ยอดหญิงสกุลเสิ่น 249.2-251.2

ตอนที่ 249-2 เสี่ยงอันตราย

 

 


 


“ข้าจะบอกอะไรให้นะสหาย พวกเราอย่าสู้กันเลยดีกว่า ไม่ยอมไปด้วยกันก็ไม่เป็นไร ข้าขโมยสมบัติของข้า เจ้าก็ทำงานของเจ้า พวกเราต่างคนต่างอยู่ อีกประเดี๋ยวดึงดูดองครักษ์ในจวนขึ้นมา เราสองคนจะแย่กันทั้งคู่” คนผู้นั้นสู้ไปพลางกล่าวไปพลาง


 


 


เสิ่นเวยไม่สนใจเขา ออกกระบวนท่าอย่างเงียบๆ ใครจะรู้ว่าคนผู้นี้มาจากไหน มีเขาอยู่ข้างๆ นางไม่วางใจเลยแม้แต่นิดเดียว หากเป็นตอนที่นางกำลังทำงานอยู่แล้วเขาแทงมีดเข้ามาข้างๆ นางจะหาใครมาเป็นพยาน วิธีที่มั่นใจได้ที่สุดก็คือจัดการคนผู้นี้เสีย


 


 


ส่วนจะทำให้องครักษ์ในจวนรู้ตัวหรือไม่ เสิ่นเวยไม่ใส่ใจเลยแม้แต่นิดเดียว รู้ตัวก็รู้ตัว อย่างมากครั้งหน้านางก็ค่อยมาใหม่ ความสามารถในการหนีนางยังคงมี


 


 


คนผู้นั้นถูกเสิ่นเวยกดดันจนลุกลี้ลุกลน ในใจกระอักกระอ่วนจะแย่อยู่แล้ว นี่มันท่อนไม้ที่ไหนกัน เหตุใดถึงฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง เขาสืบมาหลายคืนกว่าจะหลบด่านลับในจวนมาถึงที่นี่ได้ ไม่คิดว่าจะมาเจอท่อนไม้ เหตุใดชีวิตของเขาถึงได้ลำบากเพียงนั้น


 


 


เสิ่นเวยไม่สนเสียงร้องโหยหวนในใจเขา การโจมตีดุเดือดยิ่งขึ้น


 


 


“หยุดก่อน ดูเร็ว ท่านเสนาบดีฉินผลักประตูออกมาแล้ว” คนผู้นั้นกระโดดไปข้างหลัง พลันกล่าว


 


 


เสิ่นเวยเองก็ถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าวใหญ่ทันทีเช่นกัน มองคนผู้นั้นปราดหนึ่งอย่างตื่นตัว เหอะ หางจิ้งจอกโผล่ออกมาแล้วสินะ ยังบอกว่ามาขโมยสมบัติ เหตุใดเขาถึงมั่นใจเช่นนั้นว่าคนที่ออกมาคือท่านเสนาบดีฉิน เกรงวว่าจะจ้องอยู่นานแล้วสิท่า


 


 


แต่ว่านี่เองก็ทำให้เสิ่นเวยวางใจลงเล็กน้อย แม้ไม่รู้ว่าคนผู้นี้มีจุดประสงค์อะไร แต่ขอเพียงแค่เขาเป็นศัตรูกับท่านเสนบดีฉิน เช่นนั้นนางก็ดีใจแล้ว เห็นท่าทางลับๆ ล่อๆ เหมือนหนูของคนผู้นี้ คาดว่าคงจะไม่ใช่มิตรด้วยเช่นกัน


 


 


“ดูสิ ท่านเสนาบดีฉินออกจากเรือนแล้ว” คนผู้นั้นส่งเสียงเตือนอีกครั้ง ราวกับไม่เห็นความตื่นตัวของเสิ่นเวย


 


 


เสิ่นเวยจ้องมองตามไป เป็นเช่นนั้นจริงๆ ท่านเสนาบดีฉินกำลังออกมาจากลานบ้าน ข้างกายมีคนถือโคมผู้หนึ่งตามอยู่ ดูจากทิศทางที่เขาเดินไม่ได้ไปยังเรือนใน ดึกเพียงนี้แล้วเขาจะไปไหน


 


 


ดวงตาเสิ่นเวยกะพริบวาบ ร่างพุ่งออกไป ตามอยู่ข้างหลังเงียบๆ


 


 


คนผู้นั้นที่ประมือกับเสิ่นเวยก่อนหน้านี้ก็ไม่ยอมอ่อนข้อ เท้าแตะลง ตามเข้าไปเงียบๆ เช่นกัน


 


 


เสิ่นเวยหันหน้า ถลึงตาใส่เขาปราดหนึ่งอย่างดุร้าย หลีกไปข้างๆ หลีกห่างจากเขาให้ไกลเล็กน้อย


 


 


คนผู้นี้เห็นท่าทีก็ลูบจมูก กลับไม่ได้เข้าไปใกล้ แขวะในใจ เขาเป็นมีความสามารถยอดเยี่ยม มนุษยสัมพันธ์ก็ดีอย่างถึงที่สุด เหตุใดคืนนี้ถึงถูกรังเกียจเช่นนี้เล่า แต่ว่าวิทยายุทธ์ของคนพวกเดียวกันผู้นี้กลับดีจริงๆ ในดวงตาของเขาปรากฏความสนใจสามส่วน เฮ้อ ช่วงนี้ชีวิตจืดชืดเกินไปแล้ว เขาเองก็ต้องการการกระตุ้นอย่างยิ่ง


 


 


“นี่ เจ้าว่าท่านเสนาบดีฉินจะไปไหนหรือ” คนผู้นั้นกล่าวเสียงเบา


 


 


เสิ่นเวยไม่สนใจเขา เพียงแค่จ้องมองโคมนั้นตรงหน้านิ่ง ยังต้องแบ่งความสนใจไประวังผู้ร่วมทางข้างๆ อีก นางวิเคราะห์ทิศทางครู่หนึ่ง นางพบว่าท่านเสนาบดีฉินเดินไปยังทิศทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ ทิศตะวันออกเฉียงใต้จวนเสนาบดีฉินคือเรือนใด


 


 


เสิ่นเวยกำลังคิด จู่ๆ ก็ได้ยินคนผู้นั้นกล่าวเสียงเบาอีกครั้ง “เจ้าว่าท่านเสนาบดีฉินจะนับพบหญิงงามหรือไม่ เขาแอบเลี้ยงหญิงงามไว้ในเรือนหลังไหนในจวน”


 


 


ชั่วขณะก็ขัดจังหวะความคิดของเสิ่นเวยแล้ว นี่มันคนพูดมากที่โผล่ออกมาจากหลืบไหน ไม่พูดจะตายหรือไร จะตายหรือ จะตายหรือ ไม่ดูว่าบ้างตอนนี้เป็นเวลาอะไร ทำให้คนอื่นรู้ตัวขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ ยังจะมาแอบเลี้ยงหญิงงามอะไรอีก ท่านเสนาบดีฉินน้ำเข้าสมองสิถึงจะซ่อนหญิงสาวไว้ในจวน แท้จริงแล้วคนผู้นี้เติบโตอยู่บนเขาลูกไหนกันแน่


 


 


“หุบปาก!” เสิ่นเวยกัดฟันอย่างเคียดแค้น ยกปิ่นปักผมที่เป็นเงาวาวในมือนางให้คนผู้นั้นดู หากคนผู้นี้ยังไม่หยุดอีก ก็อย่าหาว่านางช่วยเขาปิดปากไปตลอดชีวิต


 


 


คนผู้นั้นทำท่าทางห่อไหล่หวาดกลัว ในใจแสยะปากเงียบๆ โหดจริงๆ โหดเกินไปแล้ว


 


 


ร่างกายที่คล่องแคล่วของเสิ่นเวยผุบๆ โผล่ๆ อยู่ท่ามกลางแสงในยามราตรี ติดตามแสงไฟข้างหน้าไม่ใกล้ไม่ไกล ทันใดนั้น แสงไฟข้างหน้าก็พลันดับ เสิ่นเวยตระหนักได้ทันที ร่างกายชิงก้าวขึ้นไปข้างหน้าหนึ่งก้าว วิ่งหลบออกมา หนีออกไปนอกจวนด้วยความรวดเร็ว


 


 


การตอบสนองของอีกคนหนึ่งก็ไม่ช้า แทบจะหนีไปยังทิศทางฝั่งตรงข้ามพร้อมกับเสิ่นเวย ก่อนไปยังทิ้งของบ้างอย่างเอาไว้ด้วย


 


 


ในขณะที่เสิ่นเวยกับคนผู้นั้นหนีไป ในความดำมืดก็มีคนหลายคนปรากฏตัวออกมา จู่โจมไม่โดน ก็แยกย้ายกันไล่ตามคนทั้งสองทันที


 


 


เสิ่นเวยหยิบเลือกทักษะพิเศษออกมาเล่นซ่อนหากับทหารที่ไล่ตาม หากประลองด้วยดาบจริงทวนจริง เสิ่นเวยอาจจะเสียเปรียบเนื่องจากไม่ชำนาญกำลังภายใน แต่เทียบกับวิทยายุทธ์ในการหนีและซ่อนตัว นั่นยังคงไม่มีใครเทียบนางได้ นางเพียงแค่ซ่อนตัวเองอยู่ใต้ชายคา ทหารที่ไล่ตามเหล่านั้นก็วิ่งผ่านหน้านางไปโดยไม่สังเกตเห็น


 


 


“ท่านเสนาบดี ผู้น้อยไร้ฝีมือ คนหายไปแล้วขอรับ” คนสองกลุ่มที่ไล่ตามออกไปถอยทัพด้วยความล้มเหลว


 


 


โคมไฟจุดสว่างอีกครั้งแล้ว ท่านเสนาบดีฉินโบกมือกล่าว “ไม่เป็นไร กลับไปเถอะ” ในเมื่อคนแอบเข้ามาในจวนของเขาได้อย่างเงียบเชียบแล้ว เช่นนั้นก็ย่อมหนีออกไปได้แน่นอน เหล่าองครักษ์ตามคนไม่ทันเขาไม่รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่นิดเดียว เดิมคิดว่าการป้องกันในจวนเข้มงวดพอแล้ว ไม่คิดว่าจะยังไม่ได้!


 


 


แม้ท่านเสนาบดีฉินจะไม่ได้ติโทษ แต่ในใจหัวหน้าองครักษ์ผู้นั้นกลับละอายใจอย่างถึงที่สุด บนใบหน้าร้อนผ่าว หมัดของผู้อื่นต่อยลงมาบนหน้าแล้ว เขาไม่เพียงแค่รู้สึกเจ็บ แต่ยังรู้สึกขายหน้า ตัดสินใจเงียบๆ แล้วว่าจะเพิ่มการแจ้งเตือนในจวน การป้องการในจวนเองก็ต้องปรับเปลี่ยนใหม่ เรื่องที่ตบหน้าเช่นนี้ครั้งเดียวก็เกินพอ


 


 


เมื่อทหารที่ไล่ตามเดินไปไกลแล้วเสิ่นเวยก็พลิกตัวออกมาจากใต้ชายคา นางยืนอยู่บนสันหลังคาเงียบๆ ไม่ได้ดีใจ และไม่ได้ผิดหวัง ส่วนท่านเสนาบดีฉินจิ้งจอกเฒ่าตัวนั้น นางไม่ได้หวังว่าสืบคืนเดียวจะพบอะไรได้ ความจริงแล้วกำไรในคืนนี้นางก็พอใจอย่างยิ่งแล้ว อย่างน้อยนางก็รู้ว่าทิศทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของจวนเสนาบดีฉินมีเงื่อนงำ มิเช่นนั้นท่านเสนาบดีฉินก็คงจะไม่ไปทางนั้นในเวลาดึกสงัด อืม พรุ่งนี้ค่อยส่งข่าวให้สายลับในจวนเสนาบดี ให้พวกเขาจับตามองว่าทิศนั้นมีอะไรบ้าง


 


 


เงาร่างเงาหนึ่งปรากฏตัวเงียบๆ ห่างออกไปจากเสิ่นเวยห้าก้าว “โห เจ้าวิ่งเร็วจริงๆ!” เป็นคนพวกเดียวกันผู้นั้นก่อนหน้านี้


 


 


เสิ่นเวยแค่นเสียงหนึ่งครา ชมเขากลับหนึ่งประโยค “เหมือนกันนั่นแหละๆ” จากนั้นจึงหันหลังกลับก้าวขาเดินออกไป นางไม่อยากอยู่กับคนโง่ที่เบาปัญญาผู้นี้เลยแม้แต่นิดเดียว นางสงสัยว่าท่านเสนาบดีฉินสังเกตเห็นพวกเขาก็เพราะว่าหมอนี่พูดมากเกินไป


 


 


“นี่ สหาย…” คนผู้นั้นเห็นเสิ่นเวยกำลังจะไป ก็รีบเรียก


 


 


เสิ่นเวยหันหน้ากลับ กล่าวอย่างเย็นชา “อย่าเรียกข้า อย่าตามข้ามาอีก มิเช่นนั้น หึ!” การข่มขู่ในวาจาน่าสะพรึงกลัว


 


 


