ข้ามกาลบันดาลรัก 249.1-249.2
ตอนที่ 249-1 จุดพลิกผันของเมิ่งอี้เซว...
สวมรองเท้าเสร็จ เมิ่งอี้เซวียนโน้มตัวเข้าไปประคองนาง ใช้มือข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บพยุงนางเดินออกไป ทุกขั้นตอนนี้ ไม่แม้แต่จะมองท่านอ๋องฉีสักแวบเดียว
ท่านอ๋องฉีขมวดคิ้วมุ่น นับแต่ที่รู้ชาติกำเนิดเขา เมิ่งอี้เซวียนก็ไม่ได้พูดกับเขาสักคำ ไม่เคยแย้มยิ้มให้เขาสักครั้ง เอาแต่ดึงรั้นที่จะเฝ้าอยู่ข้างกายเมิ่งเชี่ยนโยว รอนางฟื้นขึ้นมา
เมิ่งอี้เซวียนประคองเมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกมา สั่งสาวใช้ยกเก้าอี้เข้ามา ให้นางนั่ง
เมิ่งเชี่ยนโยวถึงพบว่า พวกเขายังอยู่ที่เรือนเดิม เพียงแต่ว่า คนเฝ้าเรือนโดยรอบเปลี่ยนเป็นนายทหาร
เมิ่งต้าจินและเมิ่งเหรินไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ผ่านช่วงเวลาหลายวันมานี้อย่างไม่เป็นสุข เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวที่ในที่สุดก็ออกมาจากห้อง ดีอกดีใจ สาวเท้าเดินไปหานาง เมิ่งต้าจินถามด้วยความห่วงใย “โยวเอ๋อร์ เจ้าไม่เป็นอะไรนะ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวแย้มยิ้ม ปลอบใจเขา “ท่านลุงใหญ่ ข้าไม่เป็นไร พักฟื้นอีกสองวันก็หายแล้วเจ้าค่ะ”
เมิ่งต้าจินพูดต่อ “อี้เซวียนส่งคนไปบอกพวกเราว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บ สลบไสลไม่ได้สติ พวกเราต่างตกใจแทบแย่ โชคดีที่เจ้าไม่เป็นอะไร”
เมิ่งเหรินก็เต็มไปด้วยความห่วงกังวล “น้องโยวเอ๋อร์ ดูเจ้าจะยังไม่หายดี เจ้าไม่นอนพักอยู่ในห้อง ออกมาทำไมกัน?”
เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะตอบ เหวินเปียวและเหวินหู่เร่งฝีเท้าเดินเข้ามา คุกเข่าเบื้องหน้านาง พูดเป็นเสียงเดียวกัน “แม่นาง พวกเราไม่อาจคุ้มครองนาย ขอท่านลงโทษด้วย!”
“หน้าที่ที่ข้ามอบหมายให้พวกเจ้าคือคุ้มครองท่านลุงใหญ่และพี่ใหญ่ให้ปลอดภัย ตอนนี้พวกเขาปลอดภัยดีทุกประการ ถือว่าพวกเจ้าทำภารกิจประสบความสำเร็จ เหตุใดข้าต้องลงโทษพวกเจ้าอีกเล่า?”
เหวินเปียวดื้อรั้นพูดว่า “พวกเราเป็นบ่าวของแม่นาง ตอนเกิดเรื่องพวกเรากลับไม่ได้อยู่ข้างกายท่าน ถือว่าพวกเราบกพร่องต่อหน้าที่ แม่นางสมควรลงโทษสถานหนัก”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “เจ้าพูดไม่ผิด สมควรลงโทษสถานหนัก เอาอย่างนี้เถอะ พวกเจ้าจงออกเดินทางทันที พาท่านลุงใหญ่และพี่ใหญ่ไปส่งบ้าน บอกท่านพ่อท่านแม่ข้าว่า ข้ายังมีธุระต้องทำต่อที่หัวเมือง อีกสองสามวันจะกลับไป ให้พวกเขาไม่ต้องเป็นห่วง”
ทั้งสองไม่คิดว่าจะเป็นการลงโทษเช่นนี้ ต่างนิ่งงัน เหวินเปียวพูดขึ้นพลัน “แม่นาง นี่…”
เมิ่งเชี่ยนโยวปัดมือตัดบทเขา “ที่นี่มีทหารที่แม่ทัพฉู่พามาเฝ้ารักษาการณ์ ไม่มีทางเกิดเรื่องใดกับข้าขึ้นอีก พวกเจ้ารีบไปรีบกลับ มาให้ทันพบข้าในวันพรุ่งนี้”
เหวินเปียวและเหวินหู่ได้ฟังดังนั้น ไม่กล้าโอ้เอ้อีก ลุกขึ้นเก็บกวาดรถม้า
เมิ่งต้าจินไม่วางใจ พูดว่า “โยวเอ๋อร์ เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส จะไม่มีคนข้างกายได้อย่างไร ให้พวกเราอยู่คอยดูแลเจ้าเถอะ”
