด แต่เปลี่ยนมาเป็นผ่อนคลาย ตามใจตัวเองมากขึ้น หลังจากที่คืนนั้นซื้อเหล้ามาไม่ได้ วันถัดมาเขาก็ไปซื้อมาสามไหตอนกลางวัน บรรจุจนเต็มน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ราคาแพงมาก รสชาติพอใช้ได้ ถึงอย่างไรก็เทียบเหล้าหมักรสดีของหมู่บ้านวารีกระบี่ไม่ได้อยู่ดี


จากนั้นเฉินผิงอันก็ดึงยันต์สองแผ่นที่แปะไว้บนผนังออก ล้วนเป็นยันต์สีเขียวธรรมดา แผ่นหนึ่งคือยันต์สงบใจ สามารถช่วยให้เฉินผิงอันมีสมาธิสงบจิตใจ ไม่ต้องถูกโลกภายนอกรบกวนได้ในระดับหนึ่ง ทุกครั้งที่ในอารามใหญ่ของลัทธิเต๋าด้านล่างภูเขาจัดพิธีบำเพ็ญกายใจให้บริสุทธิ์เพื่อสักการะบูชาแด่เทพเจ้า ก็มักจะแปะยันต์ประเภทนี้เอาไว้


อีกแผ่นหนึ่งคือยันต์กำจัดฝุ่นผงคราบสกปรก ในช่วงฤดูร้อนที่อากาศร้อนจัด เหล่าขุนนาง ชนชั้นสูงและพวกคนที่มีชื่อเสียงของราชวงศ์ในโลกมนุษย์มักจะไปที่อารามเต๋าเพื่อขอยันต์ชนิดนี้มาจากเจินเหริน ยันต์ชนิดนี้ไม่เพียงแต่แผ่ปราณวิญญาณอ่อนๆ  ยังสามารถดูดซับไอชั่วร้ายและคราบสกปรกทุกชนิดได้อีกด้วย เป็นเหตุให้ห้องหับสะอาดสะอ้าน


แม้ว่ายันต์ทั้งสองแผ่นต่างก็เป็นยันต์ขั้นพื้นฐานที่สุดใน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ มีระดับขั้นต่ำมาก แต่กลับช่วยเฉินผิงอันได้อย่างมหาศาล หาไม่แล้วคนของเรือข้ามฟากคงต้องสู้กับเฉินผิงอันให้ตายกันไปข้าง การฝึกหมัดทั้งวันทั้งคืนสองเดือนเต็ม เหงื่อของเฉินผิงอันเปียกโชกราวฝนตก หลังจากนี้ยังจะมีใครกล้ามาพักห้องนี้อีก?


ยันต์ทั้งสองแผ่นล้วนเป็นยันต์อักษรแดงที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง ตอนนี้ปราณวิญญาณเจือจางเต็มที แทบไม่ต่างอะไรจากกระดาษในตำราทั่วไป เฉินผิงอันระมัดระวังตัวมาจนเคยชินแล้ว เขาไม่อยากจะทิ้งเบาะแสใดๆ เอาไว้ จึงไม่ได้โยนมันทิ้งไปในเส้นทางน้ำ ยังคงเก็บมันไว้ในวัตถุฟางชุ่น ถึงอย่างไรพวกมันก็ถือเป็นขุนนางผู้มีคุณูปการระหว่างการฝึกหมัดของเขา ข้ามแม่น้ำแล้วจะรื้อสะพานไม่ได้ เก็บไว้เป็นที่ระลึกก็ยังดี


ตอนนี้เฉินผิงอันมั่นใจมากแล้วว่า ยันต์ปึกนั้นที่หลี่ซีเซิ่งมอบให้ตน โดยเฉพาะกระดาษยันต์สีทองและตำราโบราณสองอย่างนี้ที่ต้องมีมูลค่าควรเมือง ต้องรักษาให้ดีแล้วดีอีกถึงจะถูก หลักการนั้นง่ายมาก ยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจกระดาษสีทองแผ่นเดียวก็สามารถสยบขุนนางบุ๋นบู๊ใต้บังคับบัญชาของเทพอภิบาลเมืองแยนจือที่ถูกธาตุมารเข้าแทรกได้อย่างง่าย หากไม่พูดถึงระดับความสูงต่ำของยันต์ เอาแค่วัสดุของกระดาษยันต์ว่าดีหรือไม่ดี ต่อให้เป็นยันต์คุ้มกันชีวิตก้นกรุจากพรรคมหายันต์ของลัทธิเต๋าที่สุดยอดผู้ฝึกลมปราณของแคว้นซูสุ่ย ‘เชิญเทพ’ ออกมาให้เป็นมัลละเกราะทองแผ่นนั้น ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเหนือกว่ากระดาษยันต์สีทองที่หลี่ซีเซิ่งมอบให้


ก่อนจะลงจากเรือ เฉินผิงอันก็เก็บห้องจนสะอาดเรียบร้อย สะพายห่อสัมภาระ คืนแผ่นป้ายไม้ของห้องให้กับทางเรือ ทยอยลงเรือไปพร้อมกับทุกคน ห่างออกไปไม่ไกลทางด้านหน้ามีชายหญิงคู่หนึ่งกำลังพูดคุยกัน เสียงของผู้หญิงคุ้นหูมาก เฉินผิงอันแค่กวาดตามองไปแวบหนึ่งก็เห็นว่านางเป็นสตรียังสาวที่มีใฝตรงมุมปาก เฉินผิงอันเห็นนางแล้วก็ให้รู้สึกเห็นใจ นางก็คือฮูหยินที่พักอยู่เหนือห้องของตน ช่วงที่ผ่านมานี้นางลำบากไม่น้อยเลยจริงๆ เฉินผิงอันเดาเอาว่าสตรีแต่งงานแล้วผู้นี้ต้องรักสามีของนางอย่างจริงใจแน่นอน หาไม่แล้วก็ไม่คงไม่ยอมทนรับความทรมานขนาดนี้


ระหว่างที่เดินลงเรือ เฉินผิงอันได้ฟังเรื่องราวไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่นคราวก่อนที่แวะบ่อไท่เย่มีคนจับเซียงฉ่าวเหนียงที่หายากได้คู่หนึ่ง แค่ภูตดอกไม้ตัวเดียวก็มีมูลค่าหลายสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ แต่หากจับได้เป็นคู่ ถ้าคนซื้อไม่ยอมควักเงินเกล็ดหิมะห้าสิบหกสิบเหรียญก็อย่าหวังว่าจะได้เก็บพวกมันเข้ากระเป๋า


ตลอดเวลาสองเดือนที่เดินทางบนเส้นทางมังกรเดิน สุดท้ายพวกคนที่ตกปลาก็ตกมังกรแม่น้ำสองนิ้วได้แค่ไม่กี่ตัว ไม่มีเรื่องมหัศจรรย์เกิดขึ้น


 เรือข้ามฟากลำนี้เดี๋ยวจอดเดี๋ยวเดินทาง ผู้ฝึกลมปราณหลายคนที่มีเงินหนา สุดท้ายพอลงจากเรือก็น่าสงสารพวกข้ารับใช้ของพวกเขาที่ต้องแบกสัมภาระใหญ่น้อย เวลาเดินยังต้องระมัดระวังอย่างถึงที่สุด หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกชนจนข้าวของเสียหาย ของพวกนี้ส่วนใหญ่ล้วนมีราคาแพง ในบรรดานั้นมีของฟุ่มเฟือยหรูหราอยู่ไม่น้อย คาดว่าคงไม่ได้ราคาถูกไปกว่าชีวิตของคนเลย


ตรงท่าเรือมีพื้นที่กว้างขวาง ยังคงเต็มไปด้วยร้านรวงคึกคัก เพียงแต่ว่าของที่พวกพ่อค้าแม่ค้าเรียกขายกลายมาเป็นของพิเศษในท้องถิ่นจากบริเวณใกล้เคียง เฉินผิงอันไม่มีอะไรให้ทำจึงเดินเข้าร้านนู้นออกร้านนี้ แล้วเขาก็ได้เห็นภูตประหลาดมากมาย ส่วนใหญ่ล้วนเป็นภูตพืชหญ้าที่น่ารักมีชีวิตชีวา สูงไม่เกินหนึ่งนิ้ว บ้างก็ถูกขังอยู่ในกรงไม้ไผ่สีเขียว บ้างก็ยืนอยู่บนแท่นฝนหมึก และยังมีแม่นางน้อยนักทอผ้าที่มีปีกกำลังนั่งก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ด้านหลังไนปั่นด้าย หลากหลายรูปแบบน่าสนใจไปซะหมด


เฉินผิงอันได้ยินเสียงต่อรองราคาจากลูกค้าบางคนกับเถ้าแก่ร้านจึงรู้ว่าเจ้าตัวน้อยภูตประหลาดเหล่านี้คล้ายคลึงกับเด็กชายชุดเขียวที่อยู่บนกระถางบอนไซของท่านหงหอชิงฝูซึ่งพูดพร้อมกันว่า ‘ขอให้ท่านร่ำรวย’ กำหนดราคาจากระดับความหายาก ถูกหน่อยก็หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ แพงหน่อยก็สูงถึงสามสิบสี่เหรียญ


สุดท้ายเฉินผิงอันได้ข้อสรุปอย่างหนึ่งว่า ยิ่งขยับไปทางใต้ ภูตประเภทนี้ก็ยิ่งหาง่าย


เฉินผิงอันเดินเข้านอกออกในร้านเล็กใหญ่จนทั่ว แต่กลับไม่ได้ซื้อของ คราวนี้ไม่ใช่เป็นเพราะเฉินผิงขี้เหนียว แต่เพราะเขาคิดว่าหลังจากส่งมอบกระบี่เสร็จแล้ว ระหว่างที่เดินทางกลับจากภูเขาห้อยหัวและกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปยังต้าหลีค่อยซื้อก็ยังไม่สาย


เดินออกจากถ้ำ เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนในที่สุดก็ได้พบเจอกับแสงตะวันอีกครั้ง เขาค้นพบว่าตรงปากถ้ำยังคงมีตัวอักษรที่สลักจากฝีมือของผู้มีชื่อเสียงอยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อเทียบกับแคว้นซูสุ่ยที่อยู่ปลายทางของทิศเหนือแล้วยังแน่นขนัดมากกว่าด้วยซ้ำ ราวกับว่าพยายามแย่งพื้นที่กันเพื่อให้ได้สลักลงไป และต้องการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างไรอย่างนั้น ตัวอักษรบางตัวเหมือนโมโหคนที่เขียนอยู่ข้างๆ ด้วย เฉินผิงอันที่อยู่ตรงปากถ้ำกวาดตามองไปทีละตัว ตัวอักษรแน่นอนว่างดงาม มีท่วงทำนองไม่ซ้ำกัน แต่ลึกๆ ในใจเขากลับรู้สึกว่ายังสู้ตัวอักษรลายมือเด็กหนุ่มชุยฉานไม่ได้


