ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 246-257

 ตอนที่ 246 ฮือฮา

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ศิษย์น้องกุย ยินดีกับเจ้าจริงๆ ในที่สุดเขาเก้าทารกก็มีอาจารย์จิตวิญญาณเพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้ว เหมือนว่าครั้งนี้ข้าจะมองพลาดไป คิดไม่ถึงว่าศิษย์หลานหลิ่วจะเข้าสู่ระดับของเหลวได้ ดูท่าคุณสมบัติของเขาคงไม่ด้อยไปกว่าเกาชง” ในที่สุดประมุขนิกายปีศาจก็เรียกสติกลับมา และกล่าวกับกุยหรูฉวนด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น


“แม้ข้าจะรู้ว่าช่วงนี้ศิษย์หลานเข้าไปในบ่อจิตวิญญาณ แต่ก็ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะควบแน่นปราณแกร่งได้สำเร็จ ซึ่งทำให้ข้ารู้สึกตกใจระคนดีใจด้วยเช่นกัน!” กุยหรูฉวนรีบกล่าวออกมา


ส่วนคนอื่นๆ ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ตาม ตอนนี้ต่างก็ต้องกล่าวแสดงความยินดีกับกุยหรูฉวน


กุยหรูฉวนก็ตอบรับด้วยรอยยิ้ม


ขณะนี้ หลินไฉอวี่รู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก


ตอนนี้นางถึงเข้าใจว่าทำไมก่อนหน้านั้นชายฉกรรจ์แซ่เหลยถึงได้มองเห็นความสำคัญของหลิ่วหมิง และถ้าในปีนั้นนางยืนหยัดอีกสักเล็กน้อย ไม่เท่ากับว่าสาขาระบำปีศาจในตอนนี้มีอาจารย์จิตวิญญาณเพิ่มขึ้นมาอีกคนหรือ?


ด้วยเหตุนี้ แม้ว่านางจะกล่าวแสดงความยินดีกับกุยหรูฉวน แต่ก็อดรู้สึกเสียดายไม่ได้


ส่วนฉู่ฉีผู้นำสาขาหยินทนทรมาณที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับกุยหรูฉวนมาโดยตลอด แม้ว่าภายนอกจะไม่แสดงอาการแปลกใจออกมา แต่คิดว่าในใจคงรู้สึกกลัดกลุ้มไม่น้อย


“เอาล่ะ! ในเมื่อรู้ว่าเป็นศิษย์คนไหนที่บรรลุระดับของเหลว พวกเราก็วางใจได้แล้ว ศิษย์หลานหลิ่วเพิ่งจะบรรลุอาจารย์จิตวิญญาณ ยังต้องทำระดับนี้ให้มั่นคงก่อน พวกเราก็ไม่ควรไปรบกวนเขา ให้เขาเก็บตัวต่อไปเถอะ แต่หลังออกจากการเก็บตัวแล้ว ศิษย์น้องถงจะต้องแจ้งข้าในทันที ข้าเป็นถึงประมุขนิกายปีศาจจะต้องพาเขาไปบูชาที่หอบูรพาจารย์สักครั้ง หลังจากเลื่อนลำดับอาวุโสของเขาแล้วค่อยพูดเรื่องอื่นกัน” ประมุขนิกายปีศาจเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวกับชายชุดคลุมสีขาว


“แน่นอน! เพียงแค่ศิษย์หลานออกจากการเก็บตัว ข้าจะแจ้งศิษย์พี่ท่านประมุขเป็นคนแรก” ชายชุดคลุมสีขาวกล่าวอย่างไม่ลังเล


ประมุขนิกายปีศาจได้ยินเช่นนี้ ก็พยักหน้าด้วยความพอใจ


เวลาต่อมา ชายชุดคลุมสีขาวก็พาคนทั้งหมดไปยังหอชั้นสาม ให้พวกเขามองเห็นลำแสงสีน้ำเงินที่หลิ่วหมิงพ่นออกมาในบ้านหิน จากนั้นถึงกล่าวลาและจากไปโดยไม่สงสัยอะไรอีก


พอกุยหรูฉวนขี่เมฆกลับถึงที่พักตนเอง ก็รีบเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง แล้วให้ศิษย์ในนิกายส่งออกไปข้างนอกในคืนนั้นเลย


ขณะเดียวกัน หลังจากประมุขนิกายปีศาจไปจากหุบเขาแล้ว ก็ตรงไปยังเขตต้องห้ามที่อยู่หลังยอดเขาหลักทันที


ผ่านไปหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ถึงเดินออกจากพื้นที่ต้องห้ามด้วยสีหน้าครุ่นคิด และเหาะตรงไปยังยอดเขาของสาขาพลังโลหิตทันที


ผ่านไปไม่นาน ข่าวเรื่องที่มีอาจารย์จิตวิญญาณคนใหม่นามว่า ‘หลิ่วหมิง’ ก็แพร่กระจายไปทั่วนิกายปีศาจอย่างรวดเร็ว


แต่คนที่รู้จริงๆ ว่า ‘หลิ่วหมิง’ คือ ‘ไป๋ชงเทียน’ ในปีก่อนนั้น มีอยู่น้อยมาก


เพราะเรื่องที่นักพรตแซ่จงฟื้นคืนสถานะที่แท้จริงของหลิ่วหมิง เป็นการแจ้งทางนิกายอย่างเงียบๆ เท่านั้น ไม่ได้เปิดเผยให้รู้กันทั่วทั้งนิกาย


แต่เมื่อเวลาค่อยๆ ผ่านไป ภายใต้สถานการณ์ที่กุยหรูฉวนก็ไม่ได้ปิดบังว่า อาจารย์จิตวิญญาณคนใหม่ที่มีนามว่า ‘หลิ่วหมิง’ คือคนเดียวกันกับ ‘ไป๋ชงเทียน’ ในปีก่อน เรื่องนี้จึงกระฉ่อนขึ้นมา


สำหรับผู้ที่เคยเห็นหรือรู้จักหลิ่วหมิง ต่างก็ฮือฮาขึ้นมา


……


“อะไรนะ! หลิ่วหมิงคือไป๋ชงเทียนในตอนนั้น” ป่าเล็กๆ แห่งหนึ่งในนิกายปีศาจ ชายหนุ่มสีหน้าเย็นชากล่าวกับหญิงใบหน้างดงามด้วยความประหลาดใจ


“ไม่ผิด! ข้าได้รับการยืนยันจากปากศิษย์สาขาเก้าทารกคนหนึ่งที่ข้าสนิทด้วย ผู้ที่เพิ่งควบแน่นปราณแกร่งสำเร็จนี้ เป็นศิษย์น้องไป๋ชงเทียนในปีก่อนอย่างแน่นอน ดูเหมือนว่า ‘หลิ่วหมิง’ จะเป็นชื่อที่แท้จริงของเขา ไป๋ชงเทียนเป็นแค่ชื่อที่เขาสวมรอยเข้ามาเท่านั้น” หญิงใบหน้างดงามถอนหายใจก่อนกล่าวออกมา


ทั้งสองคนนี้ก็คือตู้ไห่กับมู่อวิ๋นเซียนนั่นเอง


“ศิษย์น้องไป๋ ไม่สิ! ต้องพูดว่าศิษย์น้องหลิ่ว ในปีนั้นเขามีเพียงแค่สามชีพจรจิตวิญญาณ คุณสมบัติเช่นนี้ยังสามารถกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้ ช่างเป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆ” สีหน้าตู้ไห่เปลี่ยนไปมาในทันที


“ตอนที่ข้าได้ยินเรื่องนี้ ก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน ดูท่าพวกเราจะดูเบาศิษย์น้องหลิ่วไปหน่อย แต่ถ้าพี่ชายข้ารู้เรื่องนี้เข้า คงรู้เสียดายอย่างแน่นอน” มู่อวิ๋นเซียนถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวออกมา


“แน่นอน ถ้าตระกูลมู่ของพวกเจ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าหลิ่วหมิงกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้ ต่อให้ตระกูลไป๋จะยื่นข้อเสนอมากแค่ไหน ก็คงไม่ยอมยกเลิกงานแต่งนี้” ตู้ไห่เห็นด้วยเป็นอย่างมาก


“เรื่องของหมิงจู ข้าได้พยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว และไม่อยากยุ่งอะไรมาก แต่ถ้าพวกเราได้เจอกับศิษย์น้องหลิ่วอีกครั้ง เกรงว่าคงต้องเรียก ‘อาจารย์อาหลิ่ว’ แล้ว” มู่อวิ๋นเซียนหัวเราะอย่างขมขื่น ในหัวโผล่ภาพเด็กหนุ่มอายุสิบสามสิบสี่ที่เข้าร่วมพิธีเปิดจิตวิญญาณในปีนั้น แล้วนางก็ตกอยู่ในภวังค์


……


“อะไรนะ! ‘หลิ่วหมิง’ ที่เป็นอาจารย์จิตวิญญาณคนใหม่ก็คือ ‘ไป๋ชงเทียน’ ในปีนั้น!


ในห้องหินแห่งหนึ่งของเขาพลังโลหิต ศิษย์เก่าสาขาพลังโลหิตหลายคนรวมตัวอยู่ที่นั่น แต่ละคนต่างก็มีสีหน้าที่ดูไม่ได้เลย


สือเจียนกับลวี่อวิ๋นที่เคยเจอกับหลิ่วหมิงก็อยู่ในนั้นด้วย พวกเขาทั้งสองมีสีหน้าหนักใจมากที่สุด


“แล้วจะทำอย่างไรดี! เพราะเรื่องของอาจารย์อาเกา ตอนนั้นพวกเราจึงทำตัวเป็นศัตรูกับเขา ถ้าอาจารย์อาหลิ่วออกจากเก็บตัวล่ะก็ พวกเราคงไม่อาจอยู่ได้โดยสงบ” ชายฉกรรจ์สวมชุดทะมัดทะแมงกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย


“ใครจะไปรู้ว่าศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณจะสามารถก้าวสู่อาจารย์จิตวิญญาณได้เหมือนกับอาจารย์อาเกาล่ะ ถ้ารู้แต่แรก พวกเราคงไม่กล้าไปยุแหย่เขาหรอก ที่แย่ที่สุดในตอนนี้ก็คือ อาจารย์อาเกายังอยู่ที่ชายแดน อยากให้เขาปกป้องพวกเราก็คงทำไม่ได้” สือเจียนค่อยๆ กล่าวออกมา


“นั่นน่ะสิ! ถ้าอาจารย์อาเกาอยู่ในนิกายล่ะก็ ต่อให้เขามาหาเรื่องพวกเรา ก็ต้องผ่านด่านอาจารย์อาเกาก่อน แต่ตอนนี้น่ะหรือ คงต้องเกิดเรื่องยุ่งยากกับพวกเราเข้าแล้ว ถ้าไม่ใช่ว่ามีเรื่องที่เผ่าเจ้าสมุทรรุกรานเข้ามา พวกเราสามารถหาข้ออ้างออกนอกนิกายเพื่อหลบอาจารย์อาหลิ่วชั่วคราวได้ แต่ถ้าตอนนี้พวกเราออกนอกนิกายโดยไม่มีคำสั่งจากผู้ฝึกฝนระดับสูงล่ะก็ คงโดนโทษทรยศนิกายอย่างแน่นอน” ผู้อาวุโสผมสีขาวเทาอีกคนกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมอง


“ศิษย์พี่ทั้งสองอย่าได้กังวลเกินเหตุ! แม้ตอนนั้นพวกเราจะช่วยอาจารย์อาเกาจนต้องเป็นศัตรูกับคนผู้นี้ แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้ทำอะไรเขาเลย ไม่แน่ พออาจารย์อาหลิ่วผู้นี้ออกจากการเก็บตัว อาจจะลืมเรื่องทั้งหมดไปแล้วก็ได้ พวกเราก็อย่าคิดมากไปเลย” ลวี่อวิ๋นปรับสีหน้าแล้วฝืนยิ้มก่อนกล่าวออกมา


“ศิษย์น้องลวี่พูดได้มีเหตุผล หวังว่ามันคงเป็นเช่นนั้นจริงๆ” ชายฉกรรจ์สวมชุดทะมัดทะแมงกล่าวราวกับคิดอะไรอยู่


ผู้อาวุโสสบตากับสือเจียนทีหนึ่งแล้วก็ได้แต่ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น


ด้วยสถานะอาจารย์จิตวิญญาณของหลิ่วหมิงในตอนนี้ พวกเขาคงได้แต่คาดหวังเช่นนี้แล้ว


……


ในกระท่อมบนเขาระบำปีศาจที่มีบรรยากาศงดงามหลังหนึ่ง หญิงใบหน้างดงามสวมชุดสีเหลืองยืนอยู่ในนั้น นางกำลังมองผ่านหน้าต่างไปยังน้ำตกที่อยู่ไกลๆ สีหน้าของนางดูกลัดกลุ้มเป็นอย่างมาก


ทันใดนั้นมีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอก หญิงสาวร่างอรชรสวมชุดสีเขียวเดินพุ่งเข้ามา และพูดด้วยเสียงอันดัง


“ศิษย์พี่เฉียน ท่านทราบข่าวหรือยัง ‘อาจารย์อาหลิ่ว’ ที่ในนิกายเล่าลือกันเมื่อไม่นานมานี้ ก็คือ ‘ไป๋ชงเทียน’ ที่เราเคยเจอเขามาก่อน!


“หืม! มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ เจ้าไม่ได้ฟังมาผิดใช่ไหม?” หญิงชุดเหลืองคือเฉียนฮุ่ยเหนียงที่เคยเข้าแดนลึกลับพร้อมกับหลิ่วหมิงในปีนั้น เมื่อนางได้ยินเช่นนี้ก็รีบหันตัวมาด้วยความตกตะลึง


“เป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน ทั้งยังเล่าลือไปทั่วนิกายแล้ว จุ๊ๆ! ช่างคิดไม่ถึงจริงๆ หลายปีก่อนยังเป็นเจ้าหนูน้อยที่พวกเราพาไปตลาดอยู่เลย ตอนนี้กลับกลายเป็นอาจารย์อาของพวกเราแล้ว” หญิงชุดเขียวก็คือเจ้าเด็กชุ่ยเอ๋อร์นั่นเอง ตอนนี้นางกล่าวด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย


“เจ้าเพิ่งจะอายุเท่าไหร่กัน ยังมีหน้ามาเรียกคนอื่นว่าเจ้าหนูน้อยอีก แต่ข้ากลับไม่ค่อยรู้สึกแปลกใจที่ ‘ศิษย์น้องหลิ่ว’ กลายเป็น ‘อาจารย์อาหลิ่ว’ มากนัก แม้เขาจะมีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณ แต่ตอนนั้นกลับทำเรื่องมหัศจรรย์ได้อยู่บ่อยๆ ถ้าจะกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ไหนเลยจะเหมือนศิษย์พี่อย่างข้าเล่า แม้ว่าจะเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นสมบูรณ์แบบมาหลายปีแล้ว แต่ก็ควบแน่นปราณแกร่งล้มเหลวติดต่อกันถึงสองครั้ง อีกไม่นานอายุก็จะเกินแล้ว ตอนนี้ไม่มีทางที่จะเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้เลย” เฉียนฮุ่ยเหนียงกล่าวอย่างไม่มีทางเลี่ยง แต่พอคิดถึงเรื่องราวของตนเองแล้ว สีหน้าก็หม่นหมองลง


“ศิษย์พี่อย่าท้อใจเป็นอันขาด ที่เจ้าหนูน้อยคนนี้เข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณได้ อย่างมากก็อาศัยโชคชะตา ด้วยคุณสมบัติของศิษย์พี่ ช้าเร็วก็ทะลวงเขตแดนระดับของเหลวได้อยู่ดี อย่าได้ไปใส่ใจมันมากนัก นิกายเราก็ใช่ว่าจะไม่มีตัวอย่างที่อายุเกินสามสิบแล้วยังก้าวเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณได้” หญิงชุดเขียวได้ยินเช่นนี้ ถึงได้นึกถึงเรื่องที่ศิษย์พี่ตรงหน้ารู้สึกเสียใจกับการทะลวงอาจารย์จิตวิญญาณล้มเหลวในก่อนหน้านั้น นางจึงรีบเปลี่ยนคำพูดในฉับพลัน


“เจ้าวางใจเถอะ! ข้าไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามาปลอบใจ เดิมทีความสามารถในการก้าวเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณ ล้วนอาศัยจังหวะและโชคชะตาของตัวเองกว่าครึ่งหนึ่ง ต่อให้ภายหน้าโอกาสการสำเร็จเป็นอาจารย์จิตวิญญาณจะต่ำ ข้าก็จะไม่ละทิ้งโดยง่าย” เฉียนฮุ่ยเหนียงยิ้มและตอบกลับไป ตอนนี้นางดูร่างเริงขึ้นมามาก


แม้หญิงสาวชุดเขียวจะไม่รู้มูลเหตุ แต่พอเห็นว่าเฉียนฮุ่ยเหนียงอารมณ์ดีขึ้นมามาก นางย่อมรู้สึกดีใจอย่างถึงขีดสุด จากนั้นก็พูดจาเจี๊ยวจ๊าวเกี่ยวกับเรื่องในนิกายต่อ


หนึ่งเดือนต่อมา ตรงชายแดนระหว่างแคว้นต้าเสวียนกับแคว้นไห่เยวี่ย บนยอดหอสูงร้อยจั้งในเมืองขนาดใหญ่ที่แต่ละนิกายรวมพลังกันสร้างขึ้น


“เพล้ง!”


ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ตบโต๊ะตรงหน้าจนแตกกระจายในฉับพลัน สีหน้าเขาดูหนักอึ้งเป็นอย่างมาก


แผ่นกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะร่วงลงพื้น บนนั้นมีอักขระเล็กๆ เขียนอยู่เป็นจำนวนมาก เนื้อหาบอกเล่าเกี่ยวกับเรื่องที่หลิ่วหมิงเปลี่ยนชื่อและกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณ


ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ก็คือ ‘เกาชง’ อาจารย์จิตวิญญาณคนใหม่ของนิกายปีศาจที่มีชื่อเสียงในเมืองขนาดใหญ่นี้


……………………………………….


ตอนที่ 247 สมบัติล้ำค่า

โดย

Ink Stone_Fantasy

เก้าเดือนผ่านไป ขณะที่ชายชุดคลุมสีขาวกำลังนั่งสมาธิอยู่นั้น พลันมีเสียงดังหวึ่งๆ ดังขึ้นมา


เขารู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก จึงรีบหยุดทำท่าทางที่ทำอยู่แล้วมองไปยังด้านหน้า


กระจกทองเหลืองที่แขวนอยู่บนผนังอย่างเงียบๆ ค่อยๆ สั่นไหวขึ้นมา


ภาพในกระจกทองเหลือง คือภาพที่ประตูบ้านหินขนาดใหญ่ค่อยๆ เปิดออก ชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีเขียวเดินออกจากในนั้นด้วยสีหน้าสงบ เขาคือหลิ่วหมิงนั่นเอง


ชายชุดคลุมสีขาวเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขารีบพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา หลังจากที่ลูบไปมาไม่กี่ที ก็เดินลงบันไดไป


……


หลิ่วหมิงสังเกตดูทิวทัศน์นอกบ้านหิน ทุกอย่างเหมือนกับตอนมาไม่มีผิด


อย่างเดียวที่ไม่เหมือนก็คือ ตอนที่เข้ามายังเป็นแค่ศิษย์จิตวิญญาณที่ไม่เตะตาคนหนึ่ง แต่ตอนออกมากลับเป็นอาจารย์จิตวิญญาณที่แท้จริงแล้ว


หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ รอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นบนใบหน้า พอเขากำมือทั้งสองเล็กน้อย แสงสีน้ำเงินจางๆ ก็ปรากฏออกมา ในนั้นมีผลึกแสงแพรวพราวเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด


นี่คือปราณแกร่งที่เขาควบแน่นมาอย่างยากลำบาก พลังการป้องกันแข็งแกร่งจนสามารถรับการโจมตีทั้งหมดของศิษย์จิตวิญญาณทั่วไปโดยที่ตนเองไม่เป็นอะไรเลย


เพื่อการควบแน่นปราณแกร่งในครั้งนี้ เขาใช้ไอปีศาจบริสุทธิ์พลังน้ำเงินไปจนหมด และควบแน่นติดต่อกันสามครั้งถึงสำเร็จ


ในตอนนั้นเขากลัวจนเกือบขี้ขึ้นสมอง และแอบภาวนาให้มันโชคดีอยู่ไม่หยุด


ถ้าตอนแรกเขาได้ไอปีศาจบริสุทธิ์นี้มาน้อยกว่านี้ล่ะก็ เกรงว่าการทะลวงระดับของเหลวในครั้งนี้คงจะล้มเหลวอย่างแน่นอน


หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ ทันใดนั้นเขาก็ดีดนิ้วออกไปยังพื้นบริเวณนั้น


“ฟู่!”


จุดแสงสีน้ำเงินพุ่งยิงออกไป ทิ้งรูลึกๆ ไว้บนพื้นรูหนึ่ง ไอเย็นสะท้านแปลกประหลาดพุ่งออกมา พริบตาเดียวรูเล็กๆ ก็ถูกน้ำแข็งปกปิดไว้


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็แสดงสีหน้าพึงพอใจออกมา


ไม่ว่าจะเป็นด้านการป้องกันหรือโจมตีของปราณแกร่งพลังน้ำเงินอันดับเจ็ดล้วนทำให้เขาพอใจเป็นอย่างมาก ไม่เสียแรงที่ไปเอามาจากเขาหมื่นทมิฬด้วยความยากลำบาก


แต่ขณะนั้นเอง หากมีคนใช้พลังจิตกวาดดูภายร่างของหลิ่วหมิงล่ะก็ จะเห็นว่าพลังต้นกำเนิดตรงจุดตันเถียนกลายเป็นของเหลวสีเงินจางๆ และปล่อยพลังเวทย์อันน่าตกใจออกมา


นี่คือหนึ่งในสัญลักษณ์ของผู้ฝึกฝนที่เข้าสู่ระดับของเหลวที่เรียกว่า “พลังต้นกำเนิดกลายเป็นของเหลว” ด้วยเหตุนี้ร่างของเขาจึงจุรับพลังเวทย์ได้มากกว่าศิษย์จิตวิญญาณหลายสิบเท่า


แน่นอนว่าพริบตาที่เขาเข้าสู่ระดับของเหลว พลังจิตของเขาก็แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นจากเดิมหลายเท่า


อย่างที่รู้ว่า แต่ก่อนพลังจิตของหลิ่วหมิงก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าอาจารย์จิตวิญญาณทั่วไปเลย ตอนนี้แข็งแกร่งขึ้นมาหลายเท่า เกรงว่าอาจารย์จิตวิญญาณขั้นปลายก็ไม่อาจเทียบกับเขาได้


นี่เป็นเรื่องโชคดีที่พอหลิ่วหมิงเข้าสู่ระดับของเหลวแล้ว ก็ฝึกฝนอยู่ในบ่อจิตวิญญาณครึ่งปี มิเช่นนั้นไม่ว่าพลังต้นกำเนิดกลายเป็นของเหลวหรือว่าความแข็งแกร่งของพลังจิต อาจทำให้เขตแดนของเขาไม่มั่นคง และเกิดภัยแฝงได้โดยง่าย


หลิ่วหมิงคิดแบบนี้ในใจ และค่อยๆ เดินไปยังทิศทางที่เข้ามาในตอนแรก


พอเดินเข้าใกล้บริเวณค่ายกลที่ส่งตัวมา ชายชุดคลุมสีขาวก็รออยู่ที่นั่นแล้ว พอเขาเห็นหลิ่วหมิงเดินเข้ามา ก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม


“เฮ่อๆ ยินดีกับศิษย์หลานหลิ่วที่เข้าสู่ระดับของเหลว กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกเหมือนกับพวกเรา ข้าได้แจ้งศิษย์พี่ท่านประมุขแล้ว อีกสักครู่เขาคงมาพาศิษย์หลานไปไหว้ที่หอบูรพาจารย์ จากนั้นก็สามารถเรียกข้าว่า “ศิษย์พี่” ได้อย่างเป็นทางการแล้ว จุ๊ๆ! ศิษย์ น้องอาจจะยังไม่รู้ ครั้งนี้เจ้าเข้าสู่ระดับของเหลวได้ ไม่รู้ว่าทำให้คนตกตะลึงมากมายเท่าไหร่”


“ที่ศิษย์กลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้นับว่าเป็นเรื่องที่โชคดีมาก ถ้าต้องทะลวงอีกครั้งล่ะก็ คงต้องล้มเหลวแปดถึงเก้าส่วน” หลิ่วหมิงคารวะแล้วกล่าวออกมา


“ฮ่าๆ! ในเมื่อศิษย์น้องเลือกที่จะฝืนชะตาฟ้า โชคส่วนหนึ่งก็มาจากพลังด้วย” ชายชุดคลุมสีขาวหัวเราะฮาๆ ก่อนกล่าวออกมาอย่างไม่ใส่ใจ


หลิ่วหมิงก็ได้แต่ยิ้มตอบกลับไป


เวลาต่อมา เขาเดินตามชายชุดคลุมสีขาวเข้าไปในค่ายกลเพื่อออกจากเขตแดนบ่อจิตวิญญาณ จากนั้นก็กลับมายังหอชั้นหนึ่งตรงปากทางเข้าหุบเขาอีกครั้ง


ยังไม่ทันที่หลิ่วหมิงจะสะบัดศีรษะเพื่อขับไล่ความวิงเวียนออกไป เงาร่างคนผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม


ซึ่งก็คือประมุขนิกายปีศาจนั่นเอง!


…….


