ท่านเทพมาแล้ว 249-258

 บทที่ 249 ถามให้ถึงที่สุด

โดย

Ink Stone_Romance

“เป็นอะไร?” สายตาลู่ยาเหลือบมองใบหน้าเขาแวบหนึ่ง จึงจับสีหน้านี้ได้


ซื่ออินมองอาฝู สีหน้ายิ่งซีดขาวขึ้นเล็กน้อย


อาฝูนั่งอยู่บนพื้น ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ถึงเบิกตาสีฟ้าหม่นใสซื่อบริสุทธิ์มองเขา


“ห้าร้อยปีก่อน ข้ากับเหลียงจีเคย…เคย…”


“เคยอะไร?” มู่จิ่วงุนงงแล้ว


ซื่ออินพูดปากสั่น “พวกเราเคยร่วมอภิรมย์กันแล้ว!”


เขามองอาฝู ทั้งร่างเริ่มสั่นเทา!


ในห้องมีเสียงสูดลมหายใจเย็นๆ ดังขึ้นทันที!


เขาบอกว่าพันปีนี้ราชวงศ์เสือขาวไม่มีการบันทึกเรื่องเสือขาวน้อยเลย และก่อนเหลียงจีหายตัวไปก็เคยร่วมอภิรมย์กับเขามาก่อน เช่นนั้นอาฝู…


หรือซื่ออินจะเป็นพ่อของอาฝู?!


มู่จิ่วหันไปหาลู่ยาเพื่อหาคำตอบอย่างรวดเร็ว ลู่ยาถาม “เลือดลมของพวกเขาคล้ายกันอย่างมาก แต่หากเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน เลือดลมก็เหมือนมากเช่นเดียวกัน ตามหลักเหตุผลแล้วพวกเราคิดได้ว่าอาฝูเป็นลูกของพวกเขา แต่ในสถานการณ์ที่ความทรงจำของอาฝูไม่สมบูรณ์ ตอนนี้จึงยังไม่อาจมั่นใจได้”


มู่จิ่วนิ่งอึ้งก่อนถาม “แบบนั้นทำไมบางคนถึงจำได้แม้แต่พ่อแม่ในอดีตชาติล่ะ? หลินเจี้ยนหรูก็ตามหาแม่เขาจนพบ!”


“แม้จิตต้นกำเนิดของแม่หลินเจี้ยนหรูไม่สมบูรณ์ แต่ความทรงจำไม่เสียหาย ปีนั้นหลินเซี่ยทำร้ายนางเพราะกลัวว่านางจะไปร้องเรียนที่ปรโลก จิตต้นกำเนิดนางสลายไป ย่อมบอกเหตุผลไม่ได้ และการตามหาที่อยู่ของแม่หลินไม่ต้องอาศัยขั้นตอนที่ซับซ้อน เพียงไปตรวจหาการเวียนว่ายตายเกิดของนางที่ปรโลกก็พอแล้ว”


“อาฝูกลับต่างกับนาง จิตต้นกำเนิดของเขาไม่ถูกทำลาย แต่ความทรงจำเสียหาย ตอนนี้พวกเราต้องตามหาความทรงจำของเขา ไม่ใช่การเวียนว่ายตายเกิด ยิ่งไปกว่านั้นการเวียนว่ายตายเกิดของเผ่าพันธุ์เทพมีฟ้าควบคุม อีกทั้งความทรงจำของเขาเป็นความว่างเปล่า บนบันทึกเวียนว่ายตายเกิดต้องไม่มีบันทึกไว้ ดังนั้นถึงหาวัฏสงสารได้ก็ไม่พบที่มาของเขา”


“แต่นี่ก็เป็นจุดที่ข้าสงสัย แต่เดิมข้าเข้าใจว่าความทรงจำของเขาแค่ขาดหายไปธรรมดาเท่านั้น แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่เสียแล้ว”


“ถ้าเช่นนั้น ความทรงจำของเขาหายไปได้อย่างไร?” ซ่างกวนสุ่นถาม


นี่ก็เป็นคำถามที่มู่จิ่วกระหายรู้


ลู่ยาหยักนิ้วทำท่าสัญลักษณ์ เดินไปสองก้าวก่อนพูด “มีวิชาบางประเภทสามารถทำแบบนี้ได้ แต่วิชาแบบนี้เทียบกับการทำลายจิตต้นกำเนิดแล้วยุ่งยากกว่า นอกจากพลังบำเพ็ญต้องสูงถึงขั้นหนึ่ง สำคัญที่สุดคือยังต้องใช้เลือดหัวใจ และถึงขนาดทำลายความทรงจำของอาฝู ก็แทบต้องใช้เลือดหัวใจมากกว่าหมื่นปีค่อยๆ ถักทอเป็นม่านขาวขึ้นมา จากนั้นผนึกความทรงจำทั้งหมดไว้”


ร้ายแรงขนาดนี้?


มู่จิ่วเงียบ “ใครเคียดแค้นอาฝูขนาดนี้?”


“ไม่จำเป็นต้องเป็นความแค้น” ลู่ยาพูดอีก “เพราะการทำแบบนี้ คนที่ใช้วิชาจะได้รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวง เลือดหัวใจเป็นตัวชักนำการเข้าออกของพลังฤทธิ์ เมื่อใช้เลือดหัวใจที่สะสมพลังมากกว่าหมื่นปีไป เกือบจะเทียบเท่ากับการทำลายพลังบำเพ็ญไปหลายหมื่นปี ดังนั้นหากคนนี้มีความแค้นกับอาฝู สังหารเขาไปเลยยังง่ายกว่ามาก”


ทุกคนนิ่งอึ้ง


ไม่ใช่คู่แค้น แบบนั้นเป็นใคร? ใครที่ใช้เลือดหัวใจมากขนาดนั้นเพื่อทำให้อาฝูเป็นแบบนี้?


เขาทำไปเพื่ออะไร?


“ไม่สามารถทำลายวิชานี้ได้หรือ?” มู่จิ่วถาม


“ไม่ว่าวิชาใดย่อมมีทางแก้ แต่ต้องดูเงื่อนไขในการแก้ก่อน” ลู่ยากอดอกกล่าว “วิชาที่ใช้เลือดหัวใจทุกวิชาล้วนเป็นวิชาที่พิเศษมาก และถูกคนใช้วิชาควบคุมความคิด ถึงแม้ข้ามีหนทาง แต่หากดึงดันแก้วิชาโดยที่ยังหาตัวคนใช้ไม่เจอ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะพังพินาศทั้งหมด”


มู่จิ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “แบบนั้นข้าไปสืบหาก่อนว่าอาฝูขึ้นเกี้ยวฉางเอ๋อร์ไปเมื่อไหร่ แล้วค่อยว่ากันเถิด ทำได้เพียงดูก่อนว่าวันนั้นนางไปที่ไหนมาบ้าง จากนั้นพวกเราค่อยสืบหาเบาะแส ดูว่าสามารถหาอะไรเจอบ้างหรือไม่”


ตอนนี้สองเรื่องรวมกันเป็นหนึ่งเดียวแล้ว ซื่ออินต้องการตามหาเหลียงจี ส่วนอาฝูอาจเป็นลูกของซื่ออินกับเหลียงจี เหลียงจีหายตัวไปนานขนาดนี้และคลอดอาฝูออกมา หนำซ้ำความทรงจำของอาฝูยังหายไปเมื่อปีก่อน หากตามหาความทรงจำของอาฝูกลับมาได้ ไม่แน่ว่าอาจจะตามหาเหลียงจีเจอด้วย


นางพูดกับซื่ออิน “ข้าไปแบบนี้เกรงว่าฉางเอ๋อร์จะไม่สนใจข้า มิสู้เจ้ารั้งรออยู่ที่นี่ก่อน”


ซื่ออินพยักหน้า เอ่ยว่าลำบากท่านแล้ว


ในความเป็นจริง ตั้งแต่คิดว่าอาฝูมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นลูกชายของเขากับเหลียงจี เขาก็ล้มเลิกความคิดที่จะจากไปแล้ว หากอาฝูเป็นลูกของเขาที่เหลียงจีให้กำเนิดตอนอยู่ข้างนอก แบบนั้นอาฝูก็เป็นเบาะแสเดียวในการตามหานาง การคลี่คลายความลับของอาฝูทำได้เพียงอาศัยลู่ยา ตอนนี้มีเขาอยู่ที่นี่ ซื่ออินยังต้องไปทำไมอีก?


มู่จิ่วไม่กล้าชักช้า รีบพาอาฝูไปยังหน่วยทันที


ทางที่ดีที่สุดในการไปกราบไหว้ฉางเอ๋อร์คือไปอย่างเป็นทางการจะสะดวกกว่า อันที่จริงฉางเอ๋อร์ก็เป็นเทพพิทักษ์ทิศหนึ่ง จะพบมู่จิ่วที่เป็นคนไร้ตัวตนง่ายๆ หรือ? อีกอย่างประวัติความเป็นมาของอาฝูก็เป็นคดีที่ยังไม่คลี่คลาย ทำให้ทัพทหารสวรรค์ปวดหัวมาตลอด ตามหาคนที่บ้านแทนอาฝูก็เป็นความรับผิดชอบที่พวกเขาอยากทำให้สำเร็จ เรื่องนี้อาศัยชื่อของทัพทหารสวรรค์ไปตามหาหลักฐานจึงเป็นวิธีที่รัดกุมที่สุด


ครั้นมาถึงหน้าบ้านของหลิวจวิ้น แค่เขาเห็นนางก็ปวดหัวมากแล้ว


ทุกครั้งที่นางมาล้วนไม่มีเรื่องดี เขาไม่อยากเห็นหน้านางในหน่วยแล้วจริงๆ


แต่เมื่อมู่จิ่วพูดถึงเหตุผลที่มา เขาก็ตกใจ “องค์ชายอาณาจักรโหย่วเจียงก็ถูกเจ้าเก็บกลับมา?”


“ไม่ผิด เขาอยู่ที่บ้านข้าเจ้าค่ะ” มู่จิ่วตอบ “ตอนนี้สงสัยว่าอาฝูคือลูกของเขากับคู่หมั้น เพื่อสืบหาข้อเท็จจริงต้องไปขอหลักฐานที่วังเหมันต์จันทราจากเซียนฉางเอ๋อร์”


หลิวจวิ้นขบคิดก่อนถาม “เจ้าวางแผนจะไปอย่างไร?”


มู่จิ่วงุนงง “แน่นอนว่ามาขอคำอนุญาตจากท่านก็จะไปแล้ว!” ยังมีวิธีอื่นด้วยหรือ?


หลิวจวิ้นถลึงตาใส่นาง หยิบบันทึกเล่มหนึ่งขึ้นมาจากกองบนโต๊ะ โยนให้นางก่อนเอ่ย “ลงทะเบียนไว้ บันทึกคดีก่อนค่อยไป!”


มู่จิ่วมองบันทึกนี้ มันเป็นสมุดลงทะเบียนทำคดี ตอนนี้จึงเข้าใจความหมายของเขา เขากำลังเมตตาช่วยนาง หากนางคลี่คลายคดีได้ มิใช่เป็นการสะสมบุญกุศลอีกเรื่องหรือ?


แต่ทำไมอยู่ๆ เขาถึงได้ใส่ใจนางเช่นนี้?


แน่นอนว่าแต่ก่อนเขาก็ไม่เลวนัก แต่เรื่องนี้ถึงแม้ไม่บันทึกคดีไว้นางก็จะไปทำอยู่ดี


อีกอย่างตอนแรกเขาเตะอาฝูมาให้นาง มิใช่หมายถึงให้นางรับผิดชอบเขาหรือไร?


นางกลอกตาไปสองรอบ เข้าไปถามใกล้ๆ “หรือใต้เท้ามีเรื่องให้ข้าทำ?”


หลิวจวิ้นทำหน้าตึง “เจ้ามองข้าเป็นคนอย่างไร?!”


มู่จิ่วยิ้มแต่ไม่ตอบ ถึงแม้หลิวจวิ้นจะเป็นชายหยาบกระด้าง ไม่ใช่คนที่มากเล่ห์อะไร แต่ก็ซับซ้อนไม่น้อย อย่าคิดว่านางไม่รู้


หลิวจวิ้นถลึงตาใส่นางอย่างที่คิดไว้ จากนั้นเหลือบมองไปนอกประตู กดเสียงเอ่ย “เจ้าทำธุระเสร็จแล้ว ช่วยไปที่ศาลเจ้าลั่วเสินสักหน่อย”


ศาลเจ้าลั่วเสินอีกแล้ว?


ใจอยากนินทาของมู่จิ่วถาโถมขึ้นมา “ใต้เท้า หรือท่านสนิทสนมกับลั่วเสินเหนียงเหนียง?”


“ถามมากขนาดนั้นไปทำอะไร?! รีบไปทำงาน!” หลิวจวิ้นพลันกลายเป็นวัวบ้าอีกที ร้องคำรามอยู่เหนือหัวนาง


มู่จิ่วออกนอกประตูไปกับอาฝูรวดเร็วราวกับควัน กลับมาห้องทำงานก็หยิบป้าย จากนั้นมุ่งไปยังวังเหมันต์จันทรา


……………………………………………………


บทที่ 250 สิ่งไหนจริงสิ่งไหนเท็จ?

โดย

Ink Stone_Romance

ก่อนที่มู่จิ่วจะขึ้นมาบนสวรรค์ ดวงจันทร์ในความทรงจำนั้นเป็นทรงกลม และวังเหมันต์จันทราก็เป็นวังประหลาดหลังหนึ่งที่สร้างอยู่บนดวงจันทร์ ทั้งยังเต็มไปด้วยสิ่งของบิดเบี้ยวและเหลี่ยมมุมประหลาด


แต่ดวงจันทร์กลับไม่เหมือนที่นางจินตนาการไว้ มันเล็กจนแม้แต่ส่วนโค้งยังโค้งมาก อยู่ห่างจากสวรรค์สี่ห้าพันลี้ ถึงแม้ขี่เมฆมาแล้วรู้สึกใกล้ แต่มองจากบนสวรรค์กลับรู้สึกไกล


ในความเป็นจริงตลอดทางรายล้อมไปด้วยเมฆหมอก จึงมองไม่ออกว่าแท้จริงแล้วมีพื้นที่กว้างใหญ่เท่าไหร่ สรุปคือยังคงนางเข้าซุ้มประตูไปก่อน ซุ้มประตูตั้งตรง ไม่ต่างกับที่นางเห็นจากที่อื่น หลังจากเข้าสู่ประตูก็ข้ามทะเลเมฆไม่รู้ว่ากว้างเท่าไหร่ ถึงได้เห็นกลุ่มวังที่อบอวลไปด้วยไอเซียน


มุมมองทิวทัศน์ของกลุ่มวังเป็นปกติ ต้นกุ้ยฮวาต้นใหญ่หน้าประตูวังเติบโตมานาน แม้รูปร่างงดงามอ่อนช้อย แต่ยังเจริญงอกงามอยู่


วันนี้อู๋กางไม่ได้ตัดต้นกุ้ยฮวา แน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้ตัดต้นกุ้ยฮวาทุกวัน เขาเป็นนายพลออารักขาวังเหมันต์จันทรา เชี่ยวชาญการใช้ขวานตัดเซียน ตามคำบอกเล่า เขาให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของฉางเอ๋อร์อย่างมาก ดังนั้นตอนนี้มู่จิ่วจึงรู้สึกว่า ตอนที่ผู้คนจินตนาการไปว่าเขาตัดต้นกุ้ยฮวาทุกวัน ที่จริงไม่แน่ว่าอาจจะตัดพวกที่แอบมายลความงามของฉางเอ๋อร์ก็เป็นได้


แต่ก่อนฉางเอ๋อร์กับต้าอี้เป็นสามีภรรยากัน ภายหลังแอบขโมยกินยาวิเศษของซีหวังหมู่เพื่อเลื่อนขึ้นเป็นเซียน เรื่องนี้ไม่มีใครไม่รู้ ส่วนอู๋กางทำผิดหลังจากนั้น ถูกส่งมาปฏิบัติหน้าที่ที่วังเหมันต์จันทรา เรื่องราวซุบซิบในสวรรค์เกี่ยวกับสองคนนี้ก็มีมากจนนับไม่ไหว แต่มู่จิ่วกลับคิดว่าฉางเอ๋อร์ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น อันที่จริงนางไม่เคยถูกกักขัง หากอยากหาคู่ครองอีกครั้ง ก็สามารถทำได้ตามใจปรารถนา


แต่วังเหมันต์จันทราที่สงบและเย็นแห่งนี้ กลับไม่ได้มีเพียงนางกับอู๋กางสองคนเท่านั้น ที่นี่ก็เหมือนกับวังเซียนที่อื่น มีเซียนหญิงรับใช้ไม่น้อย อีกทั้งล้วนสวยงามอ่อนโยนนัก


มู่จิ่วพูดถึงสาเหตุการมากับเซียนหญิงรับใช้ที่มารับตรงหน้า เซียนหญิงรับใช้ค่อยพานางเข้าประตูวังไป


มู่จิ่วไม่เคยเห็นอู๋กางมาก่อน บางทีในใจอาจยังแอบซ่อนความอยากรู้ไว้ จึงอยากเห็นชายในคำร่ำลือว่าที่จริงหน้าตาเป็นอย่างไร


เดินมาไกลพอสมควร ผ่านรั้วหยกและแปลงดอกไม้มากมาย สุดท้ายก็มาถึงศาลาริมน้ำวิจิตรงดงาม


ศาลาริมน้ำสร้างอยู่ใจกลางทะเลสาบ ทั้งทะเลสาบถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกหนาบางไม่เท่ากัน ดอกบัวสีม่วงและสะพานหยกขาวเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ท่ามกลางเมฆหมอก ในศาลาสลักจากหยกขาว มีคนผู้หนึ่งกำลังเอนพิงรั้วมองผืนน้ำ รูปร่างที่งดงาม มวยผมสูง ทำให้คนที่เห็นเพียงแผ่นหลังก็ตระหนักได้ถึงความงามของนาง


กระต่ายขาวงดงามดุจหิมะตัวหนึ่งหมอบอยู่ข้างกายนาง ตอนเห็นมู่จิ่วมันเงยหน้าขึ้นมา ปีกจมูกขยับฟุดฟิดเล็กน้อย จากนั้นเมื่อเห็นอาฝูข้างเท้ามู่จิ่ว หูของกระต่ายพลันตั้งขึ้นมา ก่อนมันจะลนลานไปอยู่หน้าผู้เป็นนาย!