ด้านนอกท่าเรือคือหุบเขาแห่งหนึ่ง ถนนราบเรียบกว้างขวาง ร้านรวงที่อยู่สองข้างทางดูหรูหรามีระดับกว่าร้านที่ตั้งอยู่ตรงท่าเรือ บนถนนมีคนเดินสวนกันขวักไขว่ เสียงดังจอแจแสดงถึงความรุ่งเรือง บ้านเมืองสงบสุขไร้สงคราม ต่อให้เป็นสุนัขที่นอนหมอบอยู่ข้างทางก็ยังแผ่กลิ่นอายของความสบายใจ


สิ่งแรกที่ปรากฎสู่คลองจักษุก่อนก็คือหอสามชั้นขนาดเล็กที่อยู่ทางฝั่งซ้ายมือ ชายคาสูงตวัดงอน แขวนป้ายตัวอักษรสีทองเขียนคำว่า ‘ท่าเรืออี้หนวี่’ ตอนนี้เฉินผิงอันคล่องมากแล้ว รู้ว่านี่คือสถานที่ที่ต้องควักเงินเพื่อโดยสารเรือข้ามฟากเดินทางไปยังนครมังกรเฒ่า พอเข้าไป สอบถามพูดคุยกับคนที่โต๊ะคิดเงินอยู่ครู่หนึ่งก็รู้ว่าเรือข้ามฟากไปยังนครมังกรเฒ่ารอบที่เร็วที่สุดจะมาถึงตอนเที่ยงของวันนี้ ราคาของเรือระดับสูงคือยี่สิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ระดับกลางคือสิบเหรียญ เฉินผิงอันสอบถามราคาของเรือระดับล่าง บุรุษผู้นั้นอธิบายด้วยใบหน้ามีรอยยิ้มแต่ใจไม่ยิ้มว่า เรือข้ามฟากของหยางจือถังที่เดินทางไปนครมังกรเฒ่า ราคาที่ถูกที่สุดคือสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะซึ่งจะได้ห้องระดับกลาง ไม่มีระดับล่าง


ผู้คนรอบด้านที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ต่างก็มีสายตาและรอยยิ้มดูแคลน เฉินผิงอันกลับไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองขายหน้า เขาควักเงินเกล็ดหิมะออกมายี่สิบเหรียญเพื่อซื้อหยกประดับในการขึ้นเรือที่ด้านหน้าด้านหลังสลักคำว่า ‘หยางจือถัง’ ‘ห้องระดับสูงสืออี’ เฉินผิงอันเห็นคำว่าสืออีก็นึกถึงตราประทับที่ทิ้งไว้ในเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว รู้สึกว่าเป็นลางดี เป็นมงคลอย่างมาก เฉินผิงอันจึงหัวเราะเดินออกจากประตู ลองคำนวณเวลาดูแล้วก็เริ่มเดินเล่น คิดจะซื้อเสื้อผ้าสองชุด รองเท้าไม่ต้อง หลายปีมานี้สวมรองเท้าสานจนชินแล้ว อีกอย่างในวัตถุฟางชุ่นก็ยังมีรองเท้าใหม่เอี่ยมอยู่อีกสองคู่


แม้ว่าร้านบนถนนจะดูโอ่อ่ากว่ามาก แต่ของที่ขายไม่ได้แตกต่างจากร้านที่อยู่ตรงท่าเรือทางมังกรเดินสักเท่าไหร่ นั่นก็คือมีพวกภูตต้นไม้ดอกไม้อยู่เหมือนกัน แต่ราคาจะถูกกว่า ให้มองร้อยรอบเฉินผิงอันก็ไม่รู้สึกเบื่อเจ้าตัวน้อยที่ชวนให้ผู้คนชื่นชอบพวกนี้


เพียงแต่ว่าการที่เขาดูอย่างเดียวไม่ยอมซื้อกลับไม่ชวนให้ผู้คนชื่นชอบแล้ว เฉินผิงอันเดินๆ หยุดๆ เข้านอกออกในร้านโน้นร้านนี้ จากนั้นเขาก็เจอร้านหนึ่งที่มีพวกผู้สูงศักดิ์อยู่กันเต็มห้องโถง เฉินผิงอันยืนอยู่นอกประตูด้วยอาการอึ้งงันเล็กน้อย ที่แท้ตรงหน้าประตูใหญ่ก็วางฉากบังลมสูงเท่าตัวคนไว้อันหนึ่ง ด้านบนเป็นภาพของหญิงสาวคนหนึ่งที่ด้านหลังสะพายกระบี่ยาว ตรงเอวห้อยน้ำเต้าสีม่วงทอง นางยืนอยู่บนริมหน้าผาทอดสายตามองทะเลเมฆไกลสุดลูกหูลูกตา ชายกระโปรงโบกสะบัด ล่องลอยสูงส่งหลุดพ้นจากกิเลสทั้งมวล


น่าจะคล้ายคลึงกับม้วนภาพภูเขาและแม่น้ำบนเรือคุนที่ใช้เวทลับบนภูเขาคัดลอกออกมา


มีหลายคนที่กำลังยืนชี้ไม้ชี้มืออยู่ตรงหน้าฉากบังลม คำพูดของพวกเขาเต็มไปด้วยการสมน้ำหน้า พูดถึงบุญคุณความแค้นหลายร้อยปีระหว่างสวนลมฟ้ากับภูเขาตะวันเที่ยง พูดถึงเทพธิดาใหญ่ซูท่านนี้ที่ในอดีตเคยโดดเด่นเลิศล้ำ สูงส่งเหนือผู้ใด ครั้งเดียวในชีวิตที่นางยอมแหกกฎสวมอาภรณ์ซึ่งไม่ใช่ชุดของสำนักก็คือครั้งที่กำจัดปีศาจปราบมารต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับบรรพบุรุษของร้านนี้โดยที่นางไม่รับค่าตอบแทนใดๆ และเมื่อสิบกว่าปีก่อนรูปแบบชุดกระโปรงที่นางยอมแหวกกฎสวมนี้ก็กลายมาเป็นที่นิยมทั่วทั้งเหนือและใต้ของแจกันสมบัติทวีป ไม่ว่าจะผู้ฝึกตนหญิงหรือคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ คนนับร้อยนับพันต่างก็พากันสวมใส่ นั่นเป็นปรากฎการณ์ที่ต้องเรียกว่าคนตามกระแสเหมือนฝูงห่านที่วิ่งตามกันเป็นพรวน


มีหญิงสาวคนหนึ่งหัวเราะพรืด “ร้านนี้ยังไม่ยอมปลดฉากบังลมอันนี้ออก ก็คือเรื่องตลกที่ใหญ่เทียมฟ้า ไม่รู้ว่าหากซูเจี้ยมาเห็นด้วยตัวเองจะอับอายจนต้องขุดหลุมดำดินหนีไปเลยหรือไม่”


มีผู้ฝึกลมปราณหนุ่มคนหนึ่งที่หน้าดำคร่ำเครียดเพราะอดทนอดกลั้นมานาน ในที่สุดก็เปิดปากด้วยความเดือดดาล ช่วยทวงความยุติธรรมให้กับเทพธิดาที่ตนเองเลื่อมใสมาเนิ่นนาน “ต่อให้ตบะของเทพธิดาซูจะถดถอยแค่ไหนก็ยังคงเป็นเทพเซียนแท้จริงที่บริสุทธิ์ไร้มลทินแปดเปื้อน พวกเจ้าหยุดพูดสาเสียดสีนางเสียที หากเทพธิดาซูมายืนอยู่ตรงนี้จริงๆ แม้แต่ผายลม พวกเจ้าก็คงไม่กล้าปล่อย!”


ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งหัวเราะตาหยีพูดว่า “ก่อนหน้าที่ซูเจี้ยจะถูกหวงเหอลูกศิษย์คนสุดท้ายของหลี่ถวนจิ่งแห่งสวนลมฟ้าโจมตีจนสภาพจิตใจแหลกสลายอย่างสิ้นเชิง จะให้ข้าเลียพื้นรองเท้าเทพธิดาคนนี้ก็ยังได้ แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ ต่อให้เทพธิดาซูเจี้ยมายืนอยู่ตรงนี้จริงๆ ข้าก็ยังกล้ายื่นมือไปหยิกแก้มนาง ลูบเอวบางๆ ของนาง! จุ๊ๆ ไม่รู้ว่าจะให้สัมผัสเช่นไร…”


นักพรตหนุ่มหน้าแดงก่ำ โมโหจนสั่นไปทั้งตัว “ทำไมถึงมีคนชั่วร้ายเลวระยำแบบเจ้าได้!”


บุรุษหัวเราะฮ่าๆ “ทำไมถึงมีได้? คำตอบง่ายมาก ลองไปถามพ่อกับแม่เจ้าดูสิ”


นักพรตหนุ่มกำมือสองข้างเป็นหมัดแน่น ดวงตาพ่นไฟจ้องเจ้าคนสารเลวผู้นั้นเขม็ง


บุรุษจุ๊ปากพูด “ทำไม? จะฆ่าข้าให้ตายงั้นรึ? มาสิ ฆ่าคนตายที่นี่ ฆาตกรไม่เพียงแต่ต้องติดคุก ยังถูกเอาเรื่องไปถึงสำนักด้วย มาๆๆ หากวันนี้เจ้าฆ่าข้าไม่ตาย ก็จะไม่ถือว่าเจ้าชื่นชอบซูเจี้ยจริงๆ! หากเจ้าไม่ฆ่าข้าให้ตาย อีกเดี๋ยวข้าจะไปลูบภาพของเทพธิดาซูเจี้ยที่ฉากบังลมตั้งแต่หัวจรดเท้าเลย”


 ชายวัยกลางคนเถียงคอเป็นเอ็น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มหยาบโลน


นักพรตหนุ่มหมุนตัวจากไปอย่างห่อเหี่ยว


—–


บทที่ 251.2 จากเหนือสุดสู่ใต้สุด

โดย

ProjectZyphon

บุรุษหัวเราะเสียงดังอย่างกำเริบเสิบสาน ก่อนเอ่ยเย้ยหยันว่า “เด็กชั่วที่ขนยังขึ้นไม่ครบ ยังกล้ามาประลองฝีมือกับนายท่านใหญ่อย่างข้า! อย่าเพิ่งไปสิ ข้าจะไปลูบจริงๆ แล้วนะ ใบหน้านี่ช่างนุ่มนวล เป็นผู้หญิงที่สวยจริงๆ ยังจะกล้าเรียกตัวเองว่าเทพธิดาใหญ่ซู ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่จิตใจแห่งกระบี่แหลกสลาย ไม่แน่ว่าคราวหน้าที่พวกเจ้าได้เจอนาง นางอาจจะไปอยู่ที่หอนางโลมแล้วก็ได้…”