หนึ่งชั่วยามผ่านไป หลังจากหลิ่วหมิงไปจากหอบูรพาจารย์ตรงยอดเขาหลักแล้ว ก็กลับไปเขาเก้าทารกทันที


ครึ่งวันผ่านไป เขากับกุยหรูฉวนก็หาถ้ำที่พักในเขาเก้าทารก จากนั้นเขาก็ย้ายเข้าไปอยู่ที่นั่น


วันที่สอง หลิ่วหมิงได้ต้อนรับอาจารย์จิตวิญญาณสาขาอื่นๆ ที่มากล่าวยินดีภายในถ้ำที่พัก


วันที่สาม หลิ่วหมิงพบกับศิษย์สาขาเก้าทารกในหอใหญ่บนยอดเขาเก้าทารกในสถานะอาจารย์จิตวิญญาณเป็นครั้งแรก


แม้ศิษย์เหล่านี้จะรู้แต่แรกว่าหลิ่วหมิงเปลี่ยนชื่อและเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว แต่พอได้พบกับหลิ่วหมิงตัวจริง พวกเขายังคงมีสีหน้าที่แตกต่างกันไป


……


ครึ่งเดือนผ่านไป หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับภายในถ้ำที่พักแห่งใหม่ ด้านหน้ามีค่ายกลขนาดใหญ่ประทับอยู่บนพื้น


ใจกลางค่ายกล มีกระบี่สั้นสีเขียวลอยอยู่ต่ำๆ ขณะเดียวกันบนพื้นผิวของมันมีอักขระสีเขียวจางๆ สิบกว่าชั้นเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด


หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือทั้งสองอย่างรวดเร็ว เขาพ่นไอบริสุทธิ์ออกมากลุ่มหนึ่ง จากนั้นมันก็หายวับเข้าไปในกระบี่สั้นอย่างรวดเร็ว


เขากำลังปรับแต่งอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางชิ้นนี้อยู่


ระดับการฝึกฝนของเขาในตอนแรก สามารถกระตุ้นชั้นจำกัดได้แค่สามสี่ชั้นเท่านั้น แต่ตอนนี้กลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณระดับต้นแล้ว พลังเวทย์ที่เพิ่มขึ้นมาสิบกว่าเท่า ย่อมสามารถกระตุ้นชั้นจำกัดที่สูงขึ้นได้


ด้วยเหตุนี้ เขาจึงนำกระบี่จันทราหยกมาปรับแต่งอีกครั้ง


เพียงแค่ปรับแต่งอาวุธจิตวิญญาณนี้สำเร็จแล้วกระตุ้นมัน อานุภาพของมันคงต่างจากเดิมราวฟ้ากับดิน


ชั้นค่ายกลอักขระบนพื้นผิวกระบี่สั้นสีเขียวมีมากขึ้นเรื่อยๆ ชั้นที่สิบหกก็โผล่ออกมาลางๆ หลิ่วหมิงเผยสีหน้าดีใจออกมา พอเปลี่ยนท่ามือ ก็มีเสียงดังหวึ่งๆ ออกมาจากแขนเสื้อของเขา


หลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึง เขามองไปยังที่มาของเสียงแล้วต้องขมวดคิ้วขึ้นมา


เขาหยุดทำท่ามือในฉับพลัน กระบี่สั้นสีเขียวยังคงลอยต่ำอยู่เช่นเดิม พอเขาสะบัดแขนเสื้อ แผ่นค่ายกลกลมๆ ก็ลอยออกมา หลังจากหมุนวนหนึ่งรอบแล้วก็ค่อยๆ หล่นลงบนมือเขาอย่างมั่นคง


หลิ่วหมิงกวาดสายตามองอักขระเล็กๆ ที่ลอยอยู่บนแผ่นค่ายกลแล้วก็ต้องแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา จากนั้นจึงเก็บมันเข้าไปด้วยตาที่เป็นประกาย และแสดงสีหน้าลังเลเล็กน้อย


ในแผ่นค่ายกลคือข้อความที่ประมุขนิกายปีศาจส่งมา และให้เข้าไปประชุมที่หอใหญ่บนยอดเขาหลัก บอกว่ามีเรื่องสำคัญอยากปรึกษา


แม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ไม่อาจไม่สนใจได้


ดังนั้นเขาจึงรีบทำท่ามือด้วยมือทั้งสอง ส่งผลให้ชั้นค่ายกลอักขระบนกระบี่จันทราหยกหดตัวเข้าไป จากนั้นถึงเก็บกระบี่จันทราหยกแล้วออกไปจากห้องลับ


ผ่านไปไม่นาน หลิ่วหมิงก็ขี่เมฆเหาะไปจากเขาทารก เพื่อมุ่งตรงไปยังยอดเขาหลัก


ใช้เวลาไม่นาน เขาก็มาถึงห้องโถงใหญ่บนยอดเขาหลักที่ใช้หารือเรื่องสำคัญ


ประมุขนิกายปีศาจคิ้วขมวดรออยู่ที่นั่นนานแล้ว พอหลิ่วหมิงเข้ามา เขาก็ทักทายด้วยรอยยิ้ม


“ศิษย์น้องหลิ่ว ในที่สุดเจ้าก็มา รีบมานั่งก่อน”


“ศิษย์พี่ท่านประมุขเกรงใจเกินไปแล้ว ไม่ทราบว่าเรียกว่าข้ามามีเรื่องสำคัญอันใดหรือ?” หลิ่วหมิงคารวะผู้อาวุโสที่สวมชุดผ้าป่านด้วยความนอบน้อม


“ในเมื่อศิษย์น้องใจร้อนเช่นนี้ ข้าก็จะไม่อ้อมค้อมแล้ว ข้าขอถามเจ้าหน่อย วิชาที่เจ้าฝึกฝนในตอนแรกใช่เคล็ดวิชากระดูกดำหรือไม่?” ประมุขนิกายปีศาจลังเลเล็กน้อยแล้วก็ถามประโยคที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกเย็นสะท้านขึ้นมา


“ศิษย์พี่ท่านประมุขทราบมาจากอาจารย์อาหร่วนใช่หรือไม่?” หลิ่วหมิงฉุกคิดอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ได้แสดงสีแปลกใจออกมา


“ศิษย์น้องหลิ่วไม่ต้องกังวลไป ถ้าพูดถึงระดับความเข้าใจเกี่ยวกับเคล็ดวิชากระดูกดำ ในนิกายปีศาจเรานอกจากศิษย์น้องหร่วนแล้ว เกรงว่าคงมีแต่ข้าเท่านั้น ในเมื่อปีนั้นเจ้าเข้าร่วมการประลองใหญ่ ต่อให้ศิษย์น้องหร่วนไม่บอก ข้าก็มองออกบางส่วน” ผู้อาวุโสชุดผ้าป่านหัวเราะเบาๆ ก่อนกล่าวออกมา


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่ปิดบังอีกต่อไป ข้าฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำจริงๆ! ที่ศิษย์พี่เรียกข้ามาเพราะว่าเรื่องนี้หรือ?” หลิ่วหมิงฉุกคิดอย่างรวดเร็ว แต่ก็ถามออกไปด้วยสีหน้าสงบ


“อืม! เกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชานี้จริงๆ แต่ก่อนอื่นข้าอยากถามศิษย์น้องหลิ่วว่า มีความเห็นเช่นไรเกี่ยวกับการรุกรานแคว้นตามชายฝั่งทะเลของเผ่าเจ้าสมุทรในครั้งนี้?” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“การรุกรานของเผ่าเจ้าสมุทร? เรื่องนี้มันพูดยาก แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ต้องสงสัยเลยก็คือ อิทธิพลของเผ่าเจ้าสมุทรแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก อาศัยแค่กำลังจากแคว้นเราอย่างเดียว ไม่อาจโจมตีให้เผ่าเจ้าสมุทรล่าถอยไปได้” หลิ่วหมิงรู้สึกอึ้งเล็กน้อย แต่ก็รีบกล่าวออกมาโดยไม่ต้องคิด


“ดูท่าศิษย์น้องจะเป็นผู้ที่ฉลาดหลักแหลม ข้ามีข่าวที่ส่งมาจากชายแดน ศิษย์น้องดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน” ประมุขนิกายปีศาจพยักหน้า และหยิบแผ่นไผ่สีขาวออกจากแขนเสื้อยื่นให้หลิ่วหมิง


แม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกแปลกใจที่เห็นเช่นนี้ แต่ก็รีบรับแผ่นไผ่มาแปะไว้บนหน้าผาก


เวลาค่อยๆ ผ่านไป สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปมา ผ่านไปซักพักถึงถอนหายใจเบาๆ และดึงแผ่นไผ่ออก


“คิดไม่ถึงว่าเผ่าเจ้าสมุทรจะมีพลังแข็งแกร่งเช่นนี้ สถานการณ์ข้างหน้าก็ดูเลวร้ายเช่นนี้”


“อย่างที่เจ้าเห็น เผ่าเจ้าสมุทรมีอิทธิพลแข็งแกร่งมากกว่าที่พวกเราคิดไว้ และผู้อาวุโสระดับผลึกของพวกเราทั้งห้านิกายต่างก็ไปตั้งมั่นอยู่ที่ชายแดนเมื่อปีก่อน เพื่อป้องกันการจู่โจมของผู้อาวุโสระดับผลึกของฝ่ายตรงข้าม แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ พอทางเผ่าเจ้าสมุทรเคลื่อนพล พันธมิตรตรงชายแดนก็ไม่สามารถต้านทานได้นาน ดังนั้นนิกายทั้งห้าต้องรีบส่งกำลังเสริมรอบสองไปช่วย แต่ศิษย์ร้องหลิ่วเองก็รู้ว่า เดิมทีนิกายปีศาจเรามีอิทธิพลต่ำสุด เมื่อตัดผู้ที่อยู่รักษาการณ์ในนิกายกับผู้ที่กำลังดำเนินภารกิจแล้ว คนที่สามารถส่งไปได้ก็มีอยู่น้อยมาก ดังนั้นแม้ว่านิกายเราจะไม่สามารถส่งอาจารย์จิตวิญญาณไปได้มาก แต่ก็เตรียมสมบัติล้ำค่าที่เดิมทีปิดผนึกไว้มาใช้” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง


“สมบัติล้ำค่า?” หลิ่วหมิงฟังมาถึงจุดนี้ก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก


……………………………………….


ตอนที่ 248 ค้อนกลืนวิญญาณกับโครงกระดูก

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลิ่วหมิงคิดไม่ออกจริงๆ ว่าของล้ำค่าที่ฝ่ายตรงข้ามกล่าวถึงเกี่ยวข้องกับตนเองอย่างไร ทำไมถึงต้องให้เขามาด้วยตนเอง


เห็นได้ชัดว่าประมุขนิกายปีศาจมองออกว่าหลิ่วหมิงกำลังคิดอะไรอยู่ จึงรีบกล่าวออกไปด้วยคำที่แฝงความหมายลึกซึ้ง


“ที่สมบัติล้ำค่าหลายอย่างของนิกายเราถูกปิดผนึก เป็นเพราะว่าพวกมันมีอานุภาพมากเกินไป ที่ไม่อยากบุ่มบ่ามเพราะป้องกันไม่ให้นิกายอื่นหวาดกลัว แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นสมบัติล้ำค่าเหล่านี้ต่างก็มีข้อจำกัดในการใช้ ถ้าไม่สูญเสียพลังเวทย์เป็นจำนวนมาก ก็อาจเกิดผลกระทบในภายหลัง สมบัติบางชนิดต้องเป็นผู้ที่ฝึกฝนวิชาพิเศษบางอย่างถึงจะควบคุมมันได้”


“ที่ท่านพูดถึงเคล็ดวิชากระดูกดำในก่อนหน้านี้ หรือว่ามีสมบัติล้ำค่าที่จำเป็นต้องใช้วิชานี้ควบคุมมัน” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็รู้ได้ในฉับพลัน


“ศิษย์น้องหลิ่วเป็นคนฉลาดมาก แต่ที่ข้าถูกใจกลับไม่ใช่เคล็ดวิชากระดูกดำ แต่เป็นผลของเคล็ดวิชากระดูกดำที่ดูคล้ายเคล็ดวิชาควบคุมกระดูกมากกว่า สมบัติล้ำค่าที่ปิดผนึกอยู่ในแดนต้องห้าม มีสองชิ้นที่ต้องใช้เคล็ดวิชาควบคุมกระดูกถึงสามารถควบคุมมันได้ หลายร้อยปีแล้วที่นิกายเราไม่มีคนฝึกเคล็ดวิชานี้สำเร็จ ตอนนี้ศิษย์น้องสำเร็จเคล็ดวิชากระดูกดำที่คล้ายกับเคล็ดวิชาควบคุมกระดูกแล้ว จะได้ช่วยศิษย์พี่คลี่คลายงานยากนี้” ประมุขนิกายปีศาจอธิบายออกมาอย่างละเอียด


“ในเมื่อศิษย์พี่เข้าใจเคล็ดวิชากระดูกดำเป็นอย่างดี คงจะรู้ว่าผู้ที่ฝึกฝนวิชานี้ไม่ได้มีแค่ข้า” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วแล้วกล่าวออกมา


“ข้าย่อมรู้ว่ากู่เจวี๋ยก็ฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำด้วยเช่นกัน แต่การฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญาณของเขาไม่สามารถควบคุมสมบัติล้ำค่านี้ได้ ถ้าฝืนกระตุ้นมันล่ะก็ จะถูกสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ดูดจนตัวแห้งภายในพริบตา” ประมุขนิกายปีศาจกล่าว


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ดูท่าข้าคงเป็นตัวเลือกเดียวที่สามารถใช้สมบัติล้ำค่านี้ แต่ข้าอยากถามสักประโยค ศิษย์พี่แน่ใจหรือว่าเคล็ดวิชากระดูกดำใช้ได้ผลกับสมบัติล้ำค่าเหล่านั้น? ข้าคงเป็นคนแรกในนิกายที่อาศัยเคล็ดวิชากระดูกดำในการเข้าสู่อาจารย์จิตวิญญาณสินะ!” หลิ่วหมิงยิ้มอย่างขมขื่นแล้วกล่าวออกมา


“อืม! ศิษย์น้องกล่าวอย่างนี้ก็ไม่ผิด ไม่เคยมีคนใช้เคล็ดวิชากระดูกดำกระตุ้นสมบัติล้ำค่าเหล่านั้นมาก่อน แต่ตามการวินิจฉัยของข้า คิดว่าแปดถึงเก้าส่วนคงไม่มีปัญหาใดๆ และถ้าศิษย์น้องไปทดสอบดูที่ดินแดนต้องห้ามก็จะทราบผลลัพธ์เอง นี่เป็นเหตุผลที่ข้าเรียกศิษย์น้องมาที่นี่ ถ้าศิษย์น้องไม่สามารถควบคุมสมบัติล้ำค่านี้ได้จริงๆ ข้าคงต้องไปหาวิธีการอื่นแล้ว และมันก็เป็นหนึ่งในอาวุธที่นิกายเราใช้รับมือกับศัตรูตัวฉกาจ ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม ข้าจะทำให้สมบัติล้ำค่าเหล่านี้แสดงอานุภาพที่ควรมีของมันออกมาให้ได้” ประมุขนิกายปีศาจยอมรับตรงๆ จากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“ในเมื่อเรื่องมันเกี่ยวพันถึงความเป็นอยู่ของนิกาย ย่อมเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ แต่ถ้าไม่สำเร็จล่ะก็ ศิษย์พี่ท่านประมุขก็อย่าได้ท้อใจไปเลย” หลิ่วหมิงฟังมาถึงจุดนี้ ย่อมรู้ว่าตนเองไม่อาจปฏิเสธได้แล้ว ดังนั้นจึงได้ตอบรับอย่างเด็ดขาด


“ดีมาก! ข้ารู้ว่าศิษย์น้องจะต้องตอบตกลงแน่นอน อย่าช้าอยู่เลย ศิษย์น้องไปแดนต้องห้ามกับข้าเถิด!” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวด้วยความดีใจ


หลิ่วหมิงย่อมไม่กล้าคัดค้านแต่อย่างใด


ดังนั้นพอทั้งสองออกจากหอใหญ่แล้ว ก็ขี่เมฆมุ่งไปยังยอดเขาในทันที


ผ่านไปไม่นาน พวกเขาก็มาปรากฏตัวตรงหน้าหุบเขาที่อาจารย์ปู่เยี่ยนเก็บตัวฝึกฝน แม้แต่แมวดาวหิมะขาวที่หลิ่วหมิงเคยเห็นก็ม้วนตัวนอนขดอยู่ที่นั่น


ประมุขนิกายปีศาจไม่ได้สนใจแมวดาว เพียงแค่ควักกระดิ่งสีทองอ่อนๆ ออกจากแขนเสื้อแล้วสั่นไปทางหุบเขาเบาๆ


“ฟู่!” คลื่นกระเพื่อมออกจากกระดิ่งสีทองแล้วม้วนตัวไปยังหุบเขา


แมวดาวที่กำลังนอนหลับอยู่กระดิกหูทั้งสองและลุกขึ้นมาในทันที แต่ยังคงหดหัวอยู่โดยไม่คิดจะแหงนหน้าขึ้นมาเลย


แต่สายตาหลิ่วหมิงที่มองแมวดาวหิมะขาวตนนี้ กลับดูเคร่งขรึมขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว


ตอนที่เขามาที่นี่ในครั้งก่อน ยังเป็นแค่ศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้น ตอนนั้นรู้สึกว่ากลิ่นไอของแมวดาวตัวนี้น่ากลัวมาก จนไม่อาจสังเกตดูพลังที่แท้จริงของมันได้


แต่ตอนนี้เขากลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว พลังจิตแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนหลายเท่า พอตรวจสอบดูแมวดาวตนนั้นเล็กน้อย ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นไอบนตัวมัน ซึ่งมันไม่ได้แตกต่างไปจากอาจารย์จิตวิญญาณระดับต้นโดยทั่วไปเลย


เจ้าแมวดาวตนนี้เป็นอสูรระดับของเหลวเช่นกัน


ในขณะที่หลิ่วหมิงแอบสังเกตแมวดาวอยู่ไม่หยุดนั้น เงาร่างผอมบางก็เดินออกจากหุบเขา ซึ่งก็คือเด็กชายที่ดูแลหุบเขาในตอนนั้น


รูปร่างหน้าตาการแต่งตัวของเด็กคนนี้เหมือนกันกับเมื่อสี่ปีก่อนไม่มีผิด ราวกับว่ากาลเวลาไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อเขาเลย


“ข้าก็ว่าใคร ที่แท้ก็เป็นอาจารย์อาท่านประมุขนั่นเอง หรือว่าอาจารย์อาจะมาดูสิ่งของเหล่านั้น!” พอเด็กชายชุดเหลืองเห็นประมุขนิกายปีศาจ ก็หัวเราะฮิๆ ออกมา และมองหลิ่วหมิงด้วยสายตาประหลาดใจ ราวกับว่าจำหลิ่วหมิงไม่ได้เลย


“ศิษย์หลาน ข้าจะแนะนำสักหน่อย นี่คือศิษย์น้องหลิ่วที่เพิ่งเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณ ครั้งนี้ข้าพาศิษย์น้องหลิ่วมาดูสมบัติล้ำค่าเหล่านั้น” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวด้วยรอยยิ้ม และดูใจดีกับเด็กชายมาก


“ที่แท้ก็เป็นอาจารย์อาหลิ่ว แม้ว่าตอนนี้อาจารย์ปู่จะไม่อยู่ แต่อาจารย์อาท่านประมุขก็สามารถพาคนไปดูสมบัติล้ำค่าเหล่านั้นได้ แต่ตามคำสั่งที่อาจารย์ปู่ทิ้งไว้ก่อนไป จะต้องมีคำสั่งที่เขียนด้วยลายมือของท่านเท่านั้น ถึงจะสามารถเอาของเหล่านี้ออกจากหุบเขาได้” เด็กชายพยักหน้าแล้วกล่าวอย่างไม่ลังเล


“เรื่องนี้ข้าย่อมรู้ดี ที่ข้าพาศิษย์น้องหลิ่วมาในครั้งนี้ ก็เพื่อทดสอบเรื่องราวบางอย่างเท่านั้น” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวโดยไม่รู้สึกแปลกใจเลย


“ถ้าเป็นเช่นนี้จริงๆ ย่อมไม่มีปัญหาใดๆ อาจารย์อาท่านประมุขกับอาจารย์อาหลิ่วตามข้ามาเถอะ!” เด็กชายยิ้มออกมาอย่างน่ารัก จากนั้นก็นำทางให้กับทั้งสอง


หลิ่วหมิงและประมุขนิกายปีศาจเดินตามเข้าไป


ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป ทั้งสามมาปรากฏตัวตรงทางเข้าห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีชั้นจำกัดล้อมรอบอยู่หลายชั้น


ทางเข้าทั้งหมดถูกม่านแสงสีขาวปกคลุมไว้ บนนั้นยังมียันต์สีทองจางๆ สองผืนแปะอยู่ และเปล่งแสงประกายออกมา


“ศิษย์มาส่งได้แค่นี้ ต่อไปอาจารย์อาท่านประมุขก็ดำเนินการด้วยตนเองได้เลย ผนึกตรงทางเข้าคงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับอาจารย์” พอเด็กชายเดินมาถึงหน้าม่านแสงก็หันมากล่าวกับประมุขนิกายปีศาจ


“ได้! ศิษย์หลานรออยู่ที่นี่ซักครู่ก็แล้วกัน” ประมุขนิกายปีศาจตอบรับอย่างเต็มปากเต็มคำ จากนั้นก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมาแผ่นค่ายกลสีทองที่เตรียมไว้แต่แรกได้ปรากฏขึ้นในมือ และเขาก็โยนมันไปยังม่านแสงตรงหน้า


พริบตานั้น เกิดแรงดึงดูดระหว่างแผ่นค่ายกลสีทองกับม่านแสง


“เพล้ง!” แผ่นค่ายกลสีทองพุ่งไปติดอยู่บนม่านแสง


ขณะนี้ ประมุขนิกายปีศาจถึงร่ายคาถาออกมา นิ้วมือนิ้วหนึ่งชี้ไปยังแผ่นค่ายกลสีทอง


แสงสีขาวเปล่งประกายออกมา และหายวับเข้าไปในแผ่นค่ายกล


แผ่นค่ายกลสีทองเปล่งลำแสงออกมา อักขระสีทองจำนวนมากลอยขึ้นจากบนนั้น และค่อยๆ จมหายเข้าไปในม่านแสงสีขาว


บังเกิดเสียงดังขึ้น!


ยันต์สีทองทั้งสองผืนหลุดร่วงลงไป จากนั้นม่านแสงสีขาวก็สลายไปในพริบตา


ประมุขนิกายปีศาจโบกมือข้างหนึ่ง เพื่อดูดแผ่นค่ายกลสีเหลืองกลับมา และมันก็พร่ามัวหายเข้าไปในแขนเสื้อ


จากนั้นเขาก็ก้าวยาวๆ เข้าไปในห้องโถง


หลิ่วหมิงเดินตามเข้าไปด้วยตาที่เป็นประกาย


ตรงมุมทั้งสี่ในห้องโถงใหญ่ มีแท่นหินขนาดต่างๆ สิบกว่าแท่นวางอยู่ แต่ละแท่นถูกปกคลุมด้วยม่านแสงหลากสี ข้างในมีสิ่งของวางอยู่หนึ่งชิ้น


ประมุขนิกายปีศาจไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย เขาพาหลิ่วหมิงเดินเข้าไปยังแท่นหินแท่นหนึ่งทันที


พอมาถึงหน้าแท่นหิน หลิ่วหมิงก็จ้องมองจนเห็นสิ่งของในนั้นอย่างชัดเจน มันคือค้อนกระดูกสีขาวที่มีลักษณะมหัศจรรย์เป็นอย่างมาก


มันยาวสามฉื่อกว่าๆ หัวค้อนทำจากหัวกะโหลกสี่หัวรวมเข้าด้วยกัน ด้ามขวานมีเส้นสีทองรัดพันอยู่อย่างหนาแน่น ปลายด้ามมีรอยเว้ากลมๆ ที่เลี่ยมฝังผลึกหินสีเขียวอ่อนขนาดใหญ่ไว้


“สมบัติชิ้นนี้เรียกว่าค้อนกลืนวิญญาณ เป็นสมบัติล้ำค่าที่ผู้อาวุโสระดับผลึกที่มีชื่อเสียงใช้เมื่อหลายร้อยปีก่อน อานุภาพแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก คุณสมบัติมันเคยไปถึงอาวุธจิตวิญญาณระดับสูง เพียงแค่อยู่ห่างจากอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น แต่น่าเสียดายที่ผู้อาวุโสท่านนี้ประสบความล้มเหลวในการอาศัยพลังฟ้าดินเพื่อยกระดับของมัน จนไม่เพียงแต่ทำให้สูญเสียจิตวิญญาณดั้งเดิมของมันไป แต่ยังทำให้คุณสมบัติของมันลดลงไปมาก ตอนนี้สามารถรักษาคุณสมบัติได้แค่ระดับสูงเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม อานุภาพของค้อนกลืนวิญญาณด้ามนี้ ก็ไม่ใช่สิ่งที่อาวุธจิตวิญญาณระดับสูงทั่วไปจะสามารถเทียบได้ ถ้ากระตุ้นมันโจมตีศัตรูล่ะก็ ต่อให้เป็นผู้ฝึกฝนระดับอาจารย์จิตวิญญาณขั้นต้นอย่างศิษย์น้อง ก็สามารถรับมือกับอาจารย์จิตวิญญาณขั้นปลายได้ แต่น่าเสียดายที่สมบัติชิ้นนี้หลอมมาจากกระดูกจิตวิญญาณ ในสมัยก่อนยังถูกผู้อาวุโสท่านนั้นใส่ชั้นจำกัดพิเศษไว้หลายชนิด ถ้าอยากกระตุ้นมันล่ะก็ ต้องฝึกฝนเคล็ดวิชาควบคุมกระดูกก่อน” ประมุขนิกายปีศาจอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ดูท่าค้อนกลืนวิญญาณด้ามนี้คงเป็นสมบัติล้ำค่าที่ศิษย์พี่ท่านประมุขอยากให้ข้าใช้มัน” หลิ่วหมิงฟังจบก็จ้องมองค้อนและกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย


“แม้ว่าค้อนกลืนวิญญาณด้ามนี้จะมีอานุภาพแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเทียบกันแล้ว ข้ากลับอยากให้ศิษย์น้องควบคุมสมบัติอีกชิ้นที่ต้องใช้เคล็ดวิชาควบคุมกระดูกเหมือนกันมากกว่า” ประมุขนิกายปีศาจฟังถึงจุดนี้ ก็แสดงสีหน้าซับซ้อนออกมา


“สมบัติอีกชิ้น?” สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนี้


“ศิษย์น้องตามข้ามาก็จะรู้เอง” ประมุขนิกายปีศาจกลับพาหลิ่วหมิงไปยังแท่นหินอีกแท่นหนึ่ง


“นี่คือ……” พอหลิ่วหมิงมองเห็นสิ่งของบนแท่นหินอย่างชัดเจน ก็รู้สึกตกตะลึงขึ้นมา


ในม่านแสง เป็นโครงกระดูกจิ๋วที่ยาวไม่ถึงฉื่อกว่าๆ กระดูกแต่ละท่อนมีอักขระสีเงินจางๆ ประทับอยู่ แต่รอบตัวปกคลุมไปด้วยรอยแตกร้าวเป็นจำนวนมาก และแขนของมันหายไปข้างหนึ่ง


……………………………………….


