ยอดหญิงสกุลเสิ่น 247.2-248.1

ตอนที่ 247-2 เรื่องในปีนั้น

 

เห็นสีหน้าของสวีโย่วไม่ดีเล็กน้อย เสิ่นเวยจึงกล่าวต่อ “ฝ่าบาทอาจจะสังเกตอะไรได้หลังจากเรื่องเกิด ดังนั้นเขาเพียงแค่กักขังไท่จื่อ ไม่ได้ตัดสินโทษ ถอดยศไท่จื่อของเขาก็เพียงเพราะต้องการปกป้องเขาก็เท่านั้นเอง”


 


 


สีหน้าของสวีโย่วดีขึ้นเล็กน้อย ทันใดนั้นเขามองเสิ่นเวยด้วยดวงตาเป็นประกาย ถอนหายใจกล่าว “เวยเวยเจ้าฉลาดจริงๆ” ให้นางวิเคราะห์เช่นนี้ คดีก่อกบฏของท่านพี่ไท่จื่อปีนั้นก็เต็มไปด้วยช่องโหว่ทันที


 


 


เสิ่นเวยหัวเราะเยาะหนึ่งครา “คนนอกเห็นชัดรู้หรือไม่ อีกอย่าง ข้าไม่เชื่อว่าในกลุ่มขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งราชสำนักจะไม่สงสัยเลย เพียงแค่ดูท่าทีของฝ่าบาทก็เท่านั้นเอง ฝ่าบาทเชื่อทั้งหมดเลยหรือ ก็ไม่แน่ เพียงเพราะว่าหลักฐานมัดตัว จำใจต้องรับผิดชอบต่อเหล่าขุนนางในราชสำนักก็เท่านั้นเอง เห็นแล้วหรือยัง แม้ว่าวิธีการจะหยาบ แต่ใช้ได้ผลก็พอแล้ว หรือว่าหลังเรื่องจบท่านไม่เคยตรวจสอบเลยหรือ จานซื่อผู้นั้นไม่มีครอบครัว หรือว่าครอบครัวสูญหายไปก่อนแล้ว”


 


 


สวีโย่วลูบจมุก กล่าวอย่างไม่สบายใจ “เป็นเช่นนี้จริงๆ นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าใช้กำลังทหารมังกร ภายในครึ่งเดือนครอบครัวจานซื่อผู้นั้นก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว”


 


 


เสิ่นเวยยกยิ้มอย่างพอใจ วางท่าทางว่าดูสิ ข้าพูดไม่ผิดใช่หรือไม่ “จดหมายเหล่านั้นน่าจะเป็นของปลอมทั้งหมด เอาลายมือของไท่จื่อกับอ๋องเคียงบ่ามา หาคนปลอมก็ง่ายดายไม่ใช่หรือ” คนอื่นไม่รู้ แต่นางกลับทำได้ อ้อยังมี อาจารย์ซูของนางทำงานนี้ได้ช่ำชองยิ่งกว่า


 


 


ดวงตาของสวีโย่วก็ยิ่งเป็นประกาย มองเสิ่นเวยอย่างแรงกล้ายิ่งขึ้น นี่ทำให้เสิ่นเวยอดระวังตัวขึ้นมาไม่ได้ “ทำไมถึงมองข้าอย่างนั้น น่าขนลุก!”


 


 


สวีโย่วยิ้มเอาใจ กระซิบเสียงเบาข้างหูเสิ่นเวยหลายประโยค กล่าวร้องขอ “เวยเวยคนดี เจ้าฉลาดมากความสามารถเพียงนี้ ก็ช่วยข้าหน่อยเถิด” มือใหญ่บีบไหล่ของเสิ่นอย่างกระตือรือร้น


 


 


“ท่านหาเรื่องมาให้ข้าเก่งจริงๆ” เสิ่นเวยถลึงตามองสวีโย่วอย่างอารมณ์ไม่ดีปราดหนึ่ง เพียงแค่ดูจากที่คนหลังม่านสามารถใช้เวลานานเพียงนี้วางแผนเช่นนี้ได้ ก็รู้ถึงอำนาจฝีมือของคนผู้นี้แล้ว นางเผลอตัวเข้าไปมีส่วนร่วมจะดีหรือ


 


 


“เป็นคนเก่งก็เหนื่อยหน่อย ใครให้ข้ามีฮูหยินที่เก่งกาจเล่า แต่เจ้าบอกไว้ว่า ข้าเพียงแค่รับผิดชอบหน้าตาดี เจ้ารับผิดชอบหาเลี้ยงครอบครัว” สวีโย่วคนหน้าไม่อายผู้นี้คาดไม่ถึงว่าแม้แต่ประโยคนี้ก็ยกมาอ้างได้ จุๆ ควรจะให้ท่านพี่ไท่จื่อในตำหนักโยวหมิงมาดูฝีปากที่น่าไม่อายของน้องชายเขาจริงๆ


 


 


