ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 247-270
ตอนที่ 247 วาจาคมกริบของเหยียนหมิงซุ่น
ตอนเหยียนหมิงซุ่นกลับถึงบ้านประจวบเหมาะที่อู่เจิ้งซือกลับไปพอดี มองดูแล้วสีหน้าท่าทางไม่สดใส ตอนกินข้าวเย็น เหยียนหมิงซุ่นถึงได้รู้เหตุผล ท่านผู้เฒ่าเหยียนปฏิเสธคำขอร้องของอู่เจิ้งซือเรื่องการเป็นคนกลาง
“อู่เหมยกับอู่เยวี่ยสองพี่น้องนี่เล่ห์เหลี่ยมเยอะเกินไป ทำไมฉันต้องทำแบบนั้นด้วย?” คุณตาเหยียนไม่ปิดบังความไม่ชอบต่อคู่พี่น้องอู่เหมยเลยแม้แต่น้อย สองพี่น้องนี่ต่างไม่ใช่ตะเกียงที่ประหยัดน้ำมัน ต่างเป็นคนที่มีพิษสง ไม่ใช่จะสยบได้ง่ายๆ เขาไม่อยากเข้าใกล้เลยสักนิด
คุณย่าหยางฉุนกึกตอบกลับว่า “เด็กน้อยเหมยเหมยฉันเห็นว่าก็ไม่เลวเลยนะตาเฒ่า คุณมีวิสัยทัศน์ที่สูง มีแต่ปันจ่าวเท่านั้นแหละถึงจะเข้าสายตาคุณ ถ้าเป็นเหมือนพวกเรามนุษย์ธรรมดาที่มีเล่ห์เหลี่ยมเยอะยังไงก็ดูแปดเปื้อนในสายตาคุณ”
คุณปู่เหยียนพ่นลมออกจากจมูกด้วยความไม่พอใจ “ฉันว่าตระกูลอู่ เธอจะพูดถึงปันจ่าวนั่นทำไม? ฉันพูดผิดตรงไหน อายุยังน้อย แต่อยู่ข้างนอกก็ยังพูดให้ร้ายพ่อแม่ได้ เป็นคนอกตัญญูไม่รู้คุณคนคนหนึ่ง”
“ตรงไหนที่เหมยเหมยพูดให้ร้าย? เธอแค่บอกเล่าความจริง ตามความคิดของคุณ เหมยเหมยเธอได้รับความโหดร้ายทารุณก็ควรจะเงียบ ส่วนการออกมาร้องตะโกนก็กลับกลายเป็นคนอกตัญญูแล้ว? เหอะ! นี่เป็นตรรกะไร้สาระอะไรของคุณ?” คุณย่าหยางพูดอย่างเคืองๆ
คุณปู่เหยียนโมโหจนหนวดกระดิก โยนตะเกียบลงบนโต๊ะ ตวาดลั่นว่า “พ่อแม่สั่งสอนลูกเป็นหลักการที่ถูกต้องอย่างไม่สงสัย ไม่ใช่แค่ว่าตบทีเดียวเองหรือไง จะเป็นการทารุณได้ยังไง? ยายแก่ เธอนี่ก็ก่อกวนไม่หยุดเลย”
“ไม่ใช่ว่าแค่ตบทีเดียว? ไอ้หยา! ตาแก่ คุณยืนพูดๆ ไปก็ยังไม่ปวดเอวใช่ไหม งั้นให้ฉันลองตบคุณหนึ่งทีดีไหม?” คุณย่าหยางเองก็โมโหจนเขวี้ยงตะเกียบตาม พลางจ้องตากับตาเฒ่า ตาใหญ่จ้องตาเล็ก เหมือนกับตาอีกากับไก่
เหยียนหมิงซุ่นรู้สึกว่าคำพูดของคุณตาไม่น่าฟังอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นสีหน้าท่าทางเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มของถานซูฟาง ใจของเขายิ่งรู้สึกไม่ดีจนทนไม่ไหวเลยพูดขึ้นมาว่า “คุณปู่ก็พูดไม่ถูกต้อง หากพ่อแม่ตีลูกตายตามแบบเดิมจะต้องโดนตัดสินลงโทษ แสดงให้เห็นว่าตามกฎหมายควบคุมไม่ให้พ่อแม่ตีลูกด่าลูก การที่อาจารย์เหอทั้งตีทั้งด่าอู่เหมยแบบนั้น ก็ผิดข้อหาทำร้ายทารุณแล้วเรียบร้อย เป็นไปได้เหรอที่ร่างกายเด็กจะรับได้ อู่เหมยเธอต่อต้านก็ถูกแล้ว จะให้เด็กนั่นเอาแต่อยู่บ้านอดทนยอมรับการโดนทารุณหรือครับ?”
คุณปู่เหยียนชะงักงันในทันที โดนวาจาคมกริบหาได้ยากของหลานชายคนโตทำให้หยุดชะงัก เดิมทีเขายังคิดจะโต้แย้งอยู่หลายประโยค แต่ในสมองกลับปรากฏภาพรูปร่างหน้าตาของเหยียนหมิงซุ่นตอนเด็ก คำพูดที่จะพูดก็ถูกกลืนลงไป หันไปจ้องถานซูฟางที่กำลังมองความวุ่นวายอย่างเกรี้ยวกราด
คุณย่าหยางก็เหมือนกัน เธอส่งสายตามองอย่างเหยียดหยามไปทางเดียวกัน พูดขึ้นมาอีกว่า “หมิงซุ่นพูดไม่ผิด พวกสัตว์ร้ายที่ลงมืออย่างโหดเหี้ยมกับลูกก็ควรจะโดนตัดสินประหารชีวิต ตายแล้วก็โยนลงกระทะน้ำมันทอดซะ ถ้ากลับชาติมาเกิดใหม่ก็ให้ไปเกิดเป็นวัวเป็นควาย ไถนาทั้งชีวิต ไม่ได้หลุดพ้นจากสภาพเลวร้ายตลอดชาติ”
ถานซูฟางสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย เก็บรอยยิ้ม คีบตะเกียบหยิบผัก กินด้วยท่วงท่าสง่างาม ทำเหมือนคุณย่าหยางกำลังพูดจาไร้สาระ
เหยียนหมิงต๋ามีหน้าตาท่าทางแปลกประหลาดเล็กน้อย มองเหยียนหมิงซุ่นอย่างกระวนกระวายใจ แล้วก็มองถานซูฟาง มองแล้วมองอีก ในใจรู้สึกหงุดหงิดเพราะแม่แท้ๆ ของเขาก็คือสัตว์ร้ายที่คุณย่ากำลังพูดถึง!
แต่นี่ก็เป็นแม่แท้ๆ ของเขา เขาควรจะทำอย่างไร?
“แม่ ค่าขนมของพี่ชายเทอมนี้แม่ยังไม่ได้ให้ ความจำของแม่ยิ่งนานยิ่งแย่แล้วนะ!” เหยียนหมิงต๋าพูดพลางทำหน้าทะเล้น
ถานซูฟางหว่างคิ้วกระตุก ไอ้ลูกโง่จอมฟุ่มเฟือย สนิทหรือไม่สนิทก็ยังแยกไม่ออก โง่จริงๆ
เหยียนโฮ่วเต๋อหันมามองเธอ หน้าตาบ่งบอกว่าไม่ค่อยพอใจ ถานซูฟางตบหน้าผาก พูดอย่างขัดเคืองว่า “ไอ้หยา ดูสมองฉันสิ ยุ่งขึ้นมาทีไรก็ชอบลืมเรื่องง่ายๆ อีกเดี๋ยวฉันค่อยให้เงินกับหมิงซุ่น”
“แม่ แม่ก็ให้ตอนนี้สิ อย่าเดี๋ยว ไม่งั้นเดี๋ยวแม่ก็ลืมอีก” เหยียนหมิงต๋ายิ้มแป้นพูด
ถานซูฟางแอบมองจ้องเขม็งมาที่เขา เหยียนหมิงต๋าแกล้งทำเป็นไม่เห็น แต่กลับยิ้มซื่อๆ แทน แถมยังยื่นมือออกไปเพื่อเอาเงิน ขอต่อหน้าสามีและพ่อแม่ของสามี ถานซูฟางไหนเลยจะกล้าไม่ให้ จำเป็นต้องให้แม้ใจจะไม่ยินยอม
เหยียนหมิงต๋าพอได้เงินก็หันไปแบ่งให้กับเหยียนหมิงซุ่น เหมือนกับสุนัขพันธุ์ปักกิ่งที่ปัญญาอ่อน
………………………………………………………….
ตอนที่ 248 หนูอยากย้ายออกมา
อันที่จริงแล้วเหยียนหมิงซุ่นไม่เห็นเงินค่าขนมอันน้อยนิดของถานซูฟางอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ เงินฝากในธนาคารของเขาตอนนี้มีมากกว่าเงินฝากของตระกูลเหยียนตั้งเยอะ ถานซูฟางจะให้หรือไม่ให้เงินก็ไม่มีผลกระทบต่อเขาเลยแม้แต่น้อย
แต่ว่าน้ำใจของเหยียนหมิงต๋า เขาก็รู้สึกประทับใจมาก ก็เป็นเพราะความประทับใจครั้งแล้วครั้งเล่าแบบนี้ เขาจึงเกลียดเหยียนหมิงต๋าไม่ลง
คุณย่าหยางก็ไม่เห็นเงินน้อยนิดพวกนี้อยู่ในสายตา แต่ที่เธอสนใจก็คือท่าทีของถานซูฟาง อะไรคือลืมแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่อยากจะให้!
“ถานซูฟาง หากนานวันเข้าความจำยิ่งแย่แบบนี้ ก็ควรกินสมองหมูบำรุงให้มากหน่อยนะ แล้ววันหลังก็อย่าลืมอีก หมิงซุ่นเป็นหลานชายคนโตของตระกูลเหยียนของพวกเรา หัดจำลำดับเครือญาติไว้บ้างล่ะ!” คุณย่าหยางพูดเสียงต่ำ เน้นหนักไปที่คำว่าหลานชายคนโต
ถานซูฟางสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย พยายามประคองรอยยิ้มบนใบหน้า ยายแก่สมควรตายตั้งใจพูดเรื่องพวกนี้เพื่อให้เธอโมโห เหอะ! เธอจะไม่ยอมโมโหให้ใครได้เห็นหรอก
หลานชายคนโตนับเป็นอะไรได้ ตอนนี้ก็ไม่ใช่สมัยโบราณ ตระกูลเหยียนก็ไม่ใช่ครอบครัวร่ำรวยมีอิทธิพลอีกต่อไป ยายแก่นี่เป็นคนที่มองไม่ทะลุจริงๆ ตอนนี้ไม่เอาใจเธอลูกสะใภ้รองคนนี้ วันหลังก็อย่าหาว่าเธอไม่มีคุณธรรม!
เหยียนโฮ่วเต๋อเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ถามขึ้นมาว่า “ตอนนี้หมิงซุ่นอยู่ม.5แล้ว อีกสองปีก็ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย หมิงซุ่นลูกมีความคิดอะไรไหม จะเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยไหน? เรียนคณะอะไร?”
คุณปู่เหยียนหัวเราะพูดว่า “เรื่องนี้ไม่ต้องรีบไป ยังมีเวลาอีกตั้งสองปี อีกทั้งคะแนนของหมิงซุ่น ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยจินซื่อละก็ไม่มีปัญหา อีกอย่างมหาวิทยาลัยจินซื่อของพวกเราก็มีชื่อเสียงระดับประเทศด้วยนะ”
เหยียนโฮ่วเต๋อก็พอใจมาก ในใจคล้อยตาม และแล้วเขาก็พูดจูงใจว่า “พ่อ เห็นว่าพ่อแม่ของอู่เจิ้งซือกับพี่ใหญ่ต่างก็เป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยจินซื่อ เกียรติยศชื่อเสียงก็ไม่เลว พ่อลอง…”
คุณปู่เหยียนลูบคาง ไตร่ตรองเงียบๆ นานมากกว่าจะพูดว่า “ช่างเถอะ ฉันไปเป็นคนกลางก็ได้!”
เหยียนหมิงซุ่นไม่ได้ส่งเสียงมาตลอดการสนทนา เขาเดิมทีไม่ได้วางแผนว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ถึงแม้ว่าจะรู้สึกผิดต่อคุณปู่กับคุณย่า แต่เขาจำเป็นต้องทำแบบนี้ คุณปู่คุณย่าจะรักใคร่เขาอย่างไร ก็คงไม่สามารถจัดการลูกชายและลูกสะใภ้เพื่อเขาได้ มากที่สุดก็ประชดประชันเสียดสีด้วยวาจาไม่กี่ประโยค แต่พวกเขาไม่เจ็บไม่รู้สึกคันอะไรด้วยซ้ำ
เรื่องพวกนี้สำหรับเขาแล้วมันไม่พอ ความเจ็บปวดที่แม่เขาได้รับและความยากลำบากทุกข์ตรมของเขาในตอนเด็ก ต้องให้ถานซูฟางชำระหนี้คืนร้อยเท่า ยังมีเหยียนโฮ่วเต๋ออีก เขาจะต้องแลกมันมาด้วยความเย็นชาแล้วก็ไร้ความเมตตาปรานี
ที่โต๊ะกินข้าวของบ้านอู่ ก็ไม่ค่อยสงบเงียบเหมือนกัน อู่เยวี่ยมีสีหน้าท่าทางไม่พอใจ นับเมล็ดข้าวกิน เหอปี้อวิ๋นเองก็ไม่ค่อยอยากอาหารเหมือนกัน วันนี้เธอไม่กล้าแม้กระทั่งจะออกจากประตูไปด้วยซ้ำ กลัวว่าจะโดนถามเรื่องคะแนน แต่เธอกลับไม่ได้คิด ตอนกลางวันทะเลาะกันเสียงดังขนาดนั้น ทุกคนในโรงเรียนมีใครที่ไม่รู้เรื่องนี้บ้างล่ะ เหอปี้อวิ๋นก็แค่กำลังอุดหูแล้วทำเป็นหลอกตัวเองก็แค่นั้น
“พ่อ หนูอยากย้ายไปอยู่ห้องเก็บของ” อู่เหมยอารมณ์ดี เจริญอาหารเป็นอย่างมาก เธอเสนอขอเรียกร้องเรื่องห้องเพื่อเอกราชของเธอ ตอนนี้เป็นจังหวะและโอกาสที่ดีเลย
อู่เหมยอธิบาย “พี่สาวก็จิตใจไม่ปกติ แถมยังมีกลิ่นขี้เต่าอีก หนูไม่อยากอยู่ห้องเดียวกับพี่”
เหอปี้อวิ๋นหน้าขรึมลง ตวาดว่า “พูดจาเหลวไหลอะไร พี่สาวแกจิตไม่ปกติที่ตรงไหน? ถ้ายังพูดจาเหลวไหลอีกฉันจะ…”
“ตีหนูใช่ไหม? แม่น่ะหลอกตัวเองและคนอื่นเพื่ออะไร? พี่สาวจิตไม่ปกติแถมยังมีกลิ่นตัว ยังไงก็ตามหนูไม่อยากนอนห้องเดียวกับพี่สาว ไม่อย่างนั้นแม่ก็นอนกับพี่สาวไปสิ ถึงอย่างไรพี่ก็เป็นแก้วตาดวงใจของแม่นี่นา ต่อให้เหม็นขนาดไหนแม่ก็ว่าหอม”
อู่เหมยพูดตอกกลับไปอย่างเมินเฉย ต่างคนต่างฉีกหน้ากากแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาแล้ว ยังจะต้องเกรงใจอะไรอีก!
อู่เยวี่ยกัดริมฝีปากอย่างแรง นังโง่นี่ คำหนึ่งก็บ้า อีกคำก็มีกลิ่นตัวเหม็น ทุกๆ คำต่างก็ทิ่มแทงใจของเธอ ให้ความรู้สึกราวกับว่าเลือดไหลแทบจะไม่หยุดอยู่แล้ว
ความอับอายในวันนี้เธอจะจดจำเอาไว้ และวันหลังจะต้องทวงคืนแน่นอน เธอ อู่เยวี่ยจะเป็นนกยูงที่แสนทระนงและน่าภาคภูมิใจไปตลอดกาล อู่เหมยนกกระจอกตัวนี้อย่าคิดว่าจะเทียบเทียมเธอได้!
………………………………………………………….
ตอนที่ 249 ลูกสาวเทียบไม่ได้กับลูกชาย
เหอปี้อวิ๋นโดนอู่เหมยย้อนจนพูดไม่ออก อันที่จริงแล้วเธอไม่ใช่คนฝีปากล้ำเลิศ ยิ่งไม่มีลิ้นที่พ่นออกมาเป็นดอกบัวเหมือนอย่างตี๋ชิวเยวี่ย อีกทั้งบวกกับห่วงว่าอู่เจิ้งซือจะโมโห ด้วยเหตุนี้จึงไม่กล้าด่าอู่เหมยเหมือนในยามปกติ ทำได้เพียงแต่แกล้งใบ้
ท้ายสุดอู่เจิ้งซือก็ยังคงเห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของอู่เหมย กลิ่นตัวบนร่างกายของอู่เยวี่ยอันที่จริงแล้วก็ถือว่าค่อนข้างรุนแรง เขาเองยังรับไม่ไหว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่อยู่ห้องเดียวกับอู่เยวี่ย เหมยเหมยเสนอเรื่องแยกห้องขึ้นมา ก็ถือว่าสมเหตุสมผล
สิ่งที่สำคัญแน่นอนว่าคือการที่ระยะนี้อู่เหมยทำได้ดีมากเป็นพิเศษ แน่นอนว่าทำให้อู่เจิ้งซือพูดคุยได้ง่ายกว่าเดิม
เมื่อครอบครัวเห็นด้วย เหอปี้อวิ๋นต่อให้ไม่พอใจแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ในใจยิ่งอึดอัดสับสน และยิ่งไม่อยากอาหารเข้าไปใหญ่
หลังกินข้าวเสร็จ ตอนแรกอู่เจิ้งซือคิดอยากจะช่วยอู่เหมยย้ายเตียง แต่จังหวะนั้นพ่อของเขาโทรศัพท์มา น้ำ เสียงในโทรศัพท์นั้นจริงจังเป็นอย่างมาก ให้ครอบครัวของอู่เจิ้งซือไปที่บ้านท่านสักหน่อย เดี๋ยวนี้ ทันที
พูดได้แค่เพียงว่าเรื่องซุบซิบข้างนอกไปไกลกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก ละครตลกของตระกูลอู่ไม่เพียงแต่แพร่กระจายแค่ในโรงเรียนอีกต่อไป แม้กระทั่งท่านผู้เฒ่าอู่ที่อยู่ตรงนั้นยังได้รับรู้แล้ว นับตั้งแต่หลังวันไหว้ครู ครอบครัวของอู่เจิ้งซือก็ไม่ได้ไปอีก เรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านผู้เฒ่าทั้งสองต่างไม่รับรู้ พอได้ยินก็โกรธจนผมตั้งชันฉับพลัน
หลานสาวคนโตที่พวกเขาภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก ตอนนี้เป็นโรคประสาทและเธอยังมีกลิ่นตัวที่ถึงกับทำให้ฟ้าสะเทือน ผีสางเทวดายังต้องกรีดร้อง แม้กระทั่งสอบยังสอบได้ที่สิบสองอีก ตัวพวกเขาเองแม้แต่จะเชื่อยังไม่กล้าที่จะเชื่อ
ที่คู่สามีภรรยายิ่งโกรธโมโหก็คือ ข้างนอกยังพูดกันอีกว่าเหอปี้อวิ๋นปฏิบัติต่ออู่เหมยอย่างโหดร้าย ข้าวไม่ให้กิน เสื้อไม่ให้ใส่ อีกทั้งงานบ้านที่ทำเท่าไรก็ไม่เสร็จ โดนตีไม่หยุด สู้แม่เลี้ยงยังไม่ได้เลย
คำพูดพวกนี้คุณย่าอู่ได้ยินตอนไปจ่ายกับข้าว ไม่กล้าที่จะเชื่อหูของตัวเองเลยจริงๆ แค่สองเดือนไม่เจอกัน เรื่องของครอบครัวของลูกชายตั้งแต่ต้นจนจบน่าชมกว่าละครทีวีอีก ที่แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่!
“เจิ้งซือ ที่ข้างนอกเขาพูดกันเป็นเรื่องจริงไหม?” คุณปู่อู่ถามหน้านิ่ง
ครอบครัวของอู่เจิ้งซือและอู่เจิ้งหงต่างก็อยู่ครบ วันนี้คุณย่าทำเกี๊ยว จึงได้เรียกลูกหลานมากิน อู่เจิ้งซือไม่มีอารมณ์ไปกินก็เลยปฏิเสธไป
หัวใจของอู่เจิ้งซือตกแล้วตกอีก ในที่สุดพ่อแม่ก็รู้แล้ว เดิมทีเขายังคิดอยากจะปิดบังไว้นานอีกสักหน่อย เฮ้อ!
“พ่อแม่ เป็นผมเองที่เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ไม่ได้เรื่อง” อู่เจิ้งซือไม่ได้ปฏิเสธ
คุณปู่อู่สีหน้าอึมครึม ดูแล้วแบบนี้พวกข่าวลือพวกนั้นคงจะจริง คุณปู่อู่มองอู่เยวี่ยอย่างผิดหวัง ลูกสาวยังไงก็สู้ลูกชายไม่ได้จริงๆ แม้ตอนประถมหรือมัธยมต้นจะมีคะแนนดีมาก แต่พอถึงมัธยมปลายก็เริ่มมีระยะห่างแล้ว ในตอนแรกเขายังคิดว่าอู่เยวี่ยเป็นข้อยกเว้น แต่ตอนนี้ดูแล้วคงข้ามไปไม่ได้เหมือนเดิม!
อู่เยวี่ยโดนสายตาที่ผิดหวังของคุณปู่มองจนรู้สึกแสบร้อน ปวดใจจนไม่กล้าหายใจ เธออดทนบังคับอาการปวดใจให้เป็นยิ้มน้อยๆ ตลอดเวลา
“คุณพ่อ สอบครั้งนี้เยวี่ยเยวี่ยสอบได้ไม่ดี ทั้งหมดให้โทษฉัน เป็นฉัน…”
เหอปี้อวิ๋นรีบร้อนอธิบาย คุณปู่อู่ถลึงตาใส่เธอด้วยความรังเกียจหนึ่งที ดุด่าเสียงดังว่า “ฉันไม่ได้ถามเธอ หุบปากเดี๋ยวนี้ ไม่มีการศึกษาเลยสักนิด!”
แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่พอใจลูกสะใภ้รองคนนี้มาตลอด ฐานะทางสังคมต่ำต้อย วุฒิการศึกษาก็ต่ำ นอกจากหน้าตาสวยนิดหน่อยแล้ว ก็ไม่มีฝีมืออะไรติดตัวเลยสักนิด เพียงแต่ว่าตอนนั้นลูกชายคนรองต้องการจะแต่งให้ได้ พวกเขาก็หมดหนทาง ตอนนี้ดูแล้วเวลานั้นยอมเป็นคนชั่วยังจะดีกว่า!