ตอนที่ 249 ปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูก

โดย

Ink Stone_Fantasy

โครงกระดูกนี้แตกชำรุดเป็นอย่างมาก


“นี่คือ…” พอหลิ่วหมิงเห็นโครงกระดูกนี้ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปอย่างช่วยไม่ได้


แม้ว่าจะมีม่านแสงกั้นอยู่ แต่พริบตาที่เห็นโครงกระดูกนี้ ยังคงสัมผัสได้ถึงกลิ่นไออันน่ากลัวที่ทำให้เขารู้สึกอึดอัดขึ้นมา


ถ้าไม่ใช่ว่าเขาเข้าสู่เขตแดนของเหลวแล้วล่ะก็ เกรงว่าพริบตาที่เข้าใกล้แท่นหิน คงถูกแรงกดดันบีบให้ถอยไปสองก้าวก็อาจเป็นได้


“ในสมัยก่อน ปรมาจารย์ลิ่วยินเคยมีปีศาจที่เลี้ยงอยู่สองตน และพวกมันช่วยกวาดล้างนิกายในแคว้นต้าเวียนทั้งหมด ซึ่งไม่มีใครต่อกรได้ หนึ่งในปีศาจที่กล่าวถึงคือราชาปีศาจ ซึ่งมันหายตัวไปอย่างลึกลับหลังจากที่ปรมาจารย์เสียชีวิต และอีกตนคือปีศาจมนุษย์กระดูกขาวที่อยู่ในระดับ ‘หมื่นปีศาจ’ ตนนี้ ซึ่งเป็นปีศาจมนุษย์หนึ่งเดียวของนิกายเราที่บ่มเพาะมาถึงเขตแดนนี้” ประมุขนิกายปีศาจมองโครงกระดูกบนแท่นหินแล้วกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“ปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูก!” พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็สูดหายใจด้วยความรู้สึกเย็นสะท้าน


อย่างที่รู้ๆ แม้ว่าปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกตนนี้ จะเป็นหนึ่งในหุ่นปีศาจที่ศิษย์ในนิกายต่างก็ฝึกฝนกัน แต่ส่วนมากก็เป็นปีศาจมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น ยิ่งถ้าบ่มเพาะจนถึงระดับ ‘ร้อยกระดูก’ นั้นมีน้อยมาก ส่วนระดับ ‘พันกระดูก’ นั้น หลิ่วหมิงสงสัยว่าในนิกายจะมีคนบ่มเพาะได้สำเร็จหรือไม่


เพราะการจะบ่มเพาะหุ่นปีศาจระดับสูงเช่นนี้ขึ้นมาได้ จะต้องสูญเสียเวลาและหินจิตวิญญาณเป็นจำนวนมาก ผู้ฝึกฝนระดับสูงโดยทั่วไปยังเกรงว่าจะหาได้ไม่พอเลย แล้วจะทุ่มเทกับสิ่งของภายนอกมากเช่นนี้ได้อย่างไร


ปีศาจตรงหน้าเขาในตอนนี้ กลับเป็นปีศาจมนุษย์ที่บ่มเพาะจนถึงระดับ ‘หมื่นกระดูก’ แล้วจะไม่ให้หลิ่วหมิงประหลาดใจได้อย่างไร


ว่ากันว่าปีศาจมนุษย์กระดูกขาวระดับพันกระดูกมีพลังเทียบเท่ากับอาจารย์จิตวิญญาณ ถ้าอย่างนั้นปีศาจมนุษย์ระดับหมื่นกระดูกจะแข็งแกร่งแค่ไหน!


หลิ่วหมิงคิดวกไปมาอย่างรวดเร็ว และกูเหมือนจะไม่กล้าคิดถึงเรื่องนี้แล้ว


“ปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกนี้เคยช่วยปรมาจารย์ลิ่วยินปราบศัตรูมามากต่อมากแล้ว พูดถึงชื่อเสียงของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าราชาปีศาจเลย เหตุที่มีคนรู้จักมันน้อยมาก เป็นเพราะว่ามันถูกทำลายในครั้งที่ปรมาจารย์เผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ แม้ว่าภายหลังจะถูกปรมาจารย์ซ่อมแซมอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้แข็งแกร่งเช่นเดิมแล้ว รักษาไว้ได้เพียงแค่พลังเกือบครึ่งหนึ่งไว้ได้เท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม มันก็ยังสามารถต้านทานพลังของผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นต้นได้ แน่นอน! เรื่องนี้ยังไม่เคยมีการทดสอบดูว่าจริงเท็จแต่ประการใด” ประมุขนิกายปีศาจกล่าว


“พลังเกือบครึ่งหนึ่ง ทั้งยังสามารถเทียบได้กับพลังของผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นต้น! ปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกนี้ น่ากลัวกว่าในตำนานมาก” หลิ่วหมิงจ้องมองโครงกระดูกจิ๋วในม่านแสงด้วยความรู้สึกเย็นสะท้าน


“มันไม่ใช่อย่างนั้น ว่ากันว่าส่วนสำคัญของกระดูกจิตวิญญาณที่ปรมาจารย์ลิ่วยินใช้ทำเป็นปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกนี้ มีเบื้องหลังอันยิ่งใหญ่ ด้วยเหตุนี้พลังของมันจึงแข็งแกร่งกว่า ‘ปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูก’ โดยทั่วไปสองสามส่วน แต่อย่างไรก็ตาม ตอนที่มันถูกทำลายนั้น กลับใช้กระดูกจิตวิญญาณอันอื่นมาซ่อมแซม และนำไปบ่มเพาะในหลุมพลังหยินบางแห่ง ให้ไอหยินค่อยๆ บ่มเพาะมัน แต่พันกว่าปีก่อนได้พยายามซ่อมแซมมาได้แค่ระดับนี้ จากนั้นก็ไม่สามารถซ่อมแซมได้อีก และวิญญาณนักรบระดับสูงสุดที่ปรมาจารย์ลิ่วยินใช้ควบคุมอยู่ก็แตกสลายไปนานแล้ว ต่อมาผู้อาวุโสรุ่นหลังๆ ก็ลองใช้วิญญาณนักรบอย่างอื่นมาควบคุม แต่ก็ไม่สามารถทำได้สำเร็จ จนมีผู้น้อยคนหนึ่งที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาควบคุมกระดูก ใช้คล็ดวิชานี้กระตุ้นปีศาจมนุษย์โดยตรงจนทำให้มันเคลื่อนไหวได้หนึ่งครั้ง โดยไม่ต้องใช้วิญญาณนักรบควบคุมเลย” ประมุขนิกายปีศาจค่อยๆ อธิบายออกมา


“ข้าเข้าใจแล้ว! ศิษย์พี่ท่านประมุขคิดว่าถ้าข้าสามารถควบคุมปีศาจหมื่นกระดูกนี้ได้ ก็จะสามารถใช้มันต้านทานเผ่าเจ้าสมุทรได้ดีกว่าค้อนกลืนวิญญาณด้ามนั้น แต่เมื่อไม่มีวิญญาณนักรบคอยควบคุมอยู่ เกรงว่าอานุภาพมันคงลดลงไปไม่ใช่น้อย” หลิ่วหมิงกล่าวราวกับคิดอะไรอยู่


“ข้าย่อมรู้เรื่องนี้ดี แต่จากคำบอกเล่าของผู้อาวุโสในแต่ละรุ่น แม้จะขาดวิญญาณนักรบระดับสูงสุดไป แต่อานุภาพของปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ค้อนกลืนวิญญาณจะสามารถเทียบได้ และด้วยความสามารถของศิษย์น้อง สามารถควบคุมได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกย่อมควบคุมได้ยากกว่าค้อนกลืนวิญญาณอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นท้ายสุดแล้วศิษย์น้องจะเลือกชิ้นไหน ก็ต้องลองทดสอบดูผลลัพธ์ก่อนถึงจะได้ แต่นอกจากจะใช้เคล็ดวิชาควบคุมกระดูกควบคุมค้อนกลืนวิญญาณแล้ว ศิษย์พี่ยังมีวิธีอื่นที่พอจะควบคุมสมบัติชิ้นนี้ได้ เพียงแต่วิธีการนี้มีผลกระทบในภายหลังไม่น้อย ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ข้าก็ไม่คิดจะใช้มัน” ประมุขนิกายปีศาจยิ้มอย่างขมขื่นแล้วกล่าวออกมา


“ข้าเข้าใจความหมายของศิษย์พี่แล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าจะลองดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน” หลิ่วหมิงฟังมาถึงจุดนี้ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงอีกต่อไป และพยักหน้าตอบรับในทันที


“ดีมาก ข้าจะคลายผนึกเดี๋ยวนี้” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวด้วยความดีใจ


จากนั้น เขาก็พลิกมือข้างหนึ่งขึ้นมา แผ่นค่ายกลสีทองแผ่นนั้นปรากฏขึ้นบนมืออีกครั้ง พอสะบัดข้อมือ มันก็ไปแปะอยู่บนม่านแสงหลากสี


“เพล้ง! แผ่นค่ายกลสั่นไหวแค่ไม่กี่ทีก็ทำให้ม่านแสงหลากสีแตกกระจายหายไปในพริบตา


ประมุขนิกายปีศาจถอยไปอีกด้านหนึ่ง เพื่อดูว่าหลิ่วหมิงจะทำอย่างไรต่อไป


หลิ่วหมิงมองดูโครงกระดูกจิ๋วบนแท่นหิน หลังจากหรี่ตาทั้งคู่ลง ก็ทำท่ามืออย่างไม่รีบร้อน ขณะเดียวกันก็ร่ายคาถาออกมาเบาๆ


หลังจากที่เคล็ดวิชากระดูกดำฝึกฝนจนถึงขั้นที่สี่ เขาย่อมรับรู้ได้ถึงเคล็ดวิชาประหลาดที่ใช้ควบคุมกระดูกจิตวิญญาณชนิดต่างๆ


เวลาว่างระหว่างที่อยู่ในเสวียนจิงสี่ปีนั้น เขาย่อมใช้เวลาเล็กน้อยในการฝึกวิชานี้จนสำเร็จ แต่กลับเป็นครั้งแรกที่แสดงวิชานี้ต่อหน้าคนอื่น


ไอสีดำพุ่งออกมาตามจังหวะการร่ายคาถา และหมุนวนรอบตัวเขาอย่างบ้าคลั่ง ครู่เดียวก็มีเสียงพิลาปร่ำไห้อย่างน่าเวทนาดังมาแว่วๆ


ประมุขนิกายปีศาจที่แต่เดิมอมยิ้มมองดูอยู่ ก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาอย่างอดไม่ได้


ดูเหมือนว่าระดับความบริสุทธิ์ของพลังเวทย์ของศิษย์น้องหลิ่วผู้นี้ จะเหนือความคาดหมายของเขาไปมาก


ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงก็หยุดร่ายคาถา และค่อยๆ เตะนิ้วลงบนโครงกระดูก


แสงสว่างเปล่งประกายออกมา


แสงสีขาวพุ่งยิงออกมา และหายวับเข้าไปในหัวกระโหลก


จากนั้นหลิ่วหมิงก็เปลี่ยนท่ามืออีกครั้ง


“ฟู่!”


โครงกระดูกแตกร้าวเกิดการสั่นไหว อักขระสีดำเปล่งประกายออกมา และแขนข้างที่เหลืออยู่ก็เกาะแท่นหินแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นมา


ประมุขนิกายปีศาจเห็นเช่นนี้ ก็แสดงสีหน้าดีใจเป็นอย่างมาก


ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงก็ชี้นิ้วไปยังโครงกระดูก


จากนั้นเท้าทั้งคู่ของโครงกระดูกจิ๋วก็เคลื่อนไหวและกระโดดลงจากแท่นหิน แต่ตอนที่เท้าแตะพื้นนั้น ก็ซวนเซจนเกือบจะล้มลงพื้น


หลิ่วหมิงเลิกคิ้วขึ้นมา และเร่งร่ายคาถาทันที ขณะเดียวกันนิ้วทั้งสิบก็เคลื่อนไหวอยู่ไม่หยุด พลังเวทย์พุ่งยิงออกไปเส้นๆ ราวกับสายฝน และพลังเวทย์ทั่วร่างก็เริ่มพุ่งเข้าไปในโครงกระดูก


ครู่ต่อมา ก็มีเสียงดัง “พรึ่บ!” จากเบ้าตาสีดำทั้งสอง เปลวไฟสีทองจางๆ ปรากฏออกมา หลังจากหมุนติ้วๆ แล้วก็ลุกไหม้คุโชนขึ้นมา


พริบตานั้น อักขระสีดำจำนวนมากลอยออกจากร่างของโครงกระดูก และระเบิดตัวเป็นไอหมอกล่องลอยออกไป


ไม่นาน โครงกระดูกก็ถูกไอหมอกสีดำจางๆ ปกคลุมไว้อย่างหนาแน่น เห็นเพียงเงาร่างจางๆ เท่านั้น


เสียงคำรามแปลกประหลาดเต็มไปด้วยอานุภาพอันน่าเกรงขาม ดังมาจากไอหมอก


เงาร่างพร่ามัวของโครงกระดูกขยายตัวขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ไม่นานมันก็ดูสูงใหญ่มหึมา


“เพล้ง!”


เท้าสีขาวขนาดเท่าอ่างล้างหน้าก้าวออกจากไอหมอก ราวกับว่าอีกไม่นานร่างของปีศาจยักษ์ก็จะออกมาจากหมอกสีดำแล้ว


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ใจเต้นขึ้นมา


แต่ขณะนั้นเอง ปีศาจยักษ์ที่อยู่ท่ามกลางหมอกดำก็ส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนา ร่างของมันหดลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นหมอกดำก็สลายตัวออกไป และปรากฏภาพโครงกระดูกแตกร้าวยืนอยู่ไกลๆ เปลวไฟสีทองในเบ้าตามันกลายเป็นสีดำมืดสนิท ราวกับไม่ว่าไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อน


“แม้ข้าจะควบคุมปีศาจมนุษย์ตนนี้ได้ แต่มันก็ค่อนข้างจะฝืนตัวเองไปหน่อย เกรงว่าคงไม่อาจใช้มันทำการต่อสู้ได้” หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว และหันมากล่าวกับประมุขนิกายปีศาจด้วยสีหน้าผิดหวัง


“ฮ่าๆ! ศิษย์น้องอย่าได้สิ้นหวังไป เจ้าแสดงออกมาได้ดีกว่าที่ข้าคิดไว้มาก สามารถควบคุมปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกได้ถึงระดับนี้ มันก็เพียงพอแล้ว นี่! ข้าเตรียมสิ่งของให้เจ้าไว้หนึ่งอย่าง” ประมุขนิกายปีศาจได้ยินเช่นนี้ ก็ไม่ได้แสดงสีหน้าผิดหวังแต่อย่างใด แต่กลับหัวเราะออกมา


ในระหว่างที่พูด เขาหยิบป้ายกระดูกสีขาวอันหนึ่งออกจากแขนเสื้อ บนนั้นมีอักขระสีดำเหมือนกับที่ปรากฏบนผิวของโครงกระดูกจารึกอยู่ และมันเปล่งก็เปล่งแสงแพรวพราวออกมา


“นี่คือ……” หลิ่วหมิงรับป้ายมาและถามออกไปด้วยความงุนงง


“สิ่งนี้คือป้ายจำกัดปีศาจที่ทำจากซี่โครงชิ้นเล็กๆ ของปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูก ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้อาวุโสในสมัยก่อนใช้ควบคุมปีศาจตนนี้ หลังผ่านการครุ่นคิดอย่างหนักก็นำมันมาทำเป็นอาวุธเวทย์ ถ้ามีมันก็สามารถควบคุมปีศาจตนนี้ได้ดั่งใจมากยิ่งขึ้น” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ไม่คิดว่าของสิ่งนี้จะมีผลลัพธ์เช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นให้ข้าลองดูหน่อยเถอะ” หลิ่วหมิงได้ยินก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา


เขากวาดสายตาไปยังโครงกระดูกที่อยู่ไม่ไกล และส่งพลังเวทย์เข้าใส่ป้ายในมือ ขณะเดียวกันก็โบกมันไปด้านหน้า


บังเกิดเสียงดังขึ้น


อักขระบนนั้นเปล่งแสงประกายออกมา ขณะเดียวกัน อักขระสีดำจำนวนมากก็พุ่งออกจากในนั้น ก่อนที่จะพุ่งไปฝังตรงข้างราวกับสายฝนกระหน่ำ


โครงกระดูกสั่นไหว อักขระสีดำเหล่านี้ถูกดูดเข้าไปในร่างของมัน เปลวไฟสีทองในเบ้าตาคุโชนขึ้นมาตามจังหวะการร่ายคาถา หมอกสีดำพวยพุ่งออกจากร่าง


ไม่นานโครงกระดูกก็ถูกหมอกสีดำปกคลุม เสียงคำรามอันน่าตกใจดังขึ้นมาอีกครั้ง ขณะเดียวกันกลิ่นไออันน่าหวาดกลัวมากกว่าครั้งก่อนก็ม้วนตัวออกมา


หลิ่วหมิงหดม่านตาลง และปีศาจยักษ์สูงเจ็ดแปดจั้งก็เดินออกจากไอหมอกสีดำ


……………………………………….


ตอนที่ 250 ผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ครึ่งชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงและประมุขนิกายปีศาจก็เดินออกจากหุบเขา


สีหน้าหลิ่วหมิงเต็มไปด้วยแววครุ่นคิด ประมุขนิกายปีศาจกลับมีสีหน้าตื่นเต้นจนยากที่จะปิดบังได้


หลังจากเด็กชายทำความเคารพ และกลับเข้าไปในหุบเขาแล้ว ประมุขนิกายปีศาจก็หยิบคัมภีร์เล่มบางๆ ให้กับหลิ่วหมิงพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า


“ข้ามีบันทึกความรู้การควบคุมปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกของปรมาจารย์ในปีนั้นอยู่เล่มหนึ่ง เจ้าเอากลับไปอ่านดู ปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกจะได้เห็นเดือนเห็นตะวันหรือไม่นั้น คงต้องพึ่งเคล็ดวิชากระดูกดำของศิษย์น้องแล้วล่ะ ศิษย์น้องรีบนำคัมภีร์เล่มนี้ไปทำความเข้าใจให้ทะลุปรุโปร่ง ไม่แน่อาจได้ใช้ในภายหลัง”


ความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าหลิ่วหมิง แต่เขาก็ตอบรับกลับไปทันที


จากนั้นประมุขนิกายปีศาจกล่าวกำชับอีกสองสามประโยค แล้วทั้งสองต่างก็แยกย้ายกันไป


หลิ่วหมิงขี่เมฆไปด้วย ชื่นชมป้ายกระดูกในมือไปด้วย พอเขานึกถึงโฉมหน้าที่แท้จริงของปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกก็อดใจเต้นโครมครามไม่ได้


พอปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกขยายตัว มันก็มีพลังเกินกว่าที่เขาคิดไว้มาก เกรงว่าคงจะมีพลังระดับผลึกจริงๆ


แต่หลิ่วหมิงไม่อาจนำปีศาจมนุษย์ตนนี้ออกจากแดนต้องห้ามได้ หลังจากประมุขนิกายปีศาจเห็นเขาใช้ป้ายกระดูกขาวควบคุมปีศาจมนุษย์ได้แล้ว ก็เพียงแต่บอกให้หลิ่วหมิงมาที่หุบเขากับเขาหลายๆ ครั้ง เพื่อฝึกวิธีการควบคุมเล็กน้อย


หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ และกลับถึงที่พักบนเขาเก้าทารกอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เข้าไปนั่งขัดสมาธิในห้องลับ และทำการครุ่นคิดขึ้นมา


ประมุขนิกายปีศาจยอมนำสมบัติล้ำค่าอย่างปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกออกมาใช้เช่นนี้ คิดว่าสถานการณ์การต่อสู้ของแต่ละนิกายกับเผ่าเจ้าสมุทรที่ชายแดนคงจะไม่ค่อยดีมากนัก


ด้วยระดับการฝึกฝนของเขาในตอนนี้ ถ้าเผชิญหน้ากับผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นต้นของเผ่าเจ้าสมุทรล่ะก็ คิดว่าคงจะเอาตัวรอดได้อย่างปลอดภัย แต่ถ้าเผชิญกับผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นสูงหรือว่าระดับผลึกล่ะก็ เกรงว่าคงจะได้รับอันตรายจนถึงชีวิต


และถ้าเขาควบคุมปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกที่มีพลังทัดเทียมกับระดับผลึกไปเผชิญหน้ากับเผ่าเจ้าสมุทรล่ะก็ เกรงว่าไม่ช้าก็เลวคงถูกผู้ฝึกฝนระดับนี้ของเผ่าเจ้าสมุทรจับตามอง


พอหลิ่วหมิงคิดถึงจุดนี้ ก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น


เดิมทีคิดว่าหลังเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว ตัวเองคงจะปลอดภัย แต่กลับคิดไม่ถึงว่าต้องเผชิญกับเรื่องนี้เข้าอย่างจัง


ด้วยสถานการณ์ของนิกายปีศาจในตอนนี้ เขาไม่อาจปฏิเสธหน้าที่สำคัญอย่างการควบคุมปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกได้ ดังนั้นวิธีการเดียวที่จะคุ้มครองชีวิตของเขาในศึกใหญ่กับเผ่าเจ้าสมุทรก็คือ ต้องเพิ่มความแข็งแกร่งของตนเองอย่างบ้าคลั่ง


เพียงแค่เขาเพิ่มพลังอีกเท่าตัวก่อนไปชายแดน ก็จะมีความปลอดภัยเพิ่มขึ้นมาอีกส่วนหนึ่ง


พอหลิ่วหมิงคิดมาถึงจุดนี้ ก็หลับตาทั้งคู่ทันที ขณะเดียวกันลำแสงก็เปล่งประกายในทะเลจิตรับรู้ คัมภีร์หนาๆ ที่ถูกไอสีดำรัดพันอยู่ปรากฏออกมา


มันคือเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬเล่มนั้น!


ตั้งแต่ได้รับคัมภีร์เล่มนี้มา เขาแค่ดูผ่านๆ ไปหนึ่งรอบ ก็รู้สึกว่ามันล้ำลึกเกินไปจึงไม่ได้เปิดดูอีกเลย


หลังจากเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณ เขาก็ต้องทำระดับให้มั่นคง จึงยังไม่ได้ทำความเข้าใจเคล็ดวิชานี้


เวลาต่อมา หลิ่วหมิงค่อยๆ เปิดคัมภีร์ในสมองทีละหน้า และอ่านดูอย่างละเอียด


หนึ่งชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงถึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความตระหนกตกใจระคนดีใจ


การเปิดอ่านคัมภีร์ในก่อนหน้านั้น เป็นเพราะระดับการฝึกฝนของเขาไม่เพียงพอ จึงอ่านเข้าใจได้เพียงสองถึงสามในสิบส่วน นอกจากจะรู้ว่าวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬเป็นเคล็ดวิชาสายปีศาจแล้ว ก็มองไม่เห็นสิ่งใดอีกเลย


แต่การทำความใจในตอนที่เป็นอาจารย์จิตวิญญาณ กลับรู้สึกว่าสมองปลอดโปร่งเป็นอย่างมาก สิ่งที่ไม่เข้าใจในแต่ก่อนก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง


แม้ว่าตอนนี้เขาไม่อาจทำความเข้าใจเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่ก็พอเข้าใจเนื้อหาได้หกถึงเจ็ดส่วน ส่วนที่เหลือมันคลุมเครือเกินไป ถ้าใช้เวลาศึกษาอีกสักหน่อย ก็เข้าใจได้หมดอย่างแน่นอน


ด้วยเหตุนี้ ในที่สุดหลิ่วหมิงก็เข้าใจว่าเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬเป็นวิชาแบบใด


เคล็ดวิชานี้คล้ายกับเคล็ดวิชากระดูกดำเล็กน้อย แต่ก็มีบางส่วนที่แตกต่างกันมาก


ที่เหมือนกันคือ หลังจากฝึกฝนวิชานี้แล้ว ร่างกายจะแข็งแกร่งเหมือนกับเคล็ดวิชากระดูกดำ ที่ต่างกันก็คือระดับการทำให้ร่างกายแข็งแกร่งของเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ไม่ใช่สิ่งที่เคล็ดวิชากระดูกดำจะเทียบได้


ถ้าจะบอกว่าหลังฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำแล้วมีผลต่อพลังเวทย์หกส่วนล่ะก็ หลังฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ เก้าในสิบส่วนจะมีผลต่อความแข็งแกร่งของร่างกาย และเหลือไว้เพียงแค่หนึ่งส่วนที่มีผลในด้านพลังเวทย์


สิ่งที่ทำให้รู้สึกตกตะลึงก็คือ เคล็ดวิชานี้ถูกแบ่งเป็นหกขั้น สอดคล้องกับเขตแดนทั้งหกของระดับเหลวและระดับผลึก ทุกการฝึกฝนสำเร็จในแต่ละขั้น จะทำให้ผู้ฝึกฝนมีพลังมากขึ้นหนึ่งส่วน ถ้าฝึกฝนจนสำเร็จขั้นที่หก ก็มีพลังมากขึ้นหกส่วน และหลังจากฝึกฝนจนถึงระดับที่สาม ยังสามารถสร้างอภินิหาร ทำให้คนตกอยู่ในดินแดนแห่งความเพ้อฝันโดยไม่รู้ตัว


หลังจากกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณ หลิ่วหมิงเคยไปหอเก็บคัมภีร์ เพื่อค้นดูวิชาระดับอาจารย์จิตวิญญาณอยู่จำนวนหนึ่ง แต่ก็ไม่มีเล่มไหนเหมือนกับเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬเลย


ถ้าที่บรรยายไว้ในคัมร์ภีเป็นเรื่องจริงล่ะก็ เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬจะต้องเป็นหนึ่งในวิชาระดับสูงสุดของวิชาสายปีศาจอย่างแน่นอน


หลิ่วหมิงคิดด้วยตาที่เป็นประกายเร่าร้อน แต่พอคิดถึงความลำบากในการฝึกฝนแล้วก็แบะปากอย่างอดไม่ได้


เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬนี้ไม่สามารถอาศัยปราณฟ้าดินในการยกระดับได้ แต่ละช่วงเวลาต้องอาศัยปราณหยินในการฝึกฝนเท่านั้น


แต่ปราณหยินคือสิ่งที่น่ากลัวมาก ภายใต้สถานที่ที่ผู้ฝึกฝนทั่วไปถูกเซาะกร่อนเป็นเวลานาน มีผู้ฝึกฝนจำนวนไม่น้อยกลายเป็นสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งปีศาจ


หลิ่วหมิงหน้านิ่วคิ้วขมวดคิดตั้งครึ่งค่อนวัน สุดท้ายก็ต้องเก็บเรื่องนี้ไว้ภายหลัง


แม้ความมหัศจรรย์ของเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ จะเหนือความคาดหมายของเขาไปมาก แต่ในคัมภีร์ไม่มีเคล็ดวิชาลัด มันจึงไม่สามารถช่วยอะไรได้มากในศึกเผ่าเจ้าสมุทร


ถ้าเขาอยากเพิ่มพลังในระยะเวลาสั้นๆ ล่ะก็ คงต้องพึ่งพลังภายนอกแล้ว


หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ และอดเอามือลูบหอยสังข์ย่อส่วนบนแขนไม่ได้


ในหอยสังข์ย่อส่วนนี้ มีหยดพลังวารีอยู่หยดหนึ่ง


ด้วยน้ำหนักของมัน ถ้าหากหลอมเป็น ‘มุกพลังวารี’ ในตำนานล่ะก็ คิดว่าอานุภาพของมันคงน่ากลัวเป็นอย่างมาก


นอกจากนี้ในมือเขายังมีอาวุธจิตวิญญาณหลายชิ้นที่ต้องปรับแต่งอีกรอบ เพื่อจะได้แสดงอานุภาพที่แท้จริงของพวกมันออกมา ตอนนี้เขาทะลวงระดับของเหลวไปแล้ว ปัญหาคอขวดแต่เดิมก็หายไปด้วย ย่อมสามารถใช้โอสถสมุนไพรจิตวิญญาณมาช่วยยกระดับพลังเวทย์ได้


หลิ่วหมิงคิดได้เช่นนี้ ก็ตัดสินใจในทันที


เช้าวันที่สอง เขาออกไปจากเขาเก้าทารก และเหาะตรงไปยังยอดเขาบางแห่งของนิกาย


ผ่านไปไม่นาน ก็มาปรากฏตัวบริเวณหน้าผาที่สูงชะโงกเงื้อมบางแห่งในยอดเขาหลักของสาขาฝึกศพ


สถานที่ที่อยู่สูงจากพื้นสิบกว่าจั้ง บนหน้าผามีประตูหินสีแดงอยู่บานหนึ่ง พอเขาเข้าใกล้ประตูหินสิบกว่าจั้ง ก็สัมผัสได้ถึงไอร้อนที่ระอุออกมาได้อย่างชัดเจน


ราวกับว่าประตูบานนี้ร้อนเป็นอย่างมาก


หลิ่วหมิงไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับสิ่งนี้ หลังจากแสงสีน้ำเงินจางๆ เปล่งประกายบนร่าง มันก็สามารถปิดกั้นไอร้อนไว้ได้


“ตุ๊บ!” “ตุ๊บ!” หลิ่วหมิงหยุดห่างจากประตูหินหลายจั้ง ขณะเดียวกันก็ดีดนิ้วออกไปสองสามครั้ง


ผ่านไปไม่นาน ประตูหินก็เปิดออก ชายหนุ่มรูปร่างเตี้ยและกำยำล่ำสัน อายุยี่สิบกว่าปีเดินออกมา พอเห็นว่าหลิ่วหมิงยังอายุน้อยเช่นนี้ ก็ถามด้วยความตกตะลึง


“ท่านคือ……”


“ศิษย์พี่หวงอยู่ข้างในไหม ข้าหลิ่วหมิงจากสาขาเก้าทารกตั้งใจมาเยี่ยมเยียน” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าสงบ


“อะไรนะ! ท่านคืออาจารย์อาหลิ่วที่เป็นอาจารย์จิตวิญญาณคนใหม่ อาจารย์อาโปรดรอสักครู่! ข้าจะไปแจ้งอาจารย์ก่อน” ชายหนุ่มได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก และรีบกล่าวออกมา


แต่ชายหนุ่มยังไม่ทันหันตัวกลับไป ก็มีเสียงราบเรียบของผู้อาวุโสดังมาจากด้านหลัง


“ไม่ต้องแล้ว ให้สหายหลิ่วเข้ามาเถอะ! ข้าเองก็อยากเจอศิษย์น้องที่เพิ่งเป็นอาจารย์จิตวิญญาณผู้นี้”


แม้เสียงจะไม่ดัง แต่เสียงที่เข้าหูชายหนุ่มนั้นชัดเจนเป็นอย่างมาก


ชายหนุ่มตอบรับด้วยความตกตะลึง และเบี่ยงตัวหลีกทางให้


หลิ่วหมิงเข้าประตูไปอย่างไม่เกรงใจ


ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป หลิ่วหมิงนั่งอยู่ในห้องโถงเย็นเฉียบแห่งหนึ่ง ตรงหน้าเป็นผู้อาวุโสใบหน้าธรรมดา รูปร่างผอมสูง สวมชุดคลุมสีดำ ดวงตาทั้งคู่สดใสเป็นอย่างมาก


“พูดอย่างนี้ เจ้าอยากให้ข้าช่วยเจ้าหลอมอาวุธจิตวิญญาณหรือ? แต่ทำไมศิษย์น้องถึงมาหาข้าล่ะ! ในตลาดแถวนี้มีผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธที่ไม่เลว ซึ่งสามารถหลอมอาวุธจิตวิญญาณทั่วไปได้” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีดำกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม


“ข้าได้ยินศิษย์พี่กุยพูดถึงมานานแล้ว ศิษย์พี่หวงถึงเป็นผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธที่มีอยู่น้อยมากในแคว้นต้าเสวียน ผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธธรรมดาในตลาดจะเทียบได้อย่างไร อีกอย่างถ้าเป็นอาวุธจิตวิญญาณธรรรมดา ข้าคงไม่มารบกวนศิษย์พี่หรอก แต่สิ่งที่ต้องการหลอมในครั้งนี้ไม่ธรรมดา เกรงว่ามีแค่ศิษย์พี่หวงเท่านั้นถึงจะหลอมได้สำเร็จ” หลิ่วหมิงกล่าวตามตรง


“อืม! มีเรื่องแบบนี้ด้วย ไม่ทราบว่าสิ่งที่ศิษย์น้องต้องการหลอมคือสิ่งใด รีบพูดมาให้ข้าฟังก่อน” พอผู้อาวุโสชุดคลุมสีดำได้ยินเช่นนี้ ก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป


“เอาอย่างนี้เถอะ! ข้าจะนำวัสดุหลักในการหลอมให้ศิษย์พี่หวงดูก่อน จากนั้นค่อยพูดเรื่องอื่นกัน” หลิ่วหมิงกระพริบตาแล้วกล่าวด้วยสีหน้าสงบ


“ได้!”


ผู้อาวุโสชุดคลุมสีดำตกปากรับคำ


แต่ขณะนี้ หลิ่วหมิงไม่ได้นำของออกมาในทันที แต่กลับมองไปยังชายหนุ่มร่างกำยำทีหนึ่ง


ผู้อาวุโสชุดดำเข้าใจในทันที จากนั้นจึงหันไปสั่งกับศิษย์ของตนเอง


ชายหนุ่มตอบรับอย่างนอบน้อม และถอยออกจากห้องโถงในทันที


ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงสะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นยันต์จำนวนมากก็ลอยออกมาบนพื้น และจมหายไปอย่างไร้ร่องรอย


ครู่ต่อมา อักขระสีขาวโผล่ขึ้นบนพื้น ผลึกแสงจางๆ ปรากฏออกมาหนึ่งชั้น


แม้ว่าผู้อาวุโสชุดคลุมสีดำจะไม่ได้ห้ามปรามอะไร แต่ก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก


เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้น หลิ่วหมิงถึงพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา ทันใดนั้นเตาหลอมสีเงินขนาดเล็กก็ปรากฏออกมา และขยายใหญ่ในทันที


……………………………………….


ตอนที่ 251 โสมคนทองคำ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ศิษย์พี่หวงมองดูฉากนี้ และค่อยๆ หดม่านตาลง จากนั้นถึงขยับตัวไปข้างเตาหลอมยักษ์ด้วยความรวดเร็วราวกับปีศาจ และสังเกตดูมันอย่างละเอียด


หลิ่วหมิงได้แต่ยิ้มและไม่กล่าวอะไรออกมา


“ก็แค่เตาหลอมธรรมดา ทำไมถึงหนักเช่นนี้ หรือว่าในเตาหลอมจะมีสิ่งของอย่างอื่นอีก” ศิษย์พี่หวงเดินวนเตาหลอมยักษ์ไปหนึ่งรอบแล้วขมวดคิ้วกล่าวออกมา


“ที่แท้ศิษย์พี่ก็ดูออก สิ่งที่อยู่ในเตาหลอมถึงเป็นวัสดุแท้จริงในการหลอมอาวุธ” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย


ศิษย์พี่หวงพยักหน้า และสะบัดแขนเสื้อ พลังไร้รูปบางอย่างม้วนตัวไปยังฝาที่ปิดอยู่


“ฟู่!” ฝาที่ดูหนักๆ ลอยออกไปทันที และลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ


ศิษย์พี่หวงยื่นหน้าดูเตาหลอม จนเห็นของเหลวสีดำที่กระจายไอหมอกสีดำอย่างชัดเจน พร้อมกับเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา


ประจักษ์ชัดว่า ‘ศิษย์พี่หวง’ ก็คิดไม่ถึงว่าสิ่งที่อยู่ในเตาหลอมจะมีขนาดเล็กเช่นนี้


แต่ครู่ต่อมา ผู้อาวุโสชุดคลุมสีดำพลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว และยื่นมือข้างหนึ่งไปทางเตาหลอมทันที


เสียงดัง “เพล้ง!” เตาหลอมยักษ์ค่อยๆ สั่นไหว แต่หยดของเหลวสีดำในนั้นยังคงสงบนิ่งไม่เคลื่อนไหว


ศิษย์พี่หวงหลุดปากออกมาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก


“หยดพลังวารี สมบัติในตำนานจริงๆ ด้วย!”


“ทำไมหรือ? ศิษย์เคยเห็นสมบัติชิ้นนี้มาก่อนหรือ?” หลิ่วหมิงถามด้วยความแปลกใจ


“ข้าเห็นสมบัติชิ้นนี้ป็นครั้งแรก แต่ในมือข้ามีตำรามหัศจรรย์ที่บันทึกวัสดุล้ำค่าและหาได้ยากยิ่งในใต้หล้าอยู่หลากหลายชนิด ในนั้นมีรูปภาพและบรรยายเกี่ยวกับหยดพลังวารี เดิมทีก็ไม่ค่อยแน่ใจมากนัก แต่หลังจากลองดูน้ำหนักของมันแล้ว ก็แน่ใจในทันที” ศิษย์พี่หวงจ้องมองสิ่งของในเตาหลอมตาไม่กระพริบ แม้ปากจะพูดพึมพำออกมา แต่สีหน้าเต็มไปด้วยความหลงใหล


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ในเมื่อศิษย์พี่หวงรู้ว่าของสิ่งนี้คืออะไร ก็คงรู้ว่าศิษย์น้องอยากให้ท่านหลอมสิ่งใดแล้วใช่ไหม?” หลิ่วหมิงกล่าวออกไปตรงๆ


“แม้ว่าหยดพลังวารีจะพบเจอได้น้อยมาก แต่สามารถหลอมเป็นสิ่งของชิ้นอื่นได้ไม่กี่อย่าง บวกกับวัสดุที่เข้ากับมันได้ก็มีน้อยมาก หรือว่าศิษย์น้องคิดจะหลอมสมบัตินี้ให้เป็นมุกพลังวารีในตำนาน?” เมื่อศิษย์พี่หวงฟังคำพูดของหลิ่วหมิงแล้ว ก็ได้สติขึ้นมา หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ค่อยๆ กล่าวขึ้น


“ศิษย์พี่หวงสมกับเป็นผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธอันดับหนึ่งของนิกายปีศาจ คิดไม่ถึงว่าจะทายจุดประสงค์ของศิษย์น้องได้อย่างรวดเร็วเพียงนี้ ไม่ผิด! ข้าอยากจะหลอมหยดพลังวารีเป็นมุกพลังวารีจริงๆ ไม่ทราบว่าศิษย์มีพี่ความเชื่อมั่นเท่าไหร่?”


“สมบัติล้ำค่าเช่นนี้ ตามที่ศิษย์น้องได้กล่าวไว้ในก่อนหน้า ถ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธตามท้องตลาดทั่วไปล่ะก็ คงมีอัตราความล้มเหลวไม่ใช่น้อย แต่ถ้าข้าลงมือหลอมเองล่ะก็ ไม่ค่อยมีปัญหามากนัก เพียงต้องรอดูทีหลังว่าจะหลอมออกมาเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับใดเท่านั้น” ศิษย์พี่หวงเงียบไปซักพักแล้วกล่าวอย่างมั่นใจ


“ศิษย์พี่หวงมีความเชื่อมั่นเช่นนี้ ข้าเลือกไม่ผิดจริงๆ” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกดีใจมาก


“เฮ่อๆ! ในเมื่อศิษย์น้องนำหยดพลังวารีออกมาได้ ข้าเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธ ย่อมไม่อาจปฏิเสธที่หลอมอาวุธจิตวิญญาณนี้ ว่าแต่ศิษย์น้องมาในครั้งนี้ คงไม่คิดจะให้ข้าทำให้เปล่าๆ หรอกนะ” ศิษย์พี่หวงหัวเราะก่อนกล่าวออกมา


“ข้าจะให้ศิษย์พี่เสียแรงเปล่าได้อย่างไร แม้ข้าจะมีหินจิตวิญญาณจำนวนหนึ่ง แต่คิดว่าศิษย์พี่คงไม่อยากได้มัน เช่นนี้เถอะ! ข้ายังมีไอปีศาจบริสุทธิ์ที่ทางนิกายมอบให้ในปีนั้นหนึ่งชุด ข้าให้มันเป็นค่าตอบแทนได้หรือไม่” หลิ่วหมิงฉุกคิดอย่างรวดเร็วแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“แม้ว่าไอปีศาจบริสุทธิ์ที่ทางนิกายมอบให้จะดูธรรมดา แต่ก็พอจะจ่ายเป็นค่าหลอมอาวุธได้ แต่ถ้าหลอมหยดพลังวารีให้เป็นมุกพลังวารีล่ะก็ ต้องเสียวัสดุเสริมไม่ใช่น้อย แม้ข้าจะจัดให้เหมาะสมได้ แต่มูลค่าของพวกมันก็ไม่ใช่น้อยอยู่ดี” ศิษย์พี่หวงพยักหน้า และส่ายสีศีรษะอีกครั้ง


“นอกจากไอปีศาจบริสุทธิ์หนึ่งชุดแล้ว ข้าจะจ่ายศิษย์พี่อีกสองหมื่นหินจิตวิญญาณดีไหม!” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยความรู้สึกเบิกบานใจ


“คิดไม่ถึงว่า แม้ศิษย์น้องจะอายุยังน้อย แต่กลับมีสมบัติมากถึงเพียงนี้ ได้! ตกลงตามนี้ หนึ่งเดือนให้หลังเจ้าค่อยมารับอาวุธจิตวิญญาณ นอกจากนี้ เจ้าหวังจะให้มุกพลังวารีมีผลลัพธ์จำกัดแบบใด ก็พูดกับข้าให้กระจ่างก่อน หลังหลอมเสร็จแล้วจะได้ไม่มีปัญหากับเจ้า” ศิษย์พี่หวงได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่หลังจากสังเกตดูหลิ่วหมิงสองทีแล้ว ก็กล่าวออกมาอย่างอ่อนโยน


“มุกพลังวารีเม็ดนี้ไม่มีข้อเรียกร้องใดๆ ชั้นจำกัดที่ใส่เข้าไปนั้น ขอเพียงแค่มีคำว่า ‘หนัก’ ก็พอ ไม่ว่าท้ายสุดแล้วศิษย์พี่จะหลอมออกมาเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับใด แต่แค่ใส่ชั้นจำกัดประเภทเดียวกันนี้ ก็พอแล้ว” ดูเหมือนหลิ่วหมิงจะคิดเรื่องนี้ไว้แต่แรก จึงกล่าวออกมาอย่างไม่ลังเล


“เพียงแค่ใช้พลังที่แข็งแกร่งเพื่อบีบบังคับศัตรูใช่ไหม? ด้วยน้ำหนักของมุกพลังวารี หากเพิ่มน้ำหนักของมันอีกหลายเท่า เกรงว่าแม้แต่เขาลูกเล็กๆ ก็ถูกโจมตีจนแตกกระจายได้ แต่ของล้ำค่าที่หนักขนาดนี้ ถ้าความบริสุทธิ์พลังเวทย์กับความแข็งแกร่งของร่างกายไม่เพียงพอล่ะก็ เกรงว่าคงยากที่จะควบคุมได้ดั่งใจ” แม้ว่าศิษย์พี่หวงจะเคยหลอมอาวุธจิตวิญญาณมาไม่ใช่น้อย แต่พอฟังหลิ่วหมิงพูดจบก็รู้สึกเย็นสะท้านอย่างช่วยไม่ได้


ดูเหมือนเขาจะจินตนาการฉากสั่นสะเทือนหลังมุกพลังวารีโผล่ขึ้นบนโลกได้


“ขอศิษย์พี่โปรดวางใจ ในเมื่อข้ามีข้อเรียกร้องเช่นนี้ ย่อมเตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ได้ ในเมื่อศิษย์น้องคิดที่จะแสวงหาอานุภาพอันแข็งแกร่งเช่นนี้ และยังคิดว่าตนเองสามารถควบคุมได้ ข้าก็หลอมสิ่งนี้ตามข้อเรียกร้องของเจ้า” ศิษย์พี่หวงคิดไปคิดมาอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกมา


ดังนั้นเวลาที่เหลือ ศิษย์พี่หวงก็ทำการสาบานตามกฎของผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธโดยทั่วไป


หลังจากนั้นหลิ่วหมิงก็ลากลับไป


ผู้อาวุโสชุดดำที่ยังอยู่ในห้องโถงจ้องมองหยดของเหลวสีดำด้วยสีหน้าตื่นเต้น


หลิ่วหมิงไม่ได้กลับไปยังที่พัก แต่กลับเลี้ยวไปยังหอเก็บคัมภีร์


“อะไรนะ! ศิษย์น้องต้องการตำราโอสถอาจารย์จิตวิญญาณที่สามารถเพิ่มพลังเวทย์ได้ทั้งหมดหรือ?” ในหอเก็บคัมภีร์ ผู้อาวุโสสวมชุดคลุมยาวสีแดงที่นามว่า ‘เลี่ยวเฟิง’ ถามหลิ่วหมิงด้วยความตกใจ


“ใช่แล้ว! ช่วงนี้ข้าสนใจการปรุงโอสถ ดังนั้นจึงอยากศึกษาเล็กน้อย” หลิ่วหมิงกระพริบตา และกล่าวด้วยสีหน้าสงบ


ผู้อาวุโสชุดคลุมสีแดงได้ยินเช่นนี้ ย่อมแสดงสีหน้าแปลกใจออกมา ผ่านไปไม่นานก็ถามด้วยสีหน้าสงสัย


“ศิษย์น้องต้องการตำราการปรุงโอสถนั้น ย่อมไม่มีปัญหา แต่ต้องใช้แต้มคุณูปการหนึ่งพันแต้มแลกกับตำราโอสถหนึ่งแผ่น และต้องสาบาน ณ ที่นี้ว่าจะไม่ถ่ายทอดให้คนอื่นเด็ดขาด”


“ได้! ไม่มีปัญหา” หลิ่วหมิงตอบรับอย่างเด็ดขาด


ผู้อาวุโสชุดแดงเห็นเช่นนี้ก็ไม่พูดอะไรมาก พอเขาสะบัดแขนเสื้อ ทั้งสองก็หายวับไปในห้องลับของหอเก็บคัมภีร์


ชั่วเวลาหนึ่งเค่อต่อมา หลิ่วหมิงเหาะออกจากหอเก็บคัมภีร์แล้วมุ่งหน้าไปยังเขาเก้าทารก


ห้องลับภายในถ้ำที่พัก หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะ เขาขมวดคิ้วมองหนังอสูรสีขาวตรงหน้า บนนั้นมีอักขระขนาดเท่ามดเขียนอยู่เต็มไปหมด


เมื่อเขาอ่านจบ ก็ถอนหายใจยาวออกมา ขณะเดียวกันก็กล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปมา


“คิดไม่ถึงว่าโอสถระดับอาจารย์จิตวิญญาณจะซับซ้อนเช่นนี้ ยังต้องใช้สมุนไพรจิตวิญญาณหลากหลายชนิดมาเสริม ดูท่าคงไม่สามารถปรุงออกมาภายในระยะเวลาสั้นๆ ได้ ช่างเถอะ! ทานสมุนไพรจิตวิญญาณฟ้าดินเหล่านั้นโดยตรงดีกว่า แม้ว่าผลลัพธ์จะลดน้อยลงไปมาก แต่ก็ช่วยเพิ่มพลังเวทย์ได้ไม่น้อย ตอนนี้ไม่สามารถคิดเรื่องไกลตัวได้ ควรจะเพิ่มพลังเวทย์ของตนเองกับรักษาชีวิตในการทำศึกกับเผ่าเจ้าสมุทรก่อน แล้วค่อยไปคิดเรื่องอื่นทีหลัง”


หลังจากหลิ่วหมิงพูดพึมพำเสร็จ ก็คว้ามือข้างหนึ่งไปยังแขนอีกข้างทันที ทันใดนั้นตลับหยกขนาดแตกต่างกันหลายใบก็ปรากฏออกมา พอเขาสะบัดแขนเสื้อ สิ่งของทั้งหมดก็ค่อยๆ ร่วงลงตรงหน้า


เมื่อเขาโบกมือออกไป ตลับหยกรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าใบหนึ่งก็ลอยเข้ามา หลังจากหมุนติ้วๆ แล้ว ฝาของมันก็ถูกเปิดออก เผยให้เห็นโสมคนทองคำที่อยู่ข้างใน


โสมคนมีขนาดเท่าแขน ยาวประมาณสองฉื่อ แขนขาทั้งสี่และศีรษะล้วนมองเห็นได้อย่างชัดเจน และยังส่งกลิ่นหอมยั่วยวนใจมาก


มันคือสมุนไพรจิตวิญญาณฟ้าดินที่เขาได้มาจากแดนลึกลับในตอนนั้น ดูจากสีและความหอมของมัน คงจะมีอายุหลายพันปีแล้ว แม้ตอนนี้จะทานดิบๆ เข้าไป ก็ยังสามารถเพิ่มพลังเวทย์ได้เท่าหนึ่ง


เพียงแต่ในตอนนั้นหลิ่วหมิงรู้สึกว่า ถ้าทานสมุนไพรนี้ในตอนที่เป็นศิษย์จิตวิญญาณ มันดูสิ้นเปลืองจนเกินไป ดังนั้นจึงเก็บมาจนถึงทุกวันนี้


นอกจากโสมคนทองคำแล้ว เขายังมีสมุนไพรที่เพิ่มพลังเวทย์ของอาจารย์จิตวิญญาณอยู่หลายต้น เพียงแต่ว่าผลลัพธ์มันอาจจะด้อยไปกว่าหน่อย


จากการประเมินการของหลิ่วหมิง ถ้าทานสมุนไพรจิตวิญญาณเหล่านี้ลงไปทั้งหมดล่ะก็ แม้อาจจะไม่สามารถผลักดันระดับการฝึกฝนไปถึงระดับของเหลวขั้นกลางได้ แต่ก็ลดทอนการฝึกฝนอย่างยากลำบากไปได้สิบปีกว่า


พอหลิ่วหมิงคิดมาถึงจุดนี้ ก็ดึงกระบี่สั้นสีเขียวออกมา เพื่อฝานโสมคนสีทองออกเป็นแผ่นบางๆ และหยิบใส่ปากเคี้ยวทันที


กลิ่นหอมกระจายไปทั่วปาก พริบตาเดียวก็ลื่นลิ้นเป็นอย่างมาก เพียงแค่กลืนเบาๆ ก็หล่นลงท้องทั้งหมด


ตอนนั้น เขาเพียงแค่รู้สึกร้อนที่ท้อง จากนั้นกระแสร้อนก็พุ่งไปยังทุกส่วนของร่างกายอย่างบ้าคลั่ง ใบหน้าเขาก็กลายเป็นสีแดงเข้ม


หลิ่วหมิงไม่กล้าชักช้า เขารีบเก็บของทั้งหมดทันที มือทั้งสองทำท่ามือก่อนที่ไอสีดำจะพวยพุ่งออกมา ผ่านไปไม่นานมันก็ปกคลุมร่างของเขาไว้ทั้งหมด


เวลาค่อยๆ ผ่านไป ไอดำในห้องลับก็รวมตัวกันมากยิ่ง ขณะเดียวกันกลิ่นไอของหลิ่วหมิงที่อยู่ตรงหน้าก็ค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นมา


ผ่านไปไม่นาน ห้องลับก็เต็มไปด้วยไอสีดำที่ปกคลุมอยู่ และยังมีเสียงดัง “เปรี๊ยะๆ!” ราวกับประทัดดังออกมา


ครึ่งวันผ่านไป ไอดำทั้งหมดม้วนตัวพวยพุ่งไปยังใจกลางห้อง พริบตาเดียวก็กลายเป็นแถบสีดำยาวๆ กว้างประมาณหนึ่งฝ่ามือ และหมุนวนอยู่รอบตัวหลิ่วหมิง


ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงที่หลับตาสนิทก็พลันลืมตาขึ้นมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกใจระคนดีใจ


……………………………………….