เสิ่นเวยอยากตบหน้าใบนี้ตรงหน้าออกไปเสียจริงๆ นี่มันคนเสเพลไม่รู้จักทำมาหากิน ก่อนแต่งนางยังถูกทำให้ซาบซึ้งจะเป็นจะตายอยู่เลย


 


 


คิดครู่หนึ่ง เสิ่นเวยจึงกล่าวอย่างสุดความสามารถ “เอาเถอะ ข้าจะคิดหาวิธี เฮ้อ ใครให้ข้าชอบหน้าใบนี้ของท่านเล่า” นางบีบหน้าสวีโย่วอย่างเคืองแค้น


 


 


อันที่จริงเสิ่นเวยไม่ได้ไม่ยินยอมเหมือนอย่างที่นางแสดงออกมา ชั่วพริบตานางก็คิดไปมากอย่างยิ่ง ตอนที่ฮ่องเต้ยงเซวียนครองบัลลังก์ สวีโย่วได้รับความโปรดปรานมากล้น ชีวิตของพวกเขาก็สบายยิ่งนัก


 


 


หลังฮ่องเต้ยงเซวียน หากไท่สื่อองค์ปัจจุบันสืบทอดบัลลังก์ พวกเขาก็น่าจะยังเป็นอิสระได้ แต่ว่านางจับจ้องอยู่เงียบๆ ไท่จื่อองค์ปัจจุบันไม่ค่อยเก่งเท่าองค์ชายรอง องค์ชายรองสืบทอดบัลลังก์ ไม่ว่าอย่างไรเสิ่นเวยก็ไม่อยากเห็น


 


 


องค์ชายรองเป็นคนถ่อมตัวอย่างยิ่ง แต่เสิ่นเวยรังเกียจคนข้างกายเขาอย่างถึงที่สุด ท่านเสนาบดีฉินก็ผูกพยาบาทมานานแล้ว จางจ่างสื่อผู้นั้น นางก็ไม่รู้สึกดีด้วย ส่วนซูเฟยเหนียงเหนียง ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอก็เยาะเย้ยเหยียดหยามนาง ไม่ต้องพูดถึงเลย


 


 


หากให้องค์ชายรองขึ้นครองบัลลังก์ จวนเสนาบดีฉินก็จะเป็นบ้านฝั่งมารดาของฮ่องเต้ ซูเฟยก็จะกลายเป็นไทเฮา จางจ่างสื่อก็พลอยได้ดีไปด้วย เพียงแค่ซูเฟยคนเดียวก็สามารถทำให้ชีวิตของนางลำบากได้แล้ว


 


 


ดังนั้นเพื่อให้ชีวิตหลังจากนี้ของนางดี องค์ชายรองอย่าได้ขึ้นครองบัลลังก์เสียเลยดีกว่า องค์ชายที่บรรลุนิติภาวะทั้งราชสำนักปัดไปปัดมา ก็เหลือเพียงไท่จื่อผู้ถูกถอดยศผู้นั้นในตำหนักโยวหมิง มีความสัมพันธ์อันดีกับสวีโย่วพอดี อืม หากต้องเลือกฝั่งจริงๆ เช่นนั้นเป็นเขาก็ดี


 


 


อ้อ จริงสิ ยังมีอีกหนึ่งคน นอกจากไท่จื่อผู้ถูกถอดยศสวีเช่อแล้ว ยังมีองค์ชายสามสวีเฉิง แต่ว่าองค์ชายสามเกิดมาขาก็พิการ เดินเป๋เล็กน้อย ไม่มีคุณสมบัติในการชิงบัลลังก์


 


 


ทั้งสองคุยเรื่องไท่จื่อผู้ถูกถอดยศเสร็จแล้ว สวีโย่วก็เห็นหนังสือที่ถูกเสิ่นเวยวางลงบนโต๊ะก่อนหน้านี้ หยิบขึ้นมาเปิดดูด้วยความสงสัย “เจ้าอ่านพวกนี้ทำไม” นี่ไม่ใช่หนังสืออะไร แต่เป็นการแนะนำความสัมพันธ์ของจวนแต่ละจวนในเมืองหลวง


 


 


“ท่านคิดว่าข้าอยากอ่านหรือ” เสิ่นเวยแสยะปาก “แม่นมมั่วเตือนข้า พวกเราย้ายเข้ามาไม่ใช่หรือ พิธีขึ้นบ้านใหม่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องจัดงานเลี้ยงฉลองสักหน่อยไม่ใช่หรือ คนอื่นมาไม่มาข้าไม่รู้ อย่างไรเสียบ้านฝั่งมารดากับบ้านท่านตาข้าก็ต้องมาเยี่ยม”


 


 


สวีโย่วเพิ่งจะนึกถึงเรื่องนี้ได้ กล่าวอย่างไม่สนใจ “จัดงานเลี้ยงเหนื่อยยิ่งนัก ไม่ต้องจัดหรอก” อย่างไรเสียเขาก็ไม่ได้คบค้าสมาคมกับตระกูลต่างๆ ในเมืองหลวงอยู่แล้ว