สู้ลูกสะใภ้คนโตไม่ได้โดยสิ้นเชิง คนหนึ่งฟ้าคนหนึ่งดิน
เหอปี้อวิ๋นหน้าเขียวหน้าแดง เป็นครั้งแรกที่คุณปู่ไม่ไว้หน้าเธอต่อหน้าคนเยอะๆ ขนาดนี้ เธออับอายจนแม้แต่ใบหน้าก็ไม่กล้าเงยขึ้นมาเลย
คุณย่าก็ไม่พอเหอปี้อวิ๋นเป็นอย่างมาก ยิ่งปวดใจกับอู่เยวี่ย หลานสาวที่อยู่ดีๆ ก็โดนเหอปี้อวิ๋นเลี้ยงดูจนเสียหมด เธอดึงอู่เยวี่ยมาอยู่ข้างกาย ปลอบโยนเสียงเบา ใบหน้าแผ่รังสีเมตตาอ่อนโยนไปทั้งหน้า แต่กับอู่เหมยเธอไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก
จุดนี้เธอเหมือนกับเหอปี้อวิ๋นมาก กับอู่เหมยให้ความรักไม่ได้ รักไม่ลง แต่ให้ความสนใจและความรักใคร่โปรดปรานกับอู่เยวี่ย
………………………………………………………….
ตอนที่ 250 หนูไม่รู้จักผิด
อู่เยวี่ยตาแดงซุกอยู่ในอ้อมกอดของคุณย่า ร้องไห้ไม่มีเสียงเบาๆ คุณย่ากระซิบเสียงเบาปลอบโยนเธอ เหอปี้อวิ๋นแอบผ่อนลมหายใจ ยังดีที่มีคุณย่าอยู่ เยวี่ยเยวี่ยน่าจะไม่กลายเป็นคนไม่เป็นที่โปรดปราน
อู่เหมยที่สังเกตการณ์อย่างเงียบๆ มาตลอดยกมุมปากเยาะเย้ย ตั้งแต่เข้ามาจนถึงตอนนี้ ไม่มีใครเป็นห่วงหรือสนใจเธอสักประโยค ทั้งที่รอยแผลบนใบหน้าเธอเห็นได้ชัดขนาดนี้ แม้แต่คนตาบอดมาจับยังดูออกเลย
“ทำไมอาสะใภ้สองถึงตีเธอล่ะ?”
อู่เชาดึงเสื้อของอู่เหมยเบาๆ ถามเธอเสียงเบา บนหน้ามีความเห็นใจและกังวลใจ
อู่เหมยพูดอย่างไม่สนใจว่า “ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน บางทีอาจจะเพราะบ้ามั้ง”
เธอไม่ระงับอารมณ์รังเกียจเลยแม้แต่น้อย ทำให้คนอื่นตกใจมาก ตี๋ชิวเยวี่ยอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว อู่เหมยตอนนี้กับคนที่กลัวหัวหดเมื่อสองเดือนก่อนไม่เหมือนกันเลยแม้แต่นิดเดียว ดูเข้มแข็งขึ้นมาก แต่ว่าดูทัศนคติและท่าทางที่เธอมีต่อเหอปี้อวิ๋นแล้ว เกรงว่าจะรู้สึกผิดหวังกับแม่คนนี้แล้วล่ะ
พี่น้องของเธอคนนี้เลอะเลือนเหลือเกินจริงๆ ลูกสาวที่ให้กำเนิดเองแท้ๆ กลับไม่เอาแต่ผลักออกนอกบ้าน วันหลังจะต้องมีตอนที่เธอได้รู้สึกเสียใจในภายหลัง
“เหมยเหมย พ่อแม่ต่างก็รักใคร่ลูกกันทั้งนั้นแหละ แต่บางทีวิธีการอาจจะรุนแรงไปหน่อย เธออย่าคิดมากเลย” ตี๋ชิวเยวี่ยพูดจาโน้มน้าวอย่างนุ่มนวล
อู่เหมยพูดเอื่อยๆ ว่า “หนูไม่ได้คิดมากค่ะ ถ้าคนอื่นจะทำกับหนู หนูก็จะทำแบบนั้นกับคนอื่นเหมือนกัน ไม่มีอะไรให้ต้องเครียด”
ถ้ามีวันหนึ่งที่เหอปี้อวิ๋นด่าไม่ไหวตีไม่ไหว เธอจะรับผิดชอบตามที่กฎหมายกำหนด แต่อย่าคิดว่าเธอจะมอบความจริงใจให้แม้แต่น้อยนิด
ตี๋ชิงเยวี่ยถอนหายใจ ไม่ได้พูดอะไรอีก
อู่เจิ้งหงกลับซ่อนความรู้สึกยินดีปรีดาในความโชคร้ายของผู้อื่นไว้ไม่ไหว คนที่เธอเกลียดที่สุดในบ้านสองคนกำลังโดนติเตียน ช่างสาแก่ใจจริงๆ!
“ให้ฉันพูดนะการที่คะแนนของเยวี่ยเยวี่ยตกลงเนี่ยเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก แต่ก่อนฉันก็เคยพูดแล้ว เด็กผู้หญิงยิ่งขึ้นสูง คะแนนก็ยิ่งไม่มั่นคงแน่นอน พวกคุณยังไม่เชื่อฉัน เชอะ!”
อู่เจิ้งหงพูดประชดประชัน เหอปี้อวิ๋นโมโหจนหน้าขาวไปหมด ทนไม่ไหวตอกกลับว่า “เจิ้งหงเธอพูดแบบนี้ ก็เอาเหวินจิ้งนับเข้าไปด้วยสิ!”
“เยวี่ยเยวี่ยจะมาเทียบกับเหวินจิ้งบ้านฉันได้ยังไง? ฉันกับเจี้ยนโปต่างก็เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ไม่ว่าเหวินจิ้งจะเหมือนใคร คะแนนก็คงไม่สามารถแย่ได้ถึงขนาดนั้น เยวี่ยเยวี่ยนั้นไม่เหมือนกัน เหมือนพี่รองของฉันยังดี แต่ถ้าเหมือนคุณพี่สะใภ้รองล่ะก็ โอโห! คะแนนดีได้สิถึงจะแปลก!”
อู่เจิ้งหงเองก็แค้น ตอกกลับอย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย เหอะ! เรียนไม่จบมัธยมปลายด้วยซ้ำ ยังจะมีหน้ามาแข่งกับเธอ?
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามเธอก็เป็นถึงนักศึกษาอนุปริญญานะ!
เหอปี้อวิ๋นโดนเบรกจนพูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว วุฒิการศึกษาต่ำเป็นจุดอ่อนของเธอ ข้อนี้เธอไม่สามารถโต้แย้งได้
“แค่กๆ”
คุณปู่อู่ส่งเสียงไอหนักๆ สองคนหุบปากทันที กระทั่งหายใจยังไม่กล้าหายใจแรง
หลังจากอบรมสั่งสอนภรรยาของอู่เจิ้งซือเสร็จ สายตาของคุณปู่อู่ก็เปลี่ยนไปอยู่ที่อู่เหมย มองเธออย่างดุเดือด ไม่พูดออกมาสักประโยค
นานมาก
“อู่เหมยรู้ไหมว่าผิด?” คุณปู่อู่ถาม
“ไม่รู้ค่ะ” อู่เหมยพูดออกมาตรงๆ ไม่อ้อมค้อม จ้องมองกับคุณปู่อู่อย่างกล้าหาญ
คุณปู่อู่ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ รู้สึกไม่พอใจมากที่อู่เหมยปากแข็งไม่ยอมรับว่าตัวเองผิด พูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ล้วนเข้มงวดถมึงทึงว่า “แม่เธอเป็นผู้ใหญ่ ต่อให้แม่เธอทำไม่ดีแค่ไหน เธอจะไปส่งเสียงเอะอะโวยวายให้คนเขารู้กันไปทั่วได้ยังไง? ขายขี้หน้าตระกูลอู่หมด!”
อู่เหมยยิ้มเยาะนิดๆ แล้วพูดคร่ำครวญตอบกลับไปว่า “หรือว่าเพื่อรักษาหน้าของตระกูลอู่ หนูจะต้องอดทนรับความโหดร้ายทารุณเหรอ? คุณปู่อยากจะเห็นหนูโดนตีจนตายเหรอคะ?”
เหอปี้อวิ๋นโมโหจนเต้นเร่าออกมา “พูดจาไร้สาระ ตีเบาๆ ไม่กี่ครั้งจะตายแล้ว? แกเป็นเต้าหูหรือไง!”
อู่เหมยเงยหน้าบวมๆ ครึ่งหน้าของเธอขึ้นมา ชี้แล้วพูดว่า “แม่ พละกำลังของแม่ออกจะเยอะขนาดนี้ ตีเบาๆ กี่ครั้งก็มีอานุภาพขนาดนี้แล้ว!”
“น้องสะใภ้รองหยุดพูด” ตี๋ชิวเยวี่ยดึงเหอปี้อวิ๋นกลับมา เป็นคนที่โง่คนหนึ่งจริงๆ กระโดดตัวออกไปในตอนนี้ได้อย่างไร เรื่องยังวุ่นวายไม่มากพอใช่ไหม!
………………………………………………………….
ตอนที่ 251 ความโกรธแค้นที่ไม่มีลูกชาย
อู่เจิ้งหงเข้าใกล้อู่เหมยเพื่อพินิจพิเคราะห์อยู่ครู่ใหญ่ถึงจุ๊ปากพูดว่า พี่สะใภ้รองฝึกฝ่ามือเหล็กหรือไง ดูหน้าเหมยเหมยสิ บวมจนกลายเป็นแบบนี้แล้ว พวกเราตระกูลอู่ยังมีกฏเกณฑ์ที่มาจากการสืบทอดความรู้และประเพณีอันดีงามอยู่นะ พี่อย่าเอานิสัยความเคยชินความหยาบคายไร้มารยาทนำเอามาใช้ที่นี่ ขายขี้หน้าตัวเองจริงๆ”
จี้เจี้ยนโปซาบซึ้งใจอู่เหมยมากที่ช่วยปิดบังเรื่องของเฮ่อเหวินจิ้ง อีกอย่างเขาก็เห็นใจอู่เหมยจริงๆ พบเจอแม่ที่ลำเอียงแล้วยังหยาบคายอีก คงยากมากกว่าจะใช้ชีวิตผ่านมาได้ พอเทียบกันแล้ว อู่เจิ้งหงยังจะน่ารักกว่าเหอปี้อวิ๋นเยอะเลย ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ภรรยาที่ดี แต่ความเป็นแม่ก็ยังจำเป็นต้องมีอยู่
“เจิ้งหงพูดถูก พี่สะใภ้รอง พี่ต้องพิจารณาตัวเองดีๆ แล้วล่ะ ตระกูลพวกเรามีหน้ามีตามีเกียรติยศ คำพูดการกระทำกิริยาท่าทางต่างก็ต้องระวัง ข้างนอกมีไม่รู้ตั้งกี่คนที่ตั้งหน้าตั้งตารอคอยหัวเราะพวกเรา พี่สะใภ้รอง พี่ควรค่อยๆ ศึกษาเรียนรู้ดีๆ กับพี่สะใภ้ใหญ่และเจิ้งหง ใช่ไหมเจิ้งหง?”
จี้เจี้ยนโปพูดเสร็จก็หันไปมองอู่เจิ้งหง ทำให้เธอดีใจมาก แต่ก่อนเธอขัดแย้งกับเหอปี้อวิ๋น จี้เจี้ยนโปชอบพูดว่าเธอทำไม่ถูก แต่วันนี้เป็นครั้งแรกที่เขาปกป้องเธออย่างแน่วแน่!
อู่เจิ้งหงมองค้อนประหลับประเหลือกให้จี้เจี้ยนโปอย่างพอใจจนหน้าบาน จนเขาเองก็คาดไม่ถึงว่าจะสวยหยาดเยิ้มขึ้นมานิดหน่อย จี้เจี้ยนโปถูฝ่ามือไปมา ในสมองจินตนาการถึงใบหน้าที่น่ารักของเฮ่อเหวินจิ้งก็ผ่อนคลายขึ้นเยอะ
ระยะนี้เฮ่อเหวินจิ้งไม่สนใจเขาเลย ครั้งที่แล้วตกลงกันซะดิบดีว่าจะออกไปเล่นกัน ต่อมากเธอก็เปลี่ยนความคิดไป นี่มันผิดปกติมากๆ เขาควรเจียดเวลาว่างไปหาเหวินจิ้ง ไม่อย่างนั้นเขาคงจะอึดอัดตาย
อู่เจิ้งหงสองสามีภรรยาพูดจารับส่งกันเป็นลูกคู่ บีบให้เหอปี้อวิ๋นไม่มีที่อยู่ กัดริมฝีปากอย่างแรง อดทนอดกลั้นต่อความแค้นใจอย่างแรงกล้า แต่ไม่ใช่เพราะว่ากลัวคำพูดของสองสามีภรรยาคู่นี้ แต่เพราะว่ากลัวคุณปู่อู่จะมองเธอขัดหูขัดตาเข้าไปใหญ่
นั่นเพราะอู่เจิ้งซือเชื่อฟังคุณปู่อู่ทั้งหมด เธอจึงไม่อาจยั่วยุจนทำให้คุณปู่อู่โมโหได้!
เพราะว่าพวกจี้เจี้ยนโปและตี๋ชิวเยวี่ยพยายามไกล่เกลี่ยเพื่ออู่เหมย คุณปู่อู่ก็ไม่ต่อว่าเธออีก แต่ที่จริงแล้วคุณปู่อู่พอใจมากกับความก้าวหน้าของอู่เหมยในช่วงนี้ ที่รู้สึกไม่พอใจอู่เหมยส่วนใหญ่ก็คือโมโหที่เธอเอาเรื่องอัปยศอดสูในบ้านเผยแพร่ออกไป ส่วนเรื่องอื่นที่ให้ต่อว่าได้ก็ไม่มี
อีกทั้งคุณปู่อู่ได้สังเกตอย่างเงียบๆ อู่เหมยไม่ใช่เพียงแค่รูปร่างหน้าตาสวยขึ้น นิสัยก็เปลี่ยนเป็นเข้มแข็งขึ้น ไม่เหมือนแต่ก่อนที่เอาแต่รับคำ ‘ค่ะๆๆ’ ตลอดเหมือนกับคนโง่เซ่อซ่า มองแล้วก็พาลเกิดอารมณ์โมโห หากเทียบกันแล้ว แน่นอนว่าเขาชื่นชมอู่เหมยตอนนี้มากกว่า
ส่วนอู่เยวี่ยคุณปู่อู่ก็ไม่ว่าอะไร แค่บอกอู่เจิ้งซือว่าอย่ากดดันเธอจนเกินไป “อยากได้ชื่อเสียงโด่งดังก็ต้องพึ่งพาผู้ชาย ผู้หญิงมีการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยก็พอแล้ว เยวี่ยเยวี่ยก็ไม่จำเป็นต้องอวดฝีมือ รักษาห้าสิบอันดับแรกของระดับโรงเรียนไว้ก็ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องทำให้ตัวเองให้กลายเป็นบ้าไป จนทำให้บ้านไม่สงบสุข”
“ครับ” อู่เจิ่งซือตอบรับอย่างเคารพนบน้อม ในใจรู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก
ในบรรดาสามพี่น้อง มีแค่เขาที่ไม่มีลูกชาย บ้านพี่ชายคนโตมีลูกชายสองคน เจิ้งหงมีลูกชายหนึ่งคนและลูกสาวหนึ่งคน ทุกๆ คนต่างได้ดีกว่าเขาหมด ที่ท่านผู้เฒ่าพูดเหตุผลพวกนั้นเขาทำไมจะไม่รู้ แต่เขาแค่ไม่ยินยอม อยากจะเลี้ยงดูสั่งสอนสนับสนุนลูกสาวให้ดี ให้ไม่น้อยหน้าผู้ชาย แต่ด้วยความคิดนั้น อู่เยวี่ยกลับทำให้เขาตกใจมาก
เหมือนเหวินเฟิงและอู่เจี๋ย ที่อายุเท่าอู่เยวี่ยคะแนนไม่ใช่แค่เพียงถอยลง ในทางกลับกันกลับพัฒนาขึ้นมาก นี่ก็คือข้อได้เปรียบของผู้ชาย ช้าแต่พลังเต็มเปี่ยม เขาคงทำได้แค่มองตาปริบๆ เฮ้อ!
เหอปี้อวิ๋นเองก็รู้สึกขมปร่าในปากฉับพลัน ในชีวิตนี้ที่ไม่สามารถมีลูกชายได้นับเป็นความเจ็บปวดของเธอ ก็เป็นเพราะว่าเธอไม่ได้ให้กำเนิดลูกชาย ท่ายผู้เฒ่ากับท่านยายถึงไม่ชอบเธอ อู่เจิ้งซือถึงเย็นชากับเธอ หลังของเธอถึงยืดตรงอย่างสง่าผ่าเผยไม่ได้สักที
เป็นความผิดของยัยเด็กสมควรตายนี่ทั้งหมด ทำร้ายเธอให้มีลูกชายไม่ได้ เธอตียัยเด็กสมควรตายนี่ผิดตรงไหน?
เหอปี้อวิ๋นก้มหน้าลง กัดฟันด้วยความแค้น ใบหน้าบิดเบี้ยวผิดรูปไปหมด
………………………………………..
ตอนที่ 252 เปลี่ยนแปลงมุมมองใหม่
อู่เจิ้งซือก็หยิกยกเรื่องที่จะผูกญาติกับตระกูลสยงมาพูดอีกครั้ง เขาเอ่ยเน้นหนักไปที่ภูมิหลังของบ้านจ้าวอิงหนาน คุณปู่อู่ก็มีหน้าตาท่าทางเอาจริงเอาจังขึ้นมา มองไปที่อู่เหมยอย่างแปลกใจ หลานสาวคนนี้เป็นเด็กที่มีโชคจริงๆ สามารถเข้าตาได้รับความโปรดปรานจากครอบครัวแบบนั้นได้ พอได้ฟังแล้วอาจารย์แซ่จ้าวคนนั้นก็คงจะชอบอู่เหมยจากใจจริง!
หลานสาวคนเล็กมีแม่บุญธรรมที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ แถมยังมีรูปร่างหน้าตาเช่นนี้ หลังจากนี้เกรงว่าอนาคตคงจะดีกว่าหลายสาวคนโตหน่อย
คุณปู่อู่ถึงแม้ว่าจะปฏิบัติตัวอย่างโบราณคร่ำครึและเคร่งครัด แต่เป็นเพราะเขาใช้ชีวิตอยู่ที่โรงเรียนนี้ ในสังคมเล็กๆ แห่งนี้มาทั้งชีวิต จะไม่โบราณคร่ำครึขนาดนี้ได้อย่างไร หากจะดูคนว่านิสัยเป็นเช่นไร ก็ให้ดูว่าเขาใช้ชีวิตแบบไหนมา
“นี่เป็นเรื่องดี เจิ้งซือแกควรเตรียมของขวัญที่มีค่าไว้ให้พร้อม จะต้องไม่ให้คนอื่นรู้สึกว่าพวกเราไม่มีมารยาทได้ เอาอย่างนี้แล้วกัน ของขวัญสำหรับการผูกญาติก็ให้พี่สะใภ้จัดซื้อให้ สายตาของพี่สะใภ้ใหญ่ของแกถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว ต้องทำให้ผู้คนพอใจได้แน่นอน” คุณปู่อู่สั่งงาน
อู่เจิ้งซือหัวเราะ “พ่อ พ่อกับผมคิดเหมือนกันเลย ผมก็คิดจะรบกวนพี่สะใภ้ใหญ่อยู่เหมือนกัน!”
ตี๋ชิวเยวี่ยหัวเราะเบาๆ พูดว่า “พ่อกับน้องรองให้เกียรติฉันมากไปแล้ว ถ้าหากฉันซื้อมาไม่ดี พวกคุณก็อย่าพูดอะไร ก็ทำเป็นเงียบๆ ใบ้กินไปแล้วกันนะ”
“จะเป็นไปได้ยังไง ของที่พี่สะใภ้ใหญ่ซื้อจะไม่ดีได้ยังไง” อู่เจิ้งซือพูด
บรรยากาศค่อยๆ ผ่อนคลายขึ้นมา ทุกคนผ่อนลมหายใจ บนหน้ามีรอยยิ้ม มีแค่เหอปี้อวิ๋นกับอู่เยวี่ยที่แม้สักนิดก็ดีใจไม่ออก เหอปี้อวิ๋นรู้สึกขายขี้หน้า ก่อนหน้านั้นโดนคุณปู่อู่ด่าชุดใหญ่ อีกทั้งยังโดนอู่เจิ้งหงคู่สามีภรรยาบีบคั้น ตอนนี้แม้กระทั่งของขวัญ อู่เจิ้งซือก็ยังไม่ให้เธอจัดการหาซื้อ ข้ามหัวเธอไปให้ตี๋ชิวเยวี่ยจัดการ แถมยังจะชื่นชมยกยอนังสารเลวนี่หยั่งกับดอกไม้วิเศษที่หล่นมาจากฟากฟ้าอย่างไรอย่างนั้น แน่นอนว่า ในใจของเธอเจ็บจนเหมือนโดนมีดแทงเข้าที่อก!
ส่วนอู่เยวี่ย เป็นธรรมดาที่เธอจะรู้สึกขายหน้า และยังอิจฉาริษยาอยู่ลึกๆ แค่อู่เหมยได้แม่บุญธรรมคนเดียว คุณปู่กับพ่อก็ให้ความสำคัญกับมันแล้ว วันหลังเธอจะยังมีสถานะไหนในบ้านหลังนี้?
แค่กลัวว่าเธอจะทิ้งห่างจากอู่เหมยอย่างรวดเร็ว!
คุณย่าตบหลังอู่เยวี่ยเบาๆ เจ็บใจแทนหลานสาวคนโตเป็นอย่างมาก เด็กโง่อู่เหมยคนนั้น ไม่น่าดึงดูดให้คนรักชอบได้เลยสักนิด สายตาของคนแซ่จ้าวคนนั้นมีปัญหาหรือเปล่า ทำไมถึงทิ้งแตงโมแล้วกลับไปหยิบงาดำมาได้!