“โฮก! โฮกกก…”


ไม่รู้อาฝูเห็นมันเป็นเหยื่อหรืออยากแสดงพลัง จึงพลันร้อนรนกระวนกระวาย


มู่จิ่วรีบจับหลังอาฝูไว้ ค้อมเอวทำความเคารพฉางเอ๋อร์ “พลลาดตระเวนกัวมู่จิ่ว เข้าพบเซียนฉางเอ๋อร์”


เซียนหญิงที่เอนตัวอยู่หันมา ใบหน้าที่เหมือนรวมความงามเพริศพริ้งทั้งหมดบนโลกไว้ปรากฏอยู่ตรงหน้า ทั้งศาลาสลักหยกขาวนี้ ดอกบัวม่วงที่ลอยบนผิวน้ำ ทั้งหมดล้วนหมดสีสันไปเมื่ออยู่ต่อหน้าใบหน้านี้ ทำให้คนเห็นแค่เพียงนางเท่านั้น ทั้งฟ้าดินก็เห็นเพียงนางเท่านั้น!


มู่จิ่วคิดว่าวันนี้ถึงแม้ทำอะไรไม่สำเร็จก็เต็มอิ่มกับอาหารตาแล้ว กำลังคิดว่าจะมองสำรวจนางโดยไม่ให้เสียมารยาท แต่เมื่อเห็นดอกโบตั๋นสองดอกบนศีรษะนาง มู่จิ่วก็พลันตกตะลึง!


ดอกโบตั๋นนี้คุ้นตาเกินไปแล้ว ประดับไว้เหมือนกับเซียนหญิงที่เห็นวันนั้นตอนสะกดรอยอวี้ตี้ในโลกมนุษย์ไม่ผิดเพี้ยน!


มู่จิ่วพลันรู้สึกเย็นยะเยือก นึกถึงรูปร่างเย้ายวนของนางที่เห็นเมื่อครู่ ในสมองส่งเสียงหึ่งหึ่งออกมาทันใด! รูปร่างแบบนี้ไม่น่าเป็นใครอื่นได้อีก คนอื่นก็ไม่คู่ควรให้อวี้ตี้ลดตัวลงมา เลี่ยงไปนัดพบที่โลกมนุษย์และเสี่ยงถูกหวังหมู่เจอเข้า


มิน่าหวังหมู่ถึงต้องส่งคนไปจับตาดูอวี้ตี้ ที่แท้คนที่อวี้ตี้ต้องตาคือฉางเอ๋อร์ผู้เย็นชาสูงส่ง!


ที่แท้เซียนหญิงที่ทำให้อวี้ตี้แอบไปลอบพบที่โลกมนุษย์ก็คือฉางเอ๋อร์!


ตอนนี้นางรู้แจ้งแล้ว พริบตาเดียวก็เข้าใจความคิดของหวังหมู่


ฉางเอ๋อร์เป็นตัวแทนของความงามในหกภพนี้ หวังหมู่คร้านจะใส่ใจอวี้ตี้ที่มีภรรยารองหลายคน แต่หากเขาต้องตาฉางเอ๋อร์ นี่ก็ทำให้หวังหมู่ที่มีอำนาจในมืออิจฉาตาร้อนได้!


“แม่นางกัว ท่านเซียนถามท่านอยู่”


ฟากนางกำลังตกตะลึง เซียนหญิงรับใช้ด้านข้างก็อดขัดจังหวะนางไม่ได้


มู่จิ่วรีบกล่าว “ขออภัย เสียมารยาทแล้ว รูปร่างหน้าตาของท่านเซียนงามเหนือฟ้าดินจริงๆ ถึงแม้ข้าเป็นหญิง ยังรู้สึกละอายตนเองโดยแท้”


ตอนนี้ไม่อาจสนใจเรื่องฉันชู้สาวของฉางเอ๋อร์ได้ มู่จิ่วควรทำเรื่องที่ตั้งใจไว้ให้สำเร็จก่อน


ฉางเอ๋อร์กลับพูดด้วยง่ายมาก บางทีนางอาจจะเจอคนเซ่อซ่าแบบนี้จนชิน ดังนั้นจึงพูดอย่างอ่อนโยน “ไม่เป็นไร ได้ยินว่าเจ้ามีธุระถึงได้มา ไม่รู้มีเรื่องอะไรที่สามารถช่วยเจ้าได้บ้าง”


เสียงของนางเหมือนไข่มุกตกลงบนถาดหยก อ่อนโยนอย่างมาก ไพเราะยิ่งนัก


มู่จิ่วรีบนำอาฝูเข้าไปใกล้ ก่อนถาม “ไม่รู้ท่านเซียนจำเขาได้หรือไม่?”


ฉางเอ๋อร์มองอาฝู คิ้วขมวดเล็กน้อย แล้วพลันถามกลับ “หรือนี่จะเป็นเสือขาวที่ขึ้นเกี้ยวหยกเข้าสวรรค์มาพร้อมข้า?”


“ใช่แล้วเจ้าค่ะ” มู่จิ่วพยักหน้า “ตอนนี้เขาชื่ออาฝู ข้ากำลังตามหาคนในครอบครัวเขาอยู่ ตอนนี้เจอเบาะแสเข้าพอดี จึงตั้งใจมาถามท่านเซียนโดยเฉพาะ วันนั้นก่อนท่านเซียนมาสวรรค์ ไม่ทราบว่าไปที่ไหนมา? รบกวนท่านเซียนบอกกล่าว พวกเราก็จะได้เบาะแสไปสืบค้น”


สีหน้าของฉางเอ๋อร์บึ้งตึงเล็กน้อย เนิ่นนานกว่าจะตอบ “ข้าไม่ได้ไปที่อื่น วันนั้นองค์หญิงสามเชิญข้าเป็นแขก ออกจากวังเหมันต์จันทรา ข้าก็ตรงไปสวรรค์เลย”


มู่จิ่วขมวดคิ้ว “แบบนั้นก็ประหลาดแล้ว ตลอดทางจากวังเหมันต์จันทราถึงสวรรค์เป็นทะเลเมฆ ในเมื่อไม่มีทิวเขาเซียนและไม่มีที่พำนักเซียน อาฝูก็ไม่มีทางขึ้นสวรรค์มาคนเดียวได้ แม้แต่ที่หยุดพักก็ยังไม่มี เขาจะปีนขึ้นมาบนเกี้ยวหยกได้อย่างไร?”


ลมหายใจของฉางเอ๋อร์ไม่มั่นคงเล็กน้อย นางประสานมือมองพื้นสักครู่ ก่อนเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยกับนาง “ข้าก็ไม่รู้ บางทีเจ้าควรรอให้เขาเปิดปากพูดก่อนค่อยถามเขาจะดีกว่า”


มู่จิ่วรู้สึกว่านางกำลังโกหก และเดาว่าเหตุผลเดียวที่ทำให้ฉางเอ๋อร์โกหกต้องเกี่ยวข้องกับอวี้ตี้!


นางสำรวมท่าที ถามอีกว่า “ไม่รู้วันนั้นเซียนหญิงรับใช้คนไหนติดตามท่านเซียนออกจากสวรรค์? ข้าพานางกลับทัพทหารสวรรค์ไปเป็นพยานได้หรือไม่?”


ฉางเอ๋อร์ยืนขึ้นมา “หรือเจ้าไม่เชื่อคำพูดของข้า?”


อกของนางกระเพื่อมขึ้นลงเล็กน้อย สีหน้าก็แดงอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ริมฝีปากเม้มแน่นเหมือนสาวน้อยที่กำลังโกรธมาก


ทำให้มู่จิ่วประหลาดใจอยู่บ้าง นางคิดไม่ถึงว่าฉางเอ๋อร์ที่ปีนั้นทอดทิ้งสามีขึ้นมาเป็นเซียนคนเดียวจะเป็นเด็กสาวที่ไม่รู้จักข่มอารมณ์เช่นนี้ ฉางเอ๋อร์ไม่เพียงไม่รู้จักเอ่ยคำร้ายกาจกับการซักถามของมู่จิ่ว แม้แต่ปฏิเสธก็พูดได้ไร้อำนาจ ไหนเลยจะเป็นหญิงใจทรามที่เจนจัด ชัดเจนว่าเป็นสาวน้อยที่ขาดประสบการณ์!


หญิงสาวแบบนี้ เป็นเซียนหญิงที่ดึงความสนใจของอวี้ตี้ไว้ได้จริงหรือ?


…………………………………………


บทที่ 251 ไหวพริบพลันปรากฎ

โดย

Ink Stone_Romance

ถึงแม้มู่จิ่วรู้ว่าในใจหวังหมู่มองฉางเอ๋อร์เป็นมือที่สามไปแล้ว แต่ตอนนี้ไม่มีความคิดจะนำนางมาเทียบกับอวิ๋นเฉี่ยน


“ท่านเซียนมีเรื่องลำบากใจจะพูดหรือไม่?”


มู่จิ่วทำได้เพียงถามต่อ ไม่รู้ว่านางทำแบบนี้เป็นการได้คืบเอาศอกหรือไม่


“ไม่มี”


ฉางเอ๋อร์เบือนหน้าไปมองทางอื่น ไม่พูดอะไรมากอีก ก้าวเท้าออกจากศาลาไป


กระต่ายหยกรีบกระโดดตามออกไป มู่จิ่วสบโอกาส เคลื่อนตัวเข้าไปอุ้มมันขึ้นมา จากนั้นวิ่งตามฉางเอ๋อร์เพื่อส่งกระต่ายคืนให้นาง “ท่านเซียนทิ้งมันไว้ รบกวนท่านแล้ว มู่จิ่วขอโทษจากใจจริง ขอลาก่อน”


ฉางเอ๋อร์พยักหน้าอย่างมึนงง ก่อนเดินหน้าต่อไป


มู่จิ่วมองขนกระต่ายในมือ ตบๆ หัวอาฝูอย่างดีใจหนึ่งที “พวกเราก็ไปกันเถอะ!”


กระต่ายหยกกับฉางเอ๋อร์ตัวติดกัน สถานที่ที่นางไปกระต่ายหยกก็ต้องไปด้วย! ตอนอุ้มกระต่ายเมื่อครู่ นางดึงขนออกมากระจุกหนึ่ง นางเพียงนำไปให้ลู่ยาดึงความทรงจำของกระต่ายหยกออกมา ก็มิเท่ากับเป็นการดูความทรงจำของฉางเอ๋อร์หรอกหรือ?


กลับถึงสวรรค์ก็ยามบ่ายแล้ว


มู่จิ่วรับคดีใหม่นี้มา จึงไม่กลับไปที่หน่วยแล้ว


รุ่ยเจี๋ยกับเสี่ยวซิงกำลังตากถั่ว จากนั้นเอาไปทำถั่วต้มเกลือไว้ให้เขากับอาฝูสองคนใช้ขัดฟัน ในอ่างน้ำที่ตั้งอยู่ข้างรุ่ยเจี๋ยมีปลาสองตัว ตอนเช้ามู่จิ่วสั่งให้เขาตามเสี่ยวซิงไปซื้อให้อาจารย์ เด็กคนนี้ซื่อตรงอย่างมาก กลัวว่าปลาจะกระโดดหนีไปจนไม่สามารถส่งงานที่มอบหมายได้ จึงจับมันใส่ในอ่างน้ำเอาไว้ข้างกายตลอด


มู่จิ่วเข้าประตูมาก็ล้างมือก่อน ได้ยินว่าซื่ออินอยู่ห้องลู่ยา จึงรีบพาอาฝูไปห้องนั้น


ตอนนี้ลู่ยากำลังเขียนคัมภีร์ บนโต๊ะมีชาที่เข้มข้นพอดีวางอยู่ ซื่ออินยืนอยู่บนพื้นอย่างเคารพพลางฝนหมึกให้เขา เป็นองค์ชายแห่งเผ่าพันธ์ุเสือขาว แต่ต่อหน้าลู่ยาก็เป็นเพียงคนรุ่นเยาว์ที่แหงนหน้ามองบุคคลที่ตนชื่นชมเท่านั้น


“ข้ากลับมาแล้ว!”


มู่จิ่วพุ่งเข้าประตูมาถึงตรงหน้าลู่ยา ส่วนอาฝูก็เหมือนกับดาวตกตรงเข้าไปหมอบอยู่ตรงเท้าซื่ออิน


ลู่ยาใช้พู่กันปัดจมูกนาง เขียนตัวอักษรที่เหลืออยู่อีกสองตัวก่อนหยุด ส่วนซื่ออินนั่งยองลงไปลูบหัวอาฝู ราวกับเขารออาฝูมานานแล้ว ความอ่อนโยนเอ็นดูในดวงตานั้นคล้ายต้องการหลอมละลายอาฝู


“ข้าเอาขนกระต่ายกลับมากระจุกหนึ่ง!” มู่จิ่วเอาขนกระต่ายที่ห่อไว้ในกระเป๋าเล็กออกมา “ฉางเอ๋อร์ไม่ยอมบอกว่าวันนั้นนางไปไหน ข้าจึงดึงขนกระต่ายของนางออกมา”


นางเล่าเรื่องที่ผ่านมาให้พวกเขาฟังจนจบ แต่ละเรื่องที่ฉางเอ๋อร์ไปเจออวี้ตี้ไว้เพราะซื่ออินอยู่ด้วย


ลู่ยาก็ไม่พูดมากความ หยิบกระจกทองแดงออกมา วางขนกระต่ายไว้ข้างใต้ จากนั้นยื่นมือไปสะบัดผ่านเหนือกระจก ในกระจกค่อยๆ ปรากฏวังอันสวยงามหลังหนึ่งขึ้นมา นั่นคือวังเหมันต์จันทรา แต่เบื้องหน้าส่วนใหญ่เป็นกระต่ายหยกเดินเล่นเป็นเพื่อนฉางเอ๋อร์ เห็นผู้คนหลากหลาย บทสนทนาก็เข้าหูมาไม่ขาดสาย


เห็นได้ชัดว่ามันพอใจกับชีวิตกระต่ายของตนเองมาก เพราะภาพตลอดทางบางเบาและขาวโพลน ไม่เห็นใบหน้าของคนบางกลุ่ม และก็ฟังไม่ออกว่าพูดอะไรบ้าง กระทั่งบางส่วนยังขมุกขมัว นี่แสดงว่ามันไม่ใส่ใจเรื่องคนเหล่านี้ ไม่ใส่ใจอะไรทั้งนั้น


ลู่ยาพลิกไปยังช่วงเร็วๆ นี้ เมื่อเข้าใกล้ส่วนท้าย ในที่สุดก็ปรากฏภาพที่ชัดเจน ในภาพเป็นทิวเขา ภูเขาป่าเขียวขจี สายน้ำครามทอดยาว รอบด้านมีดอกไม้อุดมสมบูรณ์ สำคัญคือยังมีกระต่ายตัวผู้มากมาย…


ภาพยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง กลุ่มกระต่ายเล่นกันอยู่บนทุ่งหญ้า กระต่ายตัวผู้ในภูเขาเห็นกระต่ายหยกก็รู้สึกแปลกใหม่อย่างมาก ไม่รู้ว่ามีสาวน้อยจากในเมืองโผล่มาจากไหน ล้อมนางมองซ้ายมองขวา ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่กล้าเข้าใกล้ สุดท้ายกระต่ายหยกรู้สึกว่าไม่น่าสนใจแล้ว จึงค่อยสะบัดก้นกระโดดกลับไปที่เดิม


ภาพเปลี่ยนไปครั้งนี้ กลับเห็นฉางเอ๋อร์หยุดอยู่ตรงหน้าเกี้ยวหยกตรงป่าเขา และมีคนอีกคนหนึ่ง รูปร่างผอมบาง สวมเกราะเงิน ประดับปิ่นมังกรคู่บนหัว สวมรองเท้ากิเลนพื้นดำ มองอย่างละเอียดคนคนนี้มีคิ้วกระบี่ตาเป็นประกาย สง่างามมีพละกำลัง ทว่ากลับไม่ใช่อวี้ตี้!