 


 


เสิ่นเวยปรายตามองสวีโย่วปราดหนึ่ง โห คนผู้นี้ปล่อยวางยิ่งกว่านางเสียอีก! แต่มนุษย์เกิดมาบนโลก พึ่งพาตัวเองเกินไปก็ไม่ดีนัก “เหลวไหล เราสองคนคนหนึ่งเป็นจวิ้นอ๋อง คนหนึ่งเป็นจวิ้นจู่ ซ้ำยังได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้อย่างยิ่ง ต้องให้โอกาสทุกคนประจบประแจงมอบของขวัญบ้างมิใช่หรือ กฎระเบียบบางอย่างก็ยังต้องปฏิบัติ อีกอย่าง ท่านอยากพาท่านพี่ไท่จื่อของท่านออกมาไม่ใช่หรือ ท่านไม่ผูกมิตรเชื่อมความสัมพันธ์กับเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ไว้ ใครจะช่วยท่านพูดเล่า”


 


 


เมื่อสวีโย่วได้ยินเสิ่นเวยพูดเช่นนี้ ก็เห็นด้วยทันที “ได้ พวกเราจัดงานเลี้ยงเถอะ เจ้าเองก็อย่ามองเป็นเรื่องสนุก อย่างไรเสียคนที่มาส่วนใหญ่ก็ต้องเคารพเจ้า ในราชวงศ์ที่มาน่าจะมีศักดิ์เท่ากัน ไม่น่าจะมีใครทำให้เจ้าลำบากใจ เตรียมงานเลี้ยงเจ้าก็ไม่ต้องเป็นกังวล ให้แม่นมมั่วจัดการก็ได้แล้ว อืม เชิญเสิ่นซื่อท่านป้าสะใภ้ใหญ่ของเจ้ามาช่วยด้วยก็ได้” น้องสี่ของเขาเก่งบุ๋นสร้างความสงบสุขให้ชาติได้ เก่งบู๊สร้างความมั่นคงให้แคว้นได้ ไยจะต้องยุ่งเรื่องเล็กน้อยของเรือนในด้วยเล่า


 


 


เสิ่นเวยพยักหน้า กล่าวเสริม “เชิญน้องสะใภ้รองมาช่วยด้วย”


 


 


“เชิญนางมาทำไม” สวีโย่วไม่พอใจเล็กน้อย ย้ายออกจากจวนจิ้นอ๋องแล้ว เขาอยากจะตัดขาดความสัมพันธ์กับฝั่งนั่นได้อย่างยิ่ง ไหนเลยจะยอมเชิญน้องสะใภ้รองมาช่วยจัดการงานเลี้ยง


 


 


เสิ่นเวยเข้าใจความคิดของสวีโย่วเป็นอย่างดี รู้ว่าเขาไม่ชอบคนฝั่งนั้น จึงยักไหล่กล่าวสั่งสอน “ท่านโง่แล้วหรือ! กับฝั่งนั้นเป็นเช่นไร พวกเรารู้ดีแก่ใจก็พอแล้ว ภายนอกยังต้องรักษาหน้าไว้บ้าง พวกเราจัดงานเลี้ยง เชิญเพียงแต่คนฝั่งข้ามาช่วย แต่ไม่เชิญคนฝั่งท่านมาช่วย ท่านจะให้คนข้างนอกมองพวกเราอย่างไร ท่านกำลังแสดงจุดอ่อนให้แม่เลี้ยงท่านเห็น อีกอย่าง แม้พ่อท่านจะไม่เอาไหน แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นน้องชายแท้ๆ ของฝ่าบาท มีจวนจิ้นอ๋องค้ำอยู่ตรงนั้น พวกเราที่เป็นชนรุ่นหลังก็สามารถพึ่งพาได้ มีผลประโยชน์แต่ไม่เอาท่านโง่แล้วหรือ”


 


 


สวีโย่วถูกเสิ่นเวยสั่งสอนจนหน้าเหยเก กล่าว “เอาตามที่เวยเวยว่าทั้งหมด”


 


 


เสิ่นเวยแค่นเสียงหนึ่งครา ซุกเข้าไปในอ้อมอกของสวีโย่วอีกครั้งด้วยความพอใจอย่างถึงที่สุด


 


 


คดีของฉินมู่หรานยังคงคืบหน้าด้วยความลำบาก หลังจากที่เด็กรับใช้เอ้อร์หนิวจื่อทรยศ เขาก็ตายอยู่ในคุกอย่างกะทันหัน ริมฝีปากสีม่วงดำ มือทั้งคู่กำคอตัวเองแน่น มองดูก็รู้ว่าถูกพิษตาย


 


 


จ้าวเฉิงซวี่โมโหเดือดดาล ปากพึมพำว่ากลั่นแกล้งเกินไปแล้ว กลั่นแกล้งเกินไปแล้ว รู้ทั้งรู้ว่านี่คือฝีมือของจวนเสนาบดีฉิน ต้องการจะแสดงอำนาจให้เขาเห็น แต่เขากลับไม่มีหนทางเลยแม้แต่นิดเดียว