“การผูกญาติไม่ใช่เรื่องเล็กๆ พวกเราควรคิดให้รอบคอบ พิจารณาดีๆ อย่าไปร่วมกับพวกครอบครัวมั่วๆ ซั่วๆ ไม่อย่างนั้นวันหลังจะวุ่นวายไม่หยุดนะ” คุณย่าพูดอย่างมีเจตนา
อู่เจิ้งซือยิ้มพูดว่า “แม่ แม่ก็ตื่นตูมเกินไป ภูมิหลังครอบครัวของอาจารย์จ้าวก็เป็นข้าราชการบริหารเหมือนกับเจิ้งเหมียวหง จะเป็นครอบครัวมั่วๆ ซั่วๆ ได้ยังไง? แม่รู้ไหมว่ามีตั้งกี่คนที่คิดอยากจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับอาจารย์จ้าวคนนี้ คนพวกนั้นพอได้ยินว่าอาจารย์จ้าวอยากจะรับเหมยเหมยเป็นลูกบุญธรรม ไม่รู้ว่าอิจฉากันมากขนาดไหน พูดจาปากหวานก้นเปรี้ยวกันไม่หยุด”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี” คุณย่าพยักหน้ายิ้มน้อยๆ หันไปมองอู่เหมยแวบหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว หลานสาวคนเล็กที่เธอไม่ชอบตั้งแต่เด็กๆ ไม่เกี่ยวกับคะแนนแต่อย่างใด ก็แค่ไม่ชอบจากก้นบึ้งของหัวใจ อย่างไรก็ชอบไม่ลง
ไม่เหมือนอู่เยวี่ย เธอแค่เห็นครั้งแรกก็รักเลย ต่อให้คะแนนไม่ดีอย่างไรแล้วเธอก็เกลียดไม่ลง ส่วนเหตุผลนั้นตัวเธอเองก็ยังอธิบายไม่ได้ ท้ายสุดแล้วคุณย่ารู้สึกว่าคงเป็นเพราะเธอกับหลานสาวคนเล็กดวงไม่สมพงศ์กันละมั้ง
แต่ว่าอู่เหมยสามารถมีอนาคตที่ดีได้ คุณย่าก็ยังคงดีใจมาก เพราะไม่ว่าอย่างไร นี่ก็คือหลานของตระกูลอู่นะ!
หลังจากที่บ้านของอู่เจิ้งซือขอตัวออกไป อู่เจิ้งต้าวกับอู่เจิ้งหงสองครอบครัวนี้ก็ขอลาเช่นกัน บ้านของอู่เจิ้งต้าวอยู่ในจินต้า ซึ่งนับว่าใกล้มาก ในมือของอู่เชามีเกี๊ยวชามใหญ่ที่เขาถือไว้ด้วยมือสองข้าง ซึ่งเขาเจาะจงให้คุณยายเก็บเอาไว้ให้เขา พรุ่งนี้ตอนเช้าจะได้มาทำเกี๊ยวซ่า ส่งกลิ่นหอมให้คนหิวตาย
“ระยะนี้เหมยเหมยเปลี่ยนแปลงไปมาก เหมือนกับเกิดใหม่เปลี่ยนร่างเปลี่ยนกระดูกยังไงอย่างงั้น” อู่เจิ้งต้าวพูดอย่างทอดถอนใจ
ตี๋ชิวเยวี่ยหัวเราะเยาะอยู่ในใจ ที่ไหนมีการกดขี่ ที่นั่นก็จะมีการต่อต้าน เหอปี้อวิ๋นปฏิบัติแบบนั้นกับอู่เหมย เธอเองก็ไม่ใช่ท่อนไม้ ไม่เปลี่ยนสิถึงจะแปลก!
“ผู้หญิงยิ่งโตขึ้นก็เปลี่ยนไปได้สิบแปดแบบ ฉันว่าเหมยเหมยตอนนี้แบบนี้ดีจะตาย วันหลัง…” พูดถึงตรงนี้ ตี๋ชิวเยวี่ยหยุดชะงักชั่วคราว หัวเราะออกมาอย่างแปลกประหลาด
………………………………………..
ตอนที่ 253 หลังจากนี้ไปใครจะมีอนาคตกว่าก็ไม่แน่
“หลังจากนี้ทำไม?” อู่เจิ้งต้าวซักไซ้ถาม
ตี๋ชิวเยวี่ยหัวเราะพูดว่า “ถ้าฉันพูดคำพวกนี้ไป คุณก็อย่าโมโหล่ะ ฉันแค่รู้สึกว่าลูกสาวสองคนของบ้านนัองชายน่ะ หลังจากนี้ไปใครจะมีอนาคตกว่ากันก็ไม่แน่!”
อู่เชาหูผึ่ง ส่งเสียงดังว่า “แม่ จะบอกอะไรให้นะ เหมยเหมยวันหลังเธอจะต้องมีอนาคตกว่าอู่เยวี่ยแน่นอน อู่เยวี่ยทั้งวันเอาแต่เรียนหนังสือมีความรู้แค่ในตำรา จะมีประโยชน์อะไร เหมยเหมยไม่เหมือนกัน วันหลังไม่แน่ว่าเธออาจจะกลายเป็นจิตรกรได้ก็ได้นะแม่!”
คู่สามีภรรยาอู่เจิ้งต้าวมองลูกชายอย่างงงงวย ตี๋ชิวเยวี่ยถาม “จิตรกรอะไร? เหมยเหมยเธอวาดรูปเป็นเหรอ?”
อู่เชาสะดุ้งโหยง ตกใจจนปิดปาก แย่แล้วๆ ทำไมเขาถึงเอาเรื่องวาดรูปพูดโพล่งออกมาได้?
“แน่นอนว่าเธอวาดเป็น อารองก็รู้ ครั้งที่แล้วบนภูเขาเฟิ่งหวงอู่เหมยวาดรูปได้ยอดเยี่ยมมากเหมือนเรียนมายังไงอย่างงั้น” อู่เชาดีใจกับตัวเอง โชคดีที่ไม่พูดเรื่องห้องเรียนเยาวชนออกมา มิเช่นนั้นยัยเด็กอู่เหมยจะต้องฟาดเขาแน่
สายตาของตี๋ชิวเยวี่ยมีร่องรอยประหลาดใจ หัวเราะพูดว่า “ดูแล้วเหมยเหมยคงมีพรสวรรค์ด้านวาดรูป ควรจะสนับสนุนเธอดีๆ ไม่แน่ว่าบางทีตระกูลอู่ของพวกเราอาจจะมีจิตรกรสาวชื่อดังอันดับหนึ่งก็เป็นได้!”
อู่เจิ้งต้าวพูดอย่างเมินเฉยว่า “ทั้งประเทศมีจิตรกรมากมายมหาศาล มีกี่คนกันที่มีชีวิตสะดวกสบาย? อีกประการหนึ่งเหมยเหมยเธอจะสามารถเป็นจิตรกรได้หรือเปล่าก็ยังไม่แน่เลย หนทางนี้มันลำบากไม่ใช่เล่นเลย เรียนหนังสือสิถึงจะเป็นทางที่ถูก”
อู่เชาส่งเสียงอย่างไม่พอใจ “พ่อ พ่อกับอารองเหมือนกันเลย ต่างก็เป็นพวกหัวโบราณ เหอะ! ถ้าทุกคนต่างมีความสามารถแบบนี้เหมือนที่พ่อว่า จากนี้ไปถนนสองข้างทางคงมีแต่พวกหนอนหนังสือทั้งหมด ใครจะมาสร้างสรรค์บทเพลงที่ไพเราะ ใครจะมาบันดาลบ้านสวนสวยๆ กัน ไม่มีศิลปินมืออาชีพพวกนี้ โลกใบนี้คงเปลี่ยนเป็นสีขาวดำแล้ว ถ้ามีชีวิตอยู่ในโลกแบบนี้ ชีวิตจะยังมีความหมายอะไร?”
ตี๋ชิวเยวี่ยนั้นเห็นด้วยกับลูกชายมากจากก้นบึ้งของหัวใจ แต่เธอควรจะรักษาหน้าให้กับสามี แสร้งตำหนิไปว่า “เสี่ยวเชาทำไมพูดกับพ่อแบบนี้? พูดดีๆ ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่จริงๆ”
“ผมกับพ่อน่ะก็เหมือนพบคนรู้ใจ ดื่มกันพันจอกยังว่าน้อย คุยยังไงก็ไม่ถูกคอ ครึ่งคำว่าก็มากเกิน ผมขี้เกียจพูดละ”
อู่เชาพ่นลมออกทางจมูก หอบเอาเกี๊ยววิ่งหายวับไป เจอคำพูดของคนหัวโบราณเข้าไปทำให้เขาโมโหจะตายอยู่แล้ว กลับไปกินเกี๊ยวดับอารมณ์โมโหหลายๆ ชิ้นดีกว่า
อู่เจิ้งต้าวก็โมโหไม่เบา สีหน้าเขียวคล้ำ กลับไปต้องสั่งสอนไอ้เด็กเวรที่ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่คนนี้
ข้าวของเครื่องใช้ในห้องเก็บของของบ้านอู่มีไม่เยอะ ส่วนใหญ่เป็นอาหารที่เหอปี้อวิ๋นกักเก็บไว้ อู่เจิ้งซือนำเอาของพวกนี้ย้ายไปที่ห้องของอู่เยวี่ย อู่เหมยเอาน้ำมาถูที่พื้นห้องเก็บของอย่างสะอาดหมดจด แล้วเอากระดาษหนังสือพิมพ์แปะไว้บนกำแพง เปลี่ยนโฉมใหม่หมด อีกอย่างห้องเก็บของมีหน้าต่าง มีแสงเพียงพอ สว่างไสวกว่าห้องเดิมของเธอเยอะเลย
“ขอบคุณค่ะพ่อ ในที่สุดหนูก็สามารถตื่นใต้แสงแดดรุ่งอรุณได้แล้ว” อู่เหมยปูผ้าปูที่นอนเสร็จก็ขอบคุณอู่เจิ้งซือจากใจจริง ท่าทางของอู่เจิ้งซือในช่วงนี้ถือว่ามีความเป็นพ่อจริงๆ ขึ้นมาหน่อยแล้ว
อารมณ์และใบหน้าของอู่เจิ้งซือเปลี่ยนเล็กน้อย แค่เปลี่ยนเป็นห้องเล็กๆ แค่นั้นเอง ลูกสาวคนเล็กก็ดีใจขนาดนี้แล้ว เมื่อก่อนเขาปฏิบัติหน้าที่พ่อได้บกพร่องมากจริงๆ!
“วันหลังมีอะไรที่คิดอยากจะได้ก็บอกกับพ่อนะ” อู่เจิ้งซือตีเบาๆ ที่หัวของอู่เหมย
“อืม!” อู่เหมยพยักหน้าอย่างแรง ตอนนี้เป็นอู่เจิ้งซือที่บริหารเงิน เธอไม่เกรงใจแน่นอน
เหอปี้อวิ๋นจ้องมองฉากพ่อเมตตาลูกตรงหน้าจากมุมหนึ่งอย่างโกรธเกรี้ยว เจ็บปวดหน้าอกไปหมด เยวี่ยเยวี่ยสอบไม่ได้ที่หนึ่ง อำนาจในการดูแลบ้านก็ไม่มีแล้ว พ่อแม่สามีก็ไม่ชอบ วันหลังเธอจะยังมีอะไรให้คุยโม้อีก?
พวกลูกพี่ลูกน้องจะต้องหัวเราะเยาะเธออย่างแน่นอน!
ไม่ได้ เธอจะไม่ยอมวางมือ ยุติเรื่องราวอย่างนี้เด็ดขาด เธอควรจะเริ่มต้นใหม่เพื่อกลับไปอยู่ในสถานะเดิมเหมือนแต่ก่อน
“เยวี่ยเยวี่ย ลูกก็มุ่งมั่นพยายามเข้าไว้นะ สอบครั้งต่อไปยังไงก็ต้องเอาที่หนึ่งมาให้ได้ จำเป็นต้องเอามาให้ได้นะ!”
เหอปี้อวิ๋นมาที่ห้องของอู่เยวี่ย เพื่อให้กำลังใจให้เธอสู้ๆ อู่เยวี่ยพยักหน้า เธอร้อนใจกว่าเหอปี้อวิ๋นอีก เธอจำเป็นต้องเอาอันดับหนึ่งกลับมาให้ได้ ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อตัวเธอเอง
………………………………………………..
ตอนที่ 254 คำโกหกของเหยียนหมิงซุ่น
วันที่สองตอนเช้าตรู่ เหยียนหมิงซุ่นก็มาถึงแล้ว เขามาบอกว่าผู้เฒ่าเหยียนตกลงที่จะเป็นคนกลางให้ อู่เจิ้งซือดีใจมาก แต่เดิมยังคิดจะรบกวนผู้อำนวยการโรงเรียน ผู้เฒ่าเหยียนสามารถตกลงได้ก็ไม่มีอะไรดีกว่านี้แล้ว
“หมิงซุ่น ยังไงก็ขอบคุณท่านผู้เฒ่าเหยียนแทนฉันด้วยนะ รบกวนท่านแล้วจริงๆ” อู่เจิ้งพูดยิ้มๆ
เหยียนหมิงซุ่นตอบอย่างเคารพนบน้อมว่า “อาจารย์อู่เกรงใจเกินไปแล้ว คุณปู่บอกว่าการผูกญาติเป็นเรื่องมงคล นับว่าท่านโชคดีที่สามารถเป็นคนกลางให้ได้ อีกทั้งยังจะได้สัมผัสบรรยากาศอันชื่นมื่นอีก เต็มใจกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว อีกทั้งคุณปู่ของผม ท่านก็ชื่นชอบอู่เหมยมาก ครอบครัวท่านบอกว่าเหมยเหมยมีความสามารถ วันหลังต้องมีอนาคตแน่นอน”
เหยียนหมิงซุ่นพูดคำโกหกหน้าไม่เปลี่ยนสี ใจก็ไม่เต้น น้ำเสียงนิ่งมาก คำพูดข้างหน้าก็คือเกรงใจ ประโยคหลังนั้นเป็นความเห็นแก่ตัวของเขา แค่คิดว่าจะช่วยเด็กบื้อคนนั้นก็ดีอยู่ อู่เจิ้งซือก็เคารพคุณปู่เขามาตลอด กับคำพูดของท่านผู้เฒ่าแล้วคงจะทำให้อู่เจิ้งซือคิดอะไรดีๆ ได้บ้าง
อู่เจิ้งซือสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย เหยียนหมิงซุ่นเดาไม่ผิด คำพูดของท่านผู้เฒ่าเหยียนมีผลกระทบต่ออู่เจิ้งซือมากจริงๆ ผู้เฒ่าเหยียนเคยเป็นผู้อาวุโสระดับสูงมาก่อน แน่นอนว่าสายตาของท่านมองออกว่าคนไหนพิเศษ ท่านผู้เฒ่าบอกว่าเหมยเหมยมีอนาคต ยังไงก็ไม่ผิดไปจากนี้แน่นอน ดูแล้วเขาควรจะต้องคิดดีๆ ซะแล้ว
อู่เหมยอยู่ที่ระเบียงทางเดินทำข้าวเช้า เหอปี้อวิ๋นยังไม่ลุก บอกว่าไม่ค่อยสบาย อู่เยวี่ยก็บอกว่าไม่ค่อยสบายเหมือนกัน ทั้งคู่ต่างก็บิดตัวอยู่บนเตียง เธออยากจะรีบเร่งไปดูบ้านก็เลยลงมือเอง เมื่อได้ยินคำพูดพวกนั้นของเหยียนหมิงซุ่น ทำให้เธอมีความสุขมาก ดวงตายิ้มโค้งไปหมด
“พี่หมิงซุ่นกินข้าวเช้าที่บ้านฉันไหม? ฉันต้มหมี่อร่อยอยู่นะ” อู่เหมยทำตาปริบๆ มองเหยียนหมิงซุ่น อยากจะใช้วิธีนี้แสดงออกถึงความซาบซึ้งใจของเธอ
อู่เจิ้งซือก็ยิ้มพูดว่า “เหมยเหมยต้มหมี่อร่อยจริงๆ หมิงซุ่นนายคงยังไม่ได้กินข้าวเช้าแน่นอนเลย นั่งลงกินด้วยกันเลยสิ”
เหยียนหมิงซุ่นแต่ไหนแต่ไรมาไม่ชอบกินข้าวที่บ้านคนอื่น เดิมทีอยากจะปฏิเสธ แต่เห็นเด็กน้อยที่ทำตาดำๆเหมือนกับหมาน้อย ก็เลยเปลี่ยนคำพูด พยักหน้าพูดว่า “งั้นผมไม่เกรงใจแล้วนะครับ ขอลองชิมฝีมือของเหมยเหมยหน่อย”
อู่เหมยผ่อนลมหายใจ พูดอย่างดีใจว่า “พี่หมิงซุ่น พี่รอสักครู่นะ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว!”
เธอวิ่งอย่างมีความสุขไปที่ข้างเตา สองมือเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ต้มหมี่เสร็จสามชาม ข้างบนวางไข่ดาวสีเหลืองอร่ามสองใบ ประดับด้วยต้นหอมสีเขียวสด กลิ่นหอมของน้ำมันงาหอมจนให้ท้องของคนตรงหน้าร้องโครกคราก เหยียนหมิงซุ่นเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เด็กบื้อคนนี้ที่จริงแล้วมีฝีมือทำครัวที่ดีเยี่ยมเลยทีเดียว!
“รสชาติไม่เลว นับว่าอาจารย์อู่มีลาภลอยเรื่องของกินจริงๆ”
เหยียนหมิงซุ่นนกินหมี่ไปคำ รสกลิ่นสีมีครบถ้วนสมบูรณ์ ยกนิ้วโป้งชมเชยให้จากใจ อู่เหมยที่ใจเต้นตุบตับตลอดเวลาก็ผ่อนลมหายใจในฉับพลัน ใบหน้ายิ้มแย้มเหมือนดอกไม้ กินหมี่อย่างสบายใจ
อู่เจิ้งซือก็พอใจมาก ที่ฝีมือการทำอาหารของลูกสาวคนเล็กทำให้เขามีหน้ามีตา
เหอปี้อวิ๋นที่แกล้งป่วยอยู่ในห้องได้ยินเสียงข้างนอกสูดหมี่ อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมที่ลอดช่องประตูเข้ามา กระตุ้นให้น้ำลายสอ ท้องก็หิวจนร้องเสียงดัง
คนพวกนั้นใจดำกันหมดแล้ว ไม่มีใครต้มหมี่ให้คนป่วยอย่างเธอเลย ยังมีเยวี่ยเยวี่ย ที่ตอนนี้ก็ยังไม่ได้กินอะไร คุณธรรมของเด็กเวรนี่คงให้หมามันกินไปหมดแล้วมั้ง
“พ่อคะ หนูต้มข้าวต้มขาวทิ้งไว้บนเตา อีกเดี๋ยวให้แม่กับพี่สาวมากิน ในหนังสือบอกว่าร่างกายไม่ดีกินข้าวต้มขาวจะดีที่สุด”
อู่เหมยแอบลำพองใจ เธอต้มข้าวต้มขาวก็คือข้าวต้มจริงๆ ใส่ข้าวแค่หนึ่งกำมือ ที่เหลือคือน้ำทั้งหมด สามารถทำให้เหอปี้อวิ๋นกับอู่เยวี่ยดื่มทั้งวันเข้าห้องน้ำสิบรอบแน่นอน
เหอะ! ไม่ใช่ว่าพวกเธอแกล้งป่วยเหรอ ก็ขอแสดงความกตัญญูต่อพวกเธอหน่อยก็แล้วกัน!
………………………………………………..
ตอนที่ 255 จริงหรือว่าหลอก
เหยียนหมิงซุ่นมองแค่แวบเดียวก็รู้เลยว่าอู่เหมยมีแผนการคิดไม่ดีอยู่ในใจ เขาหัวเราะอยู่ในใจ ถามออกมาว่า “อาจารย์เหอกับอู่เยวี่ยไม่สบายเหรอครับ? ต้องไปบ้านผมให้คุณย่าดูอาการหน่อยไหมครับ?
อู่เจิ้งซือขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดขึ้นมาด้วยต้องการหลีกเลี่ยงปัญหาว่า “ไม่ต้องรบกวนคุณย่าของนายหรอก แค่ร่างกายเหนื่อยล้าเท่านั้น นอนสักตื่นก็คงจะดีขึ้น”
เมื่อวานยังแข็งแรง ถึงกับตบอู่เหมยจนหน้าดูไม่ได้ขนาดนั้น วันนี้กลับลุกจากเตียงไม่ได้ซะแล้ว?
เหอะ! ไม่ใช่ว่าคิดจะประท้วงเขาเหรอ!
เขาอู่เจิ้งซือยังไม่ยอมกินชุดนี้ เดิมทียังคิดที่จะอบรมสั่งสอนเหอปี้อวิ๋นนิดหน่อย หลังจากนี้ผ่านไปสองเดือน ก็ถึงจะให้เหอปี้อวิ๋นกลับมาเป็นหัวหน้าครอบครัว แต่ตอนนี้ดูแล้ว คราวหลังก็คงต้องจัดการแบบนี้ตลอดอย่างช่วยไม่ได้ หากเธอไม่ชอบทำกับข้าวก็ไม่ต้องทำ เหมยเหมยทำกับข้าวอร่อยกว่าเหอปี้อวิ๋นทำตั้งเยอะ
ส่วนอู่เยวี่ยนั้นเขาไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก แค่สอบพลาดแค่ครั้งเดียวกลับล้มขนาดนี้ ความสามารถในการต้านทานกับความล้มเหลวแย่มาก มิน่าล่ะ เหมยเหมยถึงพูดว่าประสาทของเยวี่ยเยวี่ยไม่ค่อยแข็งแรง ตอนนี้ดูแล้วคงจะไม่ผิดจริงๆ หลังจากนี้ต้องหาเวลาว่างพาเยวี่ยเยวี่ยไปโรงพยาบาลรับคำแนะนำเกี่ยวกับจิตเวช คะแนนไม่ดีก็ช่าง อย่าให้จิตใจมีปัญหาอีก ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาคงจะขายขี้หน้าจนเกินไปแล้ว
เหอปี้อวิ๋นที่อยู่ในห้องก็ด่าพึมพำ แต่กลับไม่รู้เลยว่าเธอตอนนี้นอกจากเธอจะขโมยไก่ไม่ได้แล้วยังเสียข้าวอีก อำนาจหน้าที่ดูแลบ้านนั้นหลุดลอยไปแล้ว คุณภาพชีวิตดีๆ เปลี่ยนเป็นตกฮวบฮาบ วันหลังคงได้เสียใจภายหลังจนลำไส้เป็นสีเขียวเลยทีเดียว
เหยียนหมิงซุ่นกินหมี่เสร็จก็ลากลับแล้ว ก่อนจะจากไปก็หันมาทางอู่เหมยขยิบตาส่งสัญญาณ อู่เหมยเข้าใจในทันที ขยิบตาส่งกลับเช่นกัน ใจเต้นตุบตับ
“พ่อคะ หนูไปดูหนังสือที่ห้องสมุดครู่หนึ่งนะคะ”
อู่เหมยล้างจานเสร็จ ก็ขอลาหยุดกับอู่เจิ้งซือ อู่เจิ้งซือไม่พูดไม่จาก็ตอบตกลง อู่เหมยหยิบฉิวฉิวยัดลงไปในกระเป๋าหนังสือ กระหืดกระหอบด้วยความดีใจวิ่งไปทางประตูใหญ่ ไม่อาจทำให้ผู้นำระดับสูงในอนาคตรอนานได้
“พี่หมิงซุ่น!” อู่เหมยวิ่งกระหืดกระหอบมาถึงประตูใหญ่ เหยียนหมิงซุ่นนั่งคร่อมอยู่บนรถ ใส่ชุดนักเรียนสีน้ำเงินแดงขาว เห็นได้ชัดว่าขุดนักเรียนนี้มันธรรมดาไม่ค่อยเตะตา แต่พอเป็นเขาใส่กลับรู้สึกว่ามันส่องประกายเหมือนกับภาพวาด
“ขึ้นมาสิ!”