มู่จิ่วตกตะลึง ชัดเจนว่าฉางเอ๋อร์ลอบนัดพบกับอวี้ตี้ ทำไมตอนนี้ถึงนัดพบกับชายอื่นล่ะ?!


“นี่คืออู๋กาง” ลู่ยาพูด “พวกเขาเหมือนกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่”


อู๋กาง? นี่คืออู๋กาง


นางยังเข้าใจว่าอู๋กางที่ถือขวานใหญ่เป็นชายหยาบร่างกายสูงใหญ่!


ในภาพพวกเขาสองคนกำลังหารือเรื่องอะไรอยู่แน่นอน ไม่เหมือนท่าทางมาลอบนัดพบ เห็นเพียงฉางเอ๋อร์มองบนภูเขาไปพลาง ขมวดคิ้วแน่นไปพลาง แต่อู๋กางชี้ไปรอบทิวเขา ปากกำลังพูดอยู่ แต่เพราะกระต่ายไม่สนใจเลยว่าพวกเขาทำสิ่งใด ดังนั้นพวกเขาพูดอะไรก็ได้ยินไม่ชัด


มู่จิ่วกำลังคิดจะถามว่าพวกเขากำลังทำอะไร ตอนนี้เอง เงาร่างสีขาวพลันกลิ้งลงจากเกี้ยวหยกบนเขานั้น เหมือนกับก้อนหิมะกลิ้งตรงลงมาข้างล่าง สุดท้ายมาหยุดอยู่หน้ากระต่ายหยก กระต่ายหยกตกใจหมุนตัววิ่งไป! วิ่งไปสักพักถึงหันหัวกลับมา เห็นเสือขาวน้อยขนาดเพียงสองฉื่อลุกขึ้นมาจากพื้นหญ้า สะบัดหญ้าบนตัว แล้วจึงมองไปรอบด้านอย่างว่างเปล่า…


“อาฝู!”


คนทั้งหลายในห้องร้องขึ้นมา อาฝูที่หมอบอยู่ใต้เท้าซื่ออินยันขาหน้าขึ้นมาทันที เมื่อมองภาพนี้ สายตาก็ค่อยๆ แข็งเกร็ง!


ภาพเคลื่อนไปข้างหน้า กระต่ายหยกที่ตกใจกระโดดขึ้นไปบนเกี้ยวหยก อาฝูก้มหัวมองมันอยู่ครู่หนึ่ง พลันยกอุ้งเท้าขึ้นคิดจะปีนขึ้นไป แต่ร่างกายเขาสั้นและอ้วนเกินไปจึงปีนไม่ขึ้น สุดท้ายทำได้เพียงเข้าไปหมอบในช่องว่างใต้ห้องโดยสาร!


“มิน่าเมื่อครู่ที่วังเหมันต์จันทรา อาฝูถึงเห็นกระต่ายหยกแล้วตื่นเต้นขนาดนั้น!”


มู่จิ่วหลุดปากพูด อาฝูกับกระต่ายหยกเคยเจอกันมาก่อน ปฏิกิริยาของทั้งสองค่อนข้างรุนแรง ตอนนั้นนางยังเข้าใจว่าพวกเขาคือศัตรูกันตามธรรมชาติ ที่แท้พวกเขาทั้งสองเคยพบกันมาก่อน!


ซื่ออินกอดคออาฝู ลูบหน้าเขา


กระต่ายหยกบนเกี้ยวเต็มไปด้วยความตื่นกลัวและตื่นตัว


จากนั้นเกี้ยวนี้ก็มุ่งตรงไปสวรรค์!


ถึงตรงนี้ เหตุที่อาฝูเข้ามาในสวรรค์จึงกระจ่างแจ้งแล้ว แบบนี้เบาะแสที่ใกล้ที่สุดคือภูเขาที่ฉางเอ๋อร์กับอู๋กางไปมาก่อน


กระบอกตาของซื่ออินแดงนานแล้ว ตอนนี้ถึงแม้ยังไม่ได้รับการยืนยันว่าสุดท้ายแล้วอาฝูคือลูกของเขาหรือไม่ แต่ใจของเขากลับยอมรับแล้ว และหลายวันนี้เบาะแสที่ได้มาเปลี่ยนจากไม่มีอะไรเลยกลายเป็นมี ร่องรอยสามารถติดตามได้ ทุกเบาะแสที่ได้มาล้วนเป็นก้าวย่างที่ยิ่งใหญ่! ใจของเขาพลันสงบลงไม่ได้ ชั่วพริบตาเดียว ความกังวลกลับกลายเป็นความหวัง


มู่จิ่วก็ดีใจมาก “นี่คือที่ไหน? อาฝูปรากฏตัวที่นี่ บางทีพวกเราอาจไปดูได้!”


“ที่นี่คือภูเขาจิตอสุนีบาตทางถิ่นทุรกันดารเหนือ” ลู่ยาพูด “ภูเขาจิตอสุนีบาตเป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างถิ่นทุรกันดารทางเหนือกับโลกภายนอก นับว่าเป็นเส้นขวางกั้น ทางทิศใต้สวยงาม ทางทิศเหนือรกร้างกันดาร จุดที่พวกเขาอยู่น่าจะเป็นทางใต้”


“ภูเขาจิตอสุนีบาต?” มู่จิ่วขมวดคิ้วครุ่นคิด “ชื่อนี้คุ้นหูนัก”


ซื่ออินพูด “หากเรียกภูเขาจิตอสุนีบาตเจ้าอาจไม่รู้ แต่หากพูดว่าเป็นคลื่นจิตพสุธา บางทีเจ้าคงเคยได้ยินมาบ้าง”


………………………………………


บทที่ 252 ใจที่มั่นคง

โดย

Ink Stone_Romance

คลื่นจิตพสุธา?


มู่จิ่วตะลึงดังคาด คำพูดที่หลิวหยางเคยเอ่ยลอยขึ้นมา


แต่กาลก่อนปฐมวิญญาณฟื้นขึ้นมาในความวุ่นวายสับสน ส่งผานกู่ไปใช้ขวานเบิกฟ้าผ่าพิภพ เพื่อปลดปล่อยคลื่นลมที่ไม่ดีออกไป ปฐมวิญญาณทิ้งหลุมน้ำวนไว้บนฟ้าและบนดินที่ละหนึ่ง น้ำวนบนฟ้าเรียกว่าวิญญาณฟ้า น้ำวนบนดินเรียกว่าคลื่นจิตพสุธา พลังชั่วร้ายของวิญญาณ ปีศาจ และมารสามภพล้วนมาจากคลื่นจิตพสุธา ส่วนมนุษย์เทพเซียนสามภพจะสูดพลังวิญญาณและปรับสมดุลการเพิ่มลดของพลังวิญญาณผ่านวิญญาณฟ้า


คลื่นจิตพสุธาไม่เพียงเป็นสถานที่ที่มีพลังชั่วร้ายเข้มข้นกว่าปรโลก แต่ยังเป็นสถานที่อัปมงคลมากที่สุดในใต้หล้า


ชื่อเต็มของปรโลกคือปรโลกเก้าแดน เป็นสถานที่ดูแลเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดของมนุษย์ปีศาจมารทั้งสามภพ


ปรโลกแบ่งระดับตามบาปที่ทำ ชั้นที่ความดีแข็งแกร่งที่สุดบุญกุศลเต็มเปี่ยมที่สุดอยู่แดนหนึ่ง ถึงแม้คนเหล่านี้จะเป็นเทพไม่ได้ ก็สามารถไปเกิดเป็นกษัตริย์ในยุคสมัยที่ร่มเย็นเป็นสุขได้ ส่วนปีศาจมารที่ชั่วร้ายที่สุดและถึงอายุขัยแล้วอยู่แดนเก้า คนเหล่านี้มาเกิดบนโลกก็ไม่มีสภาพที่ดีอยู่แล้ว ต้องกลับไปเวียนว่ายตายเกิดใช้กรรมอีกหลายหน


ปรโลกในความทรงจำของคนเพียงดูแลจัดการวิญญาณของคนตายเท่านั้น แต่ที่จริงไม่ใช่ ปรโลกจัดการทั้งมารและปีศาจ ปรโลกเก้าแดนอยู่ใต้เมืองเฟิงตู (เมืองผี) เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยเงามืดและความคับแค้นของสามภพ ทั้งมนุษย์ปีศาจมาร ตามคำเล่าลือ ลมที่พัดออกมาจากที่นั่นก็สามารถทำให้คนสั่นได้แม้ในวันที่แดดร้อนจัด


ลมชั่วร้ายที่อยู่ในคลื่นจิตพสุธาเป็นสิ่งที่มีมาแต่กำเนิดก่อนเบิกฟ้าผ่าพิภพ พลังวิญญาณในฟ้าดินตอนนี้ยิ่งแข็งแกร่งขนาดไหน ลมอัปมงคลนี้ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น ภายหลังยิ่งมีพลังร้ายกาจในโลกมนุษย์ด้วย กลัวว่าจะยิ่งหนักหนาขึ้น


มู่จิ่วไม่ได้รู้เรื่องนี้เป็นพิเศษ


แต่คนที่เข้าใจเรื่องนี้ในโลกคงมีไม่มาก ตั้งแต่ปฐมวิญญาณถึงตอนนี้ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีคนไปที่นั่น ไม่เพียงไม่มีใครเคยไปคลื่นจิตพสุธา ตามคำบอกเล่า แม้แต่ภูเขาทัง (สถานที่ที่อาทิตย์ขึ้น) ก็แทบจะไม่มีคนเหยียบเท้าเข้าไปมาก่อน เพราะปีนั้นก่อนปฐมวิญญาณรวมเป็นหนึ่งกับวิถีฟ้า ได้ใช้พลังในร่างตนเองเปลี่ยนเป็นหกวิญญาณผนึกไว้ที่ปากประตู เพียงเข้าใกล้เขตของภูเขาทัง หกวิญญาณก็จะเคลื่อนไหวทันที


“หากเป็นภูเขาจิตอสุนีบาต แบบนั้นชัดเจนว่ายิ่งเชื่อถือได้”


ตอนที่มู่จิ่วกำลังครุ่นคิดอยู่ พวกลู่ยากลับหารือกันต่อแล้ว


เมื่อได้เบาะแสนี้แล้วซื่ออินก็อดใจไม่ไหว อยากไปดูทันที


มู่จิ่วก็คืนสติกลับมาเข้าร่วมวงสนทนา


รู้เหตุการณ์ที่อาฝูขึ้นเกี้ยวหยกของฉางเอ๋อร์แล้ว ตอนนี้นางเต็มไปด้วยความสงสัย ก่อนอื่นเลย ทำไมอาฝูถึงได้ปรากฏตัวที่ภูเขาจิตอสุนีบาต ใครส่งเขาไป? หรือตัวเขาเองใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น? ในเมื่อบริเวณใกล้ๆ ภูเขาจิตอสุนีบาตมีเงื่อนงำประหลาด เช่นนั้นความทรงจำของเขาหายไปเพราะอุบัติเหตุ หรือเกิดจากที่ลู่ยาคาดเดาไว้ว่ามีคนทำ?


นอกจากนั้น ตัวฉางเอ๋อร์ก็ราวกับมีความลับ เรื่องของนางกับเหลียงจีเกี่ยวข้องกันหรือไม่?


“ฉางเอ๋อร์กับอู๋กางไปภูเขาจิตอสุนีบาตไม่เหมือนไปเดินเล่น และเรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรน่าปิดบัง ทำไมนางต้องปฏิเสธว่านางไม่ได้ไปที่ไหนมาก่อนถึงสวรรค์? พวกเขาไปทำอะไรที่นั่น?” ยังไม่ทันที่มู่จิ่วจะถามเรื่องที่สงสัยออกมา ซ่างกวนสุ่นกลับปากไวถามคำถามนี้ขึ้นก่อนแล้ว


“พรุ่งนี้เราไปสำรวจภูเขาจิตอสุนีบาตกันเถิด พวกเราไม่รู้ว่าพวกฉางเอ๋อร์ทำอะไร ก็ไม่จำเป็นต้องดึงดัน หาเบาะแสของอาฝูก่อนค่อยว่ากัน” มู่จิ่วพูดพลางมองท้องฟ้าข้างนอก


ทางทิศเหนือของภูเขาจิตอสุนีบาตคือถิ่นทุรกันดารทางเหนือ อาณาจักรโหย่วเจียงตั้งอยู่ทางตะวันตกของถิ่นทุรกันดารทางเหนือและทางเหนือของภูเขาจิตอสุนีบาต ดูเหมือนจะมีความเกี่ยวข้องกันซ่อนอยู่


ตอนนี้ฟ้าใกล้มืดแล้ว ไปตอนกลางคืนคงไม่สะดวกเหมือนตอนกลางวัน


และนางยังต้องไปรายงานหวังหมู่ที่สวรรค์ หากหวังหมู่รอไม่ได้แล้วลงโทษลงมาก็แย่แล้ว


ทุกคนล้วนไม่มีความเห็น


ลู่ยามองกระจกทองแดงอีก เรื่องราวต่อจากนั้นไม่มีอะไรชัดเจนเป็นพิเศษแล้ว เพียงแค่ช่วงท้ายปรากฏตอนพบอาฝูที่วังเหมันต์จันทราเมื่อครู่เท่านั้น คิดดูแล้วคงเพราะตกใจ ภาพประทับต่อเรื่องนี้จึงลึกซึ้ง


ถึงแม้ซื่ออินจะร้อนใจอย่างมาก แต่ตอนนี้กลับรอได้ เขารอมาห้าร้อยปีแล้ว นับประสาอะไรกับวันสองวัน? อีกอย่างหากไม่ใช่เพราะความโชคดีครั้งนี้ เขาถ่อไปถึงสวรรค์อันสูงส่งก็ไม่แน่ว่าจะโชคดีเชิญลู่ยามาชี้ทางสว่างให้ได้ ตอนนี้มีเขาเป็นผู้นำสืบหา ซื่ออินย่อมวางใจลงได้


เพียงแต่ไม่ว่าเขาอยู่ที่ไหน สายตากลับคอยแต่จะมองตามอาฝู


ราวกับเขามอบความอ่อนโยนและความอดทนให้อาฝูทั้งหมด หวีขนให้เขา อาบน้ำให้เขา ตอนกินข้าวก็ช่วยเขาหยิบกระดูกที่แข็งออก บางทีเขาอาจเป็นพ่อคนหนึ่งที่มีความอดทนที่สุดเท่าที่มู่จิ่วเคยเห็นมา…ถึงแม้ท้ายที่สุดอาจเป็นไปได้ว่าไม่ใช่ แต่ความรู้สึกนี้ของซื่ออินกลับไม่ใช่ของปลอม เขาเพียงมอบความรักของพ่อให้อาฝูก่อน


แต่นี่ก็ทำให้มู่จิ่วกังวลเล็กน้อย เขาทุ่มเทกับภรรยาขนาดนี้ หากสุดท้ายพบว่าอาฝูไม่ใช่ลูกชายของเขา ความหวังของเขาต้องพังทลายลงอีกครั้ง ไม่รู้เขาสามารถแบกรับผลลัพธ์แบบนี้ไหวหรือไม่?


