กระบี่จงมา 247.2-248.1

 บทที่ 247.2 ในความวุ่นวาย ได้พบวิญญูชน

โดย

ProjectZyphon

เมืองใหญ่เขตการปกครอง ในเรือนที่เงียบสงบไม่สะดุดตาหลังหนึ่งมีแขกสูงศักดิ์ของเมืองหลวงมาพักอยู่ที่นี่ แม้ว่าเรือนหลังนี้จะไม่หรูหราใหญ่โต แต่ก็สะอาดสะอ้าน ของตกแต่งทุกชิ้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเรียบง่ายสง่างามอย่างบ้านเรือนของปัญญาชนผู้มีความรู้ อีกทั้งยังเงียบสงบทั้งๆ ที่อยู่ในพื้นที่จอแจ เห็นได้ชัดว่าผู้สร้างทุ่มเทแรงกายแรงใจไปไม่น้อย


มีสตรีแต่งงานแล้วที่ใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติและมั่งคั่งยืนอยู่ในลานบ้าน แม้ว่าอายุจะไม่น้อยแล้ว แต่กลับดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดี ความงดงามจึงยังคงอยู่ หากไม่ตั้งใจเพ่งมองริ้วรอยเล็กๆ ตรงหางตา นางก็คล้ายสตรีวัยสามสิบเท่านั้น เวลานี้นางกำลังก้มตัวโยนอาหารเลี้ยงปลาในอ่างขนาดใหญ่ ด้านในอ่างเลี้ยงปลาทองตัวเล็กสิบกว่าตัว นอกจากนี้ยังมีดอกบัวสีเขียวปลั่งราวกับจะเค้นน้ำได้อีกหลายดอก สีทองและเขียวขับดันกันได้อย่างน่ามอง


นอกจากสตรีจากเมืองหลวงที่มีท่าทางสูงศักดิ์คนนี้ ในลานบ้านยังมีสาวใช้พกดาบร่างกายล่ำสันอีกคนหนึ่ง นอกจากนี้ก็ไม่มีคนอื่นอีก


ทว่าตรอกซอกซอยรอบบ้านกลับมีกลไกลับแฝงไว้ ไม่เพียงแต่มีทหารกล้ามือดีของกองทัพให้การอารักขา ยังมียอดฝีมือวิถีวรยุทธ์อีกหลายคนแฝงตัวปะปนอยู่กับหมู่ชาวบ้าน มือปราบมากความสามารถประสบการณ์โชกโชนของที่ว่าการมณฑลหลายนายก็คอยให้การพิทักษ์อย่างลับๆ แขกจากเมืองหลวงท่านนี้ย่อมต้องมีภูมิหลังไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน


แต่ท่ามกลางการคุ้มกันอย่างแน่นหนานี้ สาวใช้พกดาบที่ร่างกำยำดุจบุรุษกลับล้มลงนอนพังพาบอยู่บนพื้นอย่างไม่มีลางบอกเหตุ ด้านหลังของสาวใช้มีคุณชายหน้าตาหล่อเหลาในมือถือพัดคนหนึ่งปรากฏกาย เขาโบกพัดเอาลมเย็นๆ มาให้ตัวเองจนเส้นผมตรงจอนปลิวไสวเบาๆ เขายิ้มมองไปยังสตรีแต่งงานแล้วที่ยังคงค้อมตัวให้อาหารปลา ส่วนเว้าส่วนโค้งที่อวบอิ่มของนางปรากฎให้เห็นชัดเจน คุณชายหนุ่มรู้สึกเพียงว่าทัศนียภาพในเวลานี้งดงามจนไม่อยากละสายตา ไม่เสียแรงที่เดินทางมาในครั้งนี้


สตรีแต่งงานแล้วยืดตัวขึ้น หันหน้ามามองคนหนุ่มผู้นี้เงียบๆ


คนหนุ่มยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ฮูหยิน ก่อนหน้านี้พวกเราเคยพบกันที่เมืองหลวงมาแล้ว”


สีหน้าของสตรีเยือกเย็น เอ่ยเยาะหยัน “ลูกหลานสกุลหานภูเขาเสี่ยวฉงมีความกล้ามากพอจะงัดข้อกับแม่ทัพใหญ่ตั้งแต่เมื่อไหร่?”


คุณชายหนุ่มหุบพัดลง ยกสองมือขึ้นปิดหน้า ก่อนจะค่อยๆ ลดมือลงช้าๆ สุดท้ายเผยให้เห็นใบหน้าที่สตรีแต่งงานแล้วคุ้นเคยอย่างถึงที่สุด คนหนุ่มเอ่ยกลั้วหัวเราะด้วยเสียงที่สตรีแต่งงานแล้วคุ้นหู “แล้วตอนนี้ล่ะ? ฮูหยินคนดีของข้า?”


ก่อนหน้าที่สตรีแต่งงานแล้วจะแผดเสียงด้วยความตกใจ หานหยวนซ่านลูกหลานสกุลหานภูเขาเสี่ยวฉงก็ยกนิ้วข้างหนึ่งขึ้นมา ทำเสียงชู่ว์เบาๆ “ฮูหยินโปรดวางใจ ข้าหานหยวนซ่านแค่ชอบขโมยใจ ไม่เคยขโมยร่างกายของสตรีคนใด แต่เชื่อว่าสักวันหนึ่งฮูหยินจะยินดีสนิทสนมใกล้ชิดกับข้า…”


หานหยวนซ่านที่เผยโฉมด้วยใบหน้าของฉู่หาวชี้ไปยังอ่างปลา หยุดพูดไปครู่หนึ่งก็เอ่ยต่อว่า “คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เข้ากันได้ดีดุจปลากับน้ำ”


……


เมืองแยนจือแคว้นไฉ่อีมีปัญญาชนลัทธิขงจื๊อสูงวัย ตรงเอวห้อยหยกประดับชิ้นหนึ่งยืนอยู่บนกำแพงเมืองด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


เมืองหลวงแคว้นไฉ่อี ห้องทรงพระอักษรในวังหลวงก็มีปัญญาชนลัทธิขงจื๊อวัยเจ็ดสิบปีคนหนึ่งยืนสองมือไพล่หลัง ตรงเอวเขาก็พกหยกประดับเช่นกัน ผู้เฒ่ายืนอยู่ตรงหน้าต่างไม่พูดไม่จา ฮ่องเต้แคว้นไฉ่อียืนตัวสั่นงันงกอยู่ข้างกาย แม้แต่จะนั่งก็ยังไม่กล้านั่ง


แคว้นกู่อวี๋ ยังคงเป็นปัญญาชนลัทธิขงจื๊อสวมเสื้อสีเขียวคนหนึ่ง คนผู้นี้อายุสามสิบปี ตรงเอวก็ห้อยหยกประดับลักษณะเดียวกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน เขานั่งอยู่ในรถม้าหยาบๆ คันหนึ่งที่เช่ามากับสารถีร่างกายบึกบึนคนหนึ่งที่บ่นโน่นตินี่มาตลอดทาง ขณะที่อยู่บนถนนทางหลวงห่างจากแคว้นกู่อวี๋อีกยี่สิบลี้ สารถีก็ตกใจจนพูดไม่ออก เขาที่สายตาไม่เลวมองเห็นว่าตรงนั้นมีทหารม้านับพันนับหมื่นยืนออ มีขุนนางใหญ่สวมชุดขุนนางกลุ่มใหญ่ และดูเหมือนว่าจะมีบุรุษที่สวมชุดคลุมสีเหลืองอีกคนหนึ่งที่ยืนกุมมืออยู่ข้างจุดพักม้า คล้ายกำลังรอคอยใคร?