 


 


วันนี้ ท่านเสนาบดีฉินลดตัวลงมาเยือนถึงศาลต้าหลี่ เขาเอามือไพล่หลังเดินเข้าไปอย่างสบายอกสบายใจ ไปยังสถานที่ทำงานของจ้าวเฉิงซวี่โดยตรง


 


 


จ้าวเฉิงซวี่ลุกขึ้นยืน กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “แขกพิเศษจริงๆ ลมหอบไหนพัดท่านเสนาบดีฉินมาเล่า”


 


 


ท่านเสนาบดีฉินประสานมือ “ข้าอยากมาถามใต้เท้าจ้าวว่าจะปล่อยตัวบุตรข้ากลับบ้านเมื่อไร นายหญิงในบ้านคิดถึงหลานยิ่งนัก ร่ำไห้ทั้งวัน ข้าผู้เป็นบุตร ละอายใจจริงๆ! เฮ้อ ใต้เท้าจ้าวได้โปรดเข้าใจด้วยเถิด”


 


 


“ขออภัย” จ้าวเฉิงซวี่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย “แม้พยานจะถูกพิษฆ่าตาย แต่คุณชายของท่านก็ยังคงตกเป็นที่ต้องสงสัยอย่างหนีไม่พ้น คดีตัดสินไม่ได้ เกรงว่าคุณชายของท่านจะกลับบ้านไม่ได้ ท่านเสนาบดีฉินเป็นขุนนางคนสำคัญของราชสำนัก คงจะต้องเข้าใจความลำบากใจของข้าน้อยใช่หรือไม่”


 


 


“ไม่ได้จริงๆ หรือ” ท่านเสนาบดีฉินมองจ้าวเฉิงซวี่ตรงๆ


 


 


“ไม่ได้จริงๆ” จ้าวเฉิงซวี่เองก็สบสายตาของเขาอย่างไร้กังวล ไม่หวาดกลัวทั้งสิ้น


 


 


“ดี เช่นนั้นข้าจะรอ” ท่านเสนาบดีฉินหันหลังกลับจากไป ทิ้งจ้าวเฉิงซวี่อยู่กับความกลุ้มใจอย่างยิ่ง

 

 

 


ตอนที่ 248-1 เลี้ยงแขก

 

คนที่มางานเลี้ยงของจวนผิงจวิ้นอ๋องย่อมเยอะอย่างถึงที่สุด มีราชนิกุล มีขุนนางผู้สร้างคุณูปการ และยังมีขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนัก ที่เยอะยิ่งกว่าคือขุนนางบุ๋นบู๊ระดับล่าง ถนนสายนี้ที่ตั้งจวนผิงจวิ้นอ๋องชั่วขณะก็เบียดเสียด ปิดถนนจนไม่อาจเคลื่อนตัว คนจำนวนมากยังห่างอยู่อีกไกลก็ลงจากรถลงจากเกี้ยวลงจากม้า สั่งให้ผู้ติดตามขับรถและม้ากลับไป ตนเดินเท้าเข้าไปเอง


 


 


แรกเริ่มเสิ่นเวยยังไม่คิดว่าคนจะเยอะเพียงนี้ ใคร่ครวญเล็กน้อยก็เข้าใจแล้ว สวีโย่วเป็นหลานชายแท้ๆ ของฝ่าบาท อีกทั้งยังได้รับความโปรดปรานอย่างยิ่ง เหล่าราชนิกุลต้องไว้หน้าเขาหน่อยมิใช่หรือ ตัวนางเองก็มีฐานะเดิมจากจวนจงอู่โหว ไม่ต้องพูดถึงบรรดาศักดิ์จวิ้นจู่ของนาง เพียงแค่ปู่นาง ขุนนางผู้สร้างคุณูปการและขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักก็ต้องมาแล้ว และไม่ใช่ว่าจะได้ผลประโยชน์อะไร แต่คนอื่นมาแล้วเจ้าก็ไม่อาจไม่ตอบแทนได้ นั่นไม่ใช่เป็นการผิดใจคนหรอกหรือ


 


 


สำหรับความคิดของขุนนางบุ๋นบู๊ระดับล่างเหล่านั้นก็เดาง่ายอย่างยิ่ง ปกติก็ถวายของขวัญอยากประจบประแจงผิงจวิ้นอ๋องแต่เข้าประตูใหญ่ไม่ได้ นี่เป็นโอกาสดียิ่งนัก! แม้ว่าจะไปปรากฎตัวตรงหน้าผิงจวิ้นอ๋องกับจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ไม่ได้ อย่างไรเสียก็ยังได้พูดคุยสนทนากับขุนนางคนอื่นๆ!


