กระบี่จงมา 249.2-250.3

 บทที่ 249.2 เทพเซียนซื้อขาย วันหน้าพบกันใหม่

โดย

ProjectZyphon

ส่วนท่อนไม้สีดำที่ถูกสายฟ้าฟาด แต่ก็ยังมีพลังชีวิตเหลืออยู่ ถ้วยใหญ่สีขาววาดภาพห้าขุนเขา ยันต์แผ่นที่เก็บร่างของผีงามโครงกระดูก เฉินผิงอันจะเอาออกมาสอบถามราคาว่าแต่ละชิ้นสามารถซื้อได้กี่เหรียญเงินหิมะน้อย ส่วนจะขายได้คุ้มค่าหรือไม่ ถึงเวลานั้นเชื่อว่าว่าร้านค้าที่ท่าเรือคงไม่ถึงกับบังคับซื้อขายกัน


เงินเกล็ดหิมะเกือบสองพันเหรียญจากหมู่บ้านวารีกระบี่ บวกกับเงินเกล็ดหิมะและเงินร้อนน้อยจากเด็กชายชุดเขียว เมื่อเอามารวมกันแล้วก็ได้ประมาณสี่พันเหรียญเงินหิมะน้อย


พอเฉินผิงอันคิดถึงเรื่องนี้ก็ให้อารมณ์ดีขึ้นมา


เพียงแต่ว่าพอเขาคิดถึงอีกเรื่องหนึ่งก็อารมณ์ดีไม่ออกอีก


เว่ยป้อและผู้เฒ่าแซ่ชุยต่างก็เคยพูดในทำนองเดียวกันว่า ก่อนที่เฉินผิงอันจะไปถึงภูเขาห้อยหัวต้องเลื่อนสู่วิถีวรยุทธ์ขอบเขตสี่ให้ได้เสียก่อน เพราะมีเพียงทำแบบนี้เท่านั้น เขาถึงจะหยัดยืนอยู่บนกำแพงเมืองได้อย่างมั่นคง ใช้ปณิธานกระบี่อันไร้รูปลักษณ์ที่เปี่ยมล้นของใต้หล้าไพศาลมาหล่อหลอมเรือนกาย สร้างพื้นฐานของจิตวิญญาณให้แน่นหนา ซึ่งไม่ว่ากับผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตสามหลอมลมปราณคนใดก็ล้วนมีผลประโยชน์มหาศาล ตามคำบอกของผู้เฒ่า หากยังไม่เลื่อนสู่ขอบเขตสี่ก็อย่าไปที่กำแพงเมืองให้อับอายขายขี้หน้าคนอื่นเลย ต่อให้เดินขึ้นไปได้ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะสามารถคลานกลับลงมา มอบกระบี่ให้แม่นางคนนั้นที่ด้านล่างกำแพงเมืองปราณกระบี่เสร็จ เขาเฉินผิงอันก็คงได้แต่เบิกตากว้างๆ มอง แล้วรีบไสหัวกลับมาเป็นราชันแห่งขุนเขาลั่วพั่วแต่โดยดีเท่านั้น


แต่เฉินผิงอันอยากจะอยู่ที่นั่นให้นานสักหน่อย


เพียงไม่นานก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินผ่านถนนเบื้องล่างภูเขา มีประมาณเจ็ดแปดคน ทั้งเด็กและคนแก่ล้วนมีหมด การแต่งกายแตกต่างกันไป แต่ละคนดูไม่เหมือนคนธรรมดา คนทั้งสามที่อยู่บนเนินเพียงแค่ชำเลืองมองครั้งเดียวแล้วก็ไม่มองอีก


ออกมานอกบ้าน ต้องระวังนักพรตเต๋าและหลวงจีน ขึ้นเขาข้ามแม่น้ำ หลีกเลี่ยงเด็กและสตรีแต่งงานแล้ว


นี่คือกฎเกณฑ์ที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรของบนภูเขา หากเจอคนบนเส้นทางเดียวกันที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง อยู่ว่างไม่มีอะไรทำก็อย่าได้หาเรื่องใส่ตัว เพราะสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าจะเจอกับคนที่อารมณ์ร้ายหรือไม่


คนพวกนั้นก็กวาดตามองคนทั้งสามแล้วก็ไม่พินิจพิจารณาอะไรให้มากความเช่นกัน


แม้ว่าจะยังไม่ถึงท่าเรือ แต่ระยะทางแค่ไม่กี่สิบลี้ จะเดินได้อีกนานเท่าไหร่กัน? การจากลาใกล้จะมาถึง เดิมทีตกลงกันแล้วว่าจะไม่ดื่มเหล้า แต่เป็นเพราะเฉินผิงอันเคยชินที่จะดื่มเหล้าแล้ว จางซานเฟิงจึงพูดว่าจะดื่มเหมือนกัน เฉินผิงอันจึงส่งน้ำเต้าไปให้ ผลคือสวีหย่วนเสียก็ขอดื่มหนึ่งคำ จึงเวียนกันไปมาอยู่แบบนี้ คนทั้งสามนั่งอยู่บนยอดเขาขนาดเล็ก ผลัดกันดื่มเหล้าคนละคำ ดื่มเงียบๆ ไม่หยุด


สุดท้ายชายฉกรรจ์เคราดกพึมพำว่า “ข้าเคยเป็นคนในกองทัพ แถมยังอยู่ในกองทัพชายแดนที่มีสงครามไม่ว่างเว้น แค่เพราะทนรับกับการที่คนข้างกายต้องตายทุกวันไม่ไหว ถึงได้เริ่มออกมาท่องอยู่ในยุทธภพ คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายก็ยังมีคนตายอยู่ดี พวกเจ้าอาจจะไม่เชื่อ แต่ข้าสวีหย่วนเสียเกิดในตระกูลปัญญาชนผู้มีความรู้ จึงถือเป็นคนประเภทโยนพู่กันไปเข้าร่วมกับกองทัพ แน่นอนว่าตระกูลของข้าไม่ใช่ตระกูลใหญ่สูงศักดิ์อะไร แต่ก็ถือว่ามีชื่อเสียงในระดับท้องถิ่น หลายปีแล้วที่ข้าไม่ได้กลับบ้าน ครอบครัวดีๆ ที่บิดามารดาต่างก็มีสุขภาพแข็งแรง ตอนนี้กลับเหมือนกลายไปเป็นภูมิลำเนาเดิมไปแล้ว”


ชายฉกรรจ์ดื่มเหล้าจนเหล้าเปรอะไปทั่วเคราที่รกรุงรัง เขานั่งขัดสมาธิ สายตาหม่นมัว “ช่วงเวลาที่เป็นทหารอยู่ชายแดน ตำราที่ข้าเคยเล่าเรียนมามีการอธิบายถึงความจงรักภักดีต่อบ้านเมืองอยู่บ้าง พวกสหายในกองทัพส่วนใหญ่ล้วนไม่พูดคุยเรื่องพวกนี้ พวกเขาเอาแต่สร้างคุณความชอบทางการทหาร มุ่งมั่นเก็บเงิน ไม่ก็พยายามแก้แค้นให้กับพี่น้องที่ตายไป ฆ่าศัตรูในสนามรบก็คือแค่ฆ่าจริงๆ มีแต่ความสะใจ ทว่าหากถูกศัตรูฟันหนึ่งดาบ ยิงลูกธนูใส่หนึ่งดอก เวลาที่ดึงลูกธนูออกแล้วเย็บแผลกลับไม่สะใจแล้ว ลูกผู้ชายตัวโตๆ นอนอาบเลือดอยู่ในกระโจมทหารบาดเจ็บ ร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ใครก็หัวเราะเยาะใครไม่ออก…”


นักพรตหนุ่มทิ้งตัวนอนไปข้างหลัง เขาดื่มเหล้าอีกไม่ได้จริงๆ แล้ว เฉินผิงอันคงแบกคนสองคนพร้อมกันไม่ไหวกระมัง เหม่อมองท้องฟ้าสีครามสดใสพลางเอ่ยขึ้นว่า “อาจารย์มักจะบอกว่าข้าฉลาด มีฐานกระดูก ปีนั้นไม่ไปสอบเคอจวี่ แต่ขึ้นเขามาฝึกตน ชั่วชีวิตนี้ไม่มีทางเสียเปรียบแน่ แต่ข้ารู้ซะเมื่อไหร่ว่าความฉลาดและฐานกระดูกของข้าอยู่ที่ไหน หากพวกมันถูกสุนัขคาบไปกินเหมือนกัน ข้าก็อยากจะขอสุนัขพวกนั้นจริงๆ ว่าคืนมันมาให้ข้าเถอะ พวกเจ้าเอาไปก็ใช้ไม่ได้ แต่ข้าจางซานเฟิงที่ต้องลงจากภูเขามากำจัดปีศาจปราบมารต้องใช้มันนี่นา เมื่อมีตบะก็ไม่ต้องรู้สึกละอายใจอีกแล้ว ไม่ต้องกลัวอีกแล้วว่าพวกชาวบ้านที่จ่ายเงินจ้างข้าจะต้องพลัดพรากจากครอบครัว ไร้ที่พึ่งที่ปลอดภัยอีก…”


เฉินผิงอันมีข้อดีอย่างหนึ่งเวลาดื่มเหล้า นั่นคือต่อให้ดื่มมากแค่ไหน ก็จะยิ่งพูดน้อยมากกว่าเดิม


ดังนั้นเขาจึงรับฟังความในใจจากเพื่อนทั้งสองเงียบๆ เขานั่งอยู่บนพื้น ใช้สองมือกอดน้ำเต้าบรรจุเหล้า ทอดสายตามองไปไกล มองไปทางทิศเหนือครู่หนึ่ง แล้วก็หันกลับไปมองทางทิศใต้ นาทีนี้เฉินผิงอันกลับไม่มีความกลัดกลุ้มมากนัก


สุดท้ายตอนที่ลงจากภูเขาไปท่าเรือตระกูลเซียน นักพรตหนุ่มที่คิดว่าตัวเองจะเมาจนขาดสติไม่ได้เด็ดขาดก็ต้องให้ชายฉกรรจ์เคราดกเป็นคนแบกลงไป


ฝีเท้าของสวีหย่วนเสียนับว่ายังมั่นคง เพียงแต่ว่ายังพูดจ้อไม่หยุด ท่องบทกลอนของกองทัพชายแดนหลายบท สุดท้ายพูดว่า “เหล้าอร่อยพันจอกขาด เอิ้ก…”


เรอหนึ่งทีแล้วก็ไม่มีประโยคถัดไปอีก


เฉินผิงอันจึงรับคำต่อด้วยรอยยิ้ม “สาวงาม…แค่สองคนก็มากแล้วนะ”


สวีหย่วนเสียมองค้อน “น่าเสียดายตำแหน่งเซียนกระบี่โดยแท้!”


เฉินผิงอันรีบแก้ไขให้ถูกทันที “ต้องเซียนกระบี่ใหญ่!”


นักพรตหนุ่มละเมอพูดเบาๆ ว่า “ยังมีเทียนซือใหญ่ด้วย…”


……


ท่าเรือตระกูลเซียนที่อยู่ตรงจุดเชื่อมต่อระหว่างแคว้นซูสุ่ยกับแคว้นซงซีนี้กลับเป็นเมืองเล็กๆ เจริญรุ่งเรืองที่ไม่มีกำแพงเมืองโอบล้อมแห่งหนึ่ง นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกเห็นภาพลวงตาเหมือนได้ย้อนกลับยังหลงเฉวียนบ้านเกิด บนถนนมีผู้คนสัญจรกันขวักไขว่ อันที่จริงผู้ฝึกลมปราณไม่ถือว่ามีมากนัก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนธรรมดาที่ตั้งรกรากอยู่ที่นี่มานานหลายปี รวมไปถึงพวกพ่อค้าจากสถานที่ต่างๆ บนถนนทุกเส้นมีแต่ร้านค้า เมื่อมาถึงเมืองเล็ก จางซานเฟิงก็ตื่นขึ้นมา เขารู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย ส่วนเฉินผิงอันและสวีหย่วนเสียต่างก็สร่างเมากันนานแล้ว


สวีหย่วนเสียเอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “พวกเราไม่ต้องหาสามร้านเพื่อเปรียบเทียบราคากันแล้ว เอาร้านที่อยู่ในทำเลดีที่สุดและร้านใหญ่ที่สุดไปเลย”


นี่คือประสบการณ์ที่มีค่าในยุทธภพ


จากนั้นคนทั้งสามก็เจอร้านใหญ่ที่แขวนกรอบป้ายหน้าร้านว่า ‘หอชิงฝู’ (ชิงฝูคือเงินเหรียญกษาปณ์ของสมัยโบราณ)  ตัวร้านสูงห้าชั้น มีลักษณะคล้ายนกกระเรียนในฝูงไก่ที่โดดเด่น อีกทั้งพื้นที่ยังกว้างขวางอย่างมาก ด้านหลังหอยังมีเรือนขนาดใหญ่อีกหนึ่งแห่ง ต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้า และดูเหมือนว่าจะมีเสียงน้ำไหลด้วย เพียงแต่ยังไม่รู้ตำแหน่งที่แน่ชัดของมัน


หน้าประตูมีกลอนคู่แปะไว้ว่า ‘ไม่หลอกลวงแม้แต่เด็กและคนชรา ราคาร้านข้ายุติธรรม ใจเขาใจเรา ลูกค้าโปรดกลับมาใหม่’


ตกลงว่าเลือกหอชิงฝูแห่งนี้นี่แหละ!


หน้าประตูร้านไม่มีลูกจ้างคอยเรียกลูกค้า แต่พอคนทั้งสามเดินเข้าไปในห้องโถงที่เย็นฉ่ำ เพียงไม่นานก็มีสตรียังสาวสวมอาภรณ์หรูหราคนหนึ่งเดินนวยนาดมาหา บนไหล่ทั้งสองข้างของนางมีแมลงสีเขียวตัวหนึ่งเกาะอยู่ข้างละตัว ประหนึ่งทำมาจากหยกสลัก นางถามโดยใช้ภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปโดยตรง “ลูกค้าทั้งสามท่านต้องการนำสมบัติมาตรวจสอบหรือต้องการซื้อของในร้านเจ้าคะ?”