“ท่านลุงใหญ่ พวกเราสมควรกลับไปตั้งนานแล้ว บัดนี้ล่าช้ามาสามวัน คนที่บ้านจะต้องกระวนกระวายใจแย่แล้ว พวกท่านกลับไปก่อน ให้พวกเขาวางใจลง อีกอย่าง อย่าบอกพวกเขาเรื่องที่ข้าได้รับบาดเจ็บ ข้าจะพักฟื้นในหัวเมืองสักระยะ แล้วจะกลับไป” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
เมิ่งต้าจินคิดถึงสองผู้เฒ่าเมิ่งจึงยอมถอยให้ “ข้าจะกลับไปก่อน ให้เหรินเอ๋อร์อยู่ดูแลเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวปฏิเสธ “ไม่ต้องเจ้าค่ะ มีอี้เซวียนก็พอแล้ว อีกอย่าง อาการเจ็บข้าตอนนี้ก็ดีขึ้นมากแล้ว ไม่ต้องให้ใครมาดูแล ให้พี่เมิ่งเหรินกลับไปพร้อมท่านเถอะ จำไว้ว่า เรื่องที่พวกเราเจอในหัวเมือง โดยเฉพาะเรื่องที่พบแม่ทัพฉู่และท่านอ๋องฉี ห้ามเอ่ยให้ใครฟังเด็ดขาด”
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับเมิ่งอี้เซวียน “เจ้าไปจัดเตรียม ให้พวกเขารีบไปเถอะ เหตุการณ์ต่อจากนี้ ไม่เหมาะให้พวกเขาเห็น”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า หันมองท่านอ๋องฉีที่เดินออกมาจากในห้อง
เมิ่งต้าจินเห็นท่านอ๋องฉีเดินออกมา ให้แขนขาอ่อน กำลังจะคุกเข่าคำนับเขา
ท่านอ๋องฉีไม่แม้แต่จะมองเขา สั่งการชายที่เดินขนาบข้าง “พ่อบ้าน เอาเงินให้พวกเขาจำนวนหนึ่ง แล้วส่งพวกเขาออกไป”
เมิ่งต้าจินปัดมือเป็นพัลวัน “ไม่ต้อง ไม่ต้อง พวกเราพอมีเงินติดตัวพ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องฉียังคงไม่สนใจเขา
พ่อบ้านยื่นมือออกมา ทำท่าผายมือให้เมิ่งต้าจิน “ไปเถอะ ข้าจะไปส่งพวกท่านเอง”
เมิ่งต้าจินโค้งตัวพยักเพยิด หลังจากกล่าวขอบคุณท่านอ๋องฉี ก็เดินตามพ่อบ้านออกไป
เพิ่งจะพ้นประตูออกมา ก็เห็นคนสวมชุดเครื่องแบบทางการเดินลงมาจากรถม้า เร่งรีบเดินเข้าไปในเรือน
เมิ่งต้าจินและเมิ่งเหรินเบี่ยงตัวหลบ ให้พวกเขาเดินเข้าไป
พ่อบ้านหยิบตั๋วเงินหนึ่งแผ่นออกมายื่นส่งให้เมิ่งต้าจิน “นี่เป็นเงินหนึ่งร้อยตำลึง พวกท่านรับไว้ แล้วรีบไปเถอะ”
เมิ่งต้าจินปฏิเสธไม่รับ
พ่อบ้านกล่าวอีกครั้ง “นี่เป็นเงินของท่านอ๋อง พวกท่านรับไว้แล้วรีบไปเถอะ หากชักช้าอาจจะไม่ได้ไป”
พอได้ยินว่าไม่ได้ไป เมิ่งต้าจินให้ตื่นตกใจ รีบรับตั๋วเงินมา กล่าวขอบคุณพ่อบ้าน แล้วขึ้นนั่งบนรถม้าบ้านตัวเอง สั่งเหวินเปียวให้บังคับรถม้าออกไปโดยด่วน
ไม่เพียงแต่รอบเรือนอาศัย กระทั่งสองฝั่งถนนก็มีนายทหารยืนเป็นแนวยาวไปตลอดทาง
กระทั่งเหวินเปียวตวัดแส้บังคับรถม้าออกมาไกลมาก ถึงมองไม่เห็นพวกเขา เมิ่งต้าจินก็ให้โล่งใจลง แต่ก็ยังรบเร้าให้เหวินเปียวบังคับรถม้าให้เร็วขึ้น
เว่ยหงพาขุนนางกลุ่มหนึ่ง เดินเข้ามาในลานเรือน ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้า คุกเข่าตัวสั่นงันงกอยู่บนพื้น เอ่ยปากพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “เว่ยหงผู้ตรวจการมณฑลคารวะท่านอ๋อง หม่อมฉันไม่ทราบว่าท่านอ๋องมาถึงหัวเมืองแล้ว ไม่ได้ทำการตอบรับ ขอท่านอ๋องโปรดอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องฉีนั่งนิ่งบนเก้าอี้ ถามด้วยบารมีน่าเกรงขาม “เว่ยหง เจ้ายังเห็นท่านอ๋องคนนี้อยู่ในสายตาหรือไม่?”