นักพรตหนุ่มก้าวเร็วๆ จากไป ไม่อยากฟังคำพูดสกปรกที่ทำให้คนโมโหอีกแล้ว


เฉินผิงอันเดินตรงดิ่งเข้าไปในร้าน ไม่ได้สนใจสองฝ่ายที่ตีฝีปากกัน เขาจ่ายสามสิบตำลึงเงินเต็มๆ เพื่อซื้อเสื้อผ้าที่ธรรมดาที่สุดสองชุด อันที่จริงร้านนี้มีประวัติความเป็นมาไม่ธรรมดา กิจการของพวกเขาทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีปมีมากมาย แม้ว่านี่จะเป็นแค่หนึ่งในร้านสาขาจากจำนวนหลายร้อยร้าน ทว่าชุดคลุมอาคมสมบัติพิทักษ์ร้านชิ้นนั้น ต่อให้เฉินผิงอันเป็นแค่คนนอกที่ไม่เชี่ยวชาญ มองปราดๆ ก็ยังรู้ว่ามันไม่เป็นรองเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างของฉู่หาวเลย


เฉินผิงอันเดินออกจากร้านมาแล้ว คนผู้นั้นก็ยังไม่ไปไหน คนที่มามุงดูอยู่รอบกายเขาเปลี่ยนมาเป็นคนกลุ่มใหม่แล้ว มีทั้งชายและหญิง พวกเขายืนกันอยู่หน้าฉากบังลม ผู้ชายส่วนใหญ่มีสีหน้าเสียดาย แต่ผู้หญิงกลับหัวเราะหยันสีหน้าไม่พอใจ บรรยากาศลี้ลับยากจะหยั่ง ชายวัยกลางคนที่ว่างงานคนนั้นเริ่มพูดจาหยาบคายหมิ่นเกียรติ ทำให้ผู้หญิงหลายคนรู้สึกสะใจอย่างมาก ต่อให้จะรู้ดีว่าชายผู้นี้ไม่ใช่คนดีอะไร แต่พอได้ยินเขาบอกว่าตัวเองคือเถ้าแก่ร้านขายของจิปาถะที่อยู่ข้างๆ พวกนางก็ยังชักชวนบุรุษที่มาด้วยกันให้เข้าไปดูร้านของเขา ฝ่ายชายมีหรือจะเต็มใจ ใจอยากจะตะบันหน้าชายวัยกลางคนผู้นี้ให้หน้าเละใจจะขาด


พฤติกรรมของบุรุษต่ำช้านั้นไม่ผิด แต่สายตาการทำธุรกิจนั้นไม่เลว เขาพยายามพูดจาเหยียดหยามเทพธิดาซูของภูเขาตะวันเที่ยงสุดฤทธิ์ ยิ่งพูดก็ยิ่งระคายหู พวกผู้หญิงก็ฉลาดกันอย่างมาก คำพูดที่เอ่ยจากปากไม่คล้อยตามบุรุษคนนั้นสักคำ กลับกันยังช่วยพูด ‘คัดค้าน’ อยู่หลายคำ บุรุษที่ทำเพื่อเรียกลูกค้าก็ยิ่งรู้ใจ ยิ่งพูดน้ำลายแตกฟอง ทำให้พวกนางอารมณ์ดี อย่างยิ่ง หางตาคอยชำเลืองมองพวกบุรุษที่เดินทางมาด้วยกัน ราวกับกำลังบอกกล่าวกับพวกเขาด้วยความสาแก่ใจว่า ซูเจี้ยที่พวกเจ้าหลงรักตั้งแต่แรกเห็นตกอยู่ในสภาพนี้แล้ว ตอนนี้พวกเจ้าจะยังชื่นชมนางอีกไหม?


บุรุษโบกไม้โบกมือ พอพูดจนอารมณ์ไต่ทะยานถึงขีดสุดก็ถึงกับเดินไปที่ฉากบังลม ยื่นมือข้างหนึ่งออกไปวางห่างจากฉากกั้นเล็กน้อย แล้วแสร้งทำเป็นยกมือขึ้นตบหน้าซูเจี้ยในภาพวาดที่มีชีวิตชีวาเหมือนจริง ปากก็ด่าทอนางไปด้วย


เฉินผิงอันคิดถึงภาพเหตุการณ์ที่หลิวป้าเฉียวผู้ฝึกกระบี่แห่งสวนลมฟ้าพูดถึงซูเจี้ยตอนอยู่ในเมืองเล็ก


ตอนนั้นคนต่างถิ่นต่างก็เข้ามาในเมืองเล็กเพื่อหาโชควาสนา มีเพียงหลิวป้าเฉียวที่ติดตามหญิงสาวสกุลเฉินแห่งอิ่งอินกับคุณชายสกุลเฉินเมืองหลงเหว่ยเท่านั้นที่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกว่าเทพเซียนบนภูเขาที่อยู่ด้านนอกก็มีคนที่ไม่เลวอยู่เหมือนกัน


และจุดที่ทำให้เฉินผิงอันประทับใจในตัวหลิวป้าเฉียวมากที่สุด ไม่ใช่เพราะว่าเขาคือผู้ฝึกกระบี่ผู้มีพรสวรรค์ของสวนลมฟ้า แต่เป็นเพราะตอนที่เขาพูดว่าสักวันหนึ่งซูเจี้ยจะรู้สึกว่าข้าหลิวป้าเฉียวเป็นคนที่นางยินยอมพร้อมใจแต่งงานด้วยได้ คำพูดของเขาไม่ใช่วลีห้าวหาญยิ่งใหญ่ของชายชาตรีอะไร ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ เมื่อมีคนถามเขาว่าหากวันหนึ่ง เทพธิดาซูที่เจ้าคิดถึงคะนึงหาชอบเจ้าโดยไม่สนใจความเห็นของคนในครอบครัวจริงๆ เจ้าจะทำอย่างไร? หลิวป้าเฉียวในเวลานั้นกลับเงอะงะตอบไม่ถูก ได้แต่พึมพำเบาๆ ว่า ‘นางจะชอบข้าได้อย่างไร?’


เฉินผิงอันนึกถึงหลิวป้าเฉียวก็อดคิดถึงตัวเองไม่ได้


ดังนั้นเขาจึงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เดินไปทางฉากบังลม มองชายที่มีร้านค้าอยู่ติดกับร้านนี้


บุรุษกำลังจะพาพวกผู้หญิงไปซื้อของที่ร้านตัวเอง จู่ๆ พบว่ามีเจ้าเด็กหน้าตาไม่โดดเด่นคนหนึ่งโผล่มาก็ถามอย่างหงุดหงิดว่า “มองอะไรของเจ้า?”


เฉินผิงอันตอบ “มองเจ้า”


บุรุษถลึงตาใส่ “เจ้าแน่จริงก็ลองมองอีกครั้งดูสิ?”


เฉินผิงอันพยักหน้าแล้วจ้องหน้าบุรุษต่อ พลางเอ่ยช้าๆ ว่า “ตกลง”


ต่อให้เป็นพวกหญิงสาวบนภูเขาที่ไม่ชอบซูเจี้ยก็ยังหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ รู้สึกว่าเด็กหนุ่มสะพายกระบี่คนนี้ตลกมาก


สำนักของพวกนางและสหายข้างกายอยู่ไม่ห่างจากภูเขาตะวันเที่ยง ดังนั้นจึงได้พบหน้ากันบ่อย คนทั่วทั้งบนและล่างสำนัก ตั้งแต่บุรพาจารย์ไปจนถึงลูกศิษย์ฝ่ายนอกล้วนมีความเคารพเลื่อมใสต่อภูเขาตะวันเที่ยงเหมือนคนที่แหงนหน้ามองภูเขาสูง ในอดีตบุรุษในสำนักไม่ว่าเด็กหรือแก่ก็ล้วนไม่ยอมให้คนนอกพูดจาไม่ดีต่อเทพธิดาซูเจี้ยแห่งภูเขาตะวันเที่ยงแม้เพียงครึ่งคำ เพียงแต่ว่าตอนนี้ซูเจี้ยตกต่ำ คนนอกไม่มีใครได้เห็นหน้านางอีก คนที่ชื่นชอบนางถึงพอจะสำรวมกิริยากันได้บ้าง


บุรุษที่ทำการค้าอยู่ในหุบเขาอับอายจนพานเป็นความโกรธ “เจ้าอยากตายรึ?”


เฉินผิงอันส่ายหน้า


บุรุษพูดด้วยสีหน้าดุดัน “แล้วเจ้ามายืนบื้อเป็นท่อนไม้อยู่ตรงนี้ทำไม?! รู้หรือไม่ว่าข้าผู้อาวุโสทำการค้าอยู่ที่นี่มาทุกรุ่นทุกสมัย เทพเซียนผู้เฒ่าที่ข้ารู้จักมีมากกว่าคนที่เจ้าเคยพบเจอซะอีก?!”


เด็กหนุ่มที่สมองมีปัญหาในสายตาของบุรุษโพล่งประโยคหนึ่งออกมาว่า “หลิวป้าเฉียวแห่งสวนลมฟ้าชอบซูเจี้ย”


บุรุษอึ้งงัน ความโมโหลดระดับลงทันควัน เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง


เฉินผิงอันกล่าวอีกว่า “ข้ารู้จักหลิวป้าเฉียว”


บุรุษชำเลืองมองกล่องกระบี่ด้านหลังของเด็กหนุ่มแวบหนึ่งแล้วกลืนน้ำลาย


เฉินผิงอันกล่าวว่า “หากมีวันหนึ่งข้าได้เจอกับหลิวป้าเฉียว จะเล่าให้เขาฟังถึงเรื่องในวันนี้”


บุรุษแสร้งพูดอย่างคนแข็งนอกอ่อนใน “เจ้าขู่ใครน่ะ? เจ้าก็รู้จักหลิวป้าเฉียวแห่งสวนลมฟ้าด้วยรึ? ข้ายังรู้จักเจ้าสำนักสำนักโองการเทพ รู้จักบุรพาจารย์ภูเขาเจินอู่ด้วย แต่พวกเขารู้จักข้าไหมล่ะ?”


เฉินผิงอันกล่าวอีกว่า “พวกเขารู้จักหรือไม่รู้จักเจ้า ข้าไม่รู้ แต่หลิวป้าเฉียวรู้จักข้า ข้อนี้ข้ามั่นใจมาก”


บุรุษโบกมือไล่ “ไป๊ๆๆ อย่ามาโม้น้ำลายเหม็น ขัดขวางการทำการค้าของข้าผู้อาวุโสอยู่ตรงนี้ ไม่นึกว่าขี้หมาข้างทางจะมีเท้าเดินเองได้แล้ว ดวงซวยจริงๆ”


เฉินผิงอันถาม “ที่ท่าเรือน่าจะมีกระบี่บินส่งข่าวกระมัง?”


