กระบี่จงมา 248.2-249.1
บทที่ 248.2 จากลากันตรงนี้ ภูเขาสูงน้ำไหลยาว
โดย
ProjectZyphon
เฉินผิงอันย่อมไม่รู้ว่าวิชาอภินิหารนั้นของนักปราชญ์โจวจวี่ทำให้เขามองเห็นความลับของตัวเองมากมายถึงปานนั้น
การที่อริยะของสำนักศึกษากวานหูมาเยือนถึงที่ บางทีอาจเป็นภาพเหตุการณ์มหัศจรรย์ที่หนึ่งร้อยปีจะพานพบสักครั้งสำหรับผู้คนในยุทธภพแคว้นซูสุ่ย แต่สำหรับเฉินผิงอันแล้ว อันที่จริงนี่ไม่ใช่เรื่องน่าตื่นตะลึงสักเท่าไหร่ เพราะไม่ว่าจะที่ถ้ำสวรรค์หลีจูบ้านเกิด หรือที่ต้าสุยที่เคยเดินทางไปเยือนในภายหลัง เฉินผิงอันก็ล้วนเคยเห็นเรื่องน่าเหลือเชื่อมามากมาย แม้แต่ในม้วนภาพวาดแม่น้ำและภูเขาของซิ่วไฉเฒ่า เฉินผิงอันก็ยังเคยเห็นภูเขาเทพสุ้ยซานของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมาแล้ว ตนยังถึงขั้นส่งกระบี่ผ่าภูเขาไปด้วยตัวเองครั้งหนึ่ง
เฉินผิงอันไม่ได้หยุดอยู่ในห้องโถงใหญ่ของหมู่บ้านนานนัก เพราะหลังจากที่ซ่งอวี่เซาเอ่ยประโยคหนึ่งแล้วก็รีบจากไปอย่างรวดเร็ว
ประโยคนั้นของผู้เฒ่าสร้างลูกคลื่นที่โถมตัวสูงนับหมื่นจั้งอยู่ในใจของทุกคน
“ทหารนับหมื่นของราชสำนักที่มาล้อมหมู่บ้านได้ถอยจากไปเองแล้ว”
อันที่จริงหมัวมัวเด็กสาวหนึ่งในสี่พิฆาตของแคว้นซูสุ่ยก็ตามพวกเขากลับมาที่หมู่บ้านด้วย แต่เพราะไม่กล้าเผชิญหน้ากับนักปราชญ์ของสำนักศึกษา ตอนนั้นจึงไปหลบอยู่ในมุมมืด ยังดีที่ทั้งอริยะและนักปราชญ์ต่างก็ไม่ถือสา นี่ทำให้นางรู้สึกลิงโลดที่ตัวเองรอดพ้นหายนะครั้งใหญ่มาได้ หลังจากแน่ใจว่าคนจากสำนักศึกษาสองคนนั้นไปจากหมู่บ้านแล้วจริงๆ นางถึงได้เข้ามาในห้องโถงใหญ่ พอนั่งลงเรียบร้อยก็ใช้เสียงในใจสื่อสารกับซ่งเฟิ่งซาน เพียงแต่ว่าเด็กสาวใช้เวทลับของผู้ฝึกลมปราณ ชักนำทะเลสาบในหัวใจ ส่วนซ่งเฟิ่งซานนั้นใช้วิชายุทธ์ รวมเสียงร้อยเรียงเป็นถ้อยคำ คนหนึ่งต้องเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตห้า อีกคนหนึ่งต้องมีวิถีวรยุทธ์ขอบเขตสี่
ภรรยาของซ่งเฟิ่งซานเริ่มใช้แผนกลยุทธสร้างผลประโยชน์โดยการปลอบใจเหล่าผู้กล้า
ซ่งเฟิ่งซานที่ไม่เอ่ยคำใดมีสีหน้ามาดมั่น
นอกจากจะโล่งอกแล้ว ซ่งเฟิ่งซานยังรู้สึกซับซ้อนเล็กน้อย
ซ่งอวี่เซาท่านปู่ของเขาใช้หนึ่งกระบี่หนึ่งคนไปสกัดขวางอยู่หน้ากองทัพใหญ่จริงๆ อีกทั้งยังเจาะขบวนรบไปจับตัวแม่ทัพใหญ่ฉู่หาวมาได้ ช่วยลดแผนการอีกหลายอย่างให้กับเขาซ่งเฟิ่งซาน ไม่เพียงเท่านี้ ท่านปู่และเซียนกระบี่เด็กหนุ่มที่ลึกลับผู้นั้นยังร่วมมือกับซูหลางเซียนกระบี่ไผ่เขียวที่ได้รับจดหมายลับจากตนจึงย้อนกลับมาสังหารหลินกูซานราชันกระบี่แคว้นกู่อวี๋และเจ้าของหอหม่ายตู๋ในป่าลึก หลินกูซานถูกซูหลางใช้หนึ่งกระบี่ตัดศีรษะ ไข่มุกมรกตเล่มนั้นกลายเป็นหลักฐานที่ดีที่สุดซึ่งบอกว่า ‘เซียนกระบี่สังหารราชันกระบี่’ น่าเสียดายที่นักฆ่าหอหม่ายตู๋ใช้เวทลับหนีไปทั้งที่บาดเจ็บ และนี่อาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง
ซ่งเฟิ่งซานเอ่ยด้วยรอยยิ้มกับเด็กสาวผู้นั้น “ตามข้อตกลง หลังทำสำเร็จ ข้าจะช่วยให้เจ้าได้กลายเป็นเทพภูเขาที่ได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนักแคว้นซูสุ่ย ได้ครอบครองร่างทอง เสวยสุขอยู่กับควันธูป แต่คำพูดไม่น่าฟังเอามาพูดกันก่อน พอกลายเป็นองค์เทพร่างทองแล้ว หากเจ้าอยากให้ขอบเขตเพิ่มพูน นอนรอเสวยสุข ยังจำเป็นต้องทำตามแผนการของข้า ในอนาคตอีกหลายสิบปีข้างหน้า ต้องฝืนใจทำเรื่องดีที่ขัดต่อนิสัยดั้งเดิมของเจ้า เพื่อสะดวกในการช่วงชิงใจคน หากเจ้าละเมิดข้อตกลง ยากที่จะเปลี่ยนนิสัยอำมหิต ทำลายงานใหญ่ของข้าเพียงแค่เพื่อผลประโยชน์เล็กน้อยเท่าแมลงวันตัวหนึ่ง ถึงเวลานั้นเจ้ากับข้าก็คงได้แต่หันหน้าเข้าห้ำหั่นกันเองแล้ว”
เด็กสาวหัวเราะเสียงหวานผ่านเสียงในใจ “นายน้อยวางแผนได้อย่างรอบคอบรัดกุม ข้าน้อยมิกล้าหาเรื่องใส่ตัวหรอก”