เพื่อไม่ให้ความผิดหวังของเขามากเกินไป มู่จิ่วลังเล นางไปหาเขาที่กำลังนั่งยองมองอาฝูกลิ้งอยู่บนพื้นในลานบ้าน “เรื่องราวยังไม่ชัดเจน อย่างไรเจ้าก็เตรียมใจไว้หน่อยเป็นดีที่สุด”


สีหน้าของซื่ออินไม่ได้เปลี่ยนไปมาก มองอาฝูที่กระโดดโลดเต้นพลางพูด “ในหลายร้อยปีมานี้ข้าผ่านความหวังและความผิดหวังมาหลายครั้ง ไม่ว่าครั้งนี้จะมีผลอย่างไร ข้าล้วนรับได้ทั้งนั้น และจะไม่เปลี่ยนการตัดสินใจ สรุปคือภรรยาของข้าซื่ออินมีเพียงเหลียงจีเท่านั้น ลูกของข้าซื่ออินมีเพียงลูกที่เกิดจากเหลียงจีเท่านั้น”


มู่จิ่วถอนหายใจ


ทั้งดีใจแทนเหลียงจีเช่นกัน


ในขณะเดียวกันก็หวังว่านางจะปรากฏตัวออกมาเร็วหน่อย อย่างไรก็มีสามีที่แม้ตายไปก็ไม่เปลี่ยนแบบนี้ นางไม่ควรหายไปนานนัก


แต่ก่อนนางไม่อาจเข้าใจความรู้สึกแบบนี้ของพวกเขาได้ ทว่าตั้งแต่นางเข้าใจความรู้สึกของลู่ยา สำหรับเรื่องเหล่านี้แล้ว นางมักจะรู้สึกราวกับเคยประสบด้วยตัวเอง


นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำไมนางทุ่มเทขนาดนี้เพื่อช่วยเขา อีกอย่าง นางก็หวังให้อาฝูเป็นลูกของพวกเขา มีพ่อแม่ที่รักกันขนาดนี้ ถึงจะคุ้มค่ากับความลำบากที่อาฝูเคยได้รับมาก่อนหน้า


แต่ถึงแม้ยืนยันได้ว่าอาฝูเป็นลูกของซื่ออินก็ยังไม่พอ อย่างไรก็ยังไม่รู้ที่อยู่ของเหลียงจี


พวกเขามีคนมากขนาดนี้ รวมมหาเทพคนหนึ่งเข้าไปด้วย ทุกคนล้วนไม่รู้ว่านางหายไปได้อย่างไร นางอยู่ที่ไหน สบายดีหรือไม่? ทำไม่ถึงหายตัวไป? เรื่องทั้งหมดนี้ไม่ชัดเจน รู้เพียงนางยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น


หากตามหาคนที่รักไม่เจอ ถึงแม้จะได้ลูกของพวกเขามา สุดท้ายก็กลายเป็นความเจ็บปวดอีกอย่างหนึ่งได้กระมัง?


หากมีวันหนึ่งหาลู่ยาไม่เจอทั้งฟ้าและดิน ทั้งร่างนางอาจจะถูกความคิดถึงแผดเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน


ตั้งแต่เข้าสวรรค์มาจนถึงวันนี้ นางเห็นเรื่องรักๆ เลิกๆ และความขัดแย้งมามาก ความรักของซื่ออินกับเหลียงจีบริสุทธิ์ขนาดนี้ ก็เหมือนกับลมปราณไร้ขอบเขตที่เข้ามาหล่อเลี้ยงหัวใจนาง อย่างน้อยก็ทำให้นางยิ่งเชื่อมากขึ้น ความรักในใต้หล้านี้ไม่จำเป็นต้องซับซ้อนหรือเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม บางทีอาจมีอุปสรรคบ้าง แต่ความมั่นคงของแต่ละฝ่ายก็ทำให้ความรักนี้ยิ่งมีค่า


ตอนพระจันทร์ขึ้น มู่จิ่วนั่งเหม่ออยู่ที่ขอบหน้าต่าง


ลู่ยามาอยู่ข้างนาง วางแขนทั้งสองข้างบนขอบหน้าต่างพลางมองเงาต้นไม้ใต้ระเบียงทางเดิน


“เจ้าคิดอะไรอยู่?”


มู่จิ่วถอนหายใจ เอนหัวซบไหล่เขา ตอบว่า “ข้ากำลังคิดว่าต่อไปจะมีลูกให้เจ้าสักกี่คนดี”


…………………………


บทที่ 253 ความรับผิดชอบของเจ้า

โดย

Ink Stone_Romance

ลู่ยาชะงักเล็กน้อย ยิ้มบางๆ พลางโอบนาง “มีความคิดอะไรหรือไม่?”


“มี” นางพูด “ลูกทุกคนที่เกิดมา ข้าจะให้พวกเขามีกลิ่นอายของข้าคนละส่วน ยิ่งคลอดมากเท่าไหร่ กลิ่นอายของข้าบนร่างพวกเขาก็ยิ่งเข้มข้น ข้าจะสอนให้พวกเขาคนหนึ่งโง่ คนหนึ่งเซ่อซ่า คนหนึ่งซุกซน คนหนึ่งขี้เล่น คนหนึ่งช่วยเจ้าชงชาแทนข้า คนหนึ่งช่วยเจ้าพับเสื้อแทนข้า คนหนึ่งรับความทรงจำทั้งหมดของข้า คนหนึ่งเลียนแบบน้ำเสียงของข้า…วันหนึ่งเมื่อถึงอายุขัยของข้าแล้ว พวกเขาทั้งหมดรวมกัน ไม่มากก็น้อยก็สามารถแทนข้าได้…”


“แต่ไม่อนุญาตให้เจ้าละเลยพวกเขาคนใดคนหนึ่ง ไม่ว่าจะโง่หรือทึ่ม ไม่ว่าจะซุกซนหรือเชื่อฟัง พวกเขาล้วนคือข้า หากเจ้ารังเกียจไม่ชอบข้อด้อยของพวกเขา แบบนั้นก็คือเจ้าชอบข้าไม่พอ”


คางของลู่ยาวางอยู่บนหน้าผากมู่จิ่ว จับจ้องไปยังเงาต้นไม้อยู่นาน ก่อนจุมพิตลงบนผมของนาง “ลูกของพวกเราเป็นตัวของตัวเองได้ หน้าที่ที่เจ้าควรรับผิดชอบ พวกเขาทำแทนไม่ได้”


มู่จิ่วเอนหัวแนบร่างเขา สูดจมูกก่อนพูด “คงมีแบบนี้สักวันหนึ่ง”


นางไม่อาจมีอายุยืนยาวคู่ฟ้าดิน ถึงแม้นางบำเพ็ญได้ถึงหมื่นหมื่นปี สุดท้ายก็ต้องกลับคืนสู่การเวียนว่ายตายเกิดตามวิถีฟ้า


เพียงเกรงว่าใช้ชีวิตกับเขาหมื่นหมื่นปีแล้ว นางจะไม่อยากแยกจากเขา


ลู่ยาเงียบไปสักครู่ ประคองนางขึ้นมาอย่างเบามือ ก้มหน้าลงจูบดวงตาของนาง แล้วไล่ลงตามสันจมูก เคลื่อนลงจรดริมฝีปากของนาง


ลมหายใจของทั้งคู่ชัดเจน แผดเผาคน ทำให้ใจเต้นระรัว กลิ่นอายความรักสาดซัดออกมาเหมือนคลื่นน้ำ


มู่จิ่วกอดเอวเขา เงยหน้ารับจูบแรกตั้งแต่เป็นคนมา


ลู่ยาพูดอยู่ริมหูนาง “หากวันนั้นมาถึงจริงๆ ข้าจะพาลูกๆ ไปเฝ้าอยู่ที่เส้นทางเวียนว่ายตายเกิด พอเจ้าออกมาข้าจะบอกพวกเขาว่า พวกเจ้าดูสิ นี่คือแม่ของพวกเจ้า”


“หากเจ้าเกิดเป็นมนุษย์ ข้าก็จะพาพวกเขาไปหาเจ้าทุกวัน หรือไม่ก็ไปเกิดเป็นมนุษย์เป็นเพื่อนเจ้า หากเจ้าเกิดเป็นเซียน นั่นก็ยิ่งดี รอเจ้าเกิดเมื่อใดข้าจะไปรับเจ้ากลับมา ให้เด็กๆ ดูแลเจ้าทุกวัน เหมือนที่เจ้าดูแลพวกเขาในตอนแรก”


“แต่หากเป็นแบบนั้นข้าก็จำเจ้าไม่ได้ จนกว่าจะผ่านพ้นเคราะห์กรรมนั้น” ใบหน้าของนางแนบอยู่บนอกเขาพลางพึมพำพูด ใบหน้าของนางร้อนผ่าว อกของเขาก็ระอุเช่นกัน “อีกอย่าง หากมีวันหนึ่งวิญญาณข้าแตกซ่านไปล่ะ?”


นางถามเบาๆ กลัวว่าหากพูดดังอีกนิดความกังวลจะกลายเป็นความจริง


อย่างไรในร่างนางก็ยังมีลูกระเบิดที่ไม่รู้ว่าจะระเบิดออกมาเมื่อไหร่ด้วย


นางไม่เชื่อว่าหลังจากที่วิญญาณคนคนหนึ่งแตกซ่านไปจะยังสามารถกลับมาได้อีก นั่นคือหลอกกันแล้ว


มือของลู่ยาที่กอดเอวนางอยู่กระชับแน่นขึ้น ถึงแม้เขาจะผ่อนแรงกลับไประดับเดิมอย่างรวดเร็ว แต่นางก็ยังรู้ตัวและเงยหน้าขึ้นมา


เขายกยิ้ม จูบริมฝีปากนางเบาๆ “วางใจเถิด ต่อให้เจ้าลืมว่าตัวเองเป็นหญิงก็ห้ามเจ้าลืมข้า”


ลืมว่านางเป็นหญิง? หรือเขาคิดว่านางเป็นชาย


หมัดของมู่จิ่วทุบเบาๆ ที่หลังเขา แต่กลับอดหัวเราะออกมาไม่ได้


เงาต้นไม้ที่ระเบียงทางเดินราวกับเม้มปากแอบยิ้ม สั่นไหวเบาๆ ไปตามแรงลม


แสงจันทร์ยิ่งสว่าง ดุจจะสามารถส่องทะลุเข้ามาในใจคนได้


แต่สายตาของลู่ยากลับดำทะมึนอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ


ค่ำนั้นมู่จิ่วที่นอนเอนอยู่บนเตียงเพิ่งนึกได้ว่าลู่ยาไม่ได้ตอบนางเรื่องวิญญาณแตกซ่าน


แต่ความรักที่อบอวลสามารถลบความคิดวุ่นวายทั้งหมดได้ นางคิดไปถึงจูบนั้น ก่อนนอนหมอบลงกับหมอนและหลับไปเหมือนโอบอุ้มกระต่ายไว้ตัวหนึ่ง


มู่จิ่วตื่นแต่เช้ามาตุ๋นโจ๊กปลาให้ลู่ยา อันที่จริงเขาก็ไม่ได้กินแต่ปลา นอกจากชอบปลาแล้ว เห็ดสน ใบเอม รวมถึงต้นเซียงชุน (ต้นฟลามิงโก้) และอื่นๆ ล้วนเป็นของชอบของเขา ยังมีน้ำจิ้มดอกไม้สดที่มู่จิ่วทำ หากเขากินกับโจ๊กหรือหมั่นโถว สามารถกินครึ่งชามเล็กหมดในหนึ่งครั้ง แต่เขายังคงเลือกกินอย่างมาก ปกติไม่ค่อยกินเนื้อ ยกเว้นแต่เนื้อกวาง


ตอนแรกมู่จิ่วก็ยังบ่นว่า เพราะแบบนี้ทำให้เสี่ยวซิงเตรียมอาหารได้ยากนัก ภายหลังเขาทำตามใจตนเอง อย่างไรเขาก็กินเฉพาะสิ่งที่เขาชอบ หากไม่ก็ไม่กิน มู่จิ่วทำได้เพียงประนีประนอม ถึงแม้เขาไม่กินก็ไม่ตาย แต่ทั้งบ้านกินข้าว มีเขาคนเดียวไม่กินก็แปลก!


ดังนั้นภายหลังหากนางมีเวลาก็จะทำอาหารให้เขากินเอง ไม่มีเวลาก็ให้เสี่ยวซิงทำ สุดท้ายเขาจึงไม่เลือกมากแล้ว


ปรึกษากันบนโต๊ะกินข้าวครู่หนึ่งก็ออกไปทำธุระข้างนอก หลังอาหารเสี่ยวซิงกับรุ่ยเจี๋ยรั้งอยู่เก็บกวาดที่เหลือ มู่จิ่วไปสวรรค์ก่อน รอนางกลับมาค่อยออกเดินทาง


ฟากสวรรค์ไม่มีอุปสรรคอะไร เพราะมู่จิ่วเล่าเรื่องที่ไปเห็นที่โลกมนุษย์ให้หวังหมู่ฟัง แต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่พบว่าฉางเอ๋อร์คือเซียนหญิงที่อวี้ตี้ไปพบ เป็นธรรมดาที่หวังหมู่ต้องโกรธเมื่อได้ยินว่าอวี้ตี้ไปลอบพบ ‘ชู้รัก’ จากนั้นให้นางจับตามองต่อไป โดยไม่ได้พูดอะไรอื่นอีก


ก่อนมู่จิ่วจะจากมา นางหันกลับไปถามอย่างสงสัย “เหนียงเหนียงรู้หรือไม่ว่าฉางเอ๋อร์กับภูเขาจิตอสุนีบาตเกี่ยวข้องอะไรกัน?”


“ภูเขาจิตอสุนีบาต?”


หวังหมู่ชะงักไปสักครู่ก่อนพูด “ไม่มีความเกี่ยวข้องกับนาง”


มู่จิ่วเข้าใจว่านางตัดความเป็นไปได้ทิ้งไปแล้ว จึงพยักหน้ากล่าวขอบคุณ แล้วจึงถอยออกไป


เมื่อคนมาครบแล้วจึงออกเดินทาง


มู่จิ่วไม่เคยไปถิ่นทุรกันดานทางเหนือ แต่มันห่างจากซีหนิวไม่ใช่หนึ่งหมื่นหรือแปดพันลี้ สถานที่ที่หลิวหยางพานางไปส่วนมากเป็นภพภูมิต่างๆ ทิวเขาแผ่นดินใหญ่กลับไปมาไม่มากนัก


ถึงแม้ทะเลสาบน้ำแข็งก็อยู่ทางเหนือ แต่ไม่ใช่ทางเดียวกัน พูดให้ชัดคือ ราชามังกรทะเลสาบน้ำแข็งคือเผ่าเทพในโลกมนุษย์ แต่ถิ่นทุรกันดานทางเหนือกลับเป็นเผ่าเทพในโลกเทพ


แต่ละอาณาจักรในถิ่นทุรกันดานทางเหนือล้วนเป็นเผ่าที่เหลืออยู่จากช่วงภัยพิบัติในโบราณกาล กล่าวคือชนรุ่นหลังของสกุลเซวียนหยวนสร้างอาณาจักรโหย่วซยง เสือลายเหลืองสร้างอาณาจักรหนานเซียง เผ่าเสือขาวสร้างอาณาจักรโหย่วเจียง ยังมีสกุลเฉาสร้างอาณาจักรไท่ผิง ชนรุ่นหลังของสกุลหวาซวีสร้างอาณาจักรปาฟางและอื่นๆ เผ่าเทพทั้งหมดในถิ่นทุรกันดานทางเหนือทุกวันนี้ล้วนเป็นเผ่าเทพ…ถึงแม้บรรพบุรุษของพวกเขาเป็นเผ่ามนุษย์ แต่เป็นเผ่ามนุษย์ที่มีพลังบำเพ็ญแต่กำเนิด


เดินทางไปทางเหนือหลายพันลี้ก็ค่อยๆ เห็นเส้นทางบนฟ้าหลายทาง มู่จิ่วรู้ว่าหนึ่งในนั้นมุ่งไปยังทะเลสาบน้ำแข็ง ที่เหลือเป็นทางที่เห็นชัดอีกสี่ห้าทาง และไม่ชัดอีกหลายเส้นทาง ไม่รู้ว่ามุ่งไปที่ไหนบ้าง


ภพภูมิในจักรวาลล้วนอยู่บนเก้าทวีปสี่ทะเล เพียงแต่เส้นทางที่ไม่เหมือนกัน ภพภูมิที่ไปก็ไม่เหมือนกัน


ลู่ยาไม่ลังเลแม้แต่น้อยในการเลือกเส้นทางสายหนึ่งในนั้น ห้วงจักรวาลนี้เขาไปมาหลายรอบแล้ว เป็นธรรมดาที่ต้องคุ้นเคยสถานที่สำคัญอย่างถิ่นทุรกันดานทางเหนือนี้


ตลอดเส้นทางเป็นเขาเขียวลำน้ำใส ไม่กันดารเหมือนทางเหนือของแดนมนุษย์ ไม่นานก็มาหยุดอยู่ตรงทิวเขายาวต่อเนื่อง ภูมิประเทศของภูเขานี้ร่มรื่น ยาวต่อเนื่องกันไปหมื่นลี้ บนภูเขามีต้นไม้ไม่มาก มีเพียงป่าเล็กๆ จากนั้นเป็นผืนหญ้าขนาดใหญ่ ดอกไม้ป่าหลากสีงอกงามบนหญ้าเขียวขจี กวางเหมยฮวา (กวางซิกา) กระต่ายป่า เม่น และสัตว์ป่าเล็กๆ ซ่อนอยู่ในพุ่มหญ้า นกมากมายร้องเพลงอย่างอิสระอยู่ในป่านั้น


ต่างกับหุบเขาคุนหลุนตะวันตกที่ไปเมื่อไม่นานมานี้มาก


“หงิงหงิง! หงิงหงิง!”