เท้าที่ยกขึ้นของคนผู้นั้นดึงกลับทันที ช่างเถอะ คนพวกเดียวกันผู้นี้ไม่เพียงแต่โหดเ**้ยม นิสัยยังคล้ายไม่ดีอีกด้วย เขาก็อย่าได้ตามไปหาเรื่องใส่ตัวเลย กลับไปนอนดีกว่า


 


 


ตอนที่เสิ่นเวยปีนข้ามเรือนตนไหล่ก็ถูกตบ นางสะดุ้งอย่างแรง วินาทีต่อมาก็ถูกรวมเข้าไปในอ้อมกอดที่คุ้นเคย “ไปเดินเล่นที่ไหนมา” เสียงที่ทุ้มต่ำของสวีโย่วดังขึ้นข้างหูนาง


 


 


ร่างที่เกร็งแน่นของเสิ่นเวยอ่อนลงทันที ทุบตีสวีโย่วอย่างไม่พอใจ “ท่านเกือบทำข้าหัวใจวายแล้ว” หยุดครู่หนึ่งจึงกล่าวต่อ “ว่างไม่มีอะไรทำเลยไปเดินเล่นที่จวนเสนาบดีฉินเที่ยวหนึ่ง” ความหวาดกลัวที่ถูกจับได้ไม่มีเลยแม้แต่น้อย คิดแล้วคิดอีกจึงกล่าวเพิ่มหนึ่งประโยค “เจอคนโง่ผู้หนึ่ง ถูกพบเห็นแล้ว”


 


 


คิ้วคู่งามของสวีโย่วขมวดเล็กน้อย กล่าวอย่างเด็ดขาด “คราวหน้าไปอีกข้าจะไปกับเจ้า” ในเมื่อเวยเวยสนใจ ส่วนเขาก็ห้ามไม่ได้ เช่นนั้นก็ไปเสี่ยงอันตรายกับนางแล้วกัน


 


 


เสิ่นเวยดีใจดังคาด เขย่งปลายเท้าหอมลงบนหน้าเขา “ดี! ท่านรับปากแล้วนะ” มีสวีโย่วยอดฝีมือผู้นี้ไปด้วย ต่อให้เจอคนโง่อีกนางก็มั่นใจว่าจะจับเขาได้


 


 


“จริงสิ ฝ่าบาทเรียกท่านไปทำไมหรือ ดึกเพียงนี้แล้วเหตุใดถึงไม่ให้ท่านค้างในวังเสียเลยเล่า” เสิ่นเวยพลั้งปากถาม ถามเสร็จก็รู้ว่าตนพูดจาโง่ๆ แล้ว แม้แต่องค์ชายที่บรรลุนิติภาวะยังไม่อาจค้างอยู่ในพระราชวังได้ง่ายๆ นับประสาอะไรกับสวีโย่วที่เป็นเพียงหลานชายเล่า


 


 


“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแค่อยากให้ข้ารับราชการในราชสำนักเพื่อช่วยเขา” สวีโย่วเลี่ยงหนักเป็นเบากล่าวกับเสิ่นเวย ลังเลครู่หนึ่งจึงกล่าวต่อ “ฝ่าบาทอยากให้ข้าบัญชาการกองปัญจทิศรักษานคร ข้ารับปากแล้ว” คาดว่าข่าวนี้พรุ่งนี้เช้าราชสำนักก็คงจะประกาศ แม้เขาจะไม่พูด ถึงตอนนั้นเสิ่นเวยก็รู้อยู่ดี


 


 


“กองปัญจทิศรักษานครหรือ” หน่วยงานนี้เสิ่นเวยคล้ายรู้มาบ้างเล็กน้อย พูดง่ายๆ ก็คือจัดการความสงบเรียบร้อย ป้องกันขโมยต่างๆ ลาดตระเวนตามถนนต่างๆ นานา ไม่ต่างจากสำนักงานตำรวจในยุคปัจจุบันนัก “เหตุใดฝ่าบาทถึงอยากให้ท่านไปอยู่ในกองปัญจทิศรักษานครเล่า” ให้หัวหน้าสายลับที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นไปดูแลเรื่องจุกจิกที่ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ใช่ใช้คนไม่เหมาะกับงานหรือไม่


 


 


สวีโย่วกอดร่างหอมๆ ของเสิ่นเวย สูดลมหายใจเข้าลึกด้วยความลุ่มหลง กล่าว “ในกองปัญจทิศรักษานครของราชสำนักส่วนใหญ่เป็นขุนนางผู้สร้างคุณูปการและบุตรหลานราชนิกุล บ้างก็เป็นลูกคุณหนูคุณชาย บ้างก็สร้างบาปกรรมทำชั่ว คนที่ทำงานจริงจังมีอนาคตก็มีไม่มาก คนอื่นควบคุมพวกเขาไม่ได้ ฝ่าบาทปวดหัวเพราะเรื่องนี้มานานแล้ว และฐานะของข้าก็เหมาะสมพอดี” สวีโย่วอธิบาย


 


 


“เช่นนั้นทหารเงาเล่า” ดวงตาเสิ่นเวยกะพริบวาบ คิดถึงปัญหาข้อนี้


 


 


“ยังคงเป็นข้าที่กุมอยู่” สวีโย่วกล่าว


 


 


เสิ่นเวยพยักหน้า วางใจลงไม่น้อย แม้นางจะชอบหยอกเย้าล้อเลียนสวีโย่วว่าเป็นหัวหน้าสายลับ ทว่าในมือกุมอำนาจของทหารเงาอยู่ทำงานส่วนตัวขึ้นมาแล้วก็สะดวกมากนัก

 

 

 


ตอนที่ 250-1 สาวงามหรือว่าหวานใจ

 

ชีวิตช่วงนี้ของคนห้าร้อยคนที่ถูกฮ่องเต้ยงเซวียนบัญชาการอยู่ในกองทหารรักษาพระองค์ถูกลากมายังจวนผิงจวิ้นอ๋องอัดอั้นตันใจมากเป็นพิเศษ เดิมฮ่องเต้ยงเซวียนบอกว่าจะเลือกคนหนึ่งพันคน เห็นหรือไม่ กฎข้อบังคับอะไร เพียงแค่พูดให้น่าฟังก็เท่านั้นเอง ยังต้องดูอีกว่าเจ้าได้รับความโปรดปรานหรือไม่


 


 


แต่สวีโย่วไม่ต้องการ จวนจวิ้นอ๋องเล็กๆ ของเขาจะเอาทหารคุ้มกันจวนที่เยอะเพียงนั้นไปเพื่ออะไร เลี้ยงทหารต้องใช้เงินจำนวนมาก อีกทั้งเสียงนินทาของเหล่าผู้เฒ่าปัญญาชนคร่ำครึเหล่านั้นในราชสำนักก็น่ารำคาญยิ่งนัก ทหารคุ้มกันจวนห้าร้อยนาย บวกกับกองทหารเด็กสี่ร้อยกว่าคน ก็แทบจะใช้ไม่หมดแล้ว


 


 


เพราะว่าฮ่องเต้ยงเซวียนบอกว่าจะเลือกอย่างดี สวีเวยจึงเลือกคนที่มีความสามารถดีเหล่านั้น แต่คนที่มีความสามารถก็ยากจะเลี่ยงอวดอ้างฝีมือทำตัวตามอำเภอใจ บวกกับกองทหารรักษาพระองค์กลายเป็นทหารคุ้มกันจวน ในด้านความรู้สึกก็ตกต่ำ ในใจย่อมไม่พอใจ แต่ละคนเชิดหน้ามองฟ้า ไม่เห็นโอวหยางไน่หัวหน้าใหม่ผู้นี้อยู่ในสายตาอย่างสิ้นเชิง


 


 


โอวหยางไน่เองก็ไม่โมโห ลากกองทหารเด็กออกมาเสียเลย บอกว่าจะให้พวกเขาเจียระไน


 


 


กองทหารรักษาพระองค์แทบจะโกรธจมูกเบี้ยว เจียระไนอะไรกัน ไม่ใช่ประลองหรอกหรือ ให้คนใหญ่คนโตเช่นพวกเขามาประลองกับเด็กที่ยังไม่โต นี่ไม่ใช่เป็นการดูถูกพวกเขาหรอกหรือ


 


 


แต่เมื่อประมือจริงๆ จึงได้รู้ ต่อสู้เพียงลำพังกับกองทหารเด็กกลุ่มนี้เทียบพวกเขาไม่ได้ แต่พวกเขาร่วมมือกันได้อย่างโดดเด่นมากเป็นพิเศษ ลูกไม้อย่างแล้วอย่างเล่า ทำให้คนไม่ทันระวังตัว ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้ว พวกเขาคนใหญ่คนโตกลุ่มนี้ก็ยังจัดการเด็กยังไม่โตกลุ่มนี้ไม่ได้ ชั่วขณะกลับต่อสู้เสมอกัน


 


 


โอวหยางไน่เห็นว่าพอประมาณแล้ว โบกธงเรียกให้หยุด


 


 


เหล่าทหารรักษาพระองค์อับอาย แม้ว่าจะไม่มีผู้แพ้ผู้ชนะ แต่อันที่จริงพวกเขาก็แพ้แล้ว กองทหารเด็กอายุมากที่สุดก็ไม่เกินสิบห้าปี ฝั่งตนอย่างน้อยที่สุดก็สิบห้าสิบหกแล้ว ไม่สามารถชนะได้ ซ้ำยังถูกพวกเขาหลอกจนสับสนวุ่นวาย บนใบหน้าแต่ละคนต่างก็ร้อนผ่าว รู้สึกขายหน้ายิ่งนัก


 


 


ตอนนี้โอวหยางไน่จึงกล่าว “ไม่ใช่คิดว่าตัวเองเก่งมากหรือไร มาสิ! ขอเพียงแค่ชนะทวนยาวเล่มนี้ในมือข้าได้ เช่นนั้นตำแหน่งหัวหน้าข้าก็จะยกให้เจ้าเป็น หากชนะไม่ได้ เช่นนั้นก็อยู่นิ่งๆ เสีย”


 


 


แม้เหล่าทหารรักษาพระองค์จะถูกโจมตี แต่ปณิธานอันยิ่งใหญ่ก็ไม่เคยสูญหาย โอวหยางไน่พูดไม่ทันขาดคำ ก็มีชายร่างกำยำสี่คนวิ่งเข้ามาแล้ว “หัวหน้าโอวหยางพูดจริงหรือ”


 


 


โอวหยางไน่เลิกคิ้ว กล่าวเสียงต่ำ “แน่นอน”


 


 


คนทั้งสี่มองหน้ากันเล็กน้อย กำหมัดคารวะ “เช่นนั้นผู้น้อยก็มาขอคำแนะนำก่อน”


 


 


คนที่สูงที่สุดในนั้นวิ่งเข้ามาแล้ว ในมือถือทวนยาวหนึ่งเล่มเช่นเดียวกัน ต่อสู้ได้สิบเพลงก็ถูกโอวหยางไน่ใช้ทวนตีออกไปแล้ว


 


 


สามคนที่เหลือเห็นท่าไม่ดี คนที่ใช้ลูกตุ้มคู่ทางขวาสุดก็ปะทะเข้ามา ปากส่งเสียงตะโกน “ผู้น้อยมาขอคำแนะนำฝีมือของหัวหน้าโอวหยาง”


 


 


เสียงดังอย่างยิ่ง แต่เขายังสู้คนแรกไม่ได้ด้วยซ้ำ ทำได้เพียงแค่เดินอยู่ใต้เงื้อมมือของโอวหยางไน่เจ็ดแปดรอบ


 


 


สองคนที่เหลือก็มองหน้ากันเล็กน้อย จู่โจมเข้ามาหาโอวหยางไน่ซ้ายขวาพร้อมกันด้วยความรู้ใจอย่างถึงที่สุด


 


 


“เข้ามาได้ดี!” โอวหยางไน่ตะโกนเสียงดังหนึ่งครา ทวนยาวในมือจ้วงซ้ายแทงขวา ประหนึ่งมังกรเลื้อย เร็วอย่างยิ่งก็บีบบังคับจนสองคนนั้นด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด


 


 


“มาอีก!” โอวหยางไน่ยิ่งสู้ก็ยิ่งฮึกเหิม ตะโกนด้วยความห้าวหาญอย่างถึงที่สุด


 


 


ในกลุ่มทหารรักษาพระองค์มีคนวิ่งออกมาอีกสองคน ล้อมโจมตีโอวหยางไน่พร้อมกับสองคนนั้นก่อนหน้า ทวนยาวของโอวหยางไน่ร่ายรำโดยไม่เว้นช่องว่าง คนทั้งสี่นี้ประชิดตัวเขาไม่ได้อย่างสิ้นเชิง กลับถูกเขากดดันจนแสดงฝีมือไม่ได้


 


 


“มาอีก!” โอวหยางไน่ตะคอกอีกครั้ง


 


 


คราวนี้คนที่ออกมามีสี่คน ชายร่างกำยำแปดคนล้อมโจมตีโอวหยางไน่คนเดียวพร้อมกัน สองมือยากจะสู้สี่มือ ต่อให้โอวหยางไน่เก่งกาจก็มีเพียงคนเดียว กองทหารเด็กที่มุงดูอยู่ข้างๆ ต่างก็อดปาดเหงื่อแทนเขาไม่ได้


 


 


