ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 251-254
ตอนที่ 251 องค์ชายน้อย
ว่าแล้ว ก็เห็นเขาล่าถอยจนไกลออกไป
ด้านนอกกระโจมเกิดลมโหมขึ้นมา แทบจะพัดพามุมหนึ่งของกระโจมลอยขึ้นฟ้าไป
ตู๋กูซิงหลันเห็นแต่เพียงเงาหลังสีม่วงที่ผอมบาง เส้นผมดำยาวนั้นพลิ้วไหวราวกับกำลังร่ายรำ อยู่บนผืนทรายใต้แสงดาว งดงามคล้ายดังภาพวาด
ทันใดนั้น ในสมองของนางเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา จีเฉวียนไปดึงดูดบุรุษดอกท้อมาตั้งแต่เมื่อไหร่?
แถมยังเป็นคนที่ชอบสวมชุดสีเดียวกันแบบเดียวกันกับท่านราชครู
เพียงแต่รูปร่างของคนทั้งสองแตกต่างกันมาก ท่านราชครูเป็นคนอ้วนเจ้าเนื้อ เงาหลังของร่างนั้น ไม่มีทางที่จะเป็นเขาไปได้
ตู๋กูซิงหลันครุ่นคิดอยู่นาน ก็ยังคิดไม่ออกว่าเคยเจอคนเช่นนี้ในวังมาก่อน
นางยังไม่ทันตอบรับรักจีเฉวียนเลย ทั้งสาวดอกท้อ หนุ่มดอกท้อต่างก็ยกขบวนกันเข้ามา
หากว่านางอยู่ร่วมกับจีเฉวียนขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าวันๆ คงมีแต่การแย่งชิงจนกลายเป็นปกติไป
แค่คิดตู๋กูซิงหลันก็เหนื่อยหัวใจแล้ว
พอหันหน้ากลับไปเหลือบมองดูจีเฉวียนที่กำลังหลับสนิท ก็คิดจะถีบให้เขาตื่นขึ้นมาสักรอบ
นับตั้งแต่ที่ได้พบฮ่องเต้สุนัขผู้นี้ นางก็ไม่เคยได้อยู่อย่างใจสงบเลย
อยู่ดีไม่ว่าดีก็ดันมาสารภาพรัก แถมยังไล่จีบนาง
เอาเถอะ นางยอมรับ ระหว่างทางมานี้ มีบางช่วงบางตอนถูกเขาโยกคลอนอยู่บ้างเหมือนกัน
โดยเฉพาะรูปลักษณ์และรูปร่างของเขา
แต่ยิ่งใกล้ชิดกัน ก็ยิ่งรับการรุกไล่เช่นนี้ไม่ไหว
ราวกับว่านางเป็นเนื้อติดมันชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่งที่วางอยู่ตรงหน้าหมาป่าหิวโซ
หากว่าตู๋กูซิงหลันไม่ห่วงศักดิ์ศรีมากพอ ก็คงจะถูกเขากินเรียบไปตั้งแต่แรกแล้ว
โดยไม่ต้องให้มารับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น
………………
กลางทะเลทราย
ในเงามืดที่แสงดาวส่องไม่ถึงแห่งหนึ่งบนผืนทราย
มือของบ่าวเฒ่ากำอยู่บนไม้เท้า น้อมรออยู่ข้างรถม้าสีเขียวคันหนึ่ง
กระทั่งได้เห็นเงาร่างสีม่วงนั้นเข้ามาใกล้ นางถึงได้น้อมคำนับครั้งหนึ่ง
“องค์ชายเพคะ พรุ่งนี้ยามเที่ยง เมื่อสุนัขสวรรค์กลืนกินพระอาทิตย์ [1] ผืนทรายจะมุดลงไปใต้ดิน ทางเข้าสู่แคว้นเซอปี่ซือจะเปิดออก นี่เป็นโอกาสอันดีที่สุดที่จะค้นหาขุมสมบัติ”
บ่าวเฒ่ายังคงกล่าวต่อไป “องค์ชายน้อยทรงรับบัญชาของท่านประมุขตามหาสมบัติลับ ไม่อาจเสียเวลาไปกับเรื่องอื่นๆ ได้นะเพคะ”
นางก้มศีรษะอยู่ตลอดเวลา ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองคนแม้แต่น้อย
คนในชุดสีม่วงเพียงกวาดตามองดูนางอย่างเย็นชาครั้งหนึ่ง “จัดการเรื่องในความรับผิดชอบของเจ้าให้ดี เรื่องของเรายังไม่ต้องให้เจ้ามากังวล”
บ่าวเฒ่าผู้นั้นรีบคุกเข่าลงไปบนพื้นในทันที “ขอองค์ชายอย่าได้พิโรธ เป็นยายเฒ่าพูดมากไปแล้วเพคะ ยายเฒ่าเพียงแต่ห่วงใยในตัวองค์ชายมากไป”
“จีเฉวียนผู้นั้นเป็นบุคคลอันตราย หากว่าองค์ชายน้อยใกล้ชิดกับเขามากเกินไป จะช้าเร็วย่อมเป็นการหาภัยใส่ตัว กว่าที่พระองค์จะทรงมีวันนี้ได้ นับว่าไม่ง่ายดาย ขอองค์ชายทรงไตร่ตรองอย่างรอบคอบ”
บ่าวเฒ่าพูดยังไม่ทันจบก็ตัวสั่นสะท้านขึ้นมาก่อนแล้ว
ใครๆ ก็รู้ว่า ท่านประมุขให้ความโปรดปรานองค์ชายเสียยิ่งกว่าบุตรแท้ๆ เสียอีก
ในตำหนักซิวหลัวเตี้ยน นอกจากท่านประมุขแล้ว องค์ชายคือผู้ทรงศักดิ์สูงสุด
ทุกคนต่างก็รู้ว่า วันหน้าหากสิ้นท่านประมุขไปแล้ว องค์ชายก็คือผู้ครองตำหนักซิวหลัวเตี้ยน
ดังนั้นตั้งแต่ไหนแต่ไรจึงไม่มีใครกล้าผิดใจกับเขา
แต่ว่าพื้นอารมณ์ขององค์ชายช่างประหลาดนัก ทั่วทั้งตำหนักแทบจะไม่มีผู้ใดที่สามารถพูดคุยดีๆ กับเขาได้สักคน
บ่าวเฒ่ากล่าวจบแล้ว แต่กลับคุกเข่าต่อไปไม่ไหว นางถึงขนาดหมอบราบอยู่บนพื้น
ด้านข้างเป็นหลุมทรายดูด ที่เกือบจะกลืนกินนางลงไปอยู่แล้ว
พอองค์ชายเหลือบเนตรมองมา นางก็รู้สึกเหมือนกับว่าตนเองกำลังขาดอากาศหายใจ
นอกจากท่านประมุขแล้ว นางก็รู็สึกว่าในโลกนี้ยังมีจีเฉวียนที่มีบารมีและสามารถสร้างแรงกดดันต่อผู้คน คิดไม่ถึงว่าองค์ชายเองก็เป็นผู้แข็งแกร่งเช่นกัน
“อันหร่วน เราจะพูดอีกครั้ง อย่าได้มาสั่งสอนเราทำสิ่งใด ผลลัพธ์ที่ตามมาเจ้ารับไม่ไหวหรอก” ดวงเนตรขององค์ชายเย็นชาดุจน้ำแข็ง และมิได้อ่อนแอกว่าจีเฉวียนสักเท่าไร
ไม่ใช่…..ความเย็นชาของพวกเขาเป็นความรู้สึกสองแบบที่แตกต่างกัน
จีเฉวียนนั้นเป็นความเย็นชาที่สูงส่งเสียดฟ้า ผลักไสผู้คนให้ถอยห่างออกไปนับพันลี้
ส่วนความเย็นชาขององค์ชาย เปี่ยมไปด้วยรังสีการกีดกัน และการฆ่าฟันผู้คน
หัวใจของอันหร่วนกระตุกขึ้นมา กระดูกผุของนางถึงกับถูกเขย่าจนสั่นคลอน
หากมิใช่เพราะว่านางยังพอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง เกรงว่าตอนนี้องค์ชายคงจะจับนางฉีกเป็นแปดส่วนไปแล้ว
ผู้คนบอกว่าท่านประมุขไม่มีน้ำใจ ที่จริงแล้วองค์ชายต่างหากที่ไร้น้ำใจที่สุด
“วันพรุ่งนี้หากตามหาทางเข้าแคว้นเซอปี่ซือไม่เจอ อันหร่วน ในโลกนี้ก็ไม่ต้องมีเจ้าอีกต่อไป” เมื่อองค์ชายตรัสประโยคนี้ออกมา ก็เงยพักตร์ขึ้นมองดวงดาวบนท้องฟ้า
ร่างของเขายังผอมบางกว่าจีเฉวียนส่วนหนึ่ง แสงดาวทอดลงบนชุดสีม่วงของเขาเกิดเป็นแสงอ่อนจางคลุมชั้นหนึ่ง ท่ามกลางทะเลทรายกว้างใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง ยิ่งทำให้เขาดูโดดเดี่ยวลำพังกว่าเดิม
ทั้งๆ ที่ข้างกายยังมีผู้ติดตามอยู่ไม่น้อย ทั้งๆ ที่เพียงแค่ส่งเสียงออกมาคำหนึ่ง เขาก็จะเป็นดั่งดวงเดือนที่หมู่ดาวรายล้อม
แต่ว่าเขากลับทำตัวเป็นผู้สูงส่งที่อยู่อย่างลำพัง เขาเลือกที่จะมีความอ้างว้างเป็นสหาย
อันหร่วนมองดูเขาอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยพยักหน้าติดๆ กัน “ยายเฒ่าจะต้องทุ่มเทพลังทั้งหมดไปลงมือให้สำเร็จ จะไม่ให้ท่านประมุขและองค์ชายน้อยต้องผิดหวังโดย เด็ดขาด”
พูดแล้ว นางถึงได้คว้าไม้เท้าพยุงตัวลุกขึ้นมา
จากนั้นก็ชี้ไปที่รถม้าข้างกาย กล่าวว่า “สองพี่น้องชาวเหยียน ยายเฒ่าบังเอิญไปพบเข้าจึงช่วยเอาไว้ ไม่ทราบว่าองค์ชายทรงเห็นว่าสองคนนี้มีประโยชน์หรือไม่?”
