ยอดหญิงสกุลเสิ่น 246.1-247.1
ตอนที่ 246-1 ไท่จื่อผู้ถูกถอดยศ
ตอนที่ฉินมู่หรานเพิ่งจะถูกพาไปถึงศาลต้าหลี่ก็กำเริบเสิบสาน เชิดหน้าเอ็ดตะโร “รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร รู้หรือไม่ว่าพ่อข้าเป็นใคร รู้หรือไม่ว่าพี่สาวข้ากับลูกชายพี่สาวข้าเป็นใคร ข้าว่าพวกเจ้าบังอาจเกินไปแล้ว นึกไม่ถึงว่ากล้าจับข้า จ้าวผดุงธรรมเล่า เรียกใต้เท้าจ้าวของพวกเจ้ามาหาข้าเดี๋ยวนี้”
พัศดีที่คุมห้องขังโมโหแล้ว เด็กโง่คนนี้เข้ามาในคุกศาลต้าหลี่แล้วยังกำเริบเสิบสานเช่นนี้ อย่างไรเสียใต้เท้าจ้าวก็เป็นผู้พิพากษาศาลต้าหลี่ เป็นขุนนางคนสำคัญของราชสำนักที่ฝ่าบาทพระราชทานตำแหน่งด้วยตัวพระองค์เอง เป็นคนที่เด็กไร้ยศเช่นเขาสามารถเรียกตามอำเภอใจได้หรือ
“ตัวเจ้าเองยังไม่รู้เลยว่าพ่อเจ้าพี่สาวเจ้าลูกชายพี่สาวเจ้าเป็นใคร ข้าไหนเลยจะรู้” พัศดีกลอกตา ราวกับมองคนโง่ “ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นใคร เข้ามาในคุกศาลต้าหลี่แล้วก็มีเพียงฐานะเดียวเท่านั้น นั่นก็คือนักโทษ เข้าไปเถอะ อยู่นิ่งๆ เสีย” เขาไม่สนว่าเจ้าจะเป็นคุณชายตระกูลใด มาถึงอาณาเขตของเขาก็ต้องทำตามกฎของเขา
พัศดีผลักฉินมู่หรานเข้าไปในห้องขัง ลงกลอนประตูห้องขังเสียงดังครืนๆ
ฉินมู่หรานถูกผลักจนเซ หันหลังกลับโผเข้ามาที่ประตูห้องขังตะโกนเสียงดัง “เปิดประตู เปิดประตู ปล่อยข้าออกไป ทหาร เรียกคนมาเดี๋ยวนี้ ปล่อยข้าออกไป”
ไม่ว่าเขาจะโก่งคอตะเบ็งเสียงเพียงใดก็ไม่มีใครสนใจ ฉินมู่หรานจึงร้อนรน มองห้องขังที่สกปรกแห่งนี้เบื้องลึกในใจเขาก็เกิดความหวาดกลัว ความหวาดกลัวชนิดนี้ค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป
กว่าคนที่ท่านเสนาบดีฉินบิดาเขาจัดเตรียมจะมาเปลี่ยนห้องขังให้เขา ร่างทั้งร่างเขาก็ผิดปกติเล็กน้อย กอดเข่าหดตัวสั่นระริกอยู่ที่มุมกำแพง
ท่านเสนาบดีฉินที่ได้ข่าวก็ตบโต๊ะ ในดวงตาที่หลุบลงมีความอาฆาตแวบผ่าน
เพราะการฟ้องร้องคดีครั้งนี้ สาส์นที่ยื่นมติไม่ไว้วางใจท่านเสนาบดีฉินในราชสำนักจึงกองราวกับผืนหิมะ โทษก็คือสอนบุตรไม่เข้มงวดปล่อยให้บุตรกระทำชั่ว แม้แต่ฮ่องเต้ยงเซวียนยังตกใจ ยังตั้งใจเรียกท่านเสนาบดีฉินไปไต่ถาม
ท่านเสนาบดีฉินคุกเข่ารับโทษ “บุตร…บุตรชายคนเล็กผู้นั้นของกระหม่อมถูกสตรีในบ้านตามใจจนเสียคน กระหม่อมละอายใจนัก! แต่แม้บุตรชายกระหม่อมจะไม่ร่ำเรียนไร้ความสามารถเล็กน้อย เรื่องผิดกฎหมายกลับไม่กล้าทำ”
ฮ่องเต้ยงเซวียนเองก็เป็นพ่อคน ย่อมเข้าใจสิ่งที่เสนาบดีฉินพูด เขานึกถึงฉินมู่หย่วนบุตรคนโตของเสนาบดีฉินอายุยังไม่ถึงยี่สิบปีก็มีความรู้โดดเด่นแล้ว ยังมีซูเฟยในวังที่หลายปีมานี้ก็เชื่อถือได้อย่างถึงที่สุด ทั่วทั้งเมืองหลวงตระกูลใดบ้างที่ไม่มีบุตรไม่เอาอ่าว สีหน้าของเขาจึงดีขึ้นเล็กน้อย ซ้ำยังปลอบขวัญเสนาบดีฉิน “เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล จ้าวเฉิงซวี่ศาลต้าหลี่เป็นผู้มีความสามารถ จักต้องสืบหาความจริงคืนความยุติธรรมให้คุณชายได้โดยเร็ว”
จ้าวเฉิงซวี่ในตอนนี้กำลังร้อนอกร้อนใจอยู่ ผ่านไปเพียงแค่คืนเดียว ไม่เพียงแต่ฉินมู่หรานเปลี่ยนปากคำ ไม่ยอมรับเรื่องที่ตนฉุดแม่นางตระกูลจางเข้าจวนก่อนหน้านี้ แม้แต่เด็กรับใช้ที่ชื่อเอ้อร์หนิวจื่อผู้นั้นยังแก้ปากคำ บอกว่าสิ่งที่สารภาพไปก่อนหน้านี้ถูกโบยให้สารภาพ คุณชายของเขาไม่เคยฉุดแม่นางตระกูลจางอะไรอย่างสิ้นเชิง
นี่ทำให้จ้างเฉิงซวี่โมโหแทบแย่แล้ว คุกศาลต้าหลี่ป้องกันอย่างเข้มงวด อยู่ในสายตาเขาแล้วยังสามารถส่งข่าวได้ เห็นได้ว่าเขาผู้เป็นผู้พิพากษาศาลต้าหลี่ล้มเหลวมากเพียงใด
ฉินมู่หรานผู้นั้นมีกำลังวังชาขึ้นมาอีกครั้ง ร้องตะโกนให้เขาปล่อยตัว “ข้าบอกตั้งนานแล้วว่าแม่นางตระกูลจางอะไรนั่น ข้าไม่รู้จักมาก่อนเลย ข้าได้รับความไม่เป็นธรรม ยังไม่รีบปล่อยข้ากลับจวนอีก! สถานที่ผุพังอะไร ข้าไม่อยากอยู่แม้แต่เสี้ยวยามเดียว”
เด็กที่ยังไม่โตคนหนึ่งกล้าเอ็ดตะโรใส่ขุนนางคนสำคัญของราชสำนักเช่นเขา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าจ้าวเฉิงซวี่รู้สึกอย่างไร เขาโบกมือด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พาเข้าไป”
ปล่อยคนหรือ กว่าจะจับเขาเข้ามาได้ จะปล่อยไปง่ายๆ เช่นนี้หรือ ไม่ต้องแม้แต่จะคิด “สืบ สืบเบาะแสให้ข้าต่อ” จ้าวเฉิงซวี่กล่าวด้วยความเคียดแค้น ห่านป่ายังทิ้งเสียง เขาไม่เชื่อว่าเขาจะหาพยานอื่นไม่ได้
เสิ่นเวยสวมชุดเข้ารูปตีคนอยู่ในสนามฝึกยุทธ์ อ้อ ยังมีอีกสิ่งที่ยิ่งใหญ่อย่างมากเรียกว่าการประลอง เสิ่นเวยบอกแล้วว่า ไม่เจอกันหลายเดือนแล้ว ดูสิว่าพวกเขาตั้งใจฝึกซ้อมหรือไม่