แต่โอวหยางไน่เป็นใครกัน เขาเคยเป็นราชันนักรบที่แกร่งกล้าที่สุดในกองทัพชายแดนซีเจียง มิเช่นนั้นจะเป็นทหารคนสนิทข้างกายนายท่านผู้เฒ่าโหวได้อย่างไร ทั้งยังติดตามเสิ่นเวยฆ่าเข้าฆ่าออกหลายรอบท่ามกลางกองทัพใหญ่ซีเหลียง หล่อหลอมดุจกระบี่ล้ำค่าที่แหลมเปรียวหนึ่งเล่มนานแล้ว


 


 


ศิลปะการต่อสู้ของทหารรักษาพระองค์หลายคนนี้ไม่เลวอย่างยิ่งแล้ว แต่อย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่เคยเห็นเลือดมาก่อน ประสบการณ์การเผชิญหน้าต่อศัตรูก็เหือดแห้ง ต่อให้จะมาอีกหลายคนก็ต้องถูกโอวหยางไน่ทารุณเช่นเดียวกัน อีกทั้งยังสู้กันแปดต่อหนึ่งแล้ว พวกเขาเองก็ไม่มีหน้าจะเพิ่มคนอีกแล้ว


 


 


ผ่านไปสองเค่อ โอวหยางไน่ก็ถีบคนสุดท้ายลอยออกไป จากนั้นจึงเก็บท่าตั้งทวน เหล่ากองทหารเด็กก็ส่งเสียงร้องดีใจที่ดังสนั่นลั่นฟ้าออกมา


 


 


แปดคนที่ล้มลงบนพื้นก็ลุกขึ้นมาช้าๆ เดินกระโผลกกระเผลกเข้ามา ประสานมือคารวะโอวหยางไน่ กล่าวด้วยความชื่นชมจากใจจริง “หัวหน้าโอวหยาง ผู้น้อยทั้งหมดยอมแพ้แล้ว” แม้ว่าพวกเขาจะหัวรั้นหัวแข็ง แต่ก็เลื่อมใสยอดฝีมือที่สุด หัวหน้าโอวหยางต่อสู้หนึ่งต่อแปดยังชนะพวกเขาได้ นี่ทำให้ในใจพวกเขาเลื่อมใสอย่างถึงที่สุด


 


 


คนหลายคนที่รับมือยากที่สุดล้วนถูกจัดการแล้ว คนเหล่านั้นที่เหลือย่อมพูดอะไรไม่ได้อีก พากันคารวะโอวหยางไน่ สวามิภักดิ์


 


 


มุมปากของโอวหยางไน่ยกขึ้น รู้สึกว่าความคิดจวิ้นจู่ของเขาดีจริงๆ จวิ้นจู่บอกว่า ‘ไม่เชื่อฟังหรือ เช่นนั้นก็สู้สิ สู้จนพวกเขาไม่มีแรงตอบโต้ก็เชื่อฟังแล้ว’ ก็เป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ ดังนั้นก็พูดได้ว่าคนกลุ่มนี้เป็นคนต่ำช้าเช่นกัน เจ้าดีต่อพวกเขาพันเท่าหมื่นเท่า พวกเขาก็ยังแข็งคอถลึงตาใส่เจ้า จัดการให้โหดเ**้ยมครั้งหนึ่ง พวกเขากลับซื่อสัตย์เชื่อฟังแล้ว


 


 


“พวกเจ้าสู้ไม่ได้แม้แต่ข้า ก็อย่าได้ทำตัวขายหน้าขายตาต่อหน้าจวิ้นอ๋องจวิ้นจู่เลย พวกเจ้าอาจจะได้ยินข่าวลือข้างนอก คิดว่าผิงจวิ้นอ๋องร่างกายอ่อนแอไร้ประโยชน์ แต่พวกเจ้าล้วนมีสมองก็ไม่รู้จักคิดดู หากผิงจวิ้นอ๋องเป็นคนอ่อนแอไร้ประโยชน์จริงๆ ฝ่าบาทจะให้ความสำคัญเช่นนี้หรือ ดังนั้นใต้บังคับบัญชาจวิ้นอ๋องของพวกเราล้วนต่อสู้ได้หลายกระบวนท่า” โอวหยางไน่กล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม


 


 


ตีด้วยกระบองแล้ว ต่อไปก็ควรให้พุทราหวาน โอวหยางไน่ยืนอยู่เบื้องหน้าพวกเขาราวกับพลสวรรค์ เสียงไม่ดัง แต่กลับกังวานมีพลังกึกก้องไปทั่วทั้งลาน “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าต่างก็เป็นผู้ได้รับความโปรดปรานในกองทหารรักษาพระองค์ ถูกย้ายมาที่จวนผิงจวิ้นอ๋องในใจยากจะเลี่ยงไม่ให้รู้สึกผิดหวัง ตรงนี้สามารถเข้าใจได้ ความกังวลของพวกเจ้า ข้ากับท่านจวิ้นอ๋องจวิ้นจู่ต่างก็รู้ดี ตรงนี้ทุกคนวางใจได้ พวกเจ้าอยู่ในกองทหารรักษาพระองค์ได้รับเงินเดือนสวัสดิการเช่นไร อยู่ที่จวนผิงจวิ้นอ๋องก็จะได้เงินเดือนสวัสดิการเช่นนั้น มีแต่ได้ไม่มีเสีย ส่วนอนาคตน่ะหรือ คำสาบานข้าไม่พูดแล้ว พวกเราตั้งตารอดูก็แล้วกัน” โอวหยางไน่ยิ้มอย่างมีเลศนัย รอยแผลเป็นยาวบนใบหน้าขยับ ยิ่งทำให้ดูน่ากลัว


 


 


ในกองทหารรักษาพระองค์มีคนสมองไวฉลาด ดวงตาเป็นประกายอย่างอดไม่ได้ คนที่ธรรมดาหน่อยก็ถูกคำพูดที่ล่อลวงใจนี้ของโอวหยางไน่พูดจนเลือดร้อนพุ่งพล่าน นี่ทำให้เสิ่นเวยที่แอบมองอยู่อดตกใจไม่ได้ นางคิดว่ามีเพียงอาจารย์ซูกับจางสยงที่มีฝีมือในการทำงานด้านความคิด ไม่คิดว่าโอวหยางไน่ชายกำยำล่ำสันที่ปกติแล้วกลัวดอกพิกุลจะร่วงผู้นี้จะปราดเปรื่องเป็นยอดหัวกะทิ ไม่อาจมองคนที่หน้าตาได้จริงๆ!


 


 


เช้าวันที่สอง ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งหมดตกใจสุดขีดเมื่อมองเห็นผิงจวิ้นอ๋องผู้นั้นปรากฎตัวอยู่ในพระตำหนักจินหลวน พึมพำในใจ กระซิบกระซาบวิพากษ์วิจารณ์กับสหายข้างๆ ขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ และบุคคลในคำวิจารณ์ก็ยืนอยู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่สนใจฟัง ประหนึ่งต้นสนสีเขียวแก่ที่ตั้งตระหง่านต้นหนึ่ง


 


 


ฮ่องเต้ยงเซวียนที่ประทับอยู่ข้างบนมองเห็นภาพเหตุการณ์ข้างล่างอยู่ในสายตาทั้งหมด หลุบตาลงเงียบๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าทรงคิดอะไรอยู่


 


 


ตอนที่ขันทีลากเสียงแหลมเปรียวประกาศว่าผิงจวิ้นอ๋องรับตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการกองปัญจทิศรักษานคร ขุนนางทั้งหมดก็เข้าใจโดยพลัน อ้อ ที่แท้แล้วผิงจวิ้นอ๋องที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้อย่างยิ่งผู้นี้ก็เข้าราชสำนักแล้ว เมื่อคิดถึงตำแหน่งของเขา ผู้บัญชาการกองปัญจทิศรักษานคร บนใบหน้าของคนบางคนก็เผยท่าทางคล้ายกำลังครุ่นคิดออกมา ในใจคนบางคนก็คิดด้วยเจตนาร้าย ด้วยสุขภาพร่างกายที่ไม่ทันได้ขยับก็ป่วยจนต้องขึ้นเขาไปรักษาตัวของคนผู้นี้จะกำราบบุตรหลานลูกคุณชายที่มีคนหนุนหลังกลุ่มนั้นได้หรือ แต่ว่านี่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขา อย่างไรเสียเกิดเรื่องวุ่นวายก็เป็นเพียงเรื่องของเหล่าราชนิกุลและผู้มีคุณูปการสูงส่ง ให้ฝ่าบาทปวดหัวไปคนเดียวก็พอ


 


 


เข้าเดือนหกแล้วชั่วพริบตาก็ถึงวันเกิดของเสิ่นเวยแล้ว นางอายุสิบหกปีเต็ม ตั้งแต่ที่ทะลุมิติมาต้ายงก็ผ่านมาสี่ปีแล้ว ในสี่ปีนี้เกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย ชีวิตของนางก็ผ่านไปอย่างเยี่ยมยอด บางครั้งตัวนางเองยังทอดถอนใจ เด็กผู้หญิงที่ผอมแห้งขี้โรคใกล้ตายผู้นั้นตอนที่ทะลุมิติมาแรกๆ ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน


 


 


เมื่อตื่นขึ้นแล้ว แม่นมมั่วกับหลีฮวาและสาวใช้หลายคนก็ยิ้มแย้มอวยพรให้นาง เถาฮวาเองก็วิ่งเข้ามาเอาของขวัญที่เตรียมไว้ดีแล้วส่งไปถึงมือนางราวกับถวายของล้ำค่าด้วยตัวเอง


 


 


ต่อมา คนรับใช้ทั่วทั้งจวนต่างก็เข้ามากราบไหว้อวยพร ของขวัญของชวีไห่จางสยงและคนอื่นๆ ส่งเข้ามาตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว ล้วนแต่เป็นของล้ำค่าหายาก เสิ่นเวยมองจนดวงตาทั้งคู่เป็นประกาย


 


 


อย่างเช่นอาจารย์ซูที่ทุ่มเทกายใจมอบภาพเหมือนให้นางหนึ่งภาพ ในม้วนภาพนางสวมชุดสีแดงตัวใหญ่ทั้งร่าง ยืนอยู่ใต้ต้นท้อที่ผลิบาน ดอกท้อทั้งต้นเบ่งบานสวยสด ขับให้รอยยิ้มที่งามวิจิตรของนางให้เด่นชัด


 


 


เสิ่นเวยชอบยิ่งนัก! แต่บนใบหน้าสวีโย่วกลับบิดเบี้ยวเล็กน้อย หากไม่ใช่ว่าเห็นอาจารย์ซูปฏิบัติต่อภรรยาของเขาเช่นบุตรสาวจริงๆ แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าภรรยาเขาจะโกรธเขาก็จะต้องเอาม้วนภาพมาทำลายทิ้งเสีย เป็นเช่นนี้แล้วเขาก็ยังไม่ลืมที่จะกระซิบข้างหูเสิ่นเวย “เจ้าชอบภาพเหมือนเหตุใดถึงไม่บอกให้เร็วกว่านี้ ข้าเองก็วาดได้!” เขาวาดก็ไม่ด้อยไปกว่าอาจารย์ซูเช่นกัน


 


 


เสิ่นเวยแพ้ให้สวีโย่วแล้วจริงๆ คนที่โตเป็นผู้ใหญ่หนึ่งคนยังทำตัวเป็นเด็กเช่นนี้ แต่เมื่อนึกได้ว่าสวีโย่วรับปากว่าจะพานางออกไปล่องทะเลสาบ นางก็ตัดสินใจว่าจะปลอบขวัญชายใจแคบผู้นี้ให้เป็นอย่างดี


 


 


“ได้สิ รอฤกษ์ไม่สู้เลือกวันนี้ เช่นนั้นก็คืนนี้เลยแล้วกัน” เสิ่นเวยกะพริบตาอย่างทะเล้น กระซิบเสียงเบาข้างหูสวีโย่วหลายประโยค ท่าทางน่าหลงใหลที่หวานเยิ้มทำให้สวีโย่วตัวแข็งอย่างอดไม่ได้


 


 


ส่วนปีศาจน้อยที่จุดไฟตนนั้นก็ไหลออกไปไกลประหนึ่งปลาแล้ว เอียงหน้ายิ้ม “ไปแล้วนะ ไปแล้วนะ!”