บัณฑิตที่อยู่ในห้องโดยสารวางตำราในมือลง พูดกับสารถีว่า “ไปถึงจุดพักม้าแล้วค่อยจอดรถ วางใจเถอะ พวกเขามารอข้า นอกจากเงินที่จ่ายไปก่อนหน้านี้ รางวัลที่ราชสำนักกู่อวี๋มอบให้เจ้าเป็นการส่วนตัวก็ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมดของข้าแล้วกัน”


กล่าวจบ บัณฑิตวัยกลางคนก็เก็บตำราพลางกล่าวยิ้มๆ ไปด้วยว่า “กว่าจะได้ออกมาครั้งหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย มาถึงแคว้นกู่อวี๋แล้ว เจ้าก็อย่าโมโหเจ้าขุนเขาของพวกเราอีกเลย”


ส่วนที่หมู่บ้านวารีกระบี่ พิธีแต่งตั้งผู้นำยุทธภพกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ในห้องโถงใหญ่ขาดใบหน้าคุ้นตาที่เคยปรากฎตัวก่อนหน้านี้ไปสองสามคน แต่ก็มีบุคคลยิ่งใหญ่ที่ชื่อเสียงเลื่องลือในยุทธภพเพิ่มขึ้นมาอีกหลายคน สองสายขาวดำล้วนมาครบหมด คนดังในยุทธภพเกินครึ่งล้วนมาอยู่ที่นี่


ซ่งเฟิ่งซานนั่งอยู่บนตำแหน่งประธานสูงสุด มองบุคคลเหล่านี้ด้วยอารมณ์ที่ค่อนข้างจะเฉยชา


ในบรรดาบุคคลเหล่านี้ล้วนไม่ขาดคนที่คิดสวามิภักดิ์เพราะถูกรสนิยมกัน ไม่ขาดคนหน้าเนื้อใจเสือที่อำพรางแผนชั่วร้ายไว้ในใจ มีทั้งคนที่คิดมาตรวจสอบสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยลงเดิมพัน แล้วก็มีคนในราชสำนักที่คิดว่ากำลังดูเรื่องตลกที่ใหญ่เทียมฟ้า


ห่างจากข้างกายซ่งเฟิ่งซานไปไม่ไกลมีภรรยาของเขานั่งอยู่ วันนี้นางแต่งกายเต็มยศ รูปโฉมและบุคลิกที่สง่างามนั้นไม่แพ้สตรีสูงศักดิ์ในวังคนใดเลย


ซ่งเฟิ่งซานมั่นใจในแผนการของตัวเอง บางคนที่อยู่เบื้องล่างก็ย่อมต้องคิดว่าตัวเองกุมชัยชนะได้อย่างมั่นคงไม่ต่างกัน


แต่ทั้งสองฝ่ายล้วนคิดไม่ถึงว่าจะมีแขกไม่ได้รับเชิญคนหนึ่งมาทำลายแผนการที่พวกเขาต่างก็ทุ่มเทกายใจขบคิดกันมานานหลายปีนี้ลง


ไม่มีคนเฝ้าประตูมารายงาน ยิ่งไม่มีลูกศิษย์ของหมู่บ้านวารีกระบี่ลงมือขัดขวาง พอเห็นบุคคลที่มาเยือนซึ่งแนะนำชื่อแซ่ตัวเองเสร็จสรรพผู้นี้ เกือบทุกคนต่างก็ประสานมือคารวะตามแบบพิธีการของลัทธิขงจื๊อตามจิตใต้สำนึกทันที


ผู้มาเยือนคนนั้นคือชายหนุ่มสวมชุดและหมวกผ้าของลัทธิขงจื๊อ ตรงเอวก็มีหยกประดับชิ้นหนึ่งห้อยอยู่ เขาก้าวเดินด้วยฝีเท้าและจังหวะบางอย่างที่อธิบายไม่ถูก เดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ของหมู่บ้านวารีกระบี่ซึ่งมีกลุ่มคนจำนวนมากมารวมตัวกันอย่างไม่รีบไม่ร้อน หลังจากข้ามธรณีประตูมาแล้ว เขาก็กวาดตามองไปรอบด้าน แล้วแนะนำตัวเองอีกครั้ง “นักปราชญ์โจวจวี่แห่งสำนักศึกษากวานหู”


แทบทุกคนในห้องโถงใหญ่ต่างก็ลุกพรวดขึ้นยืน ประสานมือคารวะคนผู้นี้


คนหนุ่มคารวะกลับคืน หลังจากนั้นก็เดินขึ้นหน้าไปสองสามก้าว มองไปยังนายน้อยท่านผู้นำของหมู่บ้านวารีกระบี่


ซ่งเฟิ่งซานสีหน้ามืดทะมึน สตรีสาวที่นั่งอยู่ใกล้กับเขาใช้สายตาบอกเป็นนัยไม่ให้เขาบุ่มบ่าม


นักปราชญ์หนุ่มสำนักศึกษากวานหูกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ “หานหยวนซ่านลูกหลานสกุลหานภูเขาเสี่ยวฉงอยู่หรือไม่?”


ซ่งเฟิ่งซานข่มกลั้นโทสะที่อยู่ในใจลง กระตุกมุมปาก ตอบเนิบช้า “บังเอิญจริง เมื่อวานหานหยวนซ่านยังอยู่ในหมู่บ้าน แต่วันนี้กลับไม่อยู่แล้ว เขาบอกว่าเกิดความสนใจกะทันหัน เลยออกเดินทางไปเที่ยวชมแม่น้ำภูเขาแล้ว ไม่ทราบว่าอาจารย์แห่งสำนักศึกษาท่านนี้มาหาเขาด้วยธุระใด? หากไม่รีบร้อน ข้าสามารถช่วยนำความไปบอกแก่เขาได้”


นักปราชญ์หนุ่มคลี่ยิ้ม “หานหยวนซ่านคือจิ้นซื่อ (บัณฑิตขั้นสูง ซึ่งถือได้ว่ามีระดับเทียบเท่าปริญญาเอกในปัจจุบัน เป็นคุณวุฒิที่ปัญญาชนจำนวนมากในสมัยนั้นมักแสวงหาและใฝ่ฝัน ถ้าสอบได้เป็นจิ้นซื่อ จะมีโอกาสได้รับตำแหน่งขุนนางระดับสูง ดังนั้นการสอบระดับจิ้นซื่อจึงยากที่สุด ) ของแคว้นซูสุ่ย ถือเป็นลูกศิษย์ในลัทธิขงจื๊อเราแล้ว แต่กลับฝึกวิชามาร มีเจตนาร้ายแอบแฝง เป็นภัยต่อแคว้นและบ้านเมือง ข้าต้องการพาตัวเขาไปรับโทษที่สำนักศึกษากวานหู ส่วนจะจัดการอย่างไร เมื่อไปถึงสำนักศึกษา ย่อมมีข้อสรุปเอง ซ่งเฟิ่งซาน ข้าไม่ใช้สถานะของนักปราชญ์แห่งสำนักศึกษา แต่จะใช้ความเป็นโจวจวี่ของข้าแนะนำเจ้าสักคำ ดึงบังเหียนม้ากลับเมื่อถึงหน้าผายังไม่สาย วัวหายล้อมคอกก็ยังไม่ถือว่าช้าเกินกาล”