ตอนที่เสิ่นเวยพูดประโยคนี้หน้าไม่แดงใจไม่เต้น แต่มั่นอกมั่นใจ อันที่จริงนางก็แค่หาข้ออ้างตีคนก็เท่านั้นเอง ปีกแต่ละคนยังไม่แข็งความคิดก็ใหญ่เพียงนี้แล้ว ยังกล้าวิ่งหนีจากซีเจียงมาถึงเมืองหลวง แม้เสิ่นเวยจะดีใจต่อการมาถึงของพวกเขาอย่างยิ่ง แต่เสิ่นเวยก็ยังรู้สึกว่าพวกเขาขาดการฝึกซ้อม เด็กแสบเหล่านี้ต้องจัดการให้ดีสักหน่อย ต้องให้พวกเขารู้ว่าแผ่นฟ้าสูงแผ่นดินหนาเพียงใด
มิเช่นนั้นแต่ละคนต่างก็คิดว่าสวรรค์เป็นลูกคนโตตนเป็นลูกคนรอง ปล่อยออกไปแล้วจะไม่สร้างหายนะให้นางหรือ ต้องรู้ว่าที่นี่คือเมืองหลวง ป้ายประตูหล่นลงมาทับคนสามคนสองคนในนั้นก็คือผู้มีตำแหน่งสูง อีกคนหนึ่งก็คือราชนิกุลของเมืองหลวง ดังนั้นนางต้องตีความยโสโอหังของพวกเขาออกไป ให้พวกเขารู้จักถ่อมเนื้อถ่อมตัว
ตอนที่เสิ่นเวยพูดว่าจะประลองสีหน้ายังมีรอยยิ้มน้อยๆ เหล่าทหารเด็กนอกจากฟังจงหลี่กับหลี่จื้อที่ได้เห็นความร้ายกาจมาก่อนแล้วคนที่เหลือต่างก็รู้สึกสมเหตุสมผล คุณชายสี่กลายเป็นจวิ้นจู่เหนียงเหนียง พวกเขาล้วนรู้สึกไม่ค่อยเหมาะสมเล็กน้อย เห็นสตรีที่อายุไล่เลี่ยกับพวกเขายืนยิ้มแย้มอยู่ตรงนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็เทียบคุณชายสี่ที่ฉลาดกล้าหาญในความทรงจำไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงประมาทข้าศึก
มีเพียงโอวหยางไน่ที่ยืนกอดอกอยู่ข้างๆ กระตุกมุมปาก กล่าวในใจ ความหน้าไม่อายของจวิ้นจู่เพิ่มขึ้นทุกวันจริงๆ! ชายห้าวหาญที่มีชื่อเสียงในกองทัพเมื่อวันวานผู้นี้เช่นเขายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง นับประสาอะไรกับเด็กหนุ่มที่อ่อนวัยหนึ่งกลุ่ม สายตาที่มองกองทหารเด็กของเขาเห็นใจอย่างยิ่ง อืม ยังมีความดีใจบนความทุกข์ของผู้อื่นอยู่อีกหลายส่วน
เป็นดังคาด แรกเริ่มยังคงเป็นการประลองหนึ่งต่อหนึ่ง จากนั้นจึงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเสิ่นเวยหนึ่งคนต่อสองคน สี่คน แปดคน…ท้ายที่สุดก็ขยับขยายเป็นกองทหารเด็กทั้งหมดกรูเข้ามาพร้อมกัน
เสิ่นเวยปราดเปรียวประหนึ่งผีเสื้อบุกซ้ายจู่โจมขวาท่ามกลางการตีโอบล้อมของกองทหารเด็ก ร่างกายเคลื่อนย้ายราวกับสายฟ้า ออกมือตรงไปตรงมาและคล่องแคล่ว แสดงฝีมืออันเชี่ยวชาญท่ามกลางกองทหารเด็กสี่ร้อยคน
ไม่นานนัก เหล่ากองทหารเด็กก็ทยอยกันล้มลง มีเพียงเสิ่นเวยที่ยังคงยืนอยู่ในสนามอย่างสง่างาม
มองเหล่ากองทหารเด็กที่ร้องโอดโอยอยู่ทั่วพื้น สีหน้าบนใบหน้าเสิ่นเวยก็เคร่งขรึม “เป็นอย่างไร ยังคิดว่าตัวเองเก่งมากอยู่อีกหรือไม่ หลายคนเพียงนี้ยังสู้ข้าที่เป็นสตรีเพียงคนเดียวไม่ได้ ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้าไปเอาความหยิ่งยโสมาจากไหน เอาความทะนงตนมาจากไหน ลุกขึ้น ลุกขึ้นตั้งแถวทั้งหมดเดี๋ยวนี้!”
ตามเสียงตะโกนของเสิ่นเวย เหล่ากองทหารเด็กบนพื้นก็กระโดดขึ้นมาราวกับถูกไขลาน ตั้งแถวเป็นแปดแถวยืนรับคำสั่งสอนอยู่ตรงหน้าเสิ่นเวยด้วยความรวดเร็ว ไม่มีใครกล้าส่งเสียงเลยแม้แต่คนเดียว
ในใจเสิ่นเวยมีความพอใจแวบผ่าน แต่กลับยังคงปั้นสีหน้าเคร่งขรึม “กล้ามากใช่หรือไม่ ความคิดใหญ่มากใช่หรือไม่ กล้าไม่บอกไม่กล่าวก็แอบหนีมาเมืองหลวงแล้ว หากระหว่างทางเกิดอะไรขึ้นมา ใครจะมารับผิดชอบ ข้าสอนพวกเจ้าแล้ว เป็นทหารผู้หนึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเชื่อฟังคำสั่ง พวกเจ้าลืมไว้ในท้องหมาแล้วใช่หรือไม่ บนตัวพวกเจ้าข้าทุ่มเทความตั้งใจไปมากน้อยเพียงใด พวกจ้าตอบแทนข้าเช่นนี้หรือ”
สายตาของเสิ่นเวยกวาดผ่านใบหน้าของพวกเขาช้าๆ ถามพวกเขาจนพากันก้มหน้างุด อับอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี ตามคำตำหนิแต่ละคำๆ ของเสิ่นเวย เหล่ากองทหารเด็กก็หาความรู้สึกของคุณชายสี่เจออีกครั้ง ใช่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง เป็นคุณชายสี่หรือว่าจวิ้นจู่ คนผู้นี้ก็คือคนที่พวกเขาเลื่อมใสที่สุด! ความคาดหวังที่จวิ้นจู่มีต่อพวกเขาสูงเพียงนั้น พวกเขากลับบ่มเพาะความรู้สึกทะนงตน ยังจะมีหน้ามาพบจวิ้นจู่อีก
“จวิ้นจู่ พวกข้าผิดไปแล้ว ท่านลงโทษพวกข้าเถิด!” ฟังจงหลี่กับหลี่จื้อที่นำหน้าก้าวออกมาก่อน
เหล่ากองทหารเด็กที่เหลือก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าวเช่นกัน คุกเข่าข้างเดียว “จวิ้นจู่ ท่านลงโทษพวกข้าเถิด พวกข้าสำนึกผิดแล้ว ท่านจะลงโทษพวกข้าเช่นไรก็ได้”
เสิ่นเวยมองพวกเขาเงียบๆ สายตากวาดผ่านร่างของพวกเขาทุกคน คนที่ถูกเสิ่นเวยจ้องมองทั้งหมด ต่างก็ยืดหลังตรงอย่างอดไม่ได้ มุมปากของเสิ่นเวยกระตูกขึ้น ครู่ใหญ่จึงกล่าว “ทั้งหมดลุกขึ้นเถิด”