 


 


แขกผู้ชายกับญาติผู้หญิงแยกกันต้อนรับ ฝั่งแขกผู้ชายมีอาจารย์ซูกับเจี่ยงปั๋วจัดการ ฝั่งญาติผู้หญิงเพราะว่ามีป้าสะใภ้ใหญ่สวี่ซื่อผู้มากความสามารถและอู๋ซื่อซื่อจื่อฮูหยินจวนจิ้นอ๋องช่วยเหลือ ทั้งหมดจึงจัดการได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ทำให้เสิ่นเวยทุกข์ใจเลยแม้แต่นิดเดียว นางเองก็พูดคุยเป็นเพื่อนผู้อาวุโสที่สูงกว่านางไม่กี่คนก็พอแล้ว


 


 


กูไหน่ไนหลายคนของจวนจงอู่โหวก็มาด้วยเช่นกัน ในนั้นมีเสิ่นซวงที่ตั้งท้องใหญ่ โหลวซื่อแม่สามีของนางจ้องมองไม่ให้คลาดสายตา เสิ่นเวยเข้าไปพยุงนางทันที ขมวดคิ้วอย่างไม่เห็นด้วยกล่าว “พี่รอง ท่านท้องโตเช่นนี้แล้วไม่พักผ่อนอยู่ในบ้านดีๆ แต่กลับวิ่งออกมาข้างนอกได้อย่างไร น้องจะตำหนิท่านได้หรือ”


 


 


เสิ่นซวงยิ้ม “ไม่เป็นไร ผ่านสามเดือนแรกแล้ว หมอสั่งแล้วว่าต้องขยับตัวให้มากหน่อยจึงจะดี งานมงคลในจวนน้องสี่ ข้าที่เป็นพี่สาวจะไม่มาอวยพรด้วยตัวเองได้อย่างไร”


 


 


เสิ่นเวยมองท้องที่นูนขึ้นของนาง ในดวงตาแฝงความกังวล “พี่รอง ท่านยังตั้งครรภ์ไม่ถึงสี่เดือนไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงท้องโตเพียงนี้แล้วเล่า ท่านอย่าบำรุงจนเกินไป ถึงตอนนั้นจะคลอดยาก!” นี่เป็นยุคโบราณ ซ้ำยังไม่มีการผ่าท้องคลอด ทารกในครรภ์ตัวใหญ่เกินไปคลอดออกมาไม่ได้จะทำให้เกิดภาวะคลอดยากได้ง่ายอย่างยิ่ง ทำให้พรากทั้งสองชีวิตไป


 


 


เสิ่นซวงได้ยินดังนั้นก็เม้มปากยิ้ม โหลวซื่อข้างๆ ก็มีท่าทางยิ้มแย้มเบิกบาน “เรียนให้จวิ้นจู่เหนียงเหนียงทราบ หมอหลวงในวังตรวจดูแล้ว ท้องนี้ของซวงเอ๋อร์เป็นท้องแฝด”


 


 


“จริงหรือ เช่นนั้นก็ดีจริงๆ!” เสิ่นเวยดีใจ ทันใดนั้นสายตาที่มองเสิ่นซวงก็ยิ่งไม่เห็นด้วย “ท้องแฝดแล้ว ก็ยิ่งต้องระมัดระวัง หากท่านอยากเจอข้า ก็สั่งบ่าวมาบอกก็ได้ ข้าจะไปเยี่ยมท่านที่จวนเลขาธิการทันที ท่านดูท่านสิ หากท่านป้าสะใภ้ใหญ่รู้จะต้องว่าท่านอีกแน่นอน”


 


 


“ก็ว่าน่ะสิ” สวี่ซื่อที่ได้ข่าวรีบตามมาใบหน้าดำคร่ำเครียด นิ้วมือจิ้มหน้าผากของเสิ่นซวง “เจ้าเด็กแสบของข้า เจ้าให้ข้าทุกข์ใจน้อยหน่อยไม่ได้หรือ เจ้าเองก็ถูกแม่สามีเจ้าตามใจเจ้า! พี่สะใภ้ใหญ่ หากนางไม่เชื่อฟังเช่นนี้อีกท่านก็หยิกนางให้ข้าที” ทว่าในแววตากลับปิดบังความเป็นห่วงไว้ไม่อยู่


 


 


“ข้าทำไมลงน่ะสิ” โหลวซื่อยิ้มอย่างสบายใจ ทว่าดวงตากลับไม่ห่างตัวเสิ่นซวง “นางยอมขยับร่างกายก็เป็นเรื่องดี หมอหลวงบอกแล้วว่า ตอนที่ตั้งท้องแฝดเดิมก็ลำบากเล็กน้อย นางขยับเขยื้อนตัวให้มาก ร่างกายแข็งแรง ถึงตอนนั้นก็จะคลอดง่าย แขนขาแก่ๆ ของข้าเองก็ได้โอกาสขยับบ้าง ดูแลนางให้มากหน่อย” ดูออกว่านางชอบหลานสาวลูกสะใภ้ผู้นี้ยิ่งนัก”


 


 