แล้วเฉินผิงอันก็พูดเหมือนคุยกับตัวเอง “ช่างเถอะ ข้าไปหาเอาเองก็ได้”


บุรุษที่เริ่มร้อนตัวแสร้งทำเป็นไม่สนใจเด็กหนุ่มท่าทางประหลาดที่พูดด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ พาชายหญิงจากบนภูเขาที่มีสีหน้าคลุมเครือไปซื้อของที่ร้านตัวเอง


จากนั้นเฉินผิงอันก็ไปหาจุดพักม้าบนภูเขาที่มีกระบี่บินส่งข่าวจริงๆ ซึ่งร้านนั้นตั้งอยู่สุดปลายทางของถนน จ่ายเงินเกล็ดหิมะสิบเหรียญเขียนจดหมายฉบับหนึ่งส่งไปให้หลิวป้าเฉียว เนื้อหาคือเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้อีกฝ่ายฟังคร่าวๆ ส่วนข้อที่ว่าหลังจากหลิวป้าเฉียวได้รับจดหมายแล้วจะไม่แยแส โยนทิ้งไว้ด้านข้าง หรือจะเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ ขี่กระบี่มาสังหารคนถึงที่นี่ เฉินผิงอันก็ไม่สนใจแล้ว


เรื่องบางเรื่อง หากไม่ได้ทำ เฉินผิงอันจะไม่สบายใจ


แต่เรื่องบางเรื่อง ต่อให้ไม่สบายใจแค่ไหนก็ได้แต่อดทนเอาไว้ ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่เรือคุนตกจากฟ้าอย่างไร้สาเหตุ


หลังจากเขียนชื่อคนรับและที่อยู่บนจดหมายเสร็จเรียบร้อย คนทั้งจุดพักม้าต่างก็มีสีหน้าแปลกประหลาด เวลาพูดกับเฉินผิงอันก็คล้ายจะอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน ถึงขั้นมีคนพาเฉินผิงอันออกมาส่งจากจุดพักม้าด้วยตัวเอง แถมยังถามด้วยว่าต้องการให้พาไปที่ท่าเรือหรือไม่ เฉินผิงอันตอบด้วยรอยยิ้มว่าไม่ต้อง แล้วจึงจากไปเพียงลำพัง


ออกมาจากจุดพักม้าแล้ว เฉินผิงอันก็อารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย เพราะเขาค้นพบว่าหลิวป้าเฉียวที่ตอนอยู่ถ้ำสวรรค์หลีจูไม่เคยอวดอ้างตน แถมยังพูดล้อเล่นเรียกตัวเองเป็นพี่เป็นน้องกับเฉินผิงอัน แท้จริงแล้วตอนอยู่ข้างนอกเขาร้ายกาจมาก แม้แต่จุดพักม้าส่งกระบี่บินแห่งนี้ก็ยังรู้จักหลิวป้าเฉียว


ท่าเรือของเรือข้ามฟากหยางจือถังอยู่กึ่งกลางอากาศบนหน้าผาสูงตระหง่านของภูเขาลูกหนึ่ง มีคนเจาะหน้าผาให้เป็นทางเดินเลียบริมผาที่คดเคี้ยวเส้นหนึ่ง เฉินผิงอันเดินอยู่บนทางก็ได้เห็นเรือข้ามฟากมากมายที่มาจอดอยู่กลางอากาศนอกหน้าผา ด้านล่างเรือข้ามฟากคือก้อนเมฆสีขาวล่องลอย ลักษณะของเรือคล้ายคลึงกับที่แคว้นซูสุ่ย แต่สามารถบินทะยานไปท่ามกลางสายลมได้ นี่ก็เป็นเรื่องที่ประหลาดเหมือนกัน เฉินผิงอันรอเรืออยู่บนทางเลียบหน้าผาข้างท่าเรือหยางจือถัง ตรงนี้มีการเจาะถ้ำขนาดใหญ่ไว้แห่งหนึ่ง มีเพียงพ่อค้าแผงลอยบางตาที่มานั่งค้าขาย เฉินผิงอันนั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาวที่ทำมาจากรากต้นไม้โบราณเงียบๆ หยิบแผ่นแป้งแห้งมากัดกิน ดื่มเหล้าที่เพิ่งซื้อมาใหม่ตามไปช้าๆ


เที่ยงตรง เรือข้ามฟากหยางจือถังที่ลอยมาท่ามกลางทะเลเมฆอย่างมั่นคงก็เข้าจอดเทียบท่าตรงเวลา


เฉินผิงอันติดตามคนอื่นๆ เดินขึ้นเรือ การนั่งเรือลงใต้ไปยังนครมังกรเฒ่าในครั้งนี้ใช้เวลาแค่ประมาณยี่สิบห้าวัน เพราะเรือข้ามฟากหยางจือถังล่องลอยไปในทะเลเมฆ ความเร็วจึงเหนือกว่าเรือข้ามฟากที่ล่องไปตามแม่น้ำเส้นทางมังกรเดินเยอะมาก อีกอย่างระหว่างทางก็ไม่จำเป็นต้องหยุดพัก เรือข้ามฟากมีแค่สองชั้น เฉินผิงอันอยู่ในห้องชั้นหนึ่ง ห้องค่อนข้างกว้างขวาง แต่ไม่มีระเบียงชมวิว เรือข้ามฟากไต่ทะยานขึ้นสูงลอดผ่านทะเลเมฆไปหนึ่งชั้น เมื่อเปิดหน้าต่างออก การมองเห็นจะเปิดกว้าง เหนือศีรษะคือดวงอาทิตย์ดวงใหญ่ที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ ส่องแสงเจิดจ้าไปหมื่นจั้ง ก้อนเมฆเคลื่อนคล้อยกลิ้งหลุนๆ ประหนึ่งเทือกเขาสีทองเทือกแล้วเทือกเล่าที่ทอดตัวยาวเหยียด


เฉินผิงอันเขียนยันต์สงบใจและยันต์กำจัดสิ่งสกปรกอย่างละแผ่นอีกครั้ง


ปิดประตูฝึกหมัดต่อ


ระหว่างทางมีค่ำคืนที่ฝนตกฟ้าร้องฟ้าผ่า บางวันดวงอาทิตย์ที่โผล่ขึ้นทางทิศตะวันออกก็ส่องประกายแสงหลากสีงดงาม แล้วก็มีวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้ก้อนเมฆ


การเดินนิ่งหกก้าวของเฉินผิงอันในครั้งนี้เปลี่ยนจากเร็วมาเป็นช้า บางครั้งก็จะเปิดหน้าต่างออก ฝึกท่าเจี้ยนหลูยืนนิ่งพลางชมทัศนียภาพนอกหน้าต่างไปด้วย


วันหนึ่งเมื่อเดินทางไปได้เกินครึ่งทาง มีเซียนกระบี่คนหนึ่งทะยานลมผ่านมา ตอนนั้นเรือข้ามฟากกำลังลอดผ่านทะเลเมฆหนาชั้นพอดี เซียนกระบี่ที่อายุยังน้อยคนนั้นแทบจะตามมาติดๆ ด้านหลังเรือ ความเร็วของเขาทำให้ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางบางส่วนปากอ้าตาค้าง คนผู้นั้นแหวกทะเลเมฆ ดิ่งตรงไล่ตามเรือข้ามฟากมา พลังอำนาจน่าครั่นคร้าม ทะเลเมฆด้านหลังหนึ่งคนหนึ่งกระบี่ถูกแหวกออกเป็นเส้นทางที่กว้างขวาง เนิ่นนานกว่าจะปิดประสานกัน


เขาพุ่งมาหยุดอยู่ด้านหน้าเรือข้ามฟากที่กำลังบินทะยานกะทันหัน กระโดดลงจากกระบี่เบาๆ ก็พลิ้วตัวลงมาที่หัวเรือพอดี แล้วเก็บกระบี่กลับเข้าฝักอย่างสง่างาม ชนชั้นสูงคนหนึ่งของหยางจือถังรีบเดินไปรับหน้าทันที ส่วนข้อที่ว่าการกระทำของเขาเป็นการล่วงเกินหยางจือถัง หรือทำผิดกฎข้อที่ว่าห้ามใครขึ้นเรือข้ามฟากกลางทางหรือไม่ ผู้อาวุโสของหยางจือถังคนนั้นกลับไม่พูดถึงแม้แต่คำเดียว หลังจบเรื่องก็พิสูจน์ให้เห็นว่าผู้เฒ่าคนนี้เฉลียวฉลาดยิ่ง เพราะถึงแม้ว่าเซียนกระบี่หนุ่มคนนั้นจะทำผิดกฎของเรือข้ามฟาก แต่กลับไม่ใช่พวกจองหองอวดดี เพราะพอเขาเอ่ยแนะนำตัวเองด้วยรอยยิ้มเสร็จ ยังเป็นฝ่ายจ่ายเงินยี่สิบเหรียญเกล็ดหิมะให้เองโดยที่ไม่ต้องให้ใครบอก


หลิวป้าเฉียวแห่งสวนลมฟ้า


ทุกคนล้วนเคยได้ยินชื่อประหนึ่งอสนีที่ผ่าข้างหู


หลี่ถวนจิ่งอดีตเจ้าสวนมีสมญานามว่าบุคคลอันดับหนึ่งในขอบเขตสิบของแจกันสมบัติทวีป นั่นคือคนที่ใช้กำลังของคนคนเดียวข่มทับคนตลอดทั้งภูเขาตะวันเที่ยงมานานหลายร้อยปีเชียวนะ


—–


บทที่ 251.3 จากเหนือสุดสู่ใต้สุด

โดย

ProjectZyphon

ต่อให้จะมีข่าวลือบอกว่าตอนนี้หลี่ถวนจิ่งตายในสนามรบ ทว่าช่วงสุดท้ายของศึกใหญ่ในครั้งนั้น หลี่ถวนจิ่งเพียงแค่ฟันกระบี่อย่างง่ายๆ ก็สามารถทำลายตราผนึกของค่ายกลใหญ่ภูเขาเจินอู่ได้แล้ว นั่นคือวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่ทุกคนต่างก็เห็นกับตา ต่างก็ได้เป็นประจักษ์พยาน แล้วนับประสาอะไรกับที่หวงเหอลูกศิษย์คนสุดท้ายของหลี่ถวนจิ่งโดดเด่นเกินใคร เผยพรสวรรค์ด้านวิถีกระบี่เหมือนกับตอนที่หลี่ถวนจิ่งเป็นหนุ่ม เล่นงานเสียจนซูเจี้ยแห่งภูเขาตะวันเที่ยงไม่เหลือเรี่ยวแรงให้เอาคืน โดยเฉพาะท่วงท่าของผู้ไร้เทียมทานอย่างตอนที่หวงเหอยืนอยู่ข้างกายของซูเจี้ยที่ล้มแล้วลุกไม่ขึ้น ใช้ปลายเท้าเหยียบลงบนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ม่วงทอง ภาพนั้นประทับลงในความทรงจำของผู้คนอย่างลึกล้ำ