 


 


ชั่วขณะอามรมณ์ของสวีโย่วราวกับแสงอาทิตย์ที่อบอุ่นข้างนอก พริบตาเดียวก็สว่างจ้าขึ้นมา


 


 


ต้นหลิวริมฝั่งพลิ้วไหว บนผิวแม่น้ำมีเรือสำราญหนึ่งลำจอดอยู่ กำลังแล่นเข้ามาเทียบท่าช้าๆ คนที่ยืนอยู่บนหัวเรือคือเจียงเฮยกับเจียงไป๋สองพี่น้อง ก่อนหน้านี้เสิ่นเวยยังแปลกใจว่าสองคนนี้ไปไหน ที่แท้แล้วก็ถูกสวีโย่วสั่งให้มาที่นี่


 


 


“เชิญจวิ้นอ๋องกับจวิ้นจู่ขึ้นเรือขอรับ” เมื่อเรือสำราญจอดสนิท สองพี่น้องเฮยไป๋ก็กระโดดจากเรือขึ้นฝั่ง


 


 


เรือสำราญลำนี้ใหญ่อย่างยิ่ง มองดูแล้วใหญ่ยิ่งกว่าห้องสามห้องเสียอีก ราวกับพระราชวัง หรูหรายิ่งนัก เสิ่นเวยเคยนั่งเรือ แต่เรือสำราญชนิดนี้ยังไม่เคยนั่งมาก่อนจริงๆ สีหน้าท่าทางก็อดตื่นเต้นไม่ได้


 


 


“เรือสำราญลำนี้ราคาคงไม่ธรรมดาสินะ ท่านไปยืมใครมา” เสิ่นเวยดึงแขนเสื้อของสวีโย่วกล่าวถาม


 


 


สวีโย่วถือโอกาสโอบเอวของนาง ออกแรงเล็กน้อยก็กระโดดขึ้นไปบนเรือสำราญ กล่าวด้วยความเป็นเอกลักษณ์อย่างยิ่ง “ยืมใครอะไรกัน นี่เป็นของครอบครัวพวกเรา” ก็แค่เรือสำราญลำเล็กๆ ยังต้องไปยืมใครด้วยหรือ “หรือว่าในสายตาของเวยเวยข้าจนเพียงนั้นเชียวหรือ แม้แต่เรือสำราญให้ฮูหยินท่องเที่ยวยังซื้อไม่ได้เชียวหรือ” สวีโย่วน้อยใจอย่างยิ่ง อย่างไรเสียเขาก็เป็นผิงจวิ้นอ๋องที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้อย่างมาก!


 


 


เมื่อเสิ่นเวยได้ยินว่าเรือสำราญลำนี้เป็นของครอบครัวตน ก็ยิ้มแย้มทันที วิ่งอยู่บนเรือสำราญหนึ่งรอบอย่างไม่รีรอ ยิ่งมองก็ยิ่งมีความสุข “ไม่เลว ไม่เลว วันไหนอากาศดีค่อยชวนพี่รองพี่สามกับน้องสาวทั้งหลายในจวนออกมาเที่ยวด้วยกัน จะต้องสนุกมากแน่นอน” หลังจากนั้นก็คล้ายนึกอะไรขึ้นได้ “พี่รองคงจะออกมาไม่ได้แล้ว นางตั้งท้องแฝด ท่านน้าสะใภ้ใหญ่ดูแลเข้มงวดยิ่งนัก”


 


 


สวีโย่วมองเสิ่นเวยที่เหมือนนกกระจอกร่าเริงหนึ่งตัว มุมปากก็อดยกขึ้นไม่ได้


 


 


คนที่ดีใจเหมือนเสิ่นเวยยังมีสาวใช้ที่ตามอยู่ข้างหลัง พวกนางดูตรงนี้ ดูตรงนั้น แปลกใจเป็นที่สุด มักจะส่งเสียงหัวเราะที่เบิกบานหรือไม่ก็เสียงอุทานออกมาไม่หยุด เถาฮวาน้อยก็ยิ่งดีใจเป็นลิงโลด กลิ้งไปบนดาดฟ้าเรือเสียเลย ราวกับว่าข้างใต้ปูไปด้วยพรมหนาๆ


 


 


หลังประหลาดใจแล้ว สวีโย่วก็จูงมือเสิ่นเวยยืนเคียงคู่กัน เคลิบเคลิ้มไปกับสายลมอ่อนๆ ชื่นชมความงามของสองฝั่ง สบายใจสุดขีดจริงๆ


 


 


เหล่าสาวใช้ต่างก็แบ่งหน้าที่กัน เจียงเฮยเจียงไป๋สองพี่น้องก็ควบคุมความเร็วในการแล่นของเรือสำราญ โอวหยางไน่ก็นำทหารคุ้มกันทั้งหมดกระจายตัวอยู่รอบข้าง

 

 

 


ตอนที่ 250-2 สาวงามหรือว่าหวานใจ

 

“นี่ก็คือของขวัญวันเกิดที่ท่านให้ข้าหรือ ขอบคุณท่านพี่!” เสิ่นเวยอารมณ์ดี คำพูดที่ออกจากปากก็ไพเราะ จากมุมมองของนางสวีโย่วให้ปิ่นให้แหวนนาง ก็ไม่เท่าพานางออกมาเที่ยว


 


 


นี่ยังเป็นครั้งแรกที่สวีโย่วได้ยินเสิ่นเวยเรียกเขาว่าท่านพี่ จิตใจทั้งดวงก็อ่อนยวบ เขากุมมือที่นิ่มราวกับไร้กระดูกของเสิ่นเวยแน่น เอียงหน้ามองนาง “แค่นี้ก็มีความสุขแล้วหรือ”


 


 


เสิ่นเวยพยักหน้าทันที “ท่านไม่ใช่ไม่รู้นิสัยของข้า ทั้งชีวิตมีความชอบอยู่สองอย่างใหญ่ หนึ่งคือเงิน อีกอย่างคือเที่ยว” เสิ่นเวยกล่าวอย่างโอ้อวดไม่ละอายใจ


 


 


สวีโย่วหัวเราะเบาๆ หนึ่งครา พูดเสริม “ข้าคิดว่าเวยเวยยังมีอีกหนึ่งความชอบมิใช่หรือ”


 


 


เสิ่นเวยหันหน้า ถามด้วยความสงสัย “อะไร”


 


 


“สร้างเรื่อง” สวีโย่วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง ความสามารถในการสร้างเรื่องเวยเวยของเขาเป็นที่หนึ่ง เขาเพียงแค่ถูกฝ่าบาทเรียกเข้าวังครู่เดียวนางก็วิ่งไปเดินเล่นที่จวนเสนาบดีฉินแล้ว มิหนำซ้ำยังประมาทแหวกหญ้าให้งูตื่นอย่างยิ่ง แม้จะบอกว่าสุดท้ายแล้วหลบมาได้ แต่ก็ยังคงทำให้เขาเป็นกังวลอย่างถึงที่สุด!


 


 


เสิ่นเวยย่นจมูก กล่าวอย่างไม่สนใจ “ข้าไม่ได้เต็มใจเสียหน่อย แต่เรื่องวิ่งเข้ามาหาเองต่างหาก”


 


 


เหมือนเรื่องที่นางจับจ้องจวนเสนาบดีฉิน หากไม่ใช่ว่าฉินมู่หรานเด็กชั่วคนนั้นมีเรื่องกับน้องเจวี๋ยน้องชายของนางอยู่ก่อน จวนเสนาบดีพุ่งเป้ามาที่นางอยู่ข้างหลัง นางก็ขี้เกียจจะสนใจพวกเขา


 


 


ยังมีหมิ่นซือเหนียนที่เจอระหว่างทางกลับเมืองหลวงจากอวิ๋นโจว หากเขาไม่เกิดมีเจตนาร้ายลักพาตัวนางกลับไป นางก็คงจะไม่สนใจว่าหมิ่นซือเหนียนจะใช้อำนาจบาตรใหญ่ที่เมืองทงโจวอย่างไร


 


 


แม้แต่คนโง่ผู้นั้นที่เจอคืนนั้นก็เข้ามาเอง นางไม่ได้หาเรื่องเองเลย


 


 


“ใช่ๆๆ ล้วนแต่เป็นเรื่องที่เข้ามาหาเสิ่นเวย” สวีโย่วเห็นเสิ่นเวยเบ้ปาก ก็เลิกประนีประนอมตามหลักการทันที ท่าทางทาสภรรยานั้นทำให้ใบหน้าที่เย็นชาใบนั้นของโอวหยางไน่ที่อยู่ข้างๆ กระตุกอย่างแรง ท่านจวิ้นอ๋อง ท่านลุ่มหลงรักใคร่เช่นนี้จะดีจริงๆ หรือ โดยเฉพาะต่อหน้าสุนัขรับใช้หนึ่งกลุ่ม ช่างปวดใจดีจริงๆ!


 


 


สวีโย่วชี้ความงดงามข้างฝั่งแนะนำให้เสิ่นเวยฟัง เสิ่นเวยพูดแทรกสองประโยคอยู่บ่อยๆ หลีฮวานำสาวใช้สองคนมาส่งผลไม้สดของว่างและชาหอมที่ชงมาอย่างดี สวีโย่วหยิบไม้เสียบผลไม้จิ้มสับปะรดหนึ่งชิ้นส่งไปที่มุมปากของเสิ่นเวย เสิ่นเวยกัดหนึ่งคำ น้ำที่เปรี้ยวหวานชั่วขณะก็กระฉูดอยู่ในโพรงปาก ริมฝีปากและฟันชุ่มฉ่ำ อดกัดอีกคำไม่ได้ กัดไปสองสามคำก็กินสับปะรดหนึ่งชิ้นลงท้องจนหมด สวีโย่วเห็นนางชอบกินก็รีบจิ้มมาอีกหนึ่งชิ้น


 


 


คนหนึ่งกินคนหนึ่งป้อนเช่นนี้ ก็แสบตาจนทำให้ตาของทุกคนแทบบอดแล้ว


 


 


“เอ๋ เสียงฉินที่ไหนกัน” เสิ่นเวยที่กำลังกินอย่างมีความสุขก็ลุกขึ้นมองไปรอบด้าน มองเห็นบริเวณที่ห่างจากด้านขวาของพวกเขาออกไปยี่สิบจั้งมีเรือสำราญลำหนึ่งเช่นกัน เสียงฉินกำลังดังออกมาจากเรือสำราญลำนั้น


 


 


“นี่คือเรือสำราญของใครกัน ดีดฉินได้ไม่เลว” เสิ่นเวยเงี่ยหูฟังแล้วกล่าว กู่ฉินนางเองก็ดีดเป็น เคยดีดได้ไม่เลวเช่นกัน แต่ไม่ได้แตะนานแล้ว ไม่ชำนาญแล้ว แต่ความสามารถในการชื่นชมยังคงมีอยู่


 


 


สวีโย่วปรายตาไปทางขวาปราดหนึ่ง กล่าว “ใครจะรู้เล่า ยังจะกินอีกหรือไม่ ตรงนี้ยังมีอีกหนึ่งชิ้น หากไม่พอประเดี๋ยวให้หลีฮวาไปเอามาเพิ่มอีกถาด”


 


 


หนึ่งประโยคดึงความสนใจของเสิ่นเวยกลับมาทันที นางมองสับปะรดชิ้นสุดท้ายในมือสวีโย่วด้วยความตกใจ ไม่ใช่แล้วกระมัง สับปะรดถาดนี้อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีเจ็ดแปดชิ้น ถูกนางกินหมดแล้วงั้นหรือ นางไหนเลยจะตะกละเพียงนั้น รีบส่ายหน้า “ไม่เอาแล้ว” หากยังกินอีกฟันของนางก็จะคงเปรี้ยวจนหลุดแล้ว กลางวันพวกเขายังต้องย่างเนื้อกินบนเรือสำราญอีก นางต้องเก็บท้องไว้บ้าง


 


 


สวีโย่วส่งสับปะรดชิ้นสุดท้ายเข้าไปในปากของตนเสีย เคี้ยวสองสามครั้งก็หมด ในขณะนี้เอง เสิ่นเวยก็มองเห็นเรือสำราญทางด้านขวาพวกเขาแล่นเข้ามา ตอนที่ยังเหลืออีกสามสี่จั้ง ก็ได้ยินเด็กสาวที่เหมือนสาวใช้ยืนอยู่บนเรือลำนั้นตะโกน “เรียนถามข้างหน้าใช้ท่านจวิ้นอ๋องหรือไม่ คุณหนูของพวกเราอยู่บนเรือสำราญ”


 


 


เสิ่นเวยส่งสายตามองสวีโย่วอย่างประหลาดใจทันที จากนั้นก็เห็นสวีโย่วยกแก้วชาชิมชา ดวงตาไม่เหลือบขึ้นแม้แต่นิดเดียว เสิ่นเวยไม่ชอบท่าทางเย็นชาเช่นนี้ของเขาที่สุด เตะเขาจากใต้โต๊ะ “นี่ เรียกท่านน่ะ บอกมา นี่คือสาวงามหวานใจที่ไหนของท่าน” ตัวนางเองยังไม่รู้ตัวว่าในน้ำเสียงของตนมีความหึงหวงแฝงอยู่


 


 


สวีโย่วเพิ่งจะชายตามองฝั่งนั้นปราดหนึ่งอย่างไม่สนใจ จากนั้นก็เก็บสายตากลับมาทันที “ไม่รู้จัก”


 


 


ไม่รู้จักหรือ เสิ่นเวยเชื่อก็แปลกแล้ว ไม่รู้แล้วเขาจะเรียกชื่อเรียกแซ่มาหาถึงที่หรือ ยังมีคุณหนูอะไรอีก ดูจากน้ำเสียงที่สนิทสนมของสาวใช้ผู้นั้น จะไม่รู้จักได้อย่างไร


 


 


สาวใช้ตะโกนอีกครั้ง “บ่าวเคยพบท่านจวิ้นอ๋อง คุณหนูของพวกเราแซ่ซู ขอบคุณที่ครั้งก่อนท่านยื่นมือมาช่วย อยากจะขอบคุณท่านต่อหน้าสักครั้ง”


 


 


“เอ๋ เป็นวีรบุรุษช่วยหญิงงามนี่” ใบหน้าของเสิ่นเวยเย็นเยียบในชั่วขณะ กล่าวเสียดสี หันหน้าสั่งหลีฮวา “เจ้าไปถามมาว่าเป็นคุณหนูตระกูลไหน”