“หากว่าไม่มีประโยชน์ ยายเฒ่าจะนำไปปรุงยา”
อันหร่วนว่าต่อไป “พวกเขาทั้งสองต่างก็เป็นเชื้อพระวงค์ ถือเป็นวัตถุดิบปรุงยาชั้นเลิศ แคว้นเซอปี่ซือมีอันตรายมาก ถึงแม้ว่าองค์ชายจะทรงแข็งแกร่ง แต่หากว่ามียาวิเศษของยายเฒ่าอย่างข้าคุ้มครองร่างกาย คิดว่าคงจะทำให้ราบลื่นกว่าเดิม”
องค์ชายกวาดเนตรไปทางสองพี่น้องตระกูลเหยียนที่สิ้นสติอยู่ภายในรถม้า นัยตาทอประกายแสงเย็นวาบขึ้นมา
“สตรีทิ้งเอาไว้ บุรุษแล้วแต่เจ้าจะจัดการ”
แม้ว่าในใจของอันหร่วนจะมีข้อสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถามให้มากความ
นางมีโอกาสได้พบกับองค์ชายน้อยมาก ดังนั้นจึงไม่ใคร่เข้าใจว่าที่จริงแล้วเขาเป็นคนเช่นไรกันแน่
แต่ว่ามีอยู่อย่างหนึ่งที่นางมั่นใจ ก็คือเขาเป็นคนที่ไร้น้ำใจไร้ความผูกพันแน่นอน
ในตำหนักซิงหลัวเตี้ยนมีหญิงสาวไม่น้อยที่คิดจะเข้าใกล้เขา สุดท้ายแล้วทั้งหมดตกตายไปอย่างกระทันหัน
องค์ชายไม่โปรดสตรีอย่างแน่นอน
เช่นนั้น หากมิใช่เพราะว่ามีแผนการจะใช้งานองค์หญิงแคว้นเหยียนอยู่ในใจ ไหนเลยจะเก็บเหยียนเฉียวหลัวเอาไว้?
อันหร่วนก้มศีรษะลงไป ไม่รอให้นางได้ทันไต่ถามสิ่งใดต่อ ที่ข้างกายขององค์ชายก็ปรากฏนกอินทรีดำขนาดใหญ่ขึ้นมาตัวหนึ่ง
พอนกอินทรีดำตัวนั้นย่อตัวลงมา เขาก็ใช้หัตถ์ข้างเดียว ฉุดดึงเหยียนเฉียวหลัวขึ้นมา จากนั้นก็พลิกตัวขึ้นไปบนหลังนกอินทรี เพียงแค่ครู่เดียวก็หายลับไปจากเบื้องหน้าของอันหร่วน
ยามเมื่อนกอินทรีดำขยับปีก ก็พัดพาเอาฝุ่นทรายปลิวขึ้นมา จนแทบจะทำให้อันหร่วนต้องน้ำตาไหล
กระทั่งเมื่อเห็นเขาหายลับไปแล้ว นางถึงได้กล้าถอนหายใจ
ยามที่เขาอยู่ ตัวนางคล้ายดั่งโดนขุมพลังกดทับเอาไว้
ดังนั้นทุกคำที่พูดออกไปล้วนต้องกล่าวอย่างตั้งใจ เพราะเกรงว่าจะมีข้อผิดพลาด
นั่นเท่ากับว่าศีรษะต้องย้ายบ้านแล้ว
คนผู้นี้ ทั้งที่มิได้มีสายเลือดของนายท่านแท้ๆ แต่กลับเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์แข็งแกร่ง มิว่าทำสิ่งใดก็สำเร็จตามประสงค์ของท่านประมุขอยู่เสมอ
ดังนั้นชั่วชีวิตนี้นางจึงมิกล้าทำให้เขาขุ่นเคืองใจ
หากว่าครั้งนี้สามารถทำงานสำเร็จโดยราบลื่น นางคิดจะขอความเมตตาจากท่านประมุขสักเรื่องหนึ่ง อนุญาตให้นางและอันหว่านจรือกลับไปอยู่ที่เขาจงหลินซานอีกครั้ง ผ่านชีวิตที่เหลืออย่างเรียบง่าย ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีไม่เลวแล้ว
คิดๆ แล้ว นางก็มองไปยังเหยียนหยุนที่สิ้นสติอยู่บนรถม้า คิดจะใช้เขาเป็นวัตถุดิบในการปรุงยาวิเศษออกมา รอให้ท่านประมุขอารมณ์ดีขึ้นเมื่อไหร่ ค่อยนำถวายต่อประมุข หวังว่าเขาจะเมตตานางบ้าง
——
[1] 天狗食日สุริยุปราคา
——
คุยกันนิดนึง:
天狗食日 : สุริยุปราคา ถึงในภาษาจีนจะใช้คำว่า สุนัขสวรรค์กินดวงอาทิตย์ แต่ว่าตำนานเรื่องนี้ก็เกี่ยวกับพระจันทร์มากกว่า
ตามตำนานเล่าว่า สุนัขสีดำของโฮ่วอี้ (ยอดมือธนูผู้ยิงดวงอาทิตย์ทั้งเก้าลงมาจนทำให้ปัจจุบันเหลือเพียงดวงเดียว) ได้ชิมน้ำยาวิเศษที่ฉางเอ๋อร์ (เทพธิดาดวงจันทร์) ทำตกไว้ จึงกลายร่างเป็นสุนัขยักษ์ไล่ตามจะกินฉางเอ๋อร์ จนฉางเอ๋อร์หนีไปซ่อนหลังดวงจันทร์ มันจึงกลืนดวงจันทร์ลงไป (= จันทรุปราคา) ชาวบ้านจึงพากันส่งเสียงดังไล่
เจ้าแม่ซีหวังหมู่ทราบเข้าจึงสั่งให้มันคายดวงจันทร์ออกมา และตั้งให้เป็นสุนัขสวรรค์พิทักษ์ประตูสวรรค์ทิศใต้
ไรท์ : ขออนุญาตขยายความเรื่องสรรพนามในบทนี้เล็กน้อย เพื่อความเข้าใจตรงกัน
บุรุษชุดม่วง: อันหร่วนเรียกคนผู้นี้ว่า 少殿下 ซึ่งในภาษาจีนคำนี้จะใช้กับเหล่าองค์ชาย/องค์หญิง หรือแทนพระองค์ว่า ฝ่าบาทก็ได้ แต่บุรุษชุดม่วงเรียกตัวเองว่า 本座 คำนี้สื่อความหายไปในทางว่าเป็นเจ้าตำหนัก หรือเจ้าสำนัก ก็ได้ ดังนั้นไรท์จึงใช่คำว่า “เรา” นะจ๊ะ (เข้าใจว่าผู้เขียนต้องการสร้างบรรยายกาศให้ดูลึกลับ) เอาไว้เมื่อเปิดเผยฐานะออกมาแล้วอาจมีคำแทนตัวที่เหมาะสมกับสถานการณ์มากกว่านี้
ตอนที่ 252 อิ๋งฉี
เมื่อคืนตู๋กูซิงหลันไม่ได้นอนมาทั้งคืน
ยามที่ฟ้าเริ่มสาง พวกองครักษ์ลับของจีเฉวียนก็เริ่มเคลื่อนไหวกันแล้ว
เงาดำมากมายเคลื่อนไหววูบวาบอยู่ท่ามกลางทะเลทราย มีเพียงหลงเซียวที่ยังคงเฝ้าคุ้มครองอยู่ด้านนอก
“ฝ่าบาท แนวหน้าส่งข่าวเข้ามาพะยะค่ะ อ๋องสิบแปดของแคว้นต้าฉินเสด็จมาแล้ว” หลงเซียวยืนอยู่ด้านนอก ประสานมือรายงาน
ภายในกระโจม ดวงเนตรทั้งสองของฝ่าบาทลืมขึ้นมาอย่างช้าๆ พระองค์พึ่งตื่นบรรทมทั่วร่างสะท้อนความเกียจคร้านออกมา เส้นผมยาวสลวยกระจายอยู่ด้านหลังขดม้วนเป็นวงน้อยๆ