และหลังจากที่หวงเหอรับตำแหน่งเจ้าสวนลมฟ้าแล้ว หลิวป้าเฉียวก็ฝ่าทะลุขอบเขตใหม่ได้อย่างผ่อนคลาย แถมยังรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วจนแทบจะฝ่าขอบเขตติดต่อกันสองขั้น


หลิวป้าเฉียวไม่ได้ให้ผู้เฒ่าติดตามมา เขาเดินหาห้องหมายเลขที่สิบเอ็ด (สืออี) ของชั้นที่หนึ่งด้วยตัวเอง เจอแล้วก็เคาะประตูเบาๆ


ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันกำลังตั้งใจฝึกวิชาหมัด แม้ว่าจะสัมผัสได้ถึงการกระเพื่อมของทะเลเมฆที่ถูกชักดึง แต่ก็ไม่ได้หยุดฝึกฝน เซียนบนสวรรค์ขี่กระบี่ผ่านเรือข้ามฟากที่อยู่ท่ามกลางทะเลเมฆไปอย่างสง่างามเป็นเรื่องที่ปกติมาก ดังนั้นต่อให้เขาจะได้ยินเสียงฝีเท้าที่ระเบียงทางเดินด้านนอกก็ยังไม่นำไปคิดเชื่อมโยงกับคนที่ขี่กระบี่


รอจนเฉินผิงอันเปิดประตูแล้วได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยนั้น เขาจึงแปลกใจอย่างมาก


หลิวป้าเฉียวเข้ามาในห้อง พอเฉินผิงอันปิดประตู เขาก็เดินไปนั่งลงบนเตียง สังเกตเห็นยันต์สองแผ่นก็เอ่ยเย้าหยอกว่า “เฉินผิงอัน ตอนนี้เจ้าเป็นคนมีเงินแล้วนะ”


แล้วก็เพราะว่าเป็นหลิวป้าเฉียว เฉินผิงอันถึงไม่ได้เก็บยันต์ทั้งสองแผ่นก่อนจะให้คนเข้ามาในห้อง


เฉินผิงอันยิ้มรับกับคำหยอกล้อของหลิวป้าเฉียว ยืนพิงหน้าต่าง ยกพื้นที่บนเตียงให้กับผู้ฝึกกระบี่สวนลมฟ้าผู้นี้


หลิวป้าเฉียวใช้สองมือยันบนเตียง “เจ้าไม่รู้หรอกว่าตลอดทางที่ข้าไล่ตามมานี้ลำบากแค่ไหน หลังจากที่ข้าได้รับจดหมายที่เจ้าส่งมาจากท่าเรืออี้หนวี่ก็รีบไปที่ท่าเรือทันที…”


เฉินผิงอันถาม “คงไม่ได้ฆ่าคนกระมัง?”


หลิวป้าเฉียวมองค้อน “ฆ่าคนอะไรกัน พอไอ้หมอนั่นได้ยินว่าข้าคือหลิวป้าเฉียวก็รีบลงไปนั่งคุกเข่าโขกหัวคำนับ ขนาดข้าคิดมาตลอดทางว่าจะตบบ้องหูเขาสักหลายๆ ทีก็ยังไม่มีโอกาสได้ลงมือ ได้แต่ไปที่ร้านด้านข้างซื้อฉากบังลมอันนั้นมาเก็บไว้ในวัตถุฟางชุ่น จากนั้นก็ถามโน่นถามนี่ สืบสาวเบาะแสมาเรื่อย กว่าจะแน่ใจว่าเจ้าอยู่บนเรือหยางจือถังเที่ยวนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ก็เลยตามมานี่ไงล่ะ”


เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “มาหาข้ามีธุระอะไรหรือ?”


หลิวป้าเฉียวถามกลับ “ต้องมีธุระถึงจะมาหาเจ้าได้หรือไง?”


เฉินผิงอันพยักหน้า “แล้วไม่ใช่หรือ? ถ้าไม่มีธุระเจ้าก็จะไล่ตามมาตั้งไกลขนาดนี้?”


หลิวป้าเฉียวกล่าวเสียงขุ่น “เจ้านี่มันน่าเบื่อจริงๆ ไม่ได้เปลี่ยนไปจากตอนอยู่ถ้ำสวรรค์หลีจูเลย”


เฉินผิงอันคิดดูแล้วก็ไม่ได้ถามเรื่องเกี่ยวกับซูเจี้ยภูเขาตะวันเที่ยง คาดว่าศึกใหญ่นองเลือดสามครั้งบนภูเขาเจินอู่วันนั้น หลิวป้าเฉียวที่มองดูอยู่ข้างๆ คงรู้สึกไม่ดีสักเท่าไหร่ เฉินผิงอันจึงไม่คิดจะสาดเกลือลงบนบาดแผล เดิมทีคิดจะถามว่าหลิวป้าเฉียวได้ไปเอากระบี่อาญาสิทธิ์ที่เมืองหลวงต้าหลีหรือไม่ แต่คิดดูแล้วก็รู้สึกว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับความลับยิ่งใหญ่ ไม่เหมาะที่จะถาม สุดท้ายเฉินผิงอันจึงได้แต่ถามคำถามที่น่าเบื่อมากที่สุดว่า “เจ้าไม่มีธุระจริงๆ รึ?”


หลิวป้าเฉียวกล่าวอย่างระอาใจ “ไม่มีอะไรจริงๆ ก็เพราะตอนนั้นข้ากลับจากต้าหลีมือเปล่า ผลคือพอกลับไปที่ถ้ำสวรรค์หลีจูซึ่งร่วงสู่พื้นแล้วไม่ได้เจอเจ้า ได้ยินว่าเจ้าเดินทางไกลไปยังสำนักศึกษาต้าสุย ภายหลังสวนลมฟ้าของพวกเราก็…สรุปคือหลังจากนั้นข้าก็ไม่ได้หยุดว่างเลยสักเค่อเดียว เจ้าอย่าได้คิดว่าข้าอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำทุกวันนะ อันที่จริงช่วงก่อนหน้านี้ข้าเพิ่งจะเลื่อนขอบเขตออกจากด่านมาได้ไม่นาน หลังขอบเขตมั่นคงดีแล้วก็รู้สึกเบื่อมาก พอดีได้รับจดหมายกระบี่บินจากเจ้า เลยคิดว่าอย่างไรก็ควรมาพบหน้ากัน กระชับความสัมพันธ์พี่น้องให้แน่นแฟ้นมากขึ้น…”


เฉินผิงอันทนรับความกระตือรือร้นนี้ของหลิวป้าเฉียวไม่ได้มากที่สุด ก็เลยไม่ได้รับคำ


สายตาของหลิวป้าเฉียวแฝงแววตำหนิ ทำนิ้วเป็นท่าดัชนีกล้วยไม้ ชี้ไปที่เฉินผิงอัน ดัดเสียงเป็นผู้หญิง “ไยคุณชายถึงได้ใจดำเช่นนี้ ตอนนั้นที่อยู่ใต้แสงจันทร์หน้าบุปผา ภูเขาเขียวน้ำใสของบ้านเกิด คุณชายเคยบอกว่าพวกเราจะจับมือพากันเดินทางไกล…”


เฉินผิงอันเขย่งปลายเท้าขยับก้นไปนั่งบนกรอบหน้าต่าง ยกมือสองข้างกอดอก สีหน้าไร้อารมณ์


ราวกับกำลังบอกว่าเชิญเจ้าทำให้ตัวเองและข้าเฉินผิงอันสะอิดสะเอียนได้ตามสบาย ข้าอยากจะรู้นักว่าใครจะทนได้นานกว่ากัน


หลิวป้าเฉียวเป็นฝ่ายยกธงขาวยอมแพ้ก่อน เขาถอนหายใจเฮือก “ข้ารู้อยู่แล้วว่ามาพบหน้ากันครั้งนี้ เจ้าก็ยังซื่อบื้อเหมือนเคย เฉินผิงอัน เจ้ารู้หรือไม่ว่า ตอนนี้ผู้ฝึกกระบี่นับพันนับหมื่นของแจกันสมบัติทวีป ใครบ้างที่ไม่ตกตะลึงไปกับพรสวรรค์ของข้าหลิวป้าเฉียว ไม่มองข้าเป็นตัวเลือกของคนที่จะได้เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนอย่างแน่นอน?”


เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ “ข้าเองก็เพิ่งรู้เหมือนกัน ตอนอยู่ที่จุดพักม้า พอได้ยินว่าข้าจะเขียนจดหมายให้เจ้า พวกคนที่อยู่ที่นั่นก็เปลี่ยนท่าทีมามีมารยาททันควัน แถมยังมีคนเดินมาส่งข้าที่หน้าประตูใหญ่ ถามข้าว่าจะให้ช่วยนำทางหรือไม่ กระตือรือร้นมากเลยล่ะ ทำราวกับว่าข้าคือบุคคลยิ่งใหญ่ที่ร้ายกาจมาก เพิ่งเคยเจออะไรแบบนี้เป็นครั้งแรกจริงๆ ฮ่าๆ”


มองเฉินผิงอันที่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี หลิวป้าเฉียวก็อึ้งตะลึงไปเล็กน้อย นี่มีอะไรให้ต้องอารมณ์ดีกัน? เพราะว่าชื่อเสียงยิ่งใหญ่ของข้าหลิวป้าเฉียวเลยทำให้เจ้าเฉินผิงอันได้พึ่งใบบุญที่เล็กจ้อยเท่าเมล็ดงาน่ะหรือ?


เมื่อเฉินผิงอันยกนิ้วโป้งให้หลิวป้าเฉียว ผู้ฝึกกระบี่สวนลมฟ้าที่พรสวรรค์ดีเยี่ยมจนแม้แต่หลี่ถวนจิ่งยังต้องหันมามองเสียใหม่ก็เข้าใจเหตุผลในที่สุด


เมื่อเพื่อนร้ายกาจ เขาเฉินผิงอันจึงดีใจ


อันที่จริงเหตุผลนั้นเรียบง่ายอย่างมาก เพียงแต่ว่าโลกนี้ซับซ้อนเกินไป คนฉลาดมีเยอะเกินไป โดยเฉพาะเมื่อได้คบค้าสมาคมกับคนบนภูเขามามากจึงมักจะไม่เข้าใจเหตุผลที่เรียบง่ายมากที่สุด


ดังนั้นหลิวป้าเฉียวที่แม้ว่าเกือบจะฝ่าทะลุขอบเขตติดต่อกันสองขั้นก็ยังไม่ดีใจจึงอารมณ์ดีไปพร้อมกับเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนหน้าต่างตรงหน้าด้วย


หลิวป้าเฉียวอดย้อนมาถามใจตัวเองไม่ได้


หากเพื่อนของเจ้ามีชีวิตที่ดีกว่าเจ้า ดีกว่ามาก ดีจนทำให้เจ้าได้แต่มองฝุ่นที่เขาทิ้งไว้ข้างหลัง ชั่วชีวิตก็ไล่ตามเขาไม่ทัน ถ้าอย่างนั้นในใจเจ้าจะรู้สึกอึดอัดนิดๆ หรือไม่?