เมื่อสตรีเอ่ยถาม แมลงสีเขียวสองตัวก็เริ่มขยับปีกบินวนเวียนไปรอบคนทั้งสี่ ส่งเสียงหวี่ๆ แผ่วเบา


ทำอย่างนี้ก็เพื่ออำพรางบทสนทนาของสองฝ่าย ไม่ให้ลูกค้าคนอื่นในร้านได้ยิน


สวีหย่วนเสียยิ้มตอบ “ตรวจสอบของก่อนก็แล้วกัน แล้วค่อยดูของสะสมในร้านของพวกเจ้า หากมีชิ้นไหนที่เหมาะสม อีกทั้งราคายังยุติธรรม พวกเราค่อยซื้อก็ยังไม่สาย”


สตรีแต่งงานแล้วชี้ไปยังตำแหน่งหนึ่ง เอ่ยพร้อมยิ้มบางๆ “ตรวจสอบอาวุธหนักที่ชั้นหนึ่ง อาวุธวิเศษอยู่ที่ชั้นสอง สมบัติอาคมอยู่ที่ชั้นสาม บันไดอยู่ตรงนั้น ทั้งสามท่านเลือกได้ตามสบาย ข้าจะติดตามไปตลอดทาง”


สวีหย่วนเสียพยักหน้ารับแล้วก้าวยาวๆ ไปทางบันได แน่นอนว่าต้องหยุดอยู่ที่ชั้นสอง ต่อให้อาวุธวิเศษจะดีแค่ไหนก็ยังต้องมีราคาตั้งต้น หากในร่างมีสมบัติอาคมตระกูลเซียน? ต่อให้เฉินผิงอันและจางซานเฟิงคิดจะซื้อ ชายฉกรรจ์เคราดกก็ไม่มีทางแนะนำให้มาทำการซื้อขายกันที่ท่าเรือแห่งนี้


สตรีแต่งงานแล้วติดตามมาด้านหลังคนทั้งสามพร้อมรอยยิ้มบางๆ ประดับใบหน้าตลอดเวลา


ในเมื่อตรงไปที่ชั้นสอง ถ้าอย่างนั้นตนก็โชคดีไม่น้อย เพราะพอจะได้กำไรบ้างแล้ว


สายตาของหญิงสาวหน้าตาดีคนอื่นๆ ที่ถูกจัดไว้ในชั้นหนึ่งแสดงความอิจฉาออกมาเล็กน้อย แต่เรื่องการรับรองแขกในแต่ละวัน หอชิงฝูล้วนมีการจัดระเบียบมาไว้ตั้งแต่ต้น เส้นทางการหาเงินใหญ่หรือเล็กต้องอาศัยโชคของตัวพวกนางเอง แต่ว่าหากคิดรวมตลอดทั้งปีก็มีรายได้ไม่แตกต่างกันสักเท่าไหร่ ต่อให้มีคนที่รวยแบบพรวดพราด ด้วยกฎบรรพชนที่สืบทอดต่อกันมานับห้าร้อยปีของหอชิงฝูก็ไม่มีทางที่จะบอกให้คนอื่นรู้ เว้นเสียแต่ว่าคนผู้นั้นหลุดปากพูดออกมาเอง


มาถึงชั้นสอง หญิงสาวก็เริ่มเดินนำทางไปข้างหน้าอีกครั้ง บนระเบียงปูด้วยพรมปักดิ้นที่มีถิ่นกำเนิดมาจากแคว้นไฉ่อี ดูจากฝีมือการทอแล้วไม่ต่างจากผืนที่อยู่ในหมู่บ้านวารีกระบี่แม้แต่น้อย นางเดินนำคนทั้งสามไปหยุดที่หน้าประตูของห้องห้องหนึ่งแล้วเคาะประตูเบาๆ พอได้ยินเสียงอนุญาตจากน้ำเสียงแก่ชรา นางก็ผลักประตูเปิดเข้าไป ส่วนตัวนางเองยืนอยู่ตรงหน้าประตู รอจนพวกชายฉกรรจ์สามคนข้ามธรณีประตูเข้าไปแล้วถึงได้ปิดประตูตามหลังเบาๆ


ในห้องมีโต๊ะใหญ่อยู่หนึ่งตัว ด้านหลังมีผู้เฒ่าคนหนึ่งท่าทางมีกำลังวังชานั่งอยู่ มีกระถางธูปเล็กๆ หนึ่งใบที่ควันธูปลอยกรุ่น และยังมีกระถางต้นบอนไซอีกหนึ่งกระถาง กิ่งก้านของต้นบอนไซคดเคี้ยว แผ่กิ่งขยายออกไปยาวเหยียด และบนกิ่งยังมีคนจิ๋วใส่ชุดสีเขียวนั่งเรียงกันเป็นแถว เดิมทีพวกเขากำลังซุบซิบพูดคุยกันเอง พอเห็นว่ามีแขกมาเยือนก็ลุกขึ้นยืนอย่างพร้อมเพรียงกันแล้วประสานมือคารวะ เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนเยาว์ “ยินดีต้อนรับท่านลูกค้าที่มาเยือนห้องของพวกเรา ขอให้ท่านร่ำรวยเงินทอง!”


ไม่เสียแรงที่เป็นฝีมือของตระกูลเซียน


ทำเอาเฉินผิงอันที่ได้เห็นถึงกับอึ้งตะลึง


สวีหย่วนเสียเป็นคนเก่าคนแก่ในยุทธภพแล้ว จึงรู้เรื่องวงในที่ถูกอำพรางไว้เป็นอย่างดี ส่วนจางซานเฟิงเดิมทีก็เป็นคนบนภูเขาอยู่แล้ว แม้ว่าตอนนี้จะจนมาก ทว่าตอนที่ฝึกบำเพ็ญตนอยู่ในสำนักก็เคยเห็นอะไรมาไม่น้อย


ดังนั้นคนที่แสดงท่าทางบ้านนอกคอกนาจึงมีเพียงเฉินผิงอันแค่คนเดียว


เพียงแต่นี่เป็นแค่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ความสนใจของสตรียังสาวอยู่ที่สวีหย่วนเสียกับจางซานเฟิงเสียมากกว่า ด้วยรู้สึกว่าเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่สวมรองเท้าแตะน่าจะเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่ได้รับโชควาสนามาเล็กน้อยถึงได้มาเดินอยู่บนเส้นทางของการฝึกตน ไม่จำเป็นต้องให้นางใส่ใจมากนัก


ผู้เฒ่าถามยิ้มๆ “ตรวจสอบสมบัติ? อาวุธวิเศษอะไร ข้าเชี่ยวชาญการตรวจสอบวัตถุทองสัมฤทธิ์ ภาพตัวอักษรและวัสดุอย่างไม้งามมากที่สุด ส่วนอาวุธหรือวัตถุอื่นๆ ก็พอจะรู้คร่าวๆ บ้าง ไม่กล้าพูดว่าเชี่ยวชาญทุกรูปแบบ แต่นั่งอยู่ในห้องนี้ของหอชิงฝูมานานถึงสี่สิบกว่าปี เคยดูพลาดน้อยครั้งจนนับนิ้วได้ ลูกค้าโปรดวางใจที่จะเอาสมบัติของท่านออกมาตรวจสอบ”


จางซานเฟิงจึงหยิบตะเกียบไม้ไผ่คู่นั้นออกมาจากชายแขนเสื้อ ยื่นส่งให้ผู้เฒ่า


—–


บทที่ 249.3 เทพเซียนซื้อขาย วันหน้าพบกันใหม่

โดย

ProjectZyphon

ผู้เฒ่าที่เดิมทีนั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้เปล่งประกายสดใสออกมาทางสีหน้าทันที เขาไม่ปกปิดความประหลาดใจของตัวเองแม้แต่น้อย ใช้สองมือรับตะเกียบไม้ไผ่คู่นั้นมา พอนั่งลงแล้วก็เอาตะเกียบไม้ไผ่วางไว้ด้านหน้าตัวเองอย่างระมัดระวัง หยิบผ้าไหมที่ทำขึ้นเป็นพิเศษผืนหนึ่งออกมาจากลิ้นชัก เช็ดฝ่ามือและนิ้วมือทั้งห้าของสองมืออย่างละเอียด ถึงได้หยิบตะเกียบไม้ไผ่ด้ามที่สลักคำว่า ‘ไม้ไผ่เสินเซียว’ ขึ้นมาพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียดเงียบๆ อยู่เป็นนาน


วาง ‘ไม้ไผ่เสินเซียว’ ลงแล้วก็หยิบ ‘ภูเขาชิงเสิน’ ขึ้นมา ผู้เฒ่าถอนหายใจหนึ่งครั้ง เงยหน้ามองนักพรตหนุ่มด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเสียดาย “วัตถุชิ้นนี้ทำมาจากวัสดุที่ดีเยี่ยม ไม่เพียงแต่มาจากถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ (ทะเลไผ่) แต่ยังมีความเป็นไปได้ถึงแปดเก้าในสิบส่วนว่าทำมาจากไม้ไผ่เสินเซียวของภูเขาชิงเสินจริงๆ หลังจากที่ภูเขาชิงเสินปิดไปได้หนึ่งร้อยปี วัตถุที่ทำมาจากไม้ไผ่เสินเซียวซึ่งมีเฉพาะในภูเขาชิงเสินก็มักจะมีราคาสูงเหมือนเรือที่ลอยตามน้ำขึ้น บอกว่าราคาเพิ่มสูงอย่างบ้าคลั่งก็ยังไม่มากเกินไป น่าเสียดายก็แต่แทนที่จะนำมาทำเป็นแส้โบยผีขนาดเล็ก กลับเอามาทำเป็นตะเกียบ…คู่หนึ่งแทน! สิ้นเปลืองเกินไปแล้ว! นี่มัน…เกินไปแล้วจริงๆ!”


กล่าวมาถึงช่วงท้าย ผู้เฒ่าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ขาดอีกนิดก็จะตีอกชกหัวตัวเอง ผรุสวาทเจ้าของตะเกียบคนเก่าที่ย่ำยีวัตถุสวรรค์ให้สิ้นเปลือง


ผู้เฒ่ายื่นมือไปลูบตัวอักษรสามตัวว่าภูเขาชิงเสินแล้วได้แต่ปลอบใจตัวเองเสียงเบาว่า “แต่หากนำมาทำเป็นแส้โบยผีไม้ไผ่เสินเซียว ท่านลูกค้าก็คงต้องตรงไปที่ชั้นสามแล้ว ไหนเลยที่ข้าจะยังมีโอกาสได้เห็นของชิ้นนี้กับตาตัวเอง ภูเขาชิงเสินในถ้ำสวรรค์จู๋ไห่เชียวนะ ถ้ำสวรรค์ชนาดใหญ่ถึงเพียงนั้นกลับมีเทพภูเขาแค่ท่านเดียว นั่นก็คือจู๋ฮูหยินแห่งภูเขาชิงเสิน ต้องรู้ว่าบรรพบุรุษของสำนักผู้ประพันธ์เคยบรรยายเกี่ยวกับฮูหยินเทพภูเขาในตำนานท่านนี้เอาไว้ว่า ‘โฉมงามพิลาส ชอบเปลือยเท้า จอนผมสีเขียวเข้ม’ เขียนด้วยตัวอักษรแค่ไม่กี่ตัว แต่กลับบรรยายบุคลิกของสุดยอดเทพธิดาที่ไร้ซึ่งใครจะเทียบเทียมผู้นี้ได้อย่างแจ่มชัด…”


ผู้เฒ่าจมจ่อมอยู่ในจินตนาการของตัวเองอย่างสิ้นเชิงแล้ว


แม้ว่าสตรีที่เป็นคนนำทางมาจะรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง แต่ลึกๆ ในใจกลับลิงโลดสุดขีด วันนี้ตนต้องได้ส่วนแบ่งก้อนใหญ่แน่นอน! แถมยังโชคดีมากด้วย เพราะไม่ใช่นังพวกแพศยาที่ชอบวางท่าชั้นสามได้ไป พวกผู้หญิงที่อยู่ด้านบน แต่ละคนเหมือนเทพธิดาเสียยิ่งกว่าเทพธิดา บุคลิกคล้ายจะเยือกเย็น แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับมีแต่เล่ห์อุบายอยู่เต็มท้อง ใครที่มีเงินก็ถือเป็นบุรุษที่หล่อเหลาที่สุดในโลก ไม่ว่าอายุมากหรือน้อย แต่ละคนล้วนเป็นเหมือนนังปีศาจจิ้งจอกที่ชอบล่อลวงผู้ชาย หลังจากทำการค้าสำเร็จยังทำหน้าหนาเอาตัวเข้าแลก พวกนางมักจะพาลูกค้าไปยังเรือนพักส่วนตัวที่อยู่ด้านหลัง แหวกฟ้าคว้าฝนกันไประลอกหนึ่ง หน้าด้านหน้าทน! ไร้ยางอายยิ่งนัก!


เฮ้อ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ตนถึงจะได้ขึ้นไปรับหน้าที่บนชั้นสามบ้าง ความสามารถในการปรนนิบัติคนบนเตียงของตนเคยแย่ตั้งแต่เมื่อไหร่? ต่อให้เป็นลูกค้าผู้หญิง ตนก็มีวิธีเฉพาะตัว เชื่อว่าต้องปรนนิบัติให้พวกนางสุขสมสบายตัวสบายใจได้อย่างแน่นอน


จางซานเฟิงได้แต่ขัดจังหวะความคิดของผู้เฒ่า “ท่านผู้เฒ่า ท่านผู้เฒ่า ข้าผู้เป็นนักพรตแค่อยากรู้ว่าตะเกียบคู่นี้มีมูลค่าเท่าไหร่กันแน่?”


ผู้เฒ่ารีบหยุดความคิดทั้งหมด ยิ้มตาหยีมองไปยังสตรีผู้นั้น “ชุ่ยอิ๋ง ส่วนของข้าผู้อาวุโสในหอชิงฝูปีนี้ยังเหลืออีกครั้งหนึ่งใช่หรือไม่?”


สตรียังสาวตกตะลึงเล็กน้อย แต่ไม่นานก็ยิ้มหวานตอบว่า “ท่านหง ท่านยังมีโอกาสเก็บสมบัติเข้ากระเป๋าตัวเองอีกครั้งหนึ่งจริง เพียงแต่ว่าต้องทำกฎเกณฑ์เดิมคือให้เถ้าแก่ชั้นบนดูก่อนถึงจะสามารถมอบให้ท่านหงเก็บไว้เป็นของส่วนตัวได้”


ผู้เฒ่ายิ้มอย่างเบิกบาน “นั่นมันแน่อยู่แล้ว!”


จากนั้นผู้เฒ่าก็พูดกับนักพรตหนุ่มด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ตะเกียบคู่นี้ หากจะพูดถึงประโยชน์ต่อการฝึกตนนั้นคงมีไม่มาก แต่หากเอาไปไว้ในราชวงศ์ด้านล่างภูเขา ย่อมต้องถูกพวกอัครเสนาบดี ขุนนางใหญ่และชนชั้นสูงทั้งหลายแย่งชิงกันราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า เพราะทุกครั้งที่ใช้ตะเกียบคีบอาหารก็จะได้สัมผัสปราณวิญญาณส่วนหนึ่ง เป็นเหตุให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง อายุยืนยาว ขอแค่ไม่เจอกับโรคร้ายหรือภัยพิบัติใหญ่ คนธรรมดาคิดจะเพิ่มอายุขัยให้ตัวเองสักสามปีห้าปีก็ไม่ยากเลย อีกอย่างคำเรียกว่าภูเขาชิงเสิน ไม้ไผ่เสินเซียวสองอย่างนี้ก็สามารถเพิ่มราคาได้อีกสูงมาก โดยเฉพาะหากนำไปขายให้ถูกคน สมกับคำว่าทองคำพันชั่งก็ไม่อาจซื้อใจคนได้จริงๆ”


ผู้เฒ่าชำเลืองมองตะเกียบไผ่เขียวที่อยู่บนโต๊ะ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเบิกบาน “หอชิงฝูของพวกเรา…หรือจะพูดว่าตัวข้าหงหยางโปเอง ยินดีเปิดราคาที่สี่ร้อยห้าสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ลูกค้าวางใจได้ ข้ารับรองได้ว่า ไม่ว่าจะบนหรือล่างหอชิงฝู ในเมืองท่าเรือแห่งนี้ หรือว่าในร้านค้าเล็กใหญ่อีกสิบหกร้านก็ช่าง ล้วนไม่มีที่ไหนจะให้ราคาสูงไปมากกว่านี้แล้ว ราคาตลาดโดยทั่วไปอย่างมากสุดก็อยู่ที่ระหว่างสามร้อยถึงสี่ร้อยเหรียญเงินเกล็ดหิมะเท่านั้น ข้าชอบของสิ่งนี้มากจริงๆ อีกทั้งปีนี้ยังมีโอกาสเก็บของที่ตรวจสอบเข้ากระเป๋าตัวเองเหลืออยู่อีกหนึ่งครั้ง ข้าถึงได้เต็มใจจ่ายราคาสูงขนาดนี้ นักพรตท่านนี้ ท่านคิดว่าอย่างไร? เต็มใจจะขายตะเกียบไม้ไผ่คู่นี้หรือไม่?”


สายตาของผู้เฒ่าฉายแวววิงวอน มองนักพรตหนุ่มด้วยสายตาน่าสงสาร “สี่ร้อยห้าสิบเหรียญเงินหิมะน้อย ราคานี้ เพิ่มสูงขึ้นอีกไม่ได้แล้วจริงๆ หากพวกท่านกลัวว่าข้าจะวิเคราะห์ผิดพลาด ไม่เชื่อในป้ายอักษรทองของหอชิงฝูเรา กลัวว่าข้าจะหลอกพวกท่านก็ไม่เป็นไร พวกเราสามารถไปหาเจ้าของหอด้วยกัน หรือไม่พวกท่านก็สามารถไปเดินดูตามร้านเล็กใหญ่บนถนนสักรอบก่อนก็ได้…”


จางซานเฟิงหันไปมองสวีหย่วนเสีย ชายฉกรรจ์เคราดกพยักหน้ารับเบาๆ


จางซานเฟิงจึงยิ้มกว้าง ยื่นมือออกมาหนึ่งข้าง “ราคาเดียว ห้าร้อยเงินเกล็ดหิมะ แล้วข้าจะขายทันที!”


