ข้ามกาลบันดาลรัก 250-252

ตอนที่ 250 ความลับของป้ายหยก

 

อ๋องฉีฟังวาจาเมิ่งอี้เซวียนแฝงแววตำหนิ ลอบกัดฟันแน่น ตัดสินใจพูดว่า “ว่าตามที่แม่ทัพฉู่บอก ให้องครักษ์หลวงมาสอบสวน หากพวกเขาทำให้ม้อเอ้อพูดได้ว่าพวกเขามีเป้าประสงค์อื่น ไม่ว่าเป็นใคร เมื่อข้ากลับไปจักไม่ให้อภัยพวกเขาเด็ดขาด”


 


 


“ท่านอ๋อง!” เมิ่งอี้เซวียนตะโกนเรียกเขา


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่เมิ่งอี้เซวียนร้องเรียกเขา มิได้เอ่ยเรียกพระบิดา แต่เรียกท่านอ๋อง อ๋องฉีตะลึงค้าง


 


 


เมิ่งอี้เซวียนไม่ได้รู้สึกเลยว่าการเรียกของตนเองไม่เหมาะสม พูดต่อว่า “แม่นางเมิ่งอ่อนล้ามากแล้ว ไม่ต้องสืบสวนอีก จัดการให้สิ้นซากเถอะ!”


 


 


อ๋องฉีกลับคืนจากภวังค์ มองท่าทีเย็นชาของเมิ่งอี้เซวียน ให้เจ็บปวดหัวใจ พูดแก้ให้เขา “เซวียนเอ๋อร์ เจ้าสมควรเรียกพระบิดา มิใช่เรียกท่านอ๋องเหมือนคนอื่น”


 


 


น้ำเสียงเมิ่งอี้เซวียนเจือแววเดียดฉันท์และเหยียดหยัน “ข้าเติบโตในบ้านนาชนบท ไม่รู้กฎระเบียบพวกนี้ ขอท่านอ๋องโปรดประทานอภัย”


 


 


วาจานี้ราวมีดแหลมแทงเข้ากลางใจอ๋องฉี ร้อนรนอธิบาย “เซวียนเอ๋อร์ ตอนนั้นสถานการณ์คับขัน พ่อเองก็ถูกบีบจนต้องสั่งการเช่นนั้น พ่อมิได้จะ…”


 


 


ยังพูดไม่ทันจบ เมิ่งอี้เซวียนก็พยักหน้าพูดแทรก “ข้าทราบ ดังนั้นข้าถึงมิได้ตำหนิโทษพวกท่าน”


 


 


คำพูดจากนั้นของอ๋องฉีติดค้างอยู่ในปาก พูดไม่ออกอีก ความรู้สึกมากมายปะเดปะดัง มองโอรสที่ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมาเพิ่งจะตามหาเจอ


 


 


เมิ่งอี้เซวียนก้มหน้า พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวเสียงละมุน “นั่งมานานแล้ว เจ้าคงจะเหนื่อยล้า ข้าประคองเจ้ากลับห้องเอง”


 


 


นับตั้งแต่ครั้งแรกที่พระชายารองส่งคนมาสืบหาเมิ่งอี้เซวียน ถูกนางสั่งเหวินเปียวให้ฆ่าทิ้ง เมิ่งเชี่ยนโยวก็เดาได้ว่าเรื่องราวจะต้องไม่ธรรมดา ถึงขอร้องให้ตี้ซือสอนวิชาวางกลอุบายให้เมิ่งอี้เซวียน ตอนนี้เห็นปฏิกิริยาของอ๋องฉี ก็รู้ว่าตนเองเดาไม่ผิด มองเมิ่งอี้เซวียนอย่างห่วงกังวลแวบหนึ่ง พยักหน้าอ่อน ลุกขึ้นยืน


 


 


เมิ่งอี้เซวียนส่งยิ้มอ่อนปลอบใจนาง ประคองนางเดินเข้าไปในห้อง


 


 


เสียงดุดันอำมหิตของอ๋องฉีดังลอยมาจากด้านหลัง “ลากตัวเศษสวะพวกนี้ออกไปโบยจนตายทั้งเป็น แล้วทิ้งศพตากแดดไว้สามวัน”


 


 


ทหารขานรับคำสั่ง เข้าไปลากตัวพวกเขา


 


 


เสียงร้องขอชีวิตของเว่ยหงดังแว่วมา “ท่านอ๋อง ขอร้องท่าน ไว้ชีวิตลูกๆ ของข้าด้วยเถอะ”


 


 


ตอนนี้อ๋องฉีกำลังขุ่นเคืองแน่นอก ได้ยินคำพูดเขายิ่งให้บันดาลโทสะ พูดว่า “เจ้าไม่พูดข้าคงลืมไปแล้ว ถ่ายทอดคำสั่ง เนรเทศคนในครอบครัวพวกเขาทั้งหมด ไปยังดินแดนทุรกันดาน ชาตินี้ห้ามกลับมาอีก”


 


 


เว่ยหงคงจะหมดสติไปแล้ว ไร้ซึ่งเสียงวิงวอนร้องขอชีวิตจากเขาอีก


 


 


น้ำเสียงเกรี้ยวกราดของอ๋องฉียังดังขึ้นต่อเนื่อง “ตัดศีรษะม้อเอ้อ ให้ม้าด่วนส่งไปจวนราชครู”


 


 


องครักษ์ขานรับคำ


 


 


นอกประตูใหญ่มีเสียงร้องสยองขวัญต่างๆ ดังลอยมา เมิ่งอี้เซวียนทำราวกับไม่ได้ยิน ประคองเมิ่งเชี่ยนโยวเอนตัวลงบนเตียง ห่มผ้าให้นางอย่างอ่อนโยน แล้วมานั่งข้างเตียง ถามขึ้น “เหนื่อยแล้วสินะ หลับตาพักสักครู่เถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า จ้องเขาเขม็ง


 


 


เมิ่งอี้เซวียนแย้มยิ้ม พูดว่า “แปลกนัก เผชิญหน้ากับภาพสยดสยองเช่นนั้น ข้ากลับไม่หวาดกลัวแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกะพริบตาปริบๆ


 


 


เมิ่งอี้เซวียนยังคงยกยิ้มพูดว่า “วันนั้นหลังจากเห็นเจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้าก็สาบานกับตัวเองว่า ขอเพียงข้ายังมีชีวิต ข้าจะปกป้องเจ้าไปทั้งชีวิต ดังนั้นต่อไปข้าจะไม่อ่อนแอ และไม่ใจอ่อนมีเมตตาอีก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวใบหน้ากระตุกไหว เผยอปาก คิดจะพูดบางอย่าง


 


 


เมิ่งอี้เซวียนไม่ให้นางพูดออกมา พูดว่า “เจ้าวางใจ ข้าจะไม่กลายเป็นคนโหดเ**้ยมทารุณเพราะเหตุนี้ ขอเพียงพวกเขาไม่ทำร้ายเจ้าและคนในครอบครัว ข้าก็จะไม่แยแส”


 


 


เพียงอึดใจเดียวด้านนอกก็ไม่มีเสียงร้องโหยหวนอีก ในลานเรือนพลันเงียบสงบ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเมิ่งอี้เซวียนที่เติบโตในชั่วข้ามคืน เป็นครั้งแรกที่พูดอะไรไม่ออก


 


 


สาวใช้จรดปลายเท้าเดินเข้ามา ทำความคำนับทั้งสองคน เอ่ยถามเสียงเบา “แม่นาง ยังต้องการกินโจ๊กอีกหรือไม่เจ้าคะ?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า เปลี่ยนเรื่องพูด “ข้าชักเริ่มหิวแล้ว ไปตักมาอีกถ้วยเถอะ”


 


 


สาวใช้รับคำออกไป เมิ่งอี้เซวียนจะเข้าไปประคองนางลุกขึ้น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวปฏิเสธ “ให้ข้าลุกเองเถอะ อย่างช้าวันพรุ่งนี้ พวกเจ้าก็จะเดินทางกลับเมืองหลวง ข้าควรขยับแขนขยับขาให้มาก ระหว่างทางกลับไปจะได้ดูแลตัวเองได้”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเม้มริมฝีปาก ไม่โต้แย้งนาง กลับดึงรั้นเข้าไปประคองนางลุกขึ้น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยังบาดเจ็บ ขัดขืนไม่ได้ จำต้องโอนอ่อนปล่อยตาม


 


 


สาวใช้ยกโจ๊กเข้ามา เมิ่งเชี่ยนโยวรับมา ไม่ให้เมิ่งอี้เซวียนช่วย ค่อยๆ ตักกินเองจนหมด


 


 


เมิ่งอี้เซวียนรับถ้วยเปล่ามา ยื่นให้สาวใช้ ใช้ผ้าเช็ดหน้าของตัวเองเช็ดปากให้นาง ถามขึ้น “อยากจะพักอีกสักหน่อยหรือไม่?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า พูดว่า “ข้างนอกไม่มีเสียงแล้ว น่าจะไม่มีอะไรแล้ว เจ้าไปเรียกแม่ทัพฉู่เข้ามา ข้ามีเรื่องจะพบเขา”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนไม่ขยับ สั่งการสาวใช้ “ไปเชิญแม่ทัพฉู่เข้ามา”


 


 


“เพคะ องค์ชาย” สาวใช้รับคำเร่งฝีเท้าเดินออกไป


 


 


ครู่หนึ่งฉู่เหวินเจี๋ยก็เดินเข้ามาด้วยใบหน้าไม่สู้ดี เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนสีหน้าถึงดีขึ้นเล็กน้อย ถามขึ้น “แม่นางเมิ่งเรียกข้าด้วยเรื่องอันใด?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวล้วงป้ายหยกสองชิ้นออกมาจากอกเสื้อ วางไว้ข้างเตียง พูดว่า “นี่เป็นป้ายหยกที่ท่านมอบให้ข้า และป้ายหยกที่วางไว้ข้างกายอี้เซวียนตอนที่ท่านพ่อเก็บเขาได้ ตอนนี้อี้เซวียนกำลังจะกลับเมืองหลวงไปพร้อมพวกท่านแล้ว ท่านเก็บป้ายหยกนี้คืนไปเถอะ”


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยเลิกชายชุดผาว[1]ขึ้น นั่งบนเก้าอี้ ถามความ “แม่นาง เจ้ารู้คุณสมบัติของป้ายหยกสองชิ้นนี้?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปากพูดว่า “พอจะทราบบ้าง คืนนั้นข้าใช้ป้ายหยกสองชิ้นนี้เคลื่อนพลองครักษ์หลวง”


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยหรี่นัยน์ตาถาม “แม่นางทราบได้อย่างไรว่าป้ายหยกสองชิ้นนี้เคลื่อนพลองครักษ์หลวงได้?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบว่า “ตอนคุณชายเปาแต่งงาน ฮูหยินเปาได้รับพิษ ตอนที่ข้าถอนพิษให้นาง บังเอิญจับตัวชิวผิงสาวใช้ข้างกายนางได้ ตามคำรับสารภาพของชิวผิง คืนนั้นพวกเราก็จับตายชายชุดดำได้จำนวนหนึ่ง และคนที่ลงมือก็คือองครักษ์หลวง ข้าเห็นพวกเขาร่างกายกำยำ อกผายไหล่ผึ่ง น่าจะเป็นคนที่เคยเป็นทหารมาก่อน ตอนนั้นข้าก็เริ่มกังขาแล้ว ใต้เท้าเปาเป็นเพียงนายอำเภอเล็กๆ คนหนึ่ง เหตุใดถึงมีกำลังอำนาจมากเพียงนี้ ถึงกับเคลื่อนพลคนเหล่านี้ได้ ต่อมาเกิดเรื่องกับร้านยาเต๋อเหริน ท่านเร่งรุดเข้ามาลำพัง ข้ายิ่งให้ฉงนสงสัย กระทั่งตอนที่หัวหน้าองครักษ์หลวงกัวเฟย เข้ามาคำนับท่าน ข้าถึงกระจ่างแจ้ง คนพวกนี้จะต้องเป็นกำลังคนที่ท่านซุ่มซ่อนไปตามที่ต่างๆ ดังนั้นวันนั้นพอเกิดเรื่องขึ้น ข้าถึงคิดจะลองใช้ป้ายหยกที่ท่านให้มา ดูว่าจะเคลื่อนย้ายองครักษ์หลวงในหัวเมืองได้หรือไม่ ไม่คิดว่าหลังจากที่ข้าหยิบป้ายหยกสองชิ้นออกมา พวกเขาก็เรียกข้าว่านายท่าน”