อาฝูพลันนั่งลงบนเท้ามู่จิ่ว มองไปรอบด้านพลางร้องเสียงเบาๆ ขึ้นมา


………………………………………………………


บทที่ 254 ภูเขานี้มีที่มา

โดย

Ink Stone_Romance

มู่จิ่วตบๆ คออาฝู มองอย่างละเอียดอีกที บริเวณที่ยืนอยู่เป็นสถานที่ที่วันนั้นฉางเอ๋อร์กับอู๋กางเคยมา และเนินเขาเล็กด้านหน้าก็เป็นสถานที่ที่อาฝูกลิ้งลงมาอยู่ในสายตาของกระต่ายหยกพอดี!


“โฮกกก…”


อาฝูพลันพุ่งเข้าไปตรงเนินหญ้าด้านหน้าราวกับลูกธนู มู่จิ่วเห็นเพียงเงาแสงพาดผ่านไป จากนั้นก็ไม่เห็นเงาร่างเสือแล้ว!


มู่จิ่วรีบร้อนตามไป พวกลู่ยาก็รีบตามเข้ามา!


ดีที่พุ่มหญ้าไม่หนาทึบ พุ่มไม้ที่อาฝูเดินผ่านถูกแหวกออกเป็นทางแคบสายหนึ่ง ทุกคนเพียงรีบตามไปก็พอแล้ว มู่จิ่วไม่กล้าวอกแวกเลยแม้แต่น้อย เพราะท่าทางของอาฝูดูเหมือนจำสถานที่นี้ได้แล้ว หากเขาสามารถจำได้ การมาครั้งนี้ก็นับว่าได้เก็บเกี่ยวผลอันใหญ่หลวงยิ่ง!


เพียงแต่เดินไปได้สามสี่ลี้ อาฝูพลันชะลอฝีเท้า โน้มส่วนหน้าลง ยกส่วนหางขึ้น จากนั้นพุ่งเข้าไปข้างหน้า!


งูเหลือมสีเหลืองทองลำตัวหนาเท่าต้นขามู่จิ่วตัวหนึ่งกระโจนขึ้นมาบนฟ้าในพริบตา! อาฝูปลดปล่อยพลังวิญญาณออกมาทันที เขาเปลี่ยนร่างเป็นขนาดจั้งกว่าเข้าไปปะทะกับมัน!


มู่จิ่วชะงักงันไปทันใด ที่แท้เขาไม่ได้จำอะไรได้ เพียงแค่พบเหยื่อใหม่เท่านั้น


นางอดพูดไม่ได้ “ดูท่าทางพวกเขาสู้กันอีกสักพักก็คงไม่เสร็จ มิสู้พวกเราไปเดินดูรอบๆ ก่อน”


ขณะกำลังจะออกเดิน ลู่ยากลับขมวดคิ้วมองยอดเขาพลางพูด “ทิวเขานี้แปลกประหลาดนัก”


ซื่ออินมองไปรอบหนึ่งอย่างคร่าวๆ “ที่นี่คือยอดเขาด้านข้างของภูเขาจิตอสุนีบาต ห่างจากยอดเขาหลักสองพันลี้ หากข้าจำไม่ผิด ภูเขานี้น่าจะยังมีชื่อเฉพาะตัวของมันว่าภูเขาเรือ เพราะเห็นลักษณะของมันเหมือนเรือไม้ที่เทียบท่าอยู่ทางใต้ของยอดเขาจิตอสุนีบาต แต่ไม่เป็นที่เตะตาคนเท่าไหร่นัก”


“ภูเขาเรือ? แบบนั้นก็ใช่แล้ว” ลู่ยามองภูเขาลูกนี้พลันขมวดคิ้ว


“มีปัญหาอะไรหรือ?”


ลู่ยากล่าว “ภูเขาเรือของเขาจิตอสุนีบาตไม่เพียงเหมือนเรือไม้ แต่ยังเหมือนมงกุฎราชายิ่งกว่า ข้าเดาว่าวันนั้นสิ่งที่ฉางเอ๋อร์กับอู๋กางเห็นขณะอยู่ที่นี่คงจะเป็นมงกุฎราชานี้ และพวกเจ้าคงลืมไปว่าต้าอี้ก็เคยเป็นราชามาก่อน”


คนทั้งหมดตกตะลึง


ปีนั้นเรื่องที่ฉางเอ๋อร์ขโมยยาวิเศษของต้าอี้กินแล้วกลายเป็นเซียน มีใครไม่รู้ใครไม่ได้ยินบ้าง? แต่ฉางเอ๋อร์ก็ไม่เกี่ยวข้องกับต้าอี้นานแล้วมิใช่หรือ?


“ตามเหตุผลก็ไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว ต้าอี้ตายไปแล้วหลายหมื่นปี เวียนว่ายตายเกิดไม่รู้กี่รอบแล้ว” ลู่ยาพูด “แต่ ภูเขาเรือนี้กลับเป็นที่ฝังกระดูกของต้าอี้เมื่อกาลก่อน ต้าอี้เป็นผู้มีคุณงามความดีมาก หลังจากตายบุญกุศลจึงปกปักรักษาทั่วทางใต้ของภูเขาจิตอสุนีบาตจนกลายเป็นสถานที่มงคล ขณะเดียวกันก็ปกป้องเผ่าพันธุ์โบราณทางตอนเหนือ”


“จิตต้นกำเนิดของต้าอี้ยังคงอยู่ปกปักรักษาถิ่นทุรกันดารทางเหนือ เพียงแต่เมื่อเวลาผ่านมานาน พลังวิญญาณก็ค่อยๆ สลายไป”


เป็นที่ฝังกระดูกของต้าอี้?


มู่จิ่วพลันนึกถึงคำพูดของหวังหมู่เมื่อตอบเรื่องภูเขาอสุนีบาตก่อนหน้านี้


มิน่าละ หวังหมู่ถึงบอกว่าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉางเอ๋อร์แล้ว ที่แท้ความหมายแฝงในคำพูดคือเคยเกี่ยวข้องกัน


ตลอดมาหวังหมู่เกลียดคนกระทำเรื่องชั่วช้า มีอคติกับฉางเอ๋อร์ที่เห็นแก่ตัวทิ้งสามีก็เป็นเรื่องปกติ เพียงแต่แบบนี้ยิ่งไม่รู้ว่าจะอธิบายกับหวังหมู่อย่างไรว่าคนที่อวี้ตี้ลอบนัดพบคือฉางเอ๋อร์ ตามอารมณ์ของนางแล้ว หากรู้แน่ชัดว่าคนที่อวี้ตี้ลอบนัดพบคือฉางเอ๋อร์ กลัวแต่ว่าวังหลิงเซียวทั้งวังจะถูกนางทำลายราบคาบเอาได้?


แต่เมื่อพูดย้อนกลับมา ฉางเอ๋อร์กับอู๋กางมาทำอะไรที่ฝังกระดูกของต้าอี้ล่ะ?


คงไม่ใช่ยังคิดทำร้ายต้าอี้กระมัง?


นางกระหวัดนึกถึงท่าทางที่ปกปิดความคิดตนได้ไม่มิดชิดของฉางเอ๋อร์ รู้สึกสับสนเล็กน้อย


“โฮกกก…”


บนไหล่เขามีเสียงคำรามของอาฝูลอยมา ในที่สุดงูยักษ์ก็ถอยไปอย่างรวดเร็วพร้อมขู่ฟ่อ


พวกลู่ยาเดินช้าๆ ลงจากเนินเขา เริ่มเดินตามป่าไปทั่ว


มู่จิ่วย้อนกลับมาบนภูเขา เห็นเพียงบนพื้นมีเลือดของงูยักษ์สีเหลืองทอง อาฝูยังใช้อุ้งมือเล่นหนังงูที่เหลืออยู่ไม่หยุด ดูแล้วเขายังไม่ได้ลงมือสังหาร ปล่อยให้งูนั้นมีชีวิตต่อไป


แต่อาฝูพลันจับจ้องรอยเลือดบนพื้นแน่นิ่ง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่


มู่จิ่วนั่งยองลงไปลูบหัวเขา พลางพูด “สบายใจหรือยัง? สุดท้ายก็ไล่ไปแล้ว”


อาฝูไม่ตอบนาง เหมือนกับไม่ได้ยินคำพูดนางเลย


“อาฝู?”


มู่จิ่วก้มหน้าลงมองหน้าอาฝูอย่างสงสัย ดวงตาทั้งสองของเขาแน่นิ่ง ถ้าจะพูดว่าเขามองร่างงู มิสู้บอกว่าเขามองช่องว่างระหว่างร่างงูนั้น


“เจ้าเป็นอะไร?” มู่จิ่วรู้สึกไม่ดี ยิ่งถามเขาอย่างอ่อนโยนมากขึ้น


ทว่าตาเขาพลันส่องสว่างออกมา คลื่นพลังสาดออกมาคลื่นแล้วคลื่นเล่า! มู่จิ่วคาดไม่ถึงว่าอาฝูจะแสดงพลังออกมากะทันหัน จึงไม่ทันได้ป้องกัน กลิ้งออกไปสิบกว่าจั้ง ส่วนอาฝูเปลี่ยนเป็นร่างขนาดจั้งกว่าอย่างรวดเร็ว ดวงตาทั้งคู่เบิกโต อ้าปากกว้างพุ่งเข้ามาทางมู่จิ่ว!


“อาฝู!”


ถึงแม้ฝันมู่จิ่วก็ไม่เคยฝันว่าเขาจะพุ่งเข้ากัดนาง นางยังไม่ทันได้ตอบโต้ เขาก็พลันคาบนางขึ้นมาแล้วกระโจนไปไกล!


มู่จิ่วโตมาขนาดนี้ นี่เป็นครั้งที่สองที่โดนเสือคาบ! ทำเอาตัวนางรู้สึกว่าเป็นเพราะตนมีวาสนาพิเศษกับเสือหรือไม่!


แต่อาฝูไม่ได้ทำร้ายนางจริงๆ นางจึงยิ่งคลายใจลงได้ นางตบๆ หน้าอาฝูพลางเอ่ย “เจ้าปล่อยปากหน่อย ข้าจะปีนไปบนหลังเจ้า เจ้าอยากให้ข้าไปไหน ข้าก็จะไปกับเจ้า!” พูดจบอาฝูก็เปิดปาก นางโอบรอบคอเขาไว้ก่อนพลิกตัวขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ฉับพลันก็รู้สึกได้ถึงเสียงลมข้างหู เป็นเสียงความเร็วลมที่นางไม่เคยเจอมาก่อนบนหลังอาฝู!


แต่สุดท้ายอาฝูก็ไม่ได้ไปที่ไหน เขาเพียงบินวนอย่างบ้าคลั่งกลางอากาศเหนือภูเขาเรือ!


มู่จิ่วเห็นพวกลู่ยาที่กังวลใจอยู่ข้างล่าง พวกเขาคิดจะพุ่งขึ้นมาหลายครั้งแต่กลับถูกนางห้ามไว้


มู่จิ่วรู้สึกว่าอาฝูกำลังขับเคี่ยวกับตนเองอยู่ แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยเป็นแบบนี้ นี่มันผิดปกติแน่นอน! นางไม่อาจขัดเขาได้ ต้องให้เขาหาช่องโหว่เจอด้วยตัวเอง แล้วปลดปล่อยสิ่งที่อยากปลดปล่อยออกมาให้หมด!


ลู่ยากับซื่ออินต่างก็แปลงเป็นกลุ่มอากาศเย็นตามอยู่ข้างกายพวกเขา ไม่ขัดขวางและไม่รบกวน


หลังจากอาฝูบินวนและร้องคำรามอยู่สิบกว่ารอบ สุดท้ายก็เปลี่ยนทิศทาง กระโจนพุ่งไปทางซ้ายของภูเขาเรือ มุ่งไปยังป่าทึบแห่งหนึ่ง!


เขาเริ่มแบกนางเดินช้าๆ เข้าไปในป่า ทุกสองสามก้าวจะหยุดลงมองซ้ายขวา เดินไปแบบนี้ร้อยกว่าจั้ง สุดท้ายเขาก็หยุดลง เท้าทั้งสี่งอลงหมอบบนพื้น มู่จิ่วลงมาจากหลังอาฝู นั่งยองๆ อยู่ข้างกายเขาก่อนถาม “เจ้าจำอะไรได้ใช่หรือไม่? เจ้าค้นพบอะไร? เจ้าเคยมาที่นี่หรือไม่?”


อาฝูนิ่งอึ้ง ไม่ตอบคำของนาง เพียงลุกขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนหันไปมาอย่างช้าๆ ภายในป่า


มู่จิ่วก็ไม่รีบร้อน เดินตามหลังเขา ผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป พวกเขาเดินมาถึงเนินเตี้ยแห่งหนึ่ง ผ่านพุ่มไม้ จากนั้นมาหยุดอยู่ที่ใต้ต้นหางนกยูงขนาดใหญ่


“เจ้าเคยมาที่นี่หรือ?” มู่จิ่วมองสำรวจรอบๆ อย่างละเอียดตลอดทาง ป่านี้ปกติอย่างมาก มีทั้งสัตว์บกสัตว์ปีก พลังวิญญาณในทิวเขาก็ไม่มีอะไรพิเศษ แม้แต่ต้นหางนกยูงตรงหน้านี้ก็ไม่พิเศษเฉพาะอะไร


ป่าแบบนี้ หากหาๆ ไปส่งเดชก็สามารถหาได้หลายสิบผืน


ทว่าอาฝูไม่ขยับ แม้แต่เสียงร้องหงิงหงิงก็ไม่มี


มู่จิ่วรู้สึกลำบากใจ เขาไม่ส่งเสียงใดเลย นางจะทำอย่างไรดี?


…………………………………………………


บทที่ 255 ข่าวดีครั้งใหญ่

โดย

Ink Stone_Romance

“อาจิ่ว!”


เสียงของลู่ยาดังเข้ามา พริบตาเดียวก็มาอยู่ข้างกายนาง ซื่ออินก็รีบเดินไปนั่งยองอยู่ตรงหน้าอาฝู มองเสือขาวน้อยอย่างหวาดกลัวลนลาน ก่อนมองตามสายตาของอาฝูไปด้านหน้า


“ต้นหางนกยูง?”


เขาพลันหลุดปากเอ่ย


ความสนใจทั้งหมดอยู่ที่อาฝู มู่จิ่วพลันเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยิน


ซื่ออินยืนขึ้น เดินไปใต้ต้นหางนกยูงอย่ารวดเร็ว สัมผัสมันพลางพูดเสียงสั่น “ตอนที่ข้ากับเหลียงจีตกลงปลงใจกัน ก็เป็นที่ใต้ต้นหางนกยูงหลังวังข้า ตอนที่พวกเราสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดชีวิต ก็ใช้ต้นหางนกยูงเป็นพยาน!”


มู่จิ่วนิ่งอึ้งทันใด…บังเอิญขนาดนี้?!


หากต้นหางนกยูงมีความหมายพิเศษ อีกทั้งสำคัญกับเขาและเหลียงจีแบบนี้ เช่นนั้นอาฝูพาพวกเขามาที่นี่ หมายถึงอะไร?


ทั้งผืนป่าไร้ซึ่งเสียง แต่อาฝูพลันลุกขึ้นเดินเข้าไป ยื่นอุ้งมือไปขุดที่ใต้ต้นไม้


ตอนแรกเขาเพียงขุดลงไปช้าๆ ราวกับไม่แน่ใจว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ จากนั้นกลับเพิ่มความเร็วขึ้นในฉับพลัน อุ้งเท้าทั้งสองขุดลงไปเหมือนกับสายฟ้า!


ซื่ออินนั่งยองลงไปใช้มือช่วยขุด หนึ่งคนหนึ่งเสือขุดดินอยู่ใต้ต้นไม้ราวกับคนบ้า!


ไม่มีใครเข้าไปขัดขวาง แต่ก็ไม่มีใครเข้าไปช่วย เพราะสีหน้าของเขาแสดงออกว่าไม่ต้องการให้ใครเข้าไปช่วย ความกังวลในดวงตาของซื่ออินคล้ายจะกลายเป็นคลื่นคลั่ง ไม่นานใต้ต้นไม้ก็ถูกพวกเขาขุดจนกลายเป็นหลุมลึก แต่อาฝูยังไม่หยุด ซื่ออินก็ไม่กล้าวางมือ แต่ความกังวลหวาดกลัวในดวงตาเขายิ่งโหมกระพือ!