“พี่สะใภ้ท่านตามใจนางไปเถอะ! ดูสิว่านางถูกตามใจจนเป็นเช่นไรแล้ว” ปากสวี่ซื่อกล่าวตำหนิ แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความสุข


 


 


“ลูกสะใภ้ข้าข้าไม่ตามใจนางแล้วจะไปตามใจใคร” โหลวซื่อตอบกลับอย่างมีเหตุมีผล


 


 


เสิ่นเวยเห็นท่าทีก็รีบกล่าว “อย่ามัวยืนกันอยู่เลย รีบเข้าไปเถอะ พี่รองข้ายังตั้งท้องอยู่ หลีฮวา หลีฮวา เจ้านำท่านน้าสะใภ้ใหญ่กับพี่รองเข้าไป หาที่เงียบๆ หน่อย อย่าให้รบกวนพี่รองข้า”


 


 


หลีฮวาสับขาวิ่งเข้ามานำเสิ่นซวงกับโหลวซื่อไปนั่ง สวีซื่อมองแผ่นหลังบุตรสาวของตน ถอนหายใจยาวๆ เสิ่นเวยกล่าวปลอบ “วางใจเถิดท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ท่านน้าสะใภ้ใหญ่ดีต่อพี่รองไม่ใช่เรื่องดีหรอกหรือ ท้องแฝดลำบากหน่อย แต่สุขภาพพี่รองก็ดีมาโดยตลอด ถึงตอนนั้นเชิญหมอหลวงมาอยู่ดูแลในจวน จะต้องคลอดได้อย่างปลอดภัยแน่นอน”


 


 


“ขอให้เป็นอย่างที่เวยเอ๋อร์บอก” สวี่ซื่อยังคงเป็นกังวลอย่างยิ่ง ฝืนยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าว ชั่วชีวิตนี้ของนางมีบุตรสาวสองคน เสิ่นอิ่งแต่งงานออกไปไกล ต่อให้นางเป็นกังวลก็ทำอะไรไม่ได้ ซวงเอ๋อร์อยู่ใกล้ แต่นางก็ยังคงทุกข์ใจไม่เลิก เฮ้อ บุตรสาวบุตรชายล้วนแต่เป็นหนี้!


 


 


“เวยเอ๋อร์รีบเข้าไปพูดคุยกับฮูหยินอาวุโสทั้งหลายเถิด ข้างนอกมีป้าดูแลอยู่” สวี่ซื่อเก็บความกังวลบนใบหน้ากล่าวกับเสิ่นเวย


 


 


“เช่นนั้นก็ลำบากท่านป้าสะใภ้ใหญ่แล้ว” บนใบหน้าเสิ่นเวยมีความซาบซึ้ง ไม่ใช่ว่านางดูแลไม่ได้ เพียงแต่ไม่ชอบเรื่องจุกจิกเช่นนี้จริงๆ มีท่านป้าสะใภ้ใหญ่ช่วย นางก็เบาลงไปเยอะ


 


 


“ดูเจ้าพูดสิ เกรงใจป้าทำไมกัน!” สวี่ซื่อบ่นเสิ่นเวยหนึ่งประโยคจากนั้นก็ติดลมใต้เท้าไปยุ่งงานต่อแล้ว


 


 


ญาติผู้หญิงอยู่ด้วยกันจะคุยอะไรได้ นอกจากเรื่องมโนสาเร่ก็ชื่นชมเสิ่นเวย ตั้งแต่หน้าตาไปจนถึงนิสัยกระทั่งยังมีวาสนา คนหน้าหนาเช่นเสิ่นเวยยังรู้สึกหน้าร้อนผ่าว ที่พูดนี่หมายถึงนางหรือ เป็นพระพุทธเจ้าในวัดมากกว่ากระมัง! คนที่เอาแต่ใจถือหางให้ท้ายพรรคพวกทั้งยังไม่ยอมเสียเปรียบเช่นนางจะมีความเกี่ยวข้องกับสตรีดีมีคุณธรรมได้อย่างไร ตาของทุกคนบอดแล้วใช่หรือไม่


 


 


ที่นั่งอยู่ยังมีสองคนที่รู้สึกว่าตาของทุกคนบอดด้วยเช่นกัน คนหนึ่งคือฉินอิงอิง คนหนึ่งคือเสิ่นเสวี่ย


 


 


นายหญิงผู้เฒ่าฉินกับต่งซื่อฮูหยินเสนาบดีจวนเสนาบดีฉินไม่มีความรู้สึกดีต่อเสิ่นเวยเลยแม้แต่นิดเดียว กระทั่งพูดได้ว่าเกลียดเข้ากระดูกดำ แต่อย่างไรเสียก็ไม่ได้ฉีกหน้าอย่างเป็นทางการ จึงทำได้เพียงปิดจมูกเอา


 


 