 


 


“ไม่รู้จักจริงๆ” สวีโย่วเห็นเสิ่นเวยโมโหแล้ว รีบกล่าวปฏิเสธ เขาเองก็น้อยใจยิ่งนัก เขาไม่รู้จักคุณหนูแซ่ซูอะไรนั่นจริงๆ


 


 


ตอนนี้เสิ่นเวยกำลังโกรธขึ้นหน้า สวีโย่วพูดอะไรนางก็ไม่เชื่อ “ไป เรียกเจียงไป๋มาให้ข้า” เจียงไป๋อยู่ข้างกายเขาทั้งวันทั้งคืน เขาไม่รู้จักเจียงไป๋จะไม่รู้จักได้หรือ


 


 


เจียงไป๋มาเร็วอย่างยิ่ง “จวิ้นจู่ ท่านเรียกบ่าวหรือ” เสียงเรียกตะโกนของสาวใช้บนเรือสำราญลำนั้นเขาเองก็ได้ยินแล้ว กำลังร้องทุกข์อยู่เงียบๆ จวิ้นจู่ก็สั่งคนมาเรียกเขาดังคาด เขามองใบหน้าที่เย็นชาของจวิ้นอ๋องอย่างระมัดระวัง เหงื่อเย็นชืดกำลังจะไหลลงมาแล้ว


 


 


เสิ่นเวยมองท่าทางสอพลอนั่นของเจียงไป๋ปราดหนึ่ง เพยิดคาง กล่าว “พูดมาเถอะ นั่นคือคุณหนูตระกูลใด นายพวกเจ้าลืมแล้ว ช้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องจำได้แน่นอน”


 


 


สบสายตาที่น่ากลัวของเสิ่นเวย เจียงไป๋ไหนเลยจะกล้าโกหก “นั่นไม่ใช่คุณหนูตระกูลไหน เป็นแม่นางซูหว่านที่หอเสพสำราญ”


 


 


“หอเสพสำราญหรือ” ได้ยินชื่อแล้วก็ไม่น่าจะเป็นสถานที่ทางการอะไร นั่นคือ หอโคมเขียวหรือ เสิ่นเวยประหลาดใจ ทันใดนั้นก็ตบโต๊ะลุกขึ้นด้วยความเดือดดาล “ดีจริงๆ สวีโย่ว รู้จักไปเที่ยวเสพสำราญแล้ว”


 


 


เจียงไป๋ตกใจแทบแย่แล้ว รีบกล่าว “ไม่ใช่ ไม่ใช่ จวิ้นจู่ท่านฟังบ่าวพูดให้จบก่อน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนายท่านจริงๆ ขอรับ นี่เป็นเรื่องเมื่อปีก่อน ระหว่างทางที่นายท่านกลับจวนเจอแม่นางซูหว่านผู้นี้ถูกอันธพาลท้องถิ่นหลายคนล้อมลวนลาม ปิดถนนทั้งหมด นายท่านรำคาญใจ จึงลงจากรถเดินไปเองก่อน ทิ้งบ่าวจัดการพวกอันธพาลท้องถิ่น”


 


 


“จริงหรือ” เสิ่นเวยยังคงสงสัย


 


 


“จริงขอรับ จริงขอรับ บ่าวกล้าสาบานด้วยชีวิต” เจียงไป๋พยักหน้าประหนึ่งตำกระเทียม


 


 


สวีโย่วเองก็เอ่ยปากขึ้นมาพอดี “บอกแล้วว่าไม่รู้จัก เวยเวยเจ้ายังไม่เชื่อข้า” ได้ยินเจียงไป๋พูดเช่นนี้ สวีโย่วก็นึกเรื่องนี้ขึ้นได้แล้ว เขาจำได้เพียงแค่ถนนถูกปิด สำหรับซูหว่านหลี่หว่านอะไร ใครจะรู้ว่าหน้าตาเป็นเช่นไร


 


 


เสิ่นเวยเห็นสีหน้าของพวกเขาไม่เหมือนเสแสร้ง จึงเชื่อเล็กน้อย ตอนนี้เองหลีฮวาก็กลับมาแล้ว “จวิ้นจู่ ฝ่ายตรงข้ามบอกว่าคุณหนูของพวกนางคือคุณหนูซูหร่วนของหอเสพสำราญ ปีก่อนได้รับความเมตตาจากท่านจวิ้นอ๋องออกมือช่วยชีวิต อยากจะมาขอบคุณด้วยตัวเอง”


 


 


เมื่อเสิ่นเวยได้ฟัง ใบหน้าก็เย็นเยียบลงสามส่วนทันที ชี้สวีโย่วไม่พูดแม้แต่ประโยคเดียวก็หมุนตัวเดินเข้าไปข้างในแล้ว


 


 


สวีโย่วรีบตามไป ยังไม่ลืมสั่งเจียงไป๋ “ให้พวกนางไสหัวไปให้ไกลข้าหน่อย” เพราะซูหว่านอะไรนั่นผู้เดียว หากไม่ใช่นาง เวยเวยจะโกรธได้อย่างไร


 


 


“เวยเวย เวยเวย ข้าไม่ได้ทำจริงๆ ไม่เกี่ยวกับข้าจริงๆ!” สวีโย่วรีบสับขาเดินไปดึงแขนของเสิ่นเวย


 


 


เสิ่นเวยออกแรงสะบัด สะบัดไม่ออก รู้สึกเพียงส่วนลึกในจิตใจมีเปลวเพลิงพวยพุ่งออกมาข้างนอก “ไม่เกี่ยวกับท่าน ไม่เกี่ยวกับท่านแล้วเหตุใดนางต้องมาหาผิงจวิ้นจู่ด้วยเล่า เหตุใดถึงไม่มาหาข้าจยาฮุ่ยจวิ้นจู่เล่า สวีโย่ว วันนี้เป็นวันเกิดของข้า ท่านฉลองให้ข้าเช่นนี้หรือ” เสิ่นเวยแสบจมูก น้อยใจอย่างยิ่งแล้ว


 


 


คราวนี้สวีโย่วลนลานแล้ว เขาเคยเห็นเสิ่นเวยที่กำแหง เสิ่นเวยที่เจ้าเล่ห์ เสิ่นเวยที่ปลิ้นปล้อน อย่างเดียวที่ไม่เคยเห็นก็คือเสิ่นเวยที่น้อยใจเช่นนี้ หัวใจของเขาเจ็บปวดราวกับถูกเข็มแทง บีบรัดไม่หยุด “ใช่ๆๆ เป็นความผิดของข้าคนเดียว ข้าให้เจียงไป๋ไล่นางออกไปแล้ว เวยเวยเจ้าอย่าโกรธ หรือเจ้าจะตีข้าก็ได้” เขาเอามือของเสิ่นเวยไปตีลงบนร่างตัวเอง


 


 


เสิ่นเวยยิ่งรู้สึกน้อยใจ “ท่านไม่รู้หรือว่าตัวเองมีใบหน้าดึงดูดสายตา ท่านยังจะลงจากรถ ท่านนั่งรอบนรถไม่ได้หรือ รู้อยู่แก่ใจว่าข้าก็อยู่บนเรือ ยังตามมาขอบคุณบุญคุณช่วยชีวิตอีก นี่ไม่ใช่ยั่วยุข้าหรือ แม้แต่ผู้หญิงหอโคมเขียวคนหนึ่งยังกล้าหมายปองสามีของข้าซึ่งๆ หน้าเช่นนี้ ท่าน ท่านสวีโย่วทำเช่นนี้ต่อข้าจริงๆ หรือ วันนี้เป็นซูหว่าน พรุ่งนี้ใช่จะเป็นจางหว่านหลี่หว่านหรือไม่ ชีวิตนี้จะผ่านไปอย่างไร เลิกกันไปเสียดีกว่า!”


 


 


แม้สติปัญญาของนางจะรู้ว่าไม่เกี่ยวกับสวีโย่ว แต่เสิ่นเวยก็ควบคุมตัวเองไม่อยู่ นางรู้สึกน้อยใจ น้อยใจอย่างถึงที่สุด เบื้องลึกในใจมีไฟโทสะที่มองไม่เห็นหนึ่งกลุ่มลุกโชนจนนางอึดอัดอย่างถึงที่สุด


 


 


สวีโย่วได้ยินเสิ่นเวยพูดแม้แต่คำว่าเลิกกันออกมา ก็รู้แล้วว่าครั้งนี้นางโกรธจริงๆ ไม่สนเกียรติยศศักดิ์ศรีอะไรแล้ว กอดเสิ่นเวยไม่ปล่อยมือ “เวยเวย น้องสี่ พันความผิดหมื่นความผิดล้วนแต่เป็นความผิดของข้า เจ้าวางใจ ข้าจะเปลี่ยนแปลง ครั้งหน้าหากเจอเรื่องเช่นนี้อีกข้าจะไม่ลงจากรถเด็ดขาด เดินไปข้างหน้า ไม่สนเรื่องของคนอื่นเด็ดขาด ดีหรือไม่ ดีหรือไม่”


 


 


“ปล่อย ท่านปล่อย” เสิ่นเวยออกแรงดิ้นพล่าน หมดหนทางหวีโย่วกอดนางแนบแน่น นางขยับไม่ได้แม้แต่นิดเดียว


 


 


“เวยเวยทำอย่างไรเจ้าจึงจะไม่โกรธ ขอเพียงแค่ข้าทำได้ ไม่ว่าอะไรข้าก็รับปาก” สวีโย่วเสียใจยิ่งนัก วันเกิดดีๆ ถูกก่อกวน เขาตัดสินใจเงียบๆ แล้วว่าจะต้องโยนซูหว่านอะไรนั่นออกไปจากเมืองหลวงให้ได้


 


 


“ได้ ท่านพูดเองนะ” เสิ่นเวยดิ้นไม่หลุด ก็กัดฟันชี้แม่น้ำกล่าว “กระโดดลงไป อยู่ถึงหนึ่งชั่วยามข้าจะให้อภัยท่าน”


 


 


“ได้ ขอเพียงแค่เวยเวยไม่โกรธ ข้าอยู่สองชั่วยามก็ไม่เป็นไร” สวีโย่วกล่าวอย่างตั้งใจ ดีดตัวคราหนึ่งก็กระโดดจากเรือสำราญลงไปในแม่น้ำแล้ว


 


 


“ท่านจวิ้นอ๋อง” เจียงเฮยเจียงไป๋สองพี่น้องตกใจหน้าถอดสี เหล่าทหารคุ้มกันก็ปากอ้าตาค้าง นี่ช่าง ช่างเชื่อฟังเกินไปแล้วหรือไม่ มีเพียงหลีฮวาและสาวใช้คนอื่นๆ กับโอวหยางไน่ที่ไม่สะทกสะท้าน จวิ้นจู่ของพวกเขาโกรธจนเป็นขนาดนี้แล้ว จะให้ท่านจวิ้นอ๋องไปสำนึกในน้ำแล้วอย่างไร


 


 


ทหารคุ้มกันที่โอวหยางไน่พามาก็มีคนที่อยู่ในกองทหารรักษาพระองค์ด้วย มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้ อารมณ์ร้อนของจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ผู้นี้รุนแรงจริงๆ! สตรีคนอื่นเจอเรื่องเช่นนี้ไม่ใช่ควรอดทนหรอกหรือ ส่วนผิงจวิ้นจู่ก็คาดไม่ถึงว่าปล่อยให้นางทำเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ ตนเองก็ยังกระโดดลงไปในน้ำจริงๆ นี่ ภาพนี้คล้ายผิดปกติเล็กน้อย!


 


 


เสิ่นเวยน่ะหรือจะอดทน นางจะระบายอารมณ์แล้วอย่างไร นางสร้างเรื่องอย่างไม่มีเหตุผลแล้วอย่างไร นางจะไม่สบายใจในใจแล้วอย่างไร นางจะรำคาญสตรีทั้งหมดที่หมายปองชายของนางแล้วอย่างไร


 


 


เพราะสวีโย่วคนเดียว เพราะสวีโย่วคนเดียว เรื่องนี้ในวันนี้ล้วนเป็นเพราะเขาคนเดียว! วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบอายุสิบหกปีของนางไม่ใช่หรือ เสิ่นเวยอึดอัดใจจนอยากจะรื้อเรือสำราญทั้งลำจริงๆ


 


 


“ท่านไม่ดี ทำให้คุณหนูโมโห ตีท่าน ตีท่าน” เถาฮวาวิ่งเข้ามาหยิบผลไม้สดในถาดปาไปที่สวีโย่วในน้ำ ถูกหลีฮวาและคนอื่นๆ ลากออกไปอีกฝั่งแล้ว


 


 


นายท่านทะเลาะกันพวกเราสาวใช้เหล่านี้อย่าเข้าไปมีส่วนร่วมจะดีกว่า ไม่เห็นหรือว่าสีหน้าของเจียงเฮยเจียงไป๋ดำหมดแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 251-1 ข่าวดี

 

“จวิ้นจู่ ให้นายท่านขึ้นมาเถิด เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนายท่านจริงๆ หากท่านไม่หายโกรธ บ่าวจะไปแช่น้ำแทนนายท่าน” เจียงไป๋มองเจ้านายที่จมๆ ลอยๆ อยู่ในแม่น้ำ น่าสงสารยิ่งนัก


 


 


เสิ่นเวยชายตามองเขาปราดหนึ่ง แค่นเสียงหนึ่งครา ไม่เอ่ยปาก


 


 


เจียงเฮยกับเจียงไป๋ร้อนใจจนกระสับกระส่าย อยากจะกระโดดลงน้ำแทนเจ้านายของพวกเขาทันที แต่จวิ้นจู่ไม่เอ่ยปาก พวกเขาก็ไม่กล้า! นิสัยของจวิ้นจู่เหนียงเหนียง คนอื่นไม่รู้ แต่พวกเขาสองพี่น้องเห็นอยู่ในสายตาทั้งหมด ตั้งแต่พระราชโองการพระราชทานสมรสออกมา จวิ้นจู่ก็กินเจ้านายของพวกเขาจนเรียบ ได้ทุกอย่างตามใจจริงๆ!