เมื่อพวกเขาลุกขึ้นยืนตั้งแถวใหม่เรียบร้อยแล้ว เสิ่นเวยก็กล่าวต่อ “ตอนยังเด็กใครบ้างไม่เคยทำผิด ข้าไม่กลัวพวกเจ้าทำผิด แต่หลังจากทำผิดแล้วพวกเจ้าต้องรู้ว่าผิดตรงไหน ความผิดเดิมอย่าได้ทำซ้ำเป็นรอบสอง ครั้งนี้ข้าให้พวกเจ้าจำไว้ก่อน หลังจากนี้พวกเจ้าอยู่ในเมืองหลวง อยู่ในจวนจวิ้นอ๋อง พรุ่งนี้ข้าจะส่งคนมาบันทึกชื่อ พวกเจ้าก็จะอยู่ภายใต้นามของข้าอย่างเป็นทางการ แต่พวกเจ้าต้องจำไว้ว่า ที่นี่คือเมืองหลวง พวกเจ้าทำอะไรต้องสงบเสงี่ยม ไม่อาจต่อสู้อย่างโจ่งแจ้งกับผู้อื่นโดยไม่มีเหตุผลได้ ยิ่งไม่อาจเกิดความคิดยโสโอหังได้ คนที่ทำได้ก็อยู่ต่อ คนที่ทำไม่ได้ก็ก้าวออกมาข้าจะส่งเจ้ากลับซีเจียง”
บนใบหน้าเหล่ากองทหารเด็กมีความตื่นเต้นแวบผ่าน แต่ละคนยืนตรงยิ่งขึ้น ไม่มีใครก้าวออกมาเลยสักคนเดียว
เสิ่นเวยพยักหน้าอย่างพอใจ กล่าว “ดีมาก ในเมื่อไม่มีใครก้าวออกมาเช่นนั้นก็อยู่ในจวนจวิ้นอ๋องดีๆ ทุกวันขยันฝึกฝน พวกเจ้าเองก็รู้ดี ข้าเป็นคนใจกว้าง ไม่ว่าจะเป็นของกินหรือว่าของใช้ที่ให้พวกเจ้าล้วนดีที่สุด พวกเจ้าอย่าทำให้ข้าผิดหวังล่ะ”
“ไม่ทำให้จวิ้นจู่ผิดหวังแน่นอนขอรับ” เหล่ากองทหารเด็กตะโกนพร้อมกัน ใช้เสียงที่อ่อนวัยของพวกเขาตะโกนคำสาบานของพวกเขาออกมา ยังมีความปรากรถนาอันแรงกล้าอีกด้วย
เสิ่นเวยจึงวางใจจากไป มีกองทหารเด็กหนึ่งกลุ่มนี้อยู่ในจวน ความรู้สึกด้านความปลอดภัยของนางก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย โดยเฉพาะหลังจากที่เด็กรับใช้ข้างกายฉินมู่หรานผู้นั้นตายอยู่ในศาลต้าหลี่อย่างน่าสงสัย ความไม่สบายใจของเสิ่นเวยก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก นางตระหนักถึงขุนนางผู้มีคุมอำนาจได้อย่างตื่นตัวอีกครั้ง ตระหนักได้ว่าท่านเสนาบดีฉินไม่ได้ไร้พิษภัยอย่างเช่นที่นางคิดแน่นอน คิดดูแล้วก็ใช่ เป็นถึงอัครเสนาบดีของราชสำนัก บ้านภรรยาขององค์ชาย จะไร้พิษภัยได้อย่างไร
อันที่จริงนี่ก็โทษเสิ่นเวยที่ประมาทข้าศึกไม่ได้ เป็นเพราะการสำรวจจวนเสนาบดีฉินครั้งนั้นง่ายดายเกินไปจริงๆ กระทั่งนางตัดสินท่านเสนาบดีฉินคนผู้นี้ผิดไป
แต่ตอนนี้นางรู้แล้ว ตั้งแต่คืนนั้นที่ไปสำรวจจวนเสนาบดีฉินกับสวีโย่วอีกครั้ง เสิ่นเวยก็รู้สึกว่าจวนเสนาบดีฉินมีความรู้สึกขัดแย้งชนิดหนึ่ง ก่อนหน้านี้การป้องกันในจวนเสนาบดีหละหลวมเกินไป ตอนนี้ก็เข้มงวดเกินไป เข้มงวดพอๆ กับส่วนภายในพระราชวัง นี่แปลกประหลาดเล็กน้อย!
ฝั่งตะวันตกของพระราชวังคือที่ตั้งของตำหนักเย็น เอาไว้ขังนางสนมผู้ทำผิดจำนวนหนึ่ง ปกติน้อยอย่างยิ่งที่จะมีคนก้าวเข้ามาที่นี่ สวีโย่ว หลานชายที่ฮ่องเต้ยงเซวียนโปรดปรานที่สุด คุณชายใหญ่ของจวนจิ้นอ๋อง ผิงจวิ้นอ๋องที่เพิ่งได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ครึ่งปีหลังกลับปรากฏตัวอยู่ที่นี่ ข้างกายเขาไม่ได้พาคนมาแม้แต่คนเดียว สวมชุดผ้าไหมสีฟ้าอ่อนดูขัดแย้งกับทัศนียภาพที่ทรุดโทรมนี้
สวีโย่วหยุดฝีเท้าอยู่หน้าตำหนักแห่งหนึ่งบริเวณริมสุด เขาเงยหน้ามองประตูตำหนักลายพร้อมเล็กน้อย
องครักษ์ที่เฝ้าประตูเข้ามาทำความเคารพ “คารวะผิงจวิ้นอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
สวีโย่วไม่ได้เอ่ยปาก แสดงป้ายคำสั่งในมือ ยกเท้าเดินเข้าไปข้างในทันที องครักษ์ผู้นั้นถอยกลับไปยืนอยู่ที่เดิม ไม่กล้าขัดขวางเลยแม้แต่น้อย
ตอนที่ 246-2 ไท่จื่อผู้ถูกถอดยศ
แทนที่จะพูดว่านี่คือตำหนักแห่งหนึ่ง ไม่สู้พูดว่านี่คือเรือนที่ผุพังทรุดโทรมแห่งหนึ่ง ต้นไม้ใบหญ้าขึ้นรกไม่มีคนจัดการ บนพื้นเต็มไปด้วยใบไม้ราวกับไม่ได้กวาดมาเป็นเวลานาน ทุกหนทุกแห่งทั่วตำหนักต่างก็มีกลิ่นอายของความเสื่อมโทรม
ได้ยินเสียงไอที่รุนแรงดังมาจากข้างในตำหนักหลักมาแต่ไกลๆ หัวใจสวีโย่วก็บีบแน่นอดเร่งฝีเท้าไม่ได้ เดินเข้าไปใกล้แล้ว จึงได้ยินเสียงสนทนาข้างใน
“องค์ชาย ท่านดีขึ้นหรือไม่ ท่านไอมาครึ่งเดือนแล้ว เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ข้าจะไปขอองครักษ์หน้าประตูให้ผ่อนผันสักหน่อย” เสียงที่เป็นกังวลของหญิงผู้หนึ่ง
“ไม่…ไม่เป็นไร ไม่ต้องไปขอพวกเขา พวกเขาเองก็หมดหนทาง เจ้าอยู่ห่างข้าหน่อย ระวังจะติดโรค” นี่คือเสียงของชายหนุ่มวัยเยาว์ อาจเป็นเพราะป่วย จึงฟังดูไม่มีเรี่ยวแรง
“ท่านพี่ไท่จื่อ!” สวีโย่วเรียกเสียงเบาอยู่หน้าประตูตำหนัก
ชายหญิงท่าทางเป็นสามีภรรยาคู่หนึ่งในตำหนักหันหน้าพร้อมกัน ชายผู้นั้นอายุประมาณยี่สิบกว่าปี ซูบผอม ผิวขาวซีด ร่างทั้งร่างต่างก็พิงอยู่บนตั่งนุ่ม ดูท่าทางอ่อนล้า มีเพียงดวงตาหนึ่งคู่ที่ใสสะอาดเป็นประกาย
หญิงที่ดูเหมือนสตรีที่ออกเรือนแล้วผู้นั้นสวมชุดสีเลือดหมูกึ่งเก่า บนศีรษะรวมผมอย่างง่ายๆ นอกจากปิ่นหนึ่งอันแล้ว ก็ไม่มีเครื่องประดับแม้แต่ชิ้นเดียว
“ไท่จื่อเฟย!” สวีโย่วประสานมือให้นาง หญิงผู้นั้นรีบเคารพกลับ ในดวงตามีความดีใจแวบผ่าน “คุณชายใหญ่นี่เอง!”