หญิงสาวหันหน้าไปทางอื่น แอบปิดปากหัวเราะ


เยี่ยมไปเลย ด้วยนิสัยดึงดันของท่านหง เวลารับของจะดูที่บุพเพวาสนาไม่สนใจราคา หากเจอของที่ถูกใจ ต่อให้เจ็บปวดแค่ไหนก็ยอมควักเนื้อจ่าย


“ใครใช้ให้เจ้าปากดี ใครใช้ให้เจ้าบอกว่าทองพันชั่งยากจะซื้อใจคน!”


ผู้เฒ่าตบปากตัวเองหนึ่งที จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน เขายังคงดีใจมากกว่าเสียดาย กล่าวอย่างใจกว้างว่า “ตกลงตามนี้! ชุ่ยอิ๋ง เจ้าเก็บตะเกียบไม้ไผ่คู่นี้ไปให้ดี นำไปมอบให้เจ้าหอที่อยู่ชั้นบนตรวจสอบ หลีกเลี่ยงไม่ให้ข้าตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าได้รับประโยชน์จากของส่วนรวมที่เบียดบังเป็นของส่วนตัว หลังจากได้รับการยืนยันว่าราคายุติธรรมแล้ว ข้าก็จะควักกระเป๋าของตัวเองจ่ายเงินให้ลูกค้า แน่นอนว่าส่วนแบ่งของเจ้าก็ย่อมขาดไปไม่ได้!”


สตรีผู้นั้นเก็บตะเกียบไม้ไผ่มาอย่างระมัดระวังแล้วเดินเนิบช้าจากไปอย่างสง่างาม


ชายฉกรรจ์เคราดกรู้ว่าการค้าครั้งนี้ จางซานเฟิงได้กำไรแล้ว แถมยังได้กำไรไม่น้อยด้วย


มีเพียงเฉินผิงอันที่ยังยืนอยู่ข้างโต๊ะ เขาแอบก้มหน้าลงไปจ้องตากับคนจิ๋วชุดสีเขียวเหล่านั้น รู้สึกว่าเจ้าตัวน้อยพวกนี้น่าสนใจมาก ท่าทางซื่อๆ ไร้เดียงสา น่ารักอย่างยิ่ง คิดว่าวันหน้าตัวเองควรจะเก็บสะสมไว้สักส่วนหนึ่ง แล้วนำไปมอบให้เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว นางคงจะชอบ อีกอย่างเวลาอยู่ที่เรือนไม้ไผ่ นางจะได้ไม่รู้สึกเบื่อด้วย ส่วนเจ้าตัวน้อยทั้งหลายก็รู้สึกว่าคนบ้านนอกผู้นี้ไม่รู้จักพวกตนได้อย่างไร ดังนั้นจึงรู้สึกสนใจไม่ต่างกัน


ทั้งสองฝ่ายมองตากันอย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่าย ต่างคนต่างอารมณ์ดี


ผู้เฒ่าที่นั่งอยู่หลังโต๊ะก็ยิ่งคลอเพลงเบาๆ ในลำคอ อารมณ์ดีเสียยิ่งกว่าใคร


เพียงครู่เดียวสตรียังสาวก็กลับมา ส่งมอบตะเกียบไม้ไผ่ภูเขาชิงเสินคู่นั้นด้วยรอยยิ้ม “เจ้าของหอบอกว่ายินดีกับท่านที่เรื่องน่าเสียดายลดหายไปอีกเรื่องหนึ่ง แต่ก็บอกแล้วว่า คราวหน้าที่เลี้ยงเหล้าเขา ห้ามเอาตะเกียบคู่นี้มาโอ้อวดให้เขาเห็นต่อหน้าเด็ดขาด”


ผู้เฒ่าร้องเพ้ยหนึ่งที “จะไม่อวดได้อย่างไรเล่า”


จากนั้นก็รีบเก็บตะเกียบไม้ไผ่คู่นั้นลงไปอย่างรวดเร็ว ดึงลิ้นชักออก หยิบเงินร้อนน้อยห้าเหรียญส่งให้นักพรตหนุ่มที่สะพายกระบี่ไม้ท้อไว้ด้านหลัง “แม้จะบอกว่าการค้าขายของร้านใหญ่ เงินร้อนน้อยเท่ากับเงินเกล็ดหิมะหนึ่งร้อยเหรียญ แต่ใครก็รู้ชัดเจนดีว่า หากแลกเปลี่ยนกันเป็นการส่วนตัว เงินร้อนน้อยทุกเหรียญล้วนต้องมอบเงินเกล็ดหิมะเพิ่มไปอีกสี่ห้าเหรียญ”


จางซานเฟิงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม หลังจากรับเงินร้อนน้อยห้าเหรียญนั่นมาก็เห็นว่าเฉินผิงอันยังยักคิ้วหลิ่วตาเล่นอยู่กับคนจิ๋วเสื้อเขียวทั้งหลายอย่างโง่งม เขาจึงถองเฉินผิงอันหนึ่งที เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เลิกแกล้งโง่ได้แล้ว รับไปเถอะ คืนกำไรให้เจ้าก่อน ส่วนเงินต้นขอติดไว้ก่อน หากเจ้ายังไม่อยากรับก็หักจากเงินต้นไปห้าเหรียญเงินร้อนน้อยแล้วกัน สวนที่เหลือคงต้องติดเจ้าไว้ก่อนแล้วจริงๆ วันหน้าค่อยว่ากันอีกที”


เห็นได้ชัดว่าพอรู้ราคาที่แท้จริงของเม็ดเสื้อเกราะแคว้นกู่อวี๋เม็ดนั้น จางซานเฟิงก็ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองสามารถทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น และคิดเป็นจำนวนเงินแค่ห้าร้อยเงินเกล็ดหิมะเพียงเพราะคำว่าเพื่อนได้จริงๆ


เฉินผิงอันรับเงินร้อนน้อยห้าเหรียญนั้นมาโดยไม่ปฏิเสธ พอเก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อแล้วก็เอ่ยว่า “ถือว่าหมดกันแล้ว! ไม่อย่างนั้นข้าคืนเงินให้เจ้า ส่วนเจ้าก็คืนของให้ข้า?”


จางซานเฟิงพูดไม่ออก


สวีหย่วนเสียจึงตบไหล่จางซานเฟิง “เอาตามนี้แหละ ไม่อย่างนั้นจะดูเป็นว่าไม่จริงใจแล้ว”


จางซานเฟิงถึงได้อืมรับหนึ่งที


เฉินผิงอันโอบไหล่จางซานเฟิงแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “หากยังรู้สึกเกรงใจ ไม่สู้เจ้าขายกระบี่ไม้ท้อไปด้วยเลยสิ?”


จางซานเฟิงถองกลับ ด่ายิ้มๆ “จะไปไหนก็ไปเลย!”


เฉินผิงอันกระโดดหลบฉาก “วิญญูชนขยับปากไม่ขยับมือนะ”


สวีหย่วนเสียส่ายหน้า สองคนนี้นี่เหมือนเด็กจริงๆ


สตรีสาวของหอชิงฝูรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย นางจ้องมองใบหน้าด้านข้างของเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ หรือว่านี่ต่างหากถึงจะเป็นเศรษฐีบ้านนอกที่แท้จริง?


จางซานเฟิงเอ่ยยิ้มๆ กับผู้เฒ่าว่า “ข้าผู้เป็นนักพรตไม่มีของที่จะขายแล้ว”


ผู้เฒ่าผิดหวังอย่างหนัก


แต่เฉินผิงอันรีบพูดต่อทันทีว่า “ข้ามีของอยากให้ท่านตรวจสอบ”


ผู้เฒ่ารีบนั่งหลังตรง ยื่นมือออกมาพร้อมรอยยิ้ม “คิดดูแล้วข้าคงมีบุญตาอีกเป็นแน่”


เฉินผิงอันหยิบถ้วยขาวที่วาดภาพห้าขุนเขาตรงตามแผนที่จริงใบนั้นออกมาจากชายแขนเสื้อ วางลงบนโต๊ะ


สายตาผู้เฒ่านิ่งสงบ ยกมือทั้งสองคู่จับถ้วย หมุนช้าๆ พอวางลงแล้วก็กล่าวว่า “ภาพที่วาดอยู่บนถ้วยน่าจะเป็นภาพที่แท้จริงของห้าขุนเขาแคว้นกู่อวี๋ หอชิงฝูยินดีจ่ายด้วยราคาหนึ่งร้อยห้าสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ หากเป็นภาพวาดห้าขุนเขาของราชวงศ์ใหญ่ ราคาจะเพิ่มขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว เพียงแต่ว่าเดิมทีปราณวิญญาณของห้าขุนเขาแคว้นกู่อวี๋ก็มีจำกัดอยู่แล้ว เมื่อนำมาวาดลงบนอาวุธวิเศษอย่างถ้วยขาวใบนี้ สรรพคุณก็ยิ่งถูกลดทอนลงไปอีก”


กล่าวมาถึงตรงนี้ ผู้เฒ่าก็ทอดถอนใจด้วยความปลงอนิจจังเล็กน้อย แล้วเล่าเรื่องมรสุมรครั้งหนึ่งของการทำธุรกิจบนภูเขา “นึกถึงในปีนั้น ร้านที่ทำกำไรมหาศาลได้เพราะถ้วยแบบนี้ นั่นก็เพราะเมื่อหลายสิบปีก่อนพวกเขาแอบกักตุนถ้วยห้าขุนเขาของต้าหลีไว้เป็นจำนวนมาก หลายปีนั้นร้านของเขาได้กำไรเป็นกอบเป็นกำจริงๆ ภายหลังร้านเล็กๆ ตามกระแสเอามาขายบ้าง ไหนเลยจะคิดว่าฮ่องเต้ต้าหลีเสียสติ เปลี่ยนห้าขุนเขาใหม่ทั้งหมด ฮ่าๆ ร้านค้ากี่มากน้อยต้องขาดทุนป่นปี้เพราะเรื่องนี้ ยังดีที่เจ้าหอของเราสายตาเฉียบแหลม ยืนกรานในความคิดของตน ไม่ซื้อถ้วยห้าขุนเขาต้าหลีราคาสูงแม้แต่ใบเดียว นี่ถึงทำให้หอชิงฝูรอดพ้นหายนะครั้งนั้นมาได้”


—–


บทที่ 249.4 เทพเซียนซื้อขาย วันหน้าพบกันใหม่

โดย

ProjectZyphon

เฉินผิงอันรับฟังผู้เฒ่าพูดจนจบอย่างอดทน แล้วจึงถามเสียงเบาว่า “ท่านผู้เฒ่า สรรพคุณของถ้วยใบนี้คือ?”


“ขอโทษทีๆ พอพูดถึงความร้ายกาจของหอชิงฝูเรา ข้าก็หยุดปากตัวเองไม่ได้ทุกที จะพูดเข้าประเด็นให้คุณชายฟังเดี๋ยวนี้แหละ”


ผู้เฒ่าเอ่ยขอโทษแล้วก็ชี้ไปที่ถ้วยสีขาวพลางอธิบายด้วยรอยยิ้ม “ดินห้าสีของผืนแผ่นดินคือสิ่งที่ราชวงศ์ของทุกแคว้นจำเป็นต้องมี ดินห้าสีมาจากไหน? นอกจากจะมาจากพื้นที่วิเศษแห่งภูเขาและแม่น้ำที่บ่มเพาะขึ้นมาได้ด้วยตัวเองแล้ว คนก็สร้างขึ้นมาเองได้เช่นกัน ดินห้าสีจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อนำดินที่เอามาจากห้าขุนเขามาใส่ไว้ในถ้วยประเภทนี้สักระยะเวลาหนึ่ง สั้นหน่อยก็สี่ห้าวัน ยาวหน่อยก็สิบวัน ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับวัสดุที่ทำถ้วยห้าขุนเขาด้วยว่าดีหรือไม่ดี ระดับสูงหรือต่ำ แน่นอนว่าดินห้าสีก็เอามาขายได้เช่นกัน ดูจากลักษณะของถ้วยห้าขุนเขาใบนี้ของคุณชาย หากมีดินห้าขุนเขาของแคว้นกู่อวี๋ที่มากพอ ผลผลิตต่อหนึ่งปีก็สามารถขายได้ประมาณ…เท่านี้!”


ผู้เฒ่าแบมือออกมาข้างหนึ่ง


สตรียังสาวปิดปากแอบหัวเราะอีกครั้ง


เฉินผิงอันถามหยั่งเชิง “ห้าสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ?”


ผู้เฒ่าหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “ห้าเหรียญ”


จากนั้นผู้เฒ่าก็อธิบายอีกว่า “อาวุธวิเศษจำนวนมากที่สามารถช่วยต่อเงินเพิ่มทรัพย์สินให้ได้แบบนี้ บนภูเขาจะใช้เวลาหกสิบปีในการคิดราคา หนึ่งปีห้าเหรียญ หกสิบปีให้หลังก็สามร้อยเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ฮ่าๆ คุณชายอย่าได้รีบร้อนเข้าใจผิดคิดว่าหอชิงฝูของพวกเราหลอกลวงคน คิดจะซื้อถ้วยนี้แค่ครึ่งราคา แต่นี่เป็นเพราะถ้วยห้าขุนเขาค่อนข้างจะพิเศษ หากเป็นแคว้นที่บ้านเมืองระส่ำระส่ายไม่มั่นคง ถ้วยภาพห้าขุนเขาของพวกเขาอาจจะไม่มีค่าเลยแม้แต่อีแปะเดียว ลองคิดตามดูสิว่าในเมื่อบ้านเมืองไม่เหลืออยู่แล้ว ห้าขุนเขาจะยังเหลืออยู่ได้อย่างไร? ถ้าอย่างนั้นจะเอาดินห้าสีมาจากที่ไหน? หากไม่เป็นเพราะตอนนี้สถานการณ์ของแคว้นกู่อวี๋ยังพอจะถือว่ามั่นคง แต่ไหนแต่ไรมาหอชิงฝูก็ไม่ค่อยสนใจจะซื้อถ้วยห้าขุนเขาอยู่แล้ว การที่ยอมจ่ายครึ่งราคาก็เรียกได้ว่า ‘ยุติธรรม’ แล้ว”


เฉินผิงอันคิดแล้วก็กล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าไม่ขายถ้วยนี้ได้ไหม?”


ผู้เฒ่ายิ้มให้ “ต้องได้แน่อยู่แล้ว บอกตามตรง หากวันนี้ข้าซื้อถ้วยนี้แทนหอชิงฝู หากแคว้นกู่อวี๋เกิดหายนะผลัดเปลี่ยนแผ่นดินในชั่วข้ามคืน ถึงเวลานั้นข้าก็ต้องเป็นคนแบกรับความเสี่ยงเรื่องรายได้ไว้แทน”


เฉินผิงอันหัวเราะพลางเก็บถ้วยขาวกลับมา


แม้ว่าจะไม่มีรายได้ห้าสิบเหรียญทุกปี แต่พอนึกถึงว่าหนึ่งปีห้าเหรียญ นั่นก็เท่ากับห้าพันตำลึงเงินเต็มๆ รู้หรือไม่ว่าบ้านหลังหนึ่งที่ตรอกเถาเย่เมืองเล็กหลงเฉวียนในช่วงแรกเริ่มสุดมีราคาเท่าใด? ไม่ถึงหนึ่งพันตำลึงเงินด้วยซ้ำ? แน่นอนว่าตอนนี้ถ้ำสวรรค์หลีจูปริแตกแล้วร่วงลงมา อาณาเขตอยู่ติดกับพื้นที่ของราชวงศ์ต้าหลี ราคาของบ้านเรือนในเมืองเล็กจึงเพิ่มขึ้นแบบพลิกฟ้าพลิกดิน ทว่าบ้านที่เขตการปกครองหลงเฉวียนนั้น มีเงินห้าพันตำลึงเงินก็สามารถซื้อได้หลายหลัง


ตอนนี้สิ่งสำคัญที่ต้องทำก็คือรีบเขียนจดหมายไปบอกเว่ยป้อและผู้เฒ่าแซ่ชุย ให้พวกเขาพยายามช่วยกันเก็บรวบรวมดินห้าขุนเขาของแคว้นกู่อวี๋…จากนั้นตอนที่ตนเดินทางกลับจากภูเขาห้อยหัว ก็จะต้องเดินทางไปที่ขุนเขาทั้งห้าลูกของแคว้นกู่อวี๋ด้วยตัวเองรอบหนึ่ง สามารถเอามาได้กี่จินก็เอามาเท่านั้น หวังว่าเวลานั้นวัตถุฟางชุ่นสืออู่จะยังมีพื้นที่ว่างเหลืออยู่


จู่ๆ สวีหย่วนเสียก็เอ่ยเบาๆ ว่า “ถ้วยใบนี้สามารถขายได้”


แม้ว่าผู้เฒ่าจะเสียอาการไปเพราะตะเกียบไม้ไผ่ภูเขาชิงเสินคู่หนึ่ง แต่เวลาที่ทำธุรกิจผู้เฒ่ากลับฉลาดเฉลียวอย่างมาก “น้องชายท่านนี้คงรู้สึกว่ากองทัพม้าเหล็กของต้าหลีต้องยกลงใต้แน่นอนกระมัง? ดังนั้นจึงไม่แน่เสมอไปว่าแคว้นกู่อวี๋จะรักษาแผ่นดินเอาไว้ได้? ข้าว่าไม่แน่เสมอไป มีสำนักศึกษากวานหูนั่งบัญชาการณ์ตอนกลางของแจกันสมบัติทวีป เชื่อว่าสกุลซ่งต้าหลีคงไม่ถึงขั้นสามารถกรีฑาทัพยาวไปถึงตอนใต้ได้ ต่อให้มีวันนั้นจริงๆ ตอนกลางมีราชวงศ์กั้นขวางมากมายขนาดนั้น ไล่โจมตีไปทีละแคว้น ม้าของต้าหลีควบลงใต้ไปอย่างต่อเนื่อง จำเป็นต้องใช้เวลานานกี่ปี?”