 


 


“แม่นางเฉลียวฉลาดนัก ด้วยเบาะแสเหล่านี้ก็คาดเดาเรื่องทั้งหมดนี้ได้” ฉู่เหวินเจี๋ยกล่าวชมเชย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปาก พูดว่า “ไม่เพียงเท่านั้น ข้ายังเดาได้ว่าท่านน่าจะเป็นนายท่านเจ้าของเหลาจวี้เสียนตัวจริง”


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยหัวเราะลั่น “แม่นางเดาได้ถูกเกือบทั้งหมด มีผิดอยู่เพียงจุดเดียวคือ องครักษ์หลวงนี้ไม่ใช่กองกำลังที่ข้าซ่องซุ่มไว้ อี้เซวียนถึงจะเป็นเจ้านายโดยแท้จริงของพวกเขา ที่ข้าเคลื่อนพลพวกเขาได้ เพราะป้ายหยกหนึ่งชิ้นในมือข้า ไม่เช่นนั้นต่อให้ข้าเป็นแม่ทัพใหญ่ พวกเขาก็ไม่ฟังคำสั่งระดมพลของข้า”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน แสดงสีหน้าตกตะลึง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็มองเขาอย่างไม่เข้าใจ


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยพูดว่า “แม่นางมีบุญคุณช่วยชีวิตข้าและเซวียนเอ๋อร์ ข้าจักเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้แม่นางฟัง ท่านตาของอี้เซวียน หรือก็คือบิดาของข้า เป็นอดีตแม่ทัพใหญ่ เขาเอาใจใส่กองทัพ ต่อให้แต่งงานแล้ว ก็น้อยครั้งจะกลับบ้าน ใช้ชีวิตอยู่แต่ในกองทัพ แม้ในยามที่ท่านแม่ข้าตั้งครรภ์ก็เป็นเช่นนั้น ก่อนที่ท่านแม่จะคลอดพี่สาวข้า ไม่ระวังสะดุดหกล้ม ทำให้คลอดยาก สุดท้ายแม้จะรักษาชีวิตไว้ได้ทั้งแม่และเด็ก แต่เพราะพี่สาวข้าอยู่ในครรภ์ไม่ครบกำหนด ร่างกายอ่อนแอแต่กำเนิด แม้ภายหลังจะฝึกวรยุทธ์กับท่านพ่อ ก็ไม่ช่วย ด้วยความรู้สึกผิด ท่านพ่อจึงก่อตั้งเหลาจวี้เสียนขึ้น คิดว่าภายหน้าหากพี่สาวข้าไม่มีคู่ครอง อีกครึ่งชีวิตที่เหลือจะได้มีทรัพย์สมบัติเลี้ยงกาย ไม่ต้องตกระกำลำบาก ไม่คิดว่าพระพันปีในรัชกาลก่อน จะประทานสมรสพระราชทานให้พี่สาวข้าและท่านอ๋องฉี ในเวลาเดียวกันก็ประทานบุตรสาวเสนาบดีให้เป็นพระชายารอง อันรับสั่งพระราชาแสนลำบากใจ แม้ท่านพ่อท่านแม่ข้าจะไม่ยินยอมอย่างไร ก็ไม่อาจฝ่าฝืนบัญชาได้ จำต้องให้พี่สาวข้าแต่งงานออกไป”


 


 


พูดถึงตรงนี้ก็นิ่งงัน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแลเมิ่งอี้เซวียนไม่พูดอะไร จ้องมองเขาเงียบๆ


 


 


คล้ายว่าแม่ทัพฉู่ไม่ปรารถนาจะย้อนคิดถึงเรื่องในอดีต ผ่านไปอึดใจใหญ่ถึงพูดขึ้นต่อ “ด้วยสภาพร่างกายเช่นนั้นของพี่สาวข้า บิดามารดาข้าต่างคิดว่าชาตินี้นางไม่มีทางมีทายาทได้แล้ว ไม่คิดว่าครึ่งปีให้หลัง พี่สาวข้าจะตั้งครรภ์ บิดามารดาข้าปลาบปลื้มยินดี กำชับหนักหนาให้นางระวังรักษาตัวและลูกในท้องให้ดี พี่สาวข้าก็ดีใจมาก ระมัดระวังทุกอย่างแม้แต่การเดินเหิน พี่สาวข้าร่างกายอ่อนแอ บิดาข้ากลัวนางจะเสียชีวิตหลังการคลอด หากไม่มีนางคอยดูแล ภายหน้าเด็กที่เติบโตในจวนอ๋องจะถูกรังแกได้ จึงคัดเลือกนายทหารสามพันนายออกมาจากกองทัพ เชิญยอดฝีมือมาฝึกสอนพวกเขาหามรุ่งหามค่ำ ขนานนามองครักษ์หลวง มีหน้าที่พิทักษ์ปกป้องอี้เซวียน ทั้งสั่งให้คนทำหยกขึ้นมาสองชิ้น หนึ่งชิ้นมีรูทางขวา เป็นของพี่สาวข้า อีกชิ้นมีรูทางซ้ายเป็นของอี้เซวียน ทั้งให้คนวาดภาพหยกส่งไปเหลาจวี้เสียนทุกสาขา บอกพวกเขาในแต่ละปีให้ฝากเงินจำนวนมากไว้ที่สำนักการเงิน บอกเถ้าแก่สำนักการเงินว่า ใครก็ตามที่ถือป้ายหยกนี้เข้ามา สามารถเบิกเงินจากสำนักการเงินได้ห้าแสนตำลึงต่อปี และคนที่ถือป้ายหยกเข้ามาพร้อมกันสองชิ้นไม่เพียงสามารถเบิกเงินได้ห้าล้านตำลึง ยังมีสิทธิ์สั่งการองครักษ์หลวงได้ทั้งหมด หลังการฝึกฝนแปดเดือน ก็ใกล้จะถึงเวลาคลอดของพี่สาวข้าแล้ว ท่านอ๋องและบิดามารดาข้าต่างเตรียมการอย่างครบถ้วน แต่กลับเกิดสิ่งไม่คาดฝันขึ้น ในตอนนั้นฮ่องเต้สิ้นพระชนม์กะทันหัน องค์ชายสี่พระราชโอรสของกุ้ยเฟยผู้มีจิตใจทะเยอทะยาน หมายมุ่งช่วงชิงราชบัลลังก์ พลันเคลื่อนย้ายกองพล เข้าจับตัวพระพันปีหลวงในตอนนั้น ข่มขู่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันที่เดิมสมควรได้ขึ้นครองราชย์ตามสิทธิ์และศักดิ์ที่ถูกต้อง ให้ยอมสละราชบัลลังก์แล้วสังหารตัวตาย ท่านอ๋องและฮ่องเต้องค์ปัจจุบันมีพระราชมารดาเดียวกัน ย่อมไม่นิ่งดูดาย และท่านพ่อข้าในฐานะพ่อตาของท่านอ๋อง ย่อมต้องอยู่ฝ่ายเดียวกับท่านอ๋อง ร่วมรบเพื่อเขา สถานการณ์ในตอนนั้นยากจะคาดเดา ไม่รู้ว่าใครจะแพ้หรือชนะ ท่านอ๋องและบิดาข้าจึงวางแผนหนึ่ง ให้ข้านำองครักษ์หลวงหลายสิบนายแต่งตัวตบตาคนคุ้มกันพี่สาวที่แต่งตัวเป็นสาวยาจกไปหลบยังที่ปลอดภัยแห่งหนึ่งก่อน หากพวกเขาชนะ ค่อยรับพวกเขากลับเมืองหลวง หากว่าแพ้ สั่งให้พวกเราสองพี่น้องอำพรางชื่อแซ่ เลี้ยงดูสายเลือดของท่านอ๋องจนเติบใหญ่”


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยพูดมาถึงตรงนี้รู้สึกสะเทือนอารมณ์ จึงหยุดพูด ค่อยๆ ผ่อนคลายลง ถึงพูดต่อว่า “ไม่รู้ว่าเพราะตกใจกลัว หรือด้วยร่างกายที่อ่อนแอของพี่สาวข้า สองวันหลังจากที่พวกเราลอบเดินทางออกจากเมืองหลวง พี่สาวข้าก็คลอดก่อนกำหนด หลังจากผ่านพ้นช่วงความเป็นความตาย พี่สาวข้าก็คลอดอี้เซวียนออกมา ครั้นเห็นว่าเป็นเด็กผู้ชาย พวกเราสองพี่น้องดีใจเป็นอย่างมาก ตอนที่พวกเราจมดิ่งอยู่ในห้วงความยินดีนั้น ก็มีชายชุดดำจำนวนมากบุกเข้ามาไล่ฆ่าพวกเรา ข้านำองครักษ์หลวงหลายสิบนายต้านทานสุดชีวิต เสียแต่ว่าอีกฝ่ายคนมาก องครักษ์หลวงได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ภายใต้ภาวะคับขัน พี่สาวบอกให้ข้าพาเด็กไปก่อน ข้าไม่ยินยอม นางใช้ความตายบีบเค้น ด้วยความจนใจอย่างที่สุด ข้าอุ้มอี้เซวียนที่เพิ่งเกิดกระโดดหนีออกมา ข้าวิ่งไปไม่รู้ทิศทาง หนีไปอย่างไม่คิดชีวิต กระทั่งมาถึงเขาลูกหนึ่ง ข้าไม่รู้เลยว่าตัวเองอยู่ที่ไหน หายใจหอบระยะหนึ่ง สุดท้ายข้าก็ทิ้งพี่สาวไม่ลง จึงวางอี้เซวียนไว้ในที่ลับตาคน วางป้ายหยกชิ้นหนึ่งและเงินที่ติดตัวมาเพียงยี่สิบตำลึงไว้ข้างกายเขา กระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าคน ข้าถึงตัดใจจากไป”


 


 


“ไม่คิดว่าด้วยเพราะข้าไม่ชำนาญพื้นที่ หลงทางอยู่บนเขา ตอนที่ข้าออกมาจากป่า ได้พบหน้าพี่สาว ถึงได้รู้ว่าพวกท่านพ่อได้รับชัยชนะ รีบส่งคนมาตามหาพวกเรา เข้าฟาดฟันกับชายชุดดำให้พวกเขาล่าถอยไป ช่วยพวกพี่สาวข้าได้พอดี”


 


 


“เห็นข้ากลับมามือเปล่า พี่สาวถามถึงบุตรชายนาง ข้ากลัวพี่สาวเสียใจ โกหกว่ามอบให้ชาวบ้านคนหนึ่งรับไปเลี้ยง แล้วรีบกลับไปตามหา แต่ข้าจำเส้นทางไม่ได้แต่แรก ไม่อาจตามหาเด็กเจอ พี่สาวข้าโศกเศร้าเสียใจ ล้มหมอนนอนเสื่อ ส่วนท่านอ๋องบันดาลโทสะสั่งโบยสาวใช้ บ่าวและนายทหารติดตามจนตายทั้งหมด”


 


 


พูดถึงตรงนี้ ฉู่เหวินเจี๋ยหันมองเมิ่งอี้เซวียน กล่าวอย่างละอายใจ “เรื่องนี้เกิดขึ้นด้วยน้ำมือข้า เจ้าจะโทษก็โทษข้าเถอะ ไม่เกี่ยวกับท่านอ๋องและท่านแม่เจ้าเลย”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเม้มปากไม่พูด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปากถาม “ต่อมาท่านอ๋องทราบได้อย่างไรว่าเมิ่งอี้เซวียนอยู่ตำบลชิงซี?”