ซ่งเฟิ่งซานใช้ข้อศอกค้ำที่วางแขนเก้าอี้ มือเท้าคาง เอียงศีรษะมองนักปราชญ์จากสำนักศึกษากวานหูด้วยรอยยิ้ม สายตามองประเมินอีกฝ่ายอย่างใจเย็น


เล่าลือกันว่าทุกครั้งที่เหล่าอาจารย์ซึ่งสูงศักดิ์จนมิอาจประเมินค่าเหล่านี้ออกจากสำนักศึกษาไปปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย ตรงเอวจะต้องห้อยหยกประดับที่อริยะของสำนักศึกษามอบให้ หยกนี้สามารถบันทึกสิ่งที่พบเห็นระหว่างทางและท่าทีปฏิบัติตัวต่อสังคมของผู้ที่พก เพื่อใช้มันแสดงให้เห็นถึงการกระทำที่เปิดเผยตรงไปตรงมา รูปแบบของหยกประดับเป็นแบบของป้ายปลอดภัยที่เรียบง่ายที่สุดในโลก แต่นักปราชญ์และวิญญูชนที่แตกต่างกันจะสลักตัวอักษรไม่เหมือนกัน เนื้อหาไม่เหมือนกัน แต่ล้วนมีความหมายลึกล้ำ มักจะซุกซ่อนความหวังและการเสนอแนะที่อริยะของสำนักศึกษามีต่อคนผู้นั้น


ซ่งเฟิ่งซานไม่ตอบคำถามซึ่งถือว่าไร้มารยาทมาก แน่นอนว่าสตรียังสาวต้องทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยสถานการณ์ นางยืนขึ้น คารวะนักปราชญ์ของสำนักศึกษาท่านนั้นแล้วยิ้มบางๆ กล่าวว่า “หากหานหยวนซ่านอยู่ที่นี่จริง หมู่บ้านวารีกระบี่ของพวกเราย่อมต้องยึดหลักคุณธรรม กระทำในสิ่งที่ถูกต้อง จะต้องให้ความช่วยเหลือสำนักศึกษาจับตัวคนผู้นี้อย่างเต็มที่”


โจวจวี่มองไปทางสตรีแต่งงานแล้ว เอ่ยเสียงหนักว่า “หากไม่เป็นเพราะสะพานแห่งความเป็นอมตะถูกตัดขาดไปนานแล้ว เจ้าถึงมายืนเสนอหน้าอยู่ตรงนี้ได้ หาไม่แล้วจุดจบของเจ้าก็ไม่ได้ดีไปกว่าหานหยวนซ่านสักเท่าไหร่ คนในวิถีมารที่ก่อความวุ่นวายในยุทธภพย่อมต้องมีผู้ผดุงคุณธรรมออกมากำจัด แต่หากกล้าคิดรุกรานแผ่นดินแว่นแคว้น สำนักศึกษาของข้าย่อมไม่มีทางละเว้นง่ายๆ !”


ซ่งเฟิ่งซานนั่งตัวตรง จ้องโจวจวี่เขม็ง “พูดจากับภรรยาข้า ทางที่ดีที่สุดเจ้าควรเกรงใจกันหน่อย”


“เฟิ่งซาน!”


สตรีสาวหันหน้ามาดุใส่เบาๆ ซ่งเฟิ่งซานเห็นสีหน้าร้อนใจของนางก็ถอนหายใจอยู่ในใจ เอนตัวไปพิงพนักเก้าอี้ด้านหลังแล้วไม่พูดอะไรอีก


เวลานี้เองโต้วหยางที่แต่งตั้งตำแหน่งเจ้าลัทธิมารให้กับตัวเองก็กรอกเหล้าเข้าปากหนึ่งคำแล้วกระแทกแก้วเหล้าลงบนโต๊ะแรงๆ หัวเราะเสียงเย็นชา


นักปราชญ์หนุ่มหันหน้าไปมองผู้ฝึกลมปราณท่านนี้ “รอข้าจัดการธุระของสำนักศึกษาเสร็จเรียบร้อยเสียก่อน แล้วจะปลดหยกประดับลงจากเอว หวังว่าถึงเวลานั้นเจ้าโต้วหยางจะยังหัวเราะออก”


โต้วหยางปรายตามองอาจารย์แห่งสำนักศึกษาที่น่าจะอายุไม่ถึงสามสิบปีแล้วหัวเราะฮ่าๆ “คนอื่นกลัวชื่อสำนักศึกษากวานหูของเจ้า กลัวแทบเป็นแทบตาย ข้าโต้วหยางก็กลัวเหมือนกัน แต่ก็เพราะรู้กฎของสำนักศึกษาพวกเจ้าจึงไม่ถึงขนาดตัวสั่นงันงก ธรณีประตูของนักปราชญ์ลัทธิขงจื๊อเป็นอย่างไร แล้วคอขวดเป็นอย่างไร มีความห่างจากวิญญูชนเท่าไหร่ ข้าล้วนรู้ชัดเจนดี ดังนั้นเจ้าโจวจวี่ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดมากดข่มข้า พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย เจ้าปลดหยกประดับตรงเอวออกแล้ว ข้าก็ยังกริ่งเกรงสำนักศึกษาของเจ้าอยู่ดี ไหนเลยจะกล้าประมือกับเจ้าอย่างเต็มที่ แต่หากเจ้าโจวจวี่แน่จริงก็ถอดชุดและหมวกของลัทธิขงจื๊อออกพร้อมกันเลยสิ ทำตัวให้เหมือนคนในยุทธภพ ถ้าอย่างนั้นหากข้าโต้วหยางตีให้เจ้าขี้ราดไม่ได้ ข้าจะเปลี่ยนไปใช้แซ่ตามเจ้า!”


คำพูดประโยคนี้ของมารโต้วหยางพูดได้อย่างเผด็จการ แถมยังสาแก่ใจ ต่อให้เป็นพวกบุคคลสำคัญสายขาวบางส่วนก็ยังรู้สึกว่าถึงแม้คนผู้นี้จะกระทำชั่วมากมาย เคยสร้างมรสุมคาวเลือดครั้งแล้วครั้งเล่าในยุทธภพ แต่การที่เขากล้าพูดแบบนี้ต่อหน้านักปราชญ์คนหนึ่งของสำนักศึกษากวานหู ก็ถือว่าไม่ผิดต่อคำว่ายุทธภพแล้วจริงๆ! แคว้นซูสุ่ยมียักษ์ใหญ่ในวิถีมารแบบนี้อยู่ตนหนึ่ง จะถือว่าสามารถกดหัวยุทธภพแคว้นไฉ่อีกับแคว้นกู่อวี๋ได้ระดับหนึ่งหรือเปล่า?