…เขากำลังกลัวว่าใต้ต้นไม้นี้จะฝังร่างของเหลียงจีอยู่เป็นแน่…


ขุดไปไม่รู้นานเท่าไหร่ ขณะที่มู่จิ่วกำลังลังเลว่าจะเข้าไปช่วยดีหรือไม่ พวกเขาทั้งสองกลับค่อยๆ หยุดลง พริบตาเดียว ซื่ออินก้มลงหยิบเอากล่องเหลี่ยมที่ห่อด้วยผ้าไหมขึ้นมาจากหลุม!


“นี่เป็นเสื้อผ้าของเหลียงจี!”


กล่องอยู่ในมือเขา กล่องบุผ้าไหมที่เมื่อครู่ยังอยู่ดีๆ พลันกลายเป็นชุดกระโปรงปักดิ้นทองตัวหนึ่ง


ซื่ออินตัวสั่นเทาพลางคุกเข่าลงไปกับพื้น สีหน้าซีดขาว กระบอกตาที่แดงนานแล้วพลันมีน้ำตาไหลลงมาสองสาย


คล้อยหลังความเจ็บปวดของเขา อาฝูที่ยุ่งอยู่กับการดมเสื้อผ้าพลันพลิกสิ่งของส่องแสงสีทองออกมาจากในนั้น!


“ปิ่นทอง?!”


มู่จิ่วเห็นทันที


ซื่ออินหยุดน้ำตา เก็บปิ่นทองที่ตกอยู่บนพุ่มหญ้าขึ้นมา เพียงมองมัน น้ำตาก็พลันไหลรินลงมาราวน้ำพุ


ลู่ยาเห็นบนปิ่นปักผมยังมีขนติดอยู่กลุ่มหนึ่ง จึงอดหยิบขึ้นมาดูไม่ได้ ผ่านไปสักครู่เขามองซื่ออินอย่างรวดเร็ว จากนั้นพูดว่า “อาฝูเป็นลูกของเจ้า ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเสียใจ นี่คือขนแรกเกิดของอาฝู คิดดูแล้วเหลียงจีต้องจงใจนำอาฝูกับของเหล่านี้มาไว้ที่นี่!”


“แบบนั้นนางล่ะ?” มู่จิ่วก็ตื่นเต้นขึ้นมา


“อย่าร้อนใจ” ลู่ยาพลันใช้พลังฤทธิ์โอบล้อมเสื้อผ้าเหลียงจีที่ถูกทำเป็นห่อผ้า แต่เพียงสักครู่เขาก็เก็บมือกลับมา “บนเสื้อของเหลียงจีก็ถูกร่ายคาถาไว้ ไม่มีเบาะแสอะไร ข้ายังสัมผัสได้เพียงว่านางยังมีชีวิตอยู่” เขาขมวดคิ้วมองไปรอบด้าน “ที่นี่คงเป็นที่ฝังร่างต้าอี้”


ตอนนี้จุดที่พวกเขาอยู่เป็นเขตเขากันดาร ปกติเดินหลายสิบรอบก็ไม่แน่ว่าจะจำลักษณะได้ นอกเสียจากมีไอมงคลเบาบางบนอากาศเท่านั้น


“ทำไมเหลียงจีถึงเลือกที่นี่? นางจงใจหรือเป็นเรื่องบังเอิญ?” มู่จิ่วพลันรู้สึกว่าเรื่องทั้งสองนี้อาจเกี่ยวข้องกัน


“ไม่ว่าจะจงใจหรือบังเอิญ ข้ามั่นใจว่าก่อนเหลียงจีจะหายไป นางก็ไม่รู้ว่าภูขาเรือเป็นที่ฝังกระดูกของต้าอี้เหมือนกับข้า” ซื่ออินสูดลมหายใจเข้าลึก ลูบหัวอาฝูก่อนยืนขึ้นมา


ชื่อเสียงและคำสรรเสริญของต้าอี้มีอิทธิพลส่วนใหญ่บนโลกมนุษย์เท่านั้น สำหรับโลกเทพเซียนแล้ว เขาเป็นเพียงราชาของเผ่าที่มีคุณงามความดีเท่านั้น พวกซื่ออินไม่รู้เรื่องนี้ก็ไม่แปลกอะไร


หากเหลียงจีไม่รู้เรื่องก่อนหน้านี้ นางอาจจะมารู้ในห้าร้อยปีที่ผ่านมานี้หรือไม่?


แต่ไม่ว่าเป็นอย่างไรก็ไม่คู่ควรให้ยุ่งเกี่ยวด้วย การได้เบาะแสที่ชัดเจนจนหาตัวนางพบถึงจะเป็นสิ่งสำคัญ


จากนั้นทุกคนไปสืบค้นรอบๆ มู่จิ่วหยิบขลุ่ยล่าเซียนขึ้นมา ลู่ยาสะบัดแขนเสื้อใช้วิชารวบเมฆทว่าก็ไม่พบเจออะไร


ราวกับเหลียงจีปรากฏตัวในทิวเขานี้จากความว่างเปล่า จากนั้นก็หายไปในความว่างเปล่า…อย่างน้อยในเขตภูเขาจิตอสุนีบาตก็ไม่มีเบาะแสใดแล้ว


ตกดึกกลับมาถึงสวรรค์


มู่จิ่วเข้าใจว่าซื่ออินยังคงเหม่อลอยอยู่ แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น ถึงแม้ความหวังที่สลายไปจะทำให้เขาหดหู่ แต่เพราะยืนยันได้ว่าอาฝูเป็นลูกของเขากับเหลียงจีอย่างแท้จริง นี่ก็นับเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างล้นเหลือ!


เขาเข้าใจเพียงว่าแยกกับเหลียงจีไปห้าร้อยปีก็เหมือนกับตัดสายสัมพันธ์ไปห้าร้อยปี แต่คิดไม่ถึงว่านางกลับให้กำเนิดบุตร และยังส่งเขากลับมา เรื่องน่ายินดีแบบนี้จะลบล้างความเศร้าโศกในอดีตได้หรือ? แต่ภูมิหลังของอาฝูที่กระจ่างชัดไม่เพียงเป็นการปลอบใจเขา ขณะเดียวกันยังให้พละกำลังแก่เขาอย่างมาก มีอาฝูอยู่ก็เป็นการยืนยันว่าวันที่เหลียงจีจะปรากฏตัวอยู่ไม่ไกลแล้ว!


เสี่ยวซิงกับรุ่ยเจี๋ยต่างก็อยากรู้ผลที่พวกเขาไปครั้งนี้มาก เพิ่งเข้าประตูมาทั้งสองคนก็พุ่งเข้ามาหา


ซื่ออินยิ้มบอกข่าวดีกับพวกเขา เสี่ยวซิงและรุ่ยเจี๋ยกระโดดโลดเต้น


รุ่ยเจี๋ยกอดอาฝูแล้วหอมเขาทีหนึ่ง ถึงแม้อาฝูยังคงงุนงงอยู่บ้าง แต่ก็ยังชื่นชอบจุมพิตนี้อย่างชัดเจน


“มีข่าวดีขนาดนี้ ต้องเพิ่มกับข้าวคืนนี้แล้ว!”


เสี่ยวซิงพูดคำนี้จบ ก็วิ่งออกไปไม่เห็นเงาแล้ว


ได้นางชี้นำ ซ่างกวนสุ่นก็รีบตามไปทันที “อย่างนั้นข้าจะไปเอาเหล้ามาสองสามชั่ง!”


รุ่ยเจี๋ยคิดๆ ก่อนพูด “อาฝู พวกเราไปเก็บผักสดกัน!” พูดจบกระโดดออกไป


ทุกคนล้วนดีใจแทนอาฝูจากใจจริง เสียงแห่งความสุขทำให้กระเรียนเซียนหลายตัวที่อยู่ไกลออกไปตื่นขึ้นมาทันที


ข้าวเย็นวันนั้น ทั้งหกคนยกเว้นเสือหนึ่งตัวดื่มเหล้าจนเกลี้ยงไปสิบกว่าชั่ง ดื่มกินจนพระจันทร์ขึ้นถึงกลางหัวค่อยแยกย้ายกันไป


แม้แต่ชามตะเกียบก็ไม่เก็บ แต่ละคนกลับห้องตัวเองไปพักผ่อน


มู่จิ่วดีใจมาก ดีใจแทนอาฝู ในที่สุดอาฝูก็รู้แล้วว่าพ่อแม่ของตนเองคือใคร ตอนนี้เพียงหาที่อยู่ของเหลียงจีและช่วยเขาฟื้นคืนความทรงจำ ทุกอย่างก็จะสงบสุขแล้ว!


ทว่านางยังหดหู่เล็กน้อย เพราะยังอาลัยอาวรณ์อาฝู


แต่คิดอีกที นางก็ไม่สามารถกักเขาไว้ที่นี่ได้ตลอดชีวิต เขาเป็นหลานราชาแห่งโหย่วเจียง ต่อไปไม่แน่ว่าอาจต้องขึ้นเป็นราชาต่อ จะขลุกอยู่กับนางที่สวรรค์ได้อย่างไร? อย่างมากที่สุดเวลาคิดถึงเขาก็ไปหาเท่านั้น


เมื่อคิดได้ดังนี้ ในใจก็ทั้งเจ็บปวดทั้งยินดี


ครั้นตื่นขึ้นในเช้าวันถัดมา หันไปทางห้องลู่ยาก็เห็นประตูเปิดแล้ว นางจึงเดินเข้าไป


ลู่ยาเพิ่งสวมเสื้อนอกเสร็จ กำลังจัดเสื้อผ้าตรงหน้ากระจกทองแดงอย่างสบายๆ


มู่จิ่วเดินไปข้างหลังลู่ยา ยื่นหน้าเข้าไปมองเขาในกระจก แล้วอดยกมือไปลูบคางเขาครั้งหนึ่งไม่ได้ ลู่ยามีเคราเขียวขึ้นเล็กน้อย ที่จริงดูลักษณะแล้วก็เหมือนคนที่อายุยี่สิบกว่า แต่ไม่ว่าเวลาไหนก็สะอาดหมดจด เช่นนี้ไม่เพียงทำให้เขามีกลิ่นอายบุรุษเพศมากขึ้นหลายส่วน แต่ยังแสดงชัดว่าชีวิตส่วนตัวเข้มงวดอย่างมาก


ซื่ออินที่ยกอ่างน้ำเข้ามาเห็นพวกเขาทั้งสอง ก็รีบชักเท้ากลับ ยืนอย่างนอบน้อมอยู่ที่ประตู


ลู่ยาเหลือบมองเขาก่อนพูด “เข้ามาเถอะ”


ซื่ออินยิ้มน้อยๆ ค้อมตัวเข้ามา วางอ่างไว้บนชั้นก่อนเอ่ย “เซิ่งจุนเชิญล้างหน้า”


…………………………………………………


บทที่ 256 ผู้ต้องสงสัย

โดย

Ink Stone_Romance

หลายวันมานี้ซื่ออินกลายเป็นเหมือนเด็กรับใช้ของลู่ยา ลู่ยาก็ไม่เกรงใจ ซื่ออินยกชาส่งน้ำให้เขาก็รับไว้ ซื่ออินเตรียมพู่กันหมึกเขาก็รับ ไม่ต่างอะไรกับความนอบน้อมของซ่างกวนสุ่นในตอนนั้นเลย ทว่าก็ไม่มีอะไรแตกต่างจริงๆ หากบรรพบุรุษของซ่างกวนสุ่นไม่ได้แยกออกมา เขากับซื่ออินก็สามารถนั่งในระดับเดียวกันได้


ตอนลู่ยาล้างหน้า มู่จิ่วพูดกับซื่ออินที่กำลังเก็บกวาดของกระจุกกระจิกบนโต๊ะ “เป็นไปได้หรือไม่ว่าเหลียงจีตกอยู่ในที่อันตรายและหลบหนีออกมาไม่ได้ จึงจำใจต้องส่งอาฝูมา?”


อย่างไรเสีย จากสถานที่ที่อาฝูปรากฏตัวออกมา รวมทั้งเสื้อผ้าและปิ่นที่ฝังอยู่ใต้ต้นหางนกยูง ก็สามารถบอกได้ว่าก่อนอาฝูจะเจอกระต่ายหยกตัวนั้นเขาอยู่กับเหลียงจี หากอาฝูอยู่กับนางแล้วปลอดภัย ทำไมนางถึงต้องทำแบบนี้? อีกอย่าง หากนางมีอิสระมากพอ ทำไมไม่ส่งอาฝูไปยังอาณาจักรโหย่วเจียงโดยตรงเลย?


“ข้ายังคิดว่าคนที่ลบความทรงจำอาฝูน่าจะเป็นเหลียงจีเอง ถึงแม้ข้าไม่รู้ว่านางทำแบบนี้เพราะอะไร แต่ถึงกับใช้เลือดหัวใจและใช้คาถาที่ไม่มีอันตรายต่ออาฝูเช่นนี้ นอกจากแม่ที่อยากปกป้องเขาแล้วยังเป็นใครได้อีก?”


มือทั้งสองของซื่ออินชะงัก เขาเงียบไปสักครู่ก่อนหันกลับมา “ที่จริงความคิดของข้าก็ไม่ต่างกับเจ้าเท่าไหร่นัก ข้าเดาว่านางต้องพบเจออันตราย แต่ข้าก็ไม่เข้าใจเช่นกัน นางส่งอาฝูกับห่อผ้ามาได้อย่างไรในเมื่อนางหนีออกมาไม่ได้? นางส่งอาฝูออกมาเพื่อปกป้องเขา ส่งปิ่นทองคงเพื่อใช้ติดต่อข้า”


“ข้าเดาว่าบางทีนางคงพาอาฝูไปถึงภูเขาเรือพอดี จากนั้นก็เดินไม่ไหวแล้ว จึงฝังสิ่งของไว้ใต้ต้นไม้ แต่หากเป็นแบบนี้ ทำไมนางต้องลบกลิ่นอายของนางบนสิ่งของและความทรงจำของอาฝู?”


มู่จิ่วรู้สึกว่ามีข้อสงสัยมากมาย จึงมาหาลู่ยาแต่เช้าตรู่


นางคิดตามคำพูดของเขา จากนั้นเอ่ยขึ้น “ข้อสรุปที่น่าจะถูกคือตอนนี้นางต้องลำบากอยู่แน่นอน เพียงแต่ไม่รู้ว่าใครทำร้ายนาง อาณาจักรโหย่วเจียงของท่านมีความแค้นกับโหย่วซยงและหนานเซียง หรือจะเป็นสองฝ่ายที่ว่าทำเรื่องชั่วร้ายนี้?”


ระหว่างที่พูด ลู่ยาล้างหน้าเสร็จแล้ว กำลังมองคางของตนเองอยู่หน้ากระจกทองแดง


ซื่ออินกล่าว “เรื่องนี้ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะหลังจากที่เหลียงจีหายตัวไป ตอนแรกข้าก็เคยสงสัยเซวียนหยวนฮุ่ย เพราะก่อนอู่เจินตายเขายังมีพฤติกรรมค่อนข้างผิดปกติ และภายหลังก็เหมือนไม่ได้ดีขึ้น สรุปคือในวังราชาหนานเซียงเละเทะวุ่นวาย แต่พวกเราสร้างเขตพลังที่แกร่งมากไว้รอบวังราชาของเรานานแล้ว เจ้าก็รู้ว่าบรรพบุรุษของพวกเราอยู่รับใช้ข้างกายเซิ่งจุนทั้งสาม วิชาเซียนป้องกันศัตรูไม่ด้อยแน่ๆ”


“และประตูของอาณาจักรพวกเราก็ป้องกันไว้แน่นหนามาก หากพวกเขาคิดบุกเข้ามาคงลำบากยิ่ง”


สิ่งที่เขาพูดก็มีเหตุผล


เหลียงจีอาศัยอยู่ในวังราชา เสือลายเหลืองไม่สามารถลักพาตัวนางไปจากแดนเผ่าพันธุ์เสือขาวได้แน่


“แบบนั้นเป็นไปได้หรือไม่ว่านางถูกลักพาตัวหลังจากออกไปข้างนอก?”


“เป็นไปไม่ได้” ซื่ออินส่ายหน้าติดกัน “เรื่องนี้ข้าเคยยืนยันหลายครั้งแล้ว ข้าแน่ใจว่านางหายตัวไปเอง”


เช่นนี้ก็อับจนหนทางแล้ว


ใกล้จะเป็นเจ้าสาวอยู่ดีๆ ทำไมกลับคิดไม่ตกหายตัวไปล่ะ?