 


 


“ตอนนั้นข้ายังไม่ได้เป็นแม่ทัพ มีเวลาว่างมากมาย หลังจากพวกพี่สาวกลับเมืองหลวง ข้าก็อยู่ที่นั่นต่อ เดินสำรวจภูเขาลูกนั้นโดยรอบเพียงลำพัง ย้อนคิดถึงภาพเขาลูกนั้นอย่างละเอียด สุดท้ายก็แน่ใจว่าอยู่ในตำบลชิงซี” ฉู่เหวินเจี๋ยพูดต่อว่า “ภายหลังบิดาข้าเห็นข้ายังหาคนไม่พบ จึงส่งองครักษ์หลวงสามพันนายเข้ามาแฝงตัวอยู่ในเหลาจวี้เสียนทุกสาขา สั่งพวกเขาให้ปลอมตัวใช้ชีวิตเป็นคนในทุกหน่วยงานอาชีพ หากมีเรื่องอะไร หลงจู๊เหลาจวี้เสียนจะส่งสัญญาณระดมพลพวกเขาเอง ทั้งบอกพวกเขาว่าต่อไปคนที่ถือป้ายหยกสองชิ้นก็คือนายที่แท้จริงของพวกเขา เรื่องราวต่อจากนั้นก็เป็นไปตามที่เจ้าคาดเดา หลังจากบิดาข้าเสีย ข้าใช้ความสามารถตัวเองจนได้เลื่อนเป็นแม่ทัพใหญ่ ในเวลาเดียวกันข้าก็ลอบฝากฝังเหวินซื่อเข้ามาช่วยข้าสืบข่าว อีกทั้งจะเข้ามาด้วยตัวเองปีละครั้ง”


 


 


สิ้นเสียงฉู่เหวินเจี๋ย ภายในห้องเงียบสงัด


 


 


ครู่ใหญ่เมิ่งเชี่ยนโยวถึงพูดขึ้น “ตอนนั้นคนที่เก็บอี้เซวียนได้คือบิดาข้า แต่เขากลับไม่ได้ถูกเลี้ยงดูที่บ้านพวกเรา กระทั่งสองปีก่อนถึงได้ตัวเขากลับมา ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ข้าจะบอกกับท่านวันหลัง ข้าพูดได้เพียงว่า นี่เป็นโชคชะตาฟ้ากลั่นแกล้ง หากอี้เซวียนถูกเลี้ยงดูในครอบครัวข้ามาตลอด ด้วยชื่อเสียงของท่านปู่ข้า จักต้องมีคนพูดปากต่อปาก ไม่แน่ว่าพวกท่านคงเจอบ้านพวกเรา นำตัวอี้เซวียนกลับไปนานแล้ว”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนหันไปยิ้มหวานให้นาง พูดว่า “แต่หากเป็นเช่นนั้นข้าก็จักไม่ได้พบกับเจ้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตกตะลึง แล้วถลึงตาดุดันใส่เขา


 


 


เมิ่งอี้เซวียนก็ไม่กลัวเกรง ยังคงยกยิ้มมองนาง


 


 


เป็นเมิ่งเชี่ยนโยวเองที่ทนรับแววตาคู่นี้ของเขาไม่ได้ ยอมแพ้ราบคาบ เบนสายตามาที่ฉู่เหวินเจี๋ย พูดว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ป้ายหยกสองชิ้นนี้สมควรได้กลับไปอยู่กับเจ้าของเดิม มอบคืนให้อี้เซวียน”


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยพยักหน้า “สิ่งนี้เดิมก็เป็นของเขา มอบให้เขาถูกต้องแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสายตาให้เมิ่งอี้เซวียนเก็บป้ายหยกข้างเตียงขึ้น


 


 


เมิ่งอี้เซวียนหนิบป้ายหยกสองชิ้นขึ้นมา แล้ววางกลับไปข้างกายเมิ่งเชี่ยนโยว พูดว่า “หลังจากข้ากลับเมืองหลวง มีองครักษ์คอยคุ้มกัน ไม่ต้องใช้ของพวกนี้ เจ้าเก็บไว้เถอะ ภายหน้าหากเจอเรื่องยุ่งยาก ไม่แน่ว่าจะเอามาใช้ได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแสดงกิริยาไม่สำรวมพลิกตาขาวใส่เขา พูดว่า “เจ้าก็คือตัวยุ่งยาก หากเจ้าไปแล้ว ข้าจะได้สบายตัวเสียที ไฉนเลยจะเจอเรื่องอันตรายได้อีก”


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยเห็นเมิ่งอี้เซวียนมอบป้ายหยกให้เมิ่งเชี่ยนโยวโดยง่าย ให้ตื่นตกใจ กำลังจะเอ่ยปาก ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวปฏิเสธ ถึงถอนใจโล่งอก ไม่คิดว่าคำพูดต่อมาของเมิ่งอี้เซวียนจะทำให้ลมหายใจที่ผ่อนออกไปของเขาตีกลับขึ้นมาอีกครั้ง


 


 


เมิ่งอี้เซวียนฟังเมิ่งเชี่ยนโยวพูดจบก็ยิ้มอ่อน “ตัวยุ่งยากเช่นข้านี้เจ้าสะบัดไม่หลุดแล้ว เพื่อให้เรื่องยุ่งยากในภายหน้าของข้าลดทอนลง เก็บป้ายหยกนี้ไว้กับเจ้าเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวฟังน้ำเสียงหยอกเอินของเขา ถึงกับสำลักน้ำลายตัวเอง สำลักไอออกมา


 


 


เมิ่งอี้เซวียนรีบเข้าไปตบหลังนาง พูดตำหนิ “เจ้ายังไม่หายดี ไม่ควรตื่นเต้นดีใจจนเกินไป”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหายจากอาการสำลักไอ นิ่งอึ้งมองเมิ่งอี้เซวียนที่เปลี่ยนไปเป็นอีกคนโดยสิ้นเชิง พูดอะไรไม่ออก


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยได้ยินบทสนทนาของพวกเขา คล้ายจะรับรู้ถึงบางสิ่ง ขมวดคิ้วมุ่น พูดว่า “เซวียนเอ๋อร์ ข้าลืมบอกเรื่องหนึ่งกับเจ้า ก่อนที่เจ้าจะเกิด ท่านแม่เจ้าได้หมั้นหมายคุณหนูจวนท่านราชเลขาให้เจ้าไว้แล้ว”


 


 


 


 


[1] 衣袍 อีผาว ชุดคลุมแบบยาว 

 

 


ตอนที่ 251-1 พ่อลูกเผชิญหน้า

 

เมิ่งอี้เซวียนรอยยิ้มแข็งค้าง แล้วกลับคืนสู่สภาพเดิม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแสดงสีหน้าสาแก่ใจ วางป้ายหยกใส่คืนมือเขา พูดว่า “เจ้ารับคืนไปเถอะ ข้าไม่อยากถูกคนตามฆ่าในภายหน้า”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนจับมือนาง วางป้ายหยกใส่มือนาง พูดว่า “หากมีคนกล้าตามฆ่าเจ้า ไม่ว่าเป็นใคร ข้าจักไม่เกรงใจ ให้องครักษ์หลวงฆ่าพวกมันก่อนค่อยว่ากัน”


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยเริ่มไม่เห็นด้วย พูดทักท้วง “เซวียนเอ๋อร์ ป้ายหยกสองชิ้นนี้มีความสำคัญมาก เจ้าอย่าได้ใช้แต่อารมณ์ หากเจ้าไม่วางใจครอบครัวแม่นางเมิ่งจริงๆ ก็ให้มอบป้ายหยกที่ข้าเคยให้นางไว้ แต่ห้ามให้นางทั้งสองชิ้นเด็ดขาด”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนส่ายหน้า “ไม่ต้องแล้ว ท่านน้า ข้าเป็นองค์ชายโอรสท่านอ๋อง รอบกายมีองครักษ์คุ้มครองไม่น้อย ไม่มีทางได้เรียกใช้องครักษ์หลวง ให้พวกเขาอยู่คอยคุ้มครองบิดามารดาข้าทั้งครอบครัวดีกว่า”


 


 


สิ้นเสียงเขา ฉู่เหวินเจี๋ยตื้นตันใจลุกขึ้นยืน ถามเขาอย่างไม่เชื่อ “เซวียนเอ๋อร์ เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนคลี่ยิ้มเรียกเขาอีกครั้ง “ท่านน้า”


 


 


“อือ” ฉู่เหวินเจี๋ยขานรับ ดวงตาเอ่อคลอ น้ำเสียงละล่ำละลักพูดว่า “ข้านึกว่า ข้านึกว่า ข้านึกว่า…”


 


 


“ท่านน้าคิดว่าพอข้าฟังเรื่องที่ท่านเล่าจบ จะตำหนิโทษท่านหรือ?” เมิ่งอี้เซวียนถาม


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยพยักหน้ารัว “ในตอนนั้นเป็นความผิดของน้าจริงๆ น้าไม่ควรทิ้งเจ้าไว้ ทำให้เจ้าต้องทนทรมานอยู่ในชนบทสิบกว่าปี”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนส่ายหน้า “ข้าไม่โทษท่านน้า ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่านในตอนนั้น หากเปลี่ยนเป็นข้า บางทีก็อาจจะทำเช่นนั้น”


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยตื้นตันใจจนน้ำตาไหลเป็นสาย “ดีๆๆ เจ้าไม่โทษน้าก็ดีแล้ว เจ้าวางใจ นับแต่นี้ไป น้าจะเป็นที่พึ่งพิงสำคัญของเจ้า หากมีคนรังแกเจ้า น้าจะไม่ปล่อยมันผู้นั้นไปเด็ดขาด”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนยิ้มหน้าบาน กล่าวด้วยใจจริง “ขอบคุณท่านน้า”


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยดีอกดีใจใหญ่ หากไม่ติดขัดสถานะตนเอง ไม่แน่อาจจะกระโดดโลดเต้นร้องรำแล้วก็เป็นได้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลอบค่อนขอดเมิ่งอี้เซวียนในใจ เจ้าคนแผนสูง ป้อนคำหวานไม่กี่คำก็มัดใจฉู่เหวินเจี๋ยได้ หาร่มโพธิ์ร่มไทรให้ตัวเองได้พึ่งพิง ภายหน้าเติบใหญ่ยังไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนไปเช่นไร ดูท่าภายภาคหน้าตนเองคงต้องอยู่ให้ห่างจากเขายิ่งไกลก็ยิ่งดี


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยยังควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เดินเริงร่าไปมาอยู่ในห้อง


 


 


ตอนที่อ๋องฉีเข้ามา เห็นร่างพลิ้วไหวของเขา ขมวดคิ้วถาม “แม่ทัพฉู่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึ?”