นักปราชญ์โจวจวี่ยิ้มบางๆ


เขาก้มหน้ามองหยกประดับชิ้นนั้นพลางพึมพำเบาๆ “อาจารย์ ท่านลองฟังสิ แบบนี้ข้ายังจะทนได้อีกหรือ? ยอมอดทนไม่ต่อยตีพวกนักปราชญ์ในสำนักศึกษาพวกนั้นก็ยังพอทำเนา แต่นี่ออกมาอยู่ข้างนอก อยู่ห่างจากสำนักศึกษานับพันนับหมื่นลี้แล้วยังต้องอดทนต่อผู้ฝึกลมปราณวิถีมารคนหนึ่งด้วยหรือ? เอาเถอะ ท่านต้องพูดว่าอดทนเข้าไว้ อดทนไปอดทนมาก็จะได้กลับไปเป็นวิญญูชนอีกครั้งหนึ่งแล้ว แต่ว่า…ข้าทนไม่ไหวจริงๆ นี่นา…อะไรนะ อาจารย์ท่านจะพูดว่าอะไรนะ…เหวยๆๆ ได้ยินที่ข้าพูดไหม? โอ๊ะโอ แผ่นหยกเกิดปัญหาได้ยังไงเนี่ย อาจารย์ หลังจากนี้ท่านต้องจัดการกับพวกคนจากฝ่ายงานสร้างของสำนักศึกษาแล้วล่ะ…ถ้าอย่างนั้นแค่นี้นะ ไม่คุยแล้ว กลับไปถึงสำนักศึกษาอาจารย์ต้องช่วยเปลี่ยนชิ้นใหม่ให้ข้าด้วย…”


มาถึงตอนท้าย ทุกคนเห็นเพียงว่าอาจารย์หนุ่มจากสำนักศึกษาที่พูดอะไรเรื่อยเปื่อยกับตัวเองยื่นมือมากำแผ่นหยกที่คล้ายจะสั่นสะเทือนได้เองไว้แน่น แล้วเขย่ามันแรงๆ สุดท้ายประกบสองนิ้วทำมุทรา หมุนวนเบาๆ ก็มีลมเย็นโอบล้อมปกคลุมแผ่นหยกชิ้นนั้น ห่อหุ้มมันไว้เหมือนรังดักแด้ นักปราชญ์หนุ่มถึงได้ยิ้มแล้วเก็บแผ่นหยกกลับไปไว้ในชายแขนเสื้อ


สตรียังสาวฉวยโอกาสที่ไม่มีใครสนใจเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างกายซ่งเฟิ่งซาน พูดพลางยิ้มเจื่อนว่า “เฟิ่งซาน ข้านึกออกแล้ว คนผู้นี้คือหนึ่งในผู้สืบทอดของอริยะแห่งสำนักศึกษากวานหูท่านนั้น ในบรรดาลูกศิษย์ทุกคน เขาอายุน้อยที่สุด แล้วก็อารมณ์ร้ายที่สุดเช่นกัน ส่วนความสามารถ…ต่อให้จะไม่ได้สูงที่สุด แต่ย่อมสามารถอยู่ในอันดับที่สองได้แน่นอน ตอนอายุยี่สิบปีเขาก็ได้สถานะวิญญูชน ตอนนั้นสร้างความฮือฮามาก ถูกขนานนามให้เป็น ‘ผู้เที่ยงตรง’ อีกคนหนึ่งตามหลังชุยหมิงหวง เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการเป็นวิญญูชน มีความเป็นไปได้มากว่าจะได้รับการทดสอบจากอริยะของสถานศึกษาด้วยตัวเอง ดังนั้นสำนึกศึกษากวานหูจึงให้การปกป้องเขามาก ในรายงานของพวกเราบันทึกชื่อเขาไว้เป็นโจวจวี้หรัน ไม่ใช่โจวจวี่”


โต้วหยางนั่งอึ้งอยู่ที่เดิม กลืนน้ำลายดังเอื้อก


แม้เขาจะไม่รู้ว่าโจวจวี่ก็คือโจวจวี้หรัน แต่จากคำว่า ‘ต่อยตีนักปราชญ์’ ‘กลับไปเป็นวิญญูชนอีกครั้ง’ ก็พอจะทำให้โต้วหยางจับเบาะแสบางอย่างได้


ดังนั้นโต้วหยางจึงลุกขึ้นยืน เตรียมจะขอโทษอีกฝ่าย


ยอมก้มหัวให้วิญญูชนคนหนึ่งของลัทธิขงจื๊อ ไม่ใช่เรื่องที่น่าอายเลยสักนิด


เพียงแต่ว่าโจวจวี่ที่ออกจากสำนักศึกษาชั่วคราวด้วยสถานะของนักปราชญ์กลับยื่นมือข้างหนึ่งออกมา ชี้สองนิ้วไปยังโต้วหยางมารผู้ยโสโอหังของแคว้นซูสุ่ย แล้วเอ่ยพลางยิ้มบางๆ “นักปราชญ์สมัยโบราณของลัทธิขงจื๊อเราเคยมีบทกวีที่น่าอัศจรรย์ใจกล่าวไว้ว่า ถามคนรุ่นหลัง ท่านไม่เห็นหรือไรว่า ก้อนหินบนทางเดินม้าใหญ่เท่าหาบ ลมพัดกระโชกแรงให้เศษหินปลิวว่อนไปทั่ว? ข้าโจวจวี่ที่เป็นคนรุ่นหลังขอตอบคำถามตรงนี้ว่า ข้าเห็นแล้ว!”


รัศมีหนึ่งจั้งรอบกายโต้วหยางที่ร่างใหญ่กำยำมีพายุลมกรดม้วนตลบ สายลมเฉียบคมของพายุหมุนบนพื้นดินหมุนคว้างรอบกายยักษ์ใหญ่แห่งวิถีมารท่านนี้อย่างบ้าคลั่ง


จุดจบของโต้วหยางสมกับคำว่าเหลือแต่กระดูกอย่างแท้จริง


ลมพายุหยุดลง โครงกระดูกล้มคว่ำลงพื้น


นักปราชญ์หนุ่มไม่แม้แต่จะปรายตามองโต้วหยางที่เหลือเพียงโครงกระดูกขาว เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองซ่งเฟิ่งซานแล้วถามว่า “ตอนนี้รู้แล้วหรือยังว่าที่ข้าพูดกับเมียเจ้า ถือว่าเกรงใจกันมากแล้ว?”