เว่ยหงนึกว่าท่านอ๋องฉีตำหนิที่เขามาช้า เหงื่อเย็นไหลซึมทั่วร่างพลัน ลนลานโขกศีรษะ พูดแก้ต่างให้ตัวเอง “พอเว่ยหงได้รับข่าวจากแม่ทัพฉู่ ก็รวบรวมขุนนางทุกหน่วยมารับเสด็จท่านอ๋องทันทีพ่ะย่ะค่ะ”
“เว่ยหง เจ้าเงยหน้าขึ้น ดูว่าท่านอ๋องเป็นใคร?” ท่านอ๋องฉีออกคำสั่งเขา
เว่ยหงหวาดกลัวตัวสั่น “หม่อมฉันไม่กล้าพ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องฉีแค่นเสียงหึ “ไม่กล้า? ตอนที่เจ้าชิงตัวโอรสข้าเหตุใดไม่พูดว่าไม่กล้า?”
เว่ยหงโขกศีรษะกับพื้น “ท่านอ๋องโปรดตรวจสอบ หม่อมฉันไม่เคยพบองค์ชายมาก่อน จะชิงตัวเขาได้อย่างไร?”
“งั้นหรือ?” ท่านอ๋องฉีถามเสียงเ**้ยม
เครื่องแบบทางการของเว่ยหงเปียกซึมไปด้วยเหงื่อ โขกศีรษะสุดแรงอีกครั้ง “จริงแท้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ หากพบองค์ชาย หม่อมฉันมีแต่จะรีบเข้าไปต้อนรับ จะชิงตัวเขาได้อย่างไร?”
ท่านอ๋องฉีโกรธเกรี้ยว ตวาดเสียงกร้าว “เว่ยหง!”
เว่ยหงสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวของเขา สะดุ้งตกใจตัวสั่น ตอบกลับด้วยเสียงสั่นระรัว “พ่ะย่ะค่ะ”
“เงยหน้าขึ้น!” ท่านอ๋องฉีออกคำสั่งเขา
เว่ยหงเงยหน้าอย่างสั่นเทิ้ม กระทั่งตอนที่เห็นใบหน้าของท่านอ๋องฉีก็ตกใจนั่งทื่อไปกับพื้น ลืมว่าเป็นการไม่สมควร ชี้ท่านอ๋องฉีร้องพูด “นี่ๆๆ…”
พูดรัวคำเดียว แล้วก็พูดอะไรไม่ออกอีก
ส่วนขุนนางคนอื่นพอได้ยินวาจาเสียมารยาทเช่นนี้ของเขา ก็แอบเงยหน้าขึ้นพินิจมองท่านอ๋องฉี ครั้นพอเห็นใบหน้าของเขาชัดเจนก็ให้ตกใจอ้าปากค้าง
น้ำเสียงเกรี้ยวกราดของท่านอ๋องฉีดังขึ้นอีกครั้ง “เห็นชัดเจนแล้วหรือไม่?”
เว่ยหงโขกศีรษะสุดแรงเกิดหลายครั้ง ขอร้องวิงวอน “ท่านอ๋องไว้ชีวิตด้วย หม่อมฉันไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของท่านมาก่อน ไม่ทราบจริงๆ ว่าคนที่พวกเราชิงตัวมาก็คือองค์ชาย หากว่าทราบ ต่อให้ท่านให้ร้อยความกล้า หม่อมฉันก็ไม่กล้าพ่ะย่ะค่ะ”
ขุนนางด้านหลังไม่กล้าปริปาก โขกศีรษะร้องขอชีวิตไม่หยุด
ท่านอ๋องฉีไม่สนใจพวกเขา
ในลานเรือนเงียบสงบ เสียงโขกศีรษะของเหล่าขุนนางดังสะท้อนกึกก้อง
กระทั่งเหล่าขุนนางโขกศีรษะจนมีเลือดไหลซึมหน้าผาก เสียงท่านอ๋องฉีถึงดังขึ้นอีกครั้ง “เมื่อพวกเจ้าบอกว่าไม่รู้เรื่อง ข้าจะยอมเชื่อพวกเจ้าก่อน พูดมา ใครที่ให้พวกเจ้าลงมือกับองค์ชาย?”