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยยังมีสีหน้าเบิกบาน ตอบกลับด้วยความยินดี “ท่านอ๋อง เซวียนเอ๋อร์เรียกหม่อมฉันว่าท่านน้าแล้ว เขาอภัยให้หม่อมฉันแล้วพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


อ๋องฉีได้ฟังผงะเล็กน้อย จากนั้นมองเมิ่งอี้เซวียนอย่างรอคอย


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเม้มริมฝีปาก ร้องเรียกเสียงแผ่ว “พระบิดา”


 


 


ดวงตาปิติยินดีของอ๋องฉีเบิกโพลง ขานรับคำเสียงรัว


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพูดว่า “ท่านน้าเล่าเรื่องทั้งหมดให้ลูกฟังแล้ว ในตอนนั้นท่านเองก็ไม่มีทางเลือก เป็นลูกที่เข้าใจท่านผิด ขอท่านอภัยให้กับความไม่รู้ความเมื่อครู่ของลูกด้วย”


 


 


อ๋องฉียื่นมือสั่นเทิ้มออกมา ลูบใบหน้าที่เหมือนกับตัวเองราวพิมพ์เดียวกัน น้ำตาเอ่อคลอ พูดว่า “ในตอนนั้นหลังจากที่พ่อรู้ว่าแม่เจ้าตั้งครรภ์ ดีใจจนนอนไม่หลับไปสามคืน คิดภาพฝันกับแม่เจ้าเมื่อเจ้าเกิดแล้วจะเป็นอย่างไร ไม่คิดว่าด้วยเหตุไม่คาดฝันนี้ จะทำให้พวกเราพ่อลูกต้องคลาดกันสิบกว่าปีถึงจะได้พบหน้า เจ้าวางใจ กลับถึงเมืองหลวงพ่อจะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเจ้า มอบสิ่งที่สิบกว่าปีนี้ไม่ได้ให้เจ้าชดเชยคืนให้เจ้าทั้งหมด”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนคลี่ยิ้มหวานละมุน “ขอบพระทัยพระบิดา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทนดูท่าทีจอมปลอมนี้ของเขาต่อไปไม่ไหว หลังจากกลอกตามองบนจนเหลือแต่ตาขาว ก็เอนตัวนอนลง ไม่รู้ไม่เห็นดีที่สุด


 


 


เมิ่งอี้เซวียนรับรู้ได้ถึงปฏิกิริยาของนาง หันไปถามด้วยความเป็นห่วง “เหนื่อยหรือ? หรือว่าไม่สบายตัวตรงไหน?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้ามองเขาเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม


 


 


เมิ่งอี้เซวียนหน้าแดงเรื่อ


 


 


อ๋องฉีและฉู่เหวินเจี๋ยที่ตกอยู่ในห้วงความยินดีมิได้สังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้


 


 


เสียงรายงานขององครักษ์ดังขึ้นจากด้านนอก “ท่านอ๋อง คนทั้งหมดถูกโบยเสียชีวิตหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ จะให้โยนศพพวกเขาทิ้งในที่รกร้าง หรือขนกลับไปเสียบประจานในเมืองสามวันพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


อ๋องฉีที่เพิ่งจะถูกเมิ่งอี้เซวียนร้องเรียกพระบิดา ตื้นตันเบิกบานใจ ได้ฟังดังนั้นยิ่งอยากแสดงบารมีต่อหน้าโอรสตนเอง สั่งการองครักษ์ “ถ่ายทอดคำสั่งถึงเจ้าเมืองประจำมณฑล ให้เขามาลากคนทั้งหมดไปเสียบประจานหน้าประตูเมืองสามวัน”


 


 


องครักษ์รับคำ จากไปโดยไว


 


 


เมิ่งอี้เซวียนหันไปพูดกับคนทั้งสอง “พระบิดา ท่านน้า โยวเอ๋อร์เหนื่อยแล้ว ต้องการพักผ่อน เชิญพวกท่านทั้งสองออกไปก่อนเถิด”


 


 


“อ่อ ได้” ฉู่เหวินเจี๋ยหัวเราะร่า “ข้าจะออกไปเดี๋ยวนี้ ให้แม่นางเมิ่งได้พักผ่อนให้เต็มที่”


 


 


อ๋องฉีกลับถามอย่างคาดหวัง “เซวียนเอ๋อร์ เจ้าตามไปที่ห้องพ่อได้หรือไม่ ไปเล่าเรื่องเรื่องราวที่เกิดขึ้นช่วงหลายปีนี้ให้พ่อฟัง”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนคลี่ยิ้มปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม “พระบิดา โยวเอ๋อร์บาดเจ็บสาหัส หม่อมฉันต้องดูแลนาง เอาไว้พวกเรากลับถึงเมืองหลวง หม่อมฉันจะเล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้ท่านฟัง”


 


 


แม้อ๋องฉีจะผิดหวัง แต่เมิ่งอี้เซวียนยอมเอ่ยปากเรียกตนเองว่าพ่อแล้ว จึงไม่กล้าเรียกร้องอีก ผงกศีรษะพูดว่า “ได้ พ่อจะไปสั่งการเดี๋ยวนี้ วันพรุ่งพวกเราจะเดินทางกลับเมืองหลวง”


 


 


พูดจบ เดินออกไปพร้อมฉู่เหวินเจี๋ย


 


 


เซวียนเอ๋อร์นั่งบนม้านั่งข้างเตียง พูดเสียงละมุน “พักสักหน่อยเถอะ ข้าจะเฝ้าเจ้าอยู่ตรงนี้เอง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวฝืนทนต่อไปไม่ไหว ยื่นมือออกมาลูบคลำใบหน้าเขา ปากพูดงึมๆ งำๆ “เมิ่งอี้เซวียน ใช่เจ้าจริงๆ หรือ? มิได้เป็นใครปลอมตัวมาหรอกนะ?”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนปล่อยให้นางลูบจับจนหนำใจ ถึงจับมือนางมาพูดเสียงเบา “โยวเอ๋อร์ ขอเพียงเป็นเรื่องที่ดีกับเจ้า ต่อให้ไม่ยินดี ข้าก็จะทำ อีกทั้งพวกเขาก็เป็นพระบิดาและท่านน้าข้า เรียกพวกเขาก็เหมาะสมแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพลันขนลุกชูชัน ชักมือตัวเองกลับ พูดว่า “นี่เป็นเรื่องของเจ้า ไม่เกี่ยวกับข้า อย่าลากข้าเข้าไปเอี่ยวด้วย พอเจ้ากลับเมืองหลวงแล้ว พวกเราก็ทางใครทางมัน ชีวิตนี้ไม่ต้องพบเจอกันอีก”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนร่างแข็งทื่อ แล้วกลับสู่สภาพเดิมพลัน ห่มผ้าให้นาง เบี่ยงบ่ายไปเรื่องอื่น “เจ้าเหนื่อยมามากแล้ว พักผ่อนก่อนเถอะ มีเรื่องอะไรไว้เจ้าตื่นแล้วค่อยพูดกัน”


 


 


ดึงดันมาครึ่งวัน เมิ่งเชี่ยนโยวก็เหนื่อยมากจริงๆ แล้ว หลับตาลง อึดใจเดียวก็เข้าสู่ห้วงนิทรา


 


 


เมิ่งอี้เซวียนมองนางยามหลับ ความรู้สึกล้านพันกลอกกลิ้งในแววตา ในที่สุดก็สลายหายไป กลับมาเงียบสงบ ลุกขึ้นแผ่วเบา เดินมาหน้าห้องอ๋องฉี


 


 


พ่อบ้านที่เฝ้ารับใช้ด้านนอกเห็นเขาเข้ามา ลุกลนทำความคำนับ ร้องเรียกอย่างอ่อนน้อม “องค์ชาย”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าถาม “พระบิดาอยู่ในห้องหรือไม่? ข้ามีเรื่องจะพบเขา”


 


 


อ๋องฉีได้ยินเสียงเขาแล้ว ไม่รอให้พ่อบ้านตอบ ก็ตอบอย่างไม่รีรอ “เซวียนเอ๋อร์ พ่ออยู่ในนี้ เจ้าเข้ามาเถอะ”


 


 


พ่อบ้านเปิดม่านประตู เมิ่งอี้เซวียนเดินเข้ามาในห้อง


 


 


อ๋องฉีนั่งอยู่บนเก้าอี้ กำลังสั่งการแผนการเดินทางเข้าเมืองหลวงในวันพรุ่งนี้แก่หัวหน้าองครักษ์ เห็นเขาเข้ามาในห้อง หันไปสั่งการองครักษ์ “พวกเราจะกลับในวันพรุ่งยามซื่อ[1] ถึงตอนนั้นให้เจ้าพาคนคุ้มกันส่งแม่นางเมิ่งให้ถึงบ้านอย่างปลอดภัยด้วย”


 


 


องครักษ์รับคำ “พ่ะย่ะค่ะ” แล้วเดินออกไป


 


 


อ๋องฉีมิได้ลุกขึ้น ร้องถามด้วยความยินดี “เซวียนเอ๋อร์ เจ้ามีธุระกับพ่อหรือ?”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนแสดงคำนับชุดใหญ่แก่เขา พูดว่า “วันพรุ่งลูกต้องการจะคุ้มกันส่งโยวเอ๋อร์กลับบ้านด้วยตัวเองพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


อ๋องฉีตกใจผงะ พูดคัดค้านว่า “ไม่ได้ หลายวันมานี้แม่นางเมิ่งสลบไสลไม่ได้สติ เจ้าต้องการเฝ้านางข้างเตียง เห็นแก่ที่ครอบครัวพวกเขาเลี้ยงดูเจ้ามา พ่อจึงยอมอนุญาต ไม่บังคับเจ้ากลับเมืองหลวง ตอนนี้จัดการเรื่องราวทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว พวกเราก็สมควรกลับไปได้แล้ว พระมารดาเจ้าที่เมืองหลวงไม่รู้ว่าเฝ้ารอเพียงใด ยังมีเสด็จลุงของเจ้า วันแรกที่ทรงได้รับทราบข่าว พระองค์ก็ส่งคนมากำชับให้พ่อรีบพาเจ้ากลับเมืองหลวง บัดนี้เพื่อแม่นางเมิ่งพวกเราเสียเวลามาหลายวันแล้ว ไม่อาจล่าช้าต่อไปได้อีก พ่อสั่งการเรียบร้อยแล้ว วันพรุ่งพวกเราจะเดินทางกลับเมืองหลวงแต่เช้า สำหรับแม่นางเมิ่ง เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง พ่อจะให้คนพานางไปส่งถึงบ้านอย่างปลอดภัยเอง”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “โยวเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บเพราะลูก ลูกจะต้องไปส่งนางถึงบ้านด้วยตัวเองถึงจะวางใจได้ อีกอย่าง สกุลเมิ่งเลี้ยงดูลูกมา ลูกสมควรกลับไปบอกลาพวกเขา มิใช่หายไปโดยไม่บอกไม่กล่าวเช่นนี้”


 


 


เอ่ยถึงเรื่องได้รับบาดเจ็บ อ๋องฉีคล้ายจะขุ่นเคือง น้ำเสียงเจือแววเ**้ยมเกรียม “แม่นางเมิ่งคนนี้ล่วงรู้สถานะของเจ้าตั้งแต่ปีที่แล้ว กลับปิดบังมาถึงบัดนี้ ที่เจ้าต้องประสบวิบากกรรมครั้งนี้ ล้วนมาจากฝีมือนางทั้งสิ้น หากไม่เห็นแก่ที่นางยอมสละชีวิตช่วยเจ้า มีรึที่พ่อจะปล่อยให้นางมีชีวิตมาถึงตอนนี้? ถือว่านางได้ทำคุณไถ่โทษ พ่อจึงยอมไว้ชีวิตนางสักครั้ง จะอนุญาตให้เจ้าส่งนางกลับไปด้วยตัวเองอีกได้อย่างไร สำหรับสกุลเมิ่งนั้น พ่อคิดเอาไว้แล้ว หลังจากกลับถึงเมืองหลวง พ่อจะประทานเงินให้พวกเขาหนึ่งหมื่นตำลึง เพียงพอให้พวกเขาทั้งครอบครัวมีกินมีใช้สุขสบายไปทั้งชีวิต”


 


 


“พระบิดายืนยันที่จะไม่อนุญาตใช่หรือไม่?” เมิ่งอี้เซวียนถามเสียงเบา


 


 


อ๋องฉีพยักหน้า “เจ้าเป็นถึงโอรสแห่งอ๋อง มีสถานะสูงศักดิ์ ต่อไปอย่าได้มีความเกี่ยวข้องกับคนเช่นนี้อีก คนในเมืองหลวงจักนำไปนินทาสนุกปากได้”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนขมวดคิ้วคู่งามเล็กน้อย ยืดสันหลังตรง จ้องมองอ๋องฉีเขม็ง ถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “หากหม่อมฉันดึงรั้นจะไปส่งนางเล่า?”