ในเมื่อผู้เฒ่าพูดอย่างตรงไปตรงมาแล้ว สวีหย่วนเสียก็ไม่คิดปิดบังอีกต่อไป เขาเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ต่อให้มีสำนักกวานหูขัดขวาง ข้าก็ยังรู้สึกว่าการเดินทางลงใต้ของต้าหลีใช้เวลาไม่นานนัก”


ผู้เฒ่าเพียงยิ้มรับ ไม่คิดจะโต้เถียงกับอีกฝ่ายด้วยเรื่องนี้ หอชิงฝูเพียงแค่ทำการค้า แสวงหาความร่ำรวยอย่างสันติเท่านั้น


สวีหย่วนเสียหันไปกล่าวกลั้วหัวเราะกับเฉินผิงอัน “อยู่ในกระเป๋าอุ่นใจที่สุดไงล่ะ!”


เฉินผิงอันมองไปทางชายฉกรรจ์เคราดก สายตาของฝ่ายหลังเด็ดเดี่ยว เฉินผิงอันจึงพยักหน้ารับแล้วหยิบถ้วยขาวออกมาวางลงบนโต๊ะอย่างไม่ลังเล “ท่านผู้เฒ่า ยังซื้ออยู่อีกหรือไม่?”


ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดังกังวาน “ไม่รังแกเด็กและคนชรา ย่อมซื้ออย่างไม่ต้องสงสัย! หากการซื้อขายครั้งนี้หอชิงฝูของเราขาดทุน ก็ถือซะว่าสายตาข้าแย่เกินไป จะหักเงินข้าก็หักไป!”


มือหนึ่งยื่นเงิน อีกมือหนึ่งยื่นสินค้า


เฉินผิงอันได้เงินหนึ่งร้อยห้าสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะมาไว้ในมือ ก็เหมือนอย่างที่สวีหย่วนเสียบอก มีเงินอยู่ในกระเป๋าแล้วอุ่นใจจริงๆ


หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็หยิบท่อนไม้สีดำและยันต์ที่มีผีงามสิงสู่ออกมาพร้อมกัน ผู้เฒ่าทยอยตรวจสอบ สำหรับท่อนไม้สีดำเขาพูดชมไม่หยุดปาก รับปากว่ายินดีจ่ายเงินสามร้อยเหรียญหิมะน้อย บอกว่าผู้ฝึกลมปราณของสำนักกสิกรรมและสำนักแพทย์ต่างก็สนใจวัตถุประเภทนี้ เพียงแต่ว่ากับยันต์ที่วัสดุพอจะถือว่าไม่ธรรมดาแผ่นนั้น เขากลับยินดีให้ราคาแค่ห้าสิบเหรียญ


เฉินผิงอันคิดดูแล้วก็ขายแค่ท่อนไม้สีดำ เก็บยันต์แผ่นนั้นกลับมา


เฉินผิงอันและจางซานเฟิงต่างก็ไม่มีของให้ขายแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ถึงเวลาที่ต้องจ่ายเงินราวกับสายน้ำไหลแล้ว


ผู้เฒ่าเดินมาส่งแขกที่หน้าประตูพร้อมรอยยิ้มชื่นบาน ไม่ลืมหันไปเอ่ยกับสวีหย่วนเสียว่า “วันหน้าหากมีโอกาสก็มาเยือนอีกนะ พวกเรามาดูกันว่าสถานการณ์ของแคว้นกู่อวี๋เป็นอย่างไร ใครแพ้คนนั้นเลี้ยงเหล้า ตกลงไหม?”


สวีหย่วนเสียยิ้มตอบ “ได้สิ อันที่จริงไม่ว่าใครแพ้ใครชนะ ได้ดื่มเหล้ากับท่านหงมื้อหนึ่งก็ล้วนไม่ขาดทุน”


ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เพราะประโยคนี้ของเจ้า เอาเป็นว่าคราวหน้าพี่ชายจะเลี้ยงเหล้าเจ้าก่อนเลยแล้วกัน!”


สวีหย่วนเสียกุมหมัดบอกลา


ได้ยินว่าจางซานเฟิงจะซื้อกระบี่ของพรรคมหายันต์ลัทธิเต๋าเล่มหนึ่งที่สามารถกำจัดปีศาจปราบมารได้ สตรียังสาวจึงพาคนทั้งสามตรงไปยังชั้นสี่ เลือกห้องใหญ่ที่แขวนป้ายไม้คำว่า ‘แสงหนาว’ หน้าประตูมีคนของหอชิงฝูยืนเฝ้าโดยเฉพาะ หลังจากสตรีผู้นั้นทักทายกับคนเฝ้าประตูแล้วก็ผลักประตูเปิดเข้าไปเบาๆ จึงเห็นว่าด้านในมีชั้นวางกระบี่จัดเรียงกันเป็นแถว ปราณกระบี่ส่งกลิ่นอายน่าสะพรึงกลัว กระบี่หลากหลายรูปแบบมีมากละลานตา


จางซานเฟิงเพิ่งจะก้าวเข้าประตูไป จู่ๆ ก็พูดว่าไม่ดูแล้ว


นี่ทำให้หญิงสาวรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง


แต่เฉินผิงอันกลับเอ่ยขึ้นว่า “อย่าไปสนใจเขา พวกเราจะดูกระบี่”


ให้ตายจางซานเฟิงก็ไม่ยอมเข้าไปในห้อง ชายฉกรรจ์เคราดกจึงลากเขาเข้าไป


สตรียังสาวทยอยแนะนำกระบี่อาคมสิบกว่าเล่มที่มีราคาสูงต่ำไม่เท่ากัน สุดท้ายจางซานเฟิงที่แม้จะหน้าม่อยคอตก แต่สายตาก็ยังอดชำเลืองมองไปยังกระบี่ทองสัมฤทธิ์โบราณเล่มหนึ่งหลายครั้งไม่ได้ ฝักกระบี่หายไปนานแล้ว ด้านบนสลักสองตัวอักษรว่า ‘เจินอู่’ ที่เลือนรางมองเห็นได้ไม่ชัดเจน เนื่องจากตัวกระบี่มีร่องรอยบาดแผลเยอะมาก ต่อให้จะทำจากวัสดุที่ดีเยี่ยม แต่หอชิงฝูก็ยังขายแค่สี่ร้อยเหรียญเงินเกล็ดหิมะ เฉินผิงอันไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ควักเงินซื้อทันที ตอนที่จะจ่ายเงิน เฉินผิงอันมีท่าทีลังเลเล็กน้อย สตรียังสาวจึงยิ้มบางๆ แล้วเป็นฝ่ายเดินออกจากห้องไปเอง รอจนนางกลับมาในห้อง ‘แสงหนาว’ อีกครั้ง เฉินผิงอันก็เอาเงินเกล็ดหิมะสี่ร้อยเหรียญวางไว้ตรงมุมหนึ่งบนชั้นกระบี่ นางนับจนแน่ใจแล้วจึงนำกระบี่โบราณ ‘เจินอู่’ ใส่เข้าไปในฝักกระบี่ที่เตรียมรอไว้นานแล้ว ยื่นส่งให้เฉินผิงอัน


พอเดินออกมาจากห้องกระบี่แสงหนาว สตรีสาวไม่ได้พาคนทั้งสามเดินออกจากประตูหลักของแคว้นชิงฝู แต่พาพวกเขาเดินผ่านระเบียงกลางอากาศของชั้นสองไปยังหอสูงที่อยู่ด้านหลัง จากนั้นก็ออกจากหอชิงฝูด้วยประตูด้านข้างของเรือนหลังแห่งหนึ่ง สตรีสาวบอกเส้นทางการเดินทาง กฎเกณฑ์บางอย่างและค่าใช้จ่ายของท่าเรือแห่งนั้นกับคนทั้งสามแล้วก็โบกมืออำลากับพวกเขา ตอนที่หมุนตัวเดินกลับ ผู้ฝึกยุทธ์ที่ช่วยคุ้มกันหอชิงฝูก็ปิดประตูตามหลัง นางที่หันหลังให้กับประตูแอบกำหมัดแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความปิติยินดี เพียงไม่แต่นานก็กลับมาเป็นปกติ เดินเร็วๆ ไปทางหอหลักของหอชิงฝู พอไปถึงสีหน้าของนางก็กลายมาเป็นกลุ้มอกกลุ้มใจ ถอนหายใจเฮือกๆ บ่นให้สหายฟังถึงความขี้เหนียวของคนทั้งสาม


หอชิงฝูห่างจากท่าเรือไม่ถึงสองลี้ มีเรือข้ามฟากลำหนึ่งจะไปที่แคว้นอวิ๋นซงพอดี แม้ว่ายังห่างจากแคว้นชิงหลวนอีกไกลมาก แต่เมื่อเทียบกับการให้สวีหย่วนเสียเดินเท้าไปเองแล้ว ย่อมต้องเร็วกว่านับเท่าไม่ถ้วน อีกอย่างเมื่อลงเรือที่แคว้นอวิ๋นซงก็สามารถขึ้นเรือข้ามฟากไปที่แคว้นชิงหลวนได้โดยตรง ด้วยเหตุนี้สวีหย่วนเสียจึงจะนั่งเรือลำนี้ไปจากแคว้นซูสุ่ย ส่วนเรือที่เฉินผิงอันจะโดยสารไปถือเป็นเรือที่มีเส้นทางการเดินเรือเก่าแก่มาเป็นพันปี มีที่มาที่ลึกซึ้งมาก แม้จะไม่ได้ตรงไปยังนครมังกรเฒ่าที่อยู่ทางทิศใต้สุดของแจกันสมบัติทวีป แต่ก็สามารถลดระยะทางหลายแสนลี้ให้สั้นลงได้เช่นกัน


ขณะที่ใกล้จะถึงท่าเรือ เฉินผิงอันที่ในมือถือกระบี่อาคม ‘เจินอู่’ ก็หยุดเดินแทบจะพร้อมกับนักพรตหนุ่ม


นักพรตหนุ่มก้มหน้าลงต่ำ ไม่กล้าพูดอะไร


สวีหย่วนเสียถอนหายใจ พูดกับเฉินผิงอันยิ้มๆ ว่า “นักพรตจงเมี่ยวที่เมืองแยนจือเคยพูดขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจว่า อีกครึ่งปีให้หลังทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป หรือก็คือบริเวณใกล้เคียงกับแคว้นชิงหลวนที่ข้าจะไป จะมีการจัดงานสัมมนามหายานครั้งใหญ่ ถึงเวลานั้นจะมีเทพเซียนของลัทธิเต๋าจำนวนนับไม่ถ้วนมารวมตัวกัน และยิ่งมีเซียนซือลัทธิเต๋าที่มีชื่อเสียงโด่งดังอีกหลายท่านของแจกันสมบัติทวีปมาเปิดการอภิปรายถกปัญหากันอย่างเปิดเผย แน่นอนว่าจางซานเฟิงต้องอยากไปดู เพียงแต่ไม่รู้ว่าควรจะบอกเจ้าอย่างไร ด้วยรู้สึกว่าการที่เขาเปลี่ยนแผนการเดินทางกะทันหันดูเป็นการแล้งน้ำใจ ผิดต่อเจ้า ตอนนี้ดีนัก เจ้าซื้อกระบี่เล่มนี้มาอีก ไอ้หมอนี่ก็ยิ่งไม่มีหน้าบอกลาเจ้า เพราะถึงอย่างไรตอนแรกก็ตกลงกันไว้แล้วว่าจะเดินทางไปยังนครมังกรเฒ่าเป็นเพื่อนเจ้า ข้าว่าตอนนี้ไอ้หมอนี่คงมีใจคิดอยากตายแล้วด้วย ก็ดีเหมือนกัน เฉินผิงอัน เจ้าก็ใช้เจินอู่เล่มนี้ขุดหลุมแล้วฝังกลบเขาให้จบๆ กันไปเลยเถอะ”


เฉินผิงอันกระโดดตบหัวจางซานเฟิงดังป้าบ “ดูท่าทางหงอยซึมของเจ้าเข้าสิ ทำราวกับผู้หญิงอย่างไรอย่างนั้น! พวกเราสนิทกันขนาดไหน? เจ้าโง่หรือไงเนี่ย! กระบี่ รับไว้ เงิน ติดไว้ก่อน คน ไสหัวไปเลย!”


นักพรตหนุ่มไม่กล้าเงยหน้า ไหล่ของเขาสั่นสะท้านเบาๆ


เฉินผิงอันไม่พูดอะไรอีก หลังจากโยนกระบี่เจินอู่ให้สวีหย่วนเสียที่อยู่ด้านหลังแล้วก็เดินเร็วๆ จากไปเพียงลำพัง


เมื่อนักพรตหนุ่มเงยหน้าที่ดวงตาแดงก่ำขึ้นมา เด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่มาจากหลงเฉวียนต้าหลีคนนั้นก็เดินจากไปไกลแล้ว ราวกับจะสัมผัสได้ถึงสายตาของจางซานเฟิง เด็กหนุ่มรองเท้าแตะจึงชูแขนข้างหนึ่งขึ้นสูง กำมือเป็นหมัดแล้วโบกแรงๆ


—–


บทที่ 250.1 บุปผาลานตาสะพรั่งบานเต็มกำแพง

โดย

ProjectZyphon

ท่าเรือที่เรือลำที่เฉินผิงอันโดยสารลงจอดไม่ได้อยู่ที่เดียวกับท่าเรือของแคว้นอวิ๋นซง เงินเกล็ดหิมะจ่ายสิบเหรียญ รับป้ายไม้หนึ่งแผ่นมาและมอบตราประทับที่แม่ทัพภาคมอบให้กลับคืนไปแล้ว เฉินผิงอันก็ติดตามคนหลายสิบคนเดินทางไปยังท่าเรือแห่งนั้น สถานที่ตั้งของท่าเรือคือทางเข้าถ้ำหินงอกหินย้อยใต้ดินแห่งหนึ่ง ปากถ้ำกว้างประมาณห้าหกจั้ง เต็มไปด้วยฝีมือแกะสลักจากผู้มีชื่อเสียงและเซียนซือของแต่ละยุคสมัย ‘แดนเซียนเกล็ดปลา’ ‘ตะวันจันทราในกาน้ำ’ ‘ถ้ำสวรรค์เหยาหลิน’ อักษรส่วนใหญ่ล้วนสลักได้อย่างทรงพลัง พอเข้าไปในถ้ำการมองเห็นก็พลันเปิดกว้าง สว่างไสวชัดเจน คนทั้งกลุ่มเดินลงบันได ประมาณครึ่งก้านธูปต่อมาก็เข้าไปในโถงถ้ำขนาดมหึมา ผนังหินสองด้านทางฝั่งตะวันออกและตะวันตกมีภาพจิตรกรรมฝาผนังของนางฟ้าที่โบยบินสู่สรวงสวรรค์ ชายแขนเสื้อกว้างส่ายสะบัด ล่องลอยมีชีวิตชีวาเสมือนจริง ใบหน้าของหญิงสาวแจ่มชัด เรือนร่างอวบอิ่ม แต่ไม่ทำให้คนมองรู้สึกว่าอ้วนฉุ