คำตอบทำให้หลิวป้าเฉียวพึงพอใจมาก ดังนั้นเขารู้สึกว่าตัวเองต้องเป็นสหาย เป็นพี่น้องกับเฉินผิงอันให้ได้


หลิวป้าเฉียวไม่ได้รั้งอยู่ต่อ อันที่จริงหลังจากที่เขาฝ่าทะลุขอบเขต เขาก็ถูกหวงเหอเจ้าสวนลมฟ้าคนใหม่บังคับยัดเยียดภารกิจอย่างหนึ่งของสำนักมาให้ จึงมีเรื่องอีกมากที่รอให้เขาไปจัดการ แม้คำว่าจัดการนี้ก็คือการสั่งให้พวกผู้อาวุโสที่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ไปทำก็ตาม หลิวป้าเฉียวลุกขึ้น ถามยิ้มๆ ว่า “ออกมาอยู่ข้างนอก ขาดเงินหรือไม่? ที่ตัวข้าพกเงินร้อนน้อยมาหลายสิบเหรียญ เจ้าจะยืมไปก่อนไหม?”


พกเงินร้อนน้อยมาหลายสิบเหรียญ…พูดอย่างกับพกเงินมาหลายตำลึงอย่างนั้นแหละ พ่อเศรษฐี!


เฉินผิงอันกระโดดลงมาจากกรอบหน้าต่าง ส่ายหน้าให้ “ไม่ล่ะ”


หลิวป้าเฉียวกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถ้าอย่างนั้นข้ากลับก่อน จำไว้ว่า คราวหน้าที่กลับถ้ำสวรรค์หลีจู เจ้าต้องไปหาข้าที่สวนลมฟ้า ไม่อย่างนั้นข้า…”


แล้วหลิวป้าเฉียวก็จีบมือเป็นท่าดัชนีกล้วยไม้อีกครั้ง “จะต้องถูกบุรุษทรยศอย่างเจ้าทำร้ายจิตใจจนขาดใจตายแน่”


เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ถ้าเจ้ายังพูดแบบนี้อีก ให้ตายข้าก็ไม่ยอมไปสวนลมฟ้า”


หลิวป้าเฉียวหัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ แม้ว่ายังมีความทุกข์ใจที่บอกไม่ถูกเสี้ยวหนึ่งหลงเหลือตรงหว่างคิ้วก็ตาม เขาบอกลาจากไป ตอนที่เดินไปถึงหน้าประตูก็นึกถึงเรื่องหนึ่ง จึงหันหน้ากลับมา “ข้ามีเพื่อนที่สนิทมากอยู่ที่นครมังกรเฒ่าคนหนึ่ง เป็นคนที่เชื่อใจได้ หากเจ้ามีเรื่อง ส่งจดหมายกระบี่บินไปยังสวนลมฟ้าก็คงไม่ทันกาล ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไปหาเขาได้อย่างสบายใจ เขาชื่อซุนเจียซู่ คือคนรวยอันดับสองของนครมังกรเฒ่า ข้าเคยพูดถึงเจ้ากับเขาในจดหมาย ดังนั้นขอแค่เจ้าบอกชื่อ เขาต้องยอมพบเจ้าอย่างแน่นอน อีกอย่างคนผู้นี้ต้องเข้ากับเจ้าได้ดีแน่!”


เฉินผิงอันตกปากรับคำอย่างว่องไว “ตกลง!”


“ไม่ต้องมาส่งข้า เกรงใจกันเกินไปแล้ว แถมยังดูห่างเหินด้วย วันหน้าพวกเราสองคนยังมีโอกาสได้พบหน้ากันอีกมาก” หลิวป้าเฉียวเดินออกไปจากห้อง เห็นว่าไอ้หมอนั่นไม่มาส่งจริงๆ ก็ด่ากลั้วหัวเราะไปหนึ่งที หลังจากปิดประตู เขาไม่ได้ขี่กระบี่พุ่งจากไปในทันที ผู้ฝึกลมปราณเฒ่าที่รับผิดชอบดูแลเรือข้ามฟากหยางจือถังลำนี้ยืนอยู่ตรงปลายทางอีกฝั่งหนึ่งของระเบียงทางเดิน หลิวป้าเฉียวจึงวิ่งเหยาะๆ ไปหาเขา พูดคุยกับผู้เฒ่าอยู่พักหนึ่งถึงได้พุ่งเข้าไปในทะเลเมฆ ขี่กระบี่กลับไปทางทิศเหนือ


หนึ่งวันก่อนจะไปถึงนครมังกรเฒ่าเจอกับภาพเหตุการณ์ที่ปลาบินกระโดดพ้นเหนือทะเลมาบินกลางอากาศซึ่งหาได้ยากยิ่ง ปลาบินหลายล้านตัวที่มีปีกห้าสีบินกลับไปกลับมาอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆอย่างยิ่งใหญ่ เรือข้ามฟากหยางจือถังยังหยุดลอยตัวอยู่กลางอากาศเพื่อเหตุนี้โดยเฉพาะ แจ้งกับผู้โดยสารว่าจะหยุดพักครึ่งชั่วยามเพื่อสะดวกให้ทุกคนได้ชื่นชมภาพเหตุการณ์นี้ อีกทั้งยังอธิบายว่าสาเหตุที่เกิดภาพปรากฎการณ์ยิ่งใหญ่เช่นนี้ก็เพราะ ปลาบินทะเลใต้ที่มีชื่อว่า ‘ไฉ่หลวน’ (นกหลวนหลากสี) พวกนี้กำลังเฉลิมฉลองที่ในเผ่าพันธุ์ของตัวเองมีปลาบินบางตัวมีปีกคู่หนึ่งที่สมกับคำว่าไฉ่หลวนอย่างแท้จริงงอกขึ้นมาได้สำเร็จ ซึ่งร้อยปีจะพานพบสักครั้ง


แต่หยางจือถังก็เตือนทุกคนว่าอย่าได้พยายามตามหาปลาบินที่พิเศษตัวนั้นเป็นอันขาด เพราะหากทำให้กลุ่มปลาบินโกรธเคือง เรือข้ามฟากต้องประสบหายนะอย่างแน่นอน เว้นเสียแต่ว่ามีเทพเซียนขอบเขตโอสถทองและขอบเขตก่อกำเนิดช่วยคุ้มกันเรือ ไม่อย่างนั้นก็ได้แต่รอความตายอย่างเดียวเท่านั้น ขณะเดียวกันหยางจือถังก็เอ่ยปลอบทุกคนว่า ปลาบินไฉ่หลวนมีนิสัยอ่อนโยนว่าง่าย แถมยังไม่เป็นภัยต่อผู้คน หากบินออกจากมหาสมุทรเข้ามาในชั้นเมฆยังเต็มใจที่จะใกล้ชิดกับผู้คนอีกด้วย ดังนั้นเมื่อถึงเวลานั้นเรือข้ามฟากก็อาจถูกฝูงปลาบินมาบินล้อมวน ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวล ต่อให้ฉวยโอกาสนี้จับปลาบินมาไว้เลี้ยงดูสักสองสามตัวก็ยังไม่มีปัญหา ถือซะว่าเป็นกำไรเล็กๆ น้อยๆ ก้อนหนึ่งที่หยางจือถังมอบให้กับแขกผู้มีเกียรติทุกท่านก็แล้วกัน


แม้แต่เฉินผิงอันก็ยังเดินออกจากห้อง มาที่ท้ายเรือ มองปลาบินไฉ่หลวนที่แหวกว่ายอย่างอิสระเสรี เมื่อเจอกับแสงอาทิตย์สาดส่อง ประกายแสงห้าสีบนร่างของพวกมันก็ไหลเวียนวน งดงามจนไม่อยากละสายตา


เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้า ฟุบตัวลงบนราวระเบียงพลางดื่มเหล้าไปด้วย


แล้วก็จริงดังคาด ฝูงปลาบินไฉ่หลวนค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้เรือข้ามฟาก พวกมันชะลอความเร็วในการบินลงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย มีปลาบินที่ซุกซนขี้สงสัยบางส่วนบินเดี่ยวแยกออกจากฝูงมาอยู่ข้างกายผู้โดยสารบนเรืออยู่เป็นระยะ หากมีคนเอื้อมมือไปคว้า พวกมันจะเผ่นหนีไปไกลในเสี้ยววินาที แต่ก็มีบางส่วนที่ขยับเข้ามาใกล้มือคน หรือไม่ก็ถึงขั้นหยุดอยู่บนฝ่ามือนิ่งๆ ด้วย


อันที่จริงก่อนหน้านี้เฉินผิงอันก็เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพวกมันมาก่อน เพราะว่าอาภรณ์เซียนไฉ่อีสมบัติอาคมที่สืบทอดต่อกันมาของพรรคหลิงซีตระกูลเซียนที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นไฉ่อีก็ถักทอมาจากขนของปลาบินไฉ่อี เมื่อเอามาสวมบนร่าง หมื่นอาคมก็ไม่อาจกล้ำกราย ที่มหัศจรรย์ที่สุดก็คือคนที่สวมอาภรณ์ไฉ่อียังสามารถทำให้กระบี่บินของเซียนกระบี่ห้าขอบเขตกลางที่ขยับเข้ามาใกล้ตัวถอยกลับออกไปได้เอง


เฉินผิงอันเองก็ทำตามทุกคนโดยยื่นมือออกไปนอกราวรั้ว


แต่กลับไม่มีปลาบินยอมเข้ามาใกล้เขาแม้แต่ตัวเดียว


จึงได้แต่หดมือกลับอย่างกระอักกระอ่วน นอกจากดื่มเหล้าดับทุกข์แล้วยังจะทำอะไรได้อีก


เรือข้ามฟากเคลื่อนหน้าลงใต้ไปอีกครั้ง


สุดท้ายมาหยุดอยู่ที่ท่าเรือของนครมังกรเฒ่า


โดยไม่ทันรู้ตัว เฉินผิงอันก็เดินทางจากทิศเหนือสุดมาจนถึงทิศใต้สุดของแจกันสมบัติทวีปแล้ว


สะพายกระบี่มาตลอดทาง


—–


บทที่ 252.1 นครมังกรเฒ่า

โดย

ProjectZyphon

ตลอดหลายพันปีมานี้ของแจกันสมบัติทวีป ทิศเหนือคือจักรพรรดิที่เป็นดั่งสายน้ำไหล ส่วนทิศใต้สุดคือตระกูลฝูที่มั่นคงดุจก่อสร้างขึ้นมาจากเหล็ก