ซ่งเฟิ่งซานรวบเสียงกล่าวว่า “ยังต้องรบกวนเจ้าไปแจ้งหานหยวนซ่านที่เมืองใหญ่อีกรอบหนึ่งว่าสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลง ตามหลังโจวจวี่แห่งสำนักศึกษายังต้องมีคนอื่นมาหาเรื่องเขาอีก ส่วนเขาจะยังใช้ตัวตนของฉู่หาวเบียดแทรกเข้าไปในราชสำนักแคว้นซูสุ่ยหรือไม่ ก็อยู่ที่การตัดสินใจของเขาเองแล้ว”
เด็กสาวถอนหายใจหนึ่งที แล้วจึงลุกขึ้นยืนเตรียมจะไปเตือนหานหยวนซ่านที่เมืองใหญ่ “เดี๋ยวก็บนเตียง เดี๋ยวก็ล่างเตียง ข้านี่ยุ่งจริงๆ อ้อ ใช่แล้ว เจ้าอย่าลืมทวงเม็ดเสื้อเกราะที่อยู่บนร่างของฉู่หาวมาจากเด็กหนุ่มที่ชื่อเฉินผิงอันด้วยล่ะ ไม่ว่านายน้อยต้องจ่ายเงินซื้อมา หรือจะแลกเปลี่ยนของเป็นสินน้ำใจ ก็ต้องเอาของชิ้นนั้นมาให้ได้ วันหน้าหากหยวนซ่านของข้าดึงดันจะเสี่ยงอันตรายหวังความร่ำรวย ปลอมตัวเป็นฉู่หาว เสื้อเกราะน้ำค้างหวานชิ้นนั้นก็คือวัตถุสำคัญ”
ซ่งเฟิ่งซานตอบกลับ “ข้าจะจัดการเอง”
เด็กสาวรู้ดีถึงนิสัยเลือดเย็นอำมหิตของคนผู้นี้จึงออกไปจากห้องโถงใหญ่ ไม่วาดงูเติมหางพูดอะไรให้มากความ
หนึ่งคนหนุ่มหนึ่งคนแก่เดินไปยังเรือนพักที่ทางหมู่บ้านจัดไว้ให้เฉินผิงอัน
ก่อนหน้านี้ระหว่างเส้นทางภูเขาที่กลับมายังหมู่บ้าน เจ้าหอหม่ายตู๋ที่แฝงตัวมานานได้ลอบโจมตีเฉินผิงอันก่อน จากนั้นหลินกูซานราชันกระบี่ที่ตามมาทีหลังถึงเข้ามาโรมรันกับซ่งอวี่เซา
หากเฉินผิงอันกับซ่งอวี่เซาอยู่ในสภาวะสูงสุดย่อมชนะได้อย่างไม่ต้องสงสัย และต้องสามารถบดขยี้นักฆ่าที่ได้รับคำสั่งมาจากแคว้นกู่อวี่สองคนนั้นได้อย่างง่ายดาย แต่จิตวิญญาณของเฉินผิงอันถูกเผาผลาญไปมาก การควบคุมชูอีกับสืออู่จึงไม่คล่องแคล่วสมใจปรารถนาเหมือนตอนที่ทะลวงขบวนรบ เป็นเหตุให้ครั้งที่สองที่ประมือกับเจ้าของหอหม่ายตู๋ ฝีมือคนทั้งสองทัดเทียมกัน ซ่งอวี่เซาได้เปรียบเล็กน้อย แต่พลังอำนาจของหลินกูซานเปี่ยมล้น จึงยังไม่สามารถสลัดตัวออกมาช่วยเฉินผิงอันสังหารนักฆ่าอันดับหนึ่งที่ทำตัวลึกลับคนนั้นได้
หลังจากนั้นเซียนกระบี่ไผ่เขียวและหมัวมัวเด็กสาวก็ทยอยกันปรากฏตัว ทั้งสองฝ่ายต่างก็เหมือนมีพันธมิตรคนหนึ่งมาช่วย ตามหลักแล้วโอกาสที่ฝ่ายของหลินกูซานจะชนะนั้นย่อมมีมากกว่า
ซูหลางกับหลินกูซานร่วมมือกันออกกระบี่รับมือกับซ่งอวี่เซา ส่วนเด็กสาวก็ร่วมมือกับเฉินผิงอันเล่นงานเจ้าของหอหม่ายตู๋
แต่หลังจากนั้นสถานการณ์ก็เปลี่ยนไป ซูหลางตัดหัวหลินกูซานด้วยหนึ่งกระบี่ เจ้าหอหม่ายตู๋เห็นท่าไม่ดีจึงเผ่นหนีไปอีกครั้ง ถูกเฉินผิงอันที่พยายามสุดกำลังบังคับกระบี่บินสืออู่ให้แทงทะลุหน้าท้องของอีกฝ่าย แต่นักฆ่าคนนี้ก็ยังหนีไปได้สำเร็จ มองดูเหมือนเด็กสาวหมัวมัวลงแรงเต็มที่ ตบะวิถีมารของทั้งร่างถูกนำมาใช้ต่อสู้จนฟ้าดินสะท้านสะเทือน แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะถึงอย่างไรเด็กหนุ่มต่างถิ่นคนหนึ่งจะเป็นหรือตายก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ใหญ่ของแคว้นซูสุ่ยสักเท่าไหร่ อีกทั้งหากเขาตายอยู่ในป่าลึก คนที่รู้เรื่องวงในซึ่งยากจะควบคุมได้ก็จะลดน้อยไปหนึ่งคน ไม่แน่ว่าอาจส่งผลดีต่อสถานการณ์ของทางฝ่ายนางมากกว่าเดิม
เมื่อมาถึงเรือนพัก วันนี้ชายฉกรรจ์เคราดกและนักพรตหนุ่มต่างก็ไม่ได้อยู่ในหมู่บ้าน พวกเขาถูกเฉินผิงอันเกลี้ยกล่อมให้ไปที่เมืองเล็กล่วงหน้าก่อนนานแล้ว บอกว่าวันนี้ต้องไปจากที่นี่ เดินทางไปยังท่าเรือตระกูลเซียนที่อยู่ริมชายแดน เฉินผิงอันเล่าต้นสายปลายเหตุทั้งหมดให้สหายทั้งสองฟังตามตรงอย่างไม่มีปิดบัง จางซานเฟิงจะตามมาให้ได้ แต่ถูกสวีหย่วนเสียห้ามไว้แล้วลากไปที่เมืองเล็กด้วยกัน
หลังจากนั่งลงข้างโต๊ะหิน ซ่งอวี่เซาก็เอ่ยเบาๆ ว่า “มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าแม่ทัพใหญ่ฉู่หาวจะตายแล้ว”
สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ
ก็เหมือนก่อนหน้านี้ตอนอยู่ศาลาริมน้ำที่สตรีสะพายดาบใช้ปลายฝักดาบชี้มาที่ตน นั่นก็คือการท่องอยู่ในยุทธภพของชาวยุทธ์
ถ้าเช่นนั้นการที่ครั้งนี้ฉู่หาวนำทัพลงใต้มาบุกหมู่บ้านวารีกระบี่ก็เท่ากับแม่ทัพฝ่ายบู๊ที่อยู่ในสมรภูมิรบ