 


 


“จวิ้นจู่ บ่าวขอท่านล่ะ รีบให้นายท่านขึ้นมาเถิด! ร่างกายของนางท่านไม่ค่อยแข็งแรงนัก หากโดนความหนาวโดนลมเย็น คนที่สงสารก็ยังคงเป็นท่านมิใช่หรือ ท่านวางใจ หลังจากนี้บ่าวจะจับตาดู อย่าว่าแต่สตรี แม้แต่ยุงตัวเมียก็อย่าได้คิดจะเข้าใกล้นายท่าน” เจียงไป๋ร้องขอ


 


 


เสิ่นเวยแค่นเสียงอีกครา มองสวีโย่วที่ถีบขาอยู่ในน้ำ


 


 


สวีโย่วเห็นเสิ่นเวยมองมา ก็รีบส่งรอยยิ้มเอาใจที่น่าสงสารกลับมาให้นาง ท่าทางจนตรอกนั้นทำให้จิตใจของเสิ่นเวยอ่อนลงเล็กน้อย ถลึงตาใส่เจียงไป๋อย่างอารมณ์ไม่ดี “ยังไม่รีบเอานายของเจ้าขึ้นมาอีก รอข้าลงมือหรือไร”


 


 


เจียงเฮยเจียงไป๋ดีใจใหญ่ “บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้” ทั้งสองกระโดดลงไปในน้ำช่วยสวีโย่วขึ้นมา


 


 


สวีโย่วเปียกชุ่มไปทั่วทั้งร่าง เขาเช็ดหยดน้ำบนใบหน้าหนึ่งครั้ง ขานชื่อด้วยท่าทีน่าสงสาร “เวยเวย” คิดอยากจะเข้าไปแต่กลับกังวลว่าจะทำให้เสื้อผ้าของนางเปียก


 


 


เสิ่นเวยถลึงตามองเขาปราดหนึ่ง ชี้ไปข้างใน กล่าวอย่างปากแข็ง “ยังไม่รีบไปเปลี่ยนชุดอีก ไม่สบายขึ้นมาอย่าหวังว่าข้าจะเชิญหมอมาให้ท่าน”


 


 


“ที่แท้แล้วเวยเวยก็เป็นห่วงข้าเช่นนี้นี่เอง!” สวีโย่วยิ้มอย่างซื่อๆ ในใจดีใจยิ่งนัก! ยังคงเป็นเจียงเฮยเจียงไป๋สองพี่น้องที่กลัวว่าจะทำให้เสิ่นเวยเดือดดาลอีก จึงรีบพยุงเขาเดินเข้าไปข้างใน


 


 


เมื่อสวีโย่วแช่น้ำร้อนอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาแล้ว หลีฮวาก็ยกน้ำขิงที่ต้มดีแล้วเข้ามาโดยไม่ต้องสั่ง เสิ่นเวยรับเข้ามาแล้วหยุดอยู่ตรงหน้าสวีโย่ว กล่าวด้วยสีหน้าเฉยเมย “ดื่มซะ”


 


 


สวีโย่วไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ยกน้ำขิงเข้ามาดื่มลงไปอย่างเชื่อฟัง ประหนึ่งกินน้ำหวาน


 


 


“เวยเวย” สวีโย่วหน้าหนาเขิบเข้ามาใกล้เสิ่นเวย หลังจากถูกเสิ่นเวยผลักออกไปแล้วก็เขยิบเข้ามาอีก ผ่านไปหลายครั้ง เสิ่นเวยก็ปล่อยเขา ในที่สุดสวีโย่วก็กอดหญิงงามได้อย่างสมใจ “เวยเวย ไม่โกรธแล้วใช่หรือไม่”


 


 


เสิ่นเวยแค่นเสียงหนึ่งครั้ง ชี้จมูกเขาแล้วกล่าว “ห้ามมีครั้งหน้าอีก” หากมีอีกครั้งนางจะไม่ถือสาให้เขามองดูวิธีที่โหดเ**้ยมยิ่งกว่านี้


 


 


สวีโย่วรับปากด้วยความตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง “เชื่อฟังเวยเวย เจ้าให้ข้าไปขวา ข้าจะไม่ไปซ้าย เจ้าให้ข้าตีหมา ข้าจะไม่ไล่ไก่”


 


 


เหล่าทหารคุ้มกันได้ยินคำสัญญาที่ชัดเจนของท่านผิงจวิ้นอ๋องผู้องอาจผ่าเผยที่ไม่กี่วันก่อนยังโหดเ**้ยมจนพวกเขากลัว ร่างทั้งร่างก็ลนลานทำตัวไม่ถูกอยู่ท่ามกลางสายลม


 


 


ซูหว่านหญิงนางโลมหอเสพสำราญที่ถูกเจียงไป๋ไล่ไปก็กัดริมฝีปากแน่น เล็บยาวๆ จิกเข้าไปในฝ่ามือ ดวงตาเต็มไปด้วยพยับเมฆที่หนาแน่น


 


 


นึกถึงคำประณามที่ไม่เหลือเยื่อใยของบ่าวคนสนิทท่านจวิ้นอ๋องเมื่อครู่นี้ ดวงตาของซูหว่านก็แทบจะมีโลหิตหยดออกมา


 


 


อันที่จริงนี่ก็โทษเจียงไป๋ไม่ได้จริงๆ เพราะว่าซูหว่านหอเสพสำราญอะไรผู้นี้ จวิ้นจู่จึงบันดาลโทสะกับนายของเขา ต่อให้ซูหว่านผู้นี้จะสวยดั่งนางฟ้า เจียงไป๋ก็ไม่ไว้หน้านางอยู่ดี!


 


 


อับอาย นางไม่เคยได้รับความอับอายเช่นนี้มาก่อน ขุนนางชั้นสูงผู้สูงศักดิ์มากน้อยกอบเงินมหาศาลเพียงเพื่อจะได้พบหน้านาง แต่วันนี้บ่าวเล็กๆ คนหนึ่งยังดุด่านางตามอำเภอใจ ไล่นางไปไกลๆ ได้นี่จะให้นางผู้ที่โอ้อวดทะนงตนยอมรับได้อย่างไร


 


 


“คุณหนู!” อวี้เอ๋อร์สาวใช้ประจำตัวของซูหว่าน มองนางด้วยความกังวล คิดจะก้าวเข้าไป แต่กลับไม่กล้า “คุณหนู บ่าวว่าเรือสำราญลำนั้นจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ก็อยู่ อาจจะไม่ใช่เจตนาของผิงจวิ้นอ๋องก็ได้เจ้าค่ะ…”


 


 


สบสายตาที่น่ากลัวของคุณหนู อวี้เอ๋อร์ก็ขนหัวลุก พูดไม่ออกแล้ว


 


 


“ข้ารู้ เพราะจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ผู้นั้นใช้อำนาจบาตรใหญ่เกินไป นางคิดว่าทำเช่นนี้แล้วข้าจะพบผิงจวิ้นอ๋องไม่ได้งั้นหรือ” ในดวงตาคู่งามของซูหว่านมีความบ้าคลั่งแวบผ่าน


 


 


เมื่อพบชายหนุ่มแซ่สวีก็อยากจะอยู่เคียงคู่ไปชั่วชีวิต ตั้งแต่ปีก่อนที่นางได้ยลโฉมหน้าอันโดดเด่นของผิงจวิ้นจู่ เบื้องลึกในใจก็มีเงาร่างที่งามสง่าเป็นราศีเงานั้นคืบคลานเข้ามา ไม่ว่าอย่างไรก็ลืมไม่ลง เป็นถึงนางโลมหอเสพสำราญ นางมีใบหน้าที่งามเพริศแพร้ว ฝีมือด้านศิลปะโดดเด่น โดยเฉพาะดีดฉินได้ดีเป็นที่หนึ่ง บุตรหลานผู้มีอำนาจในเมืองหลวงต่างก็เข้ายึดพื้นที่ในหอเสพสำราญกว่าครึ่งปี เพื่อที่จะฟังบทเพลงของนาง


 


 


ดังนั้นนางจึงมีคุณสมบัติที่จะทะนงตน นางคิดว่าภรรยาเอกของผิงจวิ้นอ๋องนางเป็นไม่ได้ เป็นอี๋เหนียงอนุภรรยาก็คงเกินพอ ขอเพียงแค่นางสามารถเข้าใกล้ผิงจวิ้นอ๋องได้ นางก็มีวิธีทำให้ผิงจวิ้นอ๋องโปรดปรานนางเพียงคนเดียว เช่นนั้นเรือนหลังของผิงจวิ้นอ๋องไม่ใช่นางที่เป็นใหญ่หรอกหรือ นี่ดีกว่าชีวิตที่ต้องรับแขกส่งแขกที่หอเสพสำราญของนางเป็นหมื่นเท่า


 


 


สำหรับคุณหนูสี่แซ่นเสิ่นของจวนจงอู่โหวผู้นั้นที่ได้รับพระราชทานสมรสกับผิงจวิ้นอ๋อง นางเองก็สืบข่าวมาแล้ว ก็แค่หญิงชาวบ้านที่เติบโตในชนบท ไหนเลยจะมีบุคลิกมารยาทได้เท่านาง แม้ว่าคุณหนูสี่แซ่เสิ่นผู้นี้จะได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นจวิ้นจู่ แต่นางก็ไม่ได้เห็นนางอยู่ในสายตา


 


 


วันนี้นางอุส่าสืบได้ว่าผิงจวิ้นอ๋องจะมาล่องแม่น้ำไป๋เหอ นางทุ่มเทความคิดมากมายกว่าจะกล่อมให้แม่นมหยางพาออกมาจากหอ กุมหัวใจที่ตื่นเต้นดีใจหนึ่งดวงคิดจะถวายตัวเองให้ชายผู้นั้นที่เลื่อมใส แต่ใครจะรู้…นางคิดถึงสถานการณ์ที่ต้องเจอนับไม่ถ้วน สิ่งเดียวที่ไม่ได้คาดการณ์ก็คือผิงจวิ้นอ๋องคาดไม่ถึงว่าจะสั่งคนมาขับไล่นาง!


 


 


ไม่ นางไม่เชื่อ! นางไม่เชื่อเด็ดขาดว่าผิงจวิ้นอ๋องจะไร้เยื่อใยเช่นนี้!


 


 


บุรุษผู้มีเรือนร่างที่สูงตระหง่านราวกับต้นสนเขียว ดวงตาดำลึก สว่างราวกับดาราบนนภา ไม่มีทางทำเช่นนี้ต่อนางแน่นอน ไม่ว่าชายคนใดที่เคยเห็นใบหน้าอันงดงามของนางล้วนไม่มีทางทำเช่นนี้ต่อนาง


 


 


ใช่แล้ว เป็นจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ จยาฮุ่ยจวิ้นจู่ที่หยาบคายผู้นั้นขวางผิงจวิ้นอ๋องไม่อนุญาตให้เจอนาง สตรีไร้คุณธรรมจริงๆ! เหอะ นางขวางตนได้หนึ่งครั้ง แต่จะขวางตนไปได้ตลอดงั้นหรือ


 


 


สำหรับผิงจวิ้นอ๋องนางมีจิตใจปรารถนาแรงกล้า ดวงตาของซูหว่านมีประกายความแน่วแน่แวบผ่าน


 


 


“มา เวยเวยลองชิมนี่สิ!” สวีโย่วยื่นเนื้อเสียบไม้ที่ย่างเสร็จแล้วในมือไปให้เสิ่นเวยด้วยความกระตือรือร้น เมื่อครู่เห็นเสิ่นเวยไม่มีความสุข เขาปวดใจยิ่งนัก วันนี้เป็นวันเกิดของเสิ่นเวย แต่กลับเป็นเพราะสตรีไม่มีหัวนอนปลายเท้ามาทำให้เสิ่นเวยอามรมณ์ไม่ดี ในใจเขาเสียใจ


 


 


เสิ่นเวยปรายตามองเขาปราดหนึ่ง กลับไม่ได้ปฏิเสธ หลังจากอารมณ์กลุ่มนั้นผ่านไป สติปัญญาของเสิ่นเวยก็กลับมาอีกครั้ง รู้ตัวว่าว่าเมื่อครู่ตนงี่เง่าไร้เหตุผล แต่ตอนนั้นนางก็ควบคุมอารมณ์ตัวเองไว้ไม่อยู่จริงๆ


 


 