ซ่งเฟิ่งซานโมโหจนเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาบนหลังมือ แต่ถูกหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างกายเอื้อมมือมากดมือเขาไว้อย่างแรง ก่อนที่นางจะพูดพร้อมยิ้มบางๆ ว่า “พวกเราสองสามีภรรยาย่อมเข้าใจความปรารถนาดีที่อาจารย์โจวมอบให้”


โจวจวี่แย้มยิ้ม “ในเมื่อหานหยวนซ่านไม่อยู่ที่นี่ ก็คงไม่รบกวนพิธีใหญ่ของผู้นำพวกเจ้าแล้ว ข้าจะไปตามหาเขา เชิญพวกเจ้าตามสบาย”


นักปราชญ์แห่งสำนักศึกษาหมุนตัวจากไปอย่างสง่างาม ขณะที่เขาเดินไปทางประตูใหญ่ได้เจอกับหนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กหนุ่มที่กลับมาถึงหมู่บ้านวารีกระบี่พอดี พวกเขากำลังเดินเคียงไหล่กันมาทางห้องโถงแห่งนี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาเพิ่งจะผ่านศึกใหญ่ที่อันตรายมา บนร่างต่างก็มีคราบเลือด


ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ได้หยุดเดิน แล้วก็ไม่ได้ส่งเสียงทักทายกัน ตอนที่ต่างคนต่างเดินข้ามธรณีประตู จึงเดินสวนไหล่กันไปพอดี


นักปราชญ์หนุ่มจ้องมองเด็กหนุ่มที่สะพายกระบี่อยู่ตลอดเวลา ฝ่ายหลังมีท่าทางแปลกใจเล็กน้อย จึงมองกลับมายังเขา สายตาคนทั้งสองประสานกัน


เด็กหนุ่มเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่แล้วจึงไม่ได้มองสบตาเขาอีก แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นนักปราชญ์หนุ่มที่เคยเป็นวิญญูชนของสำนักศึกษากวานหูก็ยังหันกลับไปมองเด็กหนุ่มไม่เลิก


—–



บทที่ 248.1 จากลากันตรงนี้ ภูเขาสูงน้ำไหลยาว

โดย

ProjectZyphon

โจวจวี่นักปราชญ์ของสำนักศึกษาเดินออกจากห้องโถงใหญ่ของหมู่บ้าน อริยะกระบี่แคว้นซูสุ่ยเดินเข้ามาในโถง หนึ่งไปหนึ่งมานี้พอจะชดเชยพลังอำนาจที่ดิ่งลงเหวของหมู่บ้านได้บ้างเล็กน้อย ถึงอย่างไรสำนักศึกษาก็อยู่ไกลสุดขอบฟ้า นักปราชญ์คนหนึ่งจากไปแล้วก็คือจากไป แล้วนับประสาอะไรกับที่เขาไม่ได้ซักไซ้เอาความผิดจากหมู่บ้านวารีกระบี่ นี่จึงหมายความว่ากิจการร้อยปีของหมู่บ้านยังคงอยู่ ไม่ได้รับความเสียหาย อีกอย่างขอแค่ซ่งอวี่เซายังอยู่ในยุทธภพแคว้นซูสุ่ย ต่อให้เขาไม่ออกกระบี่ ไม่อยู่ในหมู่บ้าน ขอแค่ยังออกไปหาประสบการณ์อยู่ที่มุมใดมุมหนึ่งของยุทธภพสิบกว่าแคว้นนี้ ถ้าเช่นนั้นซ่งเฟิ่งซานก็ยังจะนั่งอยู่บนตำแหน่งผู้นำยุทธภพได้อย่างมั่นคง


แต่ว่าวินาทีนี้ ซ่งอวี่เซาพลันหันกลับไปมองด้านหลัง แล้วก้าวเร็วๆ ออกไปหลายก้าว บังเฉินผิงอันไว้ด้านหลังตัวเองคล้ายตั้งใจแต่ก็คล้ายไม่มีเจตนา จากนั้นค่อยก้าวยาวๆ ข้ามธรณีประตูออกไป จัดระเบียบเสื้อผ้า ผู้เฒ่าค้อมตัวลง กุมมือคารวะให้กับความว่างเปล่าตรงจุดที่โจวจวี่เดินอยู่


จนกระทั่งเวลานี้ ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงถึงได้ค้นพบด้วยความตะลึงพรึงเพริดว่า บนอากาศสูงนอกประตูใหญ่เกิดริ้วคลื่นกระเพื่อม ก่อนที่ผู้เฒ่าสวมชุดสีเขียวของลัทธิขงจื๊อสูงสามจั้งคนหนึ่งจะเผยตัวออกมา เรือนกายของเขาล่องลอย แผ่กลิ่นอายของเซียนเต็มเปี่ยม


อริยะเยื้องกรายมาถึงหมู่บ้านด้วยตัวเอง


เปล่งรัศมียิ่งใหญ่น่าเลื่อมใส ลุ่มลึกเกินจะหยั่ง


ก่อนหน้าที่ซ่งอวี่เซาจะจับความความลี้ลับนี้ได้ โจวจวี่ก็รีบถอนสายตากลับมาจากเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ สะบัดชายแขนเสื้อคลายตราผนึกที่ร่ายใส่แผ่นหยกปลอดภัยของสำนักศึกษาชิ้นนั้น เมื่อเส้นไหมถูกสาวออกจึงเผยให้เห็นหยกประดับที่สลักตัวอักษรสองตัวว่า ‘ระงับโทสะ’ เขาเอามันมาผูกตรงเอวอย่างไม่ให้กระโตกระตาก ขณะที่ซ่งอวี่เซาคารวะตามพิธีใหญ่ของยุทธภพ เขาก็ค้อมหัวประสานมือคารวะแทบจะเวลาเดียวกัน “ศิษย์คารวะท่านอาจารย์”


ผู้เฒ่าหลุบตาลงต่ำมองโจวจวี่ลูกศิษย์ของตนประหนึ่งเทวรูปสูงใหญ่ที่ทางราชสำนักตั้งบูชาไว้ในศาล เอ่ยเนิบช้าด้วยสีหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ “เรื่องที่หานหยวนซ่านลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อแห่งแคว้นซูสุ่ยฝึกวิชามาร ข้าจะมอบให้คนอื่นจัดการ เจ้าจงกลับไปที่สำนักศึกษาในทันที”


โจวจวี่ถอนหายใจหนึ่งที ยืดเอวขึ้นตรงแล้วกล่าวอย่างจนใจว่า “อาจารย์ ปรึกษากันก่อนไม่ได้หรือ?”


อริยะสำนักศึกษาตอบชัดเจน “ไม่ได้”


โจวจวี่หน้าม่อย “กลุ้มจริง”


อริยะมองไปทางผู้ฝึกกระบี่เฒ่าแคว้นซูสุ่ยที่ยืนอยู่ตรงธรณีประตู หลังจากคำนับกลับคืนอีกฝ่ายแล้วก็เอาสองมือไพล่หลัง เอ่ยพร้อมยิ้มบางๆ ว่า “หัวหน้าหมู่บ้านซ่งใกล้จะได้ฝ่าทะลุขอบเขตแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วย ได้ยินมาว่าทุกครั้งที่หัวหน้าหมู่บ้านซ่งออกเดินทางไปหาประสบการณ์ในยุทธภพจะต้องจุดธูปกราบไหว้ศาลบุ๋นของสถานที่ทุกแห่ง แสดงให้เห็นถึงความจริงใจ หากมีเวลาว่าง หลังจากที่หัวหน้าหมู่บ้านซ่งฝ่าขอบเขตแล้วก็สามารถไปฝึกตนที่สำนักศึกษาของพวกเราสักระยะหนึ่ง เพื่อสร้างขอบเขตร่างทองให้มั่นคงขึ้นได้”