ตอนที่ 252 มุกล้ำค่า

โดย

Ink Stone_Fantasy

เขากินโสมคนทองคำชิ้นนั้น และใช้เคล็ดวิชากระดูกดำกลั่นเอาพลังเวทย์ออกมา ซึ่งมันไม่เพียงแต่จะเพิ่มพลังเวทย์เล็กน้อย แต่ภายในร่างยังเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก


เดิมทีเขาก็มีโครงกระดูกแวววาวขนาดใหญ่กว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว ตอนนี้ยังมีอักขระสีเงินจางๆ ปรากฏบนพื้นผิว แม้ว่ามันจะเล็กละเอียดและพร่ามัวจนมองเห็นไม่ชัดเจน แต่ก็แตกต่างจากก่อนหน้านั้นมาก


หลิ่วหมิงกำนิ้วมือทั้งสิบไว้แน่น เขาสัมผัสถึงความหนาแน่นของโครงกระดูกในทันที ขณะเดียวกันความแข็งแกร่งก็เพิ่มขึ้นมาไม่น้อย


เมื่อครู่ นอกจากเขาจะกลั่นโสมคน จนทำให้พลังเวทย์เพิ่มขึ้นเล็กน้อยแล้ว ก็ไม่ได้ทำเรื่องอื่นอีก


นอกจากโสมคนทองคำจะช่วยยกระดับการฝึกฝนเล็กน้อยแล้ว ก็ไม่มีผลลัพธ์ในด้านอื่นอีก


เช่นนี้ก็แสดงว่าการเปลี่ยนแปลงของโครงกระดูกภายในร่าง เกิดจากพลังเวทย์ภายในร่างแปดถึงเก้าส่วน


และภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ตอนเขาเป็นศิษย์จิตวิญญาณ จะต้องฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำสำเร็จแต่ละขั้น ถึงจะเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ และโครงกระดูกก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนเช่นนี้


หรืออาจเป็นเพราะว่าเขากลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณหรือฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำขั้นที่สี่จนสมบูรณ์แบบ จนสามารถฝึกฝนขั้นที่ห้าได้


หลิ่วหมิงระงับอาการดีใจ และเริ่มแสดงสีหน้าลังเลขึ้นมา


ผ่านไปสักครู่ เขาถึงชักกระบี่สั้นออกมา แสงเย็นสะท้านเปล่งประกายก่อนที่เขาจะหั่นโสมคนสีทองในกล่องออกมาชิ้นหนึ่งแล้วใส่เข้าปาก


ฉากเดิมๆ เริ่มเกิดขึ้นในห้องลับอีกครั้ง


ไอดำพวยพุ่งไปทั่วห้องลับอย่างรวดเร็ว และมีเสียงดังของกระดูกออกมาเป็นระยะๆ


หลายชั่วยามผ่านไป เมื่อไอดำทั้งหมดม้วนหายจนหมดสิ้น หลิ่วหมิงจึงลุกขึ้นมา หลังจากขยับแข้งขยับขาแล้ว ก็พลันสูดหายใจเข้าไปลึกๆ และกระทืบเท้าข้างหนึ่งลงพื้น


“ตู๊ม!” คลื่นอากาศม้วนตัวออกจากเท้าของเขา พื้นดินแตกร้าวออกมา ห้องลับทั้งหลังสั่นไหว


เขาใช้พลังจิตกวาดดูภายในร่าง พริบตาเดียวก็ค้นพบว่าขนาดของอักขระสีเงินบนโครงกระดูกแต่ละส่วน มีขนาดใหญ่และชัดเจนมากขึ้น ทั้งยังหนาแน่นมากขึ้นกว่าเดิม


หลิ่วหมิงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก


ดูเหมือนว่าเขาคาดเดาไม่ผิดตั้งแต่แรก ตอนนี้ไม่ต้องฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำให้สูงขึ้นไปอีกขั้น อาศัยเพียงแค่พลังเวทย์ที่เพิ่มขึ้น โครงกระดูกในร่างก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง และความแข็งแกร่งก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย


พอฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำจนถึงขั้นที่ห้า ไม่คิดว่ามันจะให้ผลลัพธ์อันน่าตกใจเช่นนี้ หากสามารถฝึกฝนต่อไปได้ล่ะก็ ไม่เท่ากับว่าเขามีพลังปาฏิหาริย์หรอกหรือ?


นิกายปีศาจในสมัยก่อน ไม่เคยมีคนฝึกฝนวิชานี้จนถึงระดับของเหลวมาก่อน ถึงไม่เคยรู้เรื่องนี้ มิเช่นนั้นคงเกิดความฮือฮาไม่ใช่น้อย


มิน่าตอนนั้นปรมาจารย์ลิ่วยินถึงได้ให้ความสำคัญกับมันมาก และยังบอกว่ามันมีประวัติความเป็นมาอันยิ่งใหญ่ และยังแปลขั้นก่อนหน้าเองสองสามขั้น


หลิ่วหมิงคิดมาถึงจุดนี้ ก็รู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก ดีที่ว่าเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬที่จะฝึกฝนต่อ ก็เป็นวิชาระดับสุดยอดเช่นกัน สิ่งนี้มันช่วยปลอบใจเขาได้มาก


จากคำพูดจิตรับรู้ของปรมาจารย์ลิ่วยิน เคล็ดวิชากระดูกดำในส่วนหลังน่าจะอยู่ใน ‘แผ่นดินจงเทียน’ ภายหน้าก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสไปเสาะหา


หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ จิตของเขาค่อยๆ สั่นไหว


เวลาในหลายวันต่อมา เขาเริ่มทานสมุนไพรจิตวิญญาณอยู่ไม่หยุด เพื่อให้พลังเวทย์ในร่างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนมากกว่าตอนที่เพิ่งเข้าระดับอาจารย์จิตวิญญาณสามส่วน


สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงดีอกดีใจเป็นอย่างมาก แต่ที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าก็คือ หลังจากที่เขาทานสมุนไพรจิตวิญญาณต้นสุดท้ายหมดแล้ว อักขระสีเงินบนกระดูกไม่เพียงแต่จะแจ่มชัดมากขึ้นเท่านั้น พื้นที่ว่างอื่นๆ ก็มีอักขระสีเงินพร่ามัวออกมาใหม่ และความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นเกือบครึ่งหนึ่งของตอนเริ่มต้น


อย่างที่รู้ว่า เดิมทีความแข็งแกร่งของหลิ่วหมิงก็น่าตกใจเป็นอย่างมากอยู่แล้ว ถ้าเพิ่มขึ้นเกือบครึ่งหนึ่งล่ะก็ เกรงว่าคงไม่ด้อยไปกว่าผู้ฝึกร่างโดยเพาะที่อยู่ในระดับเดียวกันอย่างแน่นอน


ผ่านไปอีกหลายวัน หลังจากทำพลังเวทย์ที่เพิ่มมาให้มั่นคงเล็กน้อยแล้ว ก็ใช้เวลาไปทั้งหมดหนึ่งเดือนพอดี


เขาออกไปจากห้องลับ และเหาะไปจากเขาเก้าทารกทันที


ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป หลิ่วหมิงมาปรากฏตัวตรงหน้าผาสูงชะโงกเงื้อมบริเวณยอดเขาหลักของสาขาฝึกศพ พอเขายกแขนเสื้อขึ้น พลังไร้รูปบางอย่างก็ชนเข้าใส่ประตูหินสีแดงที่อยู่ไม่ไกล


“ตุบ!”


ประตูหินสั่นไหว แสงสีแดงเปล่งประกายออกมา


จากนั้นเขาก็รออยู่กลางอากาศเงียบๆ


ไม่นานประตูหินก็เปิดออก ชายหนุ่มร่างกำยำที่เคยเจอในครั้งนั้นเดินออกมา พอเขาเห็นหลิ่วหมิงก็รีบคารวะอย่างรวดเร็ว


“ศิษย์คารวะอาจารย์อาหลิ่ว อาจารย์ได้สั่งไว้ว่า ถ้าหลายวันนี้อาจารย์อามาหา ก็ให้เขาไปได้เลยโดยไม่รายงาน”


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้คงต้องรบกวนศิษย์หลานแล้ว” หลิ่วหมิงพยักหน้ากล่าวโดยไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด


“อาจารย์อา เชิญ!” ชายร่างกำยำกล่าวอย่างนอบน้อมก่อนนำทางเข้าไป


ผ่านไปไม่นาน หลิ่วหมิงก็ถูกชายหนุ่มพามายังห้องรับรองที่งดงามและละเอียดอ่อน


ณ ตรงนั้น ชายชุดคลุมสีดำขมวดคิ้ว และกำลังศึกษาคัมภีร์หนาๆ ที่ประคองอยู่ในมือ


และพริบตาที่หลิ่วหมิงเข้าไปในห้องโถง ผู้อาวุโสก็รีบเก็บคัมภีร์ทันที และเงยหน้าขึ้นกล่าวอย่างราบเรียบ


“ศิษย์น้องหลิ่วมาได้ทันเวลาพอดี สิ่งที่เจ้าต้องการเพิ่งหลอมเสร็จเมื่อสองวันก่อน”


“พูดอย่างนี้ แสดงว่าศิษย์พี่หลอมสำเร็จแล้วใช่ไหม!” หลิ่วหมิงรู้สึกดีใจเมื่อได้ยินเช่นนี้


“ไม่เพียงแต่หลอมสำเร็จเท่านั้น แต่ยังสร้างความประหลาดใจที่ไม่คาดคิดอีกด้วย ตามข้ามาเถอะ!” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีดำกล่าวด้วยสีหน้าแปลกๆ จากนั้นก็เดินนำออกไปจากห้องรับรอง


หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็เดินตามไปด้วยความสนใจทันที


ไม่นานเขาก็ถูกศิษย์พี่หวงพามายังห้องหินสีแดงที่อยู่ลึกลงไปใต้ดินหลายสิบจั้ง


เมื่อผู้อาวุโสเปิดประตูหินออก ไอร้อนด้านในก็ประทุออกมา


หลิ่วหมิงรู้สึกเสียวสะท้านเล็กน้อย แสงสีน้ำเงินเปล่งประกายออกมา มันช่วยกั้นไอร้อนไว้ได้


ขณะนี้เขาถึงมองเห็นทุกอย่างในห้องหินอย่างชัดเจน


ในห้องหิน มีหลุมขขนาดใหญ่ เส้นผ่านศูนย์กลางยาวจั้งกว่าๆ กลางหลุมมีเปลวไฟสีแดงคุโชน


บนหลุมสีเตาหลอมยักษ์สีดำสูงหลายจั้งวางอยู่ใบหนึ่ง ซึ่งไม่รู้ว่ามันสร้างมาจากวัสดุอันใด ภายใต้เปลวไฟที่แผดเผา มันก็ยังไม่เปลี่ยนสีเลยแม้แต่น้อย


ส่วนมุมอื่นๆ ของห้องหิน มีโต๊ะรูปร่างแปลกๆ วางอยู่สี่ห้าตัว ด้านบนมีเครื่องมือวางระเกะระกะอยู่


สิ่งเดียวที่หลิ่วหมิงจำได้ก็คือ ค้อนยักษ์ยาวจั้งกว่าๆ ที่เปล่งประกายแสงสีขาว


“มุกพลังวารีอยู่ข้างใน หลังจากหลอมสำเร็จมันยังไม่รู้จักเจ้าของ ข้าจึงนำมันไปเผาชุบในเตาหลอมตลอด อานุภาพของมันจะได้ไม่ลดลงไป ตอนนี้ข้าจะเปิดเตาหลอมให้ศิษย์น้องดู!” ศิษย์พี่หวงกล่าว จากนั้นก็ทำท่ามือแล้วชี้ไปทางเตาหลอมยักษ์ทันที


“ฟู่!” พลังเวทย์พุ่งยิงออกไป และจมหายเข้าไปในเตาหลอมยักษ์


ทันใดนั้น มีเสียงดังโครมครามมาจากเตาหลอมยักษ์ ฝาเตาหลอมที่ดูหนักอย่างหาที่เปรียบไม่ได้มก็ค่อยๆ เปิดออกมา


“ซู่!”


พริบตาที่ฝาเตาหลอมเคลื่อนตัวออก กลุ่มแสงสีดำก็พุ่งออกมาตามร่อง และหมุนตัวติ้วๆ ก่อนที่จะลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ


พริบตานั้น ความรู้สึกเย็นเฉียบกวาดไปทั่วห้องหิน ไอร้อนระอุโดนกวาดออกไปเรียบ และก่อให้เกิดความเปียกชื้นขึ้นมา


หลิ่วหมิงเขม้นตาทั้งสองจนมองเห็นสิ่งที่อยู่ในแสงสีดำอย่างชัดเจน


มุกดำขนาดเท่านิ้วโป้ง เปล่งแสงแวววาวใสแจ๋วปรากฏตัวท่ามกลางไอสีดำที่ล้อมรอบ และยังแผ่ไอเย็นชุ่มชื้นออกมา


“นี่คือมุกพลังวารี ที่แท้ก็ดูมีพลังจิตวิญญาณเป็นอย่างมาก” หลิ่วหมิงพูดพึมพำ


ศิษย์พี่หวงที่อยู่ด้านข้างได้ยินเช่นนี้ กลับถอนหายใจกล่าวออกมา


“ข้าหลอมสมบัติในครั้งนี้ ไม่รู้ว่าสาเหตุอะไรที่ให้คุณสมบัติสูงขึ้นมาก จนเกือบจะเลยขีดจำกัดการหลอมอาวุธของข้า ถ้าไม่ใช่เพราะว่ามุกเม็ดนี้ไม่เหมาะกับข้า ข้าก็อยากจะได้มันไว้เช่นกัน แต่ตอนนี้คงได้แต่คืนให้เจ้าแล้วล่ะ!”


พอกล่าวจบ ศิษย์พี่หวงก็โบกมือไปทางมุกกลมๆ แล้วดูดมันเข้ามา หลังจากลูบดูสองสามครั้งแล้วถึงยื่นให้หลิ่วหมิง


“ศิษย์พี่กล่าวเช่นนี้ แสดงว่าหลอมออกมาเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางใช่ไหม!” หลิ่วหมิงได้ยินก็ดีใจเป็นอย่างมาก เขารีบรับมุกกลมๆ แล้วกล่าวออกมา


สำหรับเขาแล้ว มุกพลังวารีเป็นสมบัติมหัศจรรย์ อานุภาพของมันไม่ใช่สิ่งที่อาวุธจิตวิญญาณระดับเดียวกันจะเทียบได้ ถ้าตอนนี้หลอมเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางแล้ว ไม่เท่ากับว่าอานุภาพของมันพอที่จะสามารถทัดเทียมกับอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงได้หรอกหรือ!


“ไม่เพียงแค่เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับกลาง แต่ยังเป็นอาวุธที่ใส่ชั้นจำกัดเข้าไปสิบแปดชั้น แม้จะห่างจากอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงที่แท้จริงเป็นอย่างมาก แต่คิดว่าอานุภาพคงห่างกันแค่ก้าวเดียว”


ได้ยินหลิ่วหมิงถามเช่นนี้ ศิษยพี่หวงก็มีสีหน้าเสียดายอย่างเจ็บปวด และเกือบจะกัดฟันกล่าวออกมา


ถ้ารู้แต่แรกว่าตนเองสามารถหลอมมุกพลังวารีที่มีคุณสมบัติสูงเช่นนี้ เขาคงไม่ต้องการค่าตอบแทนเพียงเล็กน้อย สำหรับเขาแล้วนับว่าครั้งนี้เสียเปรียบไปมาก


เพราะอาวุธจิตวิญญาณที่ตนเองใช้ เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางที่มีแค่สิบสามชั้นจำกัดเท่านั้น


“ครั้งนี้คงต้องลำบากศิษย์พี่แล้ว อ่ะ! นี่คือค่าตอบแทนที่ศิษย์น้องได้กล่าวไว้ในวันนั้น ศิษย์พี่นับดูก่อนว่ามีอะไรผิดพลาดหรือไม่!”


พอหลิ่วหมิงฟังจบก็ยิ้มออกมา หลังจากตรวจสอบดูมุกในมือจนมั่นใจว่าเป็นอาวุธจิตวิญญาณสิบแปดชั้นจำกัดจริงๆ แล้ว ก็รีบหยิบขวดเล็กๆ หนึ่งใบกับหินจิตวิญญาณอีกจำนวนหนึ่งให้ผู้อาวุโสชุดคลุมสีดำ


……


ผ่านไปไม่นาน หลิ่วหมิงเหาะออกจากยอดเขาหลักของสาขาฝึกศพ เขาลูบมุกสีดำในมืออยู่ตลอดๆ ด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก


เขาไม่ได้เหาะกลับไปถ้ำที่พักของตนเอง แต่กลับเหาะออกไปจากเขานิกายปีศาจ และมุ่งหน้าออกไปยังที่ไกลๆ


อึดใจเดียวก็เหาะไปได้ร้อยกว่าลี้ หลิ่วหมิงเลือกหุบเขาหินที่เงียบสงบแห่งหนึ่งแล้วร่อนลงไป


ขณะนี้เขาถึงได้หยิบมุกในแขนเสื้อออกมา เขาใช้นิ้วบีบเพียงเล็กน้อย มันก็ราบแบนได้ดั่งใจ


มุกพลังวารีนี้อ่อนนุ่มอย่างน่าอัศจรรย์


แต่เมื่อเทียบน้ำหนักของหยดพลังวารีแต่เดิมกับมุกพลังวารีแล้ว ตอนนี้มันกลับมีน้ำหนักเบามาก เบาจนราวกับไร้น้ำหนัก


หลิ่วหมิงไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับเหตุการณ์นี้ แต่กลับเปล่งแสงสีน้ำเงินออกมาจากตัว และเริ่มส่งพลังเวทย์ใส่มุกกลมๆ


ผ่านไปไม่นาน มุกกลมๆ ก็เริ่มเปล่งลำแสงสีดำออกมา ขณะเดียวกันไอหมอกจำนวนมากก็ปรากฏออกมา และออกมามากขึ้นเรื่อยๆ


……………………………………….


ตอนที่ 253 กำลังสนับสนุน

โดย

Ink Stone_Fantasy

แต่พอหลิ่วหมิงสะบัดข้อมือเพื่อโยนมุกพลังวารีออกไปไกลๆ นั้น พลังเวทย์ภายในร่างพลันหยุดชะงักลง อยู่ๆ มุกพลังวารีก็หนักขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ จนทำให้แขนเขาสั่นสะท้านและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เลยแม้แต่น้อย


แต่ดูเหมือนว่าหลิ่วหมิงได้คาดการณ์ไว้แต่แรกแล้ว หลังจากกล้ามเนื้อแขนขยายใหญ่ขึ้น พลังมหาศาลก็ทะลักออกมา


มุกกลมสีดำถูกโยนออกไปจนดูพร่ามัว มันปะทะใส่กองหินระเกะระกะที่อยู่ไกลออกไปสามสี่จั้ง


“ตู๊ม!” บังเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว


พอพื้นดินสั่นสะเทือน กองหินเหล่านั้นก็ระเบิดออกมา ก่อให้เกิดหลุมยักษ์ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางสามสี่จั้ง ลึกครึ่งจั้ง ทุกสิ่งที่อยู่ข้างในล้วนกลายเป็นผุยผง ก้อนหินบริเวณรอบๆ ก็ถูกอานุภาพนี้สั่นสะเทือนจนแตกกระจาย


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็โบกมือไปทางหลุมยักษ์ทันที


“ฟู่!” มุกพลังวารีพุ่งขึ้นจากหลุม และค่อยๆ ลอยมาตกอยู่ในมือเขา ตอนนี้มันกลับมามีสภาพไร้น้ำหนักอีกครั้ง


หลิ่วหมิงตรวจสอบดูมุกกลมๆ อยู่ครู่หนึ่ง และแสดงสีหน้าพึงพอใจออกมา


หลังจากหยดพลังวารีถูกหลอมเป็นอาวุธจิตวิญญาณแล้ว แม้ว่าจะยังไม่ผ่านการปรับแต่งหรือกระตุ้นชั้นจำกัดใดๆ มันก็ยังมีอานุภาพการทำลายล้างน่าตกใจเช่นนี้


ถ้าเขากลั่นหยดโลหิตและสามารถกระตุ้นชั้นจำกัดทั้งสิบแปดชั้นได้ เกรงว่าอานุภาพมันคงน่ากลัวจนยากที่จะรู้ได้


แน่นอนว่าเขาค้นพบเรื่องไม่ดีบางอย่างด้วยเช่นกัน


ในขณะที่ควบคุมมุกพลังวารีเม็ดนี้ ต้องใช้ความแข็งแกร่งของร่างกายเป็นอย่างมาก ซึ่งมากกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้


การโจมตีเมื่อครู่ ต้องใช้พลังเจ็ดแปดส่วน ถ้าไม่ใช่ว่าเขาเพิ่มพลังไปอีกส่วนหนึ่ง เกรงว่าคงไม่อาจกระตุ้นสมบัติชิ้นนี้ได้


ถ้าสมบัติชิ้นนี้ถูกปรับแต่ง และถูกกระตุ้นชั้นจำกัดล่ะก็ เกรงว่าคงต้องใช้พลังเยอะจนน่าตกใจ ซึ่งถ้าเปิดชั้นจำกัดทั้งหมดล่ะก็ เกรงว่าแม้แต่ผู้ฝึกร่างโดยทั่วไปก็ไม่อาจควบคุมสมบัติชิ้นนี้ได้


แต่ดีที่การเพิ่มขึ้นของพลังเวทย์ในตอนนี้ ทำให้พลังเพิ่มมากขึ้นไปด้วย บวกกับต่อไปจะต้องฝึกเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬซึ่งทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นภายหน้าคงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้


หลิ่วหมิงคิดได้เช่นนี้ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมามาก


แม้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ เขาไม่อาจสำแดงอานุภาพทั้งหมดของมุกพลังวารีได้ แต่การกระตุ้นสามชั้นจำกัดแรกคงไม่มีปัญหาใดๆ


ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การโจมตีของมุกพลังวารีนับว่ารุนแรงเป็นอย่างมาก อาจารย์จิตวิญญาณโดยทั่วไปแปดถึงเก้าส่วน ไม่อาจรับมือกับการโจมตีนี้ได้


หลังจากคิดได้เช่นนี้ หลิ่วหมิงก็วางใจขึ้นมาเล็กน้อย


เวลาต่อมาเขาใช้มุกกลมๆ โจมตีอีกสองสามครั้ง หลังจากคุ้นเคยแล้วก็เตรียมที่จะไปจากหุบเขา


แต่ในขณะที่เขากำลังทำท่ามือเรียกเมฆนั้น ถุงหนังใบหนึ่งที่อยู่บนเอวก็ส่งเสียงดัง “หวึ่งๆ!” ออกมา และสั่นไหวอยู่ไม่หยุด


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย แต่รีบดึงถุงหนังแล้วโยนไปในอากาศทันที


“ฟู่!”


ถุงหนังหมุนวนหนึ่งรอบ และแสงสีดำก็ม้วนตัวออกจากปากถุง แมงป่องกระดูกขาวยาวครึ่งจั้งปรากฏขึ้นบนพื้น


ตั้งแต่ปีศาจตนนี้กลืนกินปีศาจแมงป่องอีกตัวที่เทือกเขาหมื่นทมิฬแล้ว มันก็หลับสนิทอยู่ในถุงหนังตลอด ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ถึงฟื้นขึ้นมา และหลังจากออกมาแล้ว มันก็บิดตัวดิ้นรนอยู่บนพื้น เปลวไฟสีม่วงคุโชนอยู่ไม่หยุด


ที่ทำให้น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือ บนตัวของมันเต็มไปด้วยรอยแตกสีดำเป็นเส้นๆ


จากการสื่อสารกันทางจิต หลิ่วหมิงรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดของแมงป่องกระดูกขาวกับความคิดที่สับสนไปหมดได้อย่างชัดเจน


หลิ่วหมิงรีบทำท่ามือด้วยความรู้สึกเย็นสะท้านในใจ จากนั้นพลังเวทย์ก็พุ่งออกจากนิ้วทั้งสิบไปยังร่างของแมงป่องกระดูกขาวและจมหายเข้าไปในนั้น


แต่ปีศาจตนนี้ก็ยังคงดิ้นรนอยู่บนพื้นไม่หยุด ราวกับว่าไม่สามารถช่วยมันได้เลยแม้แต่น้อย


พอหลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็มีสีหน้าหม่นหมองขึ้นมา หลังจากลังเลเล็กน้อยแล้ว ก็หยิบขวดเล็กๆ ออกจากอกมาหลายใบ และเทโอสถออกมาหลายเม็ดก่อนจะโยนไปให้แมงป่องกระดูกขาว


แมงป่องกระดูกขาวกระโดดงับโอสถทั้งหมดแล้วกลืนลงไป แต่ครู่ต่อมาก็ร่วงหล่นลงพื้นอย่างรุนแรง


ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป หลิ่วหมิงก็ดูหน้าเสียขึ้นมาเล็กน้อย


แมงป่องกระดูกขาวยังคงเจ็บปวดเช่นเดิม เห็นได้ชัดว่าโอสถเมื่อครู่ไม่มีผลเลยแม้แต่น้อย


ขณะที่เขาคิดไตร่ตรองอยู่ในใจว่าควรนำแมงป่องกระดูกขาวไปยังแดนปีศาจปรโลกหรือไม่นั้น แมงป่องกระดูกขาวก็เปล่งเสียงเสียงแหลมประหลาดออกมา จากนั้นก็พุ่งเข้าหาเขา


หลิ่วหมิงรู้สึกหวาดผวาทันที เขายกแขนขึ้นโดยไม่ต้องคิด นิ้วทั้งหน้าคว้าคอของแมงป่องกระดูกขาวไว้ราวกับเหล็ก ทำให้มันอยู่ห่างจากเขาฉื่อกว่าๆและไม่สามารถเข้าใกล้เขาได้


แต่เท้าของมันก็ดิ้นไปมา และยังส่งเสียงร้องแหลมอยู่ไม่หยุด ราวกับจะพยายามเข้าใกล้หลิ่วหมิงให้ได้


จากความปรารถนาที่ส่งมาจากจิตของแมงป่องกระดูกขาว ดูเหมือนว่าจะรุนแรงกว่าตอนแรกหลายเท่า ท่าทีของมันดูวุ่นวายใจเป็นอย่างมาก


หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเมื่อค้นพบว่าแมงป่องกระดูกขาวไม่ได้คิดจะโจมตีเขา มันเพียงแค่อยากเข้าใกล้เขาก็เท่านั้น


เขาคิดวกไปมาอย่างรวดเร็ว และค่อยๆ หดแขนเข้ามาเพื่อให้ร่างของแมงป่องกระดูกขาวเข้าใกล้ตนเอง


“ฟู่!”