เหล่าขุนนางหยุดโขกศีรษะ หันมองเว่ยหงเป็นตาเดียว
เว่ยหงยังโขกศีรษะไม่หยุด ไม่มีเสียงตอบรับ
ท่านอ๋องฉีหรี่หลุบนัยน์ตา เปล่งเสียงข่มขวัญ “เว่ยหง ข้าละเว้นชีวิตเจ้าหนึ่งครั้ง เป็นเจ้าเองที่ไม่หวงแหน เช่นนั้นจะหาว่าข้าไม่เกรงใจไม่ได้” พูดจบ ตวาดเสียงลั่นออกไปด้านนอก “แม่ทัพฉู่”
ฉู่เหวินเจี๋ยรับคำเดินเข้ามาในเรือน น้อมประสานมือคำนับ “ท่านอ๋อง”
ท่านอ๋องฉีสั่งการเขา “พาตัวพวกเขาเข้ามา!”
ฉู่เหวินเจี๋ยขานรับคำ แล้วโบกมือ นายทหารหลายนายกุมตัวเด็กสี่คนเข้ามา
เห็นเว่ยหงคุกเข่าบนพื้น เด็กร้องตะโกนเสียงหลงพร้อมกัน “ท่านพ่อ!”
เว่ยหงร่างสั่นเทิ้ม หันกลับไปมองสามบุตรชายและหนึ่งบุตรสาวของตัวเองที่ถูกนำตัวเข้ามา ปิดเปลือกตาลงอย่างปวดร้าว
ท่านอ๋องฉีพูดอย่างไร้ความเมตตาปราณี “เว่ยหง เจ้าต้องคิดให้ดีๆ เจ้าจะพูดหรือไม่พูด?”
เว่ยหงกัดฟันไม่พูด
ท่านอ๋องฉีก็ไม่เสียเวลากับเขาอีก ปัดมือข้างหนึ่ง องครักษ์นายหนึ่งในลานเรือนเดินขึ้นหน้าลากเด็กที่อายุมากที่สุดออกไป เงื้อดาบเตรียมจะฟันลงมา
เว่ยหงฝืนทนต่อไปไม่ไหว ลนลานพูดขึ้น “ข้าพูด ข้าพูดแล้ว!”
องครักษ์หยุดชะงัก
ท่านอ๋องฉีโบกมือให้เขาถอยไป ทั้งไม่เร่งเร้าเว่ยหง แต่กลับพูดว่า “เชื่อว่าเจ้าจะต้องเคยได้ยินเรื่องเมื่อสิบเอ็ดปีก่อน หลังจากเซวียนเอ๋อร์หายสาบสูญไป ข้าโบยสาวใช้ บ่าว องครักษ์และทหารยามทั้งหมดตายทั้งเป็น เลือดสดๆ ไหลนองไปทั่วถนน หากวันนี้เจ้าไม่พูดความจริง ข้าไม่รังเกียจที่จะให้เหตุการณ์เมื่อสิบกว่าปีก่อนเกิดขึ้นอีกครั้งกับคนในครอบครัวเจ้า”
เหล่าขุนนางตกใจร่างสั่นสะท้าน
คิดถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น เว่ยหงไม่กล้าปิดบังอีก บอกเรื่องที่ตนเองได้รับสารและภาพวาดออกมาทั้งหมด
ขุนนางที่เหลือต่างพยักหน้าสมทบ บอกว่าตนเองก็ได้รับสารและภาพวาดนี้
ท่านอ๋องฉีมองพวกเขา ถามเสียงเ**้ยม “สารและภาพวาดนี้มาจากฝีมือของใคร?”
เว่ยหงสีหน้าพะอืดพะอมครู่หนึ่ง สุดท้ายกัดฟันพูดออกมา “ท่านราชครูให้คนส่งมาให้หม่อมฉัน หม่อมฉันเป็นศิษย์ของเขาพ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องฉีไม่คิดว่าจะได้คำตอบเช่นนี้ ผงะอึ้งเล็กน้อย หรี่นัยน์ตาถาม “ที่เจ้าพูดเป็นความจริง?”