ผ่านไปอีกครู่หนึ่งพระองค์ค่อยประทับขึ้นนั่ง ฉลองพระองค์บนร่างหลวมคลายออก เผยให้เห็นผิวพรรณและกล้ามเนื้อช่วงอก
เส้นผมยาวคลอลงมา ทั่วทั้งร่างกำจายเสน่ห์น่าหลงใหลดั่งปีศาจที่เย้ายวน
สิ่งแรกที่เขาทำคือเหลือบมองไปทางตู๋กูซิงหลัน เห็นดวงตาของอ้วนน้อยบวมเป่งจนเขียวคล้ำทั้งแถบ แสดงว่าไม่ได้หลับทั้งคืน
“ระหว่างทางมานี้ ก็นอนพร้อมกับเรามาตลอด ทำไมพอมาถึงที่นี่ก็เกิดไม่สะดวกใจขึ้นมา?” เขาสางเส้นผมที่ยาวสลวยเบาๆ ขณะที่จดจ้องตู๋กูซิงหลันไปด้วย นัยตาก็ยังมีประกายความเกียจคร้านไม่จางหาย
“ฝ่าบาท พูดไปแล้วอาจจะไม่ทรงเชื่อ เมื่อคืนนี้หม่อมฉันต้องคอยระวังโจรบุปผาอยู่ทั้งคืน อยู่ร่วมกับพระองค์จะมีเรื่องไม่สบายใจอะไรได้ รับรองว่าไม่มีเรื่องเช่นนั้นหรอกเพคะ” ตู๋กูซิงหลันนวดตาไปมา จากนั้นก็หาวกว้าง
ไม่ได้นอนมาทั้งคืน ตอนนี้นางง่วงงุนแทบตายแล้ว
พอนางพูดจบ จีเฉวียนก็มองออกไปที่ด้านนอกกระโจม “เรื่องข้างนอกเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลใจ กินให้อิ่มนอนให้หลับก็พอแล้ว”
เขาไม่ได้สอบถามนางว่าเมื่อคืนเจอะเจออะไร ราวกับว่ารู้อยู่แต่แรกแล้วว่านางเจออะไรมา
จากนั้นก็ได้ยินหลงเซียวที่อยู่นอกกระโจมกราบทูลอีกครั้ง “ฝ่าบาท ท่านอ๋องสิบแปดแห่งแคว้นต้าฉิน ครั้งนี้ทรงนำพวกนักพรตโดยเสด็จมาไม่น้อย จากที่ได้รับรายงาน เหล่านักพรตมีไม่น้อยกว่าร้อยคน หนึ่งในนั้นยังมีผู้ที่มาจากเขาฮว่าชิงซานอยู่ด้วย”
พอได้ยินคำฮว่าชิงซานสามคำ สีพระพักตร์ของจีเฉวียนถึงได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย
แม้แต่ตู๋กูซิงหลันก็พลอยหายง่วงไปด้วย
หากว่านางจำไม่ผิดละก็ หลายปีก่อนท่านราชครูเคยไปฝึกตนที่เขาฮว่าชิงซาน
ตามที่ผู้คนเล่าลือกันนั้น ฮว่าชิงซานคือแหล่งกำเนิดนักพรตของแผ่นดิน
เหล่าผู้ฝึกตนเป็นนักพรต ต่างก็มุ่งหวังจะสามารถสื่อสารกับทวยเทพ กลายเป็นผู้ทรงคุณธรรมที่กำหราบมารปราบผีปีศาจได้
แท้ที่จริงแล้วมีขั้นตอนการฝึกฝนเช่นไรนั้น ตู๋กูซิงหลันก็ไม่ค่อยทราบชัดเจนนัก
แต่ในเมื่อสามารถฝึกฝนจนกลายเป็นนักพรตได้นั้น ก็ต้องถือว่าต่างก็มีพรสวรรค์มากแล้ว ในแผ่นดินแห่งนี้เหล่านักพรตนั้นมีอยู่น้อยมาก
ดังนั้นแม้แต่ในเมืองหลวงของแคว้นต่างๆ ยังจะได้พบเจอเพียงไม่กี่คน
ตลอดทางมานี้ ตู๋กูซิงหลันเองก็พึ่งจะได้ทราบจากจีเฉวียนว่า ราชวงศ์จะคอยบ่มเพาะเหล่านักพรตเป็นการลับ
ฐานะของนักพรตเหล่านั้นจะไม่ถูกเปิดเผยสู่ภายนอก นักพรตแต่ละคนล้วนต้องใช้ความทุ่มเทและทรัพย์สินของราชวงศ์เพื่อให้ได้มา หากจะบ่มเพาะยอดนักพรตขึ้นมาสักผู้หนึ่ง จะต้องใช้ทรัพยากรมากมายมหาศาล
มิน่าเล่า ก่อนหน้านี้ตอนที่นางยังอยู่ในวังหลวงถึงได้เคยพบเจอเรื่องประหลาดและภูติผีมามากมาย มิน่าเล่าตอนที่จีเฉวียนและจีเย่ว์เข้าไปในสุสานของเย่ฮูหยินจึงได้ไม่มีอาการประหลาดใจแม้แต่น้อย
ทั้งสองต่างก็เป็นเชื้อสายของโอรสสวรรค์ คาดว่าเรื่องที่ในราชวงศ์มีการบ่มเพาะนักพรตขึ้นมาพวกเขาคงจะรู้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่ข้างๆ กายจีเฉวียน ใช้มือเท้าคางเอาไว้ นั่งคิดไปอย่างเงียบๆ แคว้นต้าฉินไม่เสียทีที่เป็นอันดับหนึ่งในสามแคว้นใหญ่ ท่านอ๋องผู้หนึ่งก็สามารถนำพานักพรตมาได้มากมายขนาดนี้ พลังอำนาจของแว่นแคว้นนับว่าไม่อาจดูเบาได้เลย
อีกด้านหนึ่ง แคว้นต้าฉินสามารถส่งนักพรตเข้ามาได้มากมายถึงเพียงนี้ แสดงว่าชื่อเสียงที่มีอยู่นั้นไม่จอมปลอม ฮ่องเต้แคว้นฉินจะต้องมีพระประสงค์จะได้ครอบครองยาวิเศษที่ทำให้ไม่แก่ไม่ตายซึ่งซ่อนอยู่ในขุมทรัพย์นั้นอย่างแน่นอน
แต่สิ่งของพรรค์นั้น….ว่ากันตามจริงแล้วแม้แต่ตัวตู๋กูซิงหลันเองก็ยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อถือสักเท่าไร
พลังชีวิตของมนุษย์นั้นมีขีดจำกัดอยู่ คิดจะมีชีวิตที่ยืนยาว หากเป็นคนธรรมดาก็ต้องฝึกตน เหล่านักพรตก็ต้องพึ่งพาการบำเพ็ญตบะ เมื่อฝึกได้ถึงขั้นสูงขึ้นไปพลังชีวิตก็ยิ่งยืนยาว
หากว่าประสบโชค ฝึกฝนจนกลายเป็นเซียนได้สำเร็จ ถึงจะมีโอกาสใกล้เคียงกับการมีชีวิตที่ยืนยาวเป็นอมตะได้สำเร็จ
ดังนั้นแล้ว หากคิดจะพึ่งพายาแค่เม็ดเดียวก็กลายเป็นอมตะ ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
แต่ก็ไม่จำเป็นจะต้องตั้งป้อมปฏิเสธว่ายาวิเศษเช่นนี้ไม่มีอยู่จริง แผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาลมิว่าสิ่งใดล้วนเป็นไปได้ ใครเล่าจะสามารถบอกได้ชัดเจน?