“ร่อแร่จนถึงก้าวนี้แล้ว อาโย่วเจ้าเปลี่ยนคำเรียกเถิด เป็นแค่ไท่จื่อผู้ถูกถอดยศ ไม่อาจนำปัญหามาให้เจ้าได้” มุมปากชายบนตั่งนุ่มยกยิ้มเสียดสี ทว่าสีหน้าลับสงบนิ่งอย่างมาก คล้ายกำลังพูดถึงเรื่องของคนอื่นไม่ใช่ตนเอง “ข้าอยู่ที่นี่เฉยๆ ก็ไม่มีใครมา มีเพียงอาโย่วที่ยังนึกมาเยี่ยมข้าได้ หลังจากนี้เจ้าก็ไม่ต้องมาแล้ว ที่นี่อัปมงคล ผู้ใดเข้ามาผู้นั้นจะโชคร้าย” ขณะที่พูดก็ไอขึ้นมาอีกครั้ง
สวีโย่วเร่งฝีเท้าเข้าไปนั่งข้างๆ เขา ยกมือวางลงบนข้อมือของเขา ข้อมือข้างนั้นทั้งเล็กทั้งขาวซีด เส้นเลือดข้างในต่างก็เห็นได้อย่างชัดเจน
“อย่าเสียแรงเปล่าเลย ร่างกายที่ทรุดโทรมนี้ของข้าก็แค่ทุกข์ทรมานมานานแล้ว วันไหนทนต่อไปไม่ไหวจริงๆ ก็หลุดพ้นแล้ว” ชายหนุ่มปิดปากหายใจหอบกล่าว
สวีโย่วไม่สนใจ เพียงตั้งใจจับชีพร ชายผู้นั้นเห็นท่าที ก็ทำได้เพียงปล่อยเขาไปอย่างจนใจ หญิงผู้นั้นยืนมองอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าเป็นกังวลมาโดยตลอด ตอนที่มองชายบนตั่ง ในดวงตาก็เต็มไปด้วยความรักและศรัทธา
“ท่านพี่ไท่จื่อถูกลมหนาว ดื่มยาไม่กี่วันก็หายแล้ว” สวีโย่วเก็บมือ กล่าวเสียงเรียบ
ขันทีชราที่ยืนอยู่ตรงมุมห้องก็คุกเข่าลงเสียงดัง น้ำตารื้นร้องขอ “คุณชายใหญ่ ท่านโปรดคิดหาวิธี ไม่ว่าอย่างไรก็นำยามาให้องค์ชายสักหน่อยเถิด องค์ชายไอมาครึ่งเดือนแล้ว ล่าช้าไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“คาดไม่ถึงว่าพวกเขากล้าตัดยาท่าน!” สวีโย่วได้ยินขันทีพูด บวกกับบทสนทนาที่ได้ยินก่อนหน้านี้ เขายังจะมีอะไรไม่เข้าใจอีก “ฝ่าบาทไม่ได้ตัดสินโทษท่าน พวกเขากลับย่ำยีท่าน ไม่ได้ เรื่องนี้ข้าจะรายงานฝ่าบาท” สวีโย่วกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ
แม้ว่าจะตกอับ ต่อให้จะถูกฝ่าบาทกักขัง แต่นั่นก็คือบุตรหลานฮ่องเต้ เป็นบุตรแท้ๆ ของฝ่าบาท แต่กลับถูกบ่าวชั้นล่างย่ำยีถึงขนาดนี้ จะไม่ให้สวีโย่วโกรธได้อย่างไร
ทว่าชายวัยหนุ่มกลับดึงมือของสวีโย่วไว้ “เจ้าน่ะ ไม่ใช่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นอ๋องแล้วหรือไร เหตุใดยังใจร้อนเช่นนั้นเหมือนตอนยังเด็กอยู่อีกเล่า ไม่มีประโยชน์ เพียงแค่คนทนเห็นข้าได้ดีไม่ได้ก็เท่านั้นเอง ข้าเป็นเช่นนี้แล้ว ไยจะต้องยั่วโทสะเสด็จพ่อเพื่อข้าด้วยเล่า” บนใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา
นี่ทำให้สวีโย่วยิ่งลำบากใจ ข้างนอกใครบ้างไม่บอกว่าเขาสุขุม มีเพียงพี่ชายผู้เมตตาผู้นี้ที่ยังเห็นเขาเป็นเด็กใจร้อนที่โดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งผู้นั้น “ได้ ข้าไม่ไป กลับไปข้าจะแอบหาวิธีส่งยามาให้ท่าน”
หญิงที่อยู่ข้างๆ ถอนหายใจใหญ่หนึ่งครา คารวะสวีโย่วอย่างตั้งใจจริง “ข้าขอบคุณคุณชายใหญ่ยิ่งนัก” ช่วงนี้ ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงไอของสามีตน หัวใจของนางก็บีบแน่นขึ้นมา แม่นมข้างกายนางคิดหาวิธีนับไม่ถ้วนแต่ก็ไม่สามารถไปเอายามาได้ นางแทบจะหมดหวังแล้ว ยังดีที่คุณชายใหญ่มา จิตใจนางเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง
สวีโย่วรีบหลบออกมา มองไปรอบด้าน กล่าวต่อ “กลับไปข้าจะหาของส่งมาอีก ที่นี่ทรุดโทรมเกินไปแล้ว ท่านเองก็ไม่ต้องกังวล ข้ามาหาท่านฝ่าบาททรงทราบ และอนุญาตแล้ว”
มองเห็นแววตาที่ดื้อรั้นของลูกผู้น้องคนนี้ ชายหนุ่มก็ถอนหายใจไม่ได้ปฏิเสธ เขามองหญิงผู้นั้น กล่าวเสียงอ่อนโยน “ดูแลข้ามาทั้งคืนเจ้าก็คงเหนื่อยแล้ว กลับห้องไปพักเถิด ข้าจะคุยกับอาโย่วสักหน่อย”
หญิงผู้นั้นเข้าใจว่าพี่น้องสองคนนี้ต้องการจะพูดคุยกัน จึงถอยออกไปด้วยความเคารพ
“อาโย่ว ข้าคล้ายได้ยินว่าเจ้าแต่งภรรยาแล้วหรือ เป็นบุตรสาวตระกูลใด” ชายวัยหนุ่มมองสวีโย่วด้วยแววตาอ่อนโยน ในดวงตาเต็มไปด้วยความภูมิใจ
สวีโย่วนึกถึงเสิ่นเวย อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเช่นกัน “เป็นหลานสาวของผู้เฒ่าจงอู่โหว บุตรสาวคนโตบ้านสาม” วันนี้ก่อนเขาออกมายังได้ยินนางบ่นว่าอยากจัดการกองทหารเด็กกลุ่มนั้น ไม่รู้ว่าจัดการถึงไหนแล้ว
ชายวัยหนุ่มเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของสวีโย่ว ในใจก็รู้สึกปลงอนิจจังอย่างถึงที่สุด ชั่วพริบตาก็ผ่านไปหลายปีเช่นนี้แล้ว ลูกผู้น้องที่เคยหัวแข็งผู้นั้นก็แต่งภรรยาแล้ว “เช่นนั้นก็เป็นหลานสาวตาของแม่ทัพใหญ่หร่วนสินะ น้องสะใภ้คงจะงามล่มเมืองเป็นแน่ใช่หรือไม่” เขาหยอกล้อหนึ่งประโยค
สวีโย่วลูบจมูก กล่าวอย่างตั้งใจ “งามอย่างยิ่ง ที่สำคัญคือน้องอยู่กับนางแล้วสบายใจ นางดีต่อน้องมากนัก”
ชายวัยหนุ่มยิ้มแล้ว “เช่นนั้นก็ยินดีกับเจ้าด้วย จักต้องมีชีวิตที่ดีแน่นอน!” เหมือนเจียงซื่อ ปฏิบัติต่อตนด้วยความลึกซึ้งจริงใจ ผ่านความยากลำบากกว่าสิบปีกับตนที่นี่ ตนรู้สึกผิดต่อนางยิ่งนัก!