เว่ยหงโขกศีรษะอีกครั้ง “ท่านอ๋องโปรดตรวจสอบ หม่อมฉันกราบทูลตามความสัตย์จริงทุกประการ หาได้หลอกลวงปิดบังไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าจะเชื่อเจ้าก่อน ข้าขอถามเจ้า หลังจากพวกเจ้าได้รับสาร ไยถึงหาเซวียนเอ๋อร์พบได้โดยไว” ท่านอ๋องฉีถามขึ้นอีก
เว่ยหงตอบ “เป็นความบังเอิญพ่ะย่ะค่ะ ผู้ติดตามของหม่อมฉันและญาติคนหนึ่งของท่านข้าหลวงยุติธรรมมีความเกี่ยวพันกับคนที่เก็บองค์ชายไปเลี้ยง ตอนที่พวกเรานำภาพวาดออกมาให้พวกเขาดู ก็บอกกับพวกเราทันที ทว่าพวกเรายังไม่กล้าชี้ชัด กระทั่งวันสอบวันแรก ท่านใต้เท้าผู้คุมการสอบให้คนมาแจ้งข่าวกับพวกเรา ยืนยันว่าองค์ชายมีใบหน้าละม้ายกับภาพวาด พวกเราถึงให้คนลงมือปฏิบัติการ”
ท่านอ๋องฉีออกคำสั่งองครักษ์ “จงไปจับตัวคนที่เขาเอ่ยถึงทั้งหมดมาให้เร็วที่สุด”
องครักษ์รับคำออกไป
ท่านอ๋องฉีกล่าวว่า “เว่ยหง ข้าจะให้โอกาสเจ้าทำคุณไถ่โทษ หากเจ้าพูดตามความจริง ข้าจะไว้ชีวิตคนในครอบครัวเจ้า”
เว่ยหงร้อนรนตอบ “ท่านอ๋องเชิญถาม ขอเพียงหม่อมฉันทราบ จักบอกท่านโดยละเอียด”
“ในสารบอกพวกเจ้าว่าหลังจากพบองค์ชายแล้ว ให้จัดการอย่างไร?”
เว่ยหงตอบทันควัน “เรียนท่านอ๋อง ในสารเพียงบอกว่าหลังจากที่พวกเราพบองค์ชาย ให้ซ่อนตัวไว้ให้ดี รอคนในเมืองหลวงเข้ามารับตัวไปก็พอพ่ะย่ะค่ะ”
“มีเพียงเท่านี้?” ท่านอ๋องฉีถาม
เว่ยหงตอบกลับ “มีเพียงเท่านี้พ่ะย่ะค่ะ ท่านให้อีกร้อยความกล้าหม่อมฉันก็ไม่กล้าปิดบังแล้ว”
ท่านอ๋องฉีมองคนที่เหลือ ถามขึ้น “พวกเจ้าเล่า?”
ขุนนางทั้งหมดพูดคล้อยตามเว่ยหงทุกประการ
ตอนที่ 249-2 จุดพลิกผันของเมิ่งอี้เซว...
ท่านอ๋องฉีนิ่งเงียบครู่หนึ่ง แล้วสั่งองครักษ์ข้างกาย “นำตัวม้อเอ้อเข้ามา!”
องครักษ์รับคำ เดินเข้าไปในห้องหนึ่ง ลากตัวหัวหน้าม้อที่ร่างกายมีแต่รอยแผลออกมา โยนไปที่พื้น เว่ยหงและขุนนางทั้งหมดเห็นสภาพน่าสังเวชของเขา ขวัญหนีดีฝ่อถอยร่นไปอีกด้าน อยู่ให้ไกลจากเขา
ท่านอ๋องฉีถามขึ้น “ม้อเอ้อ เจ้าจงบอกข้ามาตามสัตย์จริง เฮ่อจางส่งพวกเจ้ามาเพื่อการใดกันแน่?”
ม้อเอ้อได้รับการลงทัฑณ์หลายวันติดต่อกัน ร่างกายอ่อนละโหยโรยแรง ได้ยินคำถามท่านอ๋องฉี ฝืนกัดฟันพูดปฏิเสธ “ท่านราชครูกล่าวว่า องค์ชายหายสาบสูญไปหลายปี บัดนี้ตามหาเจอแล้ว สั่งให้หม่อมฉันเข้ามารับ คุ้มกันความปลอดภัยส่งตัวกลับเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ”
“เหลวไหลสิ้นดี!” ฉู่เหวินเจี๋ยคำรามร้องเสียงกร้าว “เมื่อมาคุ้มกันตัวส่งกลับเมืองหลวง เหตุใดพวกเจ้าต้องลงมือกับเซวียนเอ๋อร์? ทั้งทำร้ายแม่นางเมิ่งบาดเจ็บสาหัส?”
ม้อเอ้อแต่งเรื่องโต้แย้ง “เด็กสาวคนนี้บุกรุกเคหะสถานตามลำพัง พวกเรานึกว่านางจะเข้ามาลอบสังหารองค์ชาย ถึงลงมือกับนาง สำหรับองค์ชาย เพราะลูกน้องหม่อมฉันถูกนางขู่เข็ญ พวกเขาเพื่อช่วยหม่อมฉัน ใต้ภาวะคับขัน ถึงต้องลงมือพ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องฉีคำรามลั่น “บังอาจนัก กล้าลงมือกับองค์ชาย ทหาร จับตัวพวกมันออกมา ข้าอยากดูนัก ใครกันที่กล้าหาญเช่นนี้?”
เหล่าองครักษ์หลวงรับคำ เดินเข้าไปในห้องหนึ่ง ลากตัวคนทั้งหมดออกมา โยนไปบนพื้น
ท่านอ๋องฉียืนตะแคงข้าง ใบหน้าเ**้ยมเกรียมอำมหิต เค้นถามคนบนพื้นด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว “พวกเจ้าตอบข้ามา ใครกันที่มันบังอาจ กล้าทำร้ายโอรสของข้า?”
