ยอดหญิงสกุลเสิ่น 245.1-245.2
ตอนที่ 245-1 ย้ายบ้านแล้ว
คืนนั้น ท่านจิ้นอ๋องก็เรียกสวีโย่วเข้าไป เขามองดูลูกชายคนโตที่สูงกว่าเขาสองชุ่น นึกถึงวันพรุ่งนี้เขาก็จะย้ายจากจวนจิ้นอ๋องเข้าไปยังจวนจวิ้นอ๋องที่ฝ่าบาทพระราชทานแล้ว ตอนนี้เขาเพิ่งจะตระหนักได้ว่าบุตรชายคนโตที่แต่ไหนแต่ไรเขามองข้ามได้เติบโตอยู่ในที่ที่เขามองไม่เห็นแล้ว โตเป็นต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้า ไม่ได้พึ่งพาความช่วยเหลือจากบิดาเช่นเขาเลยแม้แต่นิดเดียวตนก็ฉกฉวยอนาคตออกมาได้แล้ว ในใจเขาเกิดความรู้สึกต่างๆ นานา
เดิมคิดอยากจะพูดประโยคให้กำลังใจหลายประโยค แต่เมื่อเอ่ยปากกลับเปลี่ยนไป “เจ้าเองก็ดูแลภรรยาเจ้าหน่อย” เถียงแม่สามี ซ้ำยังทะเลาะกับน้องสะใภ้ ไหนเลยจะต้องกำเริบเสิบสานเพียงนี้
ทว่าสวีโย่วกลับตอบหนึ่งประโยคด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เสด็จพ่อ ลูกกลัวภรรยา”
ท่านจิ้นอ๋องแทบจะสำลักตาย “เจ้า เจ้า!” เขาชี้สวีโย่ว พูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว
กลัวภรรยางั้นหรือ โย่วเอ๋อร์จวิ้นอ๋องที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์จากฝ่าบาทกลับบอกเขาอย่างเต็มปากเต็มคำว่ากลัวภรรยา ช่างน่าขันเสียจริงๆ “เจ้ายังจะมีอนาคตได้อีกหรือ”
ดวงตาสีดำเป็นประกายของสวีโย่วกลอกขึ้น “ลูกจะไม่มีอนาคตได้อย่างไร ลูกกลัวภรรยาแล้วไปขวางตาใคร ลูกอายุยี่สิบกว่าแล้วเพิ่งจะได้แต่งภรรยา ซ้ำยังงดงามราวบุปผาสินเดิมก็มากมายมหาศาล จะไม่เชิดชูให้ความรักความโปรดปรานได้อย่างไร ใครกันที่มาฟ้องต่อหน้าเสด็จพ่ออีกแล้ว ไม่ชอบหน้าลูกเพียงนี้เลยหรือ นี่ไม่ใช่เป็นการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราพ่อลูกหรอกหรือ”
จากนั้นจึงกล่าวต่อ “ยิ่งไปกว่านั้นลูกเองก็เรียนรู้จากท่าน ท่านปฏิบัติต่อพระชายาก็ทะนุถนอมรักใคร่ไม่เปลี่ยนแปลงเหมือนกันมิใช่หรือ”
เสียดสีจนท่านจิ้นอ๋องไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี โบกมือกล่าวเสีย “กลับไปเถอะ กลับไปเถอะ รีบกลับไป อย่าอยู่ยั่วโมโหข้าที่นี่” หากให้เขาอยู่ต่อไป ตนก็คงจะถูกเขายั่วโมโหจนตาย เขาเข้าใจแล้ว ลูกคนนี้เกิดมาเพื่อยั่วโมโหเขา
สวีโย่วผ่าเผยยิ่งนัก ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็หันหลังกลับเดินออกไป แต่ละคนๆ ล้วนแต่รังแกภรรยาของเขา เขายังไม่ได้คิดบัญชีพวกนางเลย พวกนางกลับทำตัวน่ารังเกียจมาฟ้องก่อน เหอะ พวกคนโง่เขลา!