สวีโย่วพยักหน้า คิดแล้วจึงกล่าวต่อ “ท่านพี่ไท่จื่อท่านเองก็อย่างเพิ่งท้อใจ ข้าว่าท่าทีสองปีนี้ของฝ่าบาทผ่อนคลายลงเล็กน้อย ข้าจะคิดหาวิธีขอความเมตตาแทนท่าน ดูว่าจะสามารถให้ฝ่าบาทปล่อยท่านออกมาได้หรือไม่”
ชายวัยหนุ่มโบกมือ “เจ้าอย่าได้ทุ่มเทแรงเพียงนั้นเลย ต่อให้เสด็จพ่อจะยอมปล่อย คนเหล่านั้นก็ไม่อาจยอมอ่อนข้อได้ง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้นเสด็จแม่ก็ไม่อยู่แล้ว ข้าออกหรือไม่ออกไปจะแตกต่างอะไร ตำหนักโยวหมิงเองก็ดียิ่งนัก เงียบสงบ ข้าอยู่จนชินแล้ว”
หยุดครู่หนึ่งจึงกล่าวต่อ “แต่ว่ามีบางเรื่องที่ยังต้องขอให้เจ้าช่วยจริงๆ เจียงซื่อมีครรภ์แล้ว ภายใต้สภาพแวดล้อมย่ำแย่เช่นนี้ตั้งครรภ์ได้ก็ไม่ง่ายแล้ว บางทีชั่วชีวิตนี้ของพี่ก็มีโอกาสนี้ที่จะได้เป็นพ่อคนแล้ว เจียงซื่อผ่านความยากลำบากกับข้ามาสิบปี แม้ข้าจะไม่อยู่แล้ว ข้าเองก็หวังว่าข้างกายนางจะมีลูกอยู่เป็นเพื่อนนาง อาโย่ว พี่ขอให้เจ้าช่วยปกป้องเด็กคนนี้ไว้ให้ได้” เสียงของเขาเบาอย่างยิ่ง สีหน้าเต็มไปด้วยความภาวนา
สวีโย่วตกใจเล็กน้อย กุมมือของชายวัยหนุ่ม กล่าวอย่างตั้งใจจริง “ท่านพี่ไท่จื่อวางใจเถิด ข้าจะต้องปกป้องลูกของท่านให้ได้ ท่านพี่ไท่จื่อท่านลองคิดดูให้ดีอีกทีเถอะ เพื่อลูกท่านเองก็ฮึกเหิมขึ้นมายิ่งนัก” เสียงของเขาเบาอย่างยิ่ง เพราะเขารู้ว่าสิบปีนี้ไท่จื่อเฟยไม่ตั้งครรภ์หนีไม่พ้นฝีมือของคนเหล่านั้นข้างนอก พวกเขาทนเห็นท่านพี่ไท่จื่อมีทายาทไม่ได้ หากตอนนี้ถูกพวกเขารู้ว่าไท่จื่อเฟยตั้งครรภ์ เช่นนั้นผลลัพธ์ที่ตามมาเขาก็ไม่กล้าคิดแล้ว
ดวงตาของชายวัยหนุ่มกะพริบวาบ คล้ายกำลังครุ่นคิด สวีโย่วเองก็ไม่เร่งเขา เพียงแต่รออย่างอดทน นานอย่างยิ่งจึงได้ยินเขาหัวเราะเสียงเจื่อนหนึ่งครา กล่าว “อาโย่ว ข้าจะพยายามแล้วกัน” แต่จะสามารถทนรอจนถึงวันนั้นที่จะได้เห็นแสงสว่างอีกครั้งได้หรือไม่เขาเองก็ไม่กล้ารับประกัน
ได้ยินประโยคนี้สวีโย่วก็พอใจอย่างยิ่งแล้ว ขอเพียงแค่ท่านพี่ไท่จื่อไม่ละทิ้ง เขาไปโน้มน้าวเกลี้ยกล่อมที่ฝ่าบาทอีก ให้ทหารมังกรดูแลเงียบๆ อีก สถานการณ์ก็จะต้องดีขึ้นเรื่อยๆ แน่นอน ตอนนี้เขาโตแล้ว ในมือมีอำนาจแล้ว ไม่ใช่เด็กที่ถูกขังอยู่ในจวนจิ้นอ๋องทนทุกข์ทรมานจากอาการป่วยอีกแล้ว ไม่ใช่เด็กอ่อนแอที่ถูกท่านพี่ไท่จื่อปกป้องไว้ข้างหลังผู้นั้นอีกแล้ว ควรจะถึงเวลาที่เขาต้องทำเพื่อท่านพี่ไท่จื่อแล้ว
คล้ายนึกอะไรขึ้นได้ สวีโย่วกล่าว “ท่านพี่ไท่จื่อไม่ต้องกังวล กลับไปแล้วข้าจะหาวิธีส่งหมอเข้ามาตรวจอาการของท่านและพี่สะใภ้ไท่จื่อเฟย”
ทว่าชายวัยหนุ่มกลับโบกมือปฏิเสธ “เจ้าคิดหาวิธีส่งยาเข้ามาได้ก็พอแล้ว หมอจะดึงดูดสายตาเกินไป”
บนใบหน้าของสวีโย่วมีความเหนียมอายปรากฏขึ้นหลายส่วน “ไม่เป็นไร น้องสะใภ้ท่าน น้องสี่ของข้ามีแผนเจ้าเล่ห์เยอะที่สุด นางจะต้องคิดหาวิธีได้แน่นอน” หยุดครู่หนึ่ง ดวงตาเป็นประกาย ประหนึ่งเก็บของล้ำค่าไว้กับตัวร้อนใจอยากเอาออกมาโอ้อวดผู้อื่น “ท่านพี่ไท่จื่อท่านรู้หรือไม่ว่า น้องสี่ของข้าเป็นหญิงอัศจรรย์ ข้าได้รับระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นอ๋องนี้ยังมีคุณงามความดีครึ่งหนึ่งของนางด้วย ซีเจียงได้รับชัยชนะยิ่งใหญ่มิใช่หรือ แคว้นซีเหลียงถูกตีจนตอบโต้ไม่ได้ รังเก่าล้วนถูกพวกเราทำลายแล้ว อ๋องซีเหลียงกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่จำนวนหนึ่งล้วนถูกจับเป็นเชลย นี่ล้วนแต่เป็นฝีมือน้องสี่ของข้า ท่านพี่ไท่จื่อ ข้าจะบอกอะไรท่านให้…” สวีโย่วโอ้อวดคุณูปการอันยิ่งใหญ่ของน้องสี่เขาราวกับสตรีช่างพูดช่างคุย
ชายวัยหนุ่มบ้างก็ตกใจ บ้างก็ชื่นชม คนทั้งสองมักจะส่งเสียงหัวเราะที่รู้ใจกันออกมาบ่อยครั้ง
นอกตำหนัก เจียงซื่อที่เดิมควรพักผ่อนอยู่ในห้องกลับยืนอยู่ที่นี่ สีหน้าของนางมีรอยยิ้มที่ไม่ยินดียินร้าย ทว่าในแววตากลับเต็มไปด้วยน้ำตา องค์ชายไม่ได้หัวเราะอย่างมีความสุขเช่นนี้มานานเท่าไรแล้ว
สังคมไร้ซึ่งน้ำใจ ตั้งแต่องค์ชายถูกถอดยศไท่จื่อกักขังตัวอยู่ที่นี่ คนที่เคยสรรเสริญพวกเขาเหล่านั้นก็ไม่เห็นแม้แต่คนเดียว มีเพียงคุณชายใหญ่ที่เป็นคนจิตใจดี มีเพียงเขาที่ไม่กลัวว่าจะถูกพัวพันมาเยี่ยมพวกเขา ขอเพียงแค่เขามา องค์ชายก็จะมีความสุขเช่นนี้ เพียงแต่องค์ชายเองก็สุขภาพไม่ดี ช่วงเวลาส่วนใหญ่จึงรักษาตัวอยู่บนเขา หนึ่งปีสามารถมาได้สองสามครั้งก็ถือว่าเยอะแล้ว
“เหนียงเหนียง เมื่อคืนท่านเหนื่อยมาทั้งคืนแล้ว ควรไปพักสักหน่อยนะเพคะ” แม่นมชราที่สนิทที่สุดข้างกายเจียงซื่อเกลี้ยกล่อมด้วยสีหน้ากังวลทั้งใบหน้า ตอนนี้เหนียงเหนียงเป็นสตรีมีครรภ์แล้ว ปัจจัยตรงนี้ก็เป็นเช่นนี้ สะเพร่าเพียงนิดเดียวสามารถถึงแก่ชีวิตได้เลย!