ตระกูลฝูแห่งนครมังกรเฒ่ามีเงินมาก มีเงินมากแค่ไหน? ลำพังแค่สมบัติอาคมที่เป็นรองอาวุธของตระกูลเซียนแค่ระดับเดียว พวกเขาก็มีถึงสามชิ้น อีกทั้งทุกชิ้นล้วนใช้เงินซื้อมา จากนั้นก็สืบทอดต่อกันมารุ่นสู่รุ่น จนกระทั่งส่งมอบมาถึงมือฝูฉีเจ้าประมุขคนปัจจุบัน ได้ยินว่าตระกูลฝูเพิ่งจะไปเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมาครั้งหนึ่ง ตอนนี้เพิ่งกลับมา ก็เลยได้อาวุธกึ่งเซียนมาเพิ่มอีกหนึ่งชิ้น คำว่าเรื่องเดียวไม่ควรทำซ้ำเกินสามครั้งน่ะหรือ? ตระกูลฝูไม่เคยสนใจหลักการข้อนี้


เรื่องราวที่น่าสนใจและคนที่น่าสนใจของตระกูลฝูมีมากมาย ยกตัวอย่างเช่นพวกเขาไม่เคยแก้ไขผังข้อมูลลำดับวงศ์ตระกูล แต่ไหนแต่ไรมาชื่อของลูกหลานก็ตั้งกันตามใจชอบ ฐานะของสตรีในตระกูลฝูสูงส่งอย่างยิ่ง วีรสตรีหญิงที่เคยดำรงตำแหน่งเจ้านครในประวัติศาสตร์ ยกสองมือขึ้นนับก็ยังไม่พอ ลูกหลานตระกูลฝูสามารถเรียนหนังสือ ซื้อหนังสือ เก็บสะสมหนังสือ ห้องเก็บหนังสือส่วนตัวแต่ละห้องของพวกเขาล้วนเก็บสะสมตำราที่มีเพียงเล่มเดียวและตำราที่อยู่ในสภาพดีที่สุดไว้มากที่สุดของทั้งแจกันสมบัติทวีป ทว่าต่อให้เป็นสาขาแยกของตระกูลฝูที่อยู่ห่างไกลจากนครมังกรเฒ่าก็ไม่เคยมีใครที่เข้าร่วมการสอบเคอจวี่ ไม่เคยเป็นแม่ทัพบู๊หรือขุนนางบุ๋นให้กับฮ่องเต้หรือจักรพรรดิองค์ใด จะนอนกินรอความตายอยู่ในกองเงินกองทองก็ไม่เป็นไร เจ้าประมุขแต่ละรุ่นล้วนไม่เคยมีความเห็นต่อเรื่องนี้ เต็มใจเลี้ยงลูกหลานทุกคน


ดังนั้นตระกูลฝูที่มีเงินจึงมีลูกหลานมากมายที่เล่นหมากล้อมเก่งที่สุด เขียนพู่กันได้อย่างยอดเยี่ยม ฝีมือการดีดพิณสูงส่ง และยังมีตำราอาหารที่เป็นสูตรต้นฉบับดั้งเดิมที่สุดที่ลูกหลานสกุลฝูเป็นคนเขียน พวกเขายังเคยจัดพิมพ์บันทึกท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมไปทั่วทวีป เคยซื้อภูเขาทางเหนือที่มีพื้นที่กว้างขวางจำนวนนับไม่ถ้วน แต่กลับทิ้งไว้เปล่าๆ ไม่ไปสร้างสำนักหรือตระกูลเซียนอะไร ปล่อยให้มันรกร้างไปอย่างนั้น


คนประหลาดและคนมหัศจรรย์ของตระกูลฝูมีมากมายจริงๆ


แต่ตระกูลฝูมีกฎอยู่ข้อหนึ่งที่ต่อให้ถูกฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือน


นั่นคือมีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลเท่านั้นถึงจะสามารถสวมชุดคลุมมังกรเฒ่าที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษได้


ท่าเรือที่เรือข้ามฟางหยางจือถังจอดเทียบท่าอยู่ห่างจากนอกนครมังกรเฒ่าสามร้อยกว่าลี้ ไม่ใช่สถานที่เงียบสงัดที่แม่น้ำและภูเขางดงามอะไร เรือข้ามฟากหลากหลายสีสันเกือบร้อยลำต่างก็จอดอยู่ที่นี่ เสียงจึงอึกทึกจอแจ ผู้คนคลาคล่ำมากมาย มีทั้งเรือข้ามฟากที่ไม่มีชีวิตซึ่งช่างสำนักโม่เป็นผู้สร้าง แล้วก็มีเรือข้ามฟากที่มีชีวิตคล้ายคลึงกับเรือคุน ภาพแปลกตาเต็มไปด้วยสีสันแห่งความมีชีวิตชีวา ระหว่างที่เรือลงจอด เฉินผิงอันก็มองจนละลานตาไปหมด


ก่อนหน้าที่เรือจะจอดเทียบท่า เฉินผิงอันก็ได้ยินคำกล่าวหนึ่งที่บอกว่า คนธรรมดาที่อาศัยอยู่ในเมือง ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็เดินได้ไม่ทั่วนครมังกรเฒ่า


ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนเรือ เฉินผิงอันพยายามจะก้มหน้าลงมามองภาพลักษณ์ทั้งหมดของนครมังกรเฒ่า แต่กลับพบว่าทะเลเมฆบดบัง จึงรู้สึกเสียดายเล็กน้อย เนื่องจากการปรากฏตัวของหลิวป้าเฉียว ผู้เฒ่าของหยางจือถังที่รับผิดชอบดูแลเรือข้ามฟากลำนี้จึงมาอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน คอยไขข้อข้องใจให้กับเขา ที่แท้ทะเลเมฆที่เคลื่อนคล้อยอยู่นั้นก็คืออาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งของนครมังกรเฒ่า หากเงยหน้ามองมาจากในเมืองจะเห็นแต่ท้องฟ้า ไม่เห็นก้อนเมฆแม้แต่ก้อนเดียว ผู้เฒ่ายังเล่าตำนานที่น่าตื่นตะลึงอย่างหนึ่งให้เฉินผิงอันฟัง


เล่าลือกันว่าเมื่อแปดร้อยปีก่อน ผู้ฝึกตนลัทธิมารเกือบหนึ่งพันคนพากันเคลื่อนพลอย่างยิ่งใหญ่มาบุกสังหารถึงนครมังกรเฒ่า ในบรรดานั้นมีเซียนพสุธาสองคนนั่งบัญชาการณ์มา สุดยอดผู้ฝึกลมปราณขอบเขตโอสถทองและขอบเขตก่อกำเนิดมีมากถึงสิบคน เพื่อยึดครองนครมังกรเฒ่าแล้ว กลุ่มคนที่รวบรวมผู้แข็งแกร่งมาอย่างสุดกำลังนี้ต้องผ่านการวางแผนอย่างเป็นความลับเกือบร้อยปี ในนอกประสานกัน รอบคอบรัดกุม พรั่งพร้อมทุกด้าน ในขณะที่กองทัพใหญ่จะยกมาประชิดชายแดน เป็นช่วงเวลาสำคัญที่อดีตเจ้านครเสียชีวิต เจ้านครคนใหม่ขึ้นรับตำแหน่งพอดี ตระกูลฝูสิบสองสายของนครมังกรเฒ่าเกิดความขัดแย้งกันเองภายใน พลังต้นกำเนิดเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะบรรพบุรุษสองท่านของตระกูลฝูที่ต่างคนต่างครอบครองอาวุธกึ่งเซียนหนึ่งชิ้น พวกเขาต่อสู้กันจนฟ้าดินพลิกคว่ำ ต่อให้มีตราผนึกเวทลับหลายชั้นพยายามข่มทับพลังสังหารของอาวุธกึ่งเซียนสองชิ้นนั้นอย่างสุดความสามารถ แต่นครมังกรเฒ่าก็ยังพังเสียหายไปถึงครึ่งหนึ่ง


ผลก็คือมีผู้ฝึกลมปราณหญิงคนหนึ่งปรากฏตัวกะทันหัน ดูเหมือนว่านางจะมานอนหลับอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆของนครมังกรเฒ่า หลังจากที่นางเผยตัวก็มองนครมังกรเฒ่าใต้ฝ่าเท้าที่ควันดินปืนลอยคลุ้งสี่ทิศ แล้วก็มองผู้ฝึกลมปราณพันกว่าคนที่มารวมตัวกัน หลังจากที่นางหาวหนึ่งทีก็เอื้อมมือไปคว้าจับ ทะเลเมฆในรัศมีพันลี้ถูกนางรวบมาเป็นไข่มุกเม็ดหนึ่งอยู่กลางฝ่ามือ นางโยนเข้าปาก แล้วก็จามหนึ่งที


ทะเลใต้จึงเกิดพายุลมกรดนับร้อยนับพันลูกที่พัดจากผิวทะเลไปทางทิศเหนือ เหล่าผู้ฝึกลมปราณลัทธิมารที่คิดว่าต้องได้ครอบครองนครมังกรเฒ่า ไม่พูดถึงผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างที่ปลอมปนเข้ามาในกลุ่มผู้มีความสามารถ รับผิดชอบหน้าที่คอยชูธงร้องตะโกนปลุกระดม ลำพังแค่เทพเซียนห้าขอบเขตกลางก็ถูกพายุลมกรดเหล่านั้นพัดให้ตายไปเกือบครึ่งหนึ่ง หลังจากนั้นกลุ่มมารที่รอดพ้นจากหายนะมาได้ก็แตกฮือถอยร่น ภายหลังถูกตระกูลฝูที่สถานการณ์ในตระกูลมั่นคงดีแล้วไล่ตามไปสังหารเป็นเวลานานถึงร้อยปีเต็ม


เฉินผิงอันฟังแล้วก็อึ้งค้าง


สุดท้ายผู้เฒ่าถามพร้อมยิ้มตาหยีว่า “ทำไม คุณชายไม่เชื่อหรือ?”