 


 


อ๋องฉีมองดวงตาเมิ่งอี้เซวียน หัวใจกระตุกวูบ เห็นเพียงดวงตากลมโตที่เหมือนตนเองราวพิมพ์เดียวกัน ใสกระจ่าง แวววาว มีความเด็ดขาดไร้การร้องขอที่เจือแววประหัตประหารล้างผลาญ ราวกับว่าหากตนเองไม่ยินยอมทำตามคำขอ ให้ตายเขาก็จะไม่กลับไปกับตนเอง


 


 


จ้องมองดวงตาคู่นี้แล้ว อ๋องฉีจำต้องกลืนคำพูดคัดค้านที่ปลายลิ้นกลับลงไป


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเห็นเขาเริ่มผ่อนคลายลง จึงผ่อนน้ำเสียงลง “ลูกรับปากพระบิดา หลังจากส่งโยวเอ๋อร์ถึงบ้านอย่างปลอดภัย ลูกจะกลับเมืองหลวงไปกับท่านทันทีพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


อ๋องฉีพลันรู้สึกอย่างประหลาดว่าภายหน้าตนเองไม่อาจควบคุมโอรสองค์นี้ได้ เผยอปาก ไม่ได้พูดสิ่งใดออกมา


 


 


เมิ่งอี้เซวียนยืนสงบนิ่งเบื้องหน้าเขา รอการตัดสินใจจากเขา


 


 


 


 


 


 


[1] ยามซื่อ คือเวลา 9.00-11.00 น. 

 

 


ตอนที่ 251-2 พ่อลูกเผชิญหน้า

 

อ๋องฉีก็มองโอรสที่เพิ่งจะมีอายุได้สิบเอ็ดชันษาเศษอย่างสุขุม ความรู้สึกมากมายประดังประเดเข้ามา ทำได้เพียงถอนหายใจ พูดรอมชอม “เอาเถอะ เมื่อเจ้ายืนกรานเช่นนี้ พวกเราจะไปส่งแม่นางเมิ่ง แต่เจ้าต้องรับปากพ่อ นี่จะเป็นครั้งสุดท้าย นับแต่นี้ไปเจ้าและพวกเขาจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนมิได้รับคำ เพียงกล่าวขอบคุณ “ขอบพระทัยพระบิดา”


 


 


อ๋องฉีกล่าวว่า “เมื่อพวกเราจะไปส่งแม่นางเมิ่งกลับบ้าน ก็ไม่ต้องรอเดินทางวันพรุ่งแล้ว ประเดี๋ยวพอนางตื่น ให้จัดเก็บข้าวของ ส่งนางกลับไปโดยเร็วเถอะ”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนกล่าวขอบคุณอีกครั้ง เดินออกมาจากห้องอ๋องฉี


 


 


หลังจากเขาจากไป อ๋องฉีนั่งบนเก้าอี้ภายในห้องเป็นเวลานาน ถึงเปล่งเสียงเรียกพ่อบ้าน


 


 


พ่อบ้านที่คอยเฝ้าหน้าประตูรับคำเดินเข้ามา เรียกขานด้วยความอ่อนน้อม “ท่านอ๋อง”


 


 


อ๋องฉีซักถามเขา “พ่อบ้าน เจ้าคิดว่าองค์ชายเป็นอย่างไร เหตุใดข้าถึงรู้สึกไม่เข้าใจเด็กคนนี้เลย?”


 


 


พ่อบ้านได้ยินบทสนทนาของสองพ่อลูกด้านนอกประตู ไม่รู้ว่าเหตุใดอ๋องฉีที่ไม่เคยยอมให้ใครควบคุมถึงยอมเปลี่ยนความคิด รับปากจะส่งแม่นางน้อยคนนั้นกลับไป ตอบอย่างระมัดระวัง “องค์ชายได้รับการเลี้ยงดูจากครอบครัวนั้นแต่เยาว์ ย่อมต้องมีความรู้สึกที่ลึกซึ้งเป็นธรรมดา การจะส่งแม่นางเมิ่งกลับไปด้วยตัวเองจึงเป็นสิ่งที่พอจะเข้าใจได้บ้างพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


อ๋องฉีพยักหน้า พูดว่า “เจ้าเด็กคนนี้ดูภายนอกเหมือนจะพูดง่าย ในความเป็นจริง…” ความเป็นจริงคืออะไร ครุ่นคิดเป็นนานสองนาน ก็ไม่ได้พูดออกมา ทำได้เพียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ พูดอย่างอ่อนแรง “ช่างเถอะ สรุปคือข้าติดค้างกับเขาไว้มาก เรื่องนี้ตามใจเขาเถอะ เจ้าสั่งการออกไป ให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม พอแม่นางเมิ่งฟื้น พวกเราจะเดินทางส่งนางกลับไปทันที”


 


 


พ่อบ้านย่อมไม่กล้าถามถึงคำที่ยังไม่ได้เอื้อนเอ่ยออกมาของอ๋องฉีว่าคืออะไร น้อมรับคำแล้วเดินออกไป สั่งการทุกคนให้เตรียมพร้อม


 


 


อ๋องฉีนั่งบนเก้าอี้ ในสมองปรากฏภาพดวงตาเมื่อครู่ของเมิ่งอี้เซวียนอีกครั้ง หัวใจยังคงเต้นกระเพื่อมรุนแรง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวย่อมไม่รู้เรื่องทั้งหมดนี้ หลังจากนอนหลับสบายหนึ่งตื่น ลืมตาขึ้นเห็นเมิ่งอี้เซวียนกำลังนั่งข้างหน้าต่าง แย้มยิ้มมองนาง


 


 


ไม่รอให้นางเอ่ยปาก น้ำเสียงน่าฟังของเมิ่งอี้เซวียนก็ดังขึ้น “ตื่นแล้วหรือ?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกรอกตามองบน พูดว่า “รู้แล้วยังจะถาม”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนหัวเราะในลำคอ “ตื่นแล้วก็ลุกขึ้นเถอะ พระบิดาจะส่งเจ้ากลับบ้านก่อน พวกเราค่อยกลับเมืองหลวง”


 


 


อาการงัวเงียที่เหลือบางเบาของเมิ่งเชี่ยนโยวพลันกระเจิดกระเจิง ลืมว่าตัวเองยังบาดเจ็บ ทะลึ่งพรวดลุกขึ้นนั่ง กลับกระทบถูกบาดแผล เจ็บจนร้อง “ซี้ด” ล้มตัวกลับไป


 


 


เมิ่งอี้เซวียนลุกขึ้นยืน ร้อนรนถาม “เป็นอย่างไรบ้าง แผลปริหรือไม่ ทำไมเจ้าไม่รู้จักระวังบ้าง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่มีเวลาสนใจความเจ็บปวด โบกมือให้เมิ่งอี้เซวียนเป็นพัลวัน “เจ้าไปบอกท่านอ๋อง น้ำใจเขาข้าขอน้อมรับด้วยใจ ขอเขาเก็บคืนคำสั่ง ไม่ต้องไปส่งข้ากลับบ้าน พวกเจ้ารีบกลับเมืองหลวงเถอะ”


 


 


คล้ายว่าเมิ่งอี้เซวียนจะคาดเดาได้ว่านางจะพูดเช่นนี้ หลังจากตรวจดูบาดแผลนางอย่างละเอียด ไม่พบว่ามีเลือดไหลซึมออกมา ให้โล่งใจแล้วพูดว่า “สองวันมานี้เจ้าก็เห็นแล้ว พระบิดาข้าเป็นคนไม่ชอบให้คนอื่นขัดคำสั่งเขา เมื่อเขาพูดว่าจะไปส่งเจ้ากลับบ้านก่อน ก็จะต้องไปส่งเจ้า ข้าจะให้เขาเปลี่ยนความคิดได้อย่างไร”


 


 


ด้วยความกระวนกระวายใจ ทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวเชื่อวาจาของเขาสนิทใจ รีบร้อนถาม “เมื่อครู่เขามิได้บอกว่าจะกลับเมืองหลวงวันพรุ่งหรือ? เหตุใดถึงเปลี่ยนความคิดกะทันหัน?”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนกลิ้งกลอกนัยน์ตาแวบหนึ่ง พูดว่า “ข้าก็ไม่รู้ พอเจ้าหลับไป ข้าก็เฝ้าอยู่ข้างกายเจ้า เขาเพิ่งจะส่งคนมาบอกข้าเมื่อครู่ บอกว่าพอเจ้าฟื้น จะคุ้มกันส่งเจ้ากลับบ้าน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มอยากจะร้องไห้แล้ว เดิมนางคิดว่าพอกลับไป จะบอกทุกคนว่า มีคนจำเมิ่งอี้เซวียนได้ พาตัวเขากลับไปแล้ว สำหรับสถานะของครอบครัวนั้นนางไม่ได้สอบถาม ไม่คิดว่าท่านอ๋องตัวดีคนนี้จะทำเรื่องให้มากความ ไปส่งนางเอง เช่นนั้นสถานะของเมิ่งอี้เซวียนก็จะถูกเปิดเผย ต่อไปก็จะมีคนไม่น้อยมาประจบเอาใจครอบครัวตนเอง ทำให้ครอบครัวตนเองไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขอีกต่อไป


 


 


คิดได้เช่นนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวก็กัดฟัน พูดว่า “เจ้าพยุงข้าออกไป ข้าจะไปบอกให้ท่านอ๋องถอนคืนคำสั่ง”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนที่ประคองมือนางชะงักค้าง แล้วพูดปดว่า “ทางที่ดีเจ้าอย่าไปเลย เมื่อครู่ไม่รู้เขาบันดาลโทสะเรื่องใด ตอนนี้กำลังกระฟัดกระเฟียด เจ้าเข้าไปตอนนี้ ไม่แน่ว่าเขาจะมาระบายอารมณ์กับเจ้าแทน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถูกเขาพูดขู่ ร้อนรนถาม “เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี? จักให้พวกเจ้าไปส่งข้ากลับไปจริงๆ เรอะ เช่นนั้นต่อไปครอบครัวพวกเราคงไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขอีกต่อไป”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนปลอบใจนาง “วางใจเถอะ เรื่องในภายหน้าข้าจะจัดการเอง รับรองว่าจะไม่มีใครไปรบกวนความเป็นอยู่ของพวกเจ้าเด็ดขาด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามเขาอย่างไม่เชื่อ “จริงนะ?”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าหนักแน่น ใบหน้าขึงขัง “จริงสิ ข้ารับประกัน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างกังขาครู่หนึ่ง เห็นเขาไม่เหมือนกำลังโกหก กัดฟันพูด “ข้าจะเชื่อเจ้าสักครั้ง หากเจ้าพูดได้ทำไม่ได้ พอข้าหายดี ข้าจะเข้าเมืองหลวง ให้เจ้าไม่มีวันได้อยู่อย่างสงบสุข”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนโพล่งหัวเราะ สั่งการสาวใช้ด้านนอก “ไปบอกท่านอ๋อง บอกว่าแม่นางเมิ่งตื่นแล้ว พอนางกินอะไรเล็กน้อยเสร็จ พวกเราก็จะออกเดินทางทันที”


 


 


สาวใช้ขานรับคำ เสียงฝีเท้าดังไกลออกไป ไม่นานส่วนสาวใช้อีกคนก็ยกถ้วยโจ๊กเข้ามา


 


 


เมื่อครู่เมิ่งเชี่ยนโยวกระชากถูกบาดแผล ทำให้เจ็บแขนมาก ดังนั้นเมิ่งอี้เซวียนจึงต้องป้อนโจ๊กให้นาง


 


 


พอกินโจ๊กเสร็จ พักครู่หนึ่ง อ๋องฉีก็ให้คนมาถ่ายทอดคำสั่งว่าออกเดินทางได้


 


 


เมิ่งอี้เซวียนปฏิเสธการช่วยเหลือของสาวใช้ ประคองเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นไปนั่งบนรถม้าโอ่อ่าด้วยตัวเอง จากนั้นก็ตามเข้าไปนั่งด้วย


 


 