นางคงไม่ได้มีภาวะกังวลก่อนคลอด แล้วเกิดสงสัยโลกสงสัยชีวิตขึ้นมากะทันหัน จากนั้นหลบเร้นไปเพราะเหตุนี้ สุดท้ายตกไปอยู่ในมือของคนชั่ว จึงส่งลูกที่คลอดออกมาหาครอบครัวหรอกกระมัง?


“เจ้าคิดว่าอย่างไร?”


มู่จิ่วรู้สึกว่าสมองของนางขมวดเป็นปม ทำได้เพียงถามลู่ยาที่ไม่พูดมาตลอด


จนลู่ยามองตนเองในกระจกจนพอใจแล้ว ถึงได้เอ่ย “ห้าพันปีก่อนเสือลายเหลืองต้องเจอกับอะไรบางอย่าง จิตใจถึงได้เปลี่ยนไปมาก ข้าเดาว่าเพราะเหตุนี้เขาถึงไปขอแต่งกับอู่เจินที่อาณาจักรโหย่วเจียง ข้าคิดเช่นนี้ ห้าพันปีก่อนมีคนจับจ้องเผ่าเสือขาวแล้ว และวางแผนใช้ประโยชน์ให้เสือลายเหลืองก่อสงครามกับเสือขาว”


เขาพูดแบบนี้ทำให้มู่จิ่วออกจะคาดไม่ถึง


ซื่ออินขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพูด “แต่พวกเราโหย่วเจียงแต่เดิมก็มีข้อบาดหมางกับโหย่วซยงอยู่แล้ว ทำไมพวกเขายังต้องสร้างเรื่องใช้ประโยชน์หนานเซียงด้วย? อีกอย่าง ใครจะมองพวกเราเผ่าเสือขาวเป็นศัตรูกัน?”


สิ่งที่สำคัญคือเขามองไม่ออกว่านี่เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของเหลียงจีอย่างไร


“ความโกรธแค้นบางอย่างก็ไม่มีเหตุผล ใช่ว่าสงครามทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นเพราะความแค้น” ลู่ยาเอ่ย “เช่นความบาดหมางของชิงผิงกับหลีหัง ตระกูลอวิ๋นแห่งทิวเขาริ้วหยกกับตระกูลอ๋าวแห่งทะเลสาบน้ำแข็ง ทุกวันนี้โหย่วซยงไม่มีอำนาจนานแล้ว ฝ่ายที่กำลังผงาดขึ้นมาคือหนานเซียง หากข้าเดาไม่ผิด ก่อนอู่เจินตาย ไม่ว่าโหย่วซยงกับโหย่วเจียงรบกันหนักขนาดไหน หนานเซียงก็ไม่เคยเข้าช่วยโหย่วซยงเลย”


ซื่ออินชะงักก่อนอุทานทันที “ไม่ผิด! สักครั้งก็ไม่มี! ก็เพราะแบบนี้พวกเราถึงได้เชื่อใจเซวียนหยวนฮุ่ย!”


“แบบนั้นก็ถูกแล้ว” ลู่ยาพูด “เสือลายเหลืองมีแผนของพวกเขา แม้แต่องค์หญิงของเผ่าพันธุ์เสือขาวโหย่วซยงยังดูแคลน นับประสาอะไรกับเสือลายเหลืองที่เคยเป็นข้ารับใช้พวกเขา? เสือลายเหลืองมองฐานะของตนเองออกจากเรื่องบาดหมางของพวกเจ้าสองตระกูล จึงไม่เข้าช่วยเหลือ และอ้างชื่อปกป้องรักษาเฝ้าระวังอยู่ที่ทางเหนือ”


“เสือลายเหลืองผ่านการพักฟื้นฟูหลังสงครามมาหลายปี หากพูดจากกำลังที่แท้จริง เทียบกับโหย่วซยงที่มองตนเองสูงส่งแล้วคงแข็งแกร่งกว่ามากแน่ หากมีคนอยากทำลายเผ่าพันธุ์เสือขาวอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว หรืออยากได้ประโยชน์อะไรจากพวกเขา แบบนั้นให้หนานเซียงกับโหย่วเจียงเป็นศัตรูกัน เขาก็ไม่ต้องแบกรับความรับผิดชอบสักนิด”


ซื่ออินกลั้นลมหายใจ


ลู่ยาตรงหน้ามีท่าทีสบายๆ บุคลิกสง่าดั่งเซียน ไม่ขมวดคิ้วเหมือนสองวันก่อน คำพูดที่พูดออกมาก็ตรงประเด็น เหมือนกับเห็นความลับทะลุปรุโปร่ง


“พูดแบบนี้ เซิ่งจุนชี้ตัวคนผู้นี้ได้แล้วหรือขอรับ?”


ลู่ยาพยักหน้า มองมู่จิ่วที่กลั้นลมหายใจไว้ในลำคอ “ไม่พูดถึงเรื่องเวลาห้าพันปีก่อนที่ตรงกันก่อนเลย เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าเรื่องโหย่วเจียงมีจุดร่วมเหมือนกับคดีชิงชิวและคดีตระกูลอ๋าวอยู่?”


“มี!” มู่จิ่วพูด “คดีชิงชิวนั้นก็เริ่มจากของวิเศษหายไป สร้างความโกรธแค้นระหว่างชิงชิวกับลัทธิฉ่าน ถึงแม้สุดท้ายยืนยันว่าอู่เต๋อเป็นผู้กระทำ แต่การหายไปของเฟยอีกลับเกิดขึ้นเมื่อห้าพันปีก่อน ยังมีเหล่าของวิเศษเหล่านั้นที่ไม่รู้ไปอยู่ไหน อย่างน้อยแสดงว่ายังมีคนอยู่เบื้องหลังคดีนี้”


“เพราะแย่งชิงกุญแจจันทราหยาง ใยแมงมุมที่พวกเจ้าเจอที่ภูเขาคุนหลุนตะวันออกก็ยืนยันว่าความโกรธแค้นของทั้งตระกูลอ๋าวและตระกูลอวิ๋นมีคนชักใยอยู่เบื้องหลัง หากในวันนี้เจ้าบอกว่าหนานเซียงกับโหยวเจียงก็ถูกคนชักใยเช่นกัน และจิตใจของเซวียนหยวนฮุ่ยยังเปลี่ยนไปมากเพราะพบเรื่องประหลาด นี่ก็แสดงว่าเบื้องหลังเสือลายเหลืองอาจมีอีกคนอยู่!”


ลู่ยาเลิกคิ้วก่อนถามต่อ “หากคนทั้งสามที่ว่านี้เป็นคนคนเดียวกันล่ะ?”


มู่จิ่วอ้าปากค้างมองเขา ไม่รู้จะพูดอะไรดี


ไม่ต้องให้เขาพูด นางก็คาดเดาไว้แบบนี้แล้วเช่นกัน เบื้องหลังของคดีที่พวกเขาทำทั้งหมดหรือเรื่องที่ผ่านมาล้วนมีส่วนโยงใยคล้ายคลึงกัน พูดได้ว่า เป็นไปได้สูงมากที่จะมีคนหนึ่งหรือพลังอำนาจบางอย่างกำลังชักใยเรื่องเหล่านี้อยู่ในที่ที่พวกเขามองไม่เห็น


…………………………………………………………………


บทที่ 257 สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด

โดย

Ink Stone_Romance

แต่นางกลับไม่เข้าใจเลยว่าคนคนนี้คิดจะทำอะไร


“แน่นอน ก่อนอื่นเรื่องนี้ไม่แน่ว่าจะเป็นจริง” ลู่ยาประสานมือเดินไปหลายก้าว ครั้นมาถึงฉากกั้นลมก็นั่งลง จากนั้นจึงพูดต่อ “พวกเราทำเหมือนว่ามีคนผู้นี้อยู่จริงก่อน หากเขาเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังสามเรื่องนี้ แบบนั้นพวกเราต้องคิดว่าเป้าหมายของเขาคืออะไร? เขาวางแผนอะไร?”


มู่จิ่วพยักหน้า เดินไปนั่งข้างโต๊ะพร้อมซื่ออินโดยไม่รู้ตัว


“จากนั้นก็ดูบุญคุณความแค้นในสามเรื่องนี้อีกครั้ง เรื่องแรก ชิงผิงเข้าใจผิดว่าหลีหังลักพาตัวเฟยอีไป เขาอยากแก้แค้น แต่ไม่มีแรงไปต่อกรด้วย ดังนั้นจึงหว่านแหลากลัทธิฉ่านเข้ามาเกี่ยวข้อง สุดท้ายจึงเกิดเป็นคดีฆาตกรรมของชิงชิวกับลัทธิฉ่าน เกือบทำให้เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ในโลกเซียน ตอนนี้พวกเรารู้แล้วว่าคนที่ก่อเรื่องคืออู่เต๋อ แต่หากเบื้องหลังมีคนควบคุมความเป็นไปของเรื่องนี้อยู่ล่ะ?”


“ชิงชิวกับลัทธิฉ่านไม่ว่าฝั่งไหนก็ไม่น่าไปมีเรื่องด้วย หากปะทะกัน ผลสุดท้ายก็ไม่อาจจินตนาการได้”


“เรื่องที่สอง เรารู้เรื่องทั้งหมดกระจ่างแล้ว มั่นใจว่าเบื้องหลังตระกูลอวิ๋นตระกูลอ๋าวมีคนชักใยอยู่ และตระกูลอวิ๋นเกือบล้างบางแก้แค้นตระกูลอ๋าวเพื่อกุญแจจันทราหยาง แรงกระทบจากสองตระกูลนี้ถึงแม้ไม่สู้ชิงชิวกับลัทธิฉ่าน แต่ตระกูลอ๋าวควบคุมสี่ทะเล หากตระกูลอวิ๋นทุ่มทั้งเผ่าลงมือกับทะเลสาบน้ำแข็ง สี่ทะเลจะนิ่งเฉยได้หรือ?”


“นี่ก็กลายเป็นภัยพิบัติหนึ่งได้เหมือนกัน”


“และหากมีโหย่วเจียงกับหนานเซียงปะทะกันขึ้นมา เสือขาวที่เป็นลูกหลานเทพสงครามยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง อย่างไรพละกำลังก็แข็งแกร่งกว่าพวกเขามาก ดูได้จากการที่โหย่วเจียงโดนโหย่วซยงและหนานเซียงกดดันมาหลายปีแต่ก็ยังไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน เช่นนั้นหากจะมุ่งทำลายหรือลดทอนกำลังของเผ่าเสือขาว จึงทำได้เพียงเสริมกำลังของเสือลายเหลือง”


“ข้าเดาว่าเสือลายเหลืองไม่เพียงเปลี่ยนไปมีราคะมาก วิชาของเขาก็น่าจะเพิ่มระดับขึ้นสูงด้วย”


คำพูดนี้ของเขาทำให้ซื่ออินตื่นตกใจไปนานแล้ว


ไหนเลยจะได้ยินว่ามีคนวางแผนทำลายอาณาจักรตัวเองแล้วยังสงบนิ่งอยู่ได้?


ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นองค์ชายของอาณาจักรนั้นด้วย!


“เซิ่งจุนทายได้ไม่ผิด ข้ากับเซวียนหยวนฮุ่ยปะทะกันมาหลายปี ถึงแม้ข้าไม่เคยแพ้ แต่ก็ไม่เคยชนะเขา! พลังบำเพ็ญของเขาลึกล้ำอย่างแท้จริง พลังฤทธิ์น่าเกรงขาม!”


ลู่ยาลูบปลายแขนเสื้อ มองมู่จิ่วก่อนพูด “หากเผ่าเสือขาวตกอยู่ในอันตราย ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร?”


“ไม่แน่ว่าบรรพบุรุษพวกเจ้าอาจออกจากภูเขา กวาดล้างหนานเซียง หรือแม้แต่ทำลายโหย่วซยงไปด้วยกัน ถึงตอนนั้นคงทำให้หกภพสั่นสะเทือน ไม่อาจใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปพร้อมกัน และใต้หล้าที่สงบมานานขนาดนี้ ต้องมีพลังมารบางส่วนฉวยโอกาสออกมา ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงสงครามชุลมุนได้”


มู่จิ่วกับซื่ออินต่างก็นั่งไม่ติดอยู่บ้าง


“ทำไมเจ้ายิ่งพูดยิ่งรุนแรง ตามที่เจ้าพูดมา มิเท่ากับว่าภพมารต้องการพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินอีกรึ?” มู่จิ่วปฏิเสธความเป็นไปได้นี้ “แต่ภพมารก็ไม่เคลื่อนไหวนานแล้ว ราชามารลงนามตกลงกับอวี้ตี้ไปแต่แรก เขาจะก่อเรื่องอย่างไม่มีเหตุผลอะไรได้”


นางไม่อยากให้มีสงครามในใต้หล้า ตอนนี้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขทุกวันช่างดีเหลือเกิน ถึงแม้เหล่าเทพเซียนไม่จำเป็นต้องดีไปทั้งหมด แต่เหล่าปีศาจก็ไม่จำเป็นต้องชั่วไปทั้งหมดเช่นกัน จะก่อสงครามขึ้นมาให้ได้แล้วจะได้อะไร?


ซื่ออินไม่ได้พูด สายตาของเขามองลู่ยาตลอด


เขากำลังครุ่นคิดคำพูดของลู่ยาเหมือนกับคนรุ่นเยาว์ที่ไม่อาจปฏิเสธการล้างสมองจากบุคคลต้นแบบที่อยู่ตรงหน้า


“อันที่จริงก็ไม่แน่ว่าจะเลวร้ายขนาดนั้น” ลู่ยาพูดอีก “นี่เป็นความเป็นไปได้หนึ่ง และเป็นความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุด ความน่าจะเป็นอีกอย่างคือเขายังมีบุญคุณความแค้นยังไม่ชำระ เพราะเขาอยากควบคุมหกภพแต่ยังขาดเงื่อนไขอีกมาก ตอนนี้ก็ไม่ได้ก่อสถานการณ์อะไรที่เลวร้ายขึ้นมา”


พูดถึงตรงนี้มู่จิ่วก็สับสน “จะมีความแค้นอะไรทำให้เขาไม่สนใจจนก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ แล้วลากคนมากมายเข้ามาเกี่ยวข้อง?”


“หากข้ารู้ชัด คงจับเขาได้นานแล้วมิใช่หรือ?” ลู่ยาพูดช้าๆ “ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องที่เบื้องหลังสามคดีนี้มีคนชักใยอยู่ก็ยังมีหลักฐานไม่พอ แต่อย่างน้อยคนคนนี้ต้องมีพละกำลังที่แข็งแกร่งพอควร ถึงตอนนี้ข้ายังสัมผัสไม่ได้ว่ามีคนแบบนี้อยู่ เพียงแต่ไม่ว่าเป็นจริงหรือหลอก พวกเราเตรียมตัวไว้ก่อนก็ไม่ผิด”


มู่จิ่วถึงได้โล่งอก


ลู่ยาเป็นคนรอบคอบ เขาเคยชินกับการตีแผ่สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดออกมาก่อน


ถึงแม้แบบนี้โหดเหี้ยมไปหน่อย แต่กลับเป็นวิธีที่รับผิดชอบที่สุด


ไม่ว่าพูดอย่างไรนางก็ไปเพราะไล่ตามเป้าหมายในการกลายเป็นเซียน เรื่องที่ควรทำนางทุ่มเททำให้ดีก็พอ เรื่องที่นางทำไม่ไหวเบื้องบนย่อมมีคนจัดการ ไม่ต้องให้นางเป็นกังวล


นางเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาน้ำที่มุมห้อง นางพลันคิดขึ้นมาได้จึงพูด “สายแล้ว ข้ายังต้องไปหน่วยงาน ต้องขอไปกินข้าวก่อน”


ลู่ยามองส่งนางออกไปก่อนหันกลับมา นั่งลงแล้วมองซื่ออิน “เจ้าไปทำธุระแทนข้าเรื่องหนึ่ง”


ซื่ออินที่กำลังใจลอยพลันคืนสติกลับมา


ลู่ยาเท้าคางมองมู่จิ่วที่ทักทายเสี่ยวซิงขณะออกไปข้างนอก ก่อนกล่าว “ก่อนหน้านี้ตอนที่ราชาจิ้งจอกไปวังจิตกระจ่างทำธุระแทนข้า เขาถูกกลุ่มควันเขียวติดตาม สุดท้ายข้าสืบมาได้ว่าควันเขียวนั้นเป็นความทรงจำที่หลงเหลืออยู่ของชือโหยว กระถางสามขาซึ่งเก็บกระดูกของเขาไว้ปล่อยมันออกมา ภายหลังพวกเราเจอทะเลสาบที่มีคลื่นพลังวิญญาณมหาศาลที่ภูเขาคุนหลุนตะวันออก และทะเลสาบนั้นศิษย์พี่ข้าบอกว่าเป็นสถานที่ชำระกระบี่ของชือโหยว”


ซื่ออินตะลึง “เซิ่งจุนคงไม่ได้หมายความว่า ชือโหยวกลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่หรือ?”