เฉินผิงอันหยิบเม็ดเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างออกจากชายแขนเสื้อมาส่งมอบให้กับผู้เฒ่า ก่อนหน้านี้หมัวมัวเด็กสาวต้องการของสิ่งนี้ แต่เฉินผิงอันไม่เต็มใจเอาออกมาให้
ซ่งอวี่เซาโบกมือกล่าวว่า “เจ้าเป็นคนจับตัวฉู่หาวได้ เม็ดเสื้อเกราะชิ้นนี้ย่อมต้องเป็นของเจ้า”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ผู้อาวุโสรับไปเถอะ ในเมื่อมารหญิงผู้นั้นต้องการเม็ดเสื้อเกราะเม็ดนี้ แสดงว่าต้องไม่ใช่แค่เรื่องของเงิน ข้าก็แค่ไม่ชอบการกระทำของนางถึงได้ไม่อยากมอบให้นาง”
ซ่งอวี่เซายิ้ม “ถ้าอย่างนั้นข้าจะยกเงินหิมะน้อยทั้งหมดที่เก็บสะสมไว้ในหมู่บ้านให้กับเจ้า? ไม่อย่างนั้นจะผิดกฎเกณฑ์แล้ว ข้าคงไม่สบายใจ ทั้งติดค้างน้ำใจทั้งติดเงิน ส่วนเฟิ่งซานจะมีเรื่องให้ต้องใช้เงินหรือไม่ก็ปล่อยให้เขาหาวิธีไปเองเถอะ ถึงอย่างไรเจ้าเด็กนี่ก็มีความสามารถยิ่งใหญ่เทียมฟ้าเทียมดินอยู่แล้ว ข้าไม่เชื่อหรอกว่าแค่เงินหิมะน้อยไม่กี่พันเหรียญ เขาจะหาไม่ได้”
เฉินผิงอันยิ้มกว้าง “หากเป็นเพื่อนกันจริงๆ ต่อให้ติดค้างน้ำใจกันก็ไม่เป็นไร ครั้งหน้าที่ข้ามาเยือนหมู่บ้าน ท่านผู้อาวุโสเลี้ยงเหล้าข้าก็พอแล้ว”
ซ่งอวี่เซาจุ๊ปากพูด “ติดค้างน้ำใจไม่สบายใจยิ่งกว่าติดเงิน เจ้าเป็นคนพูดเอง ตอนนี้เจ้ายังพูดว่าเป็นเพื่อนกันติดค้างน้ำใจก็ไม่เป็นไร ทำไม เหตุผลใต้หล้านี้ล้วนเป็นของเจ้าเฉินผิงอันทั้งหมดงั้นหรือ?”
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ดื่มเหล้าอย่างผ่อนคลายสบายใจ ไร้ความกังวล แล้วก็ไร้ซึ่งความกดดัน หลังจากท่องอยู่ในยุทธภพ ได้ดื่มเหล้ารสเลิศอย่างสาแก่ใจ โดยที่ไม่ใช่เพื่ออำพรางหูตาของใครขณะที่เปลี่ยนลมปราณในสนามรบ รสชาติของเหล้าก็ช่างดีเยี่ยมจริงๆ “หากผู้อาวุโสซ่งไม่เห็นข้าเป็นเพื่อนก็เชิญคืนเงิน คืนน้ำใจข้าได้ตามสบาย คืนให้หมดรวดเดียว เอาให้เกลี้ยงเกลา อย่างมากวันหน้าเมื่อข้าเดินทางผ่านแคว้นซูสุ่ยก็จะไม่มาดื่มเหล้าฮวาเตียว กินหม้อไฟที่หมู่บ้านอีกแล้ว”
ซ่งอวี่เซาลังเลอยู่เล็กน้อย ด้วยความจนใจจึงได้แต่รับเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารชิ้นนั้นมา พลางเอ่ยหยอกเย้าว่า “เจ้านี่เป็นคนยังไงกันแน่ ข้าเริ่มจะสับสนแล้วนะ”
เฉินผิงอันกะพริบตาปริบๆ “ตอนเป็นลูกศิษย์เตาเผามังกรที่บ้านเกิด อาจารย์ที่สอนข้าเผาเครื่องปั้นเคยพูดหลักการข้อหนึ่งว่า หากเป็นน้ำใจ ยกวัวให้ไม่มีปัญหา หากเป็นการค้า เข็มเล่มหนึ่งต้องคิดราคา”
ซ่งอวี่เซาอึ้งตะลึง “หมายความว่าอะไร?”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างเขินๆ ว่า “ความหมายคือบอกว่าหากสนิทสนมกัน จะยกวัวให้เพื่อนเปล่าๆ ก็ไม่เป็นไร แต่หากเป็นการค้า แม้แต่เข็มเล่มหนึ่งก็ยังต้องจดลงในบัญชี”
หลักการที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายบ้านนอกบ้านนานี้ของหยางเหล่าโถวไม่มีบอกในตำรา แต่ตอนอยู่เมืองแยนจือแคว้นไฉ่อี ก่อนตายนักพรตจงเมี่ยวเคยได้พูดประโยคทำนองเดียวกันนี้
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงรู้สึกว่าหลักการที่ค่อนข้างเรียบง่ายนี้ น่าจะไม่ผิด
ซ่งอวี่เซาหัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดี ชี้หน้าเด็กหนุ่ม “เจ้าเด็กน้อย วันหน้าเจ้าต้องรวยมากแน่ๆ”
เฉินผิงอันยกสองมือกุมเป็นหมัด คลี่ยิ้มสดใส “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”
ซ่งอวี่เซาลุกขึ้นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ทางหมู่บ้านคงไม่รั้งตัวเจ้าไว้แล้ว ข้าจะไปสั่งความบางอย่าง จากนั้นไปที่เมืองเล็กด้วยกัน จะเลี้ยงหม้อไฟเจ้า หลังจากนั้นเจ้ากับเพื่อนก็ไปที่ท่าเรือเถอะ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ หลังจากผู้เฒ่าไปหาผู้ดูแลฉู่ เขาก็กลับไปที่ห้องของตัวเองในเรือนหลังเล็ก เปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าสะอาดชุดใหม่ ทิ้งยันต์สีทองที่เขียนไว้เรียบร้อยแล้วไว้บนโต๊ะแผ่นหนึ่ง คือยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจ เด็กหนุ่มใช้จอกเหล้าวางทับมันเอาไว้