ฮ่องเต้ทรงพิงพระองค์กับเบาะนุ่ม เส้นผมที่ยาวสลวยเคลียลงมาตามกรอบพระพักตร์ ในพระหัตถ์ถือถ้วยชาร้อนเอาไว้
อากาศยามเช้าในทะเลทรายมีแต่ความหนาวเย็น น้ำชาร้อนจนมีไอระเหยขึ้นมา บดบังดวงพักตร์เอาไว้ครึ่งหนึ่ง จีเฉวียนดื่มน้ำชาลงไปอึกหนึ่งค่อยตรัสออกมาสองคำ “อิ๋งฉี”
อิ๋งฉี พระอนุชาองค์ที่สิบแปดของฮ่องเต้แคว้นฉิน เนื่องเพราะพระสนมผู้เป็นมารดาของเขาสิ้นไปตั้งแต่ยามเยาว์วัย ฮ่องเต้แคว้นฉินผู้เป็นพระเชษฐาก็ทรงเลี้ยงดูด้วยพระองค์เองมาโดยตลอด
ถึงแม้จะบอกว่าทั้งสองเป็นพระเชษฐาและพระอนุชา มิสู้บอกว่าทั้งสองเป็นพ่อลูกกันจะดีกว่า
ท่ามกลางพระโอรส พระธิดาและนัดดาจำนวนมากในราชวงศ์แคว้นฉิน ไม่มีผู้ใดที่ได้รับความโปรดปรานเช่นอิ๋งฉีเลยสักคน
ในทำนองเดียวกัน อิ๋งฉีเองก็ให้ความเคารพรักต่อพระเชษฐาที่เลี้ยงดูตนเองมาจนเติบใหญ่ผู้นี้มากกว่าผู้ใดทั้งหมด
มีข่าวเล่าลือมานานแล้วว่าฮ่องเต้แคว้นฉินพระชนมายุมากแล้ว พระพลานามัยก็ไม่ค่อยสมบูรณ์ อิ๋งฉีมาครั้งนี้ คงเพราะมีความตั้งใจแรงกล้าต่อให้ต้องตายก็จะหายาอายุวัฒนะที่เป็นสมบัติลับของแคว้นเซอปี่ซือไปถวายพระเชษฐาให้จงได้
ว่ากันตามจริงแล้ว ตอนที่ตู๋กูซิงหลันได้ยินชื่อแคว้นฉินในตอนแรกๆ นั้น อยู่ๆ นางก็คิดถึง ‘แคว้นฉิน’ [1] ที่อยู่ในประวัติศาสตร์ของโลกปัจจุบันขึ้นมา
ช่างเป็นความบังเอิญจริงๆ ที่เจ้าแคว้นฉินของที่นี่ ก็แซ่อิ๋ง [2] เหมือนกัน
พอเห็นฝ่าบาทเอ่ยพระโอษฐ์ออกมา หลงเซียวก็พยักหน้าติดๆ กัน ด้วยสีหน้าสงบนิ่งเช่นเดิม “เป็นท่านอ๋องสิบแปดอิ๋งฉีจริงๆ พะยะค่ะ”
“ครั้งนี้ นอกจากแคว้นฉิน และแคว้นเหยียนจะส่งคนมาแล้ว ก็ยังมีแคว้นเล็กๆ อีกเจ็ดแคว้นและขุมอำนาจบางกลุ่มทยอยส่งคนมาเช่นกัน เพียงแต่เมื่อพวกเขาพบเห็นรถม้าและกระโจมของพวกเราก็พากันอ้อมออกไป” หลงเซียวยังกล่าวต่อไป “เมื่อคืนฝ่าบาทบรรทมสนิท จึงมิทรงทราบ”
“เมื่อคืนช่วงหลังเที่ยงคืน ในทะเลทรายมีเสียงนกอินทรีร้อง กระหม่อมคล้ายกับว่าได้เห็นเงาร่างขององค์หญิงแคว้นเหยียน เหยียนเฉียวหลัว” ว่าแล้วหลงเซียวก็เสริมขึ้นมาอีกประโยคหนึ่ง “บนหลังของเหยี่ยวตัวนั้น คล้ายกับว่ายังมีคนอีกผู้หนึ่ง พวกเขาเคลื่อนที่รวดเร็วมาก กระหม่อมไม่อาจมองเห็นได้อย่างชัดเจน”
“เห็นแค่รางๆ เท่านั้น…..” พอพูดถึงตรงนี้หลงเซียวก็กล่าวออกมาอย่างลังเล
แต่เมื่ออยู่ใต้ประกายตาคมวาบของฝ่าบาท ก็ได้แต่พูดต่อไป “สิ่งที่เห็นเพียงแวบหนึ่งนั้นคล้ายจะเป็นสีม่วงอ่อนๆ ”
ทันทีที่เขาพูดออกมา ตู๋กูซิงหลันก็รู้แล้วว่าคือใคร
ก็คือบุรุษดอกท้อเมื่อคืนนี้มิใช่หรือ?
คิดไม่ถึงว่า พ่อหนุ่มนั่นจะเตรียมตัวมาอย่างพรั่งพร้อมเช่นนี้ แม้แต่สัตว์พาหนะก็ยังมี
พวกนางยังต้องนั่งรถม้า ผู้อื่นถึงกับขี่อินทรีแล้ว
ตู๋กูซิงหลันเหลือบมองดูฮ่องเต้ที่อยู่ข้างกายแวบหนึ่ง ก็รู้สึกว่าหากฮ่องเต้ทรงมีสัตว์พาหนะที่สามารถบินในอากาศสักตัว เวลาขี่มันขึ้นไปบนฟ้าจะสง่างามถึงเพียงไหน
“สีม่วงอ่อน” จีเฉวียนทวนสามคำสุดท้าย ดวงตาหงส์คู่นั้นก็หรี่ลงมาอีกครั้ง
ตรัสพึ่งจบไป ก็ได้ยินเสียงองครักษ์ลับภายนอกกราบทูลเข้ามาว่า “ฝ่าบาท อ๋องสิบแปดแห่งแคว้นฉิน ขอเข้าเฝ้าพะยะค่ะ”
พึ่งจะพูดถึงคนผู้นี้ เขาก็มาถึงแล้ว
จีเฉวียนจัดแจงฉลองพระองค์เสร็จก็ประทับขึ้นยืน ทั้งยังช่วยเช็ดหน้าเช็ดตาให้กับตู๋กูซิงหลัน จัดแจงเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยของนางจนเรียบร้อย ค่อยประทับนั่งลงบนเบาะนั่งภายในกระโจม ตรัสว่า “เชิญเขาเข้ามา”
ถึงกับใช้คำว่า “เชิญ”
รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ นี้ตู๋กูซิงหลันไม่ได้ปล่อยผ่านไป นางคุกเข่าอยู่ที่ด้านข้าง ทำตัวเป็นนางกำนัลน้อยผู้หนึ่ง
ถึงอย่างไรเสียตอนนี้นางก็แต่งกายเป็นนางกำนัลน้อย ไม่มีผู้ใดในวังของแคว้นต้าโจวทราบว่า ฮ่องเต้และไทเฮาเสด็จมาตามหาสมบัติด้วยกัน
——
此地的秦,也姓嬴
——
[1] รัฐฉิน หรือรัฐจิ๋น 秦: Qín ที่เป็นต้นกำเนิดของการรวมแผ่นดินจีน
[2] แซ่เดิมของผู้ครองรัฐฉิน หรือ嬴政 อิ๋งเจิ้ง หรือจิ๋นซีฮ่องเต้
ตอนที่ 253 คนสำคัญ
กระโจมของจีเฉวียนกว้างใหญ่ แต่เป็นกระโจมสีดำ ดังนั้นแสงสว่างจึงน้อย
บนพื้นปูพรมขนแกะหนาๆ บนพรมยังมีแท่นบรรทมทรงกลม และโต๊ะสี่เหลี่ยมทรงยาว
และตกแต่งด้วยเครื่องใช้ประจำวันหลายชิ้น พื้นที่กว้างขวางเพียงพอจะรองรับคนได้นับสิบคน
ดังนั้นยามที่อ๋องสิบแปดของแคว้นต้าฉินเสด็จมา จึงไม่อึดอัดแม้แต่น้อย