การลงทัณฑ์ตลอดหลายวันนี้ทำพวกเขาทุกข์ทรมานแสนสาหัส ตอนนี้ได้พบหน้าท่านอ๋อง เหล่าชายฉกรรจ์ต่างสั่นสะท้าน นอนแผ่ไปกับพื้น กลับยังกัดฟันไม่ยอมปริปาก
ท่านอ๋องฉีแสยะยิ้มอำมหิต พูดว่า “ปกติข้าคงจะใจดีมีเมตตาเกินไป ทำให้คนชั้นต่ำอย่างพวกเจ้ากล้าย่ามใจทำร้ายองค์ชายได้?”
เหล่าชายฉกรรจ์ยิ่งให้เสียวสันหลังสะพรึงกลัว ร่างสั่นเทิ้มอย่างไม่อาจควบคุม
ท่านอ๋องฉีนั่งหลังตรง ตวาดเรียกองครักษ์เสียงลั่น “ทหาร!”
องครักษ์รับคำ
วาจาเย็นเยียบหลุดออกมาจากปากท่านอ๋องฉี “นำตัวพวกเขาไปสับเป็นพันเป็นหมื่นชิ้น เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง”
เหล่าองครักษ์ขานรับคำ เข้ามาลากตัวชายฉกรรจ์ทั้งหมดออกไป ชักมีดเล็กข้างตัวออกมา ค่อยๆ แล่เนื้อชายฉกรรจ์ออกมาทีละชิ้นละชิ้น
ชายฉกรรจ์กรีดร้องโหยหวน เสียงดังกึกก้องลานเรือนสะท้อนลอยไกลออกไป แม้แต่ทหารที่เฝ้ายามข้างทางได้ยินเข้า ยังอดสั่นผวาไม่ได้ ต่างขยาดกลัวขนหัวลุก
ส่วนเด็กทั้งสี่คนนั้นตกใจจนหมดสติไปนานแล้ว
เว่ยหงที่อยู่หน้าขุนนางทั้งหมดแทบอยากจะให้ตัวเองหมดสติไป ไม่ต้องทนเห็นภาพสยองขวัญนี้
น้ำเสียงเ**้ยมเกรียมของท่านอ๋องฉีดังขึ้น “พวกเจ้าทั้งหมดเบิกตาดูไว้ให้ดี นี่คือจุดจบของคนที่ทำร้ายเซวียนเอ๋อร์ของข้า หากใครกล้ากระทำผิดอีก ข้าจะทำให้มันผู้นั้นทุกข์ทรมานยิ่งกว่านี้”
เหล่าขุนนางตกใจตัวสั่น เอาแต่โขกศีรษะร้องขอชีวิต
ท่านอ๋องฉีไม่แยแส ดวงตาเ**้ยมเกรียมมองพวกชายฉกรรจ์ที่กำลังถูกลงทัณฑ์
ชาติที่แล้วเมิ่งเชี่ยนโยวฆ่าคนมาไม่น้อย แต่นางจะปลิดชีวิตพวกเขาโดยเร็ว ไม่เคยใช้วิธีโหดเ**้ยมทารุณเช่นนี้ ให้ประหวั่นพรั่นพรึง กลัวเมิ่งอี้เซวียนจะรับไม่ไหว รีบเอียงศีรษะหันมองเขา
สีหน้าเมิ่งอี้เซวียนไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ประหนึ่งไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวมองเขา ถามเสียงละมุน “เจ้าไม่สบายตรงไหนหรือ?”