เจียงซื่อเช็ดน้ำตาพยักหน้า หันหลังกลับจากไปภายใต้การพยุงของแม่นมชรา
ตอนที่ 247-1 เรื่องในปีนั้น
“กลับมาแล้ว” ได้ยินเสียงสาวใช้ข้างนอกเคารพสวีโย่ว เสิ่นเวยก็วางหนังสือในมือลง เพราะว่าอากาศร้อน ซ้ำยังอยู่ในห้อง นางสวมเสื้อแขนกว้างอยู่บ้านสีม่วงอ่อน บนศีรษะไร้เครื่องประดับ มีเพียงปิ่นหยกเขียวหนึ่งอันที่รวบผมขึ้น บนข้อมือสวมเพียงกำไลหยกหนึ่งชิ้น สีเขียวมรกตขับให้ข้อมือขาวๆ ของนางกระจ่างใสมากยิ่งขึ้น
สวีโย่วขานอืมหนึ่งคราจากนั้นจึงโบกมือไล่สาวใช้ในห้องออกไป เขาเดินมาถึงข้างกายเสิ่นเวยก็โอบนางเข้ามาในอ้อมอก ศีรษะวางลงบนบ่านางไม่เอ่ยปากสักคำ
แววตาเสิ่นเวยกะพริบวาบ เกิดอะไรขึ้น ได้รับความไม่เป็นธรรมหรือว่าถูกปลุกเร้า “เป็นอะไรไป ไม่มีความสุขหรือ”
“อืม!” เสียงของสวีโย่วอุดอู้
เสิ่นเวยกะพริบตาปริบๆ ชั่วขณะก็กลายเป็นอะไรไปแล้ว มือที่ขาวดุจหยกเชยหน้าของสวีโย่ว “ใครทำให้ท่านไม่พอใจ มา บอกตัวข้าจวิ้นจู่มา ตัวข้าจวิ้นจู่จะระบายความแค้นแทนท่านเอง จะตีจนเขาหาฟันทั่วพื้นเลย!” คางเล็กๆ เชิดขึ้น กำเริบเสิบสานมากเป็นพิเศษ
แม้สวีโย่วจะรู้ว่าเสิ่นเวยหยอกให้เขาดีใจ แต่อารมณ์ที่ขุ่นมัวกลับดีขึ้นหลายส่วนเพราะเหตุนี้ มือใหญ่ๆ แตะจมูกของเสิ่นเวย พยักหน้ากล่าว “ได้ ข้าจะรอเวยเวยระบายความแค้นแทนข้า”
“ไปๆๆ ตัวข้าจวิ้นจู่กลับอยากเห็นว่าใครกันไม่ดูตาม้าตาเรือ” เสิ่นเวยแสร้งทำทีจะดึงสวีโย่วไปหาคนอย่างสุดชีวิต ถูกสวีโย่วออกแรกกดไว้ในอ้อมอกอีกครั้ง “เวยเวย” เสียงของเขาเหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุด ซ้ำยังคล้ายปนความทุกข์ใจ
เสิ่นเวยเลิกคิ้ว เหนื่อยหรือ เป็นทุกข์หรือ หรือว่าหมอนี้ทำอะไรผิดต่อนางมา เสิ่นเวยกำลังจะโมโห ทันใดนั้นก็ปฏิเสธการคาดเดานี้ สวีโย่วปฏิบัติต่อนางเช่นไรพูดได้จริงๆ ว่าทะนุถนอมราวกับสิ่งล้ำค่า อีกทั้งช่วงเวลาส่วนใหญ่เขาก็เดินไปเดินมาอยู่ในสายตานาง ต่อให้คิดจะทำเรื่องไม่ดีก็ไม่มีเวลา!
ดูท่าแล้วจะเป็นเพราะเรื่องอื่น! เสิ่นเวยไม่ได้เร่งเขา เพียงแค่อยู่ในอ้อมอกเขาอย่างเชื่อฟัง อยู่เป็นเพื่อนเขาเงียบๆ
นานอย่างยิ่ง สวีโย่วจึงทำลายความเงียบเอ่ยปากช้าๆ “วันนี้ข้าไปเยี่ยมท่านพี่ไท่จื่อมา เขาป่วยแล้ว ซ้ำยังไม่มียา สถานการณ์ไม่ดียิ่งนัก”
“ท่านพี่ไท่จื่อหรือ” เสิ่นเวยงุนงง นางจำได้ว่าไท่จื่อในราชสำนักคือบุตรคนที่สี่ของฝ่าบาท เด็กกว่าสวีโย่วหลายปี
สวีโย่วได้ยินก็รู้ว่าเสิ่นเวยเข้าใจผิดแล้ว กล่าวอธิบาย “ไม่ใช่ไท่จื่อองค์ปัจจุบัน เป็น เป็นไท่จื่อองค์ก่อน องค์ชายคนโตของเฉิงฮองเฮา” สวีโย่วใช้คำว่าองค์ก่อน เขาพูดคำว่าไท่จื่อผู้ถูกถอดยศคำนี้ไม่ออกจริงๆ
“อ้อ ท่านหมายถึงไท่จื่อองค์นั้นที่ถูกฝ่าบาทกักขังเมื่อสิบปีก่อนน่ะหรือ” ชั่วขณะเสิ่นเวยก็นึกถึงความรู้ทั่วไปที่อาจารย์ซูเคยบอกนาง นางรู้ว่าฝ่าบาทมีฮองเฮาองค์แรก อีกทั้งฮองเฮาผู้นี้ยังให้กำเนิดบุตรชายคนโตแก่เขาอีกด้วย แต่ว่าไท่จื่อองค์นั้นที่สวีโย่วบอก เมื่อสิบปีก่อน ในราชสำนักคล้ายเกิดเรื่องอะไรขึ้น เฉิงฮองเฮาเสียชีวิตกะทันหัน ท่านไท่จื่อผู้นี้ก็ถูกฝ่าบาทกักขัง นับแต่นั้นมาราชสำนักก็ไม่มีใครเอ่ยถึงเขาอีก เสิ่นเวยเองก็รู้เพียงแค่ว่ามีไท่จื่อผู้ถูกถอดยศผู้นี้อยู่ก็เท่านั้นเอง
“อืม” สวีโย่วพยักหน้า “เขาถูกฝ่าบาทกักขังไว้ที่ตำหนักโยวหมิง วันคืนไม่ดียิ่งนัก ร่างซูบผอมจนกลายเป็นหนังหุ้มกระดูกแล้ว”
แววตาเสิ่นเวยมีความเห็นใจแวบผ่าน กักขังน่ะหรือ วันคืนจะดีได้อย่างไร จากสวรรค์ตกลงมาสู่นรก ความแตกต่างนี้เป็นสิ่งที่คนไม่มีทางรับได้อย่างสิ้นเชิง บวกกับการยกย่องและย่ำยีของขันทีนางกำนัลชั้นล่าง สามารถทนมาได้สิบปีก็ไม่เลวแล้ว หากเป็นคนใจแคบหน่อย อารมณ์ร้อนหน่อย ก็คงจะทำตัวเองอัดอั้นตายไปนานแล้ว
“ท่านมีความสัมพันธ์ที่ดีอย่างยิ่งกับท่านไท่จื่อผู้นี้หรือ” เสิ่นเวยค่อนข้างประหลาดใจจุดนี้ ต้องรู้ว่าตั้งแต่เล็กสวีโย่วก็ป่วยออดๆ แอดๆ ออกจากเรือนน้อยอย่างยิ่ง โตขึ้นหน่อยก็ไปรักษาอาการบนเขา หนึ่งปีก็อยู่ในเมืองหลวงไม่กี่วัน ไม่มีเพื่อนไม่ว่า แม้แต่พี่น้องในจวนยังเฉยชา จะไปสนิทกับท่านไท่จื่อผู้นี้ได้อย่างไร