เมื่อผ้าม่านแง้มออก ก็เห็นคุณชายชุดดำในเสื้อผ้าที่งดงามผู้หนึ่งก้าวเข้ามา
อิ๋งฉี คาดเดาโดยประมาณสมควรมีพระชนมายุสามสิบกว่าปี
เขาคงดูแลตนเองอย่างยอดเยี่ยม ดูไปแล้วคล้ายคนหนุ่มที่อายุยี่สิบห้ายี่สิบหกปีเท่านั้น
เขารูปร่างสูงโปร่ง มีดวงเนตรที่งดงามคู่หนึ่ง
เป็นประกายระยิบระยับราวกับดวงดารายามค่ำคืน ทั้งยังสุกสกาวและสดใส
น่าเสียดายที่ใต้ดวงเนตรข้างขวามีรอยแผลเป็นลึกขวางครึ่งใบหน้าอยู่รอยหนึ่ง ทำให้ดวงพักตร์ที่งดงามไร้ที่ตินั้นถูกทำลายไป
ราวกับศิลปวัตถุที่งดงามถูกคนที่ไร้หัวใจทำลาย ไม่มีทางจะฟื้นฟูกลับมาได้อีก
ทันทีที่เขาเห็นจีเฉวียน ก็คลี่ยิ้มให้ จากนั้นก็ถวายคำนับครั้งหนึ่ง “กระหม่อมคุณชายฉีแห่งแคว้นฉิน [1] ขอถวายพระพรฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าโจว”
“ฉีอ๋องมิต้องมากมารยาท” จีเฉวียนพยักพักตร์ให้กับเขา “ท่านและข้าเคยได้พบหน้ากันมาหลายครั้ง นับเป็นคนคุ้นเคย”
ตรัสแล้ว จีเฉวียนก็ให้หลงเซียวยกเบาะนั่งเข้ามา เชื้อเชิญอิ๋งฉีให้นั่งลง
อิ๋งฉีนำผู้ติดตามมาด้วย เพียงแต่ทิ้งผู้ติดตามเหล่านั้นเอาไว้ด้านนอก เสด็จเข้ามาเพียงคนเดียว
เขามิได้บ่ายเบี่ยง แต่เสด็จเข้ามาประทับนั่งลงที่ข้างกายจีเฉวียน สองเนตรไม่เหลือบแลด้านข้าง
จีเฉวียนประทานน้ำชาให้เขาถ้วยหนึ่งด้วยพระองค์เอง อิ๋งฉีก็รีบรับไว้ “ฝ่าบาท ขนบธรรมเนียมล้วนมีอยู่ อิ๋งฉีได้รับพระเมตตาเช่นนี้รู้สึกละอายอยู่บ้าง”
“ก็แค่น้ำชาถ้วยหนึ่งเท่านั้น ท่านอย่าได้ถือมารยาทมากไป” ชายฉลองพระองค์ของจีเฉวียนกวาดผ่านโต๊ะช้าๆ สายพระเนตรจับจ้องอยู่ที่เขา
“ครั้งก่อนที่ได้พบกับท่าน ยังคงเป็นรูปโฉมที่หมดจดงดงาม เป็นผู้ใดในแคว้นฉินถึงกับกล้าบังอาจ ทำร้ายใบหน้าของคุณชายฉี [2] ท่านได้?”
องค์เต้ทรงตรัสอย่างตรงไปตรงมา ราวกับมิได้เกรงว่าอิ๋งฉีจะขุ่นเคืองแม้แต่น้อย
อิ๋งฉี ประคองถ้วยน้ำชาเอาไว้ ปลายดรรชนีเคาะเบาๆ รอบๆ ถ้วยน้ำชา จากนั้นค่อยคลี่ยิ้มจางๆ ให้กับจีเฉวียน “พูดไปแล้วเรื่องมันยาว เป็นเพียงอุบัติเหตุครั้งหนึ่งเท่านั้น ยังดีที่เป็นข้าที่บาดเจ็บ มิเช่นนั้นหากว่าดาบนี้แทงเข้าที่พระอุระของพระเชษฐา ข้าคงต้องเสียใจไปชั่วชีวิต”
แม้อิ๋งฉีจะมิได้เล่าออกมา ตู๋กูซิงหลันและจีเฉวียนต่างก็ฟังเข้าใจ เรื่องคงเพราะเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ฮ่องเต้แคว้นฉินตกอยู่ในอันตราย อิ๋งฉีรับดาบแทนเขาครั้งหนึ่ง จึงเสียโฉมไป
ตู๋กูซิงหลันอดจะแอบมองเขาอีกสองรอบไม่ได้ เห็นอิ๋งฉีแย้มยิ้มอย่างจริงใจ คำพูดนี้ของเขามิใช่เพื่อจะอวดอ้างความดีความชอบว่าตนเองได้ช่วยชีวิตฮ่องเต้เอาไว้ ความรู้สึกโชคดีที่ปรากฏในดวงเนตรคู่นั้นมีความจริงใจอย่างแท้จริง
ไม่รอให้จีเฉวียนเอ่ยพระโอษฐ์ ก็ได้ยินอิ๋งฉีทูลว่า “ฝ่าบาท พระองค์ก็ทรงทราบ แต่ไหนแต่ไรตัวข้าก็ไม่ชอบการพูดจาอ้อมค้อม”
“เรื่องที่เสด็จมาแคว้นเซอปี่ซือด้วยพระองค์เอง พวกเราได้ทราบข่าวคราวมาตั้งแต่แรกแล้ว สิ่งที่พระองค์ทรงมีพระประสงค์ก็คือทรัพย์สมบัติของแคว้นเซอปี่ซือ สิ่งที่พวกเราต้องการพระองค์ก็ทรงทราบ คือยาอายุวัฒนะของแคว้นเซอปี่ซือ”
“แคว้นต้าฉินและแคว้นต้าโจว ต่างก็เป็นยอดแคว้นในแผ่นดินนี้ ข้าไม่ต้องการเป็นศัตรูกับฝ่าบาท เพียงแต่เรื่องราวระหว่างสองแคว้น ยากจะไม่มีข้อขัดแย้งกันได้ ที่ข้ามาเข้าเฝ้าในวันนี้ เพื่อขอให้ฝ่าบาทอย่าได้ทรงแย่งชิงยาอายุวัฒนะกับพวกเรา ส่วนสิ่งของอื่นๆ ล้วนแล้วแต่ฝ่าบาทจะทรงโปรด”
“ขอเพียงฝ่าบาททรงเต็มพระทัย หลังจากยินยอมให้พวกเราได้รับยาอายุวัฒนะ พวกเราอาจพอจะเป็นกำลังให้พระองค์ได้บ้าง หรือมีส่วนช่วยให้พระองค์ได้รับในสิ่งที่ทรงมีพระประสงค์”
อิ๋งฉีตรัสอย่างจริงใจ นำเสียงของเขานุ่มนวล ทำให้คนฟังรู้สึกสบายใจขึ้นมา
ตู๋กูซิงหลันมองดูคุณชายสูงศักดิ์รูปงามตรงหน้า ….ก็ยิ่งรู้สึกเสียดายที่ใบหน้าของเขามีบาดแผลลึกเช่นนี้
จากน้ำเสียงและคำพูดของเขาก็สามารถฟังออกว่า เขาและจีเฉวียนเป็นสหายเก่า ทั้งยังให้ความเคารพจีเฉวียน
คำพูดเหล่านี้มิใช่ข้อต่อรอง แต่ว่าเป็นการขอร้อง
ขอร้องให้จีเฉวียนยอมถอยห่างออกจากยาอายุวัฒนะ
มิว่าอย่างไร ในวันนี้แคว้นต้าฉินก็คือแคว้นใหญ่อันดับหนึ่งของแผ่นดินนี้ ตัวเขาที่เป็นถึงอ๋องสิบแปดที่ฮ่องเต้ทรงเลี้ยงดูมาด้วยพระองค์เอง ถึงกับเอ่ยปากขอร้องต่อจีเฉวียน ฟังดูแล้วออกจะเหลือเชื่ออยู่บ้าง
เช่นนั้นแล้วจีเฉวียนครอบครองพลังเช่นใดอยู่กันแน่ ถึงทำให้เขายินยอมศิโรราบได้ถึงเพียงนี้?