ซ่งอวี่เซาที่ยังคงค้างอยู่ในท่ากุมหมัดนั้นยิ่งรู้สึกเลื่อมใสอีกฝ่าย “ขอขอบคุณในความเมตตาของท่านอริยะมาไว้ ณ ที่นี้ด้วย”


แม้จะไม่รู้ว่าเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษากวานหูผู้นี้ใช้วิชาอภินิหารที่ยิ่งใหญ่ชนิดใดของลัทธิขงจื๊อถึงสามารถออกจากสำนักศึกษามาเยือนแคว้นซูสุ่ยได้เร็วขนาดนี้ ระยะทางยาวไกลหลายพันหลายหมื่นลี้ แต่กลับเหมือนไม่กี่ก้าวของอริยะแห่งสำนักศึกษาเท่านั้น


อริยะลัทธิขงจื๊อที่รับผิดชอบนั่งบัญชาการณ์สำนักศึกษากวานหูท่านนี้คลี่ยิ้ม เพราะเวลานี้เรือนกายสูงใหญ่ของเขาลอยอยู่กลางอากาศ จึงมองเห็นคนในยุทธภพของแคว้นซูสุ่ยที่นั่งอยู่ด้านในของธรณีประตูแทบทุกคน ผู้เฒ่าที่สง่างามสูงศักดิ์มองเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ด้านหลังซ่งอวี่เซาด้วยสายตาล้ำลึก ในดวงตาที่ฉายแววซับซ้อนเกินจะหยั่งถึงมีประกายแสงเปล่งวาบหนึ่งที ราวกับว่าทั้งรู้สึกชื่นชมอีกฝ่าย แต่ก็ทั้งเสียดาย และยังมีการหวนนึกถึงเรื่องในอดีตอีกหลายส่วน สุดท้ายผู้เฒ่าไม่ได้เอ่ยอะไร เขาดึงสายตากลับมา หันไปเอ่ยเตือนโจวจวี่อีกครั้งว่า “ห้ามจงใจเดินทางล่าช้า รีบกลับไปที่สำนักศึกษาโดยเร็ว มีภารกิจสำคัญอย่างอื่นรอเจ้าอยู่”


ดวงตาโจวจวี่เป็นประกายจ้า “เรื่องทางทิศเหนือหรือ?”


สำหรับคำพูดเปิดเผยความลับสวรรค์ที่ลูกศิษย์คนสุดท้ายหลุดปากพูดโดยไม่ได้ตั้งใจ อริยะลัทธิขงจื๊อแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เขาไม่ต้องการจะพูดมากต่อหน้าคนนอกสำนักศึกษา เพียงหันไปยิ้มบางๆ เอ่ยกับจอมยุทธ์ที่นั่งกันอยู่เต็มห้องโถงว่า “มหามรรคามีเส้นทางแตกต่างแต่มุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน ฝึกวรยุทธ์ก็สำคัญที่การฝึกอบรมจิตใจเช่นกัน เมื่อมองความมหัศจรรย์แห่งวิถีสวรรค์ได้อย่างทะลุปรุโปร่งก็จะสามารถย้อนกลับมาหล่อเลี้ยงรากฐานแห่งวิถีวรยุทธ์ หวังว่าทุกท่านจะไม่ลืมจิตแห่งคุณธรรม สำนักศึกษากวานหูของข้ายินดีเปิดประตูกว้างให้สำหรับทุกท่าน ใช้ย้อนมองตนเพื่อบรรลุมรรคา พยายามเปิดปัญญาให้ได้มากที่สุด”


คำแนะนำจากอริยะเป็นดั่งลมฤดูใบไม้ผลิที่แปรเปลี่ยนเป็นสายฝน เมื่อไม่ได้แจกแจงอย่างละเอียดก็ยิ่งทำให้คนเกิดความรู้สึกมหัศจรรย์จนไม่อาจบรรยายได้


ทุกคนในห้องโถงใหญ่รู้สึกศรัทธาจากใจจริง นี่ต่างหากถึงจะเป็นสายลมพัดสูงแห่งสำนักศึกษา คือมาดของอริยะที่แท้จริง ดังนั้นเหล่าผู้กล้าจากสองสายขาวดำของแคว้นซูสุ่ยที่ลุกขึ้นยืนนานแล้วต่างก็ประสานมือคารวะอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย เมื่อเทียบกับความประหวั่นพรั่นพรึงต่อสถานะของโจวจวี่ก่อนหน้านี้ การคารวะในคราวนี้กลับมีความชื่นชมและเลื่อมใสศรัทธาด้วยความจริงใจมากกว่า


เรือนกายของเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาสลายหายไปกลางอากาศ จากนั้นก็ตามมาด้วยริ้วแสงสีทองที่กระเพื่อมเป็นระลอก


ก่อนจะจากไปอริยะใช้วิชาอภินิหารเนตรทิพย์มองเด็กหนุ่มสะพายกระบี่อีกครั้งด้วยความรู้สึกสะทกสะท้อนใจ ฉีจิ้งชุนแห่งซานหยาเลือกเด็กหนุ่มต้าหลีที่เพิ่งจะยืนเหยียบอยู่บนธรณีประตูของวิถีวรยุทธ์ขอบเขตสี่คนนี้เป็นผู้ปกป้องมรรคาของเหล่าลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเขาจริงๆ


เรื่องนี้นอกจากคนไม่กี่หยิบมือของสำนักศึกษากวานหูแล้ว ก็ไม่มีใครรู้เรื่องอีก ส่วนอริยะท่านนี้ก็เพราะได้เห็นมากับตาตัวเองถึงได้ไล่สืบมาตามเบาะแสแล้วอนุมานเป็นภาพเหตุการณ์ในระยะไกล


ขณะเดียวกันอริยะก็ใช้เสียงในใจเอ่ยเตือนโจวจวี่ “จวี้หรัน ไม่ว่าเจ้าเห็นอะไรจากตัวของเด็กหนุ่ม ก็ห้ามทำอะไรวู่วามเด็ดขาด จำไว้ว่าต้องระวังทั้งคำพูดและการกระทำ!”


โจวจวี่ตอบกลับกลั้วหัวเราะด้วยเสียงหัวใจ “อาจารย์ เรียนรู้ข้อดีจากผู้มีคุณธรรมและมีความสามารถ หลักการเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ศิษย์จะไม่รู้ได้อย่างไร?”