ก้ามยักษ์ข้างหนึ่งของแมงป่องกระดูกขาวเคลื่อนไหวทันที มันฉีกชุดคลุมยาวตรงหน้าอกกับชุดที่อยู่ด้านในของหลิ่วหมิงจนขาด เผยให้เห็นเกราะหนังเกล็ดมังกรแดงที่สวมอยู่


มันเคลื่อนไหวอีกที ก้ามยักษ์ก็หนีบเกล็ดแผ่นหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็พยายามดึงมันออก จนทำให้หนังอสูรแผ่นนั้นฉีกขาดออกมา และมันก็นำเกล็ดมังกรแดงใส่เข้าปากตนเอง


ฉากที่ทำให้หลิ่วหมิงตกตะลึงจนตาค้างได้ปรากฏขึ้นแล้ว


แมงป่องกระดูดขาวงับเอาเกล็ดมังกร และกลืนลงไปในท้อง จากนั้นก็ใช้ก้ามยักษ์ดึงเกล็ดอีกแผ่นหนึ่ง


ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนองในทันที เขาผลักแมงป่องกระดูกขาวออกไปเล็กน้อย จากนั้นก็เบิ่งตาสังเกตอยู่ครู่หนึ่ง


แต่นอกจากท่าทีปรารถนาเข้าใกล้หลิ่วหมิงมากกว่าเดิมแล้ว ความรู้สึกเจ็บปวดที่มันส่งมาก็ดูเหมือนจะคลายลงไปเล็กน้อย


และเมื่อเกล็ดอันแข็งแกร่งตกอยู่ในท้องของมัน ก็ไม่เห็นแสดงอาการผิดปกติใดๆ ออกมา


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ได้แต่แอบสงสัยอยู่ในใจ หลังจากลังเลเล็กน้อยแล้ว ก็ยกแมงป่องกระดูกขาวขึ้นมา และเหาะไปยังเขาลูกเล็กๆ ลูกหนึ่ง


ผ่านไปไม่นาน หลิ่วหมิงได้พาแมงป่องกระดูกขาวมาปรากฏตัวในถ้ำหินที่บุกเบิกใหม่ตรงไหล่เขา


พอเขาสะบัดแขนเสื้อ ธงค่ายกลสิบกว่าอันก็พุ่งออกมา และตกไปอยู่ตามมุมทั้งสี่ พริบตาเดียวมันก็กลายเป็นม่านแสงสีขาวปกคลุมเขากับแมงป่องกระดูกขาวไว้ในนั้น


ขณะนี้ หลิ่วหมิงคว้าไปยังหอยสังข์ย่อส่วนที่อยู่บนแขน แสงสีแดงเปล่งประกายออกมาทันที มังกรแดงขนาดเล็กยาวหลายฉื่อ ปรากฏออกมากลางอากาศ


มันคือเปลือกของมังกรแดงระดับผลึกตนนั้นนั่นเอง


หลิ่วหมิงโยนแมงป่องกระดูขาวลงบนพื้น มือข้างหนึ่งกดไปบนอากาศ พลังไร้รูปบางอย่างทะลักออกไปจากนิ้วทั้งห้า


ร่างแมงป่องกระดูกขาวหนักอึ้งขึ้นมา มันถูกกดจนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้


หลิ่วหมิงล้วงมืออีกข้างเข้าไปในแขนเสื้อ เพื่อดึงกระบี่สั้นสีเขียวออกมา


แสงเย็นสะท้านสั่นไหว เกล็ดมังกรแดงสองแผ่นหลุดลอกออกมา และถูกโยนให้กับแมงป่องกระดูกขาวที่จ้องมองตาปริบๆ อยู่บนพื้น


พริบตาที่เกล็ดแผ่นนั้นร่วงลงพื้น หลิ่วหมิงก็ดึงมือกลับมา


พอแรงมหาศาลบนร่างแมงป่องกระดูกขาวหายไป มันก็รีบกระโจนเข้าใส่เกล็ดทั้งสองแผ่น และกลืนกินลงไปราวกับเสือขย้ำเหยื่อ จากนั้นก็ส่ายหางไปมา เพื่อบ่งบอกหลิ่วหมิงว่ายังต้องการมันอีก


หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว เขาขยับแขนโดยไม่ลังเล หลังจากแสงเย็นสะท้านเปล่งประกายออกมา เกล็ดแต่ละแผ่นก็ถูกเลาะออกแล้วส่งให้แมงป่องกระดูกขาว


……


เหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้เรื่อยๆ จนเมื่อแมงป่องกระดูกขาวกลืนเกล็ดมังกรแดงไปยี่สิบกว่าแผ่น ในที่สุดมันก็ไม่แสดงความต้องการออกมาอีก แต่กลับมีท่าทีเหนื่อยหน่ายปรากฏออกมา จากนั้นก็หลับสนิทอีกครั้ง


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก


แม้ว่าเกล็ดบนเปลือกมังกรแดงจะยังมีเหลืออยู่มาก แต่ถูกแมงป่องกระดูกขาวกลืนกินอย่างรวดเร็วเช่นนี้ มันทำให้เขารู้สึกปวดใจไม่น้อย


เพราะถ้านำเกล็ดมังกรแดงออกไปข้างนอกล่ะก็ แต่ละแผ่นล้วนล้ำค่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้


เมื่อเบาโบกแขนเสื้อ เปลือกมังกรแดงก็หายไปเข้าไปในหอยสังข์ย่อส่วน


ส่วนแมงป่องกระดูกขาว ก็ถูกดูดเข้าไปในถุงหนัง


หลายชั่วยามต่อมา หลิ่วหมิงขี่เมฆเหาะกลับถ้ำที่พักบนเขาเก้าทารก และเริ่มทำการฝึกฝนต่อ


สามวันต่อมา หลิ่วหมิงที่นั่งเข้าฌานอยู่ในห้องลับ พลันได้ยินเสียงระฆังดังขึ้น


เขาลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา และค่อยๆ นับจำนวนครั้งของเสียงระฆังอย่างเงียบๆ


ผ่านไปไม่นาน เสียงระฆังก็หยุดลง หลิ่วหมิงกล่าวกับตนเองด้วยตาที่เป็นประกาย


“เป็นการเรียกรวมตัวผู้ฝึกฝนระดับสูงในนิกาย! ดูท่าสถานการณ์ทางชายแดนคงไม่อาจประคับประคองไว้ได้แล้ว แปดถึงเก้าส่วนคงต้องส่งกำลังเข้าไปสนับสนุน”


สีหน้าหลิ่วหมิงเคร่งขรึมเล็กน้อย แต่ก็รีบไปจากถ้ำที่พักอย่างไม่รอรี และเหาะตรงไปยังยอดเขาหลักของนิกาย


……


เจ็ดวันผ่านไปมีเสียงระฆังดังขึ้นในนิกายปีศาจอีกครั้ง


เรือเหาะจำนวนมากลอยลำอยู่เหนือนิกายปีศาจ มีเรือเหาะไม้สีเขียว เรือเหาะหยกสีขาว เรือกระดูกที่มีไอดำพวยพุ่ง ลำที่ยาวที่สุดยาวสี่สิบถึงห้าสิบจั้ง ลำที่สั้นสุดก็ประมาณเจ็ดแปดจั้ง ซึ่งมีทั้งหมดราวๆ สามสิบสี่สิบลำ


อาวุธเหาะเหล่านี้เต็มไปด้วยกลิ่นไอที่แตกต่างกันไปของผู้ฝึกฝนในนิกายปีศาจ และพอประมุขนิกายปีศาจกล่าวคำว่า “ออกเดินทาง!” ออกมาอย่างเยือกเย็น ก็บังเกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น ก่อนที่เรือเหาะทั้งหมดจะพุ่งยิงออกไปพร้อมกัน


พอเรือเหาะทั้งหมดจากไป ค่ายกลขนาดใหญ่ก็ปรากฏออกมาตามจุดต่างๆ ของนิกาย


ภายใต้สถานการณ์ที่ค่ายกลเหล่านี้ถูกกระตุ้นพร้อมกัน อักขระจำนวนมากก็ทะลักออกมา ไม่นานอักขระเหล่านี้ก็ปกคลุมไปทั่วนิกายปีศาจ


จากนั้นอากาศตรงรอบๆ นิกายปีศาจก็บิดเบี้ยว เขาลูกต่างๆ ก็พร่ามัวก่อนที่จะหายไป


ขณะเดียวกันก็มีไอดำพวยพุ่งออกจาก พื้นที่ที่ยอดเขาเหล่านี้เคยอยู่ พริบตาเดียวสถานที่แห่งนี้ก็กลายเป็นทะเลหมอกสีดำ


……………………………………….


ตอนที่ 254 แมงป่องกระดูกขาวกลายพันธุ์

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลิ่วหมิง ประมุขนิกายปีศาจ หลินไฉอวี่และอาจารย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ อยู่รวมกันตรงใจกลางเรือกระดูกขนาดใหญ่


จากการปรึกษาหารือเมื่อหลายวันก่อน นอกจากจะมีอาจารย์จิตวิญญาณดูแลนิกายสาขาละคนแล้ว คนอื่นๆ ล้วนต้องไปเป็นกำลังเสริมที่ชายแดนทั้งหมด


ส่วนสาขาเก้าทารก เนื่องจากหลิ่วหมิงจำเป็นต้องควบคุมปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกตนนั้น กุยหรูฉวนจึงต้องอยู่ดูแลสาขา


นอกจากนี้ ประมุขนิกายปีศาจยังนำศิษย์หลายร้อยคนออกเดินทางไปพร้อมกันด้วย


ศิษย์เหล่านี้ส่วนมากเป็นศิษย์จิตวิญญาณระดับกลาง ส่วนน้อยที่เป็นศิษย์จิตวิญญาณระดับปลาย ถ้าระดับการฝึกฝนต่ำกว่านี้ล่ะก็ คงมีแต่ไปตายเท่านั้น


อีกอย่าง ครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงแต่นิกายปีศาจ แต่นิกายจันทราสวรรค์ และนิกายอื่นๆ ก็ส่งคนที่สามารถช่วยได้ไปด้วย


เพราะผู้ฝึกฝนระดับสูงของแต่ละนิกายต่างก็รู้ดีว่า ต่อให้แต่ละนิกายจะแอบต่อสู้กันเองอย่างลับๆ ในแคว้นต้าเสวียน แต่พอเผชิญหน้ากับเผ่าเจ้าสมุทรเช่นนี้ ต่างก็ต้องร่วมมือร่วมใจกัน มิเช่นนั้นนิกายทั้งหมดอาจถูกเผ่าเจ้าสมุทรบดขยี้ได้ และแคว้นต้าเสวียนก็อาจตกอยู่ในเงื้อมมือของเผ่าเจ้าสมุทร


การรวมตัวเมื่อไม่นานมานี้ ประมุขนิกายปีศาจยังได้เปิดเผยเรื่องลับลึกบางอย่างให้กับหลิ่วหมิงและอาจารย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ ดูเหมือนว่านิกายของแคว้นต่างๆ ในแผ่นดินอวิ๋นชวนก็ไม่อาจนิ่งดูดายต่อการรุกรานของเผ่าเจ้าสมุทรได้ และจะส่งกองกำลังสนับสนุนมาช่วยเผด็จศึกกับเผ่าเจ้าสมุทรอีกแรง


ข่าวดีเช่นนี้ ทำให้หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ มีความมั่นใจมากขึ้น


แน่นอนว่ามีเรื่องไม่ดีด้วยเช่นกัน ซึ่งก็คือในระหว่างที่เผ่าเจ้าสมุทรกำลังโจมตีแคว้นต่างๆ นั้น นิกายในแคว้นสองแคว้นถูกเผ่าเจ้าสมุทรโจมตีจนพ่ายแพ้ ตอนนี้ทั้งสองแคว้นต่างก็ถูกปกครองโดยคนของเผ่าเจ้าสมุทร และดูเหมือนว่าอีกไม่นานดินแดนที่อยู่ในสังกัดก็จะถูกครอบครองด้วย


ถ้าเช่นนี้ล่ะก็ กองกำลังของเผ่าเจ้าสมุทรเหล่านั้น จะพุ่งมาที่แคว้นค้าเสวียนกับแคว้นอีกแคว้นที่พยายามยืนหยัดอย่างยากลำบากทันที พอถึงตอนนั้นกองกำลังเผ่าเจ้าสมุทรที่นิกายปีศาจและนิกายอื่นๆ ต้องเผชิญ คงต้องแข็งแกร่งมากกว่าเดิม


นี่เป็นเหตุที่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกออกคำสั่งให้แต่ละนิกายส่งกำลังสนับสนุน และอดทนรอคอยไม่ไหวที่จะเผด็จศึกกับเผ่าเจ้าสมุทร


พวกเขาวางแผนโจมตีเผ่าเจ้าสมุทรให้ยับเยิน ก่อนที่กองกำลังสนับสนุนของเผ่าเจ้าสมุทรจะมาถึง เช่นนี้แล้วถึงจะสามารถเอาชนะได้


หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ โดยสารเรือเหาะมุ่งหน้าไปยังชายแดนอย่างรวดเร็ว


ศิษย์ทั่วไปต่างก็นั่งขัดสมาธิฝึกฝนเพิ่มพลังให้ตัวเองก่อนไปถึงสนามรบ


หลิ่วหมิงเป็นถึงอาจารย์จิตวิญญาณ จึงนั่งเข้าฌานอยู่ในห้องส่วนตัวที่ถูกจัดไว้ให้


เวลาค่อยๆ ผ่านไป เรือเหาะก็เหาะออกไปจากพื้นที่ควบคุมของนิกายปีศาจ และมุ่งไปข้างหน้าอยู่ไม่หยุด


แต่วันนี้ หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้อง ทันใดนั้นถุงหนังบนเอวก็สั่นไหว และมีเสียงแมงป่องกระดูกขาวดังออกจากในนั้น


ภายใต้ความตกตะลึง หลิ่วหมิงรีบทำท่ามือในทันที และใช้พลังจิตสื่อสารกับจิตรับรู้ของแมงป่องกระดูกขาว


ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ก่อนหน้านั้นมันเพิ่งหลับลึกไป ทำไมถึงฟื้นขึ้นมาเร็วเช่นนี้ล่ะ


ผ่านไปไม่นาน สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปในฉับพลัน จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วก้าวยาวๆ ออกไปนอกห้อง


ไม่นานก็เดินมาถึงท้ายเรือของเรือเหาะกระดูก เขาหยิบแผ่นค่ายกลออกมา และใช้นิ้ววนอยู่บนนั้นสองสามที จากนั้นก็กระโดดลงจากเรือเหาะไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง


ฉากนี้ทำให้ศิษย์นิกายปีศาจที่ฝึกฝนอยู่บริเวณนั้นต่างก็ตกใจเป็นอย่างมาก หนึ่งในนั้นรีบไปรายงานประมุขนิกายปีศาจทันที


แต่พอประมุขนิกายปีศาจได้ยินเรื่องนี้ ก็เพียงแค่โบกมือว่ารับรู้แล้ว และไม่ได้สั่งอะไรออกไป


ศิษย์ที่มารายงานรู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก จึงได้แต่ถอยออกไปด้วยความงุนงง


ขณะนี้ ประมุขนิกายปีศาจล้วงเข้าไปในแขนเสื้อ และหยิบแผ่นค่ายกลกลมๆ แวววาวออกมา แสงจางๆ เปล่งประกายอยู่บนนั้น มันคือข้อความสั้นๆ ที่หลิ่วหมิงส่งมาให้เขา


“เหตุผลอะไรกัน อะไรคือ ‘เผชิญกับเรื่องด่วนกะทันหัน จำต้องอยู่คนเดียวหลายวัน อีกไม่นานก็จะกลับมาเอง’”


ประมุขนิกายปีศาจพูดกับตนเองไปสองสามประโยค แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ และเขาก็ไม่ได้ห่วงหลิ่วหมิงแต่อย่างใด


เพราะหลิ่วหมิงเป็นอาจารย์จิตวิญญาณ ทั้งยังรู้จักพื้นที่ในแคว้นต้าเสวียน จึงไม่ต้องกังวลว่าจะต้องเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งของเผ่าเจ้าสมุทรเข้า ส่วนเหตุผลที่หลิ่วหมิงปลีกตัวไปนั้น ประมุขนิกายปีศาจไม่ได้คิดเลยแม้แต่น้อย


นอกเสียจากว่าต่อไปหลิ่วหมิงไม่คิดที่จะอยู่ในแผ่นดินอวิ๋นชวนอีก มิเช่นนั้นถ้าหนีไปตอนที่มีศึกกับต่างเผ่า เขาคงไม่มีที่ยืนในแผ่นดินของเผ่ามนุษย์อีกต่อไป


ตอนนี้หลิ่วหมิงลอยอยู่ในเทือกเขาที่สูงชะโงกเงื้อม หลังจากกวาดสายตาดูรอบด้านแล้ว ก็ตบถุงหนังบนเอวทันที


“ฟู่!” ไอดำกลุ่มหนึ่งม้วนตัวออกมา แมงป่องกระดูกขาวปรากฏตัวบนพื้น


หลังจากหลิ่วหมิงสังเกตดูแมงป่องกระดูกขาวตรงหน้าแล้ว ก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย


รอยแตกบนผิวของมันหายไปจนหมดสิ้น และถูกแทนที่ด้วยเกล็ดสีแดงดำเป็นจำนวนมาก มันเปล่งประกายแสงธาตุโลหะแวววาว ขณะเดียวกันหัวของมันมีปุ่มนูนสีดำแปลกประหลาดเพิ่มขึ้นมา


ภายใต้ความประหลาดใจ หลิ่วหมิงยังไม่ทันได้ทำอะไร แมงป่องกระดูกขาวก็คลานมาตรงหน้าเขา และใช้ก้ามยักษ์ทั้งสองถูขากางเกงเขาอยู่ไม่หยุด จิตรับรู้ของมันส่งแรงปรารถนาที่รุนแรงมากกว่าเดิม


สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงยิ้มอย่างขมขื่นและหยิบเปลือกมังกรแดงออกมาอีกครั้ง พอแสงเย็นสะท้านเปล่งประกายออกมา เขาก็ใช้กระบี่สั้นเลาะเกล็ดสองแผ่นโยนไปให้แมงป่องกระดูกขาว


แต่เรื่องที่คาดไม่ถึงได้บังเกิดขึ้นแล้ว


ครั้งนี้แมงป่องกระดูกขาวไม่ได้สนใจเกล็ดเลย แต่กลับจ้องมองเปลืองของมังกรแดง และใช้ก้ามยักษ์ถูเสียดสีขากางเกงเขาอยู่ไม่หยุด


หลิ่วหมิงอึ้งไปสักพัก หลังจากจ้องมองเปลือกมังกรแดงกับท่าทีแปลกๆ ของแมงป่องกระดูกขาวแล้ว ก็ต้องลังเลอยู่ครู่หนึ่ง


ผ่านไปสักครู่ เขาก็ส่งพลังเวทย์เข้าไปในกระบี่สั้น


มีเสียงดังกังวานออกมา กระบี่จันทราหยกเปล่งลำแสงจ้าแสบตา ขณะเดียวกันค่ายกลอักขระสิบกว่าชั้นก็ปรากฏขึ้น และม้วนตัวกลับเข้าไปในกระบี่สั้น


ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงสะบัดข้อมือ และแทงกระบี่สั้นไปยังเปลือกมังกรแดง


ครั้งนี้เขากลับไม่ได้แตะต้องเกล็ดที่อยู่บนนั้น แต่กลับตัดเอาหนังที่ค่อยข้างอ่อนนุ่มบริเวณท้องของเปลือกมังกรแดง


เมื่อเขาโยนหนังชิ้นนี้ลงพื้น ก้ามทั้งคู่ของแมงป่องกระดูกขาวก็รีบหนีบใส่ปาก และกลืนลงไปทันที จากนั้นก็ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความพึงพอใจ


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็แบะปาก แต่ก็ทำได้แค่กระตุ้นกระบี่สั้นในมือ กรีดเอาหนังตรงท้องโยนให้แมงป่องกระดูกขาว


ที่เขาเอาแต่กรีดเอาหนังตรงท้อง ก็เพราะว่าจุดนี้เป็นจุดที่เปราะบางที่สุดของมังกรแดง มิเช่นนั้นถ้าไปกรีดตรงจุดอื่นที่หนากว่าล่ะก็ เกรงว่าคงต้องใช้พลังทั้งหมดกระตุ้นกระบี่จันทราหยก จึงจะสามารถกรีดเอามันออกมาได้


เมื่อหลิ่วหมิงกรีดเอาหนังอ่อนนุ่มตรงท้องให้แมงป่องกระดูกขาวกินจนหมด มันก็ไม่แสดงท่าทีปรารถนาออกมาอีก แต่กลับส่ายหางตะขอและมุดลงพื้นทันที


“ฟู่!” มันมุดหายเข้าไปใต้พื้นอย่างไร้ร่องรอย


หลิ่วหมิงแสดงสีหน้าแปลกใจออกมา แต่หลังจากลังเลเล็กน้อย ก็ส่งพลังจิตอันแข็งแกร่งไปยังด้านล่าง และตามติดตำแหน่งของแมงป่องกระดูกขาวได้ภายในพริบตา


ทันใดนั้น พอเขาขมวดคิ้ว เมฆสีเทาตรงเท้าก็ลอยตัวขึ้น และพาเขาเหาะไปยังทิศทางบางแห่ง


ใต้พื้นดินลึกร้อยกว่าจั้ง แมงป่องกระดูกขาวกำลังดำดินไปยังทิศทางบางแห่งอย่างรวดเร็ว ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างกำลังดึงดูดมันอยู่


คนหนึ่งเหาะอยู่ด้านบน อีกตัวดำดินอยู่ด้านล่าง พริบตาเดียวก็ไปได้ไกลหลายสิบลี้


ในที่สุดเขาก็พาหลิ่วหมิงมาถึงสถานที่เปลี่ยวลับตาคนแห่งหนึ่ง ในสถานการณ์ปกติ ไม่อาจมีคนหาบึงแห่งนี้พบได้


แมงป่องกระดูกขาวหยุดนิ่งอยู่ใต้ดินครู่หนึ่ง


หลิ่วหมิงมองดูบึงที่แผ่กลิ่นไอเปื่อยยุ่ยออกมา หลังจากลังเลเล็กน้อยก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น ยันต์ผืนหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ จากนั้นเขาก็แปะมันลงบนตัว


หลังจากมีเสียงดังออกมา ยันต์ก็แตกกระกระจายออกไป อักขระสีเหลืองจำนวนมากจมหายเข้าไปในร่าง จากนั้นม่านแสงสีเหลืองก็ปรากฏออกมา


หลิ่วหมิงบิดตัวจมหายเข้าไปในดินเลนและค่อยๆ มุดลงด้านล่าง


ไม่นานหลิ่วหมิงก็หาแมงป่องกระดูกขาวเจอท่ามกลางเศษหินที่มีไอดำพวยพุ่ง


ตอนนี้มันกำลังอ้าปากดูดไอดำบริเวณนั้น และทุกครั้งที่มันกลืนกินเข้าไป ร่างของมันก็ขยายใหญ่ขึ้นส่วนหนึ่ง


“ปราณหยาง เป็นปราณหยางที่มีความบริสุทธิ์สูงมาก! ดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงธรรมดา หรือว่า……” หลิ่วหมิงมองร่างแมงป่องที่ขยายใหญ่หลายเท่าอย่างรวดเร็ว ในที่สุดเขาก็นึกอะไรบางอย่างได้


จากนั้นเพื่อความชัดเจนในครั้งนี้ เขาก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นทันที ขวดหยกสูงหลายชุ่นปรากฎออกมา หลังจากมองดูแมงป่องกระดูกขาวที่กำลังสูดปราณหยินทีหนึ่งแล้ว ก็เปิดจุกออกมาทันที จากนั้นก็กระตุ้นพลังเวทย์เล็กน้อย ไหมสีดำแวววาวเส้นหนึ่งค่อยๆ พุ่งออกมา


แมงป่องกระดูกขาวที่กำลังสูดหายใจอยู่หยุดการกระทำในทันที จากนั้นมันก็จ้องมองไหมสีดำแวววาวที่ออกจากขวดอย่างไม่กระพริบตา


หลิ่วหมิงอาศัยโอกาสนี้ทำท่ามือด้วยมือเดียว จากนั้นก็เชื่อมต่อกับจิตของแมงป่องกระดูกขาว


สิ่งที่แมงป่องกระดูกขาวสื่ออกมาคือ มันชอบสิ่งที่อยู่ในขวดเล็กๆ ใบนี้เป็นพิเศษ และก็รู้สึกหวาดกลัวมาก มันถึงได้หยุดนิ่งไปเช่นนี้


แต่หลิ่วหมิงกลับชัดเจนในสิ่งที่ตนเองคิดแล้ว ภายใต้ความดีใจ เขาออกแรงนิ้วทั้งห้าที่จับขวดอยู่ทันที พลังมหาศาลบางอย่างพุ่งออกมา


“เพล้ง!”


ขวดใบเล็กๆ ถูกบีบจนแตกกระจาย ไหมสีดำแวววาวพุ่งออกมาร้อยกว่าเส้น


……………………………………….