เหยียนหมิงซุ่นพูดเบาๆ รออู่เหมยกระโดดขึ้นรถ เขย่งปลายเท้านิดหน่อย รถก็เคลื่อนตัวออกไป ต้นไม้บนทางเท้าต้นแล้วต้นเล่าผ่านไปข้างหลัง สายลมในฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่าน เย็นสบายจนทำให้รู้สึกง่วงเคลิ้ม
อู่เหมยตีตัวเองอย่างแรงเพื่อให้มีชีวิตชีวา คุยเล่นกับเหยียนหมิงซุ่น ตั้งแต่เรื่องที่เธอเปลี่ยนห้องไปจนถึงเรื่องเรียน ยังคุยถึงเรื่องบทกลอนกวีและสถานที่ที่อยู่ไกลโพ้น ท้ายสุดก็ไม่มีอะไรให้พูดคุยแล้ว เพราะว่าทั้งหมดเธอพูดอยู่คนเดียว เหยียนหมิงซุ่นตอบแค่ ‘อืม’ ‘อ้อ’ ดูเหมือนเธอส่งเสียงเอะอะโวยวายมากกว่า
แต่ถ้าไม่พูดอะไรเลย บรรยากาศก็จะเก้อเขินมาก!
อู่เหมยยิ้มหัวเราะแห้งๆ นึกถึงก่อนหน้านั้นที่เหยียนหมิงซุ่นชมเธอ ถามอย่างสนอกสนใจว่า “พี่หมิงซุ่น คุณปู่เหยียนพูดว่าฉันมีสติปัญญามีความสามารถ วันหลังจะต้องมีอนาคต เรื่องจริงหรือเปล่า?”
“ไม่จริง”
เหยียนหมิงซุ่นชัดเจนเป็นอย่างมาก อู่เหมยหน้าคว่ำทันที ในใจมีแต่คำว่าบัดซบจริงๆ จ้องอย่างคับแค้นใจไปที่แผ่นหลังที่ผอมแต่แข็งแรงกำยำของเหยียนหมิงซุ่น เกลียดจริงๆ คำพูดโกหกหลอกๆ พูดให้เธอดีใจหน่อยก็ไม่ได้?
“พี่หมิงซุ่น บางทีการโกหกด้วยความหวังดี มีเจตนาดีก็จำเป็นนะ เพราะมีบางคนหัวใจไม่ได้แข็งแรงขนาดนั้น” อู่เหมยถ่ายทอดความไม่พอใจของเธอออกมาอย่างนิ่มนวล
เหยียนหมิงซุ่นหัวเราะเสียงเบา หันกลับไปเห็นเด็กน้อยมุ่ยปากจนสูง อารมณ์ก็ดีขึ้นในทันที ถ้าไม่มีอะไรทำ แกล้งเด็กน้อยนี่ก็สนุกดีเหมือนกัน
“เอาเถอะ เป็นเรื่องจริง” เหยียนหมิงซุ่นกลั้นยิ้มพูด
อู่เหมยตกตะลึง อยากจะทุบตีคนข้างหน้าสักหลายๆ ที คำโกหกก็พูดออกมาก่อนแล้ว ตอนนี้ยังจะพูดหลอกอีก มีประโยชน์อะไร?
“พี่หมิงซุ่น ใจของฉันเข้มแข็งมากนะ”
“นี่สิคือไม่จริง!”
อู่เหมย : …
………………………………………………..
ตอนที่ 256 บ้านดีจริงๆ
ถนนฮวายไห่อยู่ห่างจากถนนอี้จงค่อนข้างไกล ต้องขี่รถจักรยานประมาณครึ่งชั่วโมง เหยียนหมิงซุ่นขี่รถไปด้วยอีกด้านก็พูดเรื่องสถานีรถบัสให้เธอฟัง “สิบสถานีก็ถึงแล้ว ค่าโดยสารห้าเซ็นต์ ถูกมาก”
อู่เหมยพยักหน้า เธอวางแผนไว้ว่าหลังจากนี้จะขี่จักรยาน จักรยานถ้าดีๆ หน่อยก็ไม่ถึงสองร้อยหยวน เธอแค่ให้ฉิวฉิวเลือกพวกของล้ำค่าไปขาย สภาพการเงินของเธอก็จะกลับมาคล่องตัวมีเงินอีกครั้ง!
“พี่หมิงซุ่น เพื่อนพี่คนนั้นยังรับของเก่าอยู่ไหม?” อู่เหมยลองถาม
เหยียนหมิงซุ่นคิ้วกระตุก ความสงสัยในวันนั้นก็กลับมาอีกครั้ง เวลานั้นเขายังไม่ได้คิดให้รอบคอบ แต่พอผ่านไปยิ่งคิดก็กลับยิ่งรู้สึกว่าไม่ปกติ อู่เหมยนี่นับได้ว่าตามขี้หมาได้โชคจริงๆ แต่ก็คงไม่ถึงกับว่าหยิบของมั่วๆ แล้วถึงเลือกเอาเงินโบราณหกเหรียญที่เป็นของล้ำค่ามาได้ทั้งหมดหรอกนะ?
วันนั้นอู่เหมยต้องไม่ได้พูดความจริงแน่นอน!
“เหมยเหมยยังอยากไปเลือกของเก่าที่ตลาดหนานสุ่ยอยู่เหรอ? ของที่นั่นส่วนใหญ่เป็นของปลอม ไม่ใช่ว่าจะมีโชคดีๆ ทุกวันหรอกนะ เธออย่าสิ้นเปลืองเงินเลย” เหยียนหมิงซุ่นพูดอย่างมีเจตนา
อู่เหมยรู้สึกหวาดผวาเล็กน้อย พูดเสียงเบาว่า “ฉันก็แค่ถามๆน่ะ พี่หมิงซุ่น วันหลังฉันสามารถให้พี่ช่วยประเมินราคาได้ไหม? ฉันไม่ค่อยเข้าใจเรื่องแบบนี้”
ในใจเหยียนหมิงซุ่นงงงวยอย่างมาก อู่เหมยไม่รู้เรื่องของลายครามก็เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ แต่ฟังท่าทางการพูดน้ำเสียงของเธอกลับมีความมั่นใจว่าของที่เลือกมาคือของแท้ เธอเอาความมั่นใจมาจากไหน?
“แน่นอนว่าได้ พี่ยินดีทุกเวลา อีกอย่างถ้าเธอสามารถเลือกได้ดีจริงๆ พี่ก็จะช่วยเธอออกมือเอง” เหยียนหมิงซุ่นพูดยิ้มๆ
“ขอบคุณนะ พี่หมิงซุ่น”
อู่เหมยรู้สึกมั่นใจและอุ่นใจมาก ตั้งใจว่าดูบ้านเสร็จแล้วก็จะไปเดินเตร่ที่ตลาดหนานสุ่ย เงินติดตัวเธอยังมีอยู่หนึ่งร้อยกว่าหยวน น่าจะพอรวบรวมพวกของดีๆ ได้บ้างเล็กน้อย
“หลังจากดูเสร็จพี่จะไปตลาดหนานสุ่ย เหมยเหมยอยากไปไหม?” เหยียนหมิงซุ่นถามอย่างมีเจตนา
“ได้สิ!” อู่เหมยไม่มีเหตุผลที่จะไม่ตอบรับ แต่กลับไม่รู้ว่าตัวเองกลับทำให้คนบางคนคิดอยู่เสมอ
เหยียนหมิงซุ่นหาบ้านที่สร้างแบบตะวันตกเล็กๆ ที่มีทำเลที่ตั้งดีมาก อยู่ลึกสุดในซอย เงียบสงบมาก อีกทั้งยังเป็นบ้านเดี่ยวๆ กำแพงไม่ติดกับใคร ก็มีแค่เพียงเล็กนิดหน่อย แต่อู่เหมยก็พอใจมากแล้ว
“สถานที่นี้ดีจริงๆ” อู่เหมยพูดชมเชยไม่หยุด ตกหลุมรักกับบ้านหลังนี้ตั้งแต่แรกพบ
“เธอชอบก็ดี รีบเข้าไปเถอะ เจ้าของบ้านคงมาถึงแล้ว”
ประตูใหญ่ไม่ได้ใส่กลอน เหยียนหมิงซุ่นผลักประตูเบาๆ ลานบ้านไม่ใหญ่เท่าไรแต่เก็บกวาดไว้สะอาดสะอ้าน แถมยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของกุ้ยฮวา ซึ่งเป็นต้นกุ้ยต้นหนึ่งที่อยู่ในมุมบ้าน บนต้นยังมีดอกกุ้ยฮวาเหลืออยู่เล็กน้อย ข้างกำแพงก็ปลูกดอกไม้ไว้ไม่น้อย กุหลาบจันทร์ ดอกกล้วยไม้ ต้นเขียวหมื่นปี ดอกบานเย็น เป็นต้น ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่พันธุ์ที่แพงและมีชื่ออะไร แต่ถ้าดูแลพวกมันดีๆ ก็จะอยู่ได้นาน
“พวกเธอมาแล้ว รีบเข้ามาเร็ว!”
เจ้าของบ้านเดินออกมาจากในบ้าน เป็นผู้ชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบ รูปร่างอัวนเตี้ย หน้าตาดูซื่อสัตย์แล้วก็ใจดีมาก พอเห็นพวกเขาก็ต้อนรับด้วยรอยยิ้ม
แต่ก่อนเหยียนหมิงซุ่นเคยพูดกับอู่เหมยไว้ บ้านแบบตะวันตกหลังนี้เป็นมรดกของเจ้าของบ้าน ตัวเขาเองทำงานที่โรงงาน เงินเดือนตายตัว ชีวิตความเป็นอยู่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ร่ำรวยมหาศาล แต่ก็สามารถใช้ชีวิตได้สบายๆ เพียงแต่ใจคนส่วนใหญ่ไม่ได้รู้สึกเพียงพอง่ายๆ เจ้าของบ้านนั้นเป็นคนที่รู้จักพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ แต่ภรรยาของเขานั้นอิจฉาคนอื่นที่ได้ไปต่างประเทศหาเงินได้เยอะ วันๆ เอาแต่คาดคิดว่าสามีจะลาออกแล้วไปรับจ้างต่างประเทศด้วย
เวลาผ่านไป เจ้าของบ้านก็ถูกภรรยาพูดจนคล้อยตาม ลาออกจากงานจริงๆ เพียงแต่ตามระเบียบขั้นตอนเพื่อออกจากประเทศต้องจ่ายหลายพันหยวน จึงต้องขายบ้านเพื่อสมทบเงิน ทำให้อู่เหมยได้ประโยชน์
อู่เหมยมองเจ้าของห้องที่กระตือรือร้นพาพวกเขาดูบ้าน เธอเห็นใจผู้ชายคนนี้มาก ถ้าหากว่าผู้ชายคนนี้รู้ว่าไปต่างประเทศแล้วทำงานรับจ้างอย่างลำบากเหนื่อยยาก ได้เงินที่แลกมาด้วยเลือดและหยาดเหงื่อ ไม่รู้ว่าได้กี่มากน้อย หลายปีผ่านไปก็คงยังไม่สามารถซื้อบ้านหลังนี้กลับไปได้ เขาจะหมดอาลัยตายอยากไหม?
………………………………………………..
ตอนที่ 257 ความสงสัยของเหยียนหมิงซุ่น
ชาติก่อนอู่เหมยได้ยินข้อความจากในอินเตอร์เน็ต บอกว่ามีคนไปจินซื่อลงทุนทำธุรกิจ นำเงินหนึ่งในสิบไปซื้อบ้านอยู่ เงินที่เหลือทั้งหมดเอามาเปิดบริษัท สิบปีผ่านไป บริษัทล้มละลาย เขาคนนี้เสียใจมากคิดอยากจะกลับบ้านเกิด ฝากฝังให้คนขายบ้านให้ ทว่า ผลลัพธ์คือบ้านเก่าถูกขายออกไปในราคาที่สูงมากอย่างคาดไม่ถึง มากกว่าเงินที่เขานำมาในปีนั้นเป็นสิบเท่า
เขาคนนี้เวลานั้นในใจคงจะต้องคิดว่า แย่แล้ว แย่แล้วแน่ๆ ถ้าปีนั้นเขาเอาเงินทั้งหมดไปซื้อบ้าน ไม่เปิดบริษัท เช่นนั้นเงินที่เขาจะได้… จุ๊ๆๆ จะมีเลขศูนย์เยอะขนาดไหนกันนะ!
แม้ว่าข้อความนี้จะเกินจริงไปบ้าง แต่ก็เป็นความจริงเช่นกัน กี่สิบปีต่อมา ราคาบ้านในจินซื่อเหมือนกับติดจรวดก็ไม่ปาน ค่อยๆ ขยับสูงขึ้นไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบ้านสวนโบราณแบบนี้ หากมีครอบครองไว้หนึ่งหลังได้ ก็มีกินมีใช้ไม่ต้องกังวลอะไร
ดังนั้นเจ้าของบ้านคนนี้ขายบ้านเพื่อจะไปทำงานที่ต่างประเทศ จึงเป็นการตัดสินใจที่ไม่คุ้มค่าเอามากๆ เสียเลย
แม้ว่าเธอจะเห็นอกเห็นใจต่อเจ้าของบ้านอย่างมาก แต่อู่เหมยคงไม่โง่เง่าพอที่จะไปเตือนเขา ได้ผลประโยชน์แต่ไม่ครอบครองไว้ก็คือคนโง่ ผลประโยชน์แบบนี้ยิ่งมีมากยิ่งดี วันหลังเธอก็จะเป็นผู้ให้เช่าที่ไม่ต้องกังวลอะไรโดยสมบูรณ์แล้ว!
เจ้าของบ้านเขาคงต้องการใช้เงินอย่างเร่งด่วนจริงๆ เขาใจกว้างมากๆ แม้กระทั่งเครื่องใช้ในบ้านก็ไม่เอาทั้งหมด เพียงแค่นี้ก็สามารถจ่ายเงินสดได้ทีเดียวเลย
“วางใจได้ วันนี้ที่พวกเรามาก็มาจ่ายเงินนี่แหละ นี่คือเงินวางมัดจำครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งรอพรุ่งนี้โอนชื่อเสร็จก็ค่อยให้คุณ คุณว่าเป็นอย่างไร?”
เหยียนหมิงซุ่นหยิบเงินออกมากองหนึ่ง สายตาของเจ้าของบ้านก็สว่างขึ้นมาทันที รับเงินไปนับอย่างรวดเร็ว หัวเราะอย่างพอใจ “ได้ พรุ่งนี้เช้าตอนแปดโมงครึ่ง พวกเราเจอกันที่ประตูของสำนักงานที่ดินและไปทำตามขั้นตอนทั้งหมด”
“ได้ พรุ่งนี้ไม่เจอก็ไม่กลับ” เหยียนหมิงซุ่นเองก็เด็ดขาดมาก
เจ้าของบ้านก็เลยถือโอกาสเอากุญแจทั้งหมดยื่นให้กับเหยียนหมิงซุ่น ฝืนยิ้มพูดว่า “บ้านหลังนี้เป็นของพวกคุณแล้ว ผมคงไม่กลับมาอีกแล้ว!”
เขามองบ้านไปรอบๆ อย่างอาลัยอาวรณ์ ถอนหายใจลึกๆ ใจคอเหี่ยวแห้งไม่มีที่สิ้นสุด
อู่เหมยก็มีความรู้สึกผิดอยู่บ้าง จึงพูดอย่างมีเจตนาว่า “ลุงไปต่างประเทศ ถ้าหาเงินก้อนใหญ่มาได้ หลังจากกลับมาก็สามารถซื้อบ้านที่ใหญ่กว่านี้ได้แล้ว”
ความเศร้าโศกของเจ้าของบ้านก็หายไปในทันใด หัวเราะเสียงดัง “สาวน้อยพูดได้ดีจริงๆ ขอยืมคำพูดสิริมงคลของเธอมาใช้นะ!”
อู่เหมยก็หัวเราะด้วย หวังว่าคำเตือนของเธอจะมีประโยชน์ หากใช้เงินที่หามาได้ซื้อบ้านแบบนี้ วันหลังก็จะสามารถสร้างมูลค่าสูงขึ้นให้บ้านหลังนี้ได้ ยังไงก็ไม่นับว่าเสียอะไร
เหยียนหมิงซุ่นเอากุญแจให้อู่เหมย กำชับว่า “ระวังนะ เก็บเอาไว้ให้ดี อย่าให้คนอื่นมาเจอได้”
“ฉิวฉิวจะช่วยฉันซ่อนไว้ มันซ่อนของเก่งมาก รับรองว่าไม่มีใครหาเจอ” อู่เหมยภาคภูมิใจมาก ทำเอาฉิวฉิวที่กำลังนอนหลับอย่างสบายในกระเป๋าหนังสืออุ้มออกมา จูบไปหลายครั้ง
เหยียนหมิงซุ่นจิตใจคล้อยตาม กระรอกน้อยตัวนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ หรือว่า…
เขารีบปฏิเสธความคิดไร้สาระนั้นอย่างรวดเร็ว ตำนานก็คือตำนาน จะเป็นเรื่องจริงได้อย่างไร? เขาคิดมากเกินไปแน่นอน
“รอพี่ทำเรื่องสัญญาบ้านเสร็จแล้ว ตอนค่ำจะส่งให้เธอนะ” เหยียนหมิงซุ่นพูดยิ้มๆ
“อืม” อู่เหมยเบิกบานใจ ยินดีเป็นอย่างมาก เธอเข้าใกล้ชีวิตของผู้ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์อีกก้าวหนึ่งแล้ว หลังจากนี้จะต้องยิ่งใกล้ขึ้นไปอีกอย่างแน่นอน
ตลาดหนานสุ่ยก็ห่างจากถนนฮวายไห่ครึ่งชั่วโมงถ้าเดินทางด้วยรถจักรยาน แต่เหยียนหมิงซุ่นขี่ไวมาก ยังไม่ถึงสิบโมงก็ถึงตลาดหนานสุ่ยแล้ว ตลาดยังมีคนเดินไม่เยอะเท่าไร แต่แผงขายของก็จัดว่งออกมาหมดแล้ว
พอถึงตลาดหนานสุ่ย ฉิวฉิวก็กลับมามีชีวิตชีวาขึ้น ดวงตากลมเหมือนถั่วดำนั้นมองไปทุกทิศทางจนหมุนติ้ว ร้องเสียงดังไม่หยุด เหมือนครั้งที่แล้วไม่มีผิด
“อู่เหมยกอดมันแน่น พูดเสียงเบาว่า “ฉิวฉิวอย่าใจร้อน พวกเราต้องค่อยเป็นค่อยไป”
“กู่ๆ”
ฉิวฉิวสะบัดหางไปมา หาลูกอมนมที่มีถั่วในกระเป๋าหนังสือด้วยตัวเอง กินอย่างเอร็ดอร่อยเพลิดเพลิน หนวดสั่นไหวตลอดเวลา หางก็กระดิกไปมาอย่างมีความสุข
เหยียนหมิงซุ่นเห็นความผิดปกติของเจ้าตัวน้อยอย่างชัดเจน ความสงสัยก่อนหน้านี้ผุดขึ้นมาในใจอีกครั้ง ไม่แสดงออกอะไรพาอู่เหมยเดินดูแผงขายของ วางแผนไว้จะดูว่าเด็กน้อยคนนี้จะเลือกของเก่าอย่างไร
———————————————————
ตอนที่ 258 เจ้าหญิงทองคำน้อย
เดินผ่านแผงขายของหลายแผงก่อนหน้า ฉิวฉิวก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร พอเดินมาถึงตรงกลาง หางของฉิวฉิวก็ส่ายสะบัดขึ้นมา อู่เหมยรู้ว่านี่จะต้องมีของล้ำค่า เธอหยุดอยู่ที่แผงลอยแผงนี้ พอเห็นเจ้าของแผงชัดๆ ทันใดนั้นก็อดหัวเราะไม่ได้
เจ้าของแผงลอยนี้เป็นคนที่ขายเงินโบราณให้เธอในครั้งที่แล้ว ดวงตายังคงตี่เล็ก รอยยิ้มก็ยังเหมือนเดิมยังคงดูซื่อๆ เรียบง่ายเหมือนเดิม
เจ้าของแผงลอยก็ยังจำอู่เหมยได้ ทักทายด้วยรอยยิ้ม “สาวน้อยกับพี่ชายมาเดินตลาดเหรอ เธอโชคดีจริงๆ ฉันเพิ่งได้รับของดีมาชุดหนึ่ง ดูสิ ดูดีใช่ไหม!”
ที่เขาชี้ก็คือปิ่นปักผมหนึ่งกอง และยังมีพวกกำไลเงิน มองแล้วน่าจะทำจากเงินทั้งหมด แต่ทั้งหมดนั้นมีรอยดำๆ แล้ว พอดูได้แต่ก็ไม่ได้ดูดีอะไรขนาดนั้น
อู่เหมยหลบออกมามองอย่างรังเกียจ ไม่รู้ว่าเป็นคนตายที่ไหนเคยใส่ เธอไม่อยากใส่หรอกนะ!
แต่ว่า…
กรงเล็บของฉิวฉิวแตะที่มือของอู่เหมยอยู่หลายครั้ง อู่เหมยใจเต้น รู้แล้วว่าเครื่องประดับเงินกองนี้มีของดี
“ดูดีมาก งั้นฉันเลือกเอามาใส่เล่นสักสองสามชิ้น คุณอาขายให้หนูถูกหน่อยนะ!” อู่เหมยนั่งยองๆ ลงมาพูดแล้วยิ้มหวาน
เจ้าของแผงมีความสุขเบิกบานใจ นับได้ว่าเป็นการประเดิมอีกครั้ง สาวน้อยคนนี้โชคลาภทางการเงินถือว่าไม่เลว ครั้งที่แล้วที่เธอประเดิม วันนั้นก็ค้าขายดีจนไม่รู้จะดีอย่างไรเจ้าของแผงลอยฝั่งตรงข้ามต่างก็อิจฉาตาร้อนกันหมด วันนี้ดูแล้วเขาคงได้นับเงินจนมือเป็นตะคริวอีกครั้งแล้ว
“ไม่ต้องห่วง แต่ไหนแต่ไรมา ฉันไม่คิดหาเงินจากสาวน้อย จะต้องให้ราคาที่ถูกยิ่งกว่าผักกาดขาวให้เธอแน่ ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ คิดเป็นหนึ่งชิ้นห้าหยวนทั้งหมด” เจ้าของแผงปากพูดซะฟังดูดี แต่แท้จริงแล้วใจดำอำมหิตโกงแม้กระทั่งเด็กน้อย
อู่เหมยเดิมทียังรู้สึกว่าเธอเอาเปรียบเจ้าของแผงลอยคนนี้ ใจในยังรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง แต่พอได้ยินราคาที่เสนอมา ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกสงบและสบายใจ ซื้อขายอย่างอิสระ เธอไม่มีทางรู้สึกเกรงใจอีก
“แพงเกินไป ฉันซื้อไม่ไหว”
พูดจบอู่เหมยก็ลุกขึ้นเตรียมเดินออกไป คิดว่าเธอเป็นเด็กสามขวบหรือไง เครื่องประดับเงินที่สกปรกขนาดนี้ มากที่สุดก็สามหยวนต่อหนึ่งชิ้น นี่คือเธอให้เยอะแล้วนะ!