อริยะจากไปแล้ว โจวจวี่ค้นพบว่าหยกประดับตรงเอวตัวเองหายไปด้วย ที่แท้อาจารย์ของตนก็เป็นคนเอาไป


โจวจวี่ไม่ได้หันกลับไปมองห้องโถงใหญ่อีก เพียงแค่ทอดถอนใจไม่หยุด


จนกระทั่งเขาเดินออกจากประตูใหญ่ของหมู่บ้านวารีกระบี่แล้วถึงได้หันกลับไปมองพลางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ได้เปิดโลกทัศน์ครั้งใหญ่เลยทีเดียว”


แม้ว่าตอนนี้เขาโจวจวี่ หรือเรียกอีกชื่อว่าโจวจวี้หรันจะเป็นเพียงแค่นักปราชญ์ของสำนักศึกษากวานหู แต่ต่อให้เป็นวิญญูชนใหญ่แห่งแจกันสมบัติทวีปอย่างชุยหมิงหวงก็ยังไม่กล้าดูถูกโจวจวี่แม้แต่นิดเดียว ไม่เพียงแต่ตบะของโจวจวี่ในลัทธิขงจื๊อที่ไม่อาจดูถูกได้ แล้วก็ไม่ใช่แค่เพราะประสบการณ์ที่นักปราชญ์เลื่อนเป็นวิญญูชน แล้วก็เปลี่ยนจากวิญญูชนกลับไปเป็นนักปราชญ์อีกครั้ง แต่เป็นเพราะโจวจวี่สามารถมองเห็นภาพเหตุการณ์บางอย่างที่อริยะผู้เป็นอาจารย์ของเขามองไม่เห็น สำหรับพรสวรรค์อันเลิศล้ำข้อนี้ ขนาดอริยะของสถานศึกษาก็ยังเคยสั่งความเจ้าขุนเขาสำนักศึกษากวานหูด้วยตัวเองว่า จะต้องปกป้องโจวจวี่อย่างระมัดระวัง ห้ามให้โจวจวี่เดินทางผิดเด็ดขาด


คนบนโลกในสายตาโจวจวี่สมกับคำว่า ‘มนุษย์มีนับร้อยรูปแบบ’ อย่างแท้จริง ทุกคนที่ฝึกบำเพ็ญตน โดยเฉพาะลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อที่จะนำกลิ่นอายแห่งจิตวิญญาณอันเป็นรูปธรรมซึ่งแฝงความหมายพิเศษบางอย่างมาจำแลงกลายเป็นภาพที่มหัศจรรย์ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นภาพของคนจิ๋วที่ใหญ่เท่าเมล็ดข้าวสาร หรือไม่ก็เท่าเล็บมือซึ่งจะอยู่บนร่าง หรือไม่ก็ในช่องโพรงลมปราณของคนที่อยู่เบื้องหน้าโจวจวี่


ยกตัวอย่างเช่นนักปราชญ์ของสำนักศึกษาคนหนึ่งที่มองดูแล้วเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวา แต่คนจิ๋วของเขากลับเป็นคนหลังงอขาเป๋ เหมือนแบกภูเขาลูกใหญ่เอาไว้ เหงื่อหยดเต็มร่องสันหลัง


อาจารย์ท่านหนึ่งที่มีชื่อเสียงด้านความคร่ำครึ อบรมสั่งสอนลูกศิษย์อย่างเข้มงวด บริเวณใกล้ศีรษะกลับมีนางฟ้าสวมเสื้อผ้าสีสันสดใสบินวนเวียนคอยอาศัยอยู่ใกล้ๆ ไม่จากไปไหน


ลูกศิษย์สำนักศึกษาคนหนึ่งที่แผ่กลิ่นอายแห่งความตาย ท่าทางเซื่องซึมไม่กระฉับกระเฉง ในหัวใจกลับมีคนจิ๋วที่เป็นมือกระบี่เคราดกคนหนึ่งเดินท่องเที่ยวอยู่ตามช่องโพรงลมปราณ


นักปราชญ์คนหนึ่งที่โจวจวี่เคยอัดเสียน่วม ปากเขาพร่ำพูดแต่คุณธรรมน้ำใจ เวลาอยู่ในสำนักศึกษามีชื่อเสียงด้านความเป็นระเบียบระมัดระวัง มีฝีมือเลิศล้ำในการประพันธ์ผลงาน แต่โจวจวี่กลับเห็นว่าระหว่างหน้าหนังสือของนักปราชญ์ผู้นั้นเต็มไปด้วยผีเสื้อและผึ้งบินล้อมวน แผ่กลิ่นอายของความงดงามจอมปลอม และเขายังมีกระบี่บินแหลมคมที่อาบไปด้วยน้ำผึ้งอีกเล่มหนึ่งบินว่อนไปทั่ว


โจวจวี่เกลียดคนแบบนี้ที่สุด เพียงแต่เพราะเชื่อฟังคำสั่งสอนของอาจารย์จึงอดทนแล้วอดทนอีก จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง หลังจากสำนักศึกษาซานหยาถูกถอดยศจากหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษา เล่าลือกันว่าฉีจิ้งชุนร่างสลายมรรคามอดดับ อีกทั้งสำนักศึกษาซานหยายังต้องย้ายจากต้าหลีไปอยู่ต้าสุย สำนักตกต่ำ คนในสำนักโหรงเหรง ควันธูปของสายบุ๋นสายนั้นแทบจะถูกตัดขาด นักปราชญ์ผู้นี้ถึงได้เผยสันดานเดิมออกมา เขาโจมตีความรู้ของฉีจิ้งชุนที่เคยเผยแพร่ตอนยังมีชีวิตอยู่อย่างกำเริบเสิบสาน ใช้มันเป็นวิธีในการเพิ่มชื่อเสียงให้กับตัวเอง หวังว่าจะใช้โอกาสนี้มาทำให้พวกอาจารย์ผู้เฒ่าบางคนพึงพอใจ แล้วตัวเองก็เลื่อนขั้นเป็นวิญญูชนได้สำเร็จ ทัศนคติที่โจวจวี่มีต่อสายบุ๋นที่เป็นศัตรูสายนั้นไม่อาจพูดได้ว่าดีหรือร้าย แต่สำหรับนักปราชญ์ที่ปากหวานก้นเปรี้ยวคนนี้ ประเด็นสำคัญคือคนผู้นี้ยังอาศัยบทความของอาจารย์เขาไปโจมตีสำนักศึกษาซานหยา เป็นการกระทำที่ทำให้เขารังเกียจอย่างแท้จริง สุดท้ายโจวจวี่จึงลงมือทำร้ายคน ซ้อมเสียจนไอ้หมอนั่นไม่มีหน้าออกจากสำนักนานถึงครึ่งปี


ส่วนชุยหมิงหวงคือแผนที่บ้านเมืองแห่งหนึ่งที่มีพื้นที่กว้างขวางมาก แต่กลับมีควันดินปืนผุดขึ้นสี่ทิศ แตกกระจัดกระจายเป็นเสี่ยงๆ ในจิตใจของคนผู้นี้ไม่มีคนจิ๋วเล็กเท่าเมล็ดข้าวสารอยู่แม้แต่คนเดียว


ส่วนวิญญูชนใหญ่ผู้ครองอันดับหนึ่งของแจกันสมบัติทวีป ผู้ซึ่งสง่างามและมีความรู้ มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งทวีปผู้นั้น รูปลักษณ์ที่แท้จริงกลับเป็นชาวนาผู้เฒ่าท่าทางซื่อสัตย์ที่ขยันทำนา คอยเฝ้าอยู่ที่ไร่นาเสมอ