ฉินอิงอิงก็ยิ่งขัดแย้ง นางไม่อยากมาอวยพรที่จวนเลยแม้แต่น้อย อดทนเถียงแม่นางไม่ได้ มารดาตระกูลฉินพูดเช่นนี้ ‘เจ้าต้องแต่งเข้าจวนจิ้นอ๋อง ไม่ว่าอย่างไรนั่นก็คือว่าพี่ใหญ่ของสามีกับพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้า เป็นคนตระกูลเดียวกัน งานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่ของพวกเขาเจ้าไปอวยพรถึงที่ คนนอกเห็นแล้วก็มีแต่จะพูดว่าเจ้ารู้ประสา’ ส่วนการทะเลาะของลูกสาวกับจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ผู้นั้น นางไม่สนใจอย่างสิ้นเชิง


 


 


ฉิงอิงอิงมองทุกคนยกยอเสิ่นเวยด้วยสีหน้าเรียบเฉย ในใจเหยียดหยามอย่างยิ่ง สตรีดีมีคุณธรรมอะไร ฉลาดอ่อนโยนอะไร ก็แค่หญิงชั่วที่เติบโตในชนบทก็เท่านั้นเอง


 


 


มารดาตระกูลฉินที่อยู่ข้างๆ เห็นท่าที ก็รีบดึงแขนเสื้อของลูกสาว ถลึงตาใส่นางปราดหนึ่ง


 


 


ฉินอิงอิงจึงเก็บสายตากลับมาหลุบตาลง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ได้เสียกิริยา นี่เองก็ทำให้มารดาตระกูลฉินถอนหายใจอย่างโล่งอก คิดด้วยความโมโหอย่างอดไม่ได้ ลูกคนนี้นี่ นางพูดจนน้ำลายแห้งแล้ว เหตุใดนางถึงยังไม่รู้ประสาเช่นนี้เล่า


 


 


ความรู้สึกของเสิ่นเสวี่ยก็ยิ่งซับซ้อนอย่างมาก ผ่านเรื่องคราวก่อนมานางก็ตระหนักได้อย่างชัดแจ้งแล้วว่ามีบ้านฝั่งมารดาที่มีอำนาจสำคัญเพียงใด สามีมารับนางกลับจวนด้วยตัวเอง กลับไปถึงจวนแล้วแม่สามีก็ยิ้มแย้มให้นาง แม้แต่พ่อสามีที่แต่ไหนแต่ไรเคร่งขรึมก็ปลอบนางหลายประโยคด้วยสีหน้าอ่อนโยน


 


 


นางรู้ดีแก่ใจ นี่ล้วนเป็นเพราะว่านางคือคุณหนูของจวนจงอู่โหว ปู่นางคือราชครูที่ฝ่าบาททรงให้ความสำคัญ


 


 


งานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่ของจวนผิงจวิ้นอ๋องคราวนี้ ไม่ต้องให้คนอื่นเร่งรัดนางก็กระตือรือร้นเตรียมตัวด้วยตัวเอง นางไม่ถูกกับเสิ่นเวย แต่กลับจำใจต้องพึ่งพาอำนาจของเสิ่นเวย แม่สามีผู้นั้นของนางหวาดกลัวอดทนต่อนางก็เพราะว่านางมีพี่สาวที่เป็นจวิ้นจู่แต่งงานกับผิงจวิ้นอ๋องไม่ใช่หรือ ต่อให้ในใจสะอืดสะเอียนแทบตาย ภายนอกก็ยังต้องแสดงท่าทียินดีออกมา


 


 


หลักการเหล่านี้นางเข้าใจดี แต่เมื่อเห็นเสิ่นเวยที่เป็นดั่งดาวล้อมเดือนจริงๆ นางก็ยังอดกระอักกระอ่วนในใจอย่างอดไม่ได้ มิหนำซ้ำหลี่ซินหรุ่ยเพื่อนสนิทยังกระซิบข้างหูนางไม่หยุด บ้างก็ว่าอาเสวี่ยพี่สาวเจ้าสวยจริงๆ บ้างก็ว่าพี่สาวเจ้าวาสนาดีจริงๆ ไม่เพียงแต่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นจู่แต่ยังได้แต่งสามีดีที่ใครๆ ต่างก็อิจฉา…


 


 


เสิ่นเสวี่ยยิ่งฟังก็ยิ่งแค้น มีพ่อเดียวกันแท้ๆ เหตุใดนางถึงต้องเจอแม่สามีแบบนั้นใช้ชีวิตลำบากเช่นนั้น แต่เสิ่นเวยกลับได้รับการยกยอปอปั้นที่สูงลิ่วจากทุกคน


 


 


นางมาเช้าเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ก็ได้เห็นกับตาแล้วว่าผิงจวิ้นอ๋องผู้นั้นปฏิบัติต่อเสิ่นเวยเช่นไร ในดวงตาของเขามีความอบอุ่นและความรักแบบที่สามารถทำให้คนอกแตกตายได้! ส่วนพี่จิ่นอวี้ที่นางใช้ทุกวิถีทางกว่าจะแต่งมาได้น่ะหรือ ปฏิบัติต่อนางแย่ลงทุกวันๆ แม้เขาจะยังพูดจากอ่อนโยนเช่นนั้น แต่เสิ่นเสวี่ยกลับสัมผัสถึงความห่างเหินของเขาได้อย่างชัดเจน