“ไฮ่ๆๆ อย่าเพิ่งรีบร้อนไปสิ ราคาคุยกันได้ คุยกันได้นะ”
เจ้าของแผงรีบเรียกอู่เหมยกลับมา หันไปทางเธอชูสี่นิ้ว อู่เหมยส่ายหน้าอย่างไม่ลังเล ยืดนิ้วขาวสะอาดออกมาสองนิ้ว เจ้าของแผงก็ทำหน้าสิ้นหวังทันที ส่ายหน้าอย่างแรงเอานิ้วลงหนึ่งนิ้ว
“สาวน้อย ราคานี้ฆ่าคนได้เหี้ยมมากเลยนะ เธอก็ควรให้กำไรฉันหน่อยใช่ไหม? ราคาเดียว สามหยวน ไม่สามารถลดได้อีกแล้ว” เจ้าของแผงกัดฟันทำหน้าเจ็บปวด
“งั้นก็ได้ สามหยวนก็สามหยวน” อู่เหมยลังเลอยู่พักหนึ่งแล้วก็ตอบตกลงอย่างไม่เต็มใจ เจ้าของแผงลอยก็หัวเราะเสียงดังทันที สาวน้อยนี่หลอกง่ายจริงๆ!
เหยียนหมิงซุ่นเงียบมาตลอด ที่จริงแล้วถ้าเขาไปต่อรองราคา มากที่สุดก็คงหนึ่งหยวนห้าต่อหนึ่งชิ้น สามหยวน เจ้าของแผงคนนี้คงได้กำไรสองหยวนแน่นอน แต่ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะช่วยอู่เหมยต่อรองราคา
ดูยัยเด็กบื้อนี่เจรจาต่อรองราคาแล้วรู้สึกว่าน่าสนใจจริงๆ นอกจากนี้เขาก็อยากจะรู้ให้แน่ชัดว่าสรุปแล้วอู่เหมยใช้อะไรในการเลือกของ
เครื่องประดับเงินสกปรกจนดูไม่ได้พวกนี้ไม่มีทางดึงดูดสาวน้อยได้ อู่เหมยยืนยันที่จะซื้อเครื่องประดับเหล่านี้จะต้องมีเหตุผลแน่นอน
ภายใต้การชี้นำของฉิวฉิว อู่เหมยเลือกมาสามชิ้น สองชิ้นเป็นกำไลเงิน อีกชิ้นเป็นปิ่นปักผม รูปร่างไม่ค่อยน่าสนใจทั้งหมด ดูดำคล้ำ ถ้าตกอยู่ที่พื้นยังไม่มีคนเก็บด้วยซ้ำ
เพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัยของเจ้าของแผงลอย อู่เหมยก็เลยเลือกกำไลข้อมือที่ดูสะอาดสะอ้านอีกหนึ่งชิ้น แกะสลักด้วยลวดลายที่แปลกตา เหมือนลวดลายของชนเผ่าม้งแถบนั้น สวยงามมาก อู่เหมยตั้งใจว่าจะใส่เอง อันนี้คงเป็นของที่เจ้าของแผงทำเองเพื่อเอามาขายที่แผงลอย ดูแล้วไม่เหมือนของเก่า
“สี่ชิ้นนี้แล้วกัน ให้คุณสิบสองหยวน” อู่เหมยเอาเงินให้เจ้าของแผงลอย
“ดีเลย สาวน้อยวันหลังมาซื้อร้านผมอีกนะ อารับรองว่าจะให้ราคาที่ถูกเหมือนผักกาดขาวแน่นอน”
เจ้าของแผงเก็บเงินอย่างมีความสุข มองอู่เหมยด้วยสายตาอ่อนโยนอย่างยิ่ง เด็กนี่เป็นเจ้าหญิงทองคำน้อยชัดๆ!
…………………………..
ตอนที่ 259 กระโถนฉี่แตกๆ
หลังจากนั้นทันทีอู่เหมยก็ซื้อกล่องเก็บเครื่องสำอางมาอีกหนึ่งกล่อง กระบอกใส่เครื่องเขียนอีกหนึ่ง ขวดยานัตถุ์หนึ่ง ภาพวาดสองรูป พวกนี้เป็นของเก่าทั้งหมด ชิ้นที่ใหญ่ที่สุดก็คือไหสีดำคล้ำหนึ่งใบที่อู่เหมยอุ้มเอาไว้ในมือ ไม่เพียงแต่ลักษณะน่าเกลียด ที่สำคัญคือกลิ่นแรงมากชวนคลื่นเหียนสุดๆ อู่เหมยโดนรมจนตาเปิดไม่ได้แล้ว
อู่เหมยไม่ได้อยากจะซื้อไหเหม็นๆใบนี้ด้วยซ้ำ อู่เหมยดูไม่ออกเลยจริงๆว่าของชิ้นนี้มีดีที่ตรงไหน แต่ฉิวฉิวกลับไม่ยอม ต้องให้อู่เหมยซื้อให้ได้ ตอนซื้อของอย่างอื่นก็ไม่เห็นมันจะตื่นเต้นอะไรมาก เพียงแต่ตอนที่มันเห็นไหใบนี้ หางของฉิวฉิวสะบัดส่ายไปส่ายมาอย่างแรงจนเหมือนเป็นตะคริว
“เถ้าแก่ ไหใบนี้ราคาเท่าไร?” อู่เหมยปิดจมูกถาม
เจ้าของแผงเป็นชายแก่ที่มีเคราแพะ เขาค่อนข้างให้ความสนใจสาวน้อยที่สวยอย่างอู่เหมยตลอดเวลา ยังไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็จ่ายเงินเกือบร้อยหยวนแล้ว จะต้องเป็นเทพแห่งโภคทรัพย์น้อยแน่นอน ไม่เด็ดลูกพลับนิ่มแบบนี้ จะรอเวลาไหน?
“ยี่สิบหยวน ราคานี้ราคาเดียว!” ชายแก่เคราแพะบอกราคาสูงลิบเทียมฟ้า ทำให้อู่เหมยตกใจมาก
“เถ้าแก่ของที่แตกหักของคุณอันนี้คุณเอายี่สิบหยวนเลย ทำไมคุณไม่เรียกราคาสองร้อยหยวนไปเลยล่ะ?”
“คนแก่อย่างฉันแต่ไหนแต่ไรให้ราคายุติธรรมเสมอ ยังไงก็ไม่มีทางเปิดราคาที่สองร้อยหยวนหรอก ยี่สิบหยวนถ้าตกลงก็เอาไป ไม่เอาก็วางลง อย่ามาทำให้ผมเสียเวลา”
ชายแก่เคราแพะหัวเราะอยู่ลึกๆ เขาแน่ใจว่าเด็กน้อยคนนี้จะต้องซื้อไหใบนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าสาวงามคนนี้ถึงได้ชอบกระโถนฉี่แตกๆแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อการโกงของเขา!
กระโถนฉี่แตกๆใบนี้เป็นเขาเอาขนมปังกรอบหนึ่งชั่งไปแลกที่ชนบทมา เจ้าของห้องเอากระโถนนี่ให้ลูกชายใช่ฉี่ตอนกลางคืน ลูกชายสี่คนตาางก็พึ่งพากระโถนนี่เติบโต ตอนนี้ลูกชายโตกันหมดแล้ว กระโถนฉี่อันเป็นเกียรติภูมิใบนี้ก็โดนปลดเกษียณ เงินเหลือจากราคาก็คุ้มค่าขนมปังกรอบหนึ่งชั่งแล้วล่ะ!
ตัดสินจากสายตาของชายแก่อย่างเขาที่ฝึกฝนมานานหลายสิบปี กระโถนฉี่แตกๆใบนี้แม้แต่บาทเดียวก็ไม่คุ้มค่า วางขายบนแผงมาแล้วหนึ่งปี ยังไม่มีแม้แต่สักคนมาถาม ไม่ง่ายเลยที่จะบังเอิญเจอพวกจมูกใช้การไม่ได้ ชายแก่อย่างเขาก็ต้องเอาไว้ให้มั่น
อู่เหมยต่อรองราคาอยู่หลายรอบ ชายแก่คนนี้ปากเหมือนถูกเขื่อมปิดเอาไว้ก็ไม่ปาน พูดอะไรก็ไม่ปล่อยปาก อู่เหมยโมโหจนหัวใจตับปอดปวดไปหมด ทำได้เพียงแต่เก็บรวบรวมเงินที่มีติดตัวทั้งหมดเอาออกมา แม้แต่สตางค์ก็นับเข้าไปด้วย ทั้งหมดได้สิบแปดหยวนห้าเจียวแปดสตางค์
“เถ้าแก่ ในตัวฉันมีเหลือแค่นี้แล้ว เถ้าแก่ก็ขายให้ฉันเถอะ วันก่อนฉันทำโถข้าวของคุณยายแตกไป โถใบนี้ค่อนข้างเหมือนกับโถข้าวใบนั้นของคุณยาย ฉันจะเอากลับไปสมทบให้ครบจำนวน เถ้าแก่ก็ขายให้ฉันเถอะ”
อู่เหมยลากเสียงยาว หันไปทางชายแก่เคราแพะพูดออดอ้อน เสียงหวานเหมือนกับสายไหมก็ไม่ปาน ชายแก่เคราแพะตัวสั่นไปหมด เหยียนหมิงซุ่นก็จักจี้หูเป็นอย่างมาก แคะหูอยู่หลายรอบ
“ได้ๆๆ เธอเอาไปเถอะ อย่างมากฉันก็แค่ขาดทุนนิดหน่อย” ชายแก่เคราแพะถูขนบนแขนที่ลุก
อู่เหมยหยิบกระโถนฉี่ขึ้นมาอย่างมีความสุข กลิ่นฉี่ฉุนจนขึ้นหัว แสบจนเกือบเกิดใหม่ แสบจนเกือบขึ้นสวรรค์ แสบจนลืมตาไม่ขึ้นแล้ว
“เถ้าแก่ กระโถนนี้กลิ่นทำไมแรงขนาดนี้? คงไม่ใช่กระโถนฉี่ใช่ไหม?” อู่เหมยถามอย่างสงสัย
“จะเป็นไปได้ยังไง? คงเป็นเพราะผ่านเวลามานานกลิ่นก็แรงขึ้นแหละ เธอดูสิกระโถนฉี่บ้านไหนรูปร่างหน้าตาแบบนี้?” เจ้าของแผงลอยกัดให้ตายเขาก็ไม่ยอมรับ เขาแอบเห็นใจยายของอู่เหมยในใจ ข้าวที่ใช้กระโถนฉี่ใบนี้หุงออกมา กลิ่นคงจะยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน
เหยียนหมิงซุ่นออกห่างจากอู่เหมยไกลนิดหน่อย กลิ่นนี้แม้แต่เขายังรับไม่ได้ แต่เด็กน้อยนี่ก็ยังอุ้มไว้อย่างปิติยินดี
แต่ว่าตอนนี้เขายืนยันได้แล้ว ของที่อู่เหมยซื้อทั้งหมดคือของแท้แน่นอน อีกอย่างหน่วยตรวจสอบของเธอก็คือฉิวฉิวไม่ใช่ก็ใกล้เคียง เพราะว่าทุกครั้งตอนที่อู่เหมยเลือกของ หางของฉิวฉิวจะสะบัดไม่หยุด แต่ตอนที่ไม่ซื้อ ฉิวฉิวทำเพียงแค่กินลูกอมเงียบๆ
ครั้งสองครั้งคือบังเอิญ แต่ถ้าทุกๆครั้งเป็นแบบนี้ทั้งหมด นี่ก็จะเป็นปัญหาใหญ่แล้ว
——————————————————————————————————-
ตอนที่ 260 มองออกถึงความลับของอู่เหมย
”ไหใบนี้มีความสำคัญยังไงหรอ?” เหยียนหมิงซุ่นถามตรงๆ
อู่เหมยไหนเลยจะรู้ว่าไหใบนี้มีความสำคัญยังไง ถ้าไม่ใช่สิ่งที่คุณฉิวอยากจะซื้อ แต่เธอไม่สามารถพูดกับเหยียนหมิงซุ่นแบบนี้ได้ แน่นอนว่าก็ไม่สามารถพูดว่าเป็นเพราะโถข้าว คำพูดนี้หลอกชายแก่เคราแพะถึงจะได้
“ก็แค่อาศัยความรู้สึก ฉันรู้สึกว่าไหใบนี้น่าจะมีอายุหลายร้อยปีแล้ว ไม่ใช่พูดว่ายิ่งเวลาผ่านไปยาวนานเท่าไร ของก็จะยิ่งมีราคาสูงหรอ” อู่เหมยอธิบายอย่างไม่เป็นธรรมชาติ
เหยียนหมิงซุ่นมองเธออย่างล้ำลึก ยัายสายตาไปที่ร่างของฉิวฉิวต่อ ยิ้มพลางพูดว่า “ตอนนี้ฉิวฉิวกลับเงียบไปแล้วแฮะ เมื่อกี้ยังกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุขอยู่เลย”
อู่เหมยใจเต้นตุบตับ มองเหยียนหมิงซุ่นอย่างตื่นตระหนก ไม่รู้ว่าเขาค้นพบความสามารถพิเศษของฉิวฉิวแล้วหรือยัง เหยียนหมิงซุ่นพอเห็นท่าทางการแสดงออกของเธอ ยิ่งแน่ใจในการคาดคะเนของตนเอง
ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าที่ฉิวฉิวสามารถล่าสมบัติได้จะมหัศจรรย์มาก แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าน่าหวาดกลัว ใต้โลกอันกว้างใหญ่ไพศาล เรื่องที่คาดไม่ถึงมีมากมาย สัตว์ประหลาดในตำนานบนซานไห่จิง ใครจะพูดได้ว่าทั้งหมดนั่นเป็นแค่ตำนานจริงไหม?
เขาคิดว่าเทพเจ้าและสัตว์ร้ายเหล่านั้นคงจะมีอยู่จริงในชีวิตจริง อีกทั้งคงโดนบรรพบุรุษรุ่นก่อนๆพบเห็น พวกเขาถึงเขียนลงในหนังสือได้อย่างละเอียด มิฉะนั้นมันยากที่จะเขียนด้วยจินตนาการที่แตกต่างกันมากมาย อีกอย่างคำอธิบายสัตว์ร้ายนั้นก็ละเอียดมาก
ดูแล้วแบบนี้ ฉิวฉิวมีความสามารถในการล่าสมบัติก็ไม่แปลกเท่าไรแล้ว หนังสือโบราณเดิมทีก็มีตำนานหนูล่าสมบัติ ไม่แน่ฉิวฉิวอาจจะเป็นหนูล่าสมบัติในตำนานนั่นก็ได้!
“ฉิวฉิวนั้นหาได้ยากมาก วันหลังเธอจะพามันออกจากบ้านก็ต้องระวังหน่อย อย่าทำให้คนใส่ใจเห็นได้” เหยียนหมิงซุ่นมองอู่เหมยอย่างมีความหมายลึกซึ้ง
อู่เหมยตอบอย่างโอนอ่อนผ่อนตาม ในใจกลับว้าเหมือนคลื่นทะเลถาโถม เหยียนหมิงซุ่นพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง?
เขาคงไม่ได้ค้นพบความสามารถพิเศษของฉิวฉิวแล้วใช่ไหม?
ถ้าไม่อย่างนั้นเขาทำไมถึงพูดว่าฉิวฉิวหาได้ยากมากล่ะ?
เหยียนหมิงซุ่นมองแค่แวบเดียวก็รู้ว่าอู่เหมยกำลังกังวลอะไร แอบขบขันอยู่ในใจ แต่ก็รู้สึกไม่พอใจกับความไม่ระมัดระวังของอู่เหมย แค่เธอซื้อบองก็ปล่อยพิรุธออกมาตั้งมากมาย ขอเพียงแค่ตั้งใจสังเกตอย่าละเอียดจะต้องค้นพบเป็นแน่ เด็กน้อยคนนี้ไม่ระวังตัวมากเกินไปแล้ว
โชคดีที่มีเขาด้วย ถ้าหากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ก็รับรองไม่ได้ว่าจะมีจิตใจคิดอะไรขึ้นมา
“วันหลังอย่ามาที่นี่ซื้อของคนเดียว เรียกพี่มาด้วย ที่นี่ไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไร” เหยียนหมิงซุ่นคิดๆแล้วก็ไม่วางใจ ที่ตลาดหนานสุ่ยมีทั้งมังกรมีทั้งงูผสมกันมั่วไปหมด ถ้าหากมีคนรู้ว่าอู่เหมยมีของล้ำค่าติดตัวล่ะก็ ชีวิตน้อยๆของเด็กบื้อนี่คงรักษาเอาไว้ไม่ได้
อู่เหมยตกใจ รีบร้อนพงกหัว แล้วก็ไม่สนใจว่าเหยียนหมิงซุ่นนั้นพบความลับของเธอใช่หรือไม่ เหงื่อเย็นๆออกที่หลังในฉับพลัน เดิมทียังมีความคิดที่จะถือโอกาสในช่วงหยุดสุดสัปดาห์มาเดินดู ทันใดนั้นก็หยิกตัวเองทันที
ชีวิตนั้นมีค่าจริงๆ ไม่ง่ายเลยที่เธอจะมีชีวิตฟื้นคืนกลับขึ้นมาใหม่ แน่นอนว่าจะต้องมีชีวิตถึงหนึ่งน้อยปีถึงจะไม่ขาดทุน!
เหยียนหมิงซุ่นมองของในมือขิ้นเล็กชิ้นใหญ่ คิ้วขมวด หยิบผ้าใบกันน้ำออกมาจากตะกร้า เอาของที่อู่เหมยซื้อมาห่อให้เรียบร้อย วางไว้ตะกร้าหน้ารถ แบบนี้ก็ไม่ได้เตะตาคนขนาดนั้นแล้ว
อู่เหมยเพิ่งจะคิดอยากพูดให้เหยียนหมิงซุ่นช่วยเธอขายของ เหยียนหมิงซุ่นกลับเป็นคนพูดก่อน “ตอนนี้ยังไม่ต้องขายสินค้าออกไปก่อน รอไม่กี่วันผ่านไปพี่ค่อยช่วยเราจัดการ เธอเลือกของที่อยากจะขายออกไปมาให้พี่”
อู่เหมยรีบพยักหน้า หยิบกล่องเครื่องแป้งส่งให้เหยียนหมิงซุ่น คิดๆแล้วก็เพิ่มขวดยานัตถุ์เข้าไปอีก สองชิ้นนี้คงขายได้เงินบ้าง ตอนเลือกของสองชิ้นนี้หางของฉิวฉิวก็สะบัดไวอยู่
“พี่หมิงซุ่น รบกวนพี่ขายของสองชิ้นนี้ด้วย!
เหยียนหมิงซุ่นมองเธออย่างลึกล้ำ ตาเหมือนกับน้ำทะเลลึกที่มืดและเงียบ มองจนอู่เหมยรู้สึกจิตใจไม่สงบ ลูกตาหลบเลี่ยงไปทุกทิศ ไม่กล้าจ้องมองเหยียนหมิงซุ่นตรงๆ
หวาดผวาไปหมด!
เหยียนหมิงซุ่นมองอย่างขบขัน ซื่อบื้อจริงๆ หยิบของออกมาสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้ ยังพูดให้เขาไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินให้ ไม่ใช่ว่าเป็นการแสดงออกโดยตรงว่ายัยเด็กบื้อนี่รู้อยู่แล้วว่าของพวกนี้เป็นของแท้?
แม้กระทั่งเล่นละครยังไม่เป็น ซื่อบื่อจนไม่รู้จะซื่อบื่อยังไง วันหลังเขาคงต้องจับตามองให้ดีๆหน่อยแล้ว!
ตอนที่ 261 อุ้งมือที่สวยงาม
เหยียนหมิงซุ่นเอากล่องใส่ปากกากับกล่องยานัตถุ์เก็บใส่กระเป๋านักเรียน ถามอย่างจงใจ “ของอย่างอื่นพวกนั้น เหมยเหมยไม่คิดจะขายเหรอ?”
อู่เหมยไม่อยากจะตอบคำถาม “อันนั้นฉันอยากเก็บไว้เองค่ะ ไม่คิดจะขาย”
เธอคิดไว้ตั้งนานแล้ว ถึงแม้จะทำเงินได้มากมายจากการขายของโบราณ แต่อายุอย่างเธอติดอยู่ที่นี่ เป็นที่สะดุดตาเกินไปหน่อย หนึ่งครั้งสองครั้งยังพอเป็นไปได้ แต่นานวันเข้าต้องมีคนสงสัยแน่นอน คนอย่างเธอที่ไม่มีภูมิหลัง ไม่มีคนสนับสนุน ไม่มีหัวหน้า หากเป็นที่จับจ้องของผู้คน แต่เธอถอยหนีออกมาไม่สำเร็จ เธอก็จะยิ่งปกป้องฉิวฉิวไม่ได้
บ้านก็มีแล้ว ขอแค่เธอมีเงินใช้เพียงพอ ของโบราณเหล่านี้ก็เก็บไว้ รอวันที่เธอมีอำนาจ แล้วค่อยๆขายไป หรือหากวันใดเธอไม่มีเงินแล้ว ก็เรียนรู้เจ้าใหญ่นายโตรุ่นหลัง สร้างพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวของตัวเองขึ้นมา เก็บค่าเข้าก็พอกินพอใช้แล้ว
แต่สิ่งที่เธอให้เหยียนหมิงซุ่นนั้นล้วนผ่านการคัดสรรอย่างตั้งอกตั้งใจ ตอนนี้เธอสามารถตัดสินได้แล้วว่าสิ่งของจะมีค่าหรือไม่ ตามปฏิกิริยาของฉิวฉิว กล่องเครื่องสำอางและกล่องยานัตถุ์นั้นเป็นของที่ไม่ค่อยมีราคาแพง อย่างอื่นเธอไม่กล้าหยิบออกไป รู้สึกว่าน่าจะคุ้มค่ากว่าเงินโบราณครั้งก่อนเล็กน้อย
เหยียนหมิงซุ่นไม่ถามอีก เมื่อครู่ เขาเหลือบมองผ่าน ๆ อย่างอื่นเขาไม่รู้ แต่ภาพวาดสองภาพนั้นคือภาพวาดของปาต้าซานเหริน จากที่ดูแล้วเป็นไปได้ว่าเป็นภาพวาดของจริง มูลค่านั้นประเมินค่าไม่ได้
หากอู่เหมยคิดจะขาย เขาต้องซื้อเก็บไว้เอง เขามั่นใจว่าเมื่อผ่านไปหลายสิบปี มูลค่าของภาพวาดเหล่านี้ต้องเพิ่มขึ้นหลายเท่า หรืออาจจะเป็นภาพวาดหายากก็เป็นได้
อู่เหมยสวมกำไลมือที่สะอาดเกลี้ยงเกลาที่ข้อมือ กำไลมือที่งดงามลึกลับเข้ากับข้อมือขาวบอบบาง สวยจนไม่พูดไม่ออก อู่เหมยสะบัดข้อมือไปมา หันไปยิ้มอย่างอ่อนโยนให้เหยียนหมิงซุ่น แล้วเอ่ยถาม “พี่หมิงซุ่น สวยไหมคะ?”