ตอนนั้นที่คนทั้งสองออกมาจากสนามรบ ยอมรับเงินหิมะน้อยจากผู้เฒ่าไว้สามร้อยเหรียญก็เพราะเฉินผิงอันต้องการให้ผู้เฒ่าสบายใจเท่านั้น
ไม่ว่าตอนนี้นิสัยของเด็กหนุ่มจะเปลี่ยนไปมากน้อยเท่าไหร่ ยกตัวอย่างเช่นเปลี่ยนจากเด็กบ้านนอกคนหนึ่งที่ไม่เคยแตะเหล้าสักหยดมาเป็นผีขี้เหล้าน้อยที่รู้ว่าสุราแบบไหนดีหรือไม่ดี ระดับสูงหรือต่ำ แต่เรื่องบางเรื่องก็ยังคงตรงกับคำว่าแผ่นดินเปลี่ยนง่าย สันดานคนเปลี่ยนยาก บางทีต่อให้ผ่านไปอีกร้อยปีหรือพันปีก็ยังอาจจะเป็นเช่นนี้
เสียเปรียบคือโชคอย่างหนึ่ง ความโลภคือการเสียผลประโยชน์ หลักการเหล่านี้ล้วนมีอยู่ในตำรา อีกทั้งยังไม่ใช่แค่ในตำราเล่มเดียวด้วย
สุดท้ายอริยะกระบี่ผู้เฒ่าของแคว้นซูสุ่ยก็หิ้วห่อเล็กๆ หนึ่งห่อและเหล้ารสเลิศมาสองไห คนทั้งสองมาเจอกันในลานบ้าน เฉินผิงอันบรรจุเหล้าใส่ไว้ในน้ำเต้าบรรจุเหล้าอีกครั้ง ยังเหลืออีกไหหนึ่งให้เอาไปกินที่ร้านหม้อไฟได้พอดี ผู้เฒ่าบอกว่าจะช่วยเขาถือห่อผ้าที่บรรจุเงินหิมะน้อยและของเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างเอาไว้ก่อน
หลังออกมาจากลานบ้านของเรือนหลังเล็ก ผู้ดูแลเฒ่าที่มีเส้นผมขาวโพลนยืนอยู่ตรงหน้าประตู กุมหมัดเอ่ยกับเฉินผิงอันยิ้มๆ ว่า “จอมยุทธ์น้อยเฉิน วันหน้ามาเป็นแขกที่หมู่บ้านบ่อยๆ นะขอรับ นับจากปีนี้ไป หมู่บ้านวารีกระบี่ของพวกเราจะเตรียมเหล้าฮวาเตียวไว้ให้มากๆ หมักเก็บไว้เพื่อจอมยุทธ์น้อยโดยเฉพาะ รับรองว่าทุกครั้งที่มาจะได้ดื่มเหล้าหมักหลายปีที่มีรสชาติดั้งเดิมที่สุด”
เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะตอบ “จะไม่เกรงใจแน่นอน!”
ซ่งอวี่เซากับเฉินผิงอันพุ่งทะยานออกจากหมู่บ้านอีกครั้ง
ผู้ดูแลเฒ่ายืนอยู่ที่เดิมไม่ยอมขยับไปไหนเป็นนาน รอยยิ้มของเขาเต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม หัวหน้าหมู่บ้านผู้เฒ่าวันนี้ช่างแตกต่างไปจากความเซื่องซึมของเมื่อหลายปีก่อนจริงๆ หัวหน้าหมู่บ้านผู้เฒ่าในตอนนี้เปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิม มีชีวิตชีวาสดใสไม่ต่างจากในปีนั้นที่ท่องไปในยุทธภพ
ดังนั้นยุทธภพของแคว้นซูสุ่ยเราจะต้องยังรุ่งโรจน์ไปอีกหลายสิบปีแน่นอน
ผู้เฒ่าเดินทอดน่องกลับไป ระหว่างทางได้เจอกับสาวใช้สองคนที่รับผิดชอบดูแลบ้านหลังนั้น ผู้ดูแลเฒ่าที่เดิมทีไม่ค่อยชอบพูดคุยยิ้มแย้ม เวลานี้กลับมีรอยยิ้มประดับใบหน้า ทำให้สาวใช้พกกระบี่คู่นั้นตกใจที่ได้รับความปราณีอย่างไม่คาดฝัน รู้สึกว่าพระอาทิตย์คงขึ้นทางทิศตะวันตก
คนทั้งสองมาถึงเมืองเล็ก พอได้ข่าวพวกสายลับที่ราชสำนักสั่งให้แฝงตัวมาอยู่ที่นี่ก็ถอยกันออกไปเอง
ไปพบกับสวีหย่วนเสียและจางซานเฟิงที่ภัตตาคารแห่งนั้น คนทั้งสี่ยังคงมานั่งอยู่ที่ชั้นสอง กินหม้อไฟด้วยกัน เพราะคราวก่อนซ่งอวี่เซาป่าวประกาศชื่อแซ่ เจ้าของร้านจึงค่อนข้างมีท่าทีระมัดระวัง ถูกผู้เฒ่าด่ายิ้มๆ ด้วยคำพูดติดปากว่าเจ้าทึ่ม ถึงได้กลับมาเป็นตัวของตัวเองสองสามส่วน จางซานเฟิงกินเผ็ดไม่ค่อยเก่ง แต่ก็ไม่อยากทำให้เสียบรรยากาศ จึงกินพลางน้ำตาไหลไปด้วย เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่ากินเหล้าช่วยแก้เผ็ดได้ ผลคือนักพรตหนุ่มพ่นเหล้าพรวดใส่เฉินผิงอันเต็มตัว
บนโต๊ะอาหาร ผู้เฒ่าเองก็ดื่มจนเมามาย ไม่ได้ใช้วรยุทธ์ขับไล่ฤทธิ์สุราที่อัดแน่นอยู่เต็มท้อง คอยยกจอกเหล้าชนกับเฉินผิงอันและอีกสองคนไม่หยุด
แถมยังพูดความในใจกับเฉินผิงอันมากมายไม่จบไม่สิ้น คิดถึงเรื่องไหนได้ก็พูดเรื่องนั้น
“เฉินผิงอันเอ๋ย เรื่องการพูดคุยด้วยเหตุผลนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนชื่นชอบนัก เด็กสาวไม่ชอบฟัง กับบุรุษก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ โลกนี้อยู่ยาก ความอัดอั้นสุมใจจนกลายเป็นไฟโทสะ ถึงเวลายังต้องฟังคนบ่น เจ้าว่าน่ารำคาญหรือไม่ล่ะ? เหตุผลไม่ถูกก็ยังพอทำเนา ทั้งๆ ที่รู้ว่าถูกแล้ว ทว่าตัวเองกลับทำไม่ได้ นั่นจะไม่ยิ่งทิ่มแทงใจกว่าหรอกหรือ?”