ริมตลิ่งของท่าเรือมีเรือสามชั้นจอดอยู่ลำหนึ่ง ตรงหัวและท้ายเรือต่างก็สลักเป็นรูปหัวกับหางมังกร นอกจากจะมีขนาดใหญ่จนแทบจะใกล้เคียงกับเรือรบของราชวงศ์ใหญ่แล้ว รูปร่างก็ไม่ต่างจากเรือข้ามฟากทั่วไปในโลกมนุษย์ นอกจากกลุ่มของพวกเฉินผิงอัน ยังมีคนอีกสามร้อยกว่าคนรวมตัวเบียดเสียดกันอยู่บนเรือแล้ว ตรงท่าเรือยังมีร้านค้าอีกมากมาย ส่วนใหญ่เป็นร้านขนาดเล็กที่ไม่แขวนกรอบป้ายใหญ่โต ไม่ติดกลอนคู่ เพียงแค่แขวนป้ายตัวอักษรอย่างเรียบง่ายไว้ข้างนอกเท่านั้น มีทั้งภาพวาด ขนม ผลไม้และผลิตภัณฑ์พิเศษจากพื้นที่บริเวณใกล้เคียงกับแคว้นซูสุ่ยวางขาย ยกตัวอย่างเช่นพรมผืนเล็ก แก้วไก่ชนของแคว้นไฉ่อี ภาพต้นสนเข็มของแคว้นซงซี แผ่นสลักใบไม้ต้นอวี๋ ตอไม้หลัวฮั่นแกะสลักของแคว้นกู่อวี๋ เป็นต้น


เงินเกล็ดหิมะสิบเหรียญที่เฉินผิงอันจ่ายไปก่อนหน้านี้ก็เพื่อเช่าห้องเดี่ยวบนชั้นสอง อันที่จริงชั้นหนึ่งจ่ายแค่สามเหรียญ ซึ่งก็คือสามพันตำลึงเงิน แม้จะบอกว่าเป็นท่าเรือตระกูลเซียน อีกทั้งระยะทางยังยาวไกล แต่เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไกลของราชวงศ์บนโลกมนุษย์แล้วก็ยังน่าตกใจมากอยู่ดี ยังดีที่เฉินผิงอันเคยนั่งเรือคุนมาก่อน จึงไม่ถึงกับตกอกตกใจ อีกทั้งตอนอยู่ที่หอชิงฝูยังขายท่อนไม้สีดำและถ้วยภาพห้าขุนเขาไปได้ ได้เงินเกล็ดหิมะมาเพิ่มอีกสี่ร้อยห้าสิบเหรียญ กำไรนับว่าไม่เลว บวกกับที่เฉินผิงอันต้องฝึกวิชาหมัดเดินนิ่งทุกวัน ดังนั้นเงินส่วนนี้จึงจำต้องควักจ่าย จะประหยัดไม่ได้


มีนักพรตของท่าเรือคนหนึ่งนั่งเก้าอี้ไท่ซืออยู่บนบันไดหินขนาดเล็กริมตลิ่ง ในมือถือถ้วยชาลายกระนกกระทาใบหนึ่ง ยกชาขึ้นดื่มนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ไม่เห็นว่าน้ำชาจะหมดเสียที เขาเอ่ยเตือนทุกคนด้วยเสียงอันดังว่า อีกครึ่งชั่วยามเรือจะมุ่งหน้าลงใต้ ก่อนจะขึ้นเรือสามารถซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีเฉพาะถิ่นซึ่งสวยงามและราคาถูกกลับบ้าน เขาพูดย้ำทวนถึงพรมของแคว้นไฉ่อีและต้นไม้กระถางของแคว้นซานหลัน พยายามโน้มน้าวและยกยอข้อดีของพวกมันสุดชีวิต แถมยังเอ่ยชื่อร้านของสองร้าน และก็สามารถทำให้ผู้โดยสารเรือหลายคนเกิดความสนใจ ไปทุ่มเงินซื้อของที่สองร้านนั้นได้จริงๆ นี่ทำให้เจ้าของร้านอื่นบ้างก็ค้อนตาคว่ำ บ้างก็อิจฉาริษยา มีเงินก็จ้างให้ผีโม่แป้งได้ ส่วนพวกเขาที่ไม่มีเงินซื้อเส้นสายก็ได้แต่ต้องยอมรับ


เฉินผิงอันยืนเงียบๆ อยู่ท่ามกลางกลุ่มคน แล้วจู่ๆ ก็นึกถึงหลิวเกาฮวาบุตรชายของเจ้าเมืองแยนจือ รวมไปถึงบัณฑิตภูตต้นไม้แคว้นกู่อวี๋ นึกถึงแก้วไก่ชนที่พวกเขานำออกมาในเวลานั้น ได้ยินว่าหากอยู่ที่อื่นราคาจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว จึงวิ่งไปซื้อแก้วไก่ชนมาหนึ่งคู่ สองใบหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ หลังจากนำกล่องไม้หวงหยางที่บรรจุแก้วกระเบื้องใส่ไว้ในห่อสัมภาระเรียบร้อยก็ใช้เงินจริงซื้อผลไม้สดมาส่วนหนึ่ง หิ้วถุงใบใหญ่ไว้ในมือ


ท่ามกลางกลุ่มคนที่มากมายนับไม่ถ้วน เด็กหนุ่มสวมรองเท้าสาน สะพายกล่องกระบี่ไม้ไว้ที่หลัง สะพายห่อผ้าบนบ่าเฉียงๆ ถือถุงผลไม้ใบใหญ่


แม้ว่าจะมีคนเยอะมาก ระหว่างแต่ละคนอยู่ห่างกันแค่สองสามก้าวเท่านั้น แต่เมื่อเทียบกับความอึกทึกของตลาดในเมืองใหญ่แล้ว ท่าเรือตระกูลเซียนแห่งนี้กลับสงบเงียบกว่ามาก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสหายที่จับกลุ่มกันมา ชวนกันคุยเสียงเบา น้อยนักที่จะมีใครพูดเสียงดังโฉงเฉง เด็กน้อยบางคนที่นิสัยร่าเริงซุกซนก็ถูกผู้อาวุโสในครอบครัวจับมือไว้แน่น ไม่อนุญาตให้พวกเขาวิ่งเล่นไปทั่ว


เพราะถึงอย่างไรที่นี่ก็คือจุดศูนย์รวมของเทพเซียนที่กล่าวถึงกันในตำนาน


เวลาผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาออกจากบ้าน ไม่มีใครที่เขียนชื่อสำนักแปะไว้บนหน้าผาก และยิ่งไม่มีทางเผยตบะขอบเขตที่แท้จริง


ห้าขอบเขตล่างห้าขอบเขตบน รวมกันแล้วสิบขอบเขต ขอบเขตมากมายขนาดนี้เป็นของตายตัว แต่คนนั้นมีชีวิตอยู่ อริยะกล่าวไว้ว่าธรรมชาติของคนมีลักษณะคล้ายกัน แต่สิ่งแวดล้อมทำให้คนแตกต่าง มหามรรคายาวไกล การฝึกตนที่นานหลายสิบหลายร้อยปี สวรรค์เท่านั้นที่จะรู้ว่าสุดท้ายแล้วผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งจะมีนิสัยออกมาเป็นอย่างไร? หากทำอะไรโดยไม่ไตร่ตรอง ทำทุกอย่างดังใจปรารถนาเพียงแค่อาศัยสองหมัดและตบะของทั้งกาย สักวันหนึ่งย่อมต้องถูกคนเหยียบจมดิน


แต่ว่าตระกูลเซียนที่โชคดีได้ใช้คำว่าสำนัก ยกตัวอย่างเช่นสำนักโองการเทพ ภูเขาเจินอู่ ศาลลมหิมะพวกนี้ โดยเฉพาะสำนักศึกษากวานหูที่มีชื่อเสียงสยบไปทั้งแจกันสมบัติทวีป ต่อให้ไม่ใช่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสายตรง แต่ขอแค่เป็นลูกศิษย์ในสำนักก็มีคุณสมบัติที่จะวางอำนาจบาตรใหญ่ไปทั้งทวีป เหมือนได้แขวนป้ายปลอดภัยสงบสุขที่มองไม่เห็นไว้กับตัวชิ้นหนึ่ง


และหากมีอาจารย์ผู้สืบทอดวิชาเป็นขอบเขตโอสถทอง ขอบเขตก่อกำเนิดก็ยิ่งเหมือนมียันต์คุ้มกันกายที่มีน้ำหนักมากพอแผ่นหนึ่ง


บุญคุณความแค้นบนภูเขาอาจจะเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาหลายชาติรวมกันของมนุษย์ธรรมดา ดังนั้นความแค้นเคืองพึงละมิพึงผูก สวนลมฟ้ากับภูเขาตะวันเที่ยงก็คือตัวอย่างที่ดีที่สุด เทพธิดาซูเจี้ยที่เคยสูงส่งเหนือผู้ใด ตอนนี้ล่ะเป็นอย่างไร? น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อันดับหนึ่งในโลกของนางใบนั้นถูกริบกลับเข้าสำนักไปแล้ว จิตแห่งกระบี่และตบะต่างก็แตกสลายไม่เหลือชิ้นดี ว่ากันว่านางเงียบหายไม่มีข่าวคราว ผู้ฝึกลมปราณหนุ่มที่ชื่นชอบนางตั้งกี่คนที่ตอนนี้ยังเจ็บปวดรวดร้าวหัวใจไม่หาย?


เฉินผิงอันยืนอยู่เงียบๆ เพียงปลดน้ำเต้าลงมาดื่มเหล้า รอให้เรือออกเดินทางไปยังทิศใต้ โดยสารเรือลงใต้ครั้งนี้มีระยะทางสองแสนลี้ จุดลงเรืออันดับต่อไปจะมีเรือตระกูลเซียนแห่งอื่นให้เดินทางตรงไปยังนครมังกรเฒ่า แล้วค่อยเดินทางจากนครมังกรเฒ่าไปยังภูเขาห้อยหัว เข้าไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ ดังนั้นจึงไม่มีโอกาสเดินทางท่องไปในยุทธภพกับเพื่อนอีกแล้ว ต่อให้อยากดื่มเหล้า ก็ได้แต่ดื่มเพียงคนเดียวเท่านั้น


เรือกำลังจะออกเดินทาง พวกผู้โดยสารจึงพากันเดินขึ้นเรือ เฉินผิงอันหาห้องของตัวเองบนชั้นสองจนเจอ เมื่อเทียบกับห้องตัวอักษรเทียนบนเรือคุนที่ขึ้นจากท่าเรือภูเขาอู๋ถงแล้ว ห้องของที่นี่เล็กแคบกว่ามาก ได้แค่วางเตียงหนึ่งหลัง ด้านนอกมีระเบียงเล็กๆ ที่พอให้คนสองคนยืนเท่านั้น


เฉินผิงอันวางผลไม้สดที่ใช้เงินสิบกว่าตำลึงซื้อมา ปลดกล่องกระบี่และห่อสัมภาระ นั่งอยู่บนเตียงที่ปูผ้าห่มสะอาดสะอ้านอย่างเหมาะสม อยู่ดีๆ ก็นึกถึงเตียงไม้ของบ้านบรรพบุรุษในตรอกหนีผิงอย่างไม่มีสาเหตุ เฉินผิงอันทิ้งตัวนอนหงาย คนจนกลัวอากาศหนาว คนรวยกลัวอากาศร้อน แต่ดูเหมือนว่าคนมีเงินก็มีวิธีดับร้อนอยู่มากมาย นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาที่มีวิชาอภินิหารเลย


เฉินผิงอันลุกขึ้นนั่ง ม้วนชายแขนเสื้อและขากางเกงขึ้น ตรงข้อมือของมือสองข้าและเหนือข้อเท้าที่เปลือยเปล่าเผยให้เห็นตัวอักษรลักษณะคล้ายยันต์ ลมปราณที่แท้จริงไหลเวียนช้าๆ ประหนึ่งห่อหุ้มภาระที่มองไม่เห็นเอาไว้ มองดูแล้วไม่ค่อยสะดุดตานัก อีกอย่างก็ไม่มีบันทึกไว้ใน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ที่หลี่ซีเซิ่งมอบให้ นี่คือวิชาของหยางเหล่าโถว มีชื่อว่ายันต์ลมปราณแท้จริงสองตำลึง ผู้เฒ่าไม่ได้อธิบายอย่างละเอียด แค่บอกว่าสามารถช่วยให้ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวสามารถใช้ลมปราณที่แท้จริงชำระล้างเรือนกายได้ด้วยตัวเองขณะที่นอนหลับ อีกอย่างขอแค่เฉินผิงอันเลื่อนสู่ขอบเขตหลอมลมปราณได้ ยันต์สี่ตำแหน่งนี้จะสลายหายไปเอง หากทำอย่างไรก็ไม่สามารถฝ่าทะลุคอขวดได้ก็ให้เฉินผิงอันไปหาเจิ้งต้าเฟิงที่ร้านยามอซอแห่งหนึ่งในนครมังกรเฒ่าซึ่งอยู่ทางใต้สุดของแจกันสมบัติทวีป ให้คนที่เคยเป็นยามเฝ้าประตูของเมืองเล็กผู้นั้นช่วยปลดพันธนาการให้


เฉินผิงอันดึงชายแขนเสื้อและขากางเกงกลับ เดินไปที่ระเบียง ตามบันทึกของอักขรานุกรมภูมิศาสตร์แคว้นซูสุ่ย การก่อตัวของเส้นทางน้ำใต้ดินสายนี้มาจากการที่มังกรแท้จริงตัวสุดท้ายถูกเซียนไล่ล่า จึงหนีลงมาใต้ดิน ใช้ร่างที่ใหญ่โตของมันขุดเจาะจนเกิดเป็นทางสายนี้ ตอนหลังมุดออกจากใต้ดินตรงปากถ้ำแห่งนั้นของแคว้นซูสุ่ย สุดท้ายจึงทะยานลมไปยังต้าหลีทางทิศเหนือ เมื่อสงครามใหญ่ปิดฉากลงก็มีถ้ำสวรรค์หลีจูเกิดขึ้น ดังนั้นเส้นทางเรือสายนี้จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘ทางมังกรเดิน’


ทางน้ำแบ่งเป็นฝั่งซ้ายและขวาซึ่งต่างก็มีเส้นทางเรือสายหนึ่งเพื่อให้สะดวกในการเคลื่อนที่ของเรือจากทิศเหนือและทิศใต้ ตรงกลางคือรั้วที่ยาวจนไร้ที่สิ้นสุด ทุกๆ ระยะสิบกว่าลี้ บนผนังหินจะแขวนโคมไฟที่ส่องสว่างพร่างพราวไว้ดวงหนึ่ง ส่องให้ทางน้ำที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงสว่างไสวถึงขีดสุด เมื่อถึงช่วงเวลากลางคืน โคมไฟจะดับลง เพื่อสะดวกสำหรับการพักผ่อนนอนหลับของผู้โดยสาร ไม่ต้องถูกแสงไฟรบกวน


ห้องด้านข้างทั้งสองฝั่งค่อนข้างจะเสียงดัง ราวกับว่ามีคนอยู่ไม่น้อย ทางท่าเรือไม่ค่อยเข้มงวดกับคนที่พักอยู่บนชั้นสองเท่าใดนัก มากสุดคือสามารถเข้าพักได้ห้าคน ไม่มีเตียงให้นอนจึงต้องปูผ้านอนกับพื้น เพราะถึงอย่างไรเงินเกล็ดหิมะสิบเหรียญก็ไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ การฝึกบำเพ็ญตบะของผู้ฝึกตนไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะพวกผู้ฝึกตนอิสระที่เป็นดั่งจอกแหนไร้ราก การหาเงิน โดยเฉพาะเงินก้อนโตที่มีความเสี่ยงและอันตรายสูง หากไม่มีทางลัดหรือวิธีการที่พิเศษ พูดอย่างไม่เกินจริงเลยก็คือ เงินที่กว่าจะหามาได้เลือดตาแทบกระเด็นนี้ คนที่ใช้ล้วนอยากจะแบ่งออกเป็นแปดส่วนไปซะทุกเหรียญ และนี่ก็ถือเป็นความรู้สึกปกติทั่วไปของมนุษย์ปุถุชน