เขาเปลี่ยนไปมาก เมิ่งเชี่ยนโยวพลันปรับตัวไม่ทัน ได้แต่ส่ายหน้านิ่งอึ้ง
เมิ่งอี้เซวียนเห็นปฏิกิริยาของนาง คาดเดาความในใจนางออก เม้มริมฝีปาก กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พวกเขาทำร้ายเจ้า สมควรต้องมีจุดจบเช่นนี้แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวตะลึงงันอีกครั้ง มองเมิ่งอี้เซวียนราวกับไม่รู้จักเขา
เมิ่งอี้เซวียนก็ไม่หลบเลี่ยง สบตานางกลับ ดวงตาโตคู่งามนั้นนอกจากความเป็นห่วงและเป็นกังวล ก็ไม่มีความรู้สึกอื่นอีก
หัวใจเมิ่งเชี่ยนโยวเกิดคลื่นลูกใหญ่โหมซัด เก็บคืนสายตา ก้มหน้าลอบคิด เพียงเวลาสั้นๆ ไม่กี่วัน เขาก็เปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ เพราะประสบกับเหตุการณ์พลิกผัน หรือนี่ก็คือวิสัยโดยแท้ของเชื้อพระวงศ์
เมิ่งอี้เซวียนเห็นนางก้มหน้าไม่พูดไม่จา นึกว่านางรับกับเหตุการณ์ตรงหน้านี้ไม่ได้ ขมวดคิ้ว สั่งการองครักษ์ “รีบจัดการเถอะ ร่างกายโยวเอ๋อร์ไม่แข็งแรง ทนดูภาพพวกนี้ไม่ไหว”
เหล่าองครักษ์หยุดชะงัก หันมองท่านอ๋องฉี รอฟังคำสั่งจากเขา
ท่านอ๋องฉีโบกมือ
เหล่าองครักษ์ยกมีดขึ้น สิ้นเสียงร้องโหยหวนของเหล่าชายฉกรรจ์ทั้งหมดในทันใด
อู๋เหวินชางและหลิวกุ้ยถูกองครักษ์นำตัวเข้ามา ยังเดินไม่ถึงลานเรือน ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวน หัวใจก็สั่นรัวไม่เป็นจังหวะ พอเดินเข้ามาในลานเรือน เห็นเนื้อตัวแหว่งหวิ่นเห็นกระดูกขาวผุดของเหล่าชายฉกรรจ์อีกทั้งเนื้อคนที่ถูกโยนทิ้งเกลื่อนพื้น ตกใจตาเหลือก แล้วหมดสติไป
“สาดน้ำให้เศษสวะทั้งสองนี้ฟื้นขึ้นมา” ท่านอ๋องฉีออกคำสั่งเสียงกร้าว
องครักษ์สองนายรับคำ แบกน้ำเข้ามาสาดใบหน้าคนทั้งสอง อู๋เหวินชางและหลิวกุ้ยฟื้นคืนสติพลัน ตะเกียกตะกายลุกขึ้น โขกศีรษะให้ท่านอ๋องฉี “ท่านอ๋องไว้ชีวิตด้วย ท่านอ๋องไว้ชีวิตด้วย!”
ท่านอ๋องฉีโบกมือ สั่งองครักษ์ “จัดการซะ”
องครักษ์เดินมาตรงหน้าทั้งสองคน อู๋เหวินชางและหลิวกุ้ยยังไม่ทันรู้แจ้งว่าตนเองล่วงเกินสิ่งใดท่านอ๋องฉี ก็ถูกมีดปลิดชีวิตตายคาที่
เห็นท่านอ๋องฉีไม่สืบสาวราวเรื่อง ก็เด็ดชีวิตคนทั้งสอง เว่ยหงและขุนนางที่เหลือยิ่งให้หัวใจสั่นผวาสุดขีด
“ข้าจะถามพวกเจ้าอีกครั้ง เหตุใดพวกเจ้าถึงต้องจับตัวเซวียนเอ๋อร์มา? หากว่าพูด ข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้าทั้งครอบครัว” เสียงท่านอ๋องฉีดังสะท้อนข้างหูเย็นเยือกของพวกเขา
เว่ยหงและคนอื่นๆ รีบโขกศีรษะร้องขอชีวิต “ท่านอ๋องไว้ชีวิตด้วย พวกเราไม่รู้จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องฉีขมวดคิ้ว พูดว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ คงจะปล่อยพวกเจ้าไปไม่ได้แล้ว เห็นแกที่พวกเจ้าตอบความตามตรง ข้าจะให้ทางเลือกพวกเจ้า พวกเจ้าต้องการจะถูกแล่เนื้อทีละชิ้นจนตาย หรืออยากเห็นคนในครอบครัวตายต่อหน้าพวกเจ้าก่อน?”
เว่ยหงตกตะลึง มองดูบุตรชายบุตรสาวทั้งสี่คนที่สลบไปแล้ว ลนลานคลานไปข้างม้อเอ้อ เอ่ยปากวิงวอน “ท่านหัวหน้าม้อ ท่านจักต้องรู้ว่าท่านราชครูให้พวกเราจับตัวองค์ชายมาทำไม ข้าขอร้องท่าน เห็นแกที่ข้าจงรักภักดีต่อท่านราชครูมาโดยตลอด ท่านได้โปรดพูดออกมาเถอะ ขอเพียงไม่ส่งผลกระทบถึงคนในครอบครัวข้า ชาติหน้าข้ายอมเป็นวัวเป็นม้าตอบแทนท่าน”
ม้อเอ้อตวาดเขา “เว่ยหง เลิกพูดเหลวไหลได้แล้ว ท่านราชครูสั่งข้าให้มาคุ้มครององค์ชายกลับเมืองหลวง หาได้มีจุดประสงค์อื่นไม่?”