เด็กหนุ่มดื่มเหล้าบวกกับกินเผ็ดจนลิ้มเริ่มพันกันแล้ว เขาโต้กลับไปว่า “มีบางครั้งที่ข้าอาจจะยกเหตุผลมาพูด แต่ไม่เคยทะเลาะกับใครมาก่อนจริงๆ อย่างมากสุดก็แค่ตีกันเท่านั้น!”
ผู้เฒ่ายังกล่าวต่อว่า “หากวันหน้ามีแม่นางคนหนึ่งพูดกับเจ้าว่า เฉินผิงอัน เจ้าเป็นคนดี…”
สีหน้าของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความรอคอย “แบบนั้นก็สำเร็จแล้วไม่ใช่หรือ?”
ผู้เฒ่าตบโต๊ะ กล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “เจ้าโง่หรือไง! สำเร็จกะผีน่ะสิ นั่นแสดงว่าความสัมพันธ์ของพวกเจ้าสองคนจบเห่แน่แล้ว!”
เด็กหนุ่มอึ้งงันเป็นไก่ไม้ จากนั้นก็รีบดื่มเหล้าระงับความตกใจ
หลังจากกินดื่มกันอิ่มหนำแล้ว คนทั้งสามก็บอกลากับซ่งอวี่เซาที่ปลายทางของถนนสายเล็ก
หลังจากที่เงาร่างของคนทั้งสามค่อยๆ จากไปไกล ซ่งเฟิ่งซานที่ตรงเอวมีกระบี่เหล็กเล่มหนึ่งเพิ่มขึ้นมาก็มาปรากฏกายอยู่ข้างกายผู้เฒ่าเงียบๆ
ผู้เฒ่าทอดสายตามองไปไกล ถอนหายใจหนึ่งที
ซ่งเฟิ่งซานพูดเสียงเย็น “สรุปว่าข้าหรือเขากันแน่ที่เป็นหลานของท่าน?”
ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ
แม้คำพูดของซ่งเฟิ่งซานจะฟังดูคล้ายขุ่นเคือง แต่มุมปากกลับยกยิ้ม
ที่แท้ในห่อผ้าห่อนั้นของผู้เฒ่าบรรจุเงินหิมะน้อยเกือบสองพันเหรียญของหมู่บ้านวารีกระบี่ โดยที่ไม่มีเหลือไว้ในหมู่บ้านแม้แต่เหรียญเดียว
ตอนที่นั่งกินอาหาร เฉินผิงอันถูกผู้เฒ่าคะยั้นคะยอให้ดื่มเหล้าตลอดเวลา ดื่มจนเมาแปล้ ตอนที่เดินฝีเท้ายังโซเซ ทั่วร่างคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหล้า ไหนเลยจะมีเวลามาสนใจห่อผ้าใบเล็กที่สะพายเอียงๆ อยู่ด้านหลัง
คนเก่าแก่ในยุทธภพก็ยังเป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพ เด็กหนุ่มยังอ่อนหัดนัก
บทที่ 249.1 เทพเซียนซื้อขาย วันหน้าพบกันใหม่
โดย
ProjectZyphon
มาถึงระยะทางเจ็ดร้อยลี้ก่อนหน้าจะถึงหมู่บ้านวารีกระบี่ เนื่องด้วยเฉินผิงอันมีเรื่องให้คิดหนัก คนทั้งสามจึงเดินทางกันอย่างเซื่องซึม การเดินทางไปยังท่าเรือตระกูลเซียนที่ชายแดนในครั้งนี้แตกต่างจากทุกครั้งราวฟ้ากับเหว นั่นเพราะคนทั้งสามพูดคุยกันอย่างเปิดอกมากขึ้น ทุกคนต่างก็เปิดเผยความลับมากมายของตัวเอง ความสัมพันธ์จึงยิ่งแน่นแฟ้น ต่อให้เป็นโศกนาฎกรรมที่สหายตายเกลี้ยง คืนหนึ่งที่นอนพักค้างแรมบนยอดเขา สวีหย่วนเสียก็เล่ามาบางส่วน ส่วนจางซานเฟิงเองก็เล่าถึงตระกูลและสำนักของตัวเองอย่างที่หาได้ยาก เขารับน้ำเต้าบรรจุเหล้าที่เฉินผิงอันมอบให้มาแล้วดื่มเหล้าอึกใหญ่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยเฉพาะตอนที่พูดถึงฮั่วหลงเจินเหรินอาจารย์ของเขาที่เอ่ยถึงแต่เรื่องร้ายๆ ของอีกฝ่าย สบถด่าไม่หยุด เพียงแต่ว่าแม้ปากจะไม่ไว้ไมตรี แต่บนใบหน้าของนักพรตหนุ่มกลับเต็มไปด้วยความคิดถึง วางกระบี่ไม้ท้อพาดขวางไว้บนหัวเข่า ตอนที่พูดถึงเรื่องที่ซาบซึ้งใจก็ได้แต่ดื่มเหล้าปกปิดน้ำตาที่เอ่อคลอ