“นั่นเป็นไปไม่ได้”


ลู่ยาพูด “เพียงแต่ชือโหยวตายมาหลายหมื่นปี จิตสลายตัวไปนานแล้ว ตอนนี้กลับมีแนวโน้มว่าจะรวมตัวกัน สถานที่ที่พลังของอาจิ่วปลดผนึกออกก็เป็นจุดชำระกระบี่ที่ภูเขาคุนหลุนตะวันออกของชือโหยวพอดี บางเรื่องข้าต้องคิดให้มากเป็นพิเศษ”


“ชือโหยวได้ชื่อว่าเป็นบรรพชนของเทพสงครามในอดีตกาล เจ้ารู้หรือไม่การจะเรียกจิตของเขามาได้ต้องใช้พลังขนาดไหน อย่าเพิ่งพูดถึงอย่างอื่น เพียงแค่พลังที่ปล่อยจากบ่อชำระล้างกระบี่ก็สามารถทำลายคุนหลุนตะวันออกไปครึ่งลูกแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจิตที่เด็ดเดี่ยวของเขา ไม่ว่าอย่างไร เรื่องนี้ก็ต้องระวังไว้”


“ข้าถึงกังวลเรื่องอาจิ่ว ข้ากลัวนางมีอันตราย”


“แม่นางกัว?” ซื่ออินนิ่งอึ้งเล็กน้อย แต่ในฐานะคนเป็นคู่หมั้น การกังวลเรื่องความปลอดภัยของภรรยาในอนาคตก็เป็นเรื่องปกติ


ลู่ยาพยักหน้า ก่อนพูดอีก “ในร่างอาจิ่วผนึกพลังอันยิ่งใหญ่ไว้ ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะจินตนาการได้ ข้ากลัวว่าหลังจากกระตุ้นมันแล้วจะกลับมาทำร้ายนาง ดังนั้นจึงไม่กล้าตรวจสอบอย่างละเอียดมาตลอด แต่ก็หาอะไรอย่างอื่นเกี่ยวกับนางจากที่อื่นไม่ได้ และไม่กล้าสืบหาต่อ ทว่าเรื่องนี้ไม่อาจไม่รู้ให้แน่ชัด”


ซื่ออินครุ่นคิดก่อนเอ่ย “ไม่ทราบว่าเซิ่งจุนมีเบาะแสอะไรบ้าง?”


“อันที่จริงไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นเบาะแสที่ชัดเจน”


ลู่ยาพิงพนักเก้าอี้ นิ้วเคาะเบาๆ อยู่ตรงแก้ว “นางบำเพ็ญเพียงพันปีก็เลื่อนขั้นเป็นหัวเสิน จากนั้นพันปีต่อมากลับไม่พัฒนา อีกทั้งนางไม่มีชาติก่อน เรื่องเหล่านี้หากรวมเข้าด้วยกันทั้งหมด ก็ยังไม่ใกล้เคียงการคาดเดาที่พอใช้ได้ นอกจากรู้ว่าร่างกายของนางพิเศษแล้ว ข้าก็ไม่รู้เรื่องอื่นอีก”


……………………………………………………….


บทที่ 258 กังวลเกินไป

โดย

Ink Stone_Romance

ซื่ออินก็รู้สึกว่าแปลกประหลาดอยู่บ้าง แต่กลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี


“เซิ่งจุนอาจกังวลมากเกินไป มีท่านอยู่ด้วยคงไม่ถึงกับมีอันตราย” เขาพูด


“พูดยาก” ลู่ยากล่าว “พลังของนางเฉพาะเจาะจงมาปลดผนึกที่เขาคุนหลุนตะวันออก ข้าคิดว่าไม่แน่นางอาจมีความเกี่ยวข้องกับที่แห่งนั้น ไม่ปิดบังเจ้า ข้ากังวลอยู่จริงๆ ข้ากลัวว่าหากมีวันหนึ่งที่พลังของนางระเบิดออกมาอีกจะทำอย่างไร? ข้าต้องหยุดยั้งหรือไม่ต้องหยุดยั้ง? และจะหยุดมันอย่างไร?”


ซื่ออินครุ่นคิดก่อนพูด “ตัวอย่างแบบนี้ในอดีตไม่ใช่ไม่มี ถึงแม้ร่างกายของแม่นางพิเศษ แต่บางทีพลังระเบิดออกอาจเป็นเพียงอุบัติเหตุ และตลอดชีวิตที่เหลืออาจเป็นไปได้ว่าจะไม่ออกมาอีกเลย อย่างเช่นวิญญาณเทพกลับชาติมาเกิด พลังวิญญาณในร่างกายพวกเขาล้วนถูกผนึกไว้ พอกลายเป็นมนุษย์พลังนั้นจะไม่มีวันทะลวงออกมาแน่นอน ข้าคิดว่าด้วยความดีของแม่นางแล้ว ฟ้าย่อมต้องคุ้มครอง เซิ่งจุนอย่าได้กังวลไป”


“บางครั้งข้าก็คิดแบบนี้”


ลู่ยากอดอก พลันยกริมฝีปากยิ้มให้เขา รอยยิ้มแบบนี้ช่างทำให้แสงสว่างทั้งหมดบนโลกกลายเป็นมืดสลัวจริงๆ ถึงแม้เขาเป็นจะผู้ชายก็อดก้มหน้าลงไม่ได้


“เจ้าไม่รู้ว่านางโง่ขนาดไหน โง่จนถึงขนาดอยู่บนสวรรค์โดนกลั่นแกล้งรังแกก็ยังไม่เคยร้องไห้”


ลู่ยาเอนพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน จ้องมองไปยังดอกยี่เข่งที่นอกหน้าต่าง “บางครั้งทำเอาข้ารู้สึกว่านางใจอ่อนเกินไป อยากให้นางใจร้ายสักหน่อย แต่ถึงแม้นางเป็นคนดีนักหนา ถึงแม้คดีที่รับมาทั้งหมดจะจบอย่างสมบูรณ์แบบ บุญกุศลของนางค่อยๆ เพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่อาจปกปิดความจริงที่ว่าบุญกุศลที่ผ่านมาของนางน้อยจนน่าสงสาร”


ซื่ออินไม่ค่อยเข้าใจคำพูดเขา “บุญกุศลของแม่นางไม่มากพอ?”


อาศัยเรื่องเกี่ยวกับมู่จิ่วที่เขารู้มาในหลายวันนี้ และสิ่งที่เขาเห็นกับตาตนเอง นางคงเป็นคนดีมากอย่างที่ลู่ยากล่าวไว้ คนแบบนี้เรื่องอื่นไม่มากก็ต้องมีบุญกุศลมาก แล้วบุญกุศลจะไม่พอได้อย่างไร?


“เจ้าก็รู้สึกประหลาดใช่หรือไม่?” ลู่ยาหรี่ตามองเขา “แต่นี่เป็นเรื่องจริง เจ้าว่าบุญกุศลของนางหายไปไหน?”


ซื่ออินนิ่งอึ้ง


“ยิ่งกว่านั้น เร็วๆ นี้ข้ายังค้นพบอีกเรื่องหนึ่ง” ลู่ยาพูดต่อเหมือนกับไม่สนใจว่าเขาจะตอบหรือไม่


“เรื่องอะไรขอรับ?” ซื่ออินอดใคร่รู้ขึ้นมาไม่ได้


ลู่ยาพูด “สหายร่วมงานคนหนึ่งที่เข้ามาในทัพทหารสวรรค์พร้อมกับนางมีจิตมารก่อกำเนิดขึ้นแล้ว เดิมทีผังดวงชะตาของเขาควรเลวร้ายยิ่งนัก แต่กลับไม่ใช่ นอกจากดวงชะตาเคราะห์ร้ายนั้นแล้ว เขามีดวงชะตากำเนิดที่อ่อนอย่างมากสายหนึ่งเกิดอยู่บนร่างอาจิ่ว บุญกุศลของอาจิ่วสามารถหล่อเลี้ยงสรรพสิ่งได้ก็ไม่แปลก แต่คนผู้นี้ ชะตาที่เลวร้ายของเขากลับเกื้อหนุนนาง”


ซื่ออินยิ่งฟังสีหน้ายิ่งตึงเครียด


ชะตาที่เคราะห์ร้ายอย่างยิ่งมีประโยชน์กับนาง…


มู่จิ่วคือผู้บำเพ็ญเป็นเซียน ฝึกเซียนสายคุณธรรม ตามเหตุผลไม่ควรเกิดเหตุการณ์แบบนี้ สิ่งประเภทเดียวกันจะดึงดูดเข้าหากัน หากชะตาที่เลวร้ายยิ่งมีประโยชน์กับนาง แบบนั้นมีความเป็นไปได้สองอย่าง หนึ่งคือสองคนล้วนเป็นวิญญาณดี สองคือทั้งคู่เป็นวิญญาณร้าย…


มู่จิ่วเป็นวิญญาณร้าย?


ใจของเขาหนักอึ้ง มองลู่ยาเร็วๆ ก่อนก้มหน้าลงไป


“ข้าไม่เชื่อว่าสิ่งที่ผนึกอยู่ในร่างกายนางเป็นวิญญาณร้าย” ลู่ยาเหมือนมองความคิดของเขาออก เอ่ยขึ้นเรียบๆ “แต่หลินเจี้ยนหรูก็ไม่ใช่คนดีอะไร นี่เป็นสิ่งประหลาดที่ข้าพบเจอนอกเหนือจากพลังอันแข็งแกร่งที่ถูกผนึกอยู่ในร่างกายนาง และก่อนหน้านั้นนางก็พบเจอเรื่องประหลาดที่ภูเขาไท่ แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่อาจเห็นเหตุการณ์นั้น ไม่อาจวิเคราะห์ได้”


“สรุปคือ ข้ามีลางสังหรณ์ว่าตั้งแต่พลังที่ถูกผนึกของนางระเบิดออกที่เขาคุนหลุนตะวันออกครั้งนั้น พลังของนางไม่น่าจะถูกผนึกกลับไปอย่างสมบูรณ์ได้อีก เพียงรอดูว่านางจะถูกกระตุ้นอีกเมื่อไหร่เท่านั้น ส่วนข้าทำได้เพียงคอยสำรวจการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเพื่อสืบหาชาติก่อนของนาง แต่ชัดเจนว่าตอนนี้ข้าร้อนรนไปก็ไร้ประโยชน์”


เขายืนขึ้นมา ไพล่มือไปข้างหลัง


ซื่ออินพยักหน้า “ยิ่งใจร้อนยิ่งช้า ไม่อาจทำสำเร็จตามเป้าหมาย เซิ่งจุนพูดได้ถูกต้องแล้ว”


เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยอีก “ไม่รู้ว่าเซิ่งจุนต้องการสั่งให้ซื่ออินทำอะไร?”


ลู่ยาพยักหน้า “นอกจากนี้ อาจารย์ของอาจิ่วดูเหมือนจะยอดเยี่ยมมากทีเดียว ข้าสงสัยว่าเขาเป็นผู้สูงศักดิ์ที่เร้นกายมา ข้าจะช่วยเจ้าหาเหลียงจี สองวันนี้เจ้าไปสืบฐานะของเขาที่หงชางช่วยข้า พลังวิญญาณข้าแข็งแกร่งเกินไป หากเขาเป็นคนปลีกวิเวกที่มีความสามารถจริง ข้าไปหงชางเขาคงเจอข้า”


ไปครั้งก่อนก็ไม่รู้ว่าเขาสัมผัสได้หรือไม่ ในเมื่อลู่ยาอยากไปสืบหาเบื้องลึกของเขา เป็นธรรมดาที่ต้องระวังหน่อย


ซื่ออินกลับตกใจ “หรือเซิ่งจุนสงสัยอาจารย์ของแม่นางกัว?”


ลู่ยาเหลือบมองเขา “ในเมื่อเกิดเรื่องประหลาด ตรวจดูสักหน่อยน่าจะดีที่สุด”


อย่างไรเสีย มู่จิ่วก็เต็มไปด้วยความเลื่อมใสทุกครั้งเมื่อพูดถึงหลิวหยาง…


ซื่ออินเงียบไปครู่ก่อนกล่าวต่อ “ท่านเคยให้แม่นางกัวรู้เรื่องนี้หรือไม่?”


“ไม่เคย” ลู่ยาขมวดคิ้ว “นางเจ็บปวดเรื่องที่เกือบทำร้ายข้าคราวก่อนมาก และกังวลอยู่ตลอดว่าตนเองจะเป็นปีศาจมาร อีกทั้งยิ่งกังวลว่าวันข้างหน้าอาจจะควบคุมตนเองไม่ได้แล้วทำร้ายข้า…หากมีวันนั้นจริง ข้าคิดว่านางคงเลือกให้พลังกลับมาทำร้ายตนเองจนแหลกสลายไปกระมัง? ดังนั้นเรื่องนี้ห้ามให้นางรู้ในตอนนี้ อย่าให้นางรู้เด็ดขาด”


หากนางรู้ว่าเขาส่งคนไปตรวจสอบอาจารย์ที่เคารพรักของนาง…


ซื่ออินเข้าใจ ประสานมือตอบขอรับ


ถึงแม้เขากังวลถึงผลลัพธ์หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาควรคิด งานที่ท่านสั่ง เขาทำตัวเหมือนเป็นกองขี้เถ้าที่สงบนิ่งจะดีที่สุด


ซื่ออินถูกเลี้ยงมาอย่างองค์ชายตั้งแต่เด็ก เมื่อได้รับคำสั่งลู่ยา สีหน้าจึงไม่แสดงอะไรออกมาตามคาด เพราะรู้ว่ามู่จิ่วกับลู่ยายังมีเบื้องลึกเบื้องหลัง จึงยิ่งรู้สึกเห็นอกเห็นใจ…เดิมทีความเห็นอกเห็นใจนี้ควรมีแก่ลู่ยา แต่ว่าอีกฝ่ายเป็นถึงมหาเทพ เขาไม่ควรเสนอหน้าไปเห็นใจ ถึงแม้มู่จิ่วเป็นหญิง แต่มองในแง่ความจริงจังเรื่องความรักแล้วทั้งคู่ก็เหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่มีข้อแตกต่าง


ต่อจากนั้นหลายวันไม่มีความคืบหน้าในการสืบคดีของเหลียงจี


แต่ลู่ยาสืบค้นเรื่องนี้อยู่ตลอด บางครั้งยุ่งอยู่กับการทำนายผังดวงชะตา บางครั้งก็ออกไปข้างนอกอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว


ซื่ออินกลับวางใจ ในเมื่อเหลียงจียังมีชีวิตอยู่ และยังมีลู่ยาอยู่ด้วย การตามหานางให้พบเป็นเรื่องที่ช้าเร็วก็ต้องเกิดขึ้น


หลายวันนี้จึงคลายกังวลลงได้ นอกจากฝึกพลังตนเองก็ดูแลกำกับให้อาฝูตั้งใจฝึกฝน เขาที่เป็นพ่อผู้หายหน้าไปนานสามร้อยปีไม่อาจอดกลั้นกดดันอาฝูได้ ยังดีที่ตัวอาฝูเองมีสำนึกดี จึงไม่ต้องกังวลว่าอนาคตเขาจะไร้วิชา กลายเป็นหลานราชาที่ไร้ความสามารถ


ผ่านไปแบบนี้หลายวัน ในที่สุดวันนี้ก็ได้รับคำสั่งของลู่ยา เขาถึงอ้างว่าออกไปหาเบาะแส แล้วมุ่งหน้าไปหงชาง


มู่จิ่วยุ่งอยู่กับงาน แน่นอนว่าไม่รู้ว่าพวกเขาแอบพุ่งเป้าความสนใจไปที่หลิวหยาง


หลายวันนี้อวี้ตี้ไม่ได้ออกไปข้างนอก หลังจากคณะพระพุทธที่มาเยี่ยมเยือนลากลับไปแล้ว เขาก็เดินเล่นฟังพิณทั้งวัน มู่จิ่วอ้างเรื่องเข้าไปในวังหลายหน เห็นสีหน้าของเขาปกติ ไม่เหมือนคนที่มีชู้แล้วใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แต่หวังหมู่ยังคงไม่ล้มเลิก ยังให้นางจับตามองอย่างใกล้ชิด ท่าทางคล้ายหากหา ‘นังขี้ขโมย’ ไม่เจอก็ไม่มีเลิกรา


……………………………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)