เดินไปได้สองก้าวสวีโย่วก็หยุดฝีเท้า กล่าวกับพ่อเขา “พรุ่งนี้ลูกไม่มาลาท่านแล้ว หากอยู่จวนอ๋องจนเบื่อแล้ว ท่านจะไปพักผ่อนที่จวนลูกสักสองวันก็ย่อมได้”
ท่านจิ้นอ๋องไม่มีแม้แต่อารมณ์จะพูด หรี่ตาโบกมือ ไป รีบไป! คนขวางหูขวางตาผู้นี้ไม่ช้าไม่เร็วก็คงจะยั่วโมโหเขาตาย
จ้าวเฉิงซวี่ผู้พิพากษาศาลต้าหลี่กำลังปวดหัวอยู่กับคุณชายเล็กของจวนเสนาบดีฉินที่ถูกตระกูลจางฟ้องร้อง เจ้าหน้าที่ที่เขาส่งออกไปไม่ได้อะไรกลับมาอย่างสิ้นเชิง เบื้องบนยังคงสร้างความกดดันให้เขาไม่หยุด เมื่อวานอาจารย์เริ่นนายทหารผู้ช่วยของจวนเสนาบดีฉินก็มาเชิญเขาไปดื่มชา ในบทสนทนาล้วนเต็มไปด้วยการบอกเป็นนัย วันนี้ระหว่างทางมาทำงานเขาก็บังเอิญเจอจางจ่างสื่อของจวนองค์ชายรอง จางจ่างสื่อพูดด้วยท่าทีเป็นมิตรว่าปีหน้าลูกชายคนโตของเขาก็จะเข้าร่วมการสอบคัดเลือกช่วงวสันตฤดูเช่นกัน
พวกเขามีเจตนาอันใดจ้าวเฉิงซวี่รู้ดีแก่ใจ นี่เองก็ทำให้เขายิ่งโมโห แต่เขาสามารถลากคดีออกไปสามวันห้าวัน แต่จะลากออกไปสิบวันครึ่งเดือนได้หรือ หากหาหลักฐานไม่ได้จริงๆ เขาเองก็ทำได้เพียงยุติคดีอย่างฝืนใจ
ใครจะรู้ว่าเหตุการณ์จะเปลี่ยนผัน ในขณะที่เขาเตรียมถอดใจจากคดีกลับมีการเปลี่ยนแปลง เขาเพิ่งจะมาถึงประตูที่ว่าการก็มีผู้ใต้บังคับบัญชาวิ่งเข้ามากล่าวกับเขาด้วยความตื่นเต้นดีใจ “ใต้เท้า เรื่องดี เรื่องดีอย่างยิ่ง มีพยานแล้ว อีกทั้งยังเป็นเด็กรับใช้คนสนิทข้างกายฉินมู่หรานอีกด้วย”
จ้างเฉิงซวี่ตกใจครู่หนึ่ง “รีบพูดมาว่าเกิดอะไรขึ้น” เด็กรับใช้ข้างกายฉินมู่หรานทรยศนายได้อย่างไร คงไม่ใช่ว่าโกหกหรอกนะ หรือว่าเด็กรับใช้คนนี้มีความแค้นฆ่าบิดากับจวนเสนาบดีฉิน
ข้อเท็จจริงจ้าวเฉิงซวี่เดาผิดทั้งหมด เด็กรับใช้คนนี้ถูกผู้อื่นมัดตัวโยนเข้ามาในศาลต้าหลี่ บนร่างยังมีคำให้การหนึ่งฉบับ
“ไม่เห็นหรือว่าผู้ใดส่งเขาเข้ามา” จ้าวเฉิงซวี่กล่าวถาม
ผู้ใต้บังบัญชาผู้นั้นส่ายหน้า “ไม่เห็นขอรับ เด็กรับใช้ผู้นั้นถูกโยนเข้ามาจากนอกกำแพง ตอนนั้นผู้น้อยและคนอื่นๆ ต่างก็สะดุ้งตกใจ กว่าจะตามออกไปก็ไม่เห็นใครแล้ว”
“เด็กรับใช้ผู้นั้นก็ไม่รู้เหมือนกันหรือ” จ้าวเฉิงซวี่ถามต่อ
ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นั้นยังคงส่ายหน้า “ไม่รู้แม้แต่นิดเดียว”
จ้าวเฉิงซวี่ใคร่ครวญเล็กน้อย ในใจเดาว่าใช่เป็นคู่อริทางการเมืองสักคนของท่านเสนาบดีฉินหรือไม่ แต่แม้จะไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของใคร และไม่รู้ว่าจุดประสงค์ของคนผู้นี้คืออะไร แต่ก็ช่วยเขาได้มากจริงๆ