ระหว่างนี้นักพรตหนุ่มยังจามอยู่หลายครั้ง ชายฉกรรจ์เคราดกเอ่ยเย้าว่า ทำไม อาจารย์เจ้าอยู่ไกลถึงหนึ่งทวีปกางกั้น ยังจะได้ยินคำบ่นของเจ้าด้วยหรือ? หรือว่าเป็นเทียนซือฝ่ายนอกคนหนึ่งของภูเขามังกรพยัคฆ์? จางซานเฟิงตอบอย่างขุ่นเคืองว่า เทียนซืออะไรกัน ตลอดชีวิตที่ผ่านมาตาแก่นั่นไม่เคยไปที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเลยสักครั้ง วันๆ เอาแต่พร่ำพูดว่าจะไปกราบไหว้บรรพบุรุษที่ภูเขามังกรพยัคฆ์อันเป็นปฐมสำนัก แต่ถ้าวันนี้ไม่ปวดเอว พรุ่งนี้ก็ปวดขา ไม่ก็นอนกรนครอกๆ ทุกครั้งที่นอนก็นอนได้นานถึงสิบวันครึ่งเดือน ครั้งที่ยาวที่สุดคือด้านล่างภูเขามีหิมะตกหนักติดต่อกันถึงสองเดือน ตาแก่นั่นก็ยืนอยู่ริมหน้าผาท่ามกลางลมหิมะหลับไปนานถึงสองเดือนเต็ม รอจนหิมะละลายจนสิ้นแล้วถึงได้ตื่นขึ้นมา ก่อนหน้านั้นเดิมทีพวกลูกศิษย์ได้เตรียมตัวกันไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะติดตามอาจารย์เดินทางไกลไปเยือนภูเขามังกรพยัคฆ์ตามหมายกำหนดการ ผลกลับกลายเป็นว่าทุกอย่างที่เตรียมการไปล้วนเสียเวลาเปล่า สรุปก็คือผู้เฒ่าไม่มีความจริงใจเลยแม้แต่นิดเดียว เสียงบ่นด้วยความไม่พอใจของเหล่าลูกศิษย์กระหึ่มไปทั่ว พวกเขาพยายามจะพูดถึงเรื่องนี้อ้อมๆ อยู่หลายครั้ง แต่ตาเฒ่ากลับทำเป็นหูทวนลม ประมาณว่าพวกเจ้าอยากจะพูดอะไรก็พูดไป ก็แค่ลมโชยพัดผ่านขุนเขา
เฉินผิงอันเองก็เป็นฝ่ายเล่าถึงฉีจิ้งชุน เพราะถึงอย่างไรคืนนั้นฉีจิ้งชุนได้ปรากฎตัวในวัดร้างของแคว้นซูสุ่ยก็ถือว่าได้พบหน้าสวีหย่วนเสียกับจางซานเฟิงแล้ว
แต่พอพูดถึงถ้ำสวรรค์หลีจูซึ่งเป็นบ้านเกิดของตน เขากลับเล่าแค่ว่าตนเกิดและโตมาที่นั่น บอกว่าฉีจิ้งชุนสอนหนังสือมากมายที่โรงเรียน
ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันไม่เต็มใจที่จะเล่า เพียงแค่ไม่กล้าพูดมาก เพราะหากให้เล่าแบบหมดเปลือกจริงๆ และยิ่งมีสุราให้ดื่มแบบนี้ เขาคงเล่าเรื่องเกี่ยวกับอาจารย์ฉีให้สหายทั้งสองฟังได้ทั้งคืน
ระยะทางสั้นๆ ระหว่างที่เดินทางกับเด็กหนุ่มชุยฉาน ลูกศิษย์หน้าหนาผู้นั้นค่อนแคะที่เฉินผิงอันเงียบขรึมไม่ชอบพูดชอบคุย จึงมักจะแกล้งมาบ่นให้เขาฟังต่อหน้า พูดเรื่องมากมายเกี่ยวกับบนภูเขา ยกตัวอย่างเช่นแผนการ ‘น่าสนใจ’ ที่เหล่าอริยะของเมธีร้อยสำนักวางไว้ในแต่ละทวีปใหญ่ ต่อให้ทุกครั้งเด็กหนุ่มชุยฉานจะพูดแค่ครึ่งๆ กลางๆ พูดทีละเล็กทีละน้อย จงใจไม่พูดอย่างชัดเจน เป็นเหตุให้เรื่องวงในที่แท้จริงเหล่านั้นเป็นดั่งมังกรที่ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ท่ามกลางกลุ่มเมฆ แต่เฉินผิงอันกลับรู้ถึงความหนักเบาและความจริงจังของเรื่องเหล่านี้แล้ว
เฉินผิงอันยังเล่าเรื่องที่ตัวเองต่อยน้ำตกและขอบเขตเพิ่มสูงขึ้นด้วย
สวีหย่วนเสียเป็นคนบนวิถีวรยุทธ์จึงตื่นตะลึงอย่างถึงที่สุด ต่อให้จะพอคาดการณ์ได้มาก่อนแล้ว แต่ก็ยังยกนิ้วโป้งให้เฉินผิงอัน บอกว่าอนาคตยาวไกล ตำแหน่งปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตหลอมจิตวิญญาณย่อมหนีไปไหนไม่พ้นแน่นอน
เห็นสีหน้ามึนงงของจางซานเฟิงแล้ว สวีหย่วนเสียก็ยกตัวอย่างให้ฟัง บอกว่าด้วยขอบเขตของเฉินผิงอันในเวลานี้ หากเอาไปไว้บนภูเขา นั่นก็เท่ากับว่าใกล้จะฝ่าคอขวดของห้าขอบเขตล่างไปได้แล้ว เพียงแค่ก้าวเท้าออกไปหนึ่งก้าวก็อาจจะเลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิตขอบเขตที่หกได้ทุกเมื่อ จางซานเฟิงถึงเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง จากนั้นนักพรตหนุ่มก็เริ่มโอดครวญ บอกว่าตนมุมานะฝึกตนทุกวัน แต่ความสำเร็จถูกสุนัขคาบไปกินหมดเลยหรือไง?