เหยียนหมิงซุ่นเพิ่งรู้ตัวว่าเหม่อลอยอยู่พักหนึ่ง เขาสลัดความคิดทิ้งด้วยความหงุดหงิด ยิ้มอย่างฝืนๆ “สวย”
เขาไม่คาดคิดว่าจะถูกอุ้งมือของเด็กที่ไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมดึงดูดทำให้จิตใจว้าวุ่นได้ ไม่สมควรอย่างยิ่ง ตอนค่ำต้องวิ่งเพิ่มอีกสิบรอบ
“เธอยังต้องไปบ้านพ่อแม่บุญธรรมครอบครัวสยงอีก รีบกลับดีกว่า”
อู่เหมยกระโดดขึ้นรถ กอดกระปุกนั้นไว้แน่นด้วยความระมัดระวัง ถ้ากระปุกนี้แตกขึ้นมา ฉิวฉิวต้องโกรธมาก ๆ เธอจึงกอดไว้แน่น
“พี่หมิงซุ่น พวกเราไปถนนไหวไห่ก่อนได้ไหมคะ? ฉันอยากจะเอาของไปเก็บไว้ที่นั่น” อู่เหมยพูดเสียงเบา
“ตกลง”
เหยียนหมิงซุ่นพยักหน้า ปั่นจักรยานไปทางถนนไหวไห่ เขาจำได้ว่า บ้านสไตล์ตะวันตกหลังนั้นมีห้องลับ อู่เหมยเอาของไปเก็บไว้ในห้องลับนั้นได้
“ตอนบ่ายพี่ให้คนเปลี่ยนลูกบิดประตูแล้ว แบบนี้ค่อยปลอดภัยขึ้นมาหน่อย”
“แต่ตอนนี้ฉันไม่ค่อยมีเงิน” อู่เหมยรู้สึกเกรงใจ
“เดี๋ยวพี่ออกให้เธอก่อน รอให้ขายสองชิ้นนี้ได้แล้วค่อยเอามาคืนพี่”
“อื้อ ขอบคุณนะพี่หมิงซุ่น” อู่เหมยรู้สึกซาบซึ้งใจ
“ต่อไปห้ามพูดขอบคุณอีกนะ” เหยียนหมิงซุ่นกำชับ เขาไม่ค่อยชอบฟังยายตัวดีพูดขอบคุณ รู้สึกห่างเหินเกินไป
“อื้อ ไม่ขอบคุณแล้ว” อู่เหมยตอบอย่างเชื่อฟัง เหยียนหมิงซุ่นยิ้มมุมปาก รอยยิ้มจาง ๆ ยังอบอุ่นกว่าพระอาทิตย์ในฤดูใบไม้ร่วงเสียอีก
อู่เหมยเก็บเครื่องประดับเงินสามชิ้นไว้เอง ของชิ้นเล็กเหล่านี้เก็บไว้กับตัวไม่เป็นที่สะดุดตา เธอคิดว่าหลังจากกลับไป จะล้างทำความสะอาดเครื่องประดับเงิน จะดูว่าหน้าตาจริง ๆ ของมันพิเศษตรงไหนกันแน่ ถึงได้ดึงดูดฉิวฉิวต้องให้เธอซื้อให้ได้
ตั้งหลายสิบหยวน!
เพราะว่าเลี้ยวอ้อมไปถนนไหวไห่ อู่เหมยกับถึงบ้านช้าเล็กน้อย สิบโมงกว่าแล้ว เหอปี้อวิ๋นตื่นนอนแล้ว กำลังผัดข้าวสำหรับมื้อกลางวันอยู่ที่หน้าเตา เมื่อเห็นเธอก็มองด้วยสายตาเย็นชา และไม่ได้พูดอะไร
………………………………………………………..
ตอนที่ 262 แย่งกำไลมือ
อู่เหมยไม่สนใจเธอ พวกเขาสองแม่ลูกอยู่ในสภาพเบื่อหน่ายกันและกัน จนเคยหักหน้ากันมาแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำสีหน้าสุภาพเกรงใจ ขอเพียงไม่ยั่วโมโหเธอ มิฉะนั้นเธอจะไม่เป็นลูกแกะน้อยในอดีตอีกต่อไปแล้ว
อู่เยวี่ยยังนอนเล่นอยู่ในห้องนอน ดูท่าแล้วตลอดช่วงเช้าไม่ได้ออกมาจากห้องนอนเลย ฮึ ตอนค่ำค่อยให้ฉิวฉิวหาธัญพืชห้าชนิดอันยอดเยี่ยมนิดหน่อย ความน่ารังเกียจบางครั้ง ก็ยั่วอู่เยวี่ยได้เป็นพัก ๆ ทำให้เธอเรียนอย่างไม่สบายใจ
อย่าหาว่าใช้วิธีสกปรกเลวทราม หากเปรียบเทียบกับเธอที่ตกลงมาจากชั้นสามสิบสามเมื่อชาติก่อนแล้ว ความน่ารังเกียจนี้มันหมายความว่าอะไร?
อู่เยวี่ยชาตินี้เหน็ดเหนื่อยตรากตรำทำงาน ก็ยังไม่สามารถคืนหนี้แค้นที่ค้างเธอไว้เมื่อชาติที่แล้วได้หมด
เพิ่งจะกินข้าวกลางวัน สยงซือซือก็ลงมาเชิญขึ้นไป อู่เจิ้งซือล่วงหน้าไปก่อนด้วยความยินดียิ่ง เหอปี้อวิ๋นก็ตามไปแล้ว อู่เยวี่ยอ้างว่าตัวเองไม่สบายจึงไม่ไป เจ้าอิงหนานไม่ชอบเธอ ทำไมเธอต้องไปบ้านสยงเพื่อเจอหน้าที่เย็นชาด้วย?
ในตอนนี้อู่เยวี่ยอายุยังน้อย เธอไม่มีความปลิ้นปล้อนและเล่ห์เหลี่ยมเมื่อสมัยโตเป็นผู้ใหญ่ในชาติก่อน ยังมีนิสัยหยิ่ง ยโสบ้าง ก็เป็นเด็กผู้หญิงธรรมดา ควบคุมอารณ์ไม่ได้สักนิดเดียว
อู่เหมยล้างเครื่องประดับเงินอยู่ในห้อง เธอใช้ยาสีฟันล้าง ไม่นานก็ล้างคราบดำๆ ที่ติดอยู่บนเครื่องประดับเงินออก เผยให้เห็นลวดลายเดิมของเครื่องประดับเงิน ลวดลายไม่ซับซ้อน ดูแล้วเป็นเครื่องประดับธรรมดามาก แต่พอมองอย่างละเอียดกลับพบว่า สิ่งนี้ดูเหมือนจะเป็นเครื่องประดับเงินธรรมดาๆ ที่ฝีมือละเอียดมาก และเป็นลายแกะลายฉลุทั้งหมด ทันสมัยมาก
เธอยังสังเกตเห็นว่าเครื่องประดับเงินแต่ละชิ้นไม่สะดุดตา มีสัญลักษณ์ที่เล็กมาก ดูเหมือนเป็นใบไม้ แต่มีใบไม้แค่สามใบ สองใบใหญ่ หนึ่งใบเล็ก เป็นสัญลักษณ์ที่พิเศษมาก
อู่เหมยยิ่งมองเครื่องประดับเงินสามชิ้นนี้ก็ยิ่งชอบ เห็นครั้งแรกดูธรรมดา ๆ แต่พอดูละเอียดกลับมีความหรูหราที่ซ่อนอยู่ในสินค้าที่ต่ำต้อย ถึงแม้จะเป็นแค่เครื่องประดับเงิน แต่ก็เปล่งแสงแพรวพราวไม่ด้อยไปกว่าเครื่องประดับเพชร ทองเลย เธอคิดไว้แล้ว เครื่องประดับสามชิ้นนี้ก็มอบให้เจ้าอิงหนาน
“อู่เหมย เธอทำอะไรอยู่? ยังไม่รีบขึ้นไปอีก”
สยงมู่มู่ผลักประตูเข้ามา บังเอิญเห็นเครื่องประดับเงินสามชิ้นพอดี หยิบชิ้นหนึ่งขึ้นมา ยกขึ้นมาหลี่ตาพิจารณา เขายิ่งมองก็ยิ่งชอบ เช่นเดียวกันกับอู่เหมย
“เครื่องประดับเหล่านี้เธอเอามาจากไหน? เหมือนไม่ใช่งานฝีมือสมัยใหม่”
สยงมู่มู่ยังวิเคราะห์ดูเครื่องประดับเงิน ตั้งแต่เล็กเขาก็ชอบเครื่องประดับที่ทำด้วยเงิน ไม่ชอบเครื่องประดับทอง ไข่มุก คริสตัล เขา หลงรักเครื่องประดับเงินอย่างเดียว ในวงการนี้ไม่ใช่ความลับอะไร คนที่อยู่ข้างในต่างก็รู้ อู่เหมยก็รู้เช่นกัน ตอนนี้เองเธอก็นึกขึ้นมาได้
“วันนี้ฉันไปเดินเล่นที่หนานสุ่ย ก็เลยเลือกมาสี่ชิ้น คุณดูสิ ที่ฉันใส่เองอยู่นี่ สวยมั้ย?”
อู่เหมยชูข้อมือขึ้นไปมา กำไลมืออันสวยงามบนข้อมือก็ดึงดูดสายตาของสยงมู่มู่ ถึงแม้สามชิ้นนั้นที่อยู่บนโต๊ะจะสวย แต่เหมาะกับผู้หญิงใส่ เขาใส่คงไม่ค่อยจะเหมาะ อันที่อยู่บนข้อมือของอู่เหมยดีกว่า ผู้หญิงผู้ชายก็ใส่ได้
“กำไลมือวงนี้เธอต้องให้ฉันแล้วล่ะ ผู้หญิงใส่กำไลมือใหญ่ขนาดนี้ทำไม? แล้วก็ไม่สนใจว่า ขูดแขนแล้วจะเจ็บ”
สยงมู่มู่ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ดึงข้อมืออู่เหมยไว้ ถอดกำไลของเธอออก รอให้อู่เหมยดึงข้อมือกลับ กำไลมือก็ไปอยู่บนข้อมือของสยงมู่มู่แล้ว ไอ้คนนี้ยังสะบัดมือหลงระเริงดีใจอีก ท่าทางเหมือนอยากโดนต่อย
“สยงมู่มู่ เธอเอากำไลคืนฉันมานะ เธอเป็นผู้ชายใส่กำไลมือไปทำไม เอาคืนฉันมาเดี๋ยวนี้!” อู่เหมยโมโหจนกระโจนเข้าหาเขา อยากจะเอากำไลมือคืน
“กฎหมายระบุว่าผู้ชายห้ามใส่กำไลมือเหรอ? แต่อีกไม่นานเธอก็ต้องเรียกฉันว่าพี่แล้ว กำไลนี้ถือเสียว่าเป็นของขวัญการพบกันของเธอแล้วกันนะ ฉันไม่คืน “สยงมู่มู่ยกมือขึ้นสูง อู่เหมยเอื้อมยังไงก็เอื้อมไม่ถึง
……………………………………………………..
ตอนที่ 263 ความชอบของฝ่ายรับ
อู่เหมยกระโดดแย่งคืนมาหลายครั้งก็แย่งคืนมาไม่ได้ เหนื่อยจนหายใจหอบ อู่เหมยโมโห พูดว่า “สยงมู่มู่ แต่พี่เป็นผู้ชาย พี่จะใส่กำไลมือเหมือนหญิงได้ยังไงล่ะ? พี่รีบคืนฉันมานะ ถ้าพี่อยากได้ของขวัญ ฉันจะเอาอย่างอื่นให้”
ตอนนี้สยงมู่มู่อายุยังน้อย หากชี้นำได้ถูกต้องทันเวลา คงจะแก้ไขความคิดที่ผิดปกติของเขาได้ทัน จะได้ไม่เหมือนกับชาติที่แล้วที่บังเอิญไปชอบผู้ชาย จนเป็นผลร้ายกับตัวเอง
อู่เหมยจำได้ว่าเมื่อก่อนเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับรักร่วมเพศ ไม่ว่าจะเป็นรุกหรือรับ โดยเฉพาะฝ่ายรับ จะชอบใส่เครื่องประดับเป็นพิเศษ แต่งตัวงามหยาดเยิ้ม เย้ายวนยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก
ดูแล้วตอนนี้สยงมู่มู่ในเวลานี้ มีแนวโน้มออกไปทางฝ่ายรับ ผู้ชายปกติจะมาแย่งกำไลมือกับผู้หญิงได้อย่างไร?
ถึงแม้จะใส่เครื่องประดับ ก็ควรจะเป็นสไตล์เถื่อนดิบสิ!
ไม่ได้ ไม่ได้ เธอต้องยับยั้งความคิดที่ไม่ดีอย่างนี้ของสยงมู่มู่ที่กำลังจะเกิดขึ้น จะปล่อยให้เขากลายเป็นฝ่ายรับไม่ได้เป็นอันขาด แค่นึกถึงว่าสยงมู่มู่ยกสะโพกขึ้น อยู่ใต้เรือนร่างของชายคนหนึ่งร้อง ครางว่าอย่าหยุดหยุด โอ๊ย โอ๊ย!
อู่เหมยตัวสั่นด้วยความสยิว รู้สึกไม่ดีกับตัวเอง น่าขยะแขยงมาก เลวร้ายเกินไปที่จะคิดอีก!
“ นี่ เธอคิดอะไร? ท่าทางแปลกประหลาด!” สยงมู่มู่รออยู่นาน ไม่เห็นอู่เหมยส่งเสียง จึงตบเธออย่างแรง
อู่เหมยจ้องเขาด้วยสายตาเกลียดชัง หน้าบูดบึ้ง แย่งกำไลมือของเธอแล้วยังตบเธออีก เธอเห็นว่าสยงมู่มู่ไม่สนใจ จึงกระโจนเข้าใส่อยากจะแย่งกำไลมือคืนมา แต่ไอ้คนนี้ปฏิกิริยาเร็วมาก ปกป้องกำไลมือไว้อย่างหวงแหน
“บอกแล้วไง ว่าจะเอาของขวัญอย่างอื่นให้ ไอ้ขี้ขโมย!”
“งั้นบอกฉันมาก่อนจะเอาอะไรให้ฉัน?” สยงมู่มู่ถาม
อู่เหมยชะงักไป เดิมทีเธอไม่คิดจะให้ของขวัญสยงมู่มู่ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะถูกถาม ยังคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าจะให้อะไรดี คิดอยู่นาน เธอพูดตะกุกตะกัก “ถ้าอย่างนั้นฉันให้ภาพวาดหนึ่งภาพแล้วกัน ฉันวาดเอง”
สยงมู่มู่มองเธออย่างเฉยเมย กล่าว “ฉันเอาภาพวาดนั้นของเธอไปจะมีประโยชน์อะไร? เช็ดก้นก็ยังแข็งเกินไป”
อู่เหมยอึดอัด ทำอะไรไม่ถูก ขี้เกียจจะมองไอ้บ้านี่อีกแล้ว คิดว่าเดี๋ยวสักพักจะไปถนนหนานสุ่ยเลือกกำไลมือสวย ๆ สักอันกลับมา
เธอเอาเครื่องประดับเงินที่ล้างสะอาดสามชิ้นใส่ลงในกล่องอย่างระมัดระวัง เก็บลงในลิ้นชัก นอกจากนี้เธอยังวาดภาพหนึ่งภาพ เป็นของขวัญเดิมที่เตรียมไว้อยู่แล้ว
ฉันไม่โลภมาก กำไลมือวงเดียวก็พอแล้ว ของพวกนี้เธอไม่ต้องให้ฉันหรอก” สยงมู่มู่พูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
อู่เหมยกรอกตาใส่เขา “อันนี้จะให้อาสยงกับน้าเจ้า นายฝันไปเถอะ!”
สยงมู่มู่ยักคิ้ว แล้วถามอีก “เมื่อตะกี้เธอบอกว่าจะให้ภาพวาดฉัน อย่าลืมสิ เธอวาดภาพเทพธิดาดอกไม้หนึ่งชุดให้ฉันสิ”
“เธอบ่นว่าภาพวาดของฉัน แข็งกว่ากระดาษเช็ดก้นไม่ใช่หรือ” อู่เหมยยังคงอารมณ์ไม่ดี
สยงมู่มู่พูดอย่างพอใจ “ยัดใส่ก้นมันแข็งไปหน่อย เช็ดกำแพงกำลังพอดี”
โมโหขึ้นมาอีก อู่เหมยหยิบภาพแล้วเดินออกไป ไม่อยากสนใจไอ้คนน่ารำคาญที่พูดจาไม่เข้าหูแบบนี้ เครื่องประดับเงินสามอันนั้นเธอไม่ได้ถือขึ้นไปด้วย รอให้ค่ำก่อนค่อยเอาไปให้ ป้องกันอู่เจิ้งซือเห็น แล้วจะอธิบายยาก
สยงมู่มู่สะบัดมือ มองกำไลมือที่เปล่งประกายด้วยความพอใจ หัวเราะ เดินก้าวขายาวตามไป
สิ่งที่ทั้งสองคนไม่รู้คือ การสนทนาของพวกเขาเมื่อสักครู่นี้ อู่เยวี่ยที่อยู่ห้องรับแขกได้ยินชัด เธอผลักประตูห้องนอนอู่เหมยแล้วเปิดลิ้นชัก
………………………………………………….
ตอนที่ 264 รับเป็นพ่อแม่บุญธรรมอย่างเป็นทางการ
อู่เหมายเพิ่งจะเข้ามาบ้านตระกูลสยง เหอปี้อวิ๋ยก็บ่นว่า “ทำไมนานอย่างนี้? ไม่รู้เหรอว่าทุกคนรอเธออยู่?”
เจ้าอิงหนานอมยิ้ม มองเหอปี้อวิ๋นอย่างไม่มีพิรุธ พูดว่า “ ไม่รีบ ครูเหอนิสัยใจร้อนเกินไปแล้ว เมื่อก่อนฉันไม่เคยรู้เลยว่าครูเหอจะนิสัยใจร้อน!”
อู่เจิ้งซือมองเหอปี้อวิ๋นอย่างไม่พอใจ เตือนเธอว่าไม่อนุญาตให้พูดอีก เหอปี้อวิ๋นปิดปากเงียบด้วยความโกรธแค้น จ้องอู่เหมยอย่างมีเลศนัย ยังคิดว่าคนอื่นไม่เห็น กลับไม่รู้ว่าการเคลื่อนไหวของเธอ ล้วนอยู่ในสายตาของสองสามีภรรยาเจ้าอิงหนาน แอบไม่เห็นด้วยอยู่ในใจ
สยงมู่มู่เดินตามเข้ามา พูดจาเสียงดัง “ ผมรั้งเหมยเหมยคุยอยู่พักหนึ่ง คุณอาเหอตำหนิผมเถอะครับ!”
เหอปี้อวิ๋นหัวเราะด้วยความอึดอัด “จะตำหนิมู่มู่ได้อย่างไรเล่า อาก็พูดไปอย่างนั้นเอง มู่มู่กับเหมยเหมยก็เล่นด้วยกันได้!”
“ใช่ครับ หากเล่นด้วยกันไม่ได้ผมจะคุยกับเหมยเหมยทำไม? คนที่ไม่ชอบ แทบไม่อยากจะสนใจเสียด้วยซ้ำ”
น้ำเสียงและท่าทางของสยงมู่มู่นั้นมีมารยาทมาก ไม่มีความผิดปกติสักนิดเดียว แต่คำพูดที่พูดออกมานั้นเหมือนกับเหน็บแนม ฟังยังไงก็ไม่สบายใจ ทำให้เหอปี้อวิ๋นโกรธแทบตาย
เยวี่ยเยวี่ยของเธอทั้งสวย ทั้งฉลาด ทั้งมีความสามารถ ทั้งเชื่อฟัง แต่ไอ้เด็กนี่ไม่แม้แต่จะสนใจ กลับไปขลุกอยู่กับอู่เหมยทั้งวัน ช่างรสนิยมแย่ ๆ เหมือนกันจริง ไม่มีอะไรดีสักอย่าง!
สยงมู่มู่สะบัดข้อมือ ยื่นอวดเจ้าอิงหนาน แล้วพูดอวด “เหมยเหมยให้กำไลมือผม สวยไหมครับ?”
เจ้าอิงหนานก็ชอบเครื่องประดับเงิน โดยเฉพาะเครื่องประดับเงินเหล่านั้นของหมู่บ้านเหมียว ชอบมาก สยงมู่มู่ได้รับอิทธิพลจากเธอมาตั้งแต่เด็ก มีความหลงใหลในเครื่องประดับเงินของหมู่บ้านเหมียว เจ้าอิงหนานพอมองกำไลมือที่สยงมู่มู่ใส่ก็ถูกใจ ตาเป็นประกาย ดึงมือของลูกชายแล้วก็เอากำไลมือมาใส่เอง
“โอ๊ย แม่กินยาชูกำลังมาเหรอ? ไม่ต้องยัดแล้ว หนังถลอกหมดแล้ว!”
สยงมู่มู่ร้องดังจนโอเวอร์ สองแม่ลูกส่งเสียงดัง แต่มีความสุข บ้า ๆ บอ ๆ อู่เจิ้งซืออดขมวดคิ้วไม่ได้ คนเป็นแม่ทำตัวไม่เหมือนผู้ใหญ่ คนเป็นลูกก็ทำตัวไม่เหมือนเด็ก ตระกูลสยงนี้ช่างไม่มีระเบียบเอาเสียเลย
พ่อสยงอธิบายด้วยรอยยิ้ม “อิงหนานกับมู่มู่นิสัยจริง ๆ เป็นอย่างนี้ เอะอะเสียงดังตั้งแต่เล็กจนโต ผมเลี้ยงลูกสองคนนี้!”
ถึงแม้จะปากจะบ่นว่าเบื่อหน่าย แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็อธิบายถึงความสุขและความพึงพอใจของชายคนนี้ อู๋เหม่ยรู้สึกหดหู่มาก ไม่น่าแปลกใจเจ้าอิงหนานที่อายุไล่เลี่ยกับเหอปี้อวิ๋น แต่ดูเด็กกว่าเหอปี้อวิ๋นสิบปี เหมือนกับหญิงสาวอายุยี่สิบแปด เห็นได้ชัดว่าเจ้าอิงหนานมีความสุข เพราะว่าเธอมีสามีที่รักและเอ็นดูเธอเหมือนกับเด็ก
อู่เจิ้งซือยิ้มเจื่อน ๆ ไม่เข้าใจกับคำพูดของพ่อสยง ไม่มีระเบียบกฎเกณฑ์ ผู้ใหญ่ก็ต้องวางตัวแบบผู้ใหญ่ เสียงดังเหมือนเด็ก ไม่เหมาะสมเลย ทว่านี่เป็นเรื่องของครอบครัวคนอื่น เขาไม่อยากจะพูดอะไรมาก
เหอปี้อวิ๋นกลับอิจฉาอย่างยิ่ง น่าจะพูดว่าไม่มีผู้หญิงคนไหน ไม่อิจฉาชีวิตของเจ้าอิงหนาน เธอมองอู่เจิ้งซืออย่างเศร้าใจ ความเจ็บปวดในใจ จนฟันกรามหลังปวดไปหมด
หากอู่เจิ้งซือปฏิบัติกับเธอได้ครึ่งหนึ่งของพ่อสยงแล้ว เธอก็เพียงพอแล้ว
ไม่นานปู่เหยียนก็มา เหยียนหมิงซุ่นก็เดินมาด้วย ภายใต้ปู่ที่เป็นประจักษ์พยาน อู่เหมยก็เรียกว่า พ่อบุญธรรม แม่บุญธรรม แต่ยังไม่ยอมเรียกว่าพี่สยงมู่มู่ ทำให้สยงมู่มู่สนุกจนแบะปาก
“นี่คือของขวัญสำหรับการพบกัน มอบให้เหมยเหมย ไม่มีสิ่งของดี ๆ ติดตัวมา เดี๋ยวรอแม่บุญธรรมกลับมาจากเมืองหลวงค่อยให้นะ!”