ห้องของเฉินผิงอันหันหน้าเข้าทางน้ำอีกฝั่งหนึ่ง เรือเริ่มเคลื่อนตัวไปข้างหน้า เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าบริเวณใกล้เคียงกับรั้วดาดฟ้าเรือชั้นที่หนึ่งมีคนไม่น้อยถือคันเบ็ดไว้ในมือ บนตะขอไม่ได้เกี่ยวเหยื่อตกปลา เป็นการตกปลากลางอากาศ แต่ตะขอตกปลากลับส่องแสงวิบวับ พอโยนลงไปในแม่น้ำก็ลากส่ายตัวเองไปทั่วอย่างป่าเถื่อน


แล้วก็มีปลาโง่ขนาดเท่าฝ่ามือมางับตะขออยู่เป็นระยะจริงๆ จากนั้นพวกมันจะถูกกระชากขึ้นเรือ จับโยนใส่ในข้องจับปลา แต่หากตกได้กุ้งเงินที่ทั้งร่างเป็นสีขาวหิมะ คนที่ตกได้ก็จะตื่นเต้นดีใจสุดขีด ที่แท้วัตถุชิ้นนี้มีที่มาไม่ธรรมดา นี่คือวัตถุที่มีเฉพาะในท้องน้ำใต้ดินแห่งนี้ แคว้นซูสุ่ยเรียกพวกมันว่า ‘มังกรแม่น้ำ’ ส่วนทางใต้จะเรียกพวกมันว่า ‘ตัวเงิน’ สิ่งนี้สามารถดูดซับปราณวิญญาณจากในน้ำ และยังเป็นตัวเลือกแรกในการนำมาขึ้นโต๊ะอาหารรับรองแขกผู้มีเกียรติ


กุ้งวัยเยาว์ยาวครึ่งชุ่น สิบกว่าปีให้หลังจะยาวได้ประมาณหนึ่งนิ้วมือ ร้อยปีถึงจะยาวได้ประมาณสองนิ้วมือ ลักษณะเหมือนแผ่นเกล็ดปลาที่ติดอยู่บนเสื้อเกราะของแม่ทัพ แต่กลับมีขนาดเล็กและโปร่งใส ‘มังกรแม่น้ำ’ ที่มีอายุมากถึงร้อยปีนี้มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น รสชาติดีเยี่ยม หากไปอยู่ทางทิศใต้สามารถขายได้ด้วยราคาสูงเทียมฟ้า มากถึงครึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ


หากผู้โดยสารที่อยู่ชั้นหนึ่งสามารถตก ‘ตัวเงิน’ ขนาดใหญ่ได้หกตัว ก็เท่ากับได้นั่งเรือข้ามฟากฟรีหนึ่งครั้ง ทั้งได้เงินก้อนใหญ่ แถมยังเป็นกิจกรรมฆ่าเวลา ใครบ้างไม่ยินดีจะทำ? เพียงแต่ว่ามังกรแม่น้ำยาวหนึ่งนิ้วนั้นสามารถตกได้ง่าย แต่หากคิดจะตกมังกรแม่น้ำยาวสองนิ้วยังต้องดูที่วาสนาและโชคชะตา ทางน้ำท่าเรือของแคว้นซูสุ่ยแห่งนี้ถูกขุดมานานนับพันปีแล้ว เล่าลือกันว่าเคยมีคนผู้หนึ่งตกมังกรแม่น้ำยาวสามฉื่อได้ มันมีหนวดเป็นสีทอง สร้างความฮือฮาตกตะลึงให้ผู้คนทั่วสารทิศ สุดท้ายขายให้กับนครมังกรเฒ่า น่าเสียดายก็แต่ไม่มีใครรู้ว่าเทพเซียนใหญ่ที่ร่ำรวยเหนือกว่าคนครึ่งทวีปผู้นั้นเรียกราคาเท่าไหร่


เฉินผิงอันชอบตกปลามาตั้งแต่เด็ก เขาจึงยืนฟุบตัวกับราวระเบียง มองผู้คนตกปลาอยู่พักหนึ่งอย่างไม่คิดถึงเรื่องอื่นซึ่งนับว่าหาได้ยาก ในใจคิดว่าบนเรือน่าจะมีเบ็ดตกปลาขาย แค่ไม่รู้ว่าแพงหรือไม่ หากราคาแค่หนึ่งหรือสองเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ถ้าอย่างนั้นเวลาว่างจากการฝึกหมัดก็สามารถไปเสี่ยงดวงที่ราวรั้วเรือได้จริงๆ


—–


บทที่ 250.2 บุปผาลานตาสะพรั่งบานเต็มกำแพง

โดย

ProjectZyphon

กลับเข้ามาในห้อง เฉินผิงอันกินผลไม้ที่นอกจากจะสดใหม่แล้วก็ไม่มีปราณวิญญาณแฝงอยู่แม้แต่น้อยเข้าไป แล้วจึงเริ่มฝึกวิชาหมัด ระยะทางสองแสนลี้ ใช้เวลาสองเดือน ระหว่างนี้จะหยุดพักที่ท่าเรือของตระกูลเซียนแคว้นต่างๆ เพื่อเติมเสบียงและซ่อมบำรุงเรือ รวมๆ กันแล้วก็ประมาณสี่ห้าวัน ความเร็วของเรือลำนี้เป็นรองเรือคุนไม่น้อย และนี่ก็เป็นเรื่องปกติ เรือคุนคือเรือข้ามทวีปที่ภูเขาต่าเจี้ยวซึ่งเป็นสำนักใหญ่ของอุตรกุรุทวีปสร้างขึ้น อยู่ไกลเกินกว่าที่เรือข้ามฟากลำนี้จะสามารถทัดเทียมได้


เฉินผิงอันลองคำนวณคร่าวๆ หากหนึ่งวันนอกจากกินนอนหรือทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่น่าจะใช้เวลาสักสองสามชั่วยามแล้ว พยายามฝึกหมัดให้ได้วันละเก้าถึงสิบชั่วยาม บวกกับที่ตอนนี้การออกหมัดเปลี่ยนจากช้ามาเป็นเร็ว จึงถือว่าได้เปรียบมาก ถ้าอย่างนั้นทุกวันก็จะสามารถฝึกเดินนิ่งหกก้าวได้ประมาณสามพันหกร้อยครั้ง สองเดือนหกสิบวันก็น่าจะฝึกหมัดได้ประมาณสองแสนครั้ง


ฟังแล้วเหมือนหลักการคำนวณง่ายๆ แต่พอปฏิบัติจริงขึ้นมา เฉินผิงอันที่ฝึกวิชาหมัดมาจนคุ้นเคยรู้ดีว่านั่นทำให้คนเป็นบ้าได้เลย ต่อให้เป็นเฉินผิงอันที่ค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองมีความเพียรพยายามและอดทนมากพอก็ยังรู้สึกว่ายากลำบาก การฝึกหมัดก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ไปต้าสุยหรือลงใต้มายังแคว้นซูสุ่ย ถึงอย่างไรตลอดทางก็ยังเจอน้ำเจอภูเขา มีทัศนียภาพหลากหลายรูปแบบให้ชม แต่การนั่งเรือครั้งนี้ต้องอยู่ในพื้นที่แคบๆ ที่ถูกจำกัด จึงไม่ต่างอะไรกับการเผชิญหน้าอยู่แต่กับผนังห้องที่แห้งเหี่ยว


ที่สำคัญที่สุดคือการเดินนิ่งเป็นคนละเรื่องกับความลำบากยากเข็ญที่เผชิญตอนฝึกหมัดกับผู้เฒ่าบนเรือนไม้ไผ่ ฝ่ายหลังทดสอบความสามารถในการทนรับความเจ็บปวดแบบ ‘มีดเร็วเจ็บแปบเดียว’ ทางกายและทางจิตวิญญาณ ฝ่ายแรกมองดูเหมือนผ่อนคลายสบายกว่า ทว่าแต่ละหมัดที่ปล่อยออกไป ยิ่งเป็นในช่วงท้ายก็ยิ่งต้องเจอกับความเจ็บปวดเหมือนถูกมีดคว้านเลาะเนื้ออย่างยาวนาน ก็เหมือนวันหิมะตกหนักที่เดินทางจากทางเลียบหน้าผาแคว้นหวงถิงเข้าสู่ด่านต้าหลีวันนั้นที่การสูดลมหายใจในเฮือกสุดท้ายเหมือนกลืนมีดลงท้อง


มิน่าเล่าผู้เฒ่าถึงได้พูดว่า การหล่อหลอมเรือนกายของผู้ฝึกยุทธ์ ทั้งต้องแข่งด้านพละกำลังกับสวรรค์ ต้องทนรับความเจ็บปวดทรมานเหมือนร่างกายถูกขุนเขากดทับ แล้วก็ยังต้องแข่งขันด้านจิตใจกับตัวเองด้วย ใช้ไฟอ่อนค่อยๆ เคี่ยวตุ๋นจนเกิดคำว่ามั่นคง


เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หลังจากปิดประตูระเบียงแล้วก็เริ่มเดินนิ่ง ฝีเท้าแผ่วเบา ออกหมัดว่องไว ปณิธานหมัดไหลเวียนวน


หลังจากนั้นก็เป็นวันเวลาที่น่าเบื่อหน่ายไร้รสชาติเช่นนี้ เฉินผิงอันถึงขั้นไม่ยอมไปกินอาหารที่ห้องอาหารของเรือ เอาแต่กินอาหารแห้งกับดื่มเหล้าตลอดสามมื้อ


พอเข้าหน้าร้อน ต่อให้อากาศของเส้นทางใต้ดินจะค่อนข้างเย็นสบาย แต่เฉินผิงอันก็ยังเหงื่อแตกเต็มตัว เดินจากประตูห้องไปหยุดอยู่ตรงประตูไม้ของระเบียงก็เท่ากับฝึกหมัดครบหนึ่งรอบพอดี จากนั้นก็หมุนตัวกลับเดินซ้ำอีกรอบ นานวันเข้าพื้นห้องก็เต็มไปด้วยคราบเหงื่อ ทุกครั้งที่ฝึกวิชาหมัดจนเหน็ดเหนื่อยหมดแรงก็จะหยุดพักครู่สั้นๆ เมื่ออยู่ในห้องเล็กแคบแห่งนี้ก็ไม่ต้องกังวลถึงเรื่องต่างๆ นานาที่อาจพบเจอเหมือนตอนเดินทางไกลก่อนหน้านี้ แค่สงบใจฝึกวิชาหมัดอย่างเดียวเป็นพอ สิบสองชั่วยามของหนึ่งวัน ไม่นับเวลานอนสองชั่วยามและการพักระหว่างฝึก เวลาที่เหลือล้วนเป็นการออกหมัดเก้าชั่วยามเต็มๆ ลืมตัวลืมตน ราวกับว่าฟ้าดินนี้มีเพียงพื้นที่เล็กๆ เท่านี้ ไม่มีภูเขาแม่น้ำใหญ่ ไม่มีลมภูเขาพัดโชยและพายุหิมะกรีดผิวเนื้อ ราวกับว่าสี่ฤดูกาลและการเกิดแก่เจ็บตายล้วนอยู่แค่ในพื้นที่แคบๆ แห่งนี้


ผ่านไปอีกยี่สิบวัน ประตูไม้ของระเบียงไม่เคยเปิดออกเลยสักครั้งเดียว


ท่ามกลางม่านราตรี เฉินผิงอันนอนหงายอยู่บนพื้น เสื้อผ้าเปียกโชก พื้นเปียกซึม หอบหายใจแฮ่กๆ เหมือนปลาตัวหนึ่งที่ถูกคนกระชากขึ้นฝั่ง


เฉินผิงอันแสยะปาก อยากยิ้มแต่กลับยิ้มไม่ออก หากเจ้าหอหม่ายตู๋ที่เชี่ยวชาญการลอบสังหารมาลอบฆ่าตนในเวลานี้ จะทำอย่างไร?


เขาหลุบสายตาลงต่ำ มองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ใบนั้น คงต้องพึ่งบรรพบุรุษน้อยทั้งสองท่านนี้แล้วกระมัง


สิบวันต่อมา เฉินผิงอันจำต้องปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าตรงเอวลง แม้แต่รองเท้าแตะก็ถอดออกด้วย ม้วนแขนเสื้อและขากางเกงขึ้น เปลือยเท้าฝึกหมัดเดินนิ่งอยู่ในห้อง


ขอบเขตสี่ของวิถีวรยุทธ์ที่เปลี่ยนจากหลอมเรือนกายไปหลอมลมปราณ ดูเหมือนว่าขาดอีกแค่เฮือกเดียวก็จะสามารถก้าวข้ามส่วนที่เหลือไปได้ ทว่าก้าวเดียวนั้นกลับเหมือนจมลึกอยู่ในบ่อโคลน ให้ตายอย่างไรเฉินผิงอันก็ดึงมันขึ้นมาไม่ได้ ฝึกหมัดมาหนึ่งเดือนเต็ม การพัฒนาก็ยังคงเป็นไปอย่างเชื่องช้า ได้แค่ดึงเท้านั้นออกมาจากโคลนเพียงเล็กน้อย


ระหว่างที่เขาฝึกหมัดก็ใช่ว่าฟ้าดินด้านนอกจะไม่มีความเคลื่อนไหวเสียเลย หลังจากที่ผู้โดยสารของสองห้องที่อยู่ขนาบข้างคุ้นชินกับการใช้ชีวิตบนเรือแล้วก็ไม่สำรวมกิริยากันอีกต่อไป ห้องทางฝั่งซ้ายมือดูเหมือนจะเป็นจอมยุทธ์ในยุทธภพกันทั้งห้อง ทุกวันจะต้องกินเนื้อคำโตดื่มเหล้าคำใหญ่ พูดคุยเรื่องบุญคุณความแค้นในยุทธภพ เพียงแต่ว่าภาษาที่พูดคือภาษาทางการของแคว้นอื่นเป็นส่วนมาก น้อยครั้งที่จะหลุดภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปออกมาสองสามประโยค ทุกวันเมื่อเฉินผิงอันฝึกหมัดได้จนถึงขีดสูงสุดจะต้องหลุดออกมาจากขอบเขต ‘ลืมตน’ ที่ลี้ลับได้เอง และความเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็จะเป็นเหมือนเสียงฟ้าผ่าในฤดูใบไม้ผลิ ดังนั้นพอได้ยินคนพวกนั้นคุยกันเสียงดัง เฉินผิงอันจึงค่อนข้างรู้สึกหงุดหงิด


ส่วนพวคนที่พักอยู่ทางฝั่งขวามือคล้ายจะเป็นเซียนซือจากสำนักเล็กๆ ที่ลงจากภูเขามาหาประสบการณ์ จึงอยู่อย่างสงบเงียบ เพียงแต่ว่าทุกวันตอนเช้าและตอนเย็นจะต้องท่องตำราเสียงดังกังวาน กระดานไม้เก็บเสียงได้ไม่ดี อีกทั้งพวกผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างยังใช้วิชากำหนดลมหายใจที่เป็นวิชาเฉพาะตัว ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องที่น่ารำคาญใจเช่นกัน


หากจะบอกว่าเรื่องพวกนี้ยังพอทนรับได้ ถ้าอย่างนั้นเรื่องหนึ่งที่จะเกิดขึ้นทุกๆ สามวันห้าวันก็ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก


ชั้นสามที่อยู่ด้านบนล้วนมีแต่คนมีเงินอยู่อาศัย ห้องที่อยู่เหนือห้องของเฉินผิงอันคงจะเป็นเทพเซียนคู่รักบนภูเขาคู่หนึ่ง พวกเขาแสดงความรักต่อกันมิเว้นวาง มักจะมีเสียงเตียงสั่นกึกๆ กักๆ ดังลอดแผ่นไม้มาถึงชั้นล่าง นี่ยังพอทำเนา ผู้ฝึกลมปราณหญิงคนนั้นคงจะควบคุมตัวเองไม่ไหวจริงๆ ถึงได้ส่ง ‘เสียงร้องไห้’ อือๆ อาๆ แผ่วเบา เห็นได้ชัดว่าถูกฝ่ายชายรังแกอย่างหนักหน่วง เฉินผิงอันไม่เข้าใจเลยจริงๆ ในเมื่อหญิงสาวทนทุกข์ทรมานขนาดนี้ ทำไมถึงได้ตามใจฝ่ายชายไปซะทุกครั้ง ในเมื่อเป็นสามีภรรยากัน ทำไมถึงไม่เปิดอกพูดคุยกันด้วยเหตุผลให้เข้าใจ?


สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันจนใจอย่างมาก ถึงอย่างไรก็คงไม่ควรเดินขึ้นไปเคาะประตูห้องพวกเขาแล้วพูดกับฝ่ายชายว่า วันหน้าเจ้าต้องสงสารคนรักของตัวเองให้มากหน่อย อย่าได้คืบแล้วจะเอาศอก เรื่องในบ้านคนอื่นแบบนี้ เฉินผิงอันเป็นเพียงคนนอก ไหนเลยจะเปิดปากได้ อีกทั้งยังเป็นการไม่เห็นใจคนอื่น จะกลายเป็นว่าเขาเป็นฝ่ายไร้เหตุผล เพียงแต่เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าตัวเองไม่ชอบเสียงรบกวนจากด้านบน ทว่าพวกชาวยุทธ์ที่อยู่ห้องฝั่งซ้ายกลับชื่นชอบยิ่งนัก พอมีเสียงเตียงและเสียงหญิงสาวร้องดังมาถึงข้างล่าง พวกเขาจะหยุดบทสนทนาที่กำลังคุยกันแล้วหัวเราะหึหึทันที เฉินผิงอันรู้ความจริงจากประโยคภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปที่พวกเขาพูดกันน้อยครั้งว่า พวกเขาคล้ายคนที่กำลังชมสุดยอดศึกใหญ่ของปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ จึงพูดคุยกันอย่างตั้งใจมาก


ส่วนเซียนซือบนภูเขาที่อยู่ในห้องฝั่งขวามือก็เหมือนจะใจตรงกัน พอเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น พวกเขาจะพร้อมใจกันหยุดเงียบ แต่เห็นได้ชัดว่าลมหายใจวุ่นวายกว่าปกติหลายส่วน


ดูท่าคงจะโมโหไม่น้อย น่าจะหงุดหงิดใจพอๆ กับเขา


ยังดีที่เฉินผิงอันเริ่มปรับตัวจนคุ้นเคยกับเรื่องน่าหงุดหงิดที่ส่งผลรบกวนต่อสภาพจิตใจเหล่านี้ได้แล้ว


มีอยู่ครั้งหนึ่งกลางวันแสกๆ เตียงด้านบนโยกสั่นราวกับแผ่นดินไหว ผู้หญิงก็ร้องไห้คร่ำครวญไม่หยุด เฉินผิงอันเพียงแค่ดื่มเหล้า กินอาหารแห้งเงียบๆ หวังเพียงว่าเพดานไม้จะไม่ถล่มพาเตียงทั้งเตียงลงมากระแทกหัวของตน


ระหว่างทางมีจอดพักที่ท่าเรือตระกูลเซียนแห่งอื่นอยู่หลายครั้ง เพราะว่าเฉินผิงอันไม่แม้แต่จะเปิดประตู จึงไม่เคยได้เห็นทัศนียภาพและขนบธรรมเนียมประเพณีของทางใต้


เฉินผิงอันลองคำนวณเวลา ตอนนี้น่าจะเป็นช่วงเพาะปลูก (หนึ่งในช่วง 24 ฤดูกาลของประเทศจีน อยู่ในช่วงวันที่ 5-7 มิถุนายน) แล้ว หากเป็นที่บ้านเกิดของตน เวลานี้จะเป็นช่วงที่ผู้คนยุ่งอยู่กับการทำนา มีคำกล่าวที่ว่า ช่วงเพาะปลูกรีบปลูกข้าวฟ่างและธัญพืช ต่อให้เป็นชายฉกรรจ์ที่ทำงานในเตาเผามังกรก็ยังได้รับอนุญาตให้กลับบ้านไปช่วยงาน ปีนั้นผู้เฒ่าเหยาในเตาเผามังกรที่ตนทำงานอยู่ แม้จะเป็นคนขี้โมโหชอบด่าคนอื่น ทว่าเรื่องแบบนี้เขากลับใจกว้างมาก เตาเผาแห่งอื่นให้หยุดได้แค่สามวัน ผู้เฒ่าเหยากลับให้หยุดได้ถึงสี่ห้าวัน เพียงแต่ว่าต้องลำบากหลิวเสี้ยนหยางกับเฉินผิงอันที่ไม่มีที่นาของบรรพบุรุษ เนื่องด้วยเตาเผาขาดคน ไฟในเตาเผามังกรไม่เคยสนใจว่าเจ้าจะมีคนน้อยหรือไม่ ดังนั้นในอดีตช่วงเวลานี้เฉินผิงอันจะต้องเหนื่อยยิ่งกว่าคนที่ลงแรงทำนาเสียอีก


เฉินผิงอันฝึกหมัดมาหนึ่งเดือนเต็ม โดยไม่ทันรู้ตัวเขาก็เดินนิ่งไปได้ครบหนึ่งแสนรอบแล้ว


ตอนนี้สิ่งที่เขาสนใจมากที่สุดก็คือ อยากรู้ว่าพวกคนที่ตกปลาบนดาดฟ้าเรือ มีใครตกมังกรแม่น้ำยาวสองนิ้วมือที่หายากได้แล้วหรือยัง


มีวันหนึ่งขณะที่ฝึกหมัดมาจนถึงช่วงเที่ยง เฉินผิงอันพลันค้นพบว่าเหล้าในน้ำเต้ายังเหลืออีกมาก แต่อาหารแห้งกลับไม่พอให้กินสามมื้อแล้ว จึงต้องรัดสายน้ำเต้า สะพายกล่องกระบี่ไม้ สวมรองเท้าแตะ เปิดประตูออกเป็นครั้งแรก เตรียมจะไปยังห้องอาหารที่อยู่ห่างไปไม่ไกลเพื่อซื้ออาหารที่เก็บง่ายมาตุนไว้ แล้วก็เป็นเพราะถึงช่วงเวลากินอาหาร พวกผู้โดยสารจึงมักจะออกจากห้องพักเวลานี้ ตอนที่เฉินผิงอันเดินออกจากห้อง เหล่าจอมยุทธ์ที่อยู่ในห้องทางฝั่งซ้ายมือก็ออกมาหาของกินเหมือนกัน เฉินผิงอันจึงชะลอฝีเท้า ทิ้งระยะห่างประมาณห้าหกก้าว ติดตามไปด้านหลังคนห้าคน มีบางคนในกลุ่มนั้นหันกลับมามองประเมินเพื่อนบ้านประหลาดที่เพิ่งได้เห็นหน้ากันอย่างอดไม่อยู่ แต่ไม่นานก็มีคนกระตุกชายแขนเสื้อของเขา ห้ามไม่ให้เขาก่อเรื่องให้เกิดปัญหาแทรกซ้อน


คนผู้นั้นจึงถอนสายตากลับไปอย่างรวดเร็ว มือกระบี่เด็กหนุ่มที่สะพายกล่องไม้ไว้ด้านหลัง เดินทางท่องอยู่ในยุทธภพเพียงลำพัง อายุยังน้อยแต่กลับมีบุคลิกสุขุมหนักแน่น ทางที่ดีที่สุดไม่ควรไปมีเรื่องด้วย หากเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่หาได้ยากจริงๆ ต่อให้กลุ่มของพวกตนจะมีชาติกำเนิดที่ไม่เลว ถือว่าเป็นสำนักใหญ่ในยุทธภพล่างภูเขา ก็ไม่ควรไปล่วงเกินอีกฝ่ายอยู่ดี


บนภูเขาล่างภูเขา ไม่กลัวหนึ่งหมื่น แต่กลัวหมื่นหนึ่ง (เปรียบเปรยว่าไม่กลัวสิ่งที่ได้คาดคะเนไว้ กลัวก็แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแบบไม่คาดฝัน) โดยสารอยู่บนเรือข้ามฝากของตระกูลเซียนแบบนี้ เรื่องไม่คาดฝันย่อมเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว


โชคไม่ดี ดื่มน้ำเย็นยังปวดฟัน แต่หากดวงซวยไปเจอกับคนที่เป็นหมื่นหนึ่งนั้น จะทำอย่างไร? จะพร่ำพูดเหตุผลกับผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาได้หรือ?


—–


บทที่ 250.3 บุปผาลานตาสะพรั่งบานเต็มกำแพง

โดย

ProjectZyphon

จอมยุทธ์ในยุทธภพคนนี้เคยโชคดีได้เห็นการลงมือของมือกระบี่คนหนึ่งมากับตาตัวเอง แม้จะอยู่ห่างไกลมากก็ตาม ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนั้นอายุแค่ยี่สิบปี ทว่าหลังจากกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตพุ่งออกจากช่องโพรงกระบี่แล้ว นั่นก็เรียกได้ว่าปราณกระบี่ดุจสายรุ้ง พุ่งผ่านที่ใดก็ราบพนาสูร เมื่อเผชิญหน้ากับยอดฝีมือในยุทธภพที่มีชื่อเสียงหลายคน ปรมาจารย์กระบี่แห่งยุทธภพที่ปราณกระบี่แผ่ประกายเจิดจ้าอะไร ปรมาจารย์วิชาหมัดที่หลอมเรือนกายจนแข็งแกร่ง ฟันแทงไม่เข้าอะไร สวบๆๆ ฟั่บๆๆ ล้วนถูกเซียนกระบี่บนภูเขาท่านนั้นผ่าศีรษะจนเป็นรูทั้งหมด


ผู้ฝึกลมปราณทั่วไปยังพูดได้ง่าย เพราะถึงอย่างไรเมธีร้อยสำนัก สามลัทธิเก้าสาขาก็ไม่ใช่เซียนซือบนภูเขาที่เชี่ยวชาญด้านการจู่โจมไปซะทุกคน แต่เมื่อต้องงัดข้อกับผู้ฝึกกระบี่บนภูเขา โดยเฉพาะกับเซียนกระบี่ที่เลี้ยงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต นั่นก็แสดงว่าเทพอายุยืนกินสารหนู เบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วจริงๆ


ตลอดทางราบรื่น ซื้อแผ่นแป้งแห้งหลายจินมาจากลูกจ้างในห้องอาหารที่เต็มแน่นไปด้วยผู้คน จ่ายเงินแล้วก็กลับมาที่ห้องตัวเอง พอปิดประตูเรียบร้อยก็เปิดประตูระเบียง ยืนแทะแผ่นแป้งตรงระเบียง มือหนึ่งถือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ดื่มเหล้า ตรงราวรั้วเรือชั้นหนึ่งยังคงมีคนบางตามานั่งตกปลา แต่เฉินผิงอันที่เคี้ยวอาหารช้าๆ จิบเหล้าคำเล็กๆ มองได้สองเค่อก็เห็นว่าพวกเขาตกได้แค่ปลาธรรมดาทั่วไป แม้แต่ตัวเงินวัยเยาว์สักตัวก็ตกไม่ได้


เฉินผิงอันพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา มีครั้งหนึ่งตอนอยู่บนยอดภูเขาลูกใหญ่ เด็กหนุ่มชุยฉานที่เบื่อหน่ายเพราะไม่มีอะไรทำจึงมาฝึกท่าเจี้ยนหลูยืนนิ่งพร้อมกับเฉินผิงอัน เขาบอกว่าบนโลกมีพื้นที่มงคลระดับสูงอยู่แห่งหนึ่งที่พิเศษอย่างมาก มันอยู่ติดกับถ้ำสวรรค์แห่งหนึ่ง ทั้งสองสถานที่นี้ต่างก็มีความแตกต่างไปจากถ้ำสวรรค์และพื้นที่มงคลแห่งอื่นๆ สำนักโองการเทพแคว้นหนันเจี้ยนของแจกันสมบัติทวีปได้ยึดครองพื้นที่มงคลแห่งหนึ่งไว้เพียงลำพัง มีชื่อว่าพื้นที่มงคลชิงถาน พื้นที่มงคลค่อนข้างคล้ายคลึงกับรัฐใต้อาณัติ เพียงแต่ว่ามีอาณาบริเวณกว้างขวางกว่า มีระบบปกครองเป็นของตัวเอง กฎเกณฑ์ของวิถีสวรรค์ที่ซุกซ่อนอยู่ก็มีใหญ่เล็กและสูงต่ำไม่เท่ากัน ส่วนใหญ่มักจะมีผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์ มีทรัพยากรมากพอให้สำนักใหญ่และตระกูลเซียนนำไปใช้ รูปแบบการสร้างแน่นอนว่ายิ่งเป็นสำนักที่ใหญ่เท่าไหร่ ภูเขาก็ยิ่งสูงมากเท่านั้น ยกตัวอย่างถ้ำสวรรค์หลีจูที่เป็นหนึ่งในถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กสามสิบหกแห่งของใต้หล้าไพศาล ตอนนั้นหยกคู่ของต้าหลีที่สามารถใช้พลังต้านทานคลื่นมรสุมที่ถาโถม ต่อโชคชะตาแคว้นให้กับสุกลซ่งก็เดินออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจูทั้งคู่ หลังจากนั้นก็กลายเป็นบุคคลผู้โดดเด่นของต้าหลีดุจหอเก๋งใกล้น้ำที่ได้เห็นดวงจันทร์ก่อน (เปรียบเปรยว่าการที่เราไปอยู่ในสถานการณ์ที่เอื้ออำนวย เราจะได้ประโยชน์ก่อนคนอื่นๆ)


เฉินผิงอันเดินทางไกลสองครั้ง ต่อให้จะยังไม่เคยเดินออกไปจากแจกันสมบัติทวีป แต่อันที่จริงเขาก็เข้าใจคำว่าฟ้าดินกว้างใหญ่แล้ว และการที่หยางเหล่าโถวเคยพูดว่าเมืองเล็กกว้างใหญ่จนไม่อาจจินตนาการได้ถึง เฉินผิงอันก็พอจะเข้าใจได้บ้างแล้วเหมือนกัน


เพียงแต่ว่าการเดินทางลงใต้ครั้งนี้ เฉินผิงอันพลาดสถานที่ต่างๆ ไปมากมาย สถานที่บางแห่งไปไม่ทันเพราะต้องอ้อมไปไกลมาก ยกตัวอย่างเช่นเกาะชิงเสียทะเลสาบเจี่ยนซูที่กู้ช่านกับแม่ของเขาไปอยู่ เฉินผิงอันหวังว่าพวกเขาสองแม่ลูกจะมีชีวิตที่ดี อย่าได้ถูกคนรังแก แต่ก็ยิ่งหวังว่าหลังจากกู้ช่านได้เป็นผู้ฝึกลมปราณแล้วจะไม่หันไปรังแกคนอื่น สุดท้ายกลายเป็นเทพเซียนบนภูเขาอย่างฝูหนันหัวนายน้อยแห่งนครมังกรเฒ่าผู้นั้น


ส่วนสถานที่บางอย่างก็ยังไม่เหมาะที่จะไปเยือน ยกตัวอย่างเช่นภูเขาตะวันเที่ยงที่วานรย้ายขุนเขาตัวนั้นอยู่ นครลมเย็นที่ตระกูลซวี่เฝ้าบัญชาการณ์ เขาเจินอู่ที่หม่าขู่เสวียนอยู่


ไปแล้วก็อธิบายเหตุผลได้ไม่ชัดเจน หมัดไม่แข็งแกร่งพอ ไม่ได้อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู ไม่มีพันธนาการกฎเกณฑ์จากอาจารย์ฉีและช่างหร่วนก็มีแต่จะถูกคนเหยียบตายเท่านั้น การตระหนักรู้ตนเองเพียงเล็กน้อยแค่นี้ เฉินผิงอันยังพอมีอยู่บ้าง


เฉินผิงอันดื่มเหล้า เขารู้มาจากที่ห้องอาหารว่าพรุ่งนี้เรือจะจอดที่ท่าเรือเกาอวี๋ สามารถลงจากเรือไปชมทิวทัศน์ได้ บริเวณใกล้เคียงกับท่าเรือมีจุดชมวิวที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่แห่งหนึ่ง ชื่อว่าบ่อไท่เย่ ช่วงเวลานี้ดอกไม้ภูเขากำลังบานสะพรั่งพอดี  ขอแค่เดินออกไปจากท่าเรือ เดินไปใกล้กับภูเขาที่อยู่ใกล้เคียงจะได้ยินเสียงนกร้องและได้กลิ่นดอกไม้หอมไปตลอดทาง หากโชคดีก็อาจจะจับภูตดอกไม้ที่มีชื่อว่า ‘เซียงฉ่าวเหนียง’ มาได้ ภูตประเภทนี้มีกลิ่นหอมตามธรรมชาติ จะส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ อยู่ตลอดเวลา เหมาะให้นำมาทำเป็นถุงหอมที่มีชีวิตที่สุด ผู้ฝึกลมปราณหญิงและสตรีแต่งงานแล้วของตระกูลสูงศักดิ์ต่างก็ชื่นชอบกันมาก