พอคิดว่าคนในครอบครัวตัวเองจะต้องติดร่างแหไปด้วย เว่ยหงแทบจะหัวใจแตกสลาย โพล่งปากพูดออกมา “ไม่มีทาง หากเพื่อมารับองค์ชายเข้าเมืองหลวง เหตุใดท่านต้องสั่งให้ข้าจัดการคนที่ก่อเหตุพวกนั้น ท่านราชครูจะต้องยังมีเป้าประสงค์อื่น ขอร้องท่านพูดออกมาเถิด ช่วยชีวิตครอบครัวข้าด้วยเถิด”
ม้อเอ้อโมโหกราดเกรี้ยว ตวาดเสียงลั่น “เว่ยหง เจ้าเลอะเลือนไปแล้วเรอะ? ต่อให้วันนี้ครอบครัวเจ้ารอดพ้นความตายนี้ไปได้แล้วอย่างไร เมื่อท่านราชครูรู้ว่าพวกเจ้าหักหลังเขา คนในครอบครัวเจ้าก็ต้องตายอยู่ดี”
เว่ยหงชะงักอึ้ง ริมฝีปากสั่นระริก ไม่ได้พูดอะไรออกมา นั่งตัวแข็งทื่อใบหน้าซีดเผือก
ขุนนางคนอื่นได้ยินคำพูดม้อเอ้อ ก็ทิ้งตัวนั่งทื่อไปกับพื้น
มองดูสภาพพวกเขา ท่านอ๋องฉีขมวดคิ้วมุ่น ดูท่านอกจากม้อเอ้อแล้ว คนอื่นคงจะไม่รู้เรื่องจริงๆ แต่ม้อเอ้อปิดปากแน่น หลายวันมานี้ไม่ว่าองครักษ์จะทรมานเขาอย่างไร เขาก็ปิดปากสนิท ยืนยันคำพูดเดิม องครักษ์ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับเขาแล้ว
ฉู่เหวินเจี๋ยก้าวมาข้างหน้า เปล่งเสียงพูด “ท่านอ๋อง หม่อมฉันมีวิธีทำให้เขายอมเปิดปาก”
“พูด!”
ฉู่เหวินเจี๋ยประสานมือ “องครักษ์หลวงที่ท่านแม่ทัพเฒ่าทิ้งไว้ให้องค์ชาย มีฝีมือสอบสวนเค้นความ ให้พวกเขามาลองดูก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
สิ้นเสียงฉู่เหวินเจี๋ย ม้อเอ้อร่างสั่นเทิ้ม สะท้อนแววตาสิ้นหวัง
ท่านอ๋องฉีก้มหน้านิ่งเงียบ
ฉู่เหวินเจี๋ยพลันเอ่ยปาก “ท่านอ๋อง เรื่องนี้หากไม่สืบให้รู้ชัด แม้นองค์ชายจะกลับเมืองหลวงแล้ว ก็จะมีอันตรายได้!”
ท่านอ๋องฉียกมือ มองไปที่เมิ่งอี้เซวียน เห็นเขาเอาแต่จับจ้องเมิ่งเชี่ยนโยว ราวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าหาได้เกี่ยวข้องกับเขาไม่ ขมวดคิ้วเกร็งแน่น พูดเสียงต่ำ “เซวียนเอ๋อร์ เจ้า…”
เมิ่งอี้เซวียนเอ่ยปาก ใช้น้ำเสียงละมุนกล่าววาจาเ**้ยมอำมหิต “ไม่ต้องสืบแล้ว จัดการพวกเขาทั้งหมดซะ โยวเอ๋อร์นั่งอยู่ข้างนอกเป็นเวลานานเหนื่อยล้ามากแล้ว ข้าจะประคองนางเข้าไปพักผ่อน”
ฉู่เหวินเจี๋ยผลุนผลันห้ามเขา “องค์ชาย…”
พูดยังไม่ทันจบ เมิ่งอี้เซวียนก็ตัดบทเขา “แม่ทัพฉู่ เหล่านี้เป็นเรื่องที่ประจักษ์ชัดแจ้งอยู่แล้ว เมื่อท่านอ๋องไม่เด็ดขาด ต่อให้พวกเราเค้นถามออกมาได้ก็แล้วอย่างไร? เพื่อเลี่ยงไม่ให้ทุกคนลำบากใจ จัดการเช่นนี้ดีที่สุดแล้ว”
เมิ่งอี้เซวียนกล่าววาจาเสียดสีอย่างชัดแจ้ง ท่านอ๋องฉีมีหรือจะฟังไม่ออก ใบหน้าแดงผ่าว พูดว่า “เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงเสนาบดีอำมาตย์ ต้องจัดการอย่างรอบคอบ แม้นข้าจะเป็นท่านอ๋อง หากไม่มีหลักฐานแน่ชัด ก็ไม่อาจลงโทษใครตามอำเภอใจได้”
เมิ่งอี้เซวียนผงกศีรษะ พูดว่า “ข้าทราบแล้ว ดังนั้นข้าถึงพูดว่าให้เรื่องจบเท่านี้เถอะ เลี่ยงไม่ให้ท่านคั้นอยู่ตรงกลางต้องลำบากใจ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น