เฉินผิงอันหัวเราะฮ่าๆ ร่วมด้วยช่วยกันกับชายฉกรรจ์เคราดกถากถางจางซานเฟิง
เพราะจางซานเฟิงไม่จำเป็นต้องให้ใครปลอบใจ อันที่จริงไอ้หมอนี่มีจิตใจแข็งแกร่งไม่ต่างจากเฉินผิงอัน ไม่เคยกลัวฟ้าไม่เคยเกรงดิน กลัวแค่เรื่องเดียวคือ ในกระเป๋าไม่มีเงิน กินไม่อิ่มท้อง
หากจะให้เพิ่มขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่งก็คือ การเดินทางลงใต้ในครั้งนี้ของนักพรตหนุ่ม หลายครั้งที่กำจัดปีศาจปราบมารล้วนทำได้ไม่ดีพอ มโนธรรมในใจเขาจึงยากที่จะสงบลงได้
หลังจากนั้นมาคลื่นลมก็สงบไปตลอดทาง เมื่อผ่านมรสุมเรื่องประหลาดที่เมืองแยนจือมาได้แล้วยังได้ไปชมความครึกครื้นที่หมู่บ้านวารีกระบี่ เวลาเดินทางจึงกลับกลายเป็นว่าคนทั้งสามรู้สึกเหงาเล็กน้อย ยังดีที่ไม่นานก็มาถึงด่านริมชายแดนแห่งนั้น อีกอย่างคนทั้งสามก็มีเอกสารผ่านแดนที่ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ แม้ว่าจะยังมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด แต่ก็ยังสามารถเดินผ่านประตูเมืองเข้าไปยังจวนแม่ทัพภาคได้อย่างราบรื่น
ในห่อผ้าที่ซ่งอวี่เซามอบให้ นอกจากเงินหิมะน้อยเกือบสองพันเหรียญแล้ว ยังมีจดหมายอีกหนึ่งฉบับที่ผู้เฒ่าเขียนเองกับมือ ขอแค่เฉินผิงอันมอบให้กับจวนแม่ทัพภาคของแคว้นซูสุ่ยที่ตั้งอยู่ตรงชายแดนก็จะได้รับการอนุญาตจากทางราชสำนักให้เข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามเอง
พอมาถึงหน้าประตูจวนที่ปิดสนิท เฉินผิงอันก็เดินไปพูดคุยกับคนที่เฝ้าอยู่หน้าประตู คิดไม่ถึงว่าพวกทหารชายแดนเหล่านี้จะฟังภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปไม่รู้เรื่อง ส่วนเฉินผิงอันก็พูดภาษาทางการของแคว้นซูสุ่ยไม่เป็น จึงเหมือนไก่กับเป็ดที่คุยกันคนละภาษา สถานการณ์น่ากระอักกระอ่วนอย่างยิ่ง ยังดีที่ทหารหน้าประตูบอกให้เฉินผิงอันรอสักครู่ แล้วให้คนเข้าไปรายงานด้านใน เพียงไม่นานผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของตำราคนหนึ่งก็เดินออกมา ผู้เฒ่าเชี่ยวชาญภาษาทางการของทวีป เฉินผิงอันส่งมอบจดหมาย ‘สำหรับแม่ทัพภาคใหญ่’ ลงท้ายด้วยชื่อของซ่งอวี่เซาแห่งหมู่บ้านวารีกระบี่ไปให้ผู้เฒ่า
กุนซือเฒ่ารับจดหมายฉบับนั้นมาด้วยสองมือ แล้วรีบพาคนทั้งสามไปนั่งที่ห้องรับรองแขกอย่างไม่กล้าเพิกเฉย หลังจากยกน้ำชามาวางแล้วถึงได้รีบวิ่งเร็วๆ ไปยังห้องทำงานที่แม่ทัพภาคใช้จัดการงานในกองทัพ ผ่านไปอีกครู่หนึ่งก็มีผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยผิวดำเกรียมคนหนึ่งเดินมา เขาทั้งไม่ได้สวมเสื้อเกราะ แล้วก็ไม่ได้สวมชุดขุนนางฝ่ายบู๊ สีหน้าเฉยเมย ในมือกำตราประทับทองสัมฤทธิ์สามชิ้น มาถึงก็มอบมันให้กับเฉินผิงอันแล้วหมุนตัวจากไปโดยไม่พูดไม่จาสักคำ
ตอนที่คนทั้งสามออกมาจากจวนแม่ทัพภาคมณฑล เฉินผิงอันกับจางซานเฟิงยังมึนงงอยู่เล็กน้อย แม่ทัพภาคแคว้นซูสุ่ยที่หน้าตาไม่โดดเด่นคนนั้นทำอะไรรวดเร็วฉับไวเกินไปแล้ว
ชายฉกรรจ์เคราดกที่ตรงเอวพกทั้งดาบสั้นและดาบยาวเอ่ยอธิบายว่า “แม่ทัพในสนามรบที่ไต่จากระดับล่างสุดไปยังตำแหน่งสูงได้นั้น ส่วนใหญ่ล้วนไม่มีนิสัยชอบคุยโวโอ้อวด”
จากนั้นเขาก็หัวเราะ “หากเป็นในวงการขุนนาง นี่เรียกว่าพวกผู้ดีพูดจาเนิบช้า” (พวกผู้ดีเวลาจะพูดอะไรต้องไตร่ตรองอย่างละเอียดเสียก่อน กว่าจะพูดได้จึงช้ามาก)
จางซานเฟิงพูดเสียงขุ่น “เขาไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำเดียว เนิบช้าอะไรกัน”
เฉินผิงอันเคยเล่าเรื่องมรสุมในหมู่บ้านวารีกระบี่มาก่อน พวกเขาจึงรู้ท่าทีที่ราชสำนักมีต่อหมู่บ้าน ด้วยเหตุนี้สวีหย่วนเสียจึงอดทอดถอนใจด้วยความปลงอนิจจังไม่ได้ “ในช่วงเวลาแบบนี้ยังยอมพบหน้าพวกเรา แถมยังยอมมอบตราประทับผ่านด่านมาให้สามชิ้น ก็ถือว่าแม่ทัพภาคผู้นี้มีคุณธรรมมากแล้ว และแสดงว่าต้องสนิทสนมกับอริยะกระบี่ซ่งมากแน่ๆ”
เฉินผิงอันพยักหน้าเห็นด้วย “คนที่เป็นเพื่อนกับผู้อาวุโสซ่งได้ ต้องไม่ใช่คนเลวร้ายแน่นอน”
สวีหย่วนเสียกับจางซานเฟิงหันมายิ้มให้กัน ฝ่ายหลังจุ๊ปากพูดว่า “เฉินผิงอัน ประโยคนี้ของเจ้าเข้าใจพูดนักนะ รู้จักพูดชมตัวเองอ้อมๆ แล้ว?”
เฉินผิงอันจึงพูดอีกว่า “คนที่เป็นเพื่อนกับเพื่อนของผู้อาวุโสซ่งได้ก็ไม่น่าจะแย่”
สวีหย่วนเสียชูนิ้วโป้ง “ประโยคนี้กล่าวได้อย่างมีคุณธรรม น่าเชื่อถือ!”