นิ่งเงียบครู่หนึ่งสวีโย่วจึงกล่าว “ตั้งแต่เล็กข้าก็สุขภาพไม่ดี ก่อนอายุห้าปีแทบจะไม่ได้ออกจากเรือน ดื่มยาทั้งวัน แต่คล้ายไม่มีผลลัพธ์อะไร ข้าจำได้ว่าฤดูหนาวปีที่ข้าอายุห้าปี ข้าป่วยจนใกล้ตายแล้ว แต่คนที่เสด็จปู่เตรียมไว้ในจวนล้วนถูกหวังเฟยไล่ออกไป แม้แต่ยายหรูยังไม่อยู่เพราะเหตุนี้ ข้ากลิ้งตกลงมาจากเตียง…ท้ายที่สุดท่านพี่ไท่จื่อที่มาเล่นในจวนก็เกิดความสงสัยจึงวิ่งเข้ามาพบเข้า ข้าจึงรอดตาย และเป็นเพราะท่านพี่ไท่จื่อฟ้องเรื่องนี้ต่อฝ่าบาท ฝ่าบาททรงพิโรธ ตำหนิเสด็จพ่อ จากนั้นจึงส่งข้าขึ้นเขาไปรักษาตัว”
เสมือนกำลังย้อนความทรงจำ หยุดครู่หนึ่งสวีโย่วจึงกล่าวต่อ “ท่านพี่ไท่จื่อโตกว่าข้าสามปี อาจเพราะเห็นข้าน่าสงสาร ท่านพี่ไท่จื่อจึงดีต่อข้ายิ่งนัก ทุกปีข้ากลับมาจากเขาเขาก็จะวิ่งมาหาข้า เล่าเรื่องในวังให้ข้าฟัง ซ้ำยังนำบำเหน็จจำนวนมากที่เขาได้มาให้ข้า”
เสิ่นเวยพยักหน้าอย่างเข้าใจ เด็กที่ไร้ที่พึ่งพิงโดดเดี่ยวเดียวดายคนหนึ่ง มีคนใส่ใจดูแลเขาเช่นนี้ เป็นดั่งดวงอาทิตย์หนึ่งดวงที่อบอุ่นที่สุดในใจเขาไม่ใช่หรือ ที่แท้แล้วตอนยังเด็กสวีโย่วก็มีประสบการณ์เช่นนี้ น่าสงสารจริงๆ! มิน่าเล่าเขาถึงไม่มีความผูกพันใดๆ กับคนในจวนจิ้นอ๋อง เสิ่นเวยแขวะท่านจิ้นอ๋องพ่อที่ไม่ได้เรื่องผู้นี้ในใจอีกครั้ง พระชายาเป็นแม่เลี้ยง แต่จวิ้นอ๋องเป็นถึงพ่อแท้ๆ! เมินเฉยลูกชายเช่นนี้ได้ พอแล้วจริงๆ!
“เช่นนั้นสิบปีก่อนเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดฝ่าบาทถึงกักขังท่านไท่จื่อเล่า” เสิ่นเวยเอ่ยความสงสัยในใจตนออกมา ว่ากันตามเหตุผล ถอดยศไท่จื่อถือเป็นเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะตอนนี้ท่านไท่จื่อผู้นี้ก็อายุสิบห้าปีแล้ว ศึกษารับราชการแล้ว อีกทั้งยังไม่เคยได้ยินว่ามีการกระทำที่ขาดคุณธรรมใดๆ เหตุใดถึงถอดยศง่ายๆ เล่า แล้วเฉิงฮองเฮาผู้นั้นเสียชีวิตกะทันหันจริงๆ หรือ เหตุใดทุกคนถึงเลี่ยงที่จะพูดเรื่องเหล่านี้เล่า
คำถามเหล่านี้วกวนอยู่ในหัวใจเสิ่นเวย ทำให้นางไม่เข้าใจอย่างสิ้นเชิง
ความนิ่งเงียบเข้าปกคลุมครู่ใหญ่อีกครั้ง สวีโย่วกล่าว “ราชวงศ์นี้มีอ๋องเคียงบ่าผู้หนึ่งเจ้ารู้ใช่หรือไม่”
เสิ่นเวยพยักหน้า “ใช่อ๋องเคียงบ่าเฉิงอี้ที่ทรยศราชวงศ์นำทหารออกไปหรือไม่ เรื่องนี้ข้าทราบ เหตุผลที่พวกเราเลื่อนฤกษ์แต่งงานออกไปก็เพราะท่านไปสืบเรื่องอ๋องเคียงบ่าผู้นี้ไม่ใช่หรือ หรือว่าเรื่องเมื่อสิบปีก่อนเกี่ยวพันกับอ๋องเคียงบ่าผู้นี้ด้วย” อ๋องเคียงบ่านามว่าเฉิงอี้ เฉิงฮองเฮาก็แซ่เฉิง หรือว่า? เสิ่นเวยเบิกตาโตมองสวีโย่ว
สบสายตาของเสิ่นเวย สวีโย่วก็พยักหน้า “ถูกต้อง เฉิงฮองเฮาคือบุตรสาวบุญธรรมของอ๋องเคียงบ่าเฉิงอวี้”
เสิ่นเวยได้ยินดังนั้น คิ้วก็ขมวด “เพราะเหตุนี้หรือ จิตใจของฝ่าบาทน่าจะไม่แคบขนาดนั้นกระมัง ไม่ใช่สิ เฉิงอี้ก่อกบฏต่อราชวงศ์ก่อนหน้านั้นอีกไม่ใช่หรือ ฝ่าบาทยังพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เฉิงฮองเฮาที่มีความสัมพันธ์กับอ๋องเคียงบ่าและไท่จื่อบุตรของนางไม่ใช่หรือ เหตุใดหลายปีให้หลังถึงได้รื้อบัญชีเก่าเล่า หรือว่าตอนนั้นล้วนทำเพื่อตั้งเป็นอนุสรณ์ให้คนอื่นดู เช่นนั้นฝ่าบาทก็ไม่เอาถ่านเกินไปแล้ว!” สละภรรยาคนแรกกับบุตรคนโตของตนเพื่อราชสำนัก เสิ่นเวยไม่ชอบคนประเภทนี้ที่สุดเลย ถึงว่าท่านจิ้นอ๋องเป็นพ่อไม่ได้เรื่อง ที่แท้แล้วฝ่าบาทก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขาเลย สมกับที่เป็นพี่น้องท้องเดียวกันจริงๆ
เห็นความเหยียดหยามที่ไม่มีการปกปิดบนใบหน้าเสิ่นเวย มุมปากของสวีโย่วก็กระตุก มีเพียงน้องสี่ของเขาที่กล้าพูดว่าฝ่าบาทไม่เอาถ่านอย่างมั่นอกมั่นใจเช่นนี้
“ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด” สวีโย่วกล่าว “ฝ่าบาทกับเฉิงฮองเฮาแต่งงานกันตั้งแต่ยังอายุน้อย ความผูกพันลึกซึ้งมากเป็นพิเศษ แม้ว่าอ๋องเคียงบ่าจะก่อกบฏต่อราชวงศ์ หลังจากฝ่าบาทขึ้นครองบัลลังก์แล้วก็ยังแบกความกดดันพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้ภรรยาและบุตรคนโตเป็นฮองเฮาและไท่จื่อ สิบปีก่อน ในราชสำนักเกิดเรื่องขึ้น จานซื่อจวนจานซื่อตำหนักบูรพาเปิดโปงต่อราชสำนักว่าท่านพี่ไท่จื่อสมรู้ร่วมคิดกับเฉิงอี้ พยายามยึดอำนาจชิงบัลลังก์ ทั้งยังถวายจดหมายที่ติดต่อกันระหว่างท่านพี่ไท่จื่อและเฉิงอี้ ลายมือนั้นคาดไม่ถึงว่าเป็นของจริง ท่านพี่ไท่จื่อหมดหนทางแก้ตัว ฝ่าบาททรงพิโรธ ขุนนางในราชสำนักตกตะลึง ท่านพี่ไท่จื่อกับเฉิงฮองเฮาต่างก็ถูกกักบริเวณ เฉิงฮองเฮาฆ่าตัวตายเพื่อที่จะขอให้ฝ่าบาทไว้ชีวิตไท่จื่อ”