สวีโย่วเห็นเสิ่นเวยยอมสนใจเขาแล้ว ดีใจอย่างยิ่ง ปรนนิบัติด้วยความกระตือรือร้นยิ่งกว่าเดิม ส่วนจิตใจที่เป็นกังวลของเจียงเฮยกับเจียงไป๋สองพี่น้องในที่สุดก็วางลงแล้ว และไม่คิดว่าพฤติกรรมทาสภรรยาของนายท่านพวกเขาจะขัดหูขัดตาอีกต่อไป รู้สึกเพียงขอแค่จวิ้นจู่ไม่ทรมานนายท่านพวกเขาอย่างสุดแรงเกิดก็พอแล้ว


 


 


กินเนื้อย่างเสร็จเสิ่นเวยก็พิงอยู่บนร่างสวีโย่วอย่างเกียจคร้าน สายลมเบาพัดโชย สะลึมสะลืออยากจะหลับ


 


 


สวีโย่วยกมือ หลีฮวาก็ส่งพรมหนาเข้ามาทันที สวีโย่วสะบัดออกคลุมลงบนร่างคนทั้งสอง เสิ่นเวยลืมตามองเล็กน้อยจากนั้นจึงกลับตาลงอีกครั้ง ไม่นานนัก เสียงลมหายใจที่เสมอกันก็ดังเข้าไปในหูสวีโย่ว สวีโย่วกอดหญิงงามในอ้อมอกแน่น สังเกตใบหน้าที่งดงามของนาง รู้สึกว่าชีวิตที่ราวกับเทพเทวดาก็เป็นเช่นนี้นี่เอง


 


 


เสิ่นเวยนอนหลับคราวนี้ก็หลับไปหนึ่งชั่วยามกว่า ตอนที่นางตื่นขึ้นมาก็พบว่าสวีโย่วยังคงอยู่ในท่านั้นก่อนหน้านี้ ดวงตาของนางกะพริบวาบ เลียริมฝีปากกล่าว “เอาล่ะ ข้าให้อภัยท่านแล้ว” รู้ว่านางใจอ่อนจึงใช้แผนทรมานร่างกายกับนาง ไม่ใช่คนดีจริงๆ! “วันนี้โดยรวมแล้วข้ายังคงมีความสุขยิ่งนัก ออกมาเกินครึ่งวันแล้ว กลับกันเถอะ”


 


 


สวีโย่วพยักหน้า หอมแก้มเสิ่นเวยเล็กน้อย “ได้ ตามใจเวยเวย” ขึ้นเสียงสั่งเจียงเฮยเจียงไป๋สองพี่น้องให้เปลี่ยนทิศหัวเรือ


 


 


เรือสำราญเปลี่ยนทิศแล้ว เพิ่งจะออกมาได้สิบกว่าจั้ง ก็ได้ยินว่าข้างหลังมีเสียงคนตะโกนดัง “สวีโย่ว คนขี้โรค สวีโย่วเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้” เสียงกระหืดกระหอบ


 


 


ใครกล้าเรียกสวีโย่วว่าคนขี้โรคเช่นนั้น เสิ่นเวยมองไปข้างหลังอย่างอดสงสัยไม่ได้ เห็นเรือสำราญหนึ่งลำข้างหลังกำลังไล่ตามมา หัวเรือมีชายวัยหนุ่มสวมชุดสีฟ้าอ่อนยืนอยู่ ในมือโบกพัดพับได้ “นั่นใคร” เสิ่นเวยถามสวีโย่ว


 


 


“ไม่ต้องสนใจ” สวีโย่วสั่งเจียงเฮยเจียงไป๋ให้ขับไปข้างหน้าต่ออย่างไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับ จากนั้นก็ก้มหน้าตอบคำถามของเสิ่นเวย “แค่คนไม่สำคัญก็เท่านั้น”


 


 


เสิ่นเวยย่อมไม่เชื่อ แต่ว่านางก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจเช่นกัน ขอเพียงแค่คนที่ตามมาข้างหลังไม่ใช่สตรีที่หมายปองสามีนางก็พอแล้ว ส่วนผู้ชายน่ะหรือ เสิ่นเวยรู้อยู่แก่ใจว่าเจ้านั่นของสวีโย่วหันไปทางปกติจนไม่อาจปกติได้มากกว่านี้แล้ว


 


 


“หยุด หยุด เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้ได้ยินหรือไม่” คนผู้นั้นบนเรือสำราญข้างหลังก็ยิ่งกระหืดกระหอบ พลางสั่งคนขับเรือให้ไล่ตามโดยเร็ว พลางโมโหจนกระทืบเท้า


 


 


ทว่าฝั่งสวีโย่วกลับทำหูทวนลม เรือสำราญยังคงเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ราวกับคนที่ถูกตะโกนไม่ใช่เขา


 


 


“สวีโย่ว ตัวข้าซื่อจื่อเรียกเจ้าไม่ได้ยินหรือ” ในที่สุดเรือสำราญข้างหลังก็ตามทันแล้ว ขนาบข้างกับเรือนสำราญลำที่เสิ่นเวยอยู่ พัดพับได้ในมือชายวัยหนุ่มผู้นั้นชี้ด่าสวีโย่ว


 


 


คราวนี้เสิ่นเวยก็ยิ่งเห็นชายวัยหนุ่มผู้นี้ชัดเจนแล้ว นอกจากสวมชุดสีฟ้าอ่อนดึงดูดใจแล้ว บนสายรัดเอวยังเลี่ยมอัญมณีหยกงามที่เปล่งประกาย บนศีรษะสวมกวนหยก มือข้างนั้นที่ถือพัดพับได้ยังสวมแหวนวงใหญ่ที่ทอประกายแวววับสามอัน


 


 


ไอ๊หยา คนผู้นี้เป็นใครกัน รวยยิ่งนัก! เสิ่นเวยมองใบหน้าเขาอีกครั้ง หน้าตาไม่เลวอย่างยิ่ง เพียงแต่ราศีไม่ค่อยดีนัก มองดูก็รู้ว่าเมามายในรสสุรามาเป็นเวลานาน


 


 


สวีโย่วเพิ่งจะเหลือบตาขึ้นอย่างไม่สนใจ กล่าวอย่างไม่ยอมรับไม่ปฏิเสธ “อ้อ เรียนถามญาติผู้พี่เลี่ยมีเรื่องอันใดหรือ”


 


 


ญาติผู้พี่เลี่ยหรือ หูของเสิ่นเวยจับใจความสำคัญได้ทันที สวีโย่วเรียกเขาว่าญาติผู้พี่ ดูท่าแล้วน่าจะเป็นบุตรชายของท่านอ๋องสักคนหนึ่ง


 


 


สวีโย่วเห็นดวงตาของเสิ่นเวยกะพริบ ก็กล่าวเสียงเบา “นั่นคือสวีเลี่ยท่านซื่อจื่อจวนกงอ๋อง”


 


 


สวีเลี่ยถูกท่าทางเฉยเมยนั่นของสวีโย่วยั่วโมโหจนเป่าหนวดถลึงตา ในกลุ่มลูกพี่ลูกน้องทั้งหมด คนขี้โรคผู้นี้สร้างความรำคาญใจให้เขามากที่สุด มักจะวางมาดสูงส่ง เสมือนคนอื่นเทียบเขาไม่ได้


 


 


“สวีโย่ว คืนเรือสำราญมาให้ข้า” สวีเลี่ยตะโกนด้วยเสียงโกรธ


 


 


เรือสำราญหรือ คืนหรือ นี่หมายความว่าอย่างไร เรือสำราญลำนี้เป็นของซื่อจื่อกงอ๋องผู้นี้หรือ ในดวงตาเสิ่นเวยเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม

 

 

 


ตอนที่ 251-2 ข่าวดี

 

สวีโย่วตบเสิ่นเวยเบาๆ บอกเป็นนัยให้นางอย่าได้กังวล หันหน้ามองสวีเลี่ย ในน้ำเสียงเหยียดหยามเต็มที่ “เต็มใจเดิมพันยอมรับความพ่ายแพ้ ญาติผู้พี่เลี่ยต้องการจะเปลี่ยนใจหรือ”


 


 


สีหน้าของสวีเลี่ยเหยเกขึ้นในชั่วขณะ “ข้าจะเปลี่ยนใจแล้วอย่างไร เจ้ากล้าพูดหรือว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าวางแผนมาก่อนแล้ว” คนขี้โรคน่ารำคาญผู้นี้รู้อยู่แก่ใจว่าเขาชอบพนัน ทั้งยังจับจ้องสวนชิงหยวนหลังนั้นของเขาอยู่ คาดไม่ถึงว่ามาหาถึงที่เอาสวนชิงหยวนมาเป็นแต้มต่อเดิมพันกับเขา ผลลัพธ์เล่า ชนะเอาเรือสำราญที่เขารักที่สุดไปแล้ว


 


 


กว่าเขาจะได้สติกลับมา คนขี้โรคผู้นั้นก็วางก้ามเดินออกไปแล้ว วันนี้บ่าวชั้นล่าวมารายงาน บอกว่าเห็นคนขี้โรคล่องแม่น้ำไป๋เหออยู่ เขาจึงรีบตามมา เรือสำราญลำนี้ใช้เงินพ่อเขาไปจำนวนมาก ซ้ำยังถูกพ่อเขาก่นด่าอยู่พักหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องเอาคืนกลับไปให้ได้


 


 


“ก็ไม่อย่างไร” สวีโย่วกล่าวเสียงเรียบ “แต่ว่าท่านกลับพูดถูก ข้าจับจ้องเรือสำราญลำนี้ของญาติผู้พี่เลี่ยอยู่ สำรวจดูในเมืองหลวง ก็มีแต่เรือสำราญลำนี้ของท่านที่หรูหราโอ่อ่าที่สุดแล้ว” ในเมื่อซื้อไม่ได้ เช่นนั้นเขาก็ทำได้เพียงคิดหาวิธีเอามันมา!


 


 


สวีโย่วไม่เพียงแต่ยอมรับ อีกทั้งยังยอมรับอย่างเต็มอกเต็มใจ นี่ยิ่งยั่วยุสวีเลี่ยอย่างไม่ต้องสงสัย “คืนมา รีบคืนข้ามา!” เขาโมโหจนสั่นไปทั่วทั้งร่าง เหตุใดถึงมีคนหน้าไม่อายเช่นนี้ มิหนำซ้ำยังยังอยู่ในวงศ์ตระกูลเดียวกับเขาอีก ช่างน่าโมโหจริงๆ


 


 


“ไม่คืน!” สวีโย่วปฏิเสธตรงๆ “เรือสำราญลำนี้ท่านแพ้ ข้าชนะ ผลลัพธ์เขียนไว้ชัดเจน ข้างบนยังมีลายมือชื่อที่ญาติผู้พี่เลี่ยลงนามด้วยตัวเอง ต่อให้จะตัดสินต่อหน้าฝ่าบาทกับเสด็จลุงกงอ๋องข้าก็ไม่กลัว”


 


 


คนโง่เท่านั้นที่จะคืนเขา เพื่อจะสร้างความประหลาดใจให้ภรรยาสุดที่รักของเขา เขาใช้เวลาเกือบหนึ่งเดือนไปวางแผน ของที่ทุ่มเทแรงมหาศาลจนชนะมาจะคืนกลับไปได้อย่างไร


 


 


สวีเลี่ยเดือดดาลขึ้นมาทันที “สวีโย่วเจ้าขี้โรคมีพ่อไม่มีแม่ เจ้ามันคนชั่ว เจ้าคนชั่วน่าไม่อายปลิ้นปล้อนกลับกลอก เจ้ารีบคืนเรือสำราญของข้ากลับมาเดี๋ยวนี้” เขาก่นด่าราวกับสตรีปากคอเราะร้าย


 


 


สวีโย่วยังคงมีท่าทีเฉยชาเช่นนั้น ทว่าสายตาที่มองสวีเลี่ยกลับน่ากลัวอย่างถึงที่สุด “หากท่านด่าอีกประโยคเดียวข้าจะโยนท่านไปล้างปากในน้ำ”


 


 


สวีเลี่ยไม่สนใจคำขู่ของสวีโย่วอย่างสิ้นเชิง ด่าจนหยาบคายยิ่งขึ้น “จะคืนไม่คืน ไม่คืนใช่ไหม ข้าซื่อจื่อขอสาปแช่งเจ้า สาปแช่งให้เจ้าออกจากบ้านแล้วถูกรถชนตาย…” ต่างๆ นานา ด่าไปพลาง ถกแขนเสื้อจะกระโดดมาทางฝั่งนี้ไปพลาง ระดับความหยาบคายนั้นต่ำกว่าที่เสิ่นเวยจะรู้


 


 


โอวหยางไน่!” สวีโย่วเองก็ไม่พูดจาเหลวไหลกับสวีเลี่ย สั่งโอวหยางไน่ให้ไปจัดการเขาโดยตรง


 


 


โอวหยางไน่ฟังคำสั่งก้าวขึ้นไป เพิ่งจะดึงแขนของสวีเลี่ยได้ ก็ได้ยินสวีเลี่ยตะโกนราวกับหมูถูกเชือด “ปล่อยข้า เจ้าสุนัขรับใช้ ใครอนุญาตให้เจ้าแตะตัวข้า ใครให้ความกล้าเจ้า ข้าคือท่านซื่อจื่อผู้ยิ่งใหญ่ของจวนกงอ๋อง” เขายังคงลำพองใจอย่างยิ่ง