อ๋องฉีรู้สึกว่าไม่เหมาะสม คิดจะตำหนิเขา ครั้นพอคิดถึงตอนที่ประสานดวงตาคู่นั้นของเมิ่งอี้เซวียน ก็กลืนคำพูดกลับลงไป แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ขึ้นไปนั่งบนรถม้าของตัวเอง


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยกลับไม่ได้คิดถึงเรื่องพวกนี้ สั่งการทหารนำขบวนให้ออกเดินทางอย่างปิติยินดี มุ่งหน้าไปยังตำบลชิงซี


 


 


เนื่องจากเมิ่งเชี่ยนโยวได้รับบาดเจ็บ รถม้าวิ่งอย่างเชื่องช้า วันที่สามช่วงเช้าถึงมาถึงอำเภอชิงเหอ ในตอนนี้ เหวินเปียวและเหวินหู่ที่เข้ามารับคนปะทะเข้ากับขบวนนำส่ง จึงหักเลี้ยวกลับ บังคับรถม้าตามรั้งท้ายขบวนรถม้ากลับไป


 


 


ทหารนำขบวนขี่ม้าเร็วมาบอกเปาชิงเหอไว้ก่อนแล้ว


 


 


เปาชิงเหอและเปาอีฝานนำขบวนเจ้าหน้าที่มารอหน้าประตูเมือง เห็นรถม้าอ๋องฉีเข้ามา ต่างคุกเข่าคารวะโดยพร้อมเพรียง


 


 


อ๋องฉีมิได้เปิดม่านรถขึ้น สั่งพ่อบ้านให้พวกเขาลุกขึ้นได้ ทั้งสั่งให้เดินขบวนต่อไป


 


 


ผู้ว่าการตำบลชิงซีรับทราบข่าวการมาถึงของท่านอ๋อง ตกใจขาสั่นพั่บๆ ออกมาต้อนรับไกลจากประตูเมืองถึงสามลี้


 


 


อ๋องฉีไม่ได้สนใจเขา ขบวนก็ไม่หยุดเดิน


 


 


กระทั่งขบวนทั้งหมดผ่านไป ผู้ว่าการตำบลถึงเช็ดเหงื่อ ถามเปาชิงเหอที่ติดตามมาตลอดทางอย่างระวัง “ท่านใต้เท้าเปา เหตุใดท่านอ๋องถึงมาตำบลชิงซีได้? เกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้นหรือ?”


 


 


เปาชิงเหอมองเขาแวบหนึ่ง บอกเขาด้วยความหวังดี “น้องชายแม่นางเมิ่งคือโอรสองค์โตของอ๋องฉีที่สูญหายไปนานหลายปี”


 


 


ผู้ว่าการได้ฟังดังนั้น ตกใจนั่งก้นจ้ำเป้าไปกับพื้น เจ้าหน้าที่สองสามนายร่วมแรงกันถึงพยุงเขาขึ้นมาได้


 


 


ผู้ว่าการมองขบวนด้านหน้า ให้รู้สึกเย็นยะเยือกที่ลำคอ


 


 


ความจริงสองพ่อลูกสกุลเปาก็ตกตะลึงพรึงเพริด ไม่คิดว่าคนที่พวกเขาตามหามานานหลายปี จะเป็นน้องชายของเมิ่งเชี่ยนโยว โดยเฉพาะเปาอีฝาน นับแต่ที่เมิ่งเชี่ยนโยวช่วยชีวิตฉู่เหวินเจี๋ยไว้ ก็ได้กำชับให้เขาคอยดูแลเอาใจใส่เมิ่งเชี่ยนโยว ปกติพวกเขาไปมาหาสู่กันตลอด กลับไม่เคยสังเกตเห็นการมีอยู่ของเมิ่งอี้เซวียน


 


 


เมิ่งต้าจินที่ได้รับทราบข่าวว่าท่านอ๋องจะมา ก็มึนงง จากนั้นถึงบอกเมิ่งจงจวี่เรื่องชาติกำเนิดของอี้เซวียน


 


 


เมิ่งจงจวี่ได้ฟังตกใจผงะอึ้ง ยืนนิ่งไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง


 


 


เมิ่งต้าจินร้องเรียกเขาหลายครั้ง เมิ่งจงจวี่ถึงได้สติกลับมา บอกเมิ่งต้าจินด้วยริมฝีปากสั่นระริก “รีบไปบอกตี้ซือว่าท่านอ๋องมาแล้ว”


 


 


เมิ่งต้าจินไม่ทันได้รับคำก็วิ่งแนบออกไป


 


 


เมิ่งจงจวี่สั่งการเมิ่งเหรินอีก “รีบไปบอกหัวหน้าสกุลต่างๆ ให้พวกเขาออกมาต้อนรับท่านอ๋อง”


 


 


เมิ่งเหรินรับคำเร่งฝีเท้าวิ่งออกไป


 


 


“เร็วเข้าๆๆ เอาเสื้อผ้าชุดใหม่ของข้าออกมา ข้าต้องรีบไปต้อนรับท่านอ๋องหน้าหมู่บ้าน” ครั้นคนทั้งสองวิ่งออกไปแล้ว เมิ่งจงจวี่เร่งเร้าสั่งการหญิงชราเมิ่งอีกครั้ง


 


 


หญิงชราเมิ่งผลุนผลันเข้าไปหยิบเสื้อผ้าของเขาออกมา


 


 


เมิ่งจงจวี่แต่งกายสุภาพเรียบร้อย ไม่ใช้ไม้เท้าแล้ว ก้าวอาดๆ ออกไป เดินมาถึงหน้าหมู่บ้าน


 


 


หัวหน้าสกุลต่างๆ ที่พอได้ยินเมิ่งเหรินมาแจ้งข่าว ตื่นเต้นยินดียิ่งกว่าเมิ่งจงจวี่ ต่างแต่งกายด้วยชุดใหม่เอี่ยม เร่งรุดมาที่หน้าหมู่บ้าน


 


 


ตี้ซือก็ไม่คิดว่าท่านอ๋องจะเข้ามาด้วยตัวเอง ตกใจพาคนทั้งครอบครัวมาถึงหน้าหมู่บ้าน


 


 


สองสามีภรรยาเมิ่งยิ่งไม่ต้องพูดถึง พอได้ยินว่าอี้เซวียนเป็นโอรสท่านอ๋อง สมองพลันว่างเปล่า เดินแข็งทื่อพาคนทั้งหมดมาถึงหน้าหมู่บ้าน


 


 


ขบวนรถจอดเทียบหน้าหมู่บ้านหวง เมิ่งต้าจินนำคนทั้งหมดคุกเข่าต้อนรับ


 


 


พ่อบ้านเปิดม่านรถขึ้น อ๋องฉีลงจากรถม้า กวาดตามองแวบหนึ่ง เห็นตี้ซือก็คุกเข่าอยู่ด้วย เดินไปตรงหน้าเขา ตวาดถามเสียงลั่น “โจวหยวน เจ้ารู้ผิดหรือไม่?” 

 

 


ตอนที่ 252 ถอนหมั้น

 

โจวหยวนร่างสั่นเทิ้ม ตอบอย่างสั่นผวา “หม่อมฉันรู้ผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


หัวหน้าสกุลต่างๆ เห็นอ๋องฉีมาถึงก็ถามหาความผิดท่านอาจารย์โจว ให้นึกกังขา ต่างคาดเดาสถานะของท่านอาจารย์โจวไปต่างๆ นานา


 


 


อ๋องฉียังคงเคืองโกรธ พูดว่า “เจ้าช่างบังอาจนัก รู้ที่อยู่ขององค์ชาย กลับปิดบังไม่รายงาน ทำให้องค์ชายเกือบต้องจบชีวิต เจ้าเป็นตี้ซือ ย่อมต้องรู้แก่ใจถึงจุดจบหากไม่รายงานนี้ วันนี้จงจบชีวิตตนเองเสียเถอะ”


 


 


โจวหยวนไม่คิดว่าพออ๋องฉีมาถึงก็จะลงทัณฑ์เอาผิดเขา ไม่แม้แต่จะให้เขาได้อธิบายความก่อน หลับตาลงพูดว่า “นี่เป็นความผิดของหม่อมฉันแต่ผู้เดียว ขอท่านอ๋องละเว้นครอบครัวหม่อมฉันด้วยพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


อ๋องฉีแค่นเสียงหึ “เห็นแก่ที่เจ้าให้การศึกษาข้ามาหลายปี ข้าจะเมตตาให้สักครั้ง แม้จะรอดจากโทษตาย ทว่าโทษเป็นไม่อาจเลี่ยง ลงโทษพวกเขาไปอยู่ดินแดนทุรกันดาร ชีวิตนี้ไม่ต้องกลับมาอีก”


 


 


พอคิดว่าบุตรชายทั้งสองของตนเองล้วนเป็นปราชญ์ผู้ทรงความรู้ ร่างกายมิได้แข็งแรงกำยำ หากถูกส่งไปยังถิ่นทุรกันดาร เกรงว่าจะตายก่อนที่จะถึงท้องถิ่นนั้น อีกทั้งยังมีคนแก่และเด็ก โจวหยวนโขกศีรษะสุดแรง พูดร้องขออีกครั้ง “ท่านอ๋องโปรดประทานอภัยให้ครอบครัวหม่อมฉันด้วยเถิด หม่อมฉันยินดีจะรับผิดแต่เพียงผู้เดียว”


 


 


อ๋องฉีบันดาลโทสะ “โจวหยวน อย่าคิดว่าเจ้าเคยเป็นตี้ซือก็จะกำแหงกล้าต่อต้านคำสั่งข้า ข้ามีเมตตาให้เจ้ามากแล้ว หากเป็นคนอื่น เจ้าน่าจะรู้ว่าจะมีจุดจบเช่นใด”


 


 


โจวหยวนจ้องมองท่าทีดุดันเกรี้ยวกราดของอ๋องฉี คิดถึงตอนที่เขาสั่งโบยคนทั้งหมดตายทั้งเป็น หัวใจจมดิ่งสู่ห้วงเหวลึก


 


 


“พระบิดา!” เสียงเมิ่งอี้เซวียนดังขึ้น


 


 


อ๋องฉีมองไปที่เขา


 


 


เมิ่งอี้เซวียนย่างกายเดินมาตรงหน้าเขา แหงนใบหน้าเจิดจ้าละมุน วิงวอนร้องขอ “ลูกคุ้นชินกับการสอนสั่งจากท่านอาจารย์โจวแล้ว ขอท่านให้อภัยพวกเขาทั้งครอบครัว ส่งพวกเขากลับไปสอนข้ายังเมืองหลวง เพื่อทำคุณไถ่โทษด้วยเถิด”


 


 


คำพูดนี้ดังก้องเข้าไปในโสตประสาทโจวหยวน ไพเราะดั่งเสียงสวรรค์ ทำให้หัวใจที่จมดิ่งของเขา กลับมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพูดต่อ “หนึ่งปีกว่าที่ผ่านมานี้ ท่านอาจารย์สอนสั่งลูกมากมาย ชีวิตนี้ลูกใช้ไม่มีวันหมด ลูกหวังว่าต่อไปจะยังเป็นเขามาให้การศึกษาลูก เช่นนี้ก็จะได้ไม่เสื่อมเสียมาถึงวังท่านอ๋องได้”


 


 


โจวหยวนเป็นตี้ซือ ให้การศึกษาเหล่าพระราชโอรสของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจนเติบใหญ่ อ๋องฉีย่อมรู้ความสามารถของเขาดี เมื่อครู่เพียงข่มขวัญด้วยโทสะครุกรุ่น ได้ยินคำวิงวอนจากอี้เซวียน โทสะที่มีให้สลายไป ขบคิดใคร่ครวญครู่หนึ่ง ก็รู้สึกว่าเขาเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการให้การศึกษาอี้เซวียน ผ่อนคลายน้ำเสียงลง พูดว่า “โจวหยวน บัดนี้เซวียนเอ๋อร์ขอร้องให้เจ้า ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า ทั้งสั่งให้เจ้ากลับเมืองหลวงพร้อมพวกเราในวันพรุ่ง ตั้งใจสอนสั่ง สำหรับครอบครัวเจ้านั้น ก็ให้กลับไปด้วยกัน หวังว่าต่อไปเจ้าจะสอนสั่งเซวียนเอ๋อร์อย่างสุดความสามารถ ไม่เช่นนั้นบัญชีทั้งเก่าและใหม่ข้าจะคิดรวบยอดทีเดียว ชีวิตคนในครอบครัวเจ้าก็ยากจะรักษาไว้”