เฉินผิงอันรู้สึกว่าออกไปเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์ข้างนอกก็ดีเหมือนกัน ปิดประตูหนึ่งเดือนเต็มไม่เคยได้ออกไปไหน เขาก็รู้สึกเหมือนตัวใกล้จะขึ้นราเต็มทีแล้ว


หลังตัดสินใจได้แล้ว เฉินผิงอันก็เดินกลับมาจากระเบียง ปิดประตูแล้วเริ่มฝึกหมัดเดินนิ่งอีกครั้ง


เช้าตรู่วันถัดมา เรือจอดเทียบท่า โถงใหญ่ของถ้ำหินงอกหินย้อยสร้างขึ้นอย่างประณีตงดงาม กลิ่นหอมแผ่อบอวล เมื่อเทียบกับความกว้างขวางยิ่งใหญ่ของที่แคว้นซูสุ่ยแล้ว ก็ถือว่ามีท่วงทำนองที่แตกต่างออกไป


เรือข้ามฟากสั่นสะเทือนเล็กน้อย เฉินผิงอันที่ยังนอนได้ไม่ถึงสองชั่วยามลืมตาตื่น เริ่มเก็บเตียงและสัมภาระ เอาของทุกอย่างไปหมด ไม่กล้าทิ้งไว้ในห้องบนเรือ บางทีอาจเป็นเพราะบ่อไท่เย่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก แล้วก็เป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ เฉินผิงอันจึงสังเกตเห็นว่าผู้โดยสารสี่ร้อยกว่าคนบนเรือลงไปชมวิวด้านล่างแทบทั้งหมด


เบียดอยู่ท่ามกลางกระแสผู้คน พอลงมาจากเรือแล้ว ข้างกายเฉินผิงอันก็มีชายหญิงลักษณะไม่ธรรมดากลุ่มหนึ่งเดินอยู่ใกล้ๆ ลมหายใจของผู้เฒ่าสองคนทอดยาวประหนึ่งน้ำในแม่น้ำที่ไหลริน ตอนที่เดินฝีเท้าแผ่วเบา ต่อให้ไม่ใช่เทพเซียนบนภูเขาห้าขอบเขตกลาง แต่เกรงว่าคงอยู่ไม่ห่างสักเท่าไหร่ เฉินผิงอันไม่ใช่คนที่ชอบแอบฟังคนอื่นคุยกัน แต่เพราะช่วงนี้เอาแต่ฝึกหมัดอยู่ในห้อง ยากนักกว่าจะได้ยินคนคุยกันด้วยภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีป จึงเงี่ยหูฟังไปตามจิตใต้สำนึก


พวกเขาคุยกันถึงสถานการณ์บ้านเมืองตั้งแต่ทิศเหนือยันทิศใต้ของทวีป ความเคลื่อนไหวใหม่ล่าสุดของตระกูลเซียนใหญ่แต่ละแห่ง รวมไปถึงเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นกับคนมีชื่อเสียงของราชวงศ์บางแห่ง


ส่วนใหญ่ล้วนคุยกันด้วยเรื่องสบายๆ ผู้เฒ่าสองคนพูดเยอะที่สุด พวกคนหนุ่มสาวที่อยู่ด้านข้างแค่รับฟังอย่างเดียว น้อยครั้งที่จะเอ่ยแทรก ต่อให้ถามคำถามก็มีท่าทางอ่อนน้อมยำเกรง ไม่ค่อยเหมือนกับคนบางคนในความทรงจำของเฉินผิงอัน ยกตัวอย่างเช่นหลิวป้าเฉียวผู้ฝึกกระบี่แห่งสวนลมหิมะ เฉาจวิ้นผู้ฝึกกระบี่แห่งทักษินาตยทวีปที่มีบ้านบรรพบุรุษอยู่ในตรอกหนีผิง และโจวจวี่แห่งสำนักศึกษากวานหูที่เพิ่งได้เจอเมื่อไม่นานมานี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาต่างก็ไม่มีนิสัยระมัดระวังตัวมากเกินควร


สุดท้ายผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ตรงเอวห้อยตราประทับหยกสีดำขนาดเล็กชิ้นหนึ่งได้พูดถึงเรื่องที่เรือคุนของภูเขาต่าเจี้ยวหล่นจากฟ้า ผู้คนบาดเจ็บล้มตายกันมาก สร้างความแค้นเคืองให้กับมวลชน สำหรับถ้อยคำที่เอ่ยถึงเทียนจวินเจ้าลัทธิเต๋าของอุตรกุรุทวีปผู้นั้น แม้จะยอมรับว่ามรรคกถาของคนผู้นั้นยิ่งใหญ่ค้ำฟ้า แม้แต่ฉีเจินเจ้าลัทธิเต๋าของแจกันสมบัติทวีปก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเอาชนะเขาได้ ทว่าที่มากกว่านั้นกลับต่อต้านการกระทำอันกำเริบเสิบสานของเทียนจวินท่านนี้


ส่วนผู้เฒ่าอีกคนกลับกล่าวด้วยความเป็นกังวลใจ บอกว่าแม้การจมของเรือคุนจะเป็นเพราะปราณกระบี่ที่พุ่งทะยานเต็มฟ้า โจมตีให้เรือคุนแตกสลาย แต่ราชวงศ์ตอนกลางของแจกันสมบัติทวีปที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจต้นไม้ในผืนป่ากินอิ่มว่างงานเลยคิดจะโจมตีเรือข้ามทวีปลำหนึ่งของอุตรกุรุทวีปให้ร่วงลงมาอย่างนั้นหรือ? มีประโยชน์อะไร? ในเวลานั้นผู้ที่สามารถรวบรวมปราณกระบี่ได้มากขนาดนั้นมีเพียงราชสำนักของราชวงศ์ใหญ่แห่งหนึ่ง แต่ฮ่องเต้ท่านนั้นได้เดินทางไปเยือนสำนักโองการเทพด้วยตัวเอง สาบานว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน ภายหลังฉีเจินก็เดินทางเป็นเพื่อนเขาไปพบกับเซี่ยสือเจ้าลัทธิเต๋าของกุรุทวีป ฝ่ายหลังกลับพูดแค่ว่าเรื่องทั้งหมดนี้จะให้ผู้ฝึกลมปราณของกุรุทวีปสืบสาวหาความจริงเอง


เดินไปใกล้ปากถ้ำ เฉินผิงอันพลันหยุดเดินกะทันหัน จากนั้นก็ก้าวเร็วๆ ไปกุมหมัดสอบถามผู้เฒ่าสองคนนั้น “เซียนซือทั้งสองท่าน ขอละลาบละล้วงถามสักคำ ผู้โดยสารบนเรือคุนลำนั้นเป็นอย่างไรกันบ้าง?”


ผู้เฒ่าคนหนึ่งแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เดินไปข้างหน้าต่อโดยไม่แม้แต่จะปรายตามามองเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่มีสำเนียงคนเหนือเต็มเปี่ยม


แต่ผู้เฒ่าที่สวมตราประทับกลับหยุดเดิน หันมาตอบอย่างมีน้ำใจ “ผู้โดยสารที่เป็นห้าขอบเขตล่างแทบไม่มีใครรอดชีวิต ต่อให้เป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางก็ยังตายกันไปเยอะมาก ตอนนั้นมีปราณกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งจากภูเขาลูกหนึ่งขึ้นไปกลางอากาศ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการโจมตีอย่างเต็มกำลังจากเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนคนหนึ่ง เจ้าลองคิดดูว่า นั่นจะเป็นพลานุภาพที่ยิ่งใหญ่สักแค่ไหน?”


ผู้เฒ่าเห็นว่าเด็กหนุ่มหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อยก็ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งทีแล้วเดินหน้าต่อ


เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิม ถูกกระแสคนที่เบียดเสียดเดินชนกระแทกไหล่หลายครั้งก็ยังไม่รู้สึกตัว สุดท้ายพอหลุดออกจากภวังค์ก็พบว่าคนออกจากถ้ำไปชมทัศนียภาพที่บ่อไท่เย่กันเกือบหมดแล้ว


เฉินผิงอันเดินไปทางปากถ้ำช้าๆ แสงอาทิตย์ด้านนอกสว่างสดใส ห่างออกไปไกลพอจะมองเห็นภูเขาใหญ่ที่ไม่สูงชันมากนักลูกหนึ่ง บนภูเขาเต็มไปด้วยบุปผาสีสันสดใสซึ่งกำลังบานสะพรั่งอย่างเต็มที่อยู่ทั่วบริเวณ


หลังจากสังหารฮูหยินอสรพิษที่เมืองแยนจือได้ อันที่จริงเฉินผิงอันได้สมบัติมาชิ้นหนึ่ง แต่ไม่ได้เอาออกมาขายตอนอยู่บนหอชิงฝูแคว้นซูสุ่ย นั่นคืออ่างล้างพู่กันชิ้นหนึ่ง ตรงก้นอ่างมีอักษรสิบหกตัวสลักเรียงกันเป็นวง บุปผาวสันต์ดวงจันทร์สารท สายลมวสันต์ต้นไม้สารท ภูเขาวสันต์ก้อนหินสารท วารีวสันต์เกล็ดน้ำค้างสารท ตัวอักษรเล็กมาก แต่กลับเหมือนลูกอ๊อดตัวน้อยที่เรียงแถวกันขยับหมุนเป็นวง เพราะเฉินผิงอันชอบคำว่าชุน (วสันต์) แล้วก็เพราะตอนอยู่บนเรือคุนได้เจอกับสาวใช้คู่หนึ่งที่เป็นพี่น้องกัน ชื่อของพวกนางสอดคล้องกับตัวอักษรเหล่านี้พอดี ตอนนั้นเฉินผิงอันยังรู้สึกเสียดายว่าทำไมถึงมีแต่คำว่าชุนสุ่ย (วารีวสันต์) ไม่มีคำว่าชิวสือ หาไม่แล้วในอนาคตหากมีวาสนาได้พบกันอีกครั้ง ยกตัวอย่างเช่นได้นั่งเรือคุนของภูเขาต่าเจี้ยวที่ท่าเรืออู๋ถงอีกครั้ง เขาจะต้องเอาอ่างล้างพู่กันชิ้นนั้นออกมาให้พวกนางสองคนได้ดู จะได้สอนให้พวกนางรู้ว่า ที่แท้บนโลกนี้ก็มีเรื่องน่าสนใจที่บังเอิญแบบนี้อยู่ด้วย


เฉินผิงอันยืนอยู่หน้าปากถ้ำ สีหน้าไม่มีความเสียใจหรือเศร้าอาลัยอะไร เพียงแค่ยืนเหม่อลอย มองทัศนียภาพอันงดงามที่อยู่ห่างไปไกล


สุดท้ายเฉินผิงอันหมุนตัวกลับไปที่เรือข้ามฟาก


เด็กหนุ่มไม่ไปดูบุปผาลานตาบานสะพรั่งทั่วพื้นที่ที่อยู่ด้านหลังแล้ว


เขากลับไปที่ห้องบนชั้นสองของเรือ ปิดประตูลงแล้วฝึกหมัดต่อ


เวลาอีกเกือบหนึ่งเดือนค่อยๆ ผ่านพ้นไปอย่างเชื่องช้า อีกสองวันก็ต้องลงจากเรือแล้ว


กลางดึกคืนนี้ เดินวนซ้ำไปซ้ำมา โดยไม่ทันรู้ตัวเฉินผิงอันก็ฝึกหมัดครบสองแสนรอบแล้ว


เขาเปลี่ยนมาสวมชุดสะอาด เปลือยเท้าเดินไปเปิดประตูระเบียง หาได้ยากที่บนเรือจะเงียบสงัดไร้สรรพสำเนียง เฉินผิงอันเห็นว่ารอบกายไร้ผู้คนจึงกระโดดเบาๆ ขึ้นไปบนราวระเบียงแล้วนั่งลง มองไปยังทางน้ำฝั่งตรงข้ามที่น้ำไหลแผ่วเบา ยกเหล้าขึ้นดื่มโดยไม่คิดถึงอะไรทั้งนั้น ดื่มไปดื่มมา ในที่สุดก็พบว่าเหล้าหมดแล้ว


ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่บรรจุเหล้ารสเลิศสิบกว่าจินที่หมู่บ้านวารีกระบี่หมักเอง ก่อนจะขึ้นเรือ แค่ให้ชายฉกรรจ์เคราดกกับจางซานเฟิงดื่มไปเล็กน้อย เนื่องจากสองเดือนมานี้เขาค่อนข้างจะควบคุมตัวเองเรื่องการดื่มเหล้า จึงมีเหล้าเหลือให้ดื่มจนถึงตอนนี้


เฉินผิงอันเขย่าน้ำเต้าบรรจุเหล้าที่ด้านใต้มีคำว่าเจียงหูแรงๆ ไม่มีเหล้าเหลืออยู่แล้วจริงๆ


แต่เขายังไม่ยอมแพ้ ยกน้ำเต้าขึ้นสูง แหงนหน้าขึ้นดื่ม ต่อให้เหลือแค่ไม่กี่หยดก็ยังดี


ทว่ากลับไม่เหลือสักหยด ไม่มีแล้วจริงๆ


ขณะนั้นมีเรือสี่ชั้นหลังหนึ่งล่องมาบนทางน้ำอีกฝั่งหนึ่งพอดี ผู้โดยสารคนหนึ่งที่พักอยู่บนห้องชั้นบนสุดก็กำลังนั่งอยู่บนราวระเบียงเหมือนกัน นางใช้สายตาอึ้งงันมองเด็กหนุ่มที่กำลังเขย่าน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อย่างแรงเพราะอยากดื่มเหล้า สุดท้ายได้แต่วางมือลงอย่างยอมแพ้ สองมือกอดน้ำเต้าที่มีระดับไม่ธรรมดา วางคางบนปากน้ำเต้า


นางคิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้คงไม่ได้ดื่มเหล้ามากจนโง่ไปแล้วหรอกกระมัง?


นางนึกสนุก มือหนึ่งถือกาเหล้าสีเขียวมรกต อีกมือหนึ่งยกขึ้นป้องปาก “ตรงนี้ๆ ผีขี้เหล้าน้อย ที่ข้ามีเหล้า อยากดื่มก็เอาไป!”


เฉินผิงอันยังนั่งอยู่ในท่าเดิม ได้ยินเสียงเรียกก็ปรายตาไปมอง


เด็กสาวสวมชุดตัวยาวสีเขียวเข้มเห็นว่าเขาไม่มีความเคลื่อนไหวก็เลยโยนกาเหล้าในมือออกไปโดยตรง เพียงแต่ว่ากาเหล้าที่ถูกเหวี่ยงตีวงโค้งอย่างงดงามมาอยู่ห่างจากตรงหน้าเฉินผิงอันไปสองจั้งก็พุ่งสวบกลับไปที่มือนางอีกครั้ง เด็กสาวชอบใจ หัวเราะเสียงดังอยู่กับตัวเอง


เรือสองลำแล่นสวนผ่านกันไป


เฉินผิงอันสีหน้าไร้อารมณ์ ทะเลสาบในหัวใจไร้คลื่นกระเพื่อม เพียงแค่รู้สึกว่านางคงไม่ใช่คนปัญญาอ่อนหรอกกระมัง?


ผูกเชือกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้เรียบร้อยก็พลิกตัวหันกลับเข้าไปในระเบียง ปิดประตูไม้แล้วเฉินผิงอันก็ฝึกหมัดต่อ


ไม่มีเหล้าแล้ว สามารถซื้อได้ใหม่ แต่ถ้าคนไม่มีแล้วล่ะ? เฉินผิงอันไม่รู้


ดังนั้นนี่จึงเป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันหยุดชะงักขณะฝึกวิชาหมัด จากนั้นก็วิ่งไปที่ห้องอาหารกลางดึก ร้านอาหารปิดไฟหยุดกิจการกันนานแล้ว ประตูใหญ่ปิดสนิท เขาจึงได้แต่กลับห้องมาฝึกวิชาหมัดของตัวเองต่อไป

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)