โจวจวี่มีวิชาอภินิหารที่ไม่เคยได้รับการสืบทอดนี้มาตั้งแต่เด็ก อีกทั้งหากได้เห็นแล้วจะไม่มีทางลืม ความคิดผุดพุ่งดุจน้ำพุ ตอนอายุเก้าขวบก็เข้ามาอยู่ในสำนักศึกษาอย่างลับๆ ติดตามอาจารย์เรียนวิชาความรู้ของอริยะ อายุสิบสี่ปีได้เป็นนักปราชญ์ หลังจากนั้นก็ยังคงอยู่ในหอพักแห่งหนึ่งที่อาจารย์สร้างขึ้นเอง เก็บตัวอยู่อย่างสันโดษ ตลอดทั้งปีคบค้าสมาคมอยู่แค่กับพวกศิษย์พี่ชายหญิง หลังจากอายุยี่สิบได้เลื่อนขั้นเป็นวิญญูชน ผ่านการทดสอบจากภาชนะที่ใช้ในพิธีกรรมชิ้นหนึ่งของศาลบุ๋น เพียงไม่นานโจวจวี่ก็ถูกค้นพบว่ามีร่องรอยของ ‘ผู้เที่ยงตรง’ มีความหวังว่าจะไล่ตามวิญญูชนใหญ่สองท่านของแจกันสมบัติทวีปได้


โจวจวี่ที่เดินอยู่บนถนนใหญ่ของหมู่บ้านวารีกระบี่ซึ่งมุ่งหน้าไปยังเมืองเล็กถอนหายใจ “รู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้นิดๆ แหะ”


เดินอยู่บนถนนว่างเปล่าที่กว้างขวาง เรือนกายหนึ่งโผล่จากความว่างเปล่ามาปรากฎอยู่ข้างกายนักปราชญ์โจวจวี่ แล้วเอ่ยถามเบาๆ ว่า “จวี้หรัน เจ้าเห็นภาพเหตุการณ์ประหลาดอะไร?”


โจวจวี่ตอบยิ้มๆ “อาจารย์คนดีของข้า ท่านอย่าทำให้ศิษย์ตกใจแบบนี้จะได้ไหม? หากท่านทำให้ต้นกล้าที่ดีอย่างข้าตกใจจนโง่ไป อาจารย์คงต้องเสียน้ำตาแน่ๆ”


เรือนกายล่องลอยของเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาเดินเคียงไหล่ไปกับโจวจวี่


โจวจวี่ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “อาจารย์ ครั้งนี้ข้าไม่บอกท่านหรอก จะปล่อยให้ท่านอยากรู้นี่แหละ”


ผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ก็ดีเหมือนกัน เจ้าก็รอกลับไปโดนโบยที่สำนักศึกษาเถอะ”


อริยะถึงได้จากไปอย่างแท้จริง


โจวจวี่เดินอยู่บนทางต่างบ้านต่างเมืองเพียงลำพัง จุ๊ปากพลางโคลงศีรษะ


มีจิตแห่งบุ๋นร่างทองดวงหนึ่งที่เห็นได้ชัดว่าคนอื่นมอบให้ แต่กลับเชื่อมประสานกับจิตวิญญาณของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี ไม่มีการต่อต้านกันแม้แต่น้อย เป็นเหตุให้เด็กหนุ่มอายุน้อยคนหนึ่งมีกลิ่นอายของลัทธิขงจื๊อ มีภาพปรากฎการณ์ของวิญญูชนผู้เที่ยงตรงปรากฏขึ้นเสี้ยวหนึ่ง


ระหว่างที่เด็กหนุ่มก้าวเดิน ชายแขนเสื้อสองข้างมีลมเย็น บนไหล่ทั้งสองคล้ายแบกดอกทานตะวัน บุปผาเบ่งบานวิหคบินล้อมวนก็ยิ่งเป็นภาพที่งดงามน่าประทับใจ


มีคนจิ๋วคนหนึ่งกำลังนั่งเรอหลังจากดื่มเหล้า แกว่งน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาด มีคนจิ๋วสวมรองเท้าสานที่ฝึกยืนนิ่งอยู่ริมน้ำ เดินนิ่งข้ามขุนเขา…


มีคนจิ๋วคนหนึ่งที่พลิกเปิดหน้าตำรา ตรงมวยผมปักปิ่น กำลังก้มหน้าอ่านตำรา บทความที่อ่านคล้ายจะเข้าใจยากไปเสียทุกบทตอน ถึงได้ขมวดคิ้วแน่น เกาหัวอย่างกลัดกลุ้ม


และยังมีคนจิ๋วที่กำลังนั่งขัดสมาธินับเงิน หน้าบานเป็นกระด้ง บางครั้งหยิบเหรียญขึ้นมากัด หรือไม่ก็ใช้ชายแขนเสื้อเช็ดเหรียญเงิน


คนจิ๋วอีกคนหนึ่งเต็มไปด้วยรัศมีแห่งอัญมณีของมีค่า กำลังวิ่งวุ่นไปสี่ทิศ ส่งของชิ้นหนึ่งอยู่ตรงนี้ สองมือประคองมอบของชิ้นหนึ่งอยู่ตรงนั้น คล้ายกำลังมอบของที่ตัวเองรักให้กับคนอื่นไม่หยุด…


ทั้งๆ ที่มีความคิดอันน่าอัศจรรย์ใจมากมายขนาดนั้น แถมแต่ละความยึดมั่นถือมั่นยังหยั่งรากลึก แต่กลับยังมีจิตใจที่ใสกระจ่าง ใต้หล้านี้มีเด็กหนุ่มที่ประหลาดขนาดนี้ได้อย่างไร?


โจวจวี่หุบยิ้ม ถอนหายใจหนึ่งที ปากเขาพูดว่าต้องเรียนรู้จากคนมีความสามารถ แต่เขากลับไม่อยากเป็นเหมือนเด็กหนุ่มคนนั้นเลยสักนิดเดียว เพราะเป็นคนแบบนั้นน่าจะต้องเหนื่อยมาก


แต่หากสามารถได้เป็นเพื่อนสนิทกับคนแบบนี้น่าจะดีมาก


โจวจวี่นึกถึงเรื่องหนึ่ง แล้วพลันกระโดดขึ้นสูงทะยานเข้าสู่ชั้นเมฆ บังคับลมเดินทางไกล ใต้ฝ่าเท้าก็คือแผ่นดินของแคว้นซูสุ่ย ระหว่างก้อนเมฆพอจะมองเห็นเทือกเขาสูงต่ำได้อย่างเลือนราง โจวจวี่เอ่ยพึมพำกับตัวเองว่า “ครั้งนี้ได้พบเทียนจวินลัทธิเต๋าของอุตรกุรุทวีป หรือว่าข้าควรฟังคำแนะนำของคนผู้นั้น เลือกพื้นที่มงคลขนาดใหญ่หน่อย ใช้สถานะของเจ๋อเซียน (เดิมหมายถึงเซียนที่ถูกลดขั้นมาเป็นมนุษย์ ภายหลังหมายถึงคนของลัทธิเต๋าที่สูงส่ง หลุดพ้นทางโลก) ลงไปหาประสบการณ์ในสถานที่ถัดไป? หาไม่แล้วด้วยขอบเขตของข้าตอนนี้ที่ต่อให้ฟ้าผ่าก็ยังไม่ขยับมานานหลายปี นั่งยองในห้องส้วมแล้วยังขี้ไม่ออกอยู่แบบนี้ คงไม่มีความเคลื่อนไหวสักนิดเลยจริงๆ”


—–

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)