 


 


โจวหยวนไม่คิดว่าคำพูดไม่กี่คำของเมิ่งอี้เซวียนจะเปลี่ยนความคิดอ๋องฉีได้ ปลาบปลื้มยินดี โขกศีรษะเต็มแรงอีกครั้ง “ขอบพระทัยท่านอ๋อง ขอบพระทัยองค์ชาย โจวหยวนขอใช้ชีวิตเป็นประกัน จักตั้งใจสอนสั่งองค์ชายสุดความสามารถ ไม่ทำให้ท่านอ๋องต้องผิดหวังเด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“เช่นนั้นก็ดี” อ๋องฉีพูด


 


 


เมิ่งอี้เซวียนก้าวมาข้างหน้า พยุงโจวหยวนขึ้น “ท่านอาจารย์อายุมาก ไม่ต้องคุกเข่าแล้ว”


 


 


โจวหยวนที่เพิ่งเดินวนเวียนเบื้องหน้าความเป็นความตาย จิตใจยังประหวั่นไม่หาย หลังจากกล่าวขอบคุณอี้เซวียนเสียงสั่นเครือ ร่างสั่นเทิ้มก็ค่อยๆ ลุกขึ้น


 


 


หัวหน้าสกุลต่างๆ และชาวบ้านที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ ได้ทราบสถานะที่แท้จริงของโจวหยวน ไม่วายลอบทอดถอนใจ ตี้ซือมาอาศัยอยู่หมู่บ้านตนเองหนึ่งปี เป็นเกียรติประวัติอย่างหาที่สุดไม่ได้ ครั้นเห็นอ๋องฉีคิดจะสังหารเขาด้วยเพราะเขาไม่แจ้งข่าวในทันที ยิ่งให้ขยาดกลัวอ๋องฉี ต่างก้มหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเดินมาเบื้องหน้าเมิ่งจงจวี่ แย้มยิ้มร้องเรียก “ท่านปู่!”


 


 


เมิ่งจงจวี่ลนลานพูด “องค์ชายทำหม่อมฉันอายุสั้นแล้ว หม่อมฉันไม่บังอาจให้องค์ชายเรียกขานเช่นนี้หรอกพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนยิ้มพูด “ท่านปู่ ไม่ว่าข้าจะมีสถานะเช่นใด สกุลเมิ่งจะเป็นบ้านของข้าตลอดไป ท่านเองก็จะเป็นท่านปู่ของข้าตลอดไป”


 


 


คำพูดนี้น่าประทับจิตประทับใจนัก เป็นดังคาด หลังจากเมิ่งจงจวี่ได้ฟัง ให้ตื้นตันน้ำตารื้นขอบตาพร่ำพูดว่า “ดีๆๆ”


 


 


อ๋องฉีได้ฟังกลับขมวดคิ้วมุ่น


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเข้าไปประคองเมิ่งจงจวี่ลุกขึ้น ยิ้มเดินมาหน้าสองสามีภรรยาเมิ่ง พูดว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นเผยอปาก ไม่กล้าขานรับ น้ำตาอุ่นเอ่อคลอเบ้าตา


 


 


เมิ่งชื่อยกมือขึ้น คิดจะลูบศีรษะเขา ครั้นนึกถึงสถานะในตอนนี้ของเขา จำต้องชักมือกลับ แล้วมองไปที่ด้านหลังเขา ไม่เห็นเมิ่งเชี่ยนโยว ถามอย่างไม่วางใจ “เซวียนเอ๋อร์ โยวเอ๋อร์เล่า?”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนรอยยิ้มชะงักค้าง ตอบเสียงแผ่ว “โยวเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บ อยู่ในรถม้า…”


 


 


ไม่รอให้เขาพูดจบ เมิ่งชื่อก็รบเร้าถาม “บาดเจ็บตรงไหน สาหัสหรือไม่? ให้หมอมาดูอาการแล้วหรือไม่?”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนยังไม่ทันตอบ เสียงอ่อนแรงของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดังลอยออกมาจากในรถม้า “ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไร พักฟื้นไม่กี่วันก็หายแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


บุตรสาวมีนิสัยร่าเริง หากไม่เพราะได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่มีทางหลบในรถม้าไม่ออกมา เมิ่งชื่อกลั้นไม่อยู่ น้ำตาทะลักเอ่อ ถามอี้เซวียนด้วยดวงตาพล่ามัว “ข้าเข้าไปดูนางหน่อยได้หรือไม่?”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า คิดจะประคองนางขึ้น


 


 


เมิ่งชื่อกลับลุกพรวดขึ้นเอง เดินเร็วรี่มาข้างรถม้า


 


 


สาวใช้ข้างรถม้าเปิดม่านรถให้นางอย่างรู้งาน


 


 


ภาพเมิ่งเชี่ยนโยวอ่อนระโหยโรยแรง ใบหน้าสีขาวปรากฏบนม่านสายตาเมิ่งชื่อ


 


 


เมิ่งชื่อกลัวว่าตนเองจะส่งเสียงร้องไห้ออกมา รีบปิดปากตัวเองแน่น น้ำตาเม็ดโตไหลริน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นอาการของนาง รอยยิ้มเลือนหาย ค่อยๆ ขยับมาถึงริมรถม้า ยื่นมือออกมากอดเมิ่งชื่อ ปลอบโยนเสียงแผ่ว “ท่านแม่ ข้าไม่เป็นอะไรจริงๆ ไม่กี่วันก็จะหายดี ท่านไม่ต้องเป็นกังวลหรอก”


 


 


เมิ่งชื่อก็กอดนางกลับ พยักหน้ารับหงึกๆ


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นกับเมิ่งเสียนและภรรยา รวมถึงเมิ่งฉีกับซุนเหลียงไฉก็เห็นสภาพร่วงโรยของเมิ่งเชี่ยนโยว ต่างคิดจะเดินล้อมเข้ามา แต่อ๋องฉีไม่สั่งให้ลุกขึ้น พวกเขาจึงไม่กล้าผลีผลาม ทำได้เพียงมองนางด้วยใบหน้าเป็นห่วง


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเดินกลับมาข้างรถ พูดกับเมิ่งชื่ออย่างรู้สึกผิด “ท่านแม่ เพราะข้าโยวเอ๋อร์ถึงได้รับบาดเจ็บ ทำให้ท่านเป็นห่วงแล้ว”


 


 


เมิ่งชื่อคลายมือจากเมิ่งเชี่ยนโยว เช็ดปาดน้ำตา แล้วพูดว่า “กลับมาก็ดีแล้ว กลับมาก็ดีแล้ว”


 


 


หัวหน้าสกุลทั้งหลายและคนในหมู่บ้านเห็นอาการของเมิ่งชื่อ ต่างก็ให้เจ็บแปลบหัวใจ


 


 


อ๋องฉีขมวดคิ้วเกร็งแน่น มองเมิ่งอี้เซวียนอย่างไม่เห็นพ้อง


 


 


เมิ่งอี้เซวียนรับรู้ได้ถึงแววตาของเขา หันกลับไปส่งยิ้มเจิดจ้าให้เขา


 


 


อ๋องฉีรู้สึกดั่งแสงตะวันส่องเข้ามากลางใจตัวเองในบัดดล อยู่ๆ ก็ครึ้มอกครึ้มใจ ยอมรับคำเรียกขานที่เขาร้องเรียกสองสามีภรรยาเมิ่ง หันไปโบกมือให้ทุกคนที่คุกเข่าอยู่อย่างอารมณ์ดี “พวกเจ้าลุกขึ้นเถอะ”


 


 


“ขอบพระทัยท่านอ๋อง!” หลังจากประสานเสียงกล่าวขอบคุณ ต่างก็ลุกขึ้นยืน


 


 


ครอบครัวเมิ่งเอ้ออิ๋นรีบสาวเท้ามาข้างรถม้า มองดูเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างเป็นห่วง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มปลอบใจพวกเขา “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ข้าเพียงบาดเจ็บเล็กน้อย ไม่กี่วันก็หายแล้ว”


 


 


ซุนเหลียงไฉเบ้ปาก พูดว่า “เจ้าคิดจะหลอกใครกัน สภาพเจ้าตอนนี้ สามเดือนดีขึ้นได้ก็ไม่เลวแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถึงกับสะอึกกึก รอยยิ้มบนใบหน้าแข็งค้าง ถลึงตาเขียวปัดมองเขา พูดว่า “เจ้าไม่พูดก็ไม่มีใครว่าเจ้าเป็นใบ้!”


 


 


ซุนเหลียงไฉไม่กล้าต่อล้อต่อเถียงอีก


 


 


ผู้ว่าการตำบลรู้สึกเหมือนศีรษะหลุดออกไปจากคอกึ่งหนึ่งแล้ว เข้าถามอ๋องฉีด้วยความระมัดระวัง “ท่านอ๋อง นี่ก็เย็นมากแล้ว หม่อมฉันคิดว่าท่านตามหม่อมฉันไปพักผ่อนที่ศาลาว่าการตำบลดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


อ๋องฉีมองเขาผ่านๆ แวบหนึ่ง พูดว่า “ไม่ต้องแล้ว ข้าจะดูสถานที่ที่เซวียนเอ๋อร์เติบโตมา คืนวันนี้จะพักที่นี่ วันพรุ่งพวกเราจะออกเดินทางแต่เช้า”


 


 


สิ้นเสียงเขา หัวใจของชาวบ้านก็ระเบิดเป็นเสี่ยงๆ อ๋องฉีจะพักค้างที่หมู่บ้านตนเอง นี่เป็นเกียรติประวัติอย่างหาที่สุดไม่ได้แล้ว ต่างมองไปที่เมิ่งต้าจิน ดูว่าเขาจะจัดการอย่างไร


 


 


เมิ่งต้าจินก็ไม่คาดคิดว่าอ๋องฉีจะพักที่นี่ พลันทำตัวไม่ถูก มองขอความช่วยเหลือไปที่เมิ่งจงจวี่อย่างร้อนรน


 


 


เมิ่งจงจวี่ก็ตะลึงค้าง ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง


 


 


เป็นตี้ซือที่ทำความคำนับอ๋องฉีอย่างอ่อนน้อม พูดว่า “เรือนของหม่อมฉันกว้างขวางสบาย ขอท่านอ๋องลดเกียรติ มาพักที่เรือนของหม่อมฉันเถิดพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


อ๋องฉีกวาดสายตาเกรงขามมองคนทั้งหมด ถึงพูดว่า “นำทางข้าไป!”


 


 


คนทั้งหมดรับรู้ได้ถึงสายลมเย็นยะเยือกหนึ่งพัดผ่านศีรษะไป ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง


 


 


ตี้ซือรีบเปิดทางให้ ทำท่าผายมือเชื้อเชิญ พูดว่า “เชิญท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“เซวียนเอ๋อร์” อ๋องฉีร้องเรียกเมิ่งอี้เซวียน


 


 


เมิ่งอี้เซวียนขานรับคำ “พระบิดา”


 


 


“วันนี้พวกเราจะพักที่นี่สักคืน วันพรุ่งจักออกเดินทางทันที” อ๋องฉีกล่าว


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าเชื่อฟัง “ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ พระบิดา”


 


 


อ๋องฉีถึงพยักหน้าพอใจ ไปบ้านตี้ซือภายใต้การนำทางจากเขา


 


 


กระทั่งพวกเขาไปไกลแล้ว คนทั้งหมดถึงถอนใจโล่งอก ส่งเสียงวิพากษ์อย่างระวัง


 


 


เปาชิงเหอและเปาอีฝานหันหน้ามองกัน แล้วประสานมือคำนับฉู่เหวินเจี๋ย “ท่านแม่ทัพ ท่านจะเข้าไปในเมือง หรือพักค้างที่นี่ขอรับ?”