สิ่งที่เจ้าอิงหนานให้คือ กำไลหยกที่เธอใส่อยู่ตลอด มันเป็นสีขาวละเอียด พอเห็นก็รู้ว่าคือหยกมันแพะที่ดีที่สุด ไม่ใช่ของธรรมดาที่เจ้าอิงหนานพูดแน่นอน
……………………………………………………………….
ตอนที่ 265 กำไลมือที่ล้ำค่า
อู่เหมยได้ศึกษาเกี่ยวกับเครื่องประดับหยกมาบ้าง ในอดีตชาติเหมยซูหานไม่เคยปฏิบัติต่อเธออย่างขาดตกบกพร่อง เธออยากซื้ออะไรก็ซื้อ เธอไม่ชอบสิ่งของอย่างอื่น แต่เครื่องประดับเธอซื้อมาเยอะแล้ว เธอดูออกคร่าวๆ ตั้งแต่แรก และคืนกำไลมือให้เจ้าอิงหนาน
“แม่บุญธรรมคะ กำไลมืออันนี้ไม่เหมาะกับหนู แม่บุญธรรมใส่สวยกว่า ยกอย่างอื่นให้หนูเถอะคะ ?” อู่เหมยพูดอมยิ้ม
เหอปี้อวิ๋นสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย บ่นเบาๆ “เหมยเหมยเมินเฉยของขวัญที่ผู้ใหญ่มอบให้ได้อย่างไร แม่สอนลูกว่ายังไง ไม่มีมารยาทเอาเสียเลย”
เธอไม่รู้ว่ากำไลมือวงนั้นของเจ้าอิงหนานมีค่าเพียงใด จากที่เธอดู เธอดูแล้วก็เป็นแค่กำไลหยกธรรมดาเท่านั้นเอง ห้า หยวนก็แพงสุดแล้ว
ช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนเมื่อสองปีก่อน โรงเรียนของเธอจัดให้ครูทั้งโรงเรียนไปเที่ยวต่างจังหวัด ภายในเขตที่มีทัศนียภาพสวยงามก็จะมีกำไลหยกขาย วงละสองหยวน เธอซื้อมาสองวง อู่เยวี่ยกับเธอคนละวง ดูแล้วยังสวยกว่ากำไลมือวงนี้ของเจ้าอิงหนานเสียอีก ห้าหยวน หรือว่าเธอพูดเกินราคาขึ้นไปอีกนะ!
สิ่งที่สยงมู่มู่ทนดูไม่ได้มากที่สุดคือ เหอปี้อวิ๋น เมื่อได้ยินอย่างนั้นก็รีบพูดขึ้นมาทันที “อาเหอดูยังไงว่า เหมยเหมยเมินเฉย กำไลมือของแม่ผม เห็น ๆ อยู่ว่าเหมยเหมยกล่าวชมกำไลมือ!
เหอปี้อวิ๋นสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติ ยิ้มเขินๆ ไอ้เด็กคนนี้ช่างไร้มารยาทจริง ๆ หากเป็นลูกของเธอ คงจัดการไปตั้งนานแล้ว
“เมื่อก่อนฉันคิดว่ามู่มู่พูดน้อย คิดไม่ถึงว่าเขาจะนิสัยร่าเริงขนาดนี้”
เหอปี้อวิ๋นโมโหจริง ๆ อดไม่ได้ที่จะพูดจากระทบกระเทียบ ว่าสยงมู่มู่เอะอะโวยวายเหมือนกับบรรดาหญิงแก่
อาการยิ้มที่ใบหน้าของเจ้าอิงหนานหายไปเล็กน้อย พูดเสียงเรียบ “มู่มู่ของเราปกติก็เป็นคนร่าเริง แต่ต้องดูว่า คนที่ไม่ชอบ มู่มู่ไม่แม้แต่จะมอง ยิ่งไม่ต้องพูดเลยว่าจะคุย เมื่อเวลาผ่านไปนาน คนนอกก็แค่รู้สึกว่ามู่มู่ของเรามีนิสัยเก็บตัว
เจิ้งซือเอินฟังออกถึงความไม่พอใจของเจ้าอิงหนาน ถึงแม้ว่าเขาก็รู้สึกว่าสยงมู่มู่จะเสียมารยาทจริง ๆ แต่ลูกชายของบ้านอื่น จะไม่สนใจทำไม?
ทำไมต้องทำให้พ่อแม่คนอื่นไม่พอใจด้วย?
เขาหันกลับไปจ้องเหอปี้อวิ๋นอย่างซ่อนเร้นอีกครั้ง ในช่วงเวลานี้ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เหอปี้อวิ๋นยิ่งโง่เขลา ไม่รู้จักพูด เห็น ๆ อยู่ว่า ตอนเป็นวัยรุ่นไม่ใช่นิสัยอย่างนี้
ไม่น่าแปลกใจที่เจี่ยเป่าอวี้ชอบแต่สาวสวยที่อายุสิบห้าสิบหกปี สิ่งน่ารำคาญที่สุดคือภรรยา แม้แต่มองก็รู้สึกว่าแปดเปื้อนดวงตา แม้ว่างานเขียนของคุณเฉาจะเกินจริงไปบ้าง แต่ก็คือความจริง
เหอปี้อวิ๋น ก็คือตัวอย่างที่เป็นจริงไม่ใช่เหรอ?
อายุยิ่งมาก
แต่จิตใจยิ่งคับแคบ หนักใจกับสิ่งต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น ช่างทำให้คนเกิดอาการเอียนจริง ๆ
เจ้าอิงหนานไม่ได้เก็บเอากำไลมือคืน ยังคงให้อู่เหมย พูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นที่สงสัย “ตอนนี้ไม่เหมาะสมที่จะใส่ก็เก็บเอาไว้ก่อน ต่อไปโตเป็นผู้ใหญ่ค่อยใส่”
“แม่บุญธรรมคะ สิ่งนี้มันมีค่าเกินไป หนูกลัวว่าจะไม่ระวังแล้วทำเสียหาย ถ้าอย่างนั้นแม่บุญธรรมให้ของไม่มีค่าแก่หนูเถอะค่ะ?” อู่เหมยเกรงใจมาก
เจ้าอิงหนานเลิกคิ้ว คิดไม่ถึงว่าอู่เหมยจะมองกำไลนี้ออก สายตาแหลมคมยิ่งกว่าผู้ใหญ่บางคน ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้ไปเรียนมาจากไหน เห็นท่าทางที่โง่เขลาของสองสามีภรรยาอู่เจิ้งซือ พวกเขาเองต่างก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ เป็นไปไม่ได้ที่จะสอนยายเด็กนี่
ถึงจะมีค่ายังไงก็เป็นแค่ของนอกกาย หากเสียหายแล้วแม่บุญธรรมค่อยเอาให้หนู
เจ้าอิงหนานเอากำไลมือสวมลงบนข้อมือของอู่เหมยโดยไม่สนใจ ข้อมือขาวนวลเหมาะกับกำไลมือ สวยจนพูดไม่ออก เพียงแต่ว่ากำไลมือใหญ่ไปนิดหน่อย
“เหมยเหมยใส่แล้วสวยมาก สวยเหมือนกับที่คุณแม่ใส่เลย” สยงมู่มู่ชมเสียงดัง อวยเจ้าอิงหนานจนจิตใจเบิกบาน และมองไปทางอู่เหมยด้วยสายที่อ่อนโยนมากขึ้น
เหยียนหมิงซุ่นมองสยงมู่มู่ ไอ้เด็กนี่ช่างปากหวานนัก ไม่แปลกใจเลยที่สามารถหลอกยายเด็กโง่จนสับสนไปหมด
แต่ว่ากะล่อนเกินไปหน่อย ต่อไปต้องบอกยายเด็กโง่ให้ระวังสยงมู่มู่ อย่าหลงกลจนถูกหลอก
———————————————————————————————————————————
ตอนที่ 266 เหอปี้อวิ๋นที่ยิ่งแก่ยิ่งโง่เขลา
อู่เจิ้งซือเมื่อฟังน้ำเสียงของเจ้าอิงหนาน ก็รู้ว่ากำไลมือที่เหมือนจะธรรมดาวงนี้ ไม่ใช่ของธรรมดา เมื่อครุ่นคิดเกี่ยวกับวงศ์ตระกูลของเจ้าอิงหนานอีกครั้ง เขาอดไม่ได้ที่จะหงุดหงิดเล็กน้อย คนอย่างเจ้าอิงหนานจะมาใส่ของธรรมดาได้อย่างไร?
นึกไม่ถึงว่าเขายังไม่เข้าใจลูกสาวคนเล็กซึ่งไม่สมควรอย่างยิ่ง
อู่เจิ้งซือก็ไม่พูดอะไรอีก แอบดีอกดีใจอยู่ในใจเงียบๆ ที่เว่ยชิวเย่เป็นคนเตรียมของขวัญรับญาติบุญธรรม เว่ยชิวเยวี่ยฝากเพื่อนร่วมชั้นที่ทำงานในห้างสรรพสินค้าซื้อชุดเครื่องนอนไหมผ้าไหมแท้หนึ่งชุด คุณภาพดีแน่นอน นอกจากนี้ยังมีเหล้าเหมาไถสองขวด บุหรี่ต้าจงหวาหนึ่งห่อ แค่ของขวัญเหล่านี้ก็ใช้เงินเดือนของเขาไปเกินครึ่งเดือนแล้ว ทว่าสินค้าหรูหรา ทันสมัย ไม่ทำให้อู่เจิ้งซือเสียหน้า
ถ้าหากให้เหอปี้อวิ๋นไปจัดการ เขาใช้นิ้วเท้าคิดก็คิดออก ซื้อตามสเปคสูงที่สุด อย่างดีที่สุดคือนมผงผสมมอลต์หนึ่งกระป๋อง ผลไม้กระป๋องสองกระป๋อง อาจจะซื้อเหล้าอีกหนึ่งขวด นี่ยังต้องดูว่าเหอปี้อวิ๋นอารมณ์ดีหรือไม่
ของขวัญเหล่านี้มอบให้คนอื่นไม่มีปัญหาอะไร แต่จะมอบเป็นของขวัญให้คนอย่างเจ้าอิงหนานได้เหรอ?
ไม่เห็นว่า กำไลมือที่เจ้าอิงหนานมอบให้เหมยเหมยนั้นจะเป็นของธรรมดา!
มาคิดดูแล้ว เงินเดือนหนึ่งเดือนของเขาคงซื้อไม่ได้?
เหอปี้อวิ๋นยิ้มเยาะอยู่ในใจ สำหรับคำพูดของเจ้าอิงหนาน ไม่เข้าใจว่าเป็นเช่นนั้น จะมีค่ามากแค่ไหนกันเชียว? อย่างมากสุดก็สิบหยวน พูดแล้วยังไงเสียบ้านของเธอที่ขาดทุน พี่อู่ เจ้าคนฟุ่มเฟือย คาดไม่ถึงที่ให้เว่ยชิวเยวี่ยไปซื้อของขวัญ ผู้หญิงคนนี้จะสามารถซื้อของดีอะไร?
ชุดเครื่องนอนผ้าไหมแท้ เหล้าเหมาไถ ต้าจงหวาอีก?
เป็นแค่การรับญาติบุญธรรมเท่านั้น ต้องซื้อของดีขนาดนี้เหรอ? เจตนาของเว่ยชิวเยวี่ยก็คือคิดจะถลุงเงินบ้านเธอนะสิ หน้าด้านจริง ๆ หลอกพี่อู่ของเธอจนหัวหมุน เธอโมโหมาก!
เหอปี้อวิ๋นหันไปมองที่ของขวัญบนพื้นอีกครั้ง เจ็บจี๊ดในใจ ของเหล่านั้นล้วนคือเงินของเธอทั้งนั้น ตอนนี้กลับเสียเปรียบเจ้าอิงหนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังทำเพื่ออู่เหมย ยายตัวดี ถ้าหากเป็นการรับเยวี่ยเยวี่ยเป็นลูกบุญธรรมก็ว่าไปอย่าง!
“กำไลมือนี้สวยจริง ๆ ฉันก็มีแค่กำไลมือ ซื้อมาวงละสองหยวน ของครูเจ้าวงนี้กี่หยวนคะ?”
ในที่สุดเหอปี้อวิ๋นก็ทนไม่ไหว รู้ทั้งรู้ว่าถามเช่นนี้เป็นการเสียมารยาท แต่เธอไม่พอใจ ก็เลยอยากจะเสียมารยาทต่อหน้าความภูมิฐานของจ้าวหยิงหนาน ใครปล่อยให้ผู้หญิงคนนี้ ไม่ไว้หน้าเธอหลายต่อหลายครั้ง
อู่เจิ้งซือสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย หันไปจ้องเหอปี้อวิ๋นอย่างขุ่นเคือง เหอปี้อวิ๋นไม่มองเขาเลยสักนิด เธอไม่เพียงแต่มีอคติกับเจ้าอิงหนานเท่านั้น สำหรับอู่เจิ้งซือแล้วยิ่งอัดอั้นตันใจเต็มหัวใจ คุมอำนาจในการดูแลบ้านของเธอ ใจร้ายยิ่งกว่าฆ่าเธอเสียอีก ทำไมเธอจะไม่โมโห!
เจ้าอิงหนานไม่โกรธกลับยิ้ม พูดยิ้มเยาะ “ฉันคงเทียบไม่ได้กับสิ่งล้ำค่าของครูเหอ ไม่ใช้สักสตางค์เดียว ไร้ค่า”
ช่วงนี้สมองของเหอปีอวิ๋นไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ คาดไม่ถึงว่าจะฟังคำพูดของเจ้าอิงหนานไม่ออก สายตาที่ดูถูกเหยียดหยามก็ปิดไว้ไม่มิด แล้วยังหันไปมองของขวัญที่มุมกำแพงอีก สิ่งของไร้ค่า ก็หลอกสิ่งของดี ๆ ของบ้านเธอตั้งมากมาย แผนการนี้ช่างแยบยลเสียจริง
มิน่าถึงได้บอกว่ายิ่งมีเงินยิ่งขี้เหนียว เห็น ๆ กันอยู่ว่าเจ้าอิงหน้าไม่ขาดแคลนเงิน กลับให้กำไลมือที่ไร้ค่า แม้ว่าจะให้สร้อยทองก็ยังดีกว่าของสิ่งนี้ ถึงอย่างไรเสียก็สามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้บ้าง
“เหมยเหมยพูดถูก กำไลนี้พอกระแทกก็หักแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นครูเจ้าเปลี่ยนเป็นสร้อยทองสิ อันนั้นตกไม่แตก” เหอปี้อวิ๋นอวดดีว่าตนเองฉลาด แต่ซ่อนแผนร้ายในสายตาเอาไว้ไม่อยู่ หันไปมองสร้อยทองที่แวววาวบนข้อมือเจ้าอิงหนาน
เมื่อวานเจ้าอิงหนานยังไม่ได้ใส่สร้อยทองที่ข้อมือ คิดว่าคงจะให้กำไลหยก จึงเปลี่ยนเป็นใส่สร้อยทองแทน งานละเอียดประณีตเป็นอย่างยิ่ง พอมองดูก็รู้ว่าราคาแพง อย่างไรก็ตามในสายตาของเหอปี้อวิ๋น สร้อยทองเส้นนี้ก็มีค่ากว่ากำไลหยกขาวนี้
……………………………………………………
ตอนที่ 267 ให้เหอปี้อวิ๋นอ่านหนังสือเยอะๆ
เมื่อเห็นหน้าตาที่ไร้ยางอายราวกับครอบครัวที่ตกอับของเหอปี้อวิ๋น อู่เจิ้งซือแทบจะกระอักเลือดออกมา เขาข่มความโกรธเอาไว้ พูดด้วยสีหน้าโกรธแต่เสียงขรึม “เยวี่ยเยวี่ยอยู่บ้านคนเดียว ปี้อวิ๋นกลับไปก่อนเถอะ คุณไม่ต้องขึ้นมาอีกแล้วล่ะ”
หากยังไม่ได้สร้อยทอง เหอปี้อวิ๋นจะยอมตัดใจกลับบ้านเสียที่ไหน จังหวะที่เธอกำลังจะปฏิเสธ แต่หันไปเห็นดวงตาที่เคร่งเครียดของอู่เจิ้งซือ แววตาที่อยู่ด้านหลังม่านตานั้นไม่เหมือนกับความอ่อนโยนก่อนหน้านี้ ที่สดใสเป็นพิเศษ ราวกับกลุ่มไฟกำลังลุกไหม้ เธอแต่งงานกับอู่เจิ้งซือมาสิบห้าสิบหกปีแล้ว ยังไม่เคยเห็นอู่เจิ้งซือมีท่าทางเช่นนี้ แม้ว่าเมื่อก่อนจะโกรธขนาดไหน ดวงตาของเขายังคงอ่อนโยน
ถึงตอนนี้แล้ว เหอปี้อวิ๋นจึงตระหนักได้ว่าตัวเองทำผิดอะไร ทำไมทำเรื่องยุ่งเหยิงนอกบ้านได้?
อู่เจิ้งซือให้ความสำคัญกับหน้าตาที่สุด เมื่อครู่นี้เธอขอสร้อยข้อมือทองตรงๆ แบบนั้นกับจ้าวอิงหนาน ไม่แปลกเลยที่อู่เจิ้งซือจะโมโห!
เธอตกใจสะดุ้งจนตัวสั่น พลันรู้สึกเสียใจขึ้นมา สำนึกผิดจนคิดอยากจะกัดลิ้นของตัวเอง เมื่อตะกี้นี้ทำไมถึงไม่อดทน? แม้ว่าอยากจะเอาคืน แต่ก็รอตอนที่อู่เจิ้งซือไม่อยู่ก็ได้!
“งั้นฉันกลับล่ะ คุณอู่ก็อย่าดื่มเยอะนักนะ!”
เหอปี้อวิ๋นได้สติกลับคืนมา จะกล้าขัดคำสั่งอู่เจิ้งซือที่ไหนกัน ได้แต่รับปากอย่างเชื่อฟัง มองดูของขวัญที่มุมห้องอย่างไม่เต็มใจแล้วยอมตัดใจ ยังมีเวลาอีกนาน เธอไม่กลัวหากกลับมาแล้วจะมีผลดี อย่างน้อยก็ให้จ้าวอิงหนานช่วยโยกย้ายเธอไปสอนชั้นมัธยมต้น ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาเธอไม่เคยทำธุรกิจที่ขาดทุน
รอเหอปี้อวิ๋นไปแล้ว อู่เจิ้งซือรู้สึกโล่งใจ แต่สีหน้ายังคงร้อนผ่าวนิดหน่อย เขาฝืนยิ้มแล้วพูด “ปี้อวิ๋นเธอพูดไม่ค่อยเก่ง ครูจ้าวอย่าไปทะเลาะกับเธอที่มีความรู้น้อยเลยครับ”
จ้าวอิงหนานยิ้ม เธอไม่ทะเลาะกับเหอปี้อวิ๋นที่มีความรู้น้อยแน่นอน เพราะว่าผู้หญิงที่พูดจาไม่รู้เรื่องนั้น ไม่อยู่ในสายตาของเธอ พูดจาไร้สาระแล้วเกี่ยวอะไรกับเธอ?
ตั้งแต่เหอปี้อวิ๋นส่งเสียงจนถึงตอนนี้ ปู่เหยียนคิ้วขมวดแน่นมาตลอด เขาเก็บซ่อนอารมณ์ไว้โดยไม่เปลี่ยนแปลง สำหรับความหยาบคายของเหอปี้อวิ๋นนั้น เห็นแล้วขัดหูขัดตาจริงๆ ไม่รู้ว่าชื่อเสียงที่ดีตอนสมัยก่อนของเหอปี้อวิ๋นนั้นออกมาได้อย่างไร?
คนเหล่านั้นล้วนตาบอดอย่างนั้นหรือ?
“เจิ้งซือ ต่อไปต้องให้เสี่ยวเหออ่านหนังสือเยอะๆ หน้าที่ของเราในฐานะครูคือสอนหนังสือให้ความรู้ จะสอนนักเรียนให้ดีได้อย่างไร หากตัวเองไม่มีข้อมูลใดๆ และต้องรู้สึกผิดสำหรับค่าจ้างที่ประเทศจ่ายพวกเราด้วย” คุณปู่เหยียนพูดอ้อมค้อม แต่ในความหมายนั้น หากไม่ใช่คนโง่อย่างไรก็ฟังเข้าใจ
ไม่เกินที่คาดไว้ คุณปู่เหยียนอยากจะพูดว่าการศึกษาและวิชาความรู้ของเหอปี้อวิ๋นต่ำเกินไป ไม่คู่ควรที่จะเป็นครูของประชาชนอันทรงเกียรติ
อู่เจิ้งซืออับอายจนหน้าร้อนผ่าว ความรู้สึกเอือมระอาต่อเหอปี้อวิ๋นยิ่งมีมากขึ้น เป็นครั้งแรกที่เขาสำนึกผิด เขาเสียใจที่ในปีนั้นเขาไม่ฟังคำแนะนำของพ่อแม่ พี่ชาย และพี่สะใภ้ ที่แต่งงานกับผู้หญิงขี้เหนียวอย่างเหอปี้อวิ๋น ซึ่งทำให้เขาเสียหน้ามาก
“คุณเหยียนพูดถูก ผมต้องให้เหอปี้อวิ๋นอ่านหนังสือเยอะๆ แน่นอน” อู่เจิ้งซือตอบรับอย่างนอบน้อม
พ่อสยงเห็นว่าบรรยากาศไม่ดี รีบออกมาไกล่เกลี่ย หัวเราะเอิ๊กอ๊ากแล้วเอ่ย “วันนี้เป็นวันดี คุณเหยียน ครูอู่ พวกเราดื่มกันเยอะๆ เถอะ ไม่เมาไม่กลับนะ!”
“ความคิดนี้ไม่เลว เอาเหล้าเหมาไถสองขวดที่ครูอู่มอบให้มาดื่มให้หมด!” จ้าวอิงหนานยังกังวลใจกับเหอปี้อวิ๋น คุณคงปวดใจแย่เลย แต่คุณคงไม่เสียดายหรอกนะ ถ้าอย่างนั้นก็มาดื่มเหล้าที่ครอบครัวคุณให้มาแล้วกัน
เดิมทีอู่เจิ้งซืออยากจะปฏิเสธข้อเสนอที่ไม่เมาไม่กลับ แต่พอได้ยินคำพูดของจ้าวอิงหนาน ก็พูดคำนี้ไม่ออกเสียแล้ว แอบซ่อนความเกลียดเหอปี้อวิ๋นที่ปล่อยไก่ขายขี้หน้า จำใจต้องยิ้มรับเท่านั้น “หากว่าสองขวดยังไม่พอ บ้านผมยังมีสองขวด กลัวว่าครูสยงจะกินไม่ไหวน่ะสิ!”