เฉินผิงอันส่ายหน้า เขาต้องไม่เชื่ออยู่แล้ว ใต้หล้านี้ไหนเลยจะมีคนที่สามารถใช้มือข้างเดียวสร้างเวทอภินิหารพัดพาให้ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางตายไปได้มากขนาดนั้น


ผู้เฒ่าลูบหนวดเอ่ยยิ้มๆ “อันที่จริงข้าเองก็ไม่เชื่อ ต่อให้เป็นเทียนจวินฉีเจินแห่งสำนักโองการเทพ เซียนกระบี่และอริยะของศาลลมหิมะกับภูเขาเจินอู่ร่วมมือกันโจมตี ก็ไม่น่าจะมีพลานุภาพถึงขนาดนั้น คงเป็นคนรุ่นหลังที่เอามาเสริมเติมแต่งกันเข้าไปเอง แต่จะว่าไปแล้ว เรื่องราวที่ชวนให้คนตกใจเช่นนี้ก็ควรจะเล่าให้ฟังดูเกินจริงแบบข้า ถึงจะน่าสนใจ”


บอกลากับผู้เฒ่าแล้ว เฉินผิงอันก็ลงจากเรือ หอสูงสลับสล้างตั้งเรียงราย ถนนใหญ่กว้างขวางจนน่าเหลือเชื่อ แต่ถึงกระนั้นคนที่เดินอยู่บนถนนก็ยังไหล่เบียดกัน เฉินผิงอันที่ถูกห้อมล้อมอยู่ท่ามกลางฝูงชนรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย นี่ยังไม่ทันเข้านครมังกรเฒ่าก็เป็นแบบนี้แล้ว จะหาร้านยาฮุยเฉินของเจิ้งตาเฟิงเจอได้อย่างไร ก่อนหน้านี้ตอนที่พูดคุยกับผู้เฒ่าของหยางจือถัง เฉินผิงอันลองหยั่งเชิงถามเรื่องภูเขาห้อยหัวจากเขา อยากรู้ว่าจะสามารถนั่งเรือข้ามฟากไปที่นั่นได้หรือไม่ ผลคือผู้เฒ่าทำหน้างงงัน บอกแค่ว่าเขาเคยได้ยินชื่อภูเขาห้อยหัว ก็ที่นั่นคือตราประทับอักษรภูเขาของลูกศิษย์คนรองของมรรคาจารย์เต๋านี่นา ความเผด็จการเปี่ยมล้น เป็นเจ้าลัทธิเต๋าของใต้หล้าแห่งอื่น แต่กลับเอาตะปูตัวใหญ่ขนาดนี้มาตอกไว้ในใต้หล้าไพศาลของพวกเรา ไม่เห็นเทวรูปอริยะที่ตั้งอยู่ในศาลเจ้าบุ๋นอยู่ในสายตาเกินไปแล้ว


แต่ผู้เฒ่าไม่เคยได้ยินว่าท่าเรือของนครมังกรเฒ่ามีเรือข้ามฟากเดินทางไปยังที่แห่งนั้น ผู้เฒ่าถึงขั้นไม่รู้ตำแหน่งที่ตั้งที่แน่ชัดของภูเขาห้อยหัวด้วย แค่ได้ยินมาว่าที่นั่นอยู่ใกล้กับทักษินาตยทวีป


ดังนั้นเฉินผิงอันที่ลงจากเรือจึงเหมือนแมลงวันไร้หัวตัวหนึ่ง ได้แต่วางแผนไปทีละก้าว เดินทางอีกสามร้อยลี้เพื่อเข้าไปในนครมังกรเฒ่าก่อนค่อยว่ากัน เดินถามไปตลอดทาง พอมั่นใจทิศทางคร่าวๆ แล้วเฉินผิงอันก็ค้นพบว่าตรงกลางของถนนสายใหญ่ไม่มีคนเดิน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นรถม้าที่สวนกันขวักไขว่ ไปมาเร็วดุจสายลม มีรถม้าที่แสงอัญมณีเปล่งประกายวิบวับ ม้าแต่ละตัวที่ลากรถลักษณะงดงามแข็งแรง มีบางคนขี่พยัคฆ์ร้าย งูตัวยาว เต่าตัวใหญ่และกระเรียนเซียน แม้ว่าทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกลมปราณ แต่บนถนนกลับเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีใครกล้าพุ่งชนคนอื่นอย่างโอหัง


หยางเหล่าโถว ผู้เฒ่าแซ่ชุยและเว่ยป้อต่างก็เคยแนะนำว่าให้เขาเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ก่อนแล้วค่อยนั่งเรือของนครมังกรเฒ่าเดินทางไปยังภูเขาห้อยหัว ดังนั้นก่อนที่จะถึงเวลานั้น เฉินผิงอันจึงไม่คิดจะเร่งรีบเดินทาง แต่พอสองเท้าของเฉินผิงอันเหยียบลงบนอาณาเขตของนครมังกรเฒ่า ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงอยากไปให้ถึงภูเขาห้อยหัวโดยเร็วที่สุด จะได้เป็นขอบเขตสี่หรือไม่ เขากลับไม่ได้ยึดติดเท่าใดนัก


เดินทางจากเหนือมายังใต้ของแจกันสมบัติทวีป เส้นทางหลายร้อยหลายพันลี้อันยาวไกลก็เดินทางผ่านมาแล้ว เฉินผิงอันยังไม่เคยร้อนรนขนาดนี้มาก่อน ดังนั้นเมื่อเจอสถานที่ซึ่งคล้ายกับจุดพักม้าแห่งหนึ่งข้างทาง จึงเป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันใจกว้างยอมจ่ายเงินเกล็ดหิมะสิบเหรียญเช่ารถม้าหนึ่งคัน ม้าที่ลากรถคือม้าสีขาวหิมะปลอดสองตัว สารถีไม่ใช่ชายร่างกำยำ แต่เป็นเด็กสาวอายุน้อยหน้าตางดงามคนหนึ่ง บนร่างของนางแผ่กลิ่นอายของความใจกว้างตรงไปตรงมา ไม่มีความขัดเขินแม้แต่น้อย หลังจากที่เฉินผิงอันขึ้นรถม้ามาแล้ว นางยังแนะนำว่าหากไม่รังเกียจจะมานั่งข้างนางก็ได้ นางจะช่วยแนะนำร้านสองข้างทางที่มีชื่อเสียง แนะนำว่าร้านไหนอาหารอร่อยยั่วน้ำลายคนกิน และร้านไหนที่มีภาพวาดพู่กัน ของโบราณราคาไม่แพงให้ลูกค้าฟังระหว่างที่ขับรถม้า นางเติบโตมาที่ท่าเรือนอกนครมังกรเฒ่าตั้งแต่เด็ก จึงรู้ทุกเรื่องเป็นอย่างดี รับรองว่าเฉินผิงอันมานั่งรถม้าของนางในครั้งนี้จะไม่เสียเที่ยวแน่นอน!


รถม้าค่อยๆ ลอดผ่านไปท่ามกลางฝูงชน หลังจากที่ขับมาถึงช่วงกลางของถนน เด็กสาวก็พลันควบม้าเร็วขึ้น ตะบึงไปยังประตูเมืองตะวันตกของนครมังกรเฒ่าพร้อมกับรถม้าคันอื่นๆ เฉินผิงอันนั่งกินแผ่นแป้งแห้งอยู่ด้านหลังเด็กสาวที่ขับรถม้าอย่างคล่องแคล่ว ไม่กล้าดื่มเหล้า เพราะก่อนจะลงจากเรือ เขาก็เก็บน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไปไว้ในห่อสัมภาระผ้าฝ้ายที่พาดเอียงๆ ไว้บนไหล่แล้ว ตอนนั้นเว่ยป้อเคยเตือนไว้ว่า เทพเซียนพสุธาขอบเขตสิบเหนือขอบเขตโอสถทองและขอบเขตก่อกำเนิดขึ้นไป รวมถึงอริยะต่างก็สามารถมองทะลุเวทอำพรางตาของเขามาเห็นรูปโฉมแท้จริงของน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ได้


เด็กสาวเป็นคนที่ร่าเริงนิสัยเปิดกว้างอย่างยิ่ง นางพูดเจื้อยแจ้วเล่าให้เฉินผิงอันฟังถึงประวัติความเป็นมาของร้านรวงและหอสูงแต่ละแห่งไม่หยุด แนะนำว่ามีเทพเซียนบนภูเขาคนใดบ้างที่อยู่ในสถานที่เหล่านั้น พวกเขาเคยพูดจาอย่างห้าวเหิมแบบใด เคยมีวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่อะไร เฉินผิงอันเคยผ่านยุทธภพล่างภูเขาที่มี ‘ปีศาจใหญ่ขอบเขตห้า’ มาแล้ว มาจนถึงวันนี้ถึงเพิ่งค้นพบสถานที่แห่งหนึ่งที่คล้ายคลึงกับเมืองเล็กบ้านเกิดของตน ที่ซึ่งดูเหมือนว่าเทพเซียนห้าขอบเขตกลางจะไม่ได้มีค่าเท่าไหร่


เฉินผิงอันถามเด็กสาวว่าเคยได้ยินชื่อร้านยาฮุยเฉินในเมืองหรือไม่ เด็กสาวส่ายหน้าบอกว่าไม่เคยได้ยิน บอกว่าทัศนียภาพในเมืองนางเคยเห็นมาไม่มากนัก เพราะว่านครมังกรเฒ่าใหญ่เกินไป แถมยังแบ่งเป็นเมืองใน เมืองนอกและนครฝู ทุกครั้งที่ผ่านประตูเมืองบานหนึ่งก็ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายสูงลิบลิ่ว ขอแค่เป็นคนต่างถิ่น ไม่ว่าเจ้าจะเป็นเทพเซียนเฒ่าโอสถทองก่อกำเนิดมาจากที่ไหน หรือแม้แต่โอรสสวรรค์ก็ยังไม่ใช่ข้อยกเว้น ดังนั้นนางจึงเคยไปที่เมืองนอกของนครมังกรเฒ่าแค่ไม่กี่ครั้ง ทุกครั้งที่ไป ถุงเงินที่เก็บสะสมมาได้อย่างยากลำบากจะต้องแฟบแบนไปเสียทุกครั้ง


แต่ว่าหากเป็นคนของตระกูลฝูหรือเป็นลูกหลานห้าแซ่ใหญ่ของนครมังกรเฒ่า ไม่เพียงแต่ข้ามผ่านไปได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ยังสามารถทะยานลมอยู่ในเมืองในและเมืองนอกได้ด้วย แน่นอนว่าหากมีความสามารถซื้อเครื่องประดับมังกรเฒ่าพลิกเมฆชิ้นหนึ่งมาจากตระกูลฝูได้ ก็สามารถทะยานลมได้อย่างสง่างาม นอกจากนครตระกูลฝูที่ตั้งอยู่ใจกลางของนครมังกรเฒ่าที่ห้ามบินผ่านแล้ว สถานที่อื่นก็ล้วนไม่มีข้อบังคับอีก เด็กสาวขับรถม้าบอกให้เฉินผิงอันเดาดูว่าเครื่องประดับมังกรเฒ่าพลิกเมฆชิ้นหนึ่งมีราคาเท่าไหร่?


เฉินผิงอันพยายามเดาให้เป็นราคาที่สูงมากที่สุด บอกว่าหนึ่งพันเหรียญเงินเกล็ดหิมะ


ซึ่งก็คือหนึ่งล้านตำลึงเงิน


—–

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)