ตอนที่ 255 ชายแดน

โดย

Ink Stone_Fantasy

ไหมแวววาวเหล่านี้คือไอปีศาจบริสุทธิ์พลังหยินแห้งที่เขาได้มาจากสมบัติของราชวงศ์ก่อน


แสงสีน้ำเงินเปล่งประกายออกจากร่าง พอเขาสะบัดแขน ผลึกไหมแวววาวก็ม้วนตัวเข้าร่างแมงป่องกระดูกขาวในพริบตา


ในขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงก็ส่งพลังจิตสั่งให้แมงป่องกระดูกขาวดูดเอาไอปีศาจบริสุทธิ์นี้เข้าไป


ด้วยความล่อตาล่อใจประกอบกับคำสั่งของหลิ่วหมิง ในที่สุดแมงป่องกระดูกขาวก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ในที่สุดมันก็อ้าปากกว้างดูดเอาไอดำเข้ามา ผลึกไหมสีเงินที่อยู่บริเวณนั้นพุ่งเข้าปากมันทันที


ขณะเดียวกันเปลวไฟสีม่วง ก็คุโชนออกมาปกคลุมร่างแมงป่องกระดูกขาวไว้


ปราณหยินรอบด้าน ต่างก็พุ่งเข้าหาร่างแมงป่องกระดูกขาวราวกับถูกอะไรบางอย่างกระตุ้น


หลายวันมานี้แมงป่องกระดูกขาวมีท่าทีแปลกประหลาด บวกกับการกลืนกินไอปีศาจบริสุทธิ์พลังหยินแห้ง ทำให้มันเข้าถึงระดับปราณแกร่ง และเริ่มทะลวงระดับของเหลวอย่างเต็มรูปแบบได้ทันที


เมื่อหลิ่วหมิงรับรู้ถึงพลังฟ้าดินที่เคลื่อนไหวอยู่รอบด้าน ก็ค่อยๆ แสดงสีหน้าดีใจออกมา เขาหยิบขวดเล็กๆ ออกมาสองขวด และโยนใส่ไอหมอกสีดำ จากนั้นถึงใช้พลังจิตสั่งแมงป่องกระดูกขาว และหยิบธงค่ายกลออกมาวาง เพื่อปิดกั้นพื้นที่บริเวณนี้ไว้ จากนั้นก็พุ่งตัวขึ้นด้านบนท่ามกลางแสงสีเหลืองที่เปล่งประกายบนร่าง


หลิ่วหมิงขี่เมฆลอยอยู่บนอากาศ และใช้พลังจิตอันแข็งแกร่งตรวจสอบทุกสิ่งที่อยู่ใต้ดินตลอดเวลา


เวลาค่อยๆ ผ่านไป เขาอยู่ที่นี่หนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ


เช้าวันที่สอง แสงอาทิตย์ก็ส่องประกายจากยอดเขาที่อยู่ไกลๆ หลังจากหลิ่วหมิงไม่พบเห็นความผิดปกติใดๆ ใต้พื้นดิน ก็ตัดสินใจจากไปในที่สุด


แต่พอเขากวาดสายตามองไปที่บึง ก็ยังรู้สึกไม่วางใจเล็กน้อย


อย่างที่รู้ว่า ปีศาจอย่างแมงป่องกระดูกขาวที่เข้าสู่ระดับของเหลวนั้น มันสามารถช่วยเขาได้เป็นอย่างมาก แต่ตอนนี้เขาต้องรีบไปชายแดน จึงไม่อาจอยู่ที่นี่หลายเดือนเพื่อเฝ้าดูมันโดยเฉพาะ และการเข้าระดับของแมงป่องกระดูกขาวย่อมต้องหลีกเลี่ยงพลังรบกวนจากภายนอก แม้ที่นี่จะเปล่าเปลี่ยว แต่ใครจะรู้ล่ะว่า จะมีคนหรืออสูรบุกรุกเข้ามาหรือไม่ หากทำลายโอกาสการเข้าระดับของแมงป่องกระดูกขาวไป เกรงว่าเขาคงแทบอยากฆ่าตัวตายไปด้วย


หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ หลังจากกัดฟันแล้วก็ตบถุงหนังอีกใบ


“ฟู่!” พอมีเสียงดังออกมา ไอสีดำก็ม้วนตัวออกจากถุงหนัง หลังจากนั้นศีรษะชายผู้หนึ่งก็ปรากฏออกมา


มันคือหัวบินนั่นเอง


เฝ้าอยู่ที่นี่ จนกว่ามันจะเข้าระดับได้สำเร็จ!” หลิ่วหมิงตะคอกเสียงต่ำออกไป


หัวบินหัวเราะแปลกๆ ไม่กี่ทีแล้วก็บินไปยังต้นไม้ใหญ่บริเวณนั้น จากนั้นก็พร่ามัวหายเข้าไปในต้นไม้


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง เขาโยนของสิ่งหนึ่งออกไป ซึ่งมันก็คือลูกกลมๆ สีเขียวหนึ่งลูก


พอเขาทำท่ามือแล้วชี้ไปที่มัน ก็เกิดเสียงดัง “ครอกแคร่ก!” ก่อนที่จะกลายเป็นเรือเหาะยาวหลายจั้ง


มันคือเรือกลเหาะที่เขาได้มาจากงานประมูลในเสวียนจิงในครั้งนั้น


หลิ่วหมิงค่อยๆ เหยียบเท้าข้างหนึ่งลงบนเรือเหาะ จากนั้นมันก็กลายเป็นกลุ่มแสงสีเขียวก่อนที่จะทะยานออกไป


ถ้าหัวบินอยู่ข้างกายเขาย่อมมีผู้ช่วยเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง แต่จากระดับของเขาในตอนนี้ ช่วยบินไม่อาจช่วยอะไรเขาได้มากนัก ด้วยเหตุนี้ไม่สู้ให้มันอยู่ปกป้องแมงป่องกระดูกขาวให้เข้าสู่ระดับอย่างปลอดภัยจะดีกว่า


แม้เขาจะไม่รู้ว่า ครั้งนี้แมงป่องกระดูกขาวมีโอกาสสำเร็จมากน้อยแค่ไหน แต่ดูจากที่มันกลืนกินเกล็ดกับหนังมังแดงมากมายเช่นนี้ คิดว่าคงเป็นเรื่องที่คุ้มค่าแก่การรอคอย


ในขณะที่เขาค่อยๆ นั่งเรือเหาะออกไปตรงขอบฟ้า บึงแห่งนี้ก็ฟืนฟูกลับสภาพเดิม ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน


……


ผ่านไปอีกหนึ่งวัน หลิ่วหมิงก็ตามทันฝูงเรือเหาะของนิกายปีศาจในที่สุด หลังจากเคลื่อนไหวไม่กี่ที ก็มาปรากฏตัวอยู่เหนือเรือเหาะลำที่เขาจากมา


จากนั้นเขาก็เก็บเรือกลเหาะ และค่อยๆ ลอยลงบนเรือเหาะกระดูก ก่อนที่จะเดินเข้าห้อง โดยไม่สนใจสายตาประหลาดใจของศิษย์คนอื่นๆ


ห้องบนเรืออีกห้องหนึ่ง ประมุขนิกายปีศาจกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ ทันใดนั้นมีเสียง “หวึ่งๆ!” ดังออกมา


เขารีบหยิบแผ่นค่ายกลอันเดิมออกมาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป พอเห็นอักขระใหม่ที่ปรากฏบนนั้น ก็หลับตาเข้าฌานต่อ


……


หนึ่งเดือนต่อมา ในเทือกเขาขนาดใหญ่ที่ทอดยาวหลายแสนลี้ เมื่อฝูงเรือเหาะ เหาะผ่านยอดเขายักษ์ที่สูงหลายพันจั้ง ก็พลันมีแสงสว่างตรงหน้า ด้านหน้าเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำเปล่าเปลี่ยวกว้างสุดลูกหูลูกตา


และสถานที่ที่อยู่ห่างจากพวกเขาไปไม่ไกล ป้อมปราการกำแพงเมืองขนาดใหญ่ที่ดูสูงร้อยจั้งตั้งอยู่ที่นั่น


แม้ว่ากำแพงเมืองจะครอบคลุมขนาดพื้นที่แค่สิบกว่าลี้ แต่ตัวกำแพงสร้างจากอิฐสีเงินไม่ทราบชื่อ เมื่อมองไปไกลๆ จะเห็นคูเมืองเปล่งประกายระยิบระยับ ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกถึงความแข็งแกร่งของกำแพงเมืองขนาดใหญ่


แต่ขณะนี้ กำแพงด้านนอกล้วนกลายเป็นหลุมขรุขระ บางแห่งก็กลายเป็นรูขนาดต่างๆ รูเล็กมีขนาดกว้างชุ่นกว่าๆ รูใหญ่กว้างหลายฉื่อ


ดูเหมือนว่าเมืองยักษ์ทั้งเมืองจะผ่านศึกใหญ่มาแล้วหนึ่งรอบ จึงมีสภาพทรุดโทรมเป็นอย่างมาก


รอบเมืองมีหอศิลาขนาดต่างๆ ตั้งอยู่ มันสร้างมาจากอิฐสีเงินเช่นกัน แต่หอที่สูงสุดสูงประมาณพันกว่าจั้ง ต่ำสุดก็ไม่ถึงร้อยสองร้อยจั้ง มันถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีขาวทั้งตัว และตรงปลายสุดมีของอย่างหนึ่งห้อยอยู่ ไม่ว่าจะเป็นตราประทับ ดาบสั้น ง้าวยาว และอาวุธอื่นๆ ที่แตกต่างกันไป


บริเวณหอศิลาแต่ละแห่ง ต่างก็มีคนเข้าออกอยู่ไม่หยุด จากหอศิลาถึงเมืองยักษ์ หรือเมืองยักษ์ถึงหอศิลาล้วนมีคนเหาะไปมา


ไม่ว่าจะเป็นหอศิลาหรือเมืองยักษ์ ต่างก็มีคนขี่เมฆลอยค้างอยู่ในอากาศ และค่อยๆ ใช้พู่กันอาญาสิทธิ์เขียนอักขระลงบนอิฐสีเงิน บางก็ใช้สิ่วใช้ค้อนเล็กๆ สร้างแผนภาพต่างๆ บางคนก็ถือกระบอกกลมๆ พ่นของเหลวเหนียวข้นสีเงินใส่กำแพงเมืองยักษ์


เมื่อของเหลวเหล่านี้ถูกพ่นออกมา ลอยแตกร้าวบนกำแพงก็หายไป มันปิดรูต่างๆ บนนั้นไว้อย่างแน่นหนา


บนกำแพงเมือง มีทหารชุดเกราะลาดตระเวนไปมา อากาศบริเวณนั้นมีวิหคยักษ์สีดำขนาดแตกต่างกันสิบกว่าตัวบินวนไปมา มันคอยตรวจดูลาดเลาจากมุมที่สูง


แต่ก็ด้วยเหตุนี้ เมื่อฝูงเรือเหาะเหาะผ่านเหนือยอดเขา ก็ถูกคนในเมืองยักษ์ค้นพบทันที


หลังจากมีเสียงร้องแหลมดังจากเมืองยักษ์ ไอดำก็พวยพุ่งเข้ามาทันที ครู่เดียวก็มาถึงหน้าเรือเหาะ จากนั้นก็สลายตัวไป เผยให้เห็นผู้อาวุโสชุดดำมัดมวยผมสามจุก


เขาคืออาจารย์อาเยี่ยนที่เป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกของนิกายปีศาจนั่นเอง


“คารวะอาจารย์อา ทำไมท่านถึงมารับด้วยตนเองล่ะ!” พอประมุขนิกายปีศาจเห็นอาจารย์อาเยี่ยนก็รีบก้าวไปคารวะทันที


หลิ่วหมิง หลินไฉอวี่ และคนอื่นๆ ก็คารวะตามเช่นกัน


“ข้าคำนวณดูเวลาแล้ว คิดว่าคงเป็นพวกเจ้า ถึงได้ออกมาดูด้วยตนเอง พวกเจ้าเดินทางมาไกลด้วยความเร่งรีบ มันไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เข้าไปในเมืองก่อนแล้วค่อยคุยกันเถอะ!” อาจารย์อาเยี่ยนจ้องมองฝูงเรือเหาะแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม


ประมุขนิกายปีศาจกล่าวตอบรับทันที “ทราบ!”


ดังนั้นฝูงเรือเหาะจึงพากันเหาะเข้าเมืองภายใต้การนำทางของผู้อาวุโส และร่อนลงในเขตพื้นที่ที่กำหนดไว้ให้นิกายปีศาจโดยเฉพาะ


ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงเห็นชัดว่า บ้านหินแต่ละหลังที่สร้างขึ้นในเมืองยักษ์ เรียงกันอย่างเป็นระเบียบ แบ่งเป็นเขตพื้นที่ต่างๆ อย่างง่ายๆ นิกายปีศาจครอบครองพื้นที่หนึ่งในนั้น


ขณะที่เรือเหาะร่อนลงมานั้น ศิษย์นิกายศาจจำนวนหนึ่งที่รออยู่ที่นั่นก็แหงนหน้าขึ้นมา


ภายใต้คำสั่งของประมุขนิกายปีศาจ ศิษย์ที่มาใหม่ก็กระโดดลงจากเรือเหาะ และถูกพาเข้าไปยังบ้านหินต่างๆ เพื่อจัดการเรื่องที่พัก


ประมุขนิกายปีศาจ หลิ่วหมิง และอาจารย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ ตามอาจารย์อาเยี่ยนเข้าไปหอขนาดใหญ่ที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มบ้านหิน


เมื่อหลิ่วหมิงเดินเข้าไปในหอใหญ่ ก็มองเห็นผู้ฝึกฝนระดับสูงของนิกายปีศาจที่ยืนรออยู่แต่แรกแล้ว หนึ่งในนั้นมีชายฉกรรจ์แซ่เหลย นักพรตแซ่จง และคนอื่นๆ


“ศิษย์คารวะอาจารย์!” หลิ่วหมิงรีบเดินเจ้าไปคารวะนักพรตแซ่จงทันที


“เจ้าทำได้ดีมาก! ข้ารู้จากศิษย์พี่แล้ว คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเข้าสู่ระดับของเหลวได้ ดีมาก! สมกับที่ข้ามองเห็นแววของเจ้าในตอนแรก แต่ตอนนี้เจ้าก็เป็นอาจารย์จิตวิญญาณเหมือนกัน ต่อไปเรียกข้าว่า ‘อาจารย์’ ก็พอ และไม่ต้องคารวะข้าเช่นนี้ จะว่าไปแล้วก็ช่างน่าละอายใจเสียจริง ตอนนั้นข้าได้สอนเจ้าน้อยมาก เจ้ามีความสำเร็จเช่นนี้ได้ ล้วนอาศัยตัวเจ้าเองทั้งนั้น” พอนักพรตแซ่จงเห็นหลิ่วหมิงแสดงออกเช่นนี้ ก็รีบลุกขึ้นมาโบกมือ และกล่าวด้วยรอยยิ้มในทันที


“ถูกต้อง! ตอนนั้นข้ากับศิษย์พี่กุยมองข้ามเจ้าไป และไม่เคยคิดว่า ‘ศิษย์หลานหลิ่ว’ ในตอนนั้น จะกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้จริงๆ หวังว่าศิษย์น้องคงไม่คิดเล็กคิดน้อยกับพวกข้า” ผู้ที่นั่งอยู่ข้างนักพรตแซ่จงลุกขึ้นมากล่าวด้วยความดีใจ ซึ่งเขาก็คือจูชื่อนั่นเอง


หลิ่วหมิงย่อมกล่าวคำว่า “มิกล้า!” ออกมา


ขณะนั้นเอง อาจารย์จิตวิญญาณที่มาใหม่ต่างก็จับกลุ่มกับคนที่อยู่ในหอ บ้างก็พูดคุยกันเล็กน้อย บ้างก็สอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของเผ่าเจ้าสมุทร ผู้คนดูจอแจไปชั่วขณะ


แต่ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงกลับมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขารับรู้ได้ถึงสายตาที่ไม่เป็นมิตร จึงรีบหันไปมองทันที


ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ กำลังจ้องมองเขาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก


เขาคือเกาชงนั่นเอง


หลิ่วหมิงไม่ได้แสดงสีหน้าแปลกใจเลยแม้แต่น้อย และเขายังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาใดๆ ชายหนุ่มสวมหน้ากากสีเงินที่อยู่อีกด้านก็เดินเข้ามา


“ศิษย์น้องหลิ่ว ไม่เจอกันแค่ไม่กี่ปี ข้ากับเจ้าต่างก็เข้าสู่ระดับของเหลวแล้ว”


“ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่หยาง ช่างน่าละอายยิ่งนัก คุณสมบัติของศิษย์น้องไม่เพียงพอ จึงต้องสะสมหลายปี ไม่เหมือนกันศิษย์พี่ที่พอกลับจากแดนลึกลับก็ทะลวงคอขวดได้สำเร็จทันที” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม


ตอนที่ติดต่อผ่านค่ายกลสื่อสาร เขาย่อมรู้เรื่องที่หลังจากเกาชงกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว หยางเฉียนก็กลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณตามมาติดๆ


……………………………………….


ตอนที่ 256 ราชาปีศาจฟื้นชีพ

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลิ่วหมิงกลับถึงนิกายถึงรู้ว่า ตอนที่หยางเฉียนเข้าสู่ระดับของเหลวนั้น เป็นที่ฮือฮาในนิกายอยู่พักหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าในเวลาสั้นๆ นิกายปีศาจจะมีอาจารย์จิตวิญญาณเพิ่มขึ้นมาถึงสองคน


ถ้าไม่ใช่ว่าเกิดเรื่องที่เผ่าเจ้าสมุทรรุกรานล่ะก็ ผู้ฝึกฝนระดับสูงในนิกายปีศาจคงคิดว่า มีเรื่องดีเกิดขึ้นกับนิกายอีกครั้งแล้ว


หลิ่วหมิงรู้สึกว่ากลิ่นไอของหยางเฉียนในตอนนี้ หนักแน่นและมั่นคงมากขึ้นกว่าเดิม ประจักษ์ชัดว่าศิษย์พี่ใหญ่ของนิกายปีศาจในตอนนั้น ก็สะสมพลังมาเป็นอย่างมาก และไม่ได้เข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณเพราะความโชคดีเลย


หลิ่วหมิงกับหยางเฉียนพูดคุยกันได้สองประโยค ก็พลันได้เสียงของอาจารย์อาเยี่ยนดังขึ้นในหู


“เอาล่ะ! มีเรื่องอะไรที่อยากพูดให้พูดกันต่อในภายหลัง ตอนนี้ถือโอกาสที่ทุกคนอยู่พร้อมกัน เรามาปรึกษาหารือกันสักสองสามเรื่องเถอะ”


ได้ยินผู้อาวุโสระดับผลึกเพียงหนึ่งเดียวของนิกายปีศาจกล่าวเช่นนี้ ทุกคนย่อมเชื่อฟัง และแยกไปนั่งเก้าอี้ทั้งสองด้านทันที


“ศิษย์หลานเหลย เจ้าเป็นอาจารย์จิตวิญญาณที่เข้าร่วมศึกก่อนใคร เจ้าเล่าเรื่องความร่วมมือเป็นพันธมิตร และเรื่องราวเกี่ยวกับเผ่าเจ้าสมุทรให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องเจ้าฟังคร่าวๆ เถอะ” อาจารย์อาเยี่ยนเห็นเช่นนี้ก็กล่าวออกมาอย่างราบเรียบ


“ทราบ! ศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกท่านคงได้รับข่าวในก่อนหน้านั้นแล้ว คิดว่าคงพอเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าอยู่บ้าง แต่ในความเป็นจริง ศึกมนุษย์เรากับเผ่าเจ้าสมุทรมันแย่กว่าที่พวกท่านคิดไว้มาก” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยตอบรับ และลุกขึ้นกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“พวกข้าจะตั้งใจฟัง” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวด้วยสีหน้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนไป


หลิ่วหมิงและคนมาใหม่ได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกเย็นสะท้านขึ้นมา


“หลังจากที่กองกำลังเผ่าเจ้าสมุทรถูกพวกเราขัดขวางเมื่อหลายปีก่อน ทั้งสองฝ่ายต่างก็ทราบว่าไม่สามารถทำลายฝ่ายตรงข้ามในระยะเวลาสั้นๆ ได้ ดังนั้นต่างฝ่ายต่างก็สร้างเมืองสงครามขึ้นมา เพื่อเตรียมทำศึกระยะยาว เดิมทีในปีแรก ผู้ฝึกฝนระดับผลึกของนิกายต่างก็ไม่มีใครยอมลงมือ ทั้งสองฝ่ายต่างก็หยั่งเชิงฝ่ายตรงข้ามอยู่ในเมืองสงครามของตนเอง และต่างก็ยังรักษาสถานะของตนเองไว้ได้ แต่สามปีให้หลัง ทางฝ่ายเผ่าเจ้าสมุทรกลับมีกำลังแข็งแกร่งมาสนับสนุนเพิ่ม ทำให้พวกเราลำบากไม่น้อย ต่อมาได้สอบถามจากปากเผ่าเจ้าสมุทรที่ถูกจับเป็นมาคนหนึ่ง ถึงทราบว่า พอเผ่าเจ้าสมุทรที่อยู่มหาสมุทรที่ไกลออกไป ได้ทราบข่าวเรื่องสามเผ่าใหญ่ของเจ้าสมุทรยึดครองแคว้นในแผ่นดินอวิ๋นชวนของพวกเราได้ ก็ส่งคนมาร่วมด้วย และเผ่าเจ้าสมุทรที่มาจากแดนไกลนี้ มีผู้อาวุโสระดับผลึกสองคน ด้วยเหตุนี้ ผู้ฝึกฝนระดับผลึกของนิกายต่างๆ ยิ่งไม่กล้าออกหน้าโดยง่าย ดังนั้นการต่อสู้ในภายหลังพวกเราล้วนตกเป็นเบี้ยล่าง จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ เผ่าเจ้าสมุทรได้โจมตีมาถึงหน้าเมืองสงคราม ถ้าไม่ใช่เพราะว่า พวกเรารวมพลังใช้ท่าไม้ตายหลากหลายรูปแบบ ทำให้เผ่าเจ้าสมุทรเสียเปรียบเป็นอย่างมากล่ะก็ เกรงว่าคงถูกฝ่ายตรงข้ามล้อมโจมตีแล้ว


สถานการณ์ที่ทุกท่านเห็นในก่อนหน้านั้น พวกเรากำลังให้คนซ่อมแซมกำแพงที่ถูกทำลายไป เพื่อที่มันจะมากลับมาแข็งแกร่งเช่นเดิม นอกจากนี้ ในหนึ่งเดือนก่อน เผ่าเจ้าสมุทรส่งทูตมาบอกว่า พวกเขาเตรียมทำลายนัดหมายที่ผู้อาวุโสระดับผลึกได้ทำไว้ในก่อนหน้า นอกเสียจากว่าอาจารย์อาเยี่ยนและผู้ฝึกฝนระดับผลึกคนอื่นๆ จะนัดหมายประลองกับผู้ฝึกฝนระดับผลึกของเผ่าเจ้าสมุทรสักครั้ง แต่การต่อสู้ในครั้งนั้น ทำให้อาจารย์อาเยี่ยนกับผู้อาวุโสหลิงอวี้บาดเจ็บมาจนถึงทุกวันนี้ และฝ่ายตรงข้ามกลับยังมีผู้ฝึกฝนระดับผลึกเพิ่มขึ้นมา ถ้าต่อสู้กันในสถานการณ์ปกติล่ะก็ ฝ่ายพวกเราไม่มีความมั่นใจในการเอาชนะเลยแม้แต่น้อย


ดีที่ว่าในตอนนี้ กำลังสนับสนุนของแต่ละแคว้นในแผ่นดินอวิ๋นชวน คงออกเดินทางมากันแล้ว คาดว่าสามเดือนให้หลังคงจะมาถึง ดังนั้นแผนของพวกเราในตอนนี้ตอนนี้คือ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องยืนหยัดให้ผ่านสามเดือนนี้ไปให้ได้


ดีที่ถึงแม้เผ่าเจ้าสมุทรเหล่านั้นจะพูดว่า จะทำลายนัดหมายของผู้อาวุโสระดับผลึก แต่พวกเขาก็หวาดกลัวอาจารย์อาเยี่ยนและคนอื่นๆ จะตอบโต้กับกองกำลังเผ่าเจ้าสมุทร ช่วงนี้จึงยังไม่เห็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกร่วมทำศึก ดูท่าคงจะยืดไปเวลาออกไปได้ระยะหนึ่ง” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยเล่าให้ฟังอย่างละเอียดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“อาจารย์อา ท่านได้รับบาดเจ็บแล้วทำไมถึงไม่พูดเรื่องนี้กับทางนิกายล่ะ?” พอประมุขนิกายปีศาจฟังจบ ก็หันไปถามอาจารย์อาเยี่ยนด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนเปลี่ยนไปมาก


“วางใจเถอะ! แม้ว่าตอนนั้นข้าถูกเผ่าเจ้าสมุทรคนหนึ่งโจมตี แต่ตอนนี้ก็ฟื้นฟูมาเจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว ที่เหลือนับว่าบาดเจ็บเบาๆ เท่านั้น ที่ไม่บอกพวกเจ้าในตอนแรก เพราะกลัวว่าจะสร้างความกังวลให้กับพวกเจ้า เพราะว่านิกายปีศาจยังต้องให้คนแก่อย่างข้าดูแลอยู่” อาจารย์อาเยี่ยนกล่าวด้วยรอยยิ้ม และดูเหมือนจะไม่ใส่ใจมัน


“ศิษย์หลานละอายใจยิ่งนัก ที่ยังให้ผู้อาวุโสอายุเยอะอย่างอาจารย์อาต้องมากังวลเรื่องของนิกาย ถ้าตอนนั้นไม่เกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดกับศิษย์พี่หลานล่ะก็ ไม่แน่นิกายเราอาจจะมีผู้ฝึกฝนระดับผลึกเพิ่มขึ้นมาอีกคน” ประมุขนิกายปีศาจรู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง และเขาก็กล่าวด้วยสีหน้าละอายใจ


“เรื่องศิษย์พี่หลานของเจ้าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายจริงๆ แต่นี่เป็นเพราะว่าเขามีวาสนาน้อย มิเช่นนั้นแค่เขาออกไปจัดการเรื่องง่ายๆ นอกนิกาย จะหายสาบสูญไปได้อย่างไร และจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่อาจหาสาเหตุการเสียชีวิตของเขาได้” อาจารย์อาเยี่ยนได้ยินชื่อ ‘ศิษย์พี่หลาน’ ก็มีสีหน้ามืดมนขึ้นมาทันที


หลิ่วหมิงย่อมไม่รู้ว่า ‘ศิษย์พี่หลาน’ ที่กล่าวถึงคือใคร แต่ดูจากสีหน้าที่ดูไม่ปกติของอาจารย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ นอกจากหยางเฉียน และเกาชงแล้ว ก็พอจะรู้ได้ว่าคนผู้นี้จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน


“เอาล่ะ! เรื่องเก่าอย่าไปพูดถึงให้มากเลย สำคัญที่สุดในตอนนี้คือ ทำอย่างไรถึงจะผ่านด่านเคราะห์ตรงหน้านี้ไปได้ แม้คนแก่อย่างพวกข้าจะตัดสินใจยืดเวลาออกไป แต่ก็อยากจะโจมตีอย่างรุนแรงสักครั้งสองครั้ง เพื่อให้เผ่าเจ้าสมุทรได้รับความเจ็บปวด พวกมันจะได้ไม่มาบีบบังคับพวกเรามากเกินไป ดีที่ยังมีเวลารอจนกว่ากำสนับสนุนจะมาถึง ศิษย์หลานท่านประมุข ของที่ข้าให้เอามา เจ้านำมาด้วยหรือไม่?” ดวงตาของอาจารย์อาเยี่ยนเปล่งประกายอยู่สองสามที จากนั้นถึงถามประมุขนิกายปีศาจด้วยสีหน้าสงบ