……………………………………………………
ตอนที่268 อู่เจิ้งซือที่โง่เขลา
ครูสยงหัวเราะแหะๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เจตนาระบายความแค้นให้ภรรยา จงใจพูดยั่วอู่เจิ้งซือ “ครูอู่ไม่รู้อะไรเสียแล้ว ในปีนั้นผมกับอิงหนานไปอยู่ในชนบทที่เป่ยต้าหวง ฤดูหนาวของที่นั่นทำให้นิ้วมือแข็งได้เลย พวกเราล้วนอาศัยเหล้าขาวท้องถิ่นจึงจะผ่านความทุกข์ทรมานในฤดูหนาวได้
เหล้าขาวนั้นแรงกว่าเหล้าเหมาไถมาก หกสิบเจ็ดดีกรี พอสัมผัสประกายไฟก็เกิดลุกไหม้ได้ คุณบอกว่าผมอาจจะกินเหมาไถไม่ไหวเหรอ? อย่าว่าแต่เหล้าเหมาไถสี่ขวดเลย แม้เพิ่มอีกสี่ขวด ผมก็ยังสบายมาก กลัวแต่ว่าบ้านครูอู่เหล้าจะไม่พอน่ะสิ!”
จ้าวอิงหนานยิ้มหวานให้สามี สามีว่าอย่างไรภรรยาก็ว่าอย่างนั้น ช่วยพูดผสมโรง “ฉันกับฉูฉู่ของฉันดื่มจนเมามาย ถึงอยู่ที่เป่ยต้าหวงมาได้ตั้งห้าหกปี ครูอู่ คุณแค่ส่งเหล้าดีๆ มาก็พอ!”
ทั้งคุณปู่เหยียนและอู่เจิ้งซือต่างก็ตกใจ จ้าวอิงหนานสองสามีภรรยาแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเล่าประสบการณ์ในอดีตของพวกเขาให้คนอื่นฟัง ไม่คาดคิดว่าจะเป็นเคยสนับสนุนการสร้างเป่ยต้าหวง สถานที่แห่งนั้นไม่ใช่ว่าคนทั่วไปจะทนไหว คนที่ทนไหวล้วนเป็นตัวอย่างที่ดี
พ่อสยงเป็นผู้ชายก็แล้วไป แต่จ้าวอิงหนานเป็นหญิงสาวบอบบางคนหนึ่ง สามารถทนความยากลำบากได้ถึงห้าหกปี ไม่ธรรมดาจริงๆ
อู่เจิ้งซือไม่พอใจต่อเหอปี้อวิ๋นอีกครั้ง เขากับเหอปี้อวิ๋นต่างก็ใช้ชีวิตอยู่ในชนบทที่มณฑลเจียงซี แม้ว่าเธอใช้ชีวิตในชนบทยากลำบาก ทว่า นับตั้งแต่โบราณมา เจียงซีเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ สภาพภูมิอากาศก็ดี เหมาะกับการใช้ชีวิตมาก สภาพแวดล้อมต่างกับเมืองจินไม่มาก เมื่อเปรียบเทียบกับเป่ยต้าหวงแล้วมันคือสวรรค์
แม้ว่าเป็นเช่นนี้ เขาก็ยังรู้สึกลำบากมากในช่วงหลายปีนั้น ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าสองสามีภรรยา จ้าวอิงหนานอยู่รอดมาได้อย่างไร?
เหอปี้อวิ๋นยิ่งเรียกได้ว่าทุกข์ยากตลอด หนึ่งปีมีอย่างน้อยสองสามเดือนที่ไม่สบาย เขาเห็นว่าเธอร่างกายอ่อนแอแต่กลับปิดปากเงียบไม่พูดสักคำ เขาช่วยเหอปี้อวิ๋นทำงาน ไม่อย่างนั้นหนุ่มสาวที่มีความรู้คนอื่นๆ จะยิ่งมีความเห็นมาก
อู่เจิ้งซือไม่พอใจกับสภาพของเขาในตอนนี้มาก หลายวันมานี้ทำไมเขาถึงได้คิดถึงผู้หญิงคนนั้นตลอด?
หรือว่าเขาแก่แล้วจริงๆ ?
ว่ากันว่ามีเพียงคนแก่เท่านั้นจึงจะชอบรำลึกถึงความหลัง!
อู่เจิ้งซือสะบัดหัว พยายามไม่ให้ตัวเองคิดถึงเรื่องราวในอดีตที่ไม่สบายใจเหล่านี้ ความตรงไปตรงมาของสองสามีภรรยาจ้าวอิงหนานกระตุ้นจิตใจที่ไม่ยอมพ่ายแพ้ของเขา จึงยิ้มแล้วกล่าว “ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องขอสัมผัสความคอแข็งของพวกคุณสองสามีภรรยาสักหน่อย เหล้าที่ดีมีแน่นอน เหมยเหมย ลูกกลับไปเอาเหล้าที่อยู่ในบ้านมาให้หมด ให้พ่อแม่บุญธรรมของลูกได้สัมผัสเหล้าดีของบ้านเราสักหน่อย”
“โอ้!”
อู่เหมยตอบเสียงสดใส แต่ภายในใจไม่ยินดี เหล้าดีเหล่านั้นเป็นเหล้าที่นักเรียนเก่ามอบให้อู่เจิ้งซือ เหมาไถ อู่เหลียงเย่ ส่วนใหญ่เป็นเหล้าหรูทั้งนั้น เหอปี้อวิ๋นให้ความสำคัญราวกับแก้วตาดวงใจ แต่ของพวกนี้เป็นเครื่องมือที่ใช้โอ้อวดเวลาเธอกลับบ้านเกิด เดี๋ยวถ้าเธอเอาเหล้าดีมาหมด เหอปี้อวิ๋นต้องโมโหมาก
“พี่หมิงซุ่นคะ พี่ช่วยฉันถือหน่อยนะคะ มู่มู่เธอก็ไปด้วย เหล้าดีของพ่อฉันเยอะมาก ฉันถือมาคนเดียวไม่ไหว”
อู่เหมยดึงเหยียนหมิงซุ่นกับสยงมู่มู่ไป อู่เจิ้งซือฟังด้วยความเบิกบานใจ ไม่สามารถเก็บซ่อนสีหน้าที่ภูมิใจเอาไว้ได้ ในที่สุดเวลานี้ก็เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจจนได้ อย่าเอาแต่ปล่อยให้สองคนนี้ดูถูก ต้องให้พวกเขาเปิดหูเปิดตาสักหน่อย
“เหมยเหมยเลือกเหล้าดีๆ มานะ!” อู่เจิ้งซือกำชับเป็นพิเศษ
“พ่อคะ วางใจได้ หนูจะหยิบเหล้าที่ดีที่สุดมาแน่นอน” อู่เหมยยืดอกรับประกัน นี่ยังต้องสั่งกำชับ จะเก็บอันดีๆ ไว้ให้เหอปี้อวิ๋นได้อย่างไร?
จ้าวอิงหนานและพ่อสยงสยงกลั้นขำจนปวดท้อง รีบเข้าไปแอบหัวเราะลั่นในห้องครัว เจ้าอู่เจิ้งซือนี่โง่เขลาจริงๆ แถมยังมีอู่เหมย ลูกสาวคนนี้ที่เห็นคนนอกดีกว่า เหอปี้อวิ๋นก็เหมือนกัน ช่างน่าสงสารจริงๆ!
………………………………………………………
ตอนที่ 269 ถือมืดมาแทงหัวใจของคุณ
เหอปี้อวิ๋นกลับมาถึงบ้านด้วยความโกรธแค้น เปิดเตาเตรียมทำบะหมี่ มีเพียงเธอและอู่เยวี่ยสองคน หากทำกับข้าวก็จะสิ้นเปลืองเกินไป น้ำเพิ่งจะเริ่มเดือด อู่เหมยก็บุ่มบ่ามเข้ามา พอเห็นว่ายังมีเหยียนหมิงซุ่นและสยงมู่มู่ตามมาด้านหลังด้วย เธอก็สะดุ้งตกใจ
อู่เหมยไม่แม้แต่จะมองเธอ เดินตรงไปผลักเปิดประตูห้องของอูเยวี่ย เหล้าดีสิบกว่าขวดเหล่านั้นวางอยู่ครึ่งห้องตรงฝั่งที่เธอเคยอยู่เมื่อก่อน เธอ หยิบแค่เหล้าเหมาไถสองขวด อู่เหลียงเย่สองขวด และหงหนี่ว์เอ๋อร์หนึ่งไห ส่วนที่เหลือเธอไม่ได้หยิบ พวกนั้นเป็นเหล้าธรรมดา ซื้อมาขวดละหนึ่งหยวน ถ้าหยิบไปแล้วเหอปี้อวิ๋นก็ไม่ปวดใจ
“ลูกจะเอาเหล้าพวกนี้ไปทำอะไร?”
เหอปี้อวิ๋นที่ตามเข้ามาในแววตามีประกาย เหล้าหลายขวดนี้เธอเตรียมสำหรับสถานที่ที่จะไปไว้นานแล้ว อู่เหลียงเย่สองขวด สำหรับหิ้วกลับบ้านเกิดตอนปีใหม่ ส่วนเหล้าเหมาไถสองขวดจะเอาไปให้อีกครั้งในเดือนหนึ่ง เหล้าดีๆ ทั้งหมดที่พ่อเธอดื่ม เธอเป็นคนมอบให้ ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงว่าที่คุณพ่อเหอมีความสนิทสนมและอบอุ่นใจกับเธอขนาดไหน ก็ล้วนเป็นเพราะคุณงามความดีของเหล้าดีเหล่านี้
“พ่อให้หนูมาเอาค่ะ ถ้าแม่อยากจะพูด ให้ไปคุยกับพ่อค่ะ”
อู่เหมยเอาเหล้าหงหนี่ว์เอ๋อร์ให้เหยียนหมิงซุ่น เหล้าเหมาไถให้สยงมู่มู่ ตัวเองถืออู่เหลียงเย่ ขี้เกียจจะพูดกับเหอปี้อวิ๋น หันหลังแล้วเดินออกไปทางด้านนอก เหอปี้อวิ๋นโกรธจนยื่นมือดึงเธอไว้ อยากจะแย่งเหล้าคืนมา
เหยียนหมิงซุ่นบังอยู่ด้านหน้าอู่เหมยอย่างฉลาด พูดอย่างสุภาพว่า “ครูเหอครับ ครูอู่ให้เหมยเหมยมาเอาเหล้าจริงๆ เขายังบอกว่า ให้เหมยเหมยเอาเหล้าทั้งหมดไปครับ!”
ความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดก็คือ ‘อู่เหมยมีเมตตามากพอแล้ว ยังเหลือเหล้าเก่าๆ พวกนี้ไว้ให้ครู!’
สยงมู่มู่เอะอะโวยวายด้วย “พ่อแม่ผมคอแข็งมาก ดื่มเหล้าราวกับดื่มน้ำ ถ้าไม่ฟังครูอู่ ก็เอาเหล้าเหล่านี้ขึ้นไปเก็บก็ได้นะครับ”
พูดไปเขาก็หนีบเหล้าเหมาไถสองขวดไว้ที่ใต้วงแขน หมุนตัวจะไปหยิบเหล้าธรรมดาอีกสองขวด ใจของเหอปี้อวิ๋นเจ็บปวดยิ่งกว่าถูกมีดแทง หากมีเพียงแค่อู่เหมยที่มาเอาเหล้าคนเดียว ไม่ว่าเธอจะพูดอะไรก็จะแย่งเหล้าคืนกลับมา ถือดีอะไรไปกินข้าวบ้านคนอื่น ยังต้องให้เธอเอาเหล้าดีให้ด้วย?
แต่ตอนนี้เหยียนหมิงซุ่นกับสยงมู่มู่อยู่ที่นี่ เธอกลับทำอะไรไม่ได้เลย เธอไม่สามารถยั่วโมโหอู่เจิ้งซือได้อีกแล้ว แต่หากจะทำให้อึดอัดใจแบบนี้ ฆ่าเธอเสียเลยคงดีกว่า และด้วยการทักษะคำนวณที่ฉลาดเฉียบแหลมของบ้านเหอ ทำให้เหอปี้อวิ๋นคิดหาวิธีที่ได้ประโยชน์มากที่สุดออกอย่างรวดเร็ว
“จะดื่มเหล้าทั้งทีก็ต้องดื่มให้สุด มู่มู่เธอถือเยอะไประวังจะตกแตกได้ง่าย ให้ครูกับเยวี่ยเยวี่ยเดินถือไปพร้อมกับพวกเธอแล้วกัน เยวี่ยเยวี่ยมานี่เร็วๆ”
ความคิดของเหอปี้อวิ๋นนั้นง่ายมาก สุดท้ายยังไงเธอก็ยังไม่ยอมให้อู่เหมยเป็นที่โปรดปรานของจ้าวอิงหนานคนเดียว ตั้งแต่ไหนแต่ไรเธอรู้สึกว่า จ้าวอิงหนานไม่รู้จักอู่เยวี่ยดีพอถึงทำได้ด่วนตัดสินใจอย่างนี้ รอให้เธอกับเยวี่ยเยวี่ยทำความรู้จักกันหลายๆ ครั้งเข้า ก็จะพบว่าเยวี่ยเยวี่ยเก่งกว่าอู่เหมยหลายร้อยเท่าและจะต้องหลงอู่เยวี่ยจนเข้าไปถึงก้นบึงของหัวใจ
อู่เยวี่ยนั่งทำการบ้านอยู่ที่โต๊ะหนังสือตลอดเวลา เธอไม่ได้หันมามองสักนิด เธอดูจิตใจไม่สงบนิดหน่อย เหอปี้อวิ๋นเรียกสองครั้งถึงจะได้ยิน เธอไม่อยากไปบ้านสยง บ้านที่ไม่ต้อนรับเธอ!
คุณแม่ก็เหลือเกิน ชอบให้เธอไปประจบประแจงจ้าวอิงหนานอยู่เรื่อย เฮ้อ! เธอไม่รู้สึกเลยว่าจ้าวอิงหนานจะยอดเยี่ยมตรงไหน ถ้าบ้านนั้นยอดเยี่ยมขนาดนั้นจริง ๆ ทำไมไม่อยู่เมืองหลวง มาเป็นครูจนๆ ที่เมืองจินทำไมล่ะ?
ไม่ต้องรอให้อู่เยวี่ยบอกปฏิเสธ สยงมู่มู่เอ่ยก็เอ่ยปากก่อนแล้ว ยิ้มแป้นและกล่าว “ผมคงไม่กล้ารบกวนเพื่อนร่วมชั้นอู่เยวี่ยหรอกครับ เธอสุขภาพไม่ดีไม่ใช่เหรอ อยู่บ้านพักผ่อนจะดีกว่า เดี๋ยวอาการป่วยจะรุนแรง เดือนหน้ามีสอบแล้ว ถ้าผมได้ที่หนึ่งอีก ผมต้องขอโทษด้วยนะ!”
เหอปี้อวิ๋นกับอู่เยวี่ยสีหน้าเปลี่ยนพร้อมกัน คนหนึ่งหน้าคล้ำ คนหนึ่งหน้าซีด นัยน์ตามีน้ำตา อู่เหมยรู้สึกเบิกบานใจ ไม่เสียแรงที่ให้กำไล ถือว่าเขายังมีจิตสำนึกนิดหน่อย!
ทั้งสามคนหอบเหล้าเดินไปข้างนอก ขณะที่ผ่านห้องนอนตัวเอง อู่เหมยครุ่นคิด ผลักประตูออก อยากจะเอากล่องของขวัญที่ตั้งใจเตรียมไว้ไปด้วย ถือโอกาสตอนที่อู่เจิ้งซือไม่ได้สังเกตมอบให้พ่อสยงและจ้าวอิงหนาน ทว่า…
…………………………………………………….
ตอนที่270 ไม่มีของขวัญแล้ว
ในลิ้นชักก็ว่างเปล่า กล่องกับภาพวาดหายไป อู่เหมยสีหน้าเปลี่ยน มุดลงไปหาที่ใต้โต๊ะอย่างไม่รู้ตัว คิดว่าหล่นอยู่ที่พื้นหรือเปล่า แต่ที่พื้นสะอาดสะอ้าน แม้แต่หยากไย่ก็ไม่มี
“เป็นอะไรเหรอ?” เหยียนหมิงซุ่นถาม
“ของขวัญที่ฉันเตรียมไว้หายไป ฉันวางไว้ในลิ้นชักชัดๆ ตอนนี้หายไปแล้ว”
อู่เหมยพูดไปพร้อมทำไม้ทำมือไปด้วย เธอร้อนใจมาก ไม่มีสร้อยเงินแล้ว เธอจะเอาอะไรไปให้จ้าวอิงหนาน? ซื้อใหม่ก็ไม่ทันแล้วล่ะ!
สยงมู่มู่ช่วยหาสักพัก กล่าวอย่างสงสัย “น่าแปลกจริงๆ ของดีๆ จะหายไปได้อย่างไร?”
เขาเห็นกับตาว่าอู่เหมยวางกล่องไว้ เพิ่งจะผ่านไปไม่ถึงชั่วโมง ถึงอย่างไรกล่องไม่สามารถมีขางอกออกมาเองแล้วเดินไปได้หรอกนะ?
“น่าจะถูกคนหยิบไป ไม่ใช่คนนอกขโมยก็เป็นคนข้างในขโมยไป แต่ผมรู้สึกว่าคนในบ้านขโมยเป็นไปได้มากที่สุด ตามปกติแล้วไม่มีคนภายนอกเข้ามาโรงเรียนของพวกเรา” สยงมู่มู่พูดอย่างมั่นใจ ตาชำเลืองออกไปข้างนอกตลอด เพียงแค่ไม่เอ่ยถึงเหอปี้อวิ๋น
แม้ว่าว่าเหอปี้อวิ๋นคนนี้คือผู้อาวุโส แต่การพูดจาและการกระทำกลับทำให้คนไม่รู้สึกเคารพ ความรอบรู้น้อยนิด แถมทำทุกอย่างที่จะได้กำไร เห็นเงินสำคัญกว่าชีวิต บางทีเมื่อเธอเห็นของมีค่าก็อาจจะเอาไป
อู่เหมยก็คิดว่าเป็นอย่างนั้น ตอนที่เธอออกจากบ้านไปไม่ได้ล็อกประตู ลิ้นชักก็ไม่ได้ล็อก มีความเป็นไปได้ที่เหอปี้อวิ๋นอาจจะเอาไป แต่ว่า…
“แม่ของฉันไม่รู้ว่ามีสร้อยในลิ้นชัก เธอคงจะไม่มองออกหรอกนะ?” อู่เหมยคิดไม่ออก
“อย่าเพิ่งไปคิดเรื่องนี้ พวกเราเอาเหล้าขึ้นไปส่งก่อน ถ้าไม่อย่างนั้นพวกครูอู่เขาจะรอแย่ เรื่องสร้อยข้อมือ หลังจากกินข้าวเสร็จค่อยว่ากัน” เหยียนหมิงซุ่นพูดอย่างใจเย็น เขาก็คิดว่าเหอปี้อวิ๋นหยิบสร้อยข้อมือไป แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่มาตามหาสร้อยข้อมือ ต้องลำดับให้ดีว่าอะไรด่วนกว่าหรืออะไรยังรอได้อยู่
อู่เหมยเศร้าใจที่สุด กล่าวตำหนิตัวเอง “ถ้ารู้ตั้งแต่แรกฉันก็คงจะถือไปเลย แล้วตอนนี้ฉันจะเอาอะไรให้แม่บุญธรรมล่ะ?”
“ไม่เป็นไร แม่ฉันก็ยังชอบเธอเหมือนเดิม ถึงแม้เธอไม่ได้ให้สร้อยข้อมือ แต่เครื่องประดับของเธอก็มีเยอะแล้ว” สยงมู่มู่ปลอบใจเธอ
“แต่ว่านี่คือความตั้งใจของฉัน ไม่เกี่ยวกับว่าแม่ของเธอมีเครื่องประดับเยอะ ฉันไม่พูดกับเธอแล้ว เธอแค่เจ้าเด็กน้อย ฟังยังไงก็ไม่เข้าใจหรอก” อู่เหมยตีหน้าผากตัวเองด้วยความหงุดหงิด วางแผนซื้อสร้อยเงินให้จ้าวอิงหนานต่อไป
“เธอว่าใครเด็กน้อย? ตอนที่พี่เกิด เธอยังไม่เป็นเซลล์ด้วยช้ำ พูดจาไม่กลัวถูกฟ้าผ่า ต่อไปต่อหน้าพี่ก็อย่าทำไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ มิเช่นนั้นอย่าโทษพี่แล้วกัน”
ฉิวฉิววิ่งเพ่นพ่านเข้ามาขัดจังหวะสยงมู่มู่พูด ปากคาบกระดาษอยู่ โยนใส่มืออู่เหมย แล้วก็วิ่งออกไปทันที ไม่รู้ว่าไปทำอะไร ก้อนกระดาษมีเศษหญ้าติดจำนวนมาก อู่เหมยปัดออกจนสะอาด แกะก้อนกระดาษออกอย่างระมัดระวัง ปรากฏเป็นภาพวาดของเธอที่หายไป ซึ่งเป็นภาพสมาชิกครอบครัวตระกูลสยง เธอตั้งใจลงสีย้อมโดยเฉพาะ มองดูแล้วทั้งน่ารักทั้งอบอุ่น
เพียงแต่ตอนนี้ยับยู่ยี่ ไม่ว่าจะกดยังไงก็ไม่เรียบคืนสภาพเดิม และยังมีบางจุดที่เสียหาย ภาพวาดนี้ถูกทำลายแล้ว
“ภาพวาดของฉันเป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร? ใครทำ?” เสียงอู่เหมยสะอื้น เมื่อคืนเธอวาดภาพนี้ทั้งคืน เพิ่งจะหลับตอนฟ้าสางนิดหน่อย ตอนนี้กลับเละเทะอย่างนี้ เหมือนมีคนเอามีดมาแทงหัวใจเธอ
ฉิวฉิววิ่งพรวดเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้ในปากคาบกล่องไว้ อู่เหมยตาเป็นประกาย รีบเปิดกล่องออก แต่ในกล่องกลับว่างเปล่า สร้อยข้อมือกับปิ่นปักผมหายไปแล้ว”
“ฉิวฉิว สิ่งของในกล่องนี้ไม่มีแล้วเหรอ?” อู่เหมยถามด้วยความร้อนรน
ฉิวฉิวเหนื่อยจนลิ้นห้อย กระดิกหางไปมา บ่งบอกว่าของนั้นหายไปแล้ว อู่เหมยใจสลาย เห็นได้ชัดว่าเหอปี้อวิ๋นเอาสร้อยไป เอากล่องกับภาพวาดที่ไม่มีค่าทิ้งไปทำให้ฉิวฉิวเก็บกลับมาได้
…………………………………………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น