จีเฉวียนรับฟังเขาแล้ว ก็ปล่อยให้เขาดื่มชาเข้าไปเสียก่อน ก็ค่อยเติมน้ำชาให้เขาอีกครั้ง
จากนั้นค่อยเอ่ยขึ้นมาอย่างช้าๆ “คุณชายฉี ท่านคิดว่า ในโลกนี้จะมียาอายุวัฒนะอยู่จริงๆ หรือ?”
อิ๋งฉีตะลึงไปเล็กน้อย เขาลูบถ้วยชาในมืออย่างแผ่วเบา “ข้าเชื่อว่ามี”
“สมมติว่ามีจริง ฮ่องเต้แคว้นฉินทรงเป็นอมตะ มีชีวิตยืนยาวนับพันนับหมื่นปี ท่านคิดว่าพระองค์จะมีความสุขหรือ?” สีพระพักตร์ของจีเฉวียนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง “อีกร้อยปีให้หลัง ตัวท่านก็ตายลงกลายเป็นผี พระองค์และท่านก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ อีก มันคุ้มหรือ?”
อิ๋งฉีรับฟังอย่างตั้งใจ เขาหลุบเนตรลง จนขนตายาวเป็นแพสั่นน้อยๆ ถ้อยรับสั่งของจีเฉวียนกระแทกเข้าสู่หัวใจของเขา ผ่านไปอีกพักใหญ่เขาถึงได้เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง มองดูจีเฉวียน “มิทราบว่าในชีวิตนี้ของฝ่าบาท เคยได้พบพานคนสำคัญแล้วหรือไม่?”
“ตัวข้าสูญเสียมารดา วัยเด็กได้ผ่านชีวิตที่เหมือนอยู่มิสู้ตายมา หากมิใช่ว่าพระเชษฐาทรงชุบเลี้ยงข้าด้วยพระองค์เอง เกรงว่าก็คงจะตายไปตั้งแต่แรกแล้ว”
พอเขาพูดถึงการสูญเสียมารดาไปตั้งแต่เด็กขึ้นมา ตู๋กูซิงหลันก็สังเกตเห็นว่าในพระเนตรของจีเฉวียนก็มีประกายความขมขื่นอยู่เช่นกัน
ในยามนั้นเอง นางถึงได้เข้าใจ ว่าทำไมพระองค์ถึงได้ใจกว้างต่ออ๋องสิบแปดของแคว้นฉินผู้นี้เป็นพิเศษ
“ในใจของข้า พระเชษฐามิเพียงเป็นพี่ชาย แต่เปรียบประดุจบิดาแท้ๆ ข้าเคารพรักเขา ชีวิตนี้อุทิศให้แก่เขา ด้วยพระอุตสาหะตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ จะนำพาแคว้นฉินไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง แต่น่าเสียดายชีวิตมนุษย์ขอบเขตจำกัด ข้าไม่อาจทนเห็นพระองค์ต้องเสด็จจากไปก่อนที่พระประสงค์จะสำเร็จสมดั่งความตั้งพระทัย”
“พันปี หมื่นปี ท่ามกลางวันคืนที่ยาวนาน พระองค์จะทรงพบพาผู้คนอีกมากมาย ข้าเชื่อว่า สักวันหนึ่งพระองค์ก็จะได้ทรงพบกับผู้ที่จริงใจต่อกันอย่างแท้จริง” ตรัสจบแล้วก็เห็นเขายิ้มแย้มอย่างเศร้าสร้อย “หากว่าหาไม่พบ ชาติหน้า ชาติต่อไป และทุกชาตินับจากนี้ ข้าก็ยินดีจะกลับมาเกิดใหม่ เพื่ออยู่เคียงข้างพระเชษฐาในทุกชาติไป”
ตู๋กูซิงหลันรับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ หัวใจของนางเหมือนดั่งถูกคลื่นกระแทกซ้ำๆ
จนไม่อาจจะทนดูเช่นนี้อีกต่อไป
เพราะถูกความผูกพันระหว่างพี่น้องที่ลึกล้ำเช่นนี้ทำเอาต้องหลั่งน้ำตาออกมาแล้ว
เปรียบเทียบกันแล้ว ฮ่องเต้ทรงสงบนิ่งกว่ามาก พระองค์เพียงแต่หมุนถ้วยชาเบาๆ ด้วยปลายดรรชนี จากนั้นก็ทอดพระเนตรมองดูอิ๋งฉีอย่างสงบนิ่ง “คุณชายฉี ท่านเองก็ทราบว่าเรามีแผนการอันยิ่งใหญ่ ที่มิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าพระเชษฐาของท่านเท่าไร แล้วไยเราจะต้องทิ้งปัญหาเอาไว้ จนก่อให้เกิดเภทภัยในภายหลังด้วย?”
ได้ฟังแล้ว อิ๋งฉีก็หัวเราะออกมาในทันที “ฝ่าบาท มีหรือที่กระหม่อมจะไม่เข้าใจในตัวของพระองค์?”
“บนโลกใบนี้ พระองค์เคยเกรงกลัวผู้ใดบ้าง? ต่อให้พระเชษฐาของข้าได้รับยาอายุวัฒนะไป พระองค์ก็จะทรงยอมล่าถอยหรือ?” อิ๋งฉีทางหนึ่งหัวเราะทางหนึ่งส่ายศีรษะ “ที่กระหม่อมต้องการ ก็คือให้พระเชษฐามีพระชนมายุยืนยาว ส่วนเรื่องที่ในอนาคตแผ่นดินทั้งหมดนี้จะตกเป็นของแคว้นต้าฉินหรือแคว้นต้าโจว ก็ถือเป็นการละเล่นระหว่างพระเชษฐาและพระองค์แล้ว กระหม่อมจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวด้วยแม้แต่น้อย”
ว่าแล้ว เขาก็ยกน้ำชาขึ้นมาคำนับจีเฉวียน “แต่ไหนแต่ไรพระองค์ทรงเป็นผู้ที่เชื่อมั่นในตนเองมาโดยตลอด ย่อมไม่มีทางมาวิตกกังวลเพราะเรื่องนี้เป็นเหตุอย่างแน่นอน ใช่หรือไม่พะยะค่ะ?”
——
[1] 秦国公子祈: ฉีอ๋องเรียกตัวเองเป็นคุณชายฉีแห่งแคว้นฉิน (แสดงถึงความถ่อมตัว)
[2] 公子祈: จีเฉวียนเรียกอิ๋งฉีเป็นคุณชายฉี เรียกชื่อตัว ไม่ได้เรียกตามแซ่ (แสดงถึงการให้ความสนิทสนม เป็นกันเอง)
——
คุยกันนิดนึง:ว่าด้วยสรรพนามแทนตัวของตัวละคร
ไรท์ : ในฐานะผู้แปลจะยึดถือต้นฉบับเป็นอันดับแรกต้นฉบับเรียกยังไง ก็ขออนุญาตเดินตามต้นฉบับไปนะเจ้าคะ ในส่วนของการเรียกขานแบบทั่วไป โดยมากเราจะเห็นการเรียกขานบุคคลด้วยแซ่หรือชื่อสกุล เช่น คุณชายมู่ คุณหนูมู่ แสดงว่าทั้งสองมาจากตระกูลมู่ โดยเฉพาะเมื่อเป็นการเรียกขานโดยบุคคลภายนอกที่ไม่ได้รู้จักมักจี่กันดี แต่ในกรณีที่ในเรื่องมีผู้ใช้แซ่เดียวกันหลายคน เช่นมีพี่น้องแซ่เดียวกัน คนภายนอกมักจะเรียกตามศักดิ์ หรือลำดับในครอบครัว เช่น คุณหนูใหญ่มู่ หรือคุณหนูสี่มู่ แต่ถ้าเป็นคนที่สนิทกันภายในบ้าน ก็จะเรียกชื่อเล่น หรือชื่อตัว หรืออาจเป็นชื่อกลาง (หรือชื่อตามภาษาถิ่น เช่น ภาษาแมนจู) ก็ได้ทั้งนั้น (เช่น หลันเอ๋อร์ หลันหลัน)
อิ๋งฉี: พระอนุชาองค์ที่สิบแปดของฮ่องเต้แคว้นฉิน จะเห็นว่าตอนที่ขอเข้าเฝ้า หรือตอนที่จีเฉวียนเรียกเขา ก็จะเป็นคุณชายฉีอยู่ตลอด แสดงถึงความเป็นสหาย ให้ความสนิทสนมขนาดเรียกชื่อตัวได้ หรืออิ๋งฉีเองก็แสดงความอ่อนน้อมต่อจีเฉวียน เป็นอ๋องแต่เรียกตัวเองเป็นแค่คุณชายนั่นเอง
เหยียนหยุน: หยิ่งๆ อย่างหยุนหยุน รัชทายาท ก็จะเรียกตัวเองเป็น ข้า/กระหม่อม (หรือ เปิ่นกง =ผู้เป็นเจ้าวัง)
ตอนต่อไป “ที่ผ่านมาเราปฏิบัติต่อผู้ที่เป็นดั่งดวงใจเช่นนี้อยู่ตลอด” อร๊าย เขิลล
ตอนที่ 254 ที่ผ่านมาเราปฏิบัติต่อผู้ท...