 


 


นึกถึงตรงนี้เสิ่นเสวี่ยก็อดกำผ้าเช็ดหน้าไม่ได้ แค่นเสียงหนึ่งคราอย่างทนไม่ไหว


 


 


เสียงๆ นี้ดังชัดมากเป็นพิเศษ ไม่เพียงแต่เสิ่นเวยได้ยิน ญาติผู้หญิงที่นั่งอยู่ยังได้ยินทั้งหมด อดมองจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ที่นั่งเป็นเจ้าภาพไม่ได้ จากนั้นจึงมองเสิ่นเสวี่ยที่นั่งอยู่ต่ำกว่า


 


 


พี่น้องไม่ถูกกกันหรือ นี่คือโอกาสที่จะต้องแปรพักตร์หรือไม่ ในดวงตาเหล่าญาติผู้หญิงกะพริบวาบ เบื้องลึกในใจตื่นเต้นอยู่เงียบๆ


 


 


เสิ่นเวยไม่แม้แต่จะชายตามองเสิ่นเสวี่ย เปลี่ยนเรื่องคุยด้วยความเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง ญาติผู้หญิงที่นั่งอยู่ไม่มีใครโง่แม้แต่คนเดียว ย่อมต้องพูดไปตามหัวข้อสนทนาของเสิ่นเวย แม้ว่าในใจจะสงสัยก็ไม่กล้าสืบถาม!


 


 


เสิ่นเวยไม่เห็นเสิ่นเสวี่ยอยู่ในสายตาอย่างสิ้นเชิง วันนี้เป็นวันขึ้นบ้านใหม่ของพวกเขา นางไม่อาจทะเลาะกับเสิ่นเสวี่ยให้คนอื่นหัวเราะเยาะได้ ไม่ว่าอย่างไรพวกนางก็เป็นพี่น้อง หนึ่งโรจน์ล้วนโรจน์ หนึ่งร่วงล้วนร่วง แต่เสิ่นเสวี่ยไม่เข้าใจ ก่อนหน้านี้นางเห็นเสิ่นเสวี่ยมาแต่เช้ายังคิดว่านางพัฒนาแล้ว ไม่คิดว่าจะยังคงมีนิสัยไม่ได้ความเช่นนี้อยู่


 


 


จากมุมมองของเสิ่นเวย เสิ่นเสวี่ยเป็นเพียงแค่ตัวตลก ไม่สนใจนางก็กระโดดโลดเต้นไม่ได้ หากเกินไปจริงๆ นางย่อมมีวิธีจัดการนางเช่นกัน


 


 


ฝั่งแขกผู้ชาย สวีโย่วกำลังทักทายเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักอยู่ คนทั้งหมดตกใจเนื่องจากได้รับความโปรดปราน แม้จะบอกว่าพวกเขาล้วนแต่เป็นขุนนางระดับสามขึ้นไป แต่เมื่อก่อนผิงจวิ้นอ๋องผู้นี้ก็ทะนงตนยิ่งนัก เห็นพวกเขาแล้วก็เพียงแค่พยักหน้าให้เท่านั้น ตอนนี้ดูแล้ว ใครกันบอกว่าผิงจวิ้นอ๋องผู้นี้เย็นชา ดูความช่างพูดนั่นสิ แม้การแสดงออกบนใบหน้าจะน้อยไปหน่อย แต่มีที่พึ่งก็นำมาซึ่งโอกาสมิใช่หรือ


 


 


องค์ชายรองก็มาด้วยเช่นกัน เมื่อเขามาทุกคนก็พากันเข้าไปถวายความเคารพ องค์ชายรองยังคงมีท่าทางถ่อมตัวและอบอุ่นเช่นนั้น “ทุกท่านรีบลุกขึ้นเถิด วันนี้ข้าเหมือนกับทุกท่าน เป็นแขกที่มาเยี่ยมบ้าน ผิงจวิ้นอ๋องยังคงเป็นเจ้าภาพหลัก”


 


 


แม้เขาจะพูดเช่นนี้ แต่ขุนนางในราชสำนักที่ล้อมตัวเขาก็ยังคงมีไม่น้อย โดยเฉพาะขุนนางที่มีระดับล่างอย่างยิ่งเหล่านั้น วันปกติไหนเลยจะเห็นองค์ชายรอง ตอนนี้กว่าจะมีโอกาส จะไม่กุมไว้ได้อย่างไร


 


 


องค์ชายรองยิ้มอย่างรู้สึกผิดต่อสวีโย่ว “ยินดีกับญาติผู้พี่ที่ได้ขึ้นบ้านใหม่” ทว่าในใจกับพอใจอย่างยิ่ง


 


 


สวีโย่วกระตุกมุมปากเล็กน้อย กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ขอบคุณองค์ชายรองยิ่งนัก”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)