“อาจารย์อาวางใจเถอะ! ข้านำมันมาหมดแล้ว และยังมีเรื่องน่ายินดีที่คาดไม่ถึงอีกเรื่อง ตอนนี้ศิษย์หาผู้ที่เหมาะสมจะควบคุมของสิ่งนั้นได้แล้ว ซึ่งก็คือศิษย์น้องหลิ่วที่เพิ่งบรรลุระดับมานั้นเอง” ประมุขนิกายปีศาจตอบอย่างนอบน้อม


“อะไรนะ! เจ้าหาคนควบคุมมันได้แล้ว? ศิษย์หลานหลิ่ว เป็นเรื่องจริงหรือ?” อาจารย์อาเยี่ยนแสดงสีหน้าตกใจระคนดีใจเป็นอย่างมาก และกวาดสายตาไปที่หลิ่วหมิง


แม้ว่าหลังจากบรรลุระดับแล้ว หลิ่วหมิงจะพบอาจารย์อาเยี่ยนเป็นครั้งแรก แต่การแสดงออกในแดนลึกลับ และการทำความเข้าใจกำแพงเก็บเงาในครั้งนั้น สร้างความประทับใจเล็กๆ ไว้ให้กับผู้อาวุโสระดับผลึกท่านนี้ ต่อมาประมุขนิกายปีศาจ และคนอื่นๆ ก็ส่งข่าวเรื่องที่มีอาจารย์จิตวิญญาณคนใหม่มาให้ เขาจึงย่อมไม่แปลกใจที่เห็นหลิ่วหมิงมาปรากฏตัวที่นี่


“เรียนอาจารย์อา ศิษย์พอที่จะควบคุมของสิ่งนั้นได้จริงๆ แม้ว่าจะไม่ค่อยชำนาญมากนัก แต่จะพยายามทำเพื่อนิกายเราอย่างสุดความสามารถ” หลิ่วหมิงย่อมรู้ว่าที่ทั้งสองกล่าวถึงคือปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกตนนั้น เขาจึงรีบลุกขึ้นกล่าวอย่างนอบน้อม


“ฮ่าๆ! ดีมาก! ข้าว่าแล้วศิษย์หลานหลิ่วจะต้องไม่ใช่คนธรรมดา เช่นนี้ล่ะก็ กำลังของนิกายปีศาจเราคงเพิ่มขึ้นมาไม่ใช่น้อย ใช่สิ! อีกเดี๋ยวศิษย์หลานอยู่รอสักครู่ ข้ามีเรื่องบางอย่างจะถามเจ้าเล็กน้อย” อาจารย์อาเยี่ยนรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก แต่ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงกำชับออกไปสองประโยค


แม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็พยักหน้าตอบรับ


“ศิษย์หลานฉู่ ในเมื่อเจ้าก็ตามมาด้วย ดูท่าเรื่องที่ข้าให้เจ้าทำคงจะสำเร็จแล้ว” อาจารย์อาเยี่ยนรอจนหลิ่วนั่งลงไป แล้วค่อยหันไปถามฉู่ฉีที่เป็นผู้นำสาขาหยินทนทรมาณ


“เรียนอาจารย์อา แม้ว่าตำแหน่งของราชาปีศาจจะถูกปิดผนึกมาหลายปี แต่ข้ากับศิษย์น้องปิงใช้เคล็ดวิชาพลังจิตซ่อมแซมแล้ว ตอนนี้ได้ฟื้นคืนสภาพเดิมอย่างสมบูรณ์ แต่หัวราชาปีศาจไม่อยู่แล้ว พลังของมันจึงเหลือแค่สามส่วนเท่านั้น” ฉู่ฉีลุกขึ้นมากล่าวอย่างนอบน้อม


“ฮึ! ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเจ้าหนูปิงประมาทเลินเล่อจนทำให้ไส้ศึกของเผ่าเจ้าสมุทรขโมยไปล่ะก็ ไหนเลยจะต้องกังวลว่าเผ่าเจ้าสมุทรจะมีผู้ฝึกฝนระดับผลึกเพิ่มขึ้นมาสองคน ใช่สิ! ทำไมเจ้าหนูปิงถึงไม่มาด้วย ตอนที่ออกไปรับพวกเจ้า ข้าไม่เห็นนาง” อาจารย์อาเยี่ยนพยักหน้า และกล่าวด้วยสีหน้าหนักอึ้ง


“ศิษย์น้องปิงรู้ว่ามีโทษติดตัว จึงไม่กล้ามาพบอาจารย์อาโดยง่าย แต่ในตอนนั้นศิษย์น้องปิงคิดไม่ถึงจริงๆ ว่า ศิษย์ที่ตนเองรักมากที่สุดจะเป็นคนของเผ่าเจ้าสมุทร และพอหาหัวราชาปีศาจเจอ ก็ได้เอาออกมากะทันหัน มิเช่นนั้นศิษย์น้องปิงจะยอมให้ศิษย์จิตวิญญาณเอาไปได้อย่างไร แม้ว่าจะมีพลังของราชาปีศาจแค่สามส่วน แต่ก็เชื่อว่าสามารถรับมือกับผู้ฝึกฝนระดับผลึกโดยทั่วไปได้” ฉู่ฉีได้ยินก็รีบก้มหน้ากล่าวด้วยรู้สึกเย็นสะท้านในใจ


“ใช่แล้ว! ถ้าเป็นราชาปีศาจที่สมบูรณ์แบบ เกรงว่ามันคงไม่ยอมให้พวกเราควบคุมได้โดยง่าย” ประมุขนิกายปีศาจกล่าว


“ช่างเถอะ! เพียงแค่สาขาหยินทนทรมาณสามารถควบคุมราชาปีศาจสร้างผลงานให้นิกายเราได้ ข้าจะไม่ติดใจในเรื่องนี้” อาจารย์อาเยี่ยนขมวดคิ้ว และถอนหายใจก่อนกล่าวออกมา


“ขอบคุณอาจารย์อาที่เมตตา!” ฉู่ฉีกล่าวด้วยความยินดี


หลิ่วหมิงฟังมาถึงจุดนี้ ก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก


คิดไม่ถึงว่า ภายใต้สถานการณ์ที่นิกายปีศาจขาดหัวราชาปีศาจไป แต่ยังคงฟื้นชีพราชาปีศาจที่ทรงพลังในแคว้นต้าเสวียนได้ และดูเหมือนว่าจะใช้กับเผ่าเจ้าสมุทรในสงครามนี้ด้วย


อาจารย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ ไม่ได้แสดงสีหน้าประหลาดเกี่ยวกับเรื่องของราชาปีศาจ ประจักษ์ชัดว่าทุกต่างก็พอทราบเรื่องนี้อยู่บ้าง


ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ พลังของนิกายปีศาจจะต้องไม่ธรรมดา มันไม่ได้อ่อนแออย่างที่ทุกคนรู้จัก


เวลาต่อมา ภายใต้คำสั่งของอาจารย์อาเยี่ยน อาจารย์จิตวิญญาณของนิกายปีศาจกลุ่มนี้ ก็หารือเกี่ยวกับวิธีการต่างๆ ในการเตรียมรบ


หลังจากหารือกันเสร็จแล้ว ก็ค่อยๆ พากันกล่าวลาและแยกย้ายกันไป


พริบตาเดียวในหอใหญ่ ก็เหลือแค่หลิ่วหมิงกับอาจารย์อาเยี่ยนเท่านั้น


“ศิษย์หลานหลิ่ว เจ้าไปสังเกตกำแพงเก็บเงาในครั้งนั้น มีเรื่องแปลกประหลาดอันใดเกิดขึ้นหรือไม่?” คำพูดแรกของอาจารย์อาเยี่ยนทำให้หลิ่วหมิงตกใจเป็นอย่างมาก


หลิ่วหมิงใจเต้นขึ้นมา แต่ไม่ได้แสดงอาการใดๆ บนสีหน้า และเขาก็ตอบกลับไปอย่างนอบน้อม


“เหตุใดอาจารย์อาจึงถามเช่นนี้ ตอนที่ศิษย์สังเกตกำแพงเก็บเงานั้น ไม่ได้ค้นพบเรื่องแปลกประหลาดใดๆ เลย”


……………………………………….


ตอนที่ 257 วิชาฝึกศพกับการรวมตัว

โดย

Ink Stone_Fantasy

“อ้อ! ศิษย์หลานรู้หรือไม่ว่า หลังจากที่เจ้าสังเกตกำแพงเก็บเงาในคืนนั้นได้ไม่นาน ก็ไม่มีปรากฏการณ์ใดๆ เกิดขึ้นในกำแพงเก็บเงาอีกเลย” อาจารย์อาเยี่ยนจ้องมองหลิ่วหมิง และค่อยๆ กล่าวออกมา


“เรื่องนี้ศิษย์หลานก็ไม่รู้ชัดเช่นกัน แต่ตอนที่จากไป กำแพงนี้ยังเป็นปกติอยู่” หลิ่วหมิงกระพริบตาปริบๆ กล่าว


“อืม! เจ้าเด็กน้อยก็กล่าวเช่นนี้ ดูท่าเรื่องนี้คงไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า สาเหตุหลักคงเป็นเพราะว่าผ่านมานานหลายปี พลังที่มีอยู่ในตัวจึงหมดไป ช่างน่าเสียดายจริงๆ ดูท่านิกายเราคงไม่มีวาสนาได้รับการถ่ายทอดวิชาจากปรมาจารย์ลิ่วยิน!” พออาจารย์อาเยี่ยนได้ยิน สีหน้าก็ผ่อนคลายลง แต่ก็ถอนหายใจก่อนกล่าวออกมา


“คงเป็นเพราะว่าศิษย์อย่างพวกข้ามีคุณสมบัติไม่เพียงพอ ดังนั้นอาจารย์ทวดจึงไม่ถูกใจ” หลิ่วได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา


“คงจะเป็นเช่นนั้น แต่เรื่องสำคัญที่ข้าเรียกเจ้ามาไม่ใช่เรื่องนี้ เจ้ารู้ไหมว่าคนที่ถ่ายทอดวิชาให้เจ้า เป็นศิษย์ของข้าเอง” อาจารย์อาเยี่ยนกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม


“อะไรนะ! อาจารย์อาหร่วนเป็นศิษย์ติดตามของท่าน?” หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจมาก


“ในเมื่อเจ้าบรรลุระดับแล้ว ก็เรียกเขาว่า ‘ศิษย์พี่หร่วน’ ได้ ตอนหนุ่มศิษย์ของข้าคนนี้หลงใหลเคล็ดวิชากระดูกดำมาก เคยตั้งปณิธานไว้ว่าจะใช้เคล็ดวิชากระดูกดำบ่มเพาะอาจารย์จิตวิญญาณให้กับนิกายเรา ด้วยเหตุนี้จึงยอมทิ้งพลังของตนเอง มิเช่นนั้น ในตอนนี้คงไม่ถึงกับต้องตายทั้งเป็นเช่นนี้ แต่การปรากฏตัวของเจ้า ทำให้ความลำบากของเขาในก่อนหน้านั้นไม่สูญเปล่าเลย” อาจารย์อาเยี่ยนค่อยๆ กล่าวออกมา


“ศิษย์รู้สึกซาบซึ้งมาโดยตลอดที่ศิษย์พี่หร่วนถ่ายทอดวิชาให้ ไม่ทราบว่าตอนนี้ศิษย์พี่หร่วนเป็นอย่างไรบ้าง?” หลิ่วหมิงกล่าว


“เขายังเก็บตัวอยู่ ต้องบรรลุสู่อาจารย์จิตวิญญาณขั้นกลางให้สำเร็จก่อนอายุขัย ถึงจะสามารถมีชีวิตรอดได้ นอกจากนี้ข้าอยากถามเจ้าว่า ในเมื่อเจ้ากลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว คงรู้ดีว่าเคล็ดวิชากระดูกดำในส่วนหลังไม่สามารถฝึกฝนได้อีกต่อไป ว่าแต่เจ้าเลือกวิชาหลักที่จะฝึกฝนต่อได้หรือยัง?” อาจารย์อาเยี่ยนเปลี่ยนหัวข้อในฉับพลัน


“เรื่องนี้……เป็นเพราะศิษย์รีบร้อนบรรลุระดับ จึงยังไม่มีเวลาหาวิชาที่ถูกใจได้” หลิ่วหมิงไม่อาจพูดความจริงออกไป จึงได้แต่กล่าวเช่นนี้


“อืม! ถ้าเช่นนี้ล่ะก็ เคล็ดวิชากระดูกดำของเจ้าเป็นธาตุหยิน ถ้าเป็นวิชาของสาขาฝึกศพกับสาขาหยินทนทรมาณคงไม่มีปัญหา เอาอย่างนี้เถอะ ข้ามีเคล็ดวิชาฝึกศพมอบให้เจ้าชุดหนึ่ง ลองไปตั้งใจฝึกฝนดูเล็กน้อย ไม่แน่ต่อไปอาจจะมีประโยชน์ต่อการฝึกฝนของเจ้าก็เป็นได้ จำไว้ให้ดี ห้ามถ่ายทอดวิชานี้ให้คนอื่นเป็นอันขาด มิเช่นนั้นอย่าได้หาว่าข้าไร้น้ำใจ” อาจารย์อาเยี่ยนคิดไตร่ตรองเล็กน้อย แล้วกล่าวคำพูดที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึง


จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อก่อนที่แผ่นหยกสีดำชิ้นหนึ่งจะพุ่งออกมา


“อาจารย์อาเยี่ยน นี่คือ……”


หลิ่วหมิงยื่นมือคว้าแผ่นหยกไว้ได้ และคิดจะถามอะไรออกไปด้วยความมึนงง


“เอาล่ะ! ข้าเหนื่อยแล้ว วันนี้พอแค่นี้ก่อน ศิษย์หลานหลิ่วเจ้าออกไปเถอะ!” อาจารย์อาเยี่ยนไม่ให้โอกาสหลิ่วหมิงสอบถามเลยแม้แต่น้อย จากนั้นก็หลับตาทั้งคู่โดยไม่สนใจอะไรอีกเลย


พอหลิ่วหมิงเห็นว่าผู้ฝึกฝนระดับผลึกท่านนี้ไม่อยากพูดอะไรมาก เขาก็ไม่กล้าถามอะไรอีก หลังจากคารวะเสร็จก็หมุนตัวออกไปจากหอใหญ่


“อาจารย์อา ท่านจะทำเช่นนี้จริงๆ หรือ?” พอร่างหลิ่วหมิงหายไปจากประตู ก็มีเงาร่างเคลื่อนไหวตรงเสาต้นหนึ่ง


เขาคือประมุขนิกายปีศาจที่น่าจะออกไปตั้งแต่แรกแล้ว และไม่รู้ว่าเขากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่


“เจ้าก็รู้ว่าถึงแม้ข้าจะมีอายุขัยอีกร้อยปีกว่าๆ แต่ก็ต้องเตรียมตัวไว้ก่อน มิเช่นนั้นตอนที่ข้าละมือ ศพเหล็กขนเขียวตนนั้นคงไม่มีคนควบคุม ข้าไม่อยากให้ศพที่ข้าทุ่มเทมาหลายร้อยปี ตกอยู่ในสภาพเดียวกับราชาปีศาจ” อาจารย์อาเยี่ยนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวออกมา


“ศิษย์หลานย่อมเข้าใจความกังวลของอาจารย์อา แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นศิษย์น้องหลิ่วหรอกมัง เพราะเขาเพิ่งเข้าสู่ระดับของเหลว และระดับการฝึกฝนยังเปราะบางมาก หาคนอื่นได้หรือไม่?” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวด้วยความลังเล


“ฮึ! คนอื่นๆ หรือ? นอกจากศิษย์ที่เพิ่งบรรลุระดับทั้งสามคนแล้ว คนอื่นๆ ถ้าไม่อายุมากจนเกินไป ก็มีคุณสมบัติไม่เพียงพอ ไม่อาจรับการถ่ายทอดวิชาฝึกศพโดยเฉพาะของข้าได้ ไม่อย่างนั้น ทำไมตอนนั้นข้าถึงเลือกรับศิษย์น้องหร่วนของเจ้าเป็นศิษย์แค่คนเดียวล่ะ! เสียดายที่เขาไม่ค่อยมุมานะเอาเสียเลย ตอนนี้เป็นตายอย่างไรก็ไม่รู้ ข้าไม่อาจเอาทุกอย่างไปเสี่ยงกับเขาได้ ส่วนเกาชงฝึกฝนวิชาหลักของสาขาพลังโลหิตกับเจ้า ซึ่งแตกต่างจากสาขาฝึกศพมาก ดังนั้นจึงไม่อาจฝึกฝนเคล็ดวิชาฝึกศพ มิเช่นนั้นเขาก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว!” อาจารย์อาเยี่ยนทำเสียงฮึดฮัดก่อนกล่าวออกมา


“ช่างน่าละอายยิ่งนัก เกามีพรสวรรค์ในการฝึกฝนวิชาของสาขาพลังโลหิตจริงๆ มิเช่นนั้นข้าคงแนะนำให้เข้าสาขาฝึกศพตั้งแต่แรกแล้ว” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวด้วยความเคอะเขิน


อาจารย์อาเยี่ยนกล่าวต่อโดยไม่สนใจ


“ส่วนหยางเฉียน แม้วิชาหลักที่เขาฝึกฝนจะเหมาะสมกับวิชาฝึกศพ แต่เจ้ากับข้าก็รู้สถานะที่แท้จริงของเขาดี เขาก็ไม่อาจรับการถ่ายทอดวิชาเฉพาะของข้าได้ ด้วยเหตุนี้ จึงเหลือศิษย์น้องหลิ่วเพียงคนเดียวเท่านั้น เจ้าเด็กนี่ไม่เพียงแต่อายุยังน้อย แต่ยังฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำ ดังนั้นจึงรับการถ่ายถอดวิชาเฉพาะของข้าได้อย่างไม่มีปัญหา มีจุดด้อยเพียงหนึ่งเดียวก็คือ เขามีคุณสมบัติสามชีพจรจิตวิญญาณเท่านั้น ไม่รู้ว่าในภายหน้าจะมีการพัฒนาหรือไม่ แต่ในเมื่อเขาใช้คุณบัตินี้เข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณได้ คิดว่าคุณสมบัติของเขาคงไม่ธรรมดาอย่างที่เห็น มันคุ้มค่าที่จะลองดู”


“ได้ยินอาจารย์อาพูดเช่นนี้ คงมีแค่ศิษย์หลิ่วที่เหมาะสมที่สุด แต่ทำไมอาจารย์อาถึงมอบเคล็ดวิชาให้อย่างเดียว และไม่พูดเรื่องนี้ให้กระจ่าง” ประมุขนิกายปีศาจคิดใคร่ครวญเล็กน้อย และหัวเราะอย่างขมขื่น จากนั้นก็ถามด้วยความสงสัย


“ข้าได้สัมผัสกับศิษย์หลานหลิ่วไม่มาก ยังไม่ค่อยรู้จักอุปนิสัยใจคอของเขา ดังนั้นตอนนี้จึงไม่อาจบอกเรื่องที่จะมอบศพเหล็กขนเขียวให้เขาได้ ตอนนี้ข้ายังมีเวลา ไม่ต้องรีบร้อนมาก รอดูความสามารถในการทำความเข้าใจวิชาฝึกศพของเขาก่อนแล้วค่อยว่ากัน” อาจารย์อาเยี่ยนอย่างไม่สะทกสะท้าน


“อาจารย์อาทำเช่นนี้ถือว่ารอบคอบเป็นอย่างมาก แต่ศิษย์หลานกลับบุ่มบ่ามไปเล็กน้อย ว่าแต่ที่อาจารย์อาส่งเสียงเรียกข้ากลับมา คงมีเรื่องสำคัญจะปรึกษาสินะ!” ประมุขนิกายปีศาจพยักหน้า และถามออกไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“ที่ให้เจ้ากลับมา เพราะจะให้ไปพบประมุขนิกายอื่นๆ กับเพื่อนผู้อาวุโสเหล่านั้น สมครามใหญ่เมื่อไม่นานมานี้ เกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของนิกายในแคว้นต้าเสวียน พวกเราแต่ละนิกายจำต้องหารือกันอย่างละเอียดสักครา” อาจารย์อาเยี่ยนถอนหายใจก่อนกล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึม


“ศิษย์หลานเข้าใจแล้ว” พอประมุขนิกายปีศาจได้ยินเช่นนี้ ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด แต่กลับตอบรับในทันที


จากนั้นทั้งสองก็ไปจากหอใหญ่ และขี่เมฆเหาะไปกลางเมือง


ขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงก็ถูกศิษย์นิกายปีศาจคนหนึ่งนำไปยังบ้านหินที่ค่อนข้างสงบหลังหนึ่ง


สถานที่แห่งนี้เป็นที่พักชั่วคราวของเขาในขณะที่อยู่ที่นี่


พอหลิ่วหมิงบอกศิษย์คนนั้นให้กลับไปแล้ว เขาก็เดินเข้าไปด้านใน


บ้านหลังนี้กว้างกว่าบ้านของศิษย์ทั่วไปมาก ข้างในมีโต๊ะ เก้าอี้ และเตียงที่ปูพร้อม ทั้งยังมีชั้นจำกัดที่ปิดกั้นไว้เสร็จสรรพ ทำให้เข้าค่อนข้างพอใจเป็นอย่างมาก


ขณะที่หลิ่วหมิงเตรียมที่จะพักผ่อน พลันมีเสียงเคาะประตูดังเข้ามา


เขาไปเปิดประตูด้วยความแปลกใจ


ผู้ที่ยืนอยู่ข้างนอกเป็นชายหนุ่มสวมหน้ากากสีเงิน ซึ่งก็คือหยางเฉียนนั่นเอง!


“ศิษย์น้องหลิ่ว ข้าจะพาเจ้าไปสถานที่แห่งหนึ่ง ไปพบคนจำนวนหนึ่ง ไม่ทราบว่าเจ้าสนใจหรือไม่?”


“ไปพบคน?” หลิ่วหมิงย่อมแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา


“ไม่ผิด! พวกเขาคืออาจารย์จิตวิญญาณสาขาอื่นๆ ที่เพิ่งกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณไม่กี่ปีมานี้เช่นกัน เหมือนจะเป็นคนที่เข้าไปแดนลึกลับในก่อน ศิษย์น้องเองก็คงเคยพบเห็นมาแล้ว” หยางเฉียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“อ๋อ! ถ้าอย่างนั้นเป้าหมายที่ต้องไปพบคือ……” หลิ่วหมิงเข้าใจในทันที แต่ยังมีท่าทีงุนงงเล็กน้อย


“เฮ่อๆ! ที่สำคัญก็คืออาจารย์จิตวิญญาณใหม่ของอย่างพวกเราในแต่ละนิกายควรรู้จักกันเล็กน้อย นอกจากนี้อาจจะต้องศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้กันบ้าง” หยางเฉียนกล่าวอย่างไม่ลังเล


“ข้าเข้าใจแล้ว ได้! ข้าจะไปกับศิษย์พี่” หลิ่วหมิงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม


“ดีมาก! ข้ารู้ว่าศิษย์น้องจะต้องไม่พลาดเรื่องนี้อย่างแน่นอน” หยางเฉียนได้ยินก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก


จากนั้นทั้งสองก็ทะยานขึ้นฟ้า มุ่งหน้าเหาะไปยังทิศทางบางแห่ง


ผ่านไปไม่นาน อารามขนาดเล็กก็ปรากฏตรงหน้า ด้านหน้ายังมีดาดฟ้ากว้างร้อยกว่าจั้ง มันตั้งอยู่ระหว่างเขตพื้นที่ของนิกายทั้งสอง


“ศิษย์น้องหลิ่ว คือสถานที่แห่งนี้ ตามข้าลงไปเถอะ” หยางเฉียนกล่าวจบก็พาหลิ่วหมิงร่อนลงไปด้านล่าง


ไม่นานทั้งสองก็เข้าไปในอาราม


“เฮ่อๆ! ศิษย์พี่หยาง ครั้งนี้เจ้ามาช้าไปนะ” ในอารามมีคนจำนวนมากนั่งล้อมวงพูดคุยกันอยู่ พอชายหนุ่มหน้าดำเห็นหยางเฉียนก็รีบลุกขึ้นมาเรียกด้วยความดีใจ


ชายหนุ่มผู้นี้คือศิษย์พี่อวิ๋นแห่งหุบเขาเก้าช่อง ที่หลิ่วหมิงเคยร่วมมือกันในแดนลึกลับ


ได้ยินชายหน้าดำกล่าวเช่นนี้ คนอื่นๆ ก็พากันมองมาทันที


“เฮ่อๆ! ข้ามาช้าเพราะไปเชิญศิษย์น้องหลิ่วให้มาพร้อมกัน พี่อวิ๋นเรียกซะดังขนาดนี้ หรือว่ายังไม่พอใจกับการแลกมือในครั้งก่อน ครั้งนี้คิดที่จะท้าสู้อีกใช่หรือไม่?” หยางเฉียนปราดตามองชายหนุ่มแซ่อวิ๋นทีหนึ่ง และกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน


ขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงก็สังเกตคนอื่นๆ ไปด้วย ส่วนมากล้วนเป็นคนที่เขาค่อนข้างคุ้นเคย


หญิงสาวสะพายกระบี่ยาวหิมะขาวคนนั้น คือจางซิ่วเหนียงแห่งนิกายจันทราสวรรค์


ถัดมาเป็นหญิงสาวอ่อนโยน ใบหน้ารูปไข่ สวมชุดสีเหลือง นางสะพายกระบี่สั้นสีเขียวตรงหลังสองเล่ม


ดูเหมือนว่าชายสวมชุดคลุมสีเลือดสองคน ก็เป็นคนที่เคยพบในแดนลึกลับ หนึ่งในนั้นคือ ‘เซวี่ยชื่อ’ ศิษย์พี่ใหญ่แห่งหอสายธารโลหิต


นอกจากนี้ ชายหนุ่มสามชุดวาตอัคคี ตาโตคิ้วแดง มีพัดใบลานสีแดงเสียบไว้ตรงเอว ก็ค่อนข้างคุ้นหน้าเล็กน้อย คงจะเคยเห็นในแดนลึกลับเช่นกัน


ส่วนคนสุดท้ายที่รูปร่างค่อนข้างสูงใหญ่ และจ้องมองเขาด้วยสายตาเยือกเย็น ก็คือเกาชงนั่นเอง


……………………………………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)