จริงแท้แน่นอน คนเช่นจีเฉวียนนั้น มิว่าจะต้องเผชิญกับศัตรูที่ร้ายกาจเช่นไร ก็ไม่มีทางท้อถอย
เมื่อยามเยาว์วัย จีเฉวียนก็เคยได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้แคว้นฉิน อิ๋งชาง มาเหมือนกัน
อิ๋งชางมีพระชนม์สูงมากแล้ว เรื่องของอายุนี้สุดที่ผู้ใดจะทัดทานได้ หากว่าอิ๋งชางสามารถหนุ่มแน่นขึ้นได้อีกหลายสิบปี และหากจีเฉวียนมิได้ทรงขึ้นเป็นฮ่องเต้ของต้าโจวล่ะก็ ในอนาคตผู้ที่จะได้ครอบครองแผ่นดินทั้งหมด ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นผู้ใดกันแน่
หากว่าปล่อยให้อิ๋งชางได้มีชีวิตเป็นอมตะ นี่มิเท่ากับว่าเขาขุดหลุมฝังตนเองหรอกหรือ
ที่ผ่านมาจีเฉวียนทรงเป็นจิ้งจอกเฒ่า ย่อมไม่มีทางกระทำเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์กับตนเองอย่างแน่นอน
ทรงประคองถ้วยน้ำชาเอาไว้ ดวงเนตรหงส์ทั้งสองจดจ้องไปยังอิ๋งฉี ค่อยแย้มสรวลออกมาบางๆ “คุณชายฉีมิจำเป็นต้องชักจูง เราสมควรทำสิ่งใด ไม่สมควรทำสิ่งใด ในใจย่อมรู้อยู่แล้ว”
อิ๋งฉีหนักพระทัยขึ้นมาในทันที เขารู้จักจีเฉวียนมานานแล้ว แต่ก็ยังคงไม่สามารถมองพระองค์ออกทั้งหมด
จีเฉวียนเหมือนดั่งปริศนาเขาวงกตแห่งหนึ่ง แก้ไขได้ส่วนหนึ่ง ก็ยังคงมีอีกส่วน ไม่ว่าพระองค์กำลังคิดสิ่งใดอยู่ ก็ไม่มีผู้ใดที่สามารถคาดเดาได้ตลอดกาล
ที่เขามาเข้าเฝ้าจีเฉวียนในครั้งนี้ ก็เพราะไม่ต้องการกลายเป็นศัตรูกับจีเฉวียน
ด้วยอำนาจของแคว้นฉิน ย่อมไม่มีทางเกรงกลัวจีเฉวียนอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าคนผู้นี้มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ไม่สมควรจะไปหาเรื่องง่ายๆ
พออิ๋งฉีคิดถึงความเป็นไปได้ในอนาคต ในใจตอนนี้ก็เกิดความหวาดกลัวลึกๆ ขึ้นมา
ในพระทัยของเขาเต็มไปด้วยความว้าวุ่น ขณะที่คาดเดาคำตอบของอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ อยู่ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงจีเฉวียนตรัสว่า “เมื่อหลายปีก่อน เราติดค้างน้ำใจท่านอยู่ วันนี้สมควรถึงเวลาตอบแทนน้ำใจนี้แล้ว เรื่องของแคว้นฉินเราจะไม่ยื่นมือสอดแทรก จะเป็นโชคลาภหรือเภทภัยก็แล้วแต่ตัวท่านเอง”
อิ๋งฉีได้ยินพระองค์ตรัสเช่นนั้น ก็ถอนพระทัยอย่างปลอดโปร่งครั้งหนึ่ง
หากมิใช่ว่าบนใบหน้าของเขามีรอยแผลเป็นอยู่ล่ะก็ รูปโฉมของเขาคงยิ่งสมดั่งหยกงามเป็นแน่
เขารีบลุกขึ้นยืน ถวายคำนับจีเฉวียนครั้งหนึ่ง “กระหม่อมขอบพระทัยที่ฝ่าบาททรงสนับสนุน”
เขาคิดไม่ถึงเลยว่า จีเฉวียนจะยังคงจดจำบุญคุณเมื่อหลายปีก่อนได้ กระทั่งถึงวันนี้ก็ยังคิดจะตอบแทน
ทั้งที่ตอนนั้น….ก็เป็นเพียงบุญคุณที่เลี้ยงอาหารมื้อหนึ่งเท่านั้น
พอพึ่งจะขยับตัว ก็เห็นนางกำนัลน้อยที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้ต้าโจว อยู่ๆ ก็ยื่นมือมาทางเขา นางส่งแผ่นยันต์ที่ถูกพับเป็นรูปสามเหลี่ยมให้กับเขา
“ฝ่าบาททรงรำลึกถึงบุญคุณของฉีอ๋องอยู่เสมอ ยันต์คุ้มภัยนี้ถือเป็นของขวัญ จะมากจะน้อยก็พอจะช่วยรักษาฉีอ๋องให้ปลอดภัยได้”
ริมฝีปากแดงของตู๋กูซิงหลันคลี่ยิ้ม ปลายนิ้วของนางขาวนุ่มน่าดู
ก่อนหน้านี้นางเอาแต่คุกเข่าอยู่ด้านหลังของจีเฉวียนมาโดยตลอด ทั้งยังก้มศีรษะไว้ อิ๋งฉีจึงทอดพระเนตรนางได้ไม่ถนัด
ยามนี้อยู่ๆ นางก็ส่งยันต์คุ้มภัยมาให้ตน พอเงยพักตร์ขึ้นมองเห็นดวงหน้านั้นเขาก็ต้องตกตะลึงไปอย่างแรง
ใบหน้าที่มีผิวพรรณดั่งทารก ดูนุ่มนิ่มเสียจนแทบจะคั้นน้ำออกมาได้
ดวงตากลมโต จมูกเล็กๆ คิ้วโค้วโก่งงามดังไต้หยู ดึงดูดสายตา ประหนึ่งดอกโบตั๋นที่งดงามที่สุดดอกหนึ่ง
อิ๋งฉีเคยพบเห็นสาวงามมามากมายนับไม่ถ้วน เพียงแต่โฉมสคราญเช่นผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้ นับว่าพึ่งได้เห็นเป็นครั้งแรก
แม้ว่าจะอวบอ้วนไปสักหน่อย แต่มิได้ลดทอนความงดงามของนางให้น้อยลงไป รูปร่างที่อิ่มเอิบเช่นนี้ อย่างมากก็เพียงแต่เรียกว่าอวบอั๋นเท่านั้นละมั้ง
ขนาดเช่นนี้แล้วก็ยังงดงามจนผู้คนจิตใจหวั่นไหว ไม่รู้ว่าหากผอมลงมาสักหน่อย จะยิ่งงดงามน่าดูถึงเพียงไหน?