 


 


โอวหยางไน่โมโหแทบแย่แล้ว สุนัขรับใช้หรือ ท่านเลี่ยซื่อจื่อผู้นี้กล้าพูดจริงๆ หรือ วันนี้เขาจะโยนเขาแล้วอย่างไร อย่างไรเสียก็มีท่านจวิ้นอ๋องค้ำอยู่ข้างหน้า


 


 


“ช้าก่อน ช้าก่อน อย่าเพิ่งใช้กำลัง” ในขณะที่โอวหยางไน่จับสายรัดเอวของสวีเลี่ยกำลังจะโยนเขาลงไปในแม่น้ำ คนผู้หนึ่งก็วิ่งออกมาจากด้านในเรือสำราญมาจับเขาไว้ ไม่เห็นเหมือนกันว่าเขาเคลื่อนไหวอย่างไร มือที่จับสายรัดเอวของโอวหยางไน่ก็ถูกบีบให้คลายออก สวีเลี่ยถูกช่วยเอาไว้


 


 


“ญาติผู้พี่สวี ข้าขออภัยแทนพี่ใหญ่ เขาเป็นคนไม่มีเหตุผล ท่านใต้เท้าใจกว้าง อย่าได้ถือสาเขาเลย” คนผู้นี้ประสานมือคารวะสวีโย่ว กล่าวด้วยความถ่อมตัวมีมารยาทอย่างถึงที่สุด ยังไม่ลืมกระพริบตามองเสิ่นเวยราวกับเห็นผีอีกปราดหนึ่ง


 


 


คราวนี้เสิ่นเวยก็มั่นใจแล้วว่าตนมองไม่ผิด คนผู้นี้ คนที่ขอโทษสวีโย่วอย่างจริงจังผู้นี้ไม่ใช่คนโง่แซ่ฟู่ที่เจอที่ทงโจวหรอกหรือ เขาบอกว่ามาหาญาติที่เมืองหลวง ไม่คิดว่าญาติของเขาจะเป็นจวนกงอ๋อง เช่นนั้นเขามีความสัมพันธ์กับซื่อจื่อกงอ๋องอย่างไร พี่น้องหรือ ดูจากสถานการณ์แล้วเขาเองก็รู้ฐานะของนางแล้วเช่นกัน


 


 


สวีโย่วแค่นเสียงหนึ่งครา ไม่ยอมรับไม่ปฏิเสธ ทว่าสวีเลี่ยที่ถูกช่วยไว้กลับไม่ซาบซึ้ง “ขอโทษอะไร หากขอโทษก็ควรจะเป็นเขาที่ขอโทษข้า สวีหรานเจ้ามันก็แค่เด็กบ้านนอกบุตรอนุ ยังกล้ามาตัดสินใจแทนข้า เจ้าไปตายเดี๋ยวนี้ วันนี้ข้าเห็นเขากล้าทำอะไรข้า ขอเพียงแค่เขาแตะข้าแม้แต่นิ้วมือเดียว ข้าจะไปร้องทุกข์ต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท” เขาไม่สนใจน้องชายบุตรอนุภรรยาที่เพิ่งจะกลับมาระหว่างทางผู้นี้อย่างสิ้นเชิง


 


 


คำพูดนี้หยาบคายจริงๆ คิ้วของเสิ่นเวยขมวดมุ่นอย่างอดไม่ได้ หากมีใครกล้าพูดเช่นนี้กับนาง นางคงจะเดือดดาลโบยเขาไปนานแล้ว ซื่อจื่อจวนกงอ๋องผู้นี้ไม่เพียงแต่ไร้คุณธรรม ยังเห็นแก่ตัวใจแคบ ความประทับใจที่เสิ่นเวยมีต่อเขาต่ำอย่างถึงที่สุด


 


 


คนโง่แซ่ฟู่ อ้อไม่ สวีหราน ทำราวกับไม่ได้ยินคำเหยียดหยามของพี่บุตรภรรยาเอก กอดเขาไว้แน่น “พี่ใหญ่ เรื่องนี้เดิมทีท่านก็เป็นฝ่ายผิด เอาเรือสำราญลำนี้มาเดิมพันก็เป็นท่านที่ลงนามอักษรทองเอง หากวุ่นวายไปถึงหน้าเสด็จพ่อจริงๆ…” คำพูดที่เหลือเขาก็ไม่พูดแล้ว


 


 


ร่างกายที่ดิ้นพล่านของสวีเลี่ยแข็งทื่อ นึกถึงเสด็จพ่อเขาก็สั่นระริกขึ้นมาในชั่วขณะ สวีหรานถือโอกาสลากเขาเข้าไปในเรือสำราญ สั่งคนขับเรือให้เคลื่อนเรือต่อไปพลาง หันหน้ากล่าวกับสวีโย่วเสิ่นเวยไปพลาง “เรื่องนี้เป็นความผิดของพวกข้าสองพี่น้อง ญาติผู้พี่โย่วเป็นคนใหญ่คนโตไม่คิดเล็กคิดน้อยกับคนต้อยต่ำ เรื่องนี้ก็ปล่อยให้ผ่านไปได้หรือไม่ ข้ารับรองว่าหลังจากนี้พี่ใหญ่จะไม่หาเรื่องญาติผู้พี่โย่วอีก”


 


 


สวีโย่วมองสวีหราน สวีหรานก็มองเขาอย่างไร้กังวล จากนั้นสวีโย่วก็พยักหน้า แม้ว่าเขาจะไม่กลัว แต่ล้วนเป็นบุตรหลานราชนิกุลเหมือนกัน ก่อเรื่องจนน่าเกลียดเกินไปก็ไม่ดีนัก


 


 


เรือสำราญลำนั้นยิ่งแล่นก็ยิ่งไกล เสิ่นเวยกะพริบดวงตาที่เปล่งประกายมองสวีโย่วด้วยความเลื่อมใสยิ่งนัก “เรือสำราญลำนี้ท่านชนะได้มาจริงๆ หรือ”


 


 


สวีโย่วพยักหน้า “สวีเลี่ยคนผู้นั้นแม้จะไร้เหตุผล แต่ทั่วทั้งเมืองหลวงก็มีเพียงเรือสำราญลำนี้ในมือเขาที่ดีที่สุด”


 


 


“ท่านพี่เก่งจริงๆ!” จุ๊บ เสิ่นเวยเข้าไปหอม ไม่เสียเงินในบ้านสักแดงเดียวก็เอาเรือสำราญที่ดีเช่นนี้มาได้ จะไม่เก่งได้อย่างไร ขนมที่หล่นลงมาจากฟ้าเช่นนี้ นางชื่นชอบที่สุด!


 


 


สวีโย่วลูบบริเวณที่ถูกเสิ่นเวยหอม ยิ้มออกมาแล้ว เขาคิดว่าเขาคล้ายจับเคล็ดลับเอาใจภรรยาได้แล้ว


 


 


กลับไปถึงจวนจวิ้นอ๋อง เสี่ยวตี๋ก็นำข่าวดีข่าวหนึ่งมาให้เสิ่นเวย


 


 


“จวิ้นจู่ จวิ้นจู่ คดีนั้นของฉินมู่หรานมีความคืบหน้าแล้ว ตัดสินแล้ว ใต้เท้าจ้าวผู้พิพากษาศาลต้าหลี่ตัดสินเนรเทศฉินมู่หราน” เสี่ยวตี๋กล่าวอย่างตื่นเต้นดีใจ


 


 


เสิ่นเวยทั้งตกใจทั้งดีใจ “เหตุใดถึงตัดสินแล้ว หาพยานได้แล้วหรือ เนรเทศไปไกลเพียงใด ถึงสามพันลี้หรือไม่” ทางที่ดีควรเนรเทศไปยังที่รกร้างกันดารยิ่งดี ทรมานเขาให้ตาย


 


 


“ก็หาพยานได้แล้วน่ะสิ จวิ้นจู่ท่านจะต้องคิดไม่ถึงแน่ว่าเป็นใคร” เสี่ยวตี๋ทำท่าทางลับๆ ล่อ “เป็นแม่นางตระกูลจางที่ถูกปล้นผู้นั้น! จวิ้นจู่ ผู้น้อยคิดไม่ถึงเลยว่าจางหยวนเหนียงผู้นั้นจะเป็นสตรีที่กล้าหาญเช่นนี้ เมื่อนางได้ยินว่าไม่มีพยานจึงตัดสินฉินมู่หรานเด็กชั่วอันธพาลผู้นั้นไม่ได้ ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงขอร้องให้ผู้น้อยปล่อยนางไปเป็นพยานที่ศาลต้าหลี่”


 


 


บนใบหน้าของเสี่ยวตี๋เต็มไปด้วยความชื่นชม “แม่นมผู้นั้นไม่เพียงแต่กล้าหาญ ซ้ำยังเป็นคนฉลาดมีฝีมือจัดการ ไม่ต้องให้ผู้น้อยชี้แนะ ตนก็เอากริชกรีดตัวเองจนทั่วทั้งร่างเป็นบาดแผล โผเข้าไปที่กลองใหญ่หน้าประตูศาลต้าหลี่ด้วยสภาพกระซัดกระเซิงจนตรอกอย่างถึงที่สุด ในศาลนางอ้าปากก็บอกว่าตนเป็นคนที่หนีออกมาจากจวนเสนาบดี ฉวยโอกาสตอนที่ในเรือนไม่มีคนแอบหนีออกไปจากช่องสุนัขแห่งหนึ่งที่มุมกำแพงจวนเสนาบดี เหตุใดถึงไม่มาเป็นพยานที่ศาลต้าหลี่ให้เร็วกว่านี้น่ะหรือ อันที่จริงก็ถูกคนไล่ฆ่า หลบหนีไปทั่วทุกหนทุกแห่ง แม้แต่หน้ายังไม่กล้าโผล่มา กว่าจะรอให้คนไล่ฆ่าลดละ นางจึงปลอมตัวเป็นขอทานเสี่ยงตายมาตีกลองใหญ่ที่หน้าประตูศาลต้าหลี่”


 


 


“จวิ้นจู่ ท่านไม่เห็น แม้ว่าจางหยวนเหนียงผู้นั้นจะบอกว่าถูกคนไล่ฆ่าอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ แต่ใครไม่รู้บ้างว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับจวนเสนาบดีอย่างหนีไม่พ้น ใบหน้านั้นของท่านเสนาบดีฉิน ดำจนบีบน้ำหมึกออกมาได้แล้ว” เสี่ยวตี๋กล่าวอย่างดีใจบนความทุกข์ผู้อื่น


 


 


แต่นึกถึงการตัดสินของฉินมู่หราน รอยยิ้มบนใบหน้าเสี่ยวตี๋ก็ลดลงไปมากกว่าครึ่ง กล่าวอย่างเคียดแค้นเล็กน้อย “แม้จะตัดสินเนรเทศ แต่ก็เนรเทศไปเพียงแค่ห้าร้อยลี้ มิหนำซ้ำที่นั่นยังเป็นที่ที่คนในตระกูลท่านเสนาบดีฉินรับราชการอยู่ ช่างน่าโมโหจริงๆ”


 


 


ทว่าเสิ่นเวยกลับไม่ประหลาดใจแม้แต่นิดเดียว สามารถมีผลลัพธ์นี้ได้ก็เป็นผลลัพธ์ที่จ้าวเฉิงซวี่รับความกดดันได้แล้ว ด้วยเหตุนี้นางจึงปลอบเสี่ยวตี๋ “แม้ว่าจะเป็นห้าร้อยลี้ก็เพียงพอให้ฉินมู่หรานคนชั่วผู้นั้นได้รับความทุกข์ยากแล้ว” ต่อให้ระหว่างทางจะได้รับการดูแล แต่ฉินมู่หรานไก่อ่อนที่ไม่เคยรับความลำบากแม้แต่นิดเดียวมาก่อน คาดว่าเดินไปถึงที่เนรเทศก็คงจะหนังหลุดไปหนึ่งชั้น


 


 


เสี่ยวตี๋คล้ายครุ่นคิด “จวิ้นจู่ ผู้น้อยเข้าใจแล้ว” ส่วนนางจะเข้าใจอะไร เสิ่นเวยก็ไม่รู้แล้ว


 


 


หลังเสี่ยวตี๋ถอยออกไป เสิ่นเวยก็นึกขึ้นได้ว่าจะถามเรื่องคนโง่แซ่ฟู่ผู้นั้นบนเรือสำราญ สวีโย่วเลิกคิ้ว กล่าว “เขาเป็นบุตรอนุภรรยาที่เร่ร่อนอยู่ข้างนอกของจวนกงอ๋อง เพิ่งจะยอมกลับมา เป็นความสัมพันธ์ชู้สาวที่เกิดขึ้นข้างนอกตอนที่กงอ๋องยังหนุ่มอยู่”


 


 


หยุดครู่หนึ่งจึงกล่าวต่อ “จวนกงอ๋องวุ่นวายอย่างยิ่ง ยุ่งกับพวกเขาแต่น้อย” สวีหรานบุตรอนุผู้นั้นยักคิ้วหลิ่วตาให้ภรรยาของเขา คิดว่าเขาตาบอดหรือไร

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)