 


 


“ท่านอ๋องไม่ไป ข้าย่อมไปไม่ได้ คงหาที่พักง่ายๆ ค้างที่นี่สักคืน”


 


 


เปาอีฝานหันมองเมิ่งเสียน


 


 


เมิ่งเสียนเข้าใจพลัน รีบร้อนพูด “หากท่านแม่ทัพไม่รังเกียจ ไปพักที่บ้านพวกเราได้ขอรับ”


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยหัวเราะร่วน “ดีเลย ข้าอยากเห็นสถานที่ที่เซวียนเอ๋อร์เติบโตมาพอดี”


 


 


เมิ่งเสียนแสดงท่าผายมือ ฉู่เหวินเจี๋ยเดินนำหน้า เมิ่งเสียนและเมิ่งเอ้ออิ๋นรีบเดินประกบคอยบอกทางเขา


 


 


เมิ่งอี้เซวียนกำชับคนขับรถม้าให้บังคับม้าตามหลังไป


 


 


คนทั้งหมดมาถึงหน้าประตูบ้าน


 


 


เมิ่งชื่อและเมิ่งอี้เซวียนค่อยๆ ประคองเมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า แล้วประคองนางเดินเข้าไปในบ้าน


 


 


หลังจากเมิ่งชื่อวางนางนอนลงดีแล้ว ก็รีบไปซักผ้าขนหนูสะอาดผืนหนึ่งเข้ามา ค่อยๆ ซับเหงื่อบนหน้าผากให้นาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดกับนาง “ขอบคุณท่านแม่”


 


 


ได้ยินเสียงไร้เรี่ยวแรงของนาง เมิ่งชื่อน้ำตาไหลรินอีกครั้ง พูดสะอึกสะอื้น “ไม่ต้องพูดแล้ว นอนพักผ่อนให้สบายก่อนเถอะ แม่จะไปต้มโจ๊กมาให้เจ้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า เห็นซุนเชี่ยนก็มองนางด้วยดวงตาแดงเอ่อ แย้มยิ้มส่งสายตาให้นางเดินเข้ามา


 


 


เมิ่งชื่อซับเหงื่อให้นางเสร็จ ก็ออกไปต้มโจ๊ก


 


 


ซุนเชี่ยนก้าวขึ้นหน้ามายืนเบื้องหน้านาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกมาลูบท้องนาง พูดเตือน “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าไม่เป็นอะไร ท่านไม่ต้องเป็นกังวลแล้ว เดี๋ยวจะกระทบกับหลานชายคนโตของข้า”


 


 


ซุนเชี่ยนถูกนางหยอกหัวเราะขบขันทั้งดวงตาแดงก่ำ พูดว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นหลานชายคนโต มิใช่หลานสาวคนโตเล่า?”


 


 


“อะไรก็ได้ สรุปว่าเป็นหลานคนแรก จะเป็นหลานชายหรือหลานสาว ข้าก็ชอบทั้งหมด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดประโยคยาวเป็นพรวนนี้จบ มีอาการหายใจหอบ


 


 


ซุนเชี่ยนลนลานพูดว่า “ไม่ต้องพูดแล้ว เจ้าพักผ่อนให้เต็มที่ก่อนเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ด้วยเหนื่อยมากจริงๆ หลับตาลง ประเดี๋ยวเดียวก็หลับสนิทไป


 


 


นับแต่ที่ซุนเชี่ยนรู้จักนาง ไม่เคยเห็นนางอ่อนแอเช่นนี้มาก่อน เห็นนางหลับไปโดยไว ดวงตายิ่งให้แดงเรื่อ


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเม้มริมฝีปาก พูดเตือน “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านไม่ต้องเป็นกังวล ไม่นานโยวเอ๋อร์ก็จะหายดี”


 


 


ซุนเชี่ยนพยักหน้า เช็ดน้ำตาพูดว่า “เจ้าก็ไปพักผ่อนก่อนเถอะ ข้าจะดูแลโยวเอ๋อร์เอง”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนส่ายหน้า “ไม่ต้องแล้ว พี่สะใภ้ ตอนนี้สุขภาพท่านไม่อำนวย ให้ข้าเป็นคนดูแลเถอะ เมื่อครู่คุกเข่าเป็นเวลานาน ท่านเองก็เหนื่อยแล้ว รีบไปพักผ่อนเสียหน่อยเถอะ”


 


 


ซุนเชี่ยนใกล้จะครบกำหนดคลอดแล้ว ร่างกายหนักอึ้ง เมื่อครู่คุกเข่าไม่นาน ก็ให้รู้สึกเหนื่อยล้า จึงพยักหน้ารับปาก หลังจากกำชับเขาอีกสองสามคำ ก็ให้สาวใช้ประคองตนเองกลับเรือน


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งเสียนจัดเตรียมที่พักให้ฉู่เหวินเจี๋ยและสองพ่อลูกเปาเสร็จ ก็รีบตรงมายังลานเรือน คิดจะมาดูว่าอาการบาดเจ็บของเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นอย่างไรบ้าง พอพ้นประตูเข้ามาเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวหลับอยู่ เมิ่งอี้เซวียนนั่งเฝ้านางข้างเตียงเตา ต่างผงะอึ้ง เมิ่งเอ้ออิ๋นพูดโดยอ้อม “อี้เซวียน ตอนนี้สถานะของเจ้าไม่เหมือนก่อนแล้ว ให้พวกเราเป็นคนดูแลโยวเอ๋อร์เองเถอะ เจ้าไปพักผ่อนบ้าง ไม่ก็ไปพูดคุยกับฉู่เหวินเจี๋ย”


 


 


“ท่านพ่อ พี่ใหญ่” เมิ่งอี้เซวียนเรียกพวกเขาด้วยสีหน้าขึงขัง “ข้าจะพูดอีกครั้ง พวกท่านจำไว้ให้ดี ไม่ว่าข้าจะมีสถานะเช่นไร พวกท่านจะเป็นญาติข้าตลอดไป ชีวิตนี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นมิได้โต้แย้งและไม่ได้รับคำ เพียงยื่นมือออกไป ลูบศีรษะเขา พูดว่า “อี้เซวียน พรุ่งนี้เจ้าก็ต้องกลับเมืองหลวงแล้ว พวกเราไม่อยู่ข้างกายเจ้า เจ้าจักต้องดูแลตัวเองให้ดี หากสะดวก ก็เขียนจดหมายมาหาพวกเราทุกปี ให้พวกเราได้รู้ว่าเจ้ายังสบายดี ก็เพียงพอแล้ว”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้ารับประกัน “ทราบแล้ว ท่านพ่อ ข้าจะทำ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหลับไปนานมาก กระทั่งยามจุดตะเกียงถึงตื่นขึ้นมา ลืมตาขึ้น เห็นคนทั้งครอบครัวต่างล้อมนางด้วยความเป็นห่วง


 


 


 ด้วยกลัวคนในครอบครัวจะเสียใจเพราะนางอีก เมิ่งเชี่ยนโยวส่งยิ้มปลอบประโลมให้ทุกคน แล้วพูดออดอ้อนเมิ่งชื่อ “ท่านแม่ ข้าหิวแล้ว ต้มโจ๊กเสร็จแล้วหรือไม่เจ้าคะ?”


 


 


ไม่รู้ว่าเมิ่งชื่อเข้ามานั่งในห้องนานแค่ไหน ร้องไห้จนดวงตาเริ่มบวมแดง ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวถามก็รีบลุกขึ้นพรวด “ต้มเสร็จนานแล้ว แม่จะไปยกมาให้เจ้าเดี๋ยวนี้”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนและเมิ่งเสียนช่วยกันประคองนางลุกขึ้นนั่ง เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงยื่นหน้าเข้ามาเบื้องหน้านาง ลูบแผลแผ่วเบา ถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง “ท่านพี่ เจ็บมากใช่หรือไม่?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลูบศีรษะพวกเขาทั้งสอง ยิ้มพูดว่า “ไม่เจ็บ ไม่กี่วันก็หายแล้ว”


 


 


เมิ่งชื่อยกโจ๊กเข้ามา ค่อยๆ ป้อนนางทีละคำจนหมด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหิวมากจริงๆ กินไปถ้วยใหญ่


 


 


เมิ่งชื่อเช็ดริมฝีปากให้นาง ถามว่า “จะกินอีกหรือไม่?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ข้าอิ่มแล้ว พวกท่านก็รีบไปกินข้าวเถอะ”


 


 


“พวกเรากินแล้ว สำหรับทุกคนก็จัดการเรียบร้อยแล้ว เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องเหล่านี้ ฟักฟื้นให้สบายเถอะ” เมิ่งเอ้ออิ๋นพูด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูท้องฟ้า ถามขึ้น “พวกฉู่เหวินเจี๋ยทานแล้วใช่ไหมเจ้าคะ?”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้า พูดว่า “กินกันหมดแล้ว สองพ่อลูกเปากำลังนั่งคุยกับพวกเขา”


 


 


“พี่ใหญ่ ท่านไปเตรียมสิ่งของที่โรงงานออกมาหน่อยเถิด พรุ่งนี้ให้ฉู่เหวินเจี๋ยและอี้เซวียนเอากลับไปเมืองหลวงด้วย” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด


 


 


เมิ่งเสียนรับคำ “เตรียมไว้พร้อมแล้ว ไม่เพียงพวกเขา แม้แต่ของใต้เท้าเปาข้าก็เตรียมไว้แล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเขาอีกว่า “พี่ใหญ่ ท่านไปเรียกฉู่เหวินเจี๋ยเข้ามาหน่อย ข้ามีเรื่องจะพูดกับเขา”


 


 


เมิ่งเสียนพยักหน้า เดินออกไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับทุกคน “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านอยู่ต่อ พี่รองช่วยพาน้องเล็กทั้งสองหลบไปก่อนนะเจ้าคะ”


 


 


เมิ่งฉีพยักหน้า เรียกเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงรวมถึงซุนเหลียงไฉเดินออกมา


 


 


เมิ่งชื่อถามด้วยความแคลงใจ “โยวเอ๋อร์ เจ้าจะพูดอะไรกับฉู่เหวินเจี๋ยหรือ?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบความ “ท่านแม่ ประเดี๋ยวพวกท่านก็จะทราบเองเจ้าค่ะ”


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยตามเมิ่งเสียนเข้ามาโดยไว สองพ่อลูกเปารู้ความไม่ได้ตามเข้ามา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวผงกศีรษะให้ฉู่เหวินเจี๋ย กล่าวอย่างรู้สึกผิด “ท่านแม่ทัพฉู่ ข้าลุกนั่งไม่สะดวก รบกวนท่านต้องเข้ามาเอง ต้องขออภัยท่านจริงๆ”


 


 


แม่ทัพฉู่โบกมือไม่ใส่ใจ “แม่นางเมิ่งอย่างได้กล่าวเช่นนี้เด็ดขาด เจ้าช่วยชีวิตของทั้งข้าและอี้เซวียน อย่าว่าแต่เรื่องเล็กน้อยที่เรียกข้าเข้ามา ต่อให้เจ้ามีเรื่องใหญ่จะขอร้องข้า ข้าก็ต้องรับปากเจ้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังยิ้มอ่อน พูดว่า “ข้ามีเรื่องจะขอร้องท่านแม่ทัพฉู่จริงๆ หวังว่าท่านจะรับปาก”


 


 


แม่ทัพฉู่พูดทันควัน “แม่นางเชิญพูด ขอเพียงข้าทำได้ จะต้องรับปากแน่นอน”


 


 


“ต่อหน้าท่านและท่านพ่อท่านแม่ข้า ข้าต้องการถอนหมั้นกับอี้เซวียน”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)