“จานซื่อจวนจานซื่อผู้นั้นเล่า” เสิ่นเวยใช้เวลาไม่นานก็หาจุดสำคัญได้
สวีโย่วกล่าว “ตายแล้ว ชนเสาตายในพระตำหนักจินหลวน ณ ตอนนั้น”
“วิธีนี้ไม่ได้เหนือชั้นเลยจริงๆ” แต่มีประโยชน์อย่างถึงที่สุด บนใบหน้าของเสิ่นเวยปรากฎความเหยียดหยัน “ท่านพี่ไท่จื่อของท่านถูกใส่ร้ายสินะ”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” สวีโย่วตกตะลึง “ตอนที่เรื่องเกิดข้าอายุเพียงสิบสองปี ซ้ำยังไม่อยู่ในเมืองหลวง กว่าข้าจะกลับมาจากเขาใช้วิธีทั้งหมดที่มีจึงได้พบหน้าท่านพี่ไท่จื่อ เขาก็บอกว่าเขาไม่เคยติดต่อกับอ๋องเคียงบ่าเลยแม้แต่ครั้งเดียว ยิ่งไม่เคยเขียนจดหมายเหล่านั้น ส่วนข้าก็เชื่อว่าท่านพี่ไท่จื่อถูกใส่ร้าย แต่ข้าเชื่อแล้วจะมีประโยชน์อันใด เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ไม่เชื่อ ฝ่าบาทไม่เชื่อ”
“ใครบอกว่าฝ่าบาทไม่เชื่อ” เสิ่นเวยกลอกตา กล่าว “หากเขาไม่เชื่อ ท่านพี่ไท่จื่อของท่านคงไม่ถูกกักขัง แต่คงจะถูกลดขั้นเป็นสามัญชนเนรเทศออกไปแล้ว เขาอาจจะไม่เชื่อตั้งแต่แรก แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีสมอง หลังเรื่องเกิดจะไม่สงสัยได้อย่างไร ต่อให้จะไม่ได้เชื่อทั้งหมด แต่ก็คงมีสักสี่ห้าส่วนกระมัง” เสิ่นเวยวิเคราะห์
“เหตุใดเล่า” สวีโย่วถาม “อีกทั้งเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าท่านพี่ไท่จื่อถูกใส่ร้าย” แม้แต่ราชครูที่เคยสอนไท่จื่อยังไม่กล้าพูดแทนท่านพี่ไท่จื่อเลย เหตุใดน้องสี่ที่ไม่เคบพบหน้าท่านพี่ไท่จื่อถึงเชื่อว่าเขาถูกใส่ร้ายเล่า
“นี่ก็เห็นกันอยู่ชัดๆ ไม่ใช่หรือ ท่านพี่ไท่จื่อของท่านเป็นไท่จื่อแล้ว ขอเพียงแต่อดทนรอต่อไป ไม่เกิดความผิดพลาดใหญ่หลวง ไม่ช้าไม่เร็วบัลลังก์ก็ต้องเป็นของเขา เขาจะรวมหัวก่อกบฏชิงบัลลังก์ทำไม อีกทั้งท่านเองก็บอกว่า อ๋องเคียงบ่าผู้นั้นเป็นเพียงพ่อบุญธรรมของเฉิงฮองเฮา ไม่ใช่พ่อแท้ๆ ตอนที่ท่านพี่ไท่จื่อของท่านยังเล็กมากๆ ก็หนีไปแล้ว ท่านพี่ไท่จื่อของท่านน้ำเขาสมองถึงจะร่วมมือกับคนที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดทั้งยังไม่มีความผูกพันใดๆ เช่นนี้” เสิ่นเวยชายตามองสวีโย่ว
“ตอนนั้นท่านพี่ไท่จื่อของท่านอายุเท่าไรแล้ว สิบห้าแล้วใช่หรือไม่ เพิ่งจะแต่งงาน หากเขาอายุสิบสาม สิบสี่ปียังมีความเป็นไปได้ที่จะร้อนใจจึงเลือกก่อกบฏชิงบัลลังก์ สิบห้าปี ฮ่าๆ มือใหม่ที่เพิ่งจะก้าวเท้าเข้าราชสำนัก กำลังถกแขนเสื้อเตรียมจะสร้างภาพลักษณ์ดีๆ ให้ฝ่าบาทเห็นความสามารถของเขา เขาจะคิดก่อกบฏหรือ…
…ยังมีจานซื่อผู้นั้น เหตุใดเขาถึงตายแล้วเล่า ไม่ใช่ตายแล้วไม่อาจให้การได้หรอกหรือ ใครจะรู้ว่าคำพูดของเขาเป็นจริงหรือเป็นเท็จ คนผู้นี้เกรงว่าจะเป็นม้ามืดของใครกระมัง อย่างไรเสียเขาก็เป็นจานซื่อตำหนักบูรพา ชีวิตครอบครัวล้วนผูกอยู่กับตัวไท่จื่อ ไท่จื่อขึ้นครองบัลลังก์แล้วจะขาดชื่อเสียงเงินทองของเขาได้อย่างไร แต่เขาดันก้าวออกมาเปิดโปงว่าไท่จื่อก่อกบฏกับผู้อื่น คนผู้นี้ไม่มีสมองหรือไร ต่อให้ไท่จื่อสมคบคิดกับผู้อื่นจริงๆ การตอบสนองโดยทั่วไปของผู้ที่เป็นจานซื่อตำหนักบูรพาเช่นเขาไม่ช่วยปกปิด ก็ควรออกห่างไท่จื่อช้าๆ เขากลับไม่ทำ ไม่เพียงแต่เปิดโปงออกมาต่อหน้าขุนนางทั้งหมด ซ้ำยังชนเสาฆ่าตัวตาย หากไม่ได้รับคำสั่งมาแล้วจะเป็นอะไร”
สีหน้าบนใบหน้าของเสิ่นเวยสดใสเป็นอย่างยิ่ง! “จุ๊ๆๆ จานซื่อผู้นั้นติดตามอยู่ข้างกายท่านพี่ไท่จื่อท่านมานานมาก คงเป็นคนที่เขาไว้ใจยิ่งนักใช่หรือไม่ มิเช่นนั้นสิ่งที่เขาพูดใครจะเชื่อเล่า ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าแผนการที่พุ่งเป้าไปยังท่านพี่ไท่จื่อของท่านวางมาหลายปีแล้ว เกรงว่าคงเริ่มตั้งแต่อ๋องเคียงบ่าก่อกบฏต่อราชวงศ์กระมัง จุๆ แผนการที่นานถึงเพียงนี้ ท่านพี่ไท่จื่อของท่านจะแพ้ก็ไม่แปลก!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น