เขาถึงขนาดจิตใจล่องลอยไปครู่หนึ่ง แต่ในขณะที่จิตใจล่องลอยอยู่นั้นก็เห็นสีพระพักตร์ของฮ่องเต้ที่เดิมมีความเกรงอกเกรงใจอยู่เปลี่ยนแปลงไปในทันที
จีเฉวียนทรงกระแอมอย่างเย็นชาสองสามครั้ง ดวงเนตรหงส์คู่นั้นก็ฉายแววเย็นชาประหนึ่งเกล็ดน้ำแข็งออกมา “คุณชายฉี เราจำได้ว่า ที่ผ่านมาท่านไม่นิยมในความงาม”
อิ๋งฉีพระพักตร์แดงระเรื่อ สองหัตถ์ยื่นออกไปรับยันต์คุ้มกายจากตู๋กูซิงหลัน
ด้วยใบหน้าที่แดงก่ำขึ้นมา เขารีบเก็บงำประกายตา รักษาท่านั่งที่สง่างามเอาไว้
“ฝ่าบาท ชีวิตของกระหม่อมติดตามรอยพระบาทของพระเชษฐา วันๆ วุ่นวายแต่กับเรื่องของบ้านเมือง ตนเองจึงมิได้ใส่ใจกับเรื่องของชายหญิง เพียงแต่ว่าวันนี้เมื่อได้เห็นนางกำนัลประจำพระองค์ของฝ่าบาท จึงตื่นตะลึงขึ้นมา”
อิ๋งฉีมิได้โป้ปด เขาแสดงท่าทีชื่นชมความงามของตู๋กูซิงหลันอย่างไม่มีลังเล “แผ่นดินและแหล่งน้ำของแคว้นต้าโจวอุดมสมบูรณ์ จึงได้บ่มเพาะเลี้ยงดูสตรีที่งดงามเกินใดจะเปรียบเช่นนี้มาได้ ฝ่าบาททรงมีโฉมสคราญเป็นเพื่อน นับว่าเป็นที่อิจฉาแก่ผู้คนรอบด้านแล้ว”
เขาจำได้ว่าปีนั้นตอนที่ยังอยู่ในต้าเหยียน องค์หญิงแคว้นต้าเหยียนเหยียนเฉียวหลัวพยายามตามติดพระองค์อยู่ตลอดเวลา แต่ว่าจีเฉวียนกลับไม่มีทีท่าจะสนใจเลยสักนิด
สมแล้วที่เป็นจีเฉวียน คนที่เขาจะชื่นชอบได้ต้องเป็นยอดโฉมงาม แค่ความงดงามก็นับว่าเป็นหนึ่งในหมื่น แน่นอนว่าเหยียนเฉียวหลัวมิอาจเทียบได้
จีเฉวียนได้ทรงฟัง สีพระพักตร์ก็กลับมาอบอุ่นดังเดิม ทั้งยังตรัสยืนยันกับเขาว่า “นี้มิใช่นางกำนัลติดตาม แต่เป็นผู้ที่เราปรารถนา”
ตรัสแล้ว ก็หันมาทอดพระเนตรมองดูตู๋กูซิงหลัน
ก็ตรัสเสริมอีกประโยค “เป็นยอดปรารถนาที่ไม่กล้าแม้แต่จะคิดฝัน”
อิ๋งฉีถึงกับตกตะลึงไปแล้ว
ยอดปรารถนาที่ไม่กล้าแม้แต่จะคิดฝัน?
นี่เขาเข้าใจจีเฉวียนผิดไปตรงไหนหรือไม่?
ที่ผ่านมาบุรุษผู้นี้ หากปรารถนาสิ่งใด ต่อให้ต้องวางแผนนับร้อยครั้งก็ต้องเอามาครอบครองให้ได้
หากไม้อ่อนไม่ได้ผล ก็เปลี่ยนเป็นใช้ไม้แข็งแทน เรื่องการแย่งชิงนั้นเขาก็กระทำมาแล้วมิใช่น้อย
ตอนนี้เพราะสตรีผู้หนึ่ง ถึงกับไม่กล้าแม้แต่จะคิดฝัน?
หมายความว่าพระองค์กำลังไล่จีบสตรีผู้นี้ แต่ว่านางกลับยังไม่ยอมตกปากรับคำพระองค์
ดูเอาเถอะ นี่เป็นเรื่องที่คนอย่างจีเฉวียนจะกระทำจริงๆ หรือ?
ที่สำคัญที่สุดก็คือ……สตรีผู้นี้ถึงกับมีความกล้าและความสามารถที่ทำให้จีเฉวียนยินยอมทำเพื่อนางขนาดนี้?
ท่ามกลางความตกตะลึง อิ๋งฉีก็อดไม่ได้ที่จะแอบมองดูตู๋กูซิงหลันอีกหลายรอบ
ถึงแม้ว่านางจะแต่งกายเฉกนางกำนัล แต่ก็ไม่อาจปิดบังราศีที่ติดตัวนางไปได้
ธรรมดาแล้วมิว่าผู้ใดก็ตามเมื่ออยู่ใกล้กับจีเฉวียนก็มักจะดูหม่นหมองลงไป แต่ว่าสตรีที่มีความพิเศษผู้นี้ ไม่เพียงแต่ไม่มีความหวาดกลัว แต่ดวงตาของนางยังสุกสกาวพร่างพราว
ตู๋กูซิงหลันยกยิ้มมุมปาก หัวเราะเบาๆ เพื่อกลบเกลื่อนความเก้อเขินเมื่อครู่
ประโยคที่ว่าเป็นยอดปรารถนาของจีเฉวียนเมื่อครู่ทำเอานางเองก็ตกตะลึงไปเช่นกัน
นับตั้งแต่ครั้งก่อนที่ถูกเขาสารภาพรัก เจ้าลูกชายผู้นี้ก็เปิดฉากรุกใส่นางอย่างดุดันทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
แต่เพราะว่านางเป็นพวกกามตายด้าน ตลอดทางจึงไม่ได้รับผลกระทบสักเท่าไหร่
เดิมทีเรื่องนี้เป็นเรื่องของคนแค่สองคน พอตอนนี้อยู่ๆ ถูกนำเอามาแฉต่อหน้าผู้อื่น ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกว่าน่าอับอายจนไม่รู้ว่าสมควรจะเอาใบหน้าไปซุกไว้ที่ไหนดี
นางแค่รู้สึกว่าท่านอ๋องสิบแปดผู้นี้ดูแล้วช่างถูกชะตา ทั้งยังรู้สึกว่าโหงวเฮ้งของเขาดูหมองๆ อยู่บ้าง ถึงได้หยิบยืมเรื่องที่จีเฉวียนติดหนี้บุญคุณมอบยันต์คุ้มภัยไว้ให้เขา ไหนเลยจะคิดว่าเป็นการชักจูงเรื่องย้อนกลับมาหาตนเอง
“ฝ่าบาท คนหลอกคนกันเองจะทำคนตกใจตายได้นะเพคะ” ตู๋กูซิงหลันรีบตบลงไปบนทรวงอก “ห… หัวใจของข้าช้าเร็วคงต้องวายตายเพราะพระองค์เข้าสักวัน”
จีเฉวียนมองดูกริยาเสแสร้งของนาง ก็ทรงคิดจะเขกศีรษะนางแรงๆ สักครั้งหนึ่ง “เราไปทำให้เจ้าตกอกตกใจตั้งแต่เมื่อใดกัน? ทุกคำที่เรากล่าวออกไปล้วนมาจากใจจริง”
ว่าแล้วก็ไม่ทรงลืมเสริมขึ้นอีกว่า “หากว่าเจ้าหวาดกลัวล่ะก็ อ้อมกอดของเราพร้อมจะเป็นที่พักพิงให้กับเจ้าได้เสมอ”
ตู๋กูซิงหลัน “!!!”
อิ๋งฉี “นะ นี่….” ที่เขามาวันนี้ก็เพื่อจะมาเจรจากับจีเฉวียน ทำไมไปๆ มาๆ ถึงได้ถูกกระตุ้นจนต้องเขินอายขึ้นมาบ้างแล้ว
หากมิใช่ว่าได้มาเห็นด้วยตาของตนเอง และได้ยินกับหู เขาคงจะต้องสงสัยว่าบุรุษตรงหน้าคือฮ่องเต้ของต้าโจวตัวจริงหรือไม่
ที่ผ่านๆ มานั้น จีเฉวียนไม่เพียงสงวนวาจาและรอยยิ้ม รักษาสีหน้าเป็นดั่งแท่งน้ำแข็งอยู่เสมอ ทั้งยังไม่มีทางเอ่ยปากกล่าววาจาทำนองนี้ออกมาได้อย่างแน่นอน
เพราะฉะนั้นช่วงสองสามปีนี้มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
เขาชักจะสงสัยแล้วว่าจีเฉวียนถูกวางยาเสน่ห์ใดหรือไม่ ถึงได้เปลี่ยนแปลงไปถึงเพียงนี้
เมื่อรู้สึกถึงความประหลาดใจของอิ๋งฉี จีเฉวียนก็ไม่ลืมจะหันไปอธิบายกับเขาว่า “คุณชายฉีมิต้องประหลาดใจไป แต่ไหนแต่ไรเราก็ปฏิบัติต่อยอดดวงใจเช่นนี้อยู่แล้ว”
“เพียงแต่ว่านางช่างไร้น้ำใจ หนทางปรารถนาของเราจึงยังอยู่อีกไกลนัก”
——
คุยกันนิดนึง:
ไรท์: พี่เต้!!!!!!!!!!!!!
ตอนต่อไป “หากว่าเจ้าจูบเราครั้งหนึ่ง เราก็จะบอกเจ้า” อ่ะหือ มาเป็นชุดเลยจ้าพี่จ๋า
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น