จางซานเฟิงโอบไหล่เฉินผิงอัน กล่าวชื่นชมว่า “พลิกแพลงได้ดังใจปรารถนา ไม่มีช่องว่างให้โจมตี!”
คนทั้งสามหัวเราะเสียงดังเดินออกจากด่านผ่านทางประตูทิศใต้ มุ่งหน้าลงใต้ต่ออีกครั้ง ตรงเอวของคนทั้งสามต่างก็ห้อยตราประทับชิ้นนั้น
หลังจากเดินทางไปได้อีกร้อยกว่าลี้ก็จะเข้าไปยังพื้นที่ต้องห้ามอันเป็นอาณาเขตของท่าเรือตระกูลเซียน
มาถึงบนภูเขาลูกเล็กแห่งหนึ่งหลังจากเดินมาได้ครึ่งทาง คนทั้งสามก็หยุดพัก เฉินผิงอันก่อไฟทำอาหาร ระหว่างนี้มีคนแอบมองพวกเขาอยู่ไกลๆ แต่คงเป็นเพราะเห็นตราประทับตรงเอว จึงจากไปอย่างเงียบเชียบโดยไม่กล้ามีความคิดชั่วร้ายแอบแฝงอีก
คนทั้งสามกินข้าว แต่ไม่ได้ดื่มเหล้า กำลังจะเข้าสู่ท่าเรือที่มีผู้ฝึกลมปราณมากมายมารวมตัวกัน ปลอดภัยไว้ก่อนย่อมดีกว่า
สวีหย่วนเสียเดินทางมาครั้งนี้ก็เพื่อมาส่งเฉินผิงอันกับจางซานเฟิงเสียมากกว่า แต่หากมีเรือข้ามฟากไปยังแคว้นชิงหลวนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีปย่อมดีที่สุด ส่วนเรื่องร้านขายสมบัติอาคมที่ท่าเรือ สวีหย่วนเสียคือผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่ง อีกทั้งตอนนี้ยังมีอาวุธเทพเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งชิ้น เขาจึงไม่รู้สึกสนใจอีกต่อไปแล้ว
ส่วนจางซานเฟิงที่นอกจากจะซื้อกระบี่ที่สามารถทั้งรุกและรับได้แล้ว ยังต้องการซื้อยันต์หายากประเภทเดียวกับยันต์เทพเดินทางอีกส่วนหนึ่ง รวมไปถึงหาคนตั้งราคาตะเกียบไม้ไผ่เสินเซียวจากภูเขาชิงเสินคู่นั้น ส่วนถ้วยขาวที่สามารถรวบรวมปราณวิญญาณให้เป็นน้ำค้างหวาน รวมไปถึงเม็ดเสื้อเกราะแคว้นกู่อวี๋ที่เฉินผิงอันกึ่งขายกึ่งยกให้ชิ้นนั้น นักพรตหนุ่มไม่มีทางขายอย่างแน่นอน สมบัติสองชิ้นนี้เขาไม่คิดจะหยิบออกมาด้วยซ้ำ คนอื่นจะได้ไม่เกิดใจละโมบคิดอยากครอบครอง แทนที่จะเป็นเรื่องดีอาจกลายเป็นสร้างหายนะให้กับตัวเอง
ส่วนทางฝ่ายของเฉินผิงอันก็ยิ่งไม่มีทางแตะต้องของที่เอามาจากภูเขาลั่วพั่วแม้แต่ชิ้นเดียว
หินดีงูชั้นดีที่เฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักโองการเทพนำไปคืนให้บนเรือคุนย่อมต้องเก็บไว้ หลังจากถ้ำสวรรค์หลีจูหล่นลงสู่พื้นดิน ในลำคลองหลงซวีและแม่น้ำเถี่ยฝูต่างก็ไม่เหลือหินดีงูให้เห็นแม้แต่ก้อนเดียว ล้วนกลายเป็นหินธรรมดาไปทั้งหมด ได้ยินว่าหินดีงูมีเฉพาะในถ้ำสวรรค์หลีจู นี่หมายความว่าทุกครั้งที่ใช้หมดไปหนึ่งก้อนก็เท่ากับว่าลดน้อยลงไปหนึ่งก้อน ตอนนี้เฉินผิงอันรู้จักหลักการกักตุนของไว้เก็งกำไรแล้ว ยิ่งเอาออกขายช้าเท่าไหร่ก็ยิ่งได้กำไรมากเท่านั้น
หัวใจแห่งบุ๋นร่างทองที่เสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองเมืองแยนจือมอบให้ยิ่งต้องเก็บไว้ให้ดี เศษชิ้นส่วนร่างทองสีเงินและสีทองที่ทยอยได้มาสองครั้งก็ห้ามเอาออกมาให้ใครเห็นเช่นกัน
ตราเทียนซือที่ด้านบนสลักคำว่า ‘ตราประทับเสี่ยวโย่วโป๋เทพอภิบาลเมืองเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อี’ เสิ่นเวินให้ความสำคัญมากที่สุด ถึงขนาดเอ่ยคำว่า ‘มีเพียงผู้มีคุณธรรมถึงจะได้ครอบครองอาวุธเทพ’ ว่ากันว่าตราประทับนี้ต้องใช้พร้อมกับเวทห้าอสนีถึงจะสามารถสำแดงพลานุภาพอันยิ่งใหญ่ของมันออกมาได้อย่างเต็มที่ อันที่จริงตอนแรกเฉินผิงอันนึกถึงจางซานเฟิงนักพรตฝ่ายนอกของภูเขามังกรพยัคฆ์ รวมไปถึงหลินโส่วอีที่ตอนนี้ไปขอศึกษาอยู่ที่สำนักศึกษาซานหยา แต่ก็ฝึกตำรา ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ ไปพร้อมกันด้วย แต่พอเฉินผิงอันลองใคร่ครวญดูแล้ว ใช่ว่าเขาจะตัดใจมอบให้ใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้ แค่รู้สึกว่าไม่เหมาะ เขาคิดว่าต่อให้จะมอบให้ใครก็ควรต้องไว้ว่ากันภายหลัง คงต้องรอให้เฉินผิงอันเข้าใจก่อนว่าอะไรคือ ‘ผู้มีคุณธรรม’ แล้วค่อยดูว่าเมื่อถึงเวลานั้น ระหว่างจางซานเฟิงกับหลินโส่วอี ใครที่คู่ควรกับสามคำนี้มากกว่ากัน
หากเป็นเมื่อก่อน เฉินผิงอันคงยกให้ทันทีโดยไม่คิดอะไรให้ยุ่งยาก
แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว
—–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น