“ไป เข้าไปดู” จ้าวเฉิงซวี่ท่าทีฮึกเหิม ก้าวยาวเดินเข้าไปข้างใน
“เร็วๆๆ มาแล้ว มาแล้ว ยืนดีๆ ยืนกันดีๆ อีกประเดี๋ยวต้องเสียงดังฟังชัดรู้หรือไม่” เจี่ยงปั๋วที่มาล่วงหน้ายืดพุงอ้วนๆ นั่นของเขาตะโกนเสียงดัง
สวีโย่วประคองเสิ่นเวยออกมาจากในรถ ทั้งสองเงยหน้ามองประตูจวนที่กว้างขวางสูงใหญ่ อักษรสีดำตัวใหญ่ที่ทรงพลังสี่ตัวข้างบนสุดเปล่งประกายแวววับอยู่ใต้แสงอาทิตย์ นี่ก็คือบ้านวันข้างหน้าของนาง เป็นสถานที่ที่นางจะใช้ชีวิตอยู่นับตั้งแต่นี้ไป ในใจเสิ่นเวยตื่นเต้นขึ้นมาเงียบๆ
“ป้ายนี้ฝ่าบาทพระราชทานให้หรือ อักษรไม่เลว” เสิ่นเวยถามเสียงเบา แววตาเต็มไปด้วยความชื่นชม อักษรแทนตัวคน ดูจากอักษรนี้ก็รู้ว่าปัจจุบันฝ่าบาทเป็นประมุขผู้ชาญฉลาดที่มีความมุ่งมาดปรารถนาและมีปณิธาน
สวีโย่วพยักหน้า มองเห็นความชื่นชมบนใบหน้าของเสิ่นเวย กล่าวหนึ่งประโยค “อักษรของข้าก็ไม่ได้ด้อยกว่า”
เสิ่นเวยแทบจะสำลักน้ำ ปรายตามองสวีโย่วปราดหนึ่ง คนผู้นี้ก็จริงๆ เลย แม้แต่เรื่องเล็กๆ แค่นี้ก็คิดเล็กคิดน้อย จิตใจเล็กยิ่งกว่ารูเข็มเสียอีก
สวีโย่วลูบจมูกไม่สนใจ น้องสี่เป็นภรรยาของเขา จะส่งสายตาชื่นชมคนอื่นได้อย่างไร จะมองก็มองได้เพียงแต่เขา ต่อให้คนผู้นั้นจะเป็นฝ่าบาทก็ไม่ได้ เขาติเสด็จลุงเขาที่พูดถึงแต่คุณหนูสี่แซ่เสิ่นนานแล้ว น้องสี่แซ่เสิ่นเป็นของเขารู้หรือไม่
“ฮูหยิน จวิ้นจู่เหนียงเหนียง ได้โปรดตามข้าเข้าจวน” สวีโย่วทำท่าเรียนเชิญ
เสิ่นเวยยิ้มน้อยๆ เดินเคียงบ่าเคียงไหล่กับสวีโย่ว มือกุมมือเดินเข้าไปในจวนผิงจวิ้นอ๋อง
“ยินดีต้อนรับจวิ้นจู่ จวิ้นอ๋องกลับจวน” ตามสัญญาณมือของเจี่ยงปั๋ว เสียงตะโกนที่ก้องโสตประสาทก็ดังขึ้นพร้อมกัน
สองฝั่งประตูใหญ่เรียงขบวนเป็นสองแถวอย่างมีระเบียบเรียบร้อย เลียบเส้นทางหลักตรงกลางตรงยาวไปข้างในจวน ข้างหน้าสุดคืออาจารย์ซูและคนอื่นๆ ตามด้วยทหารคุ้มกันเรือนที่นำโดยโอวหยางไน่และเหล่าชนรุ่นหลังของหมู่บ้านตระกูลเสิ่น จากนั้นจึงเป็นทหารเด็กที่เพิ่งมาจากซีเจียง ท้ายที่สุดจึงเป็นบ่าวรับใช้ที่รับใช้ในจวน พวกเขาต่างก็สวมชุดเหมือนกัน ในดวงตาของแต่ละคนมีความตื่นเต้น มีแม่แบบมากเป็นพิเศษ มีพลังมากเป็นพิเศษ
“จวิ้นจู่ ท่านจวิ้นอ่อง เชิญ” อาจารย์ซูสวมชุดสีเขียวอมฟ้าปักลายสีเข้ม บนใบหน้ามีรอยยิ้มที่อบอุ่น สง่างามโดดเด่นมากเป็นพิเศษ
เสิ่นเวยมองภาพๆ นี้ ชื่นอกชื่นใจเสียจริงๆ จุๆๆ ล้วนแต่เป็นสายเลือดของนางทั้งสิ้น นางอดยกมือโบกไม่ได้ “ลำบากทุกคนแล้ว!”
“ไม่ลำบาก ยินดีต้อนรับจวิ้นจู่ จวิ้นอ๋องกลับจวน” เสียงอึกทึกดังขึ้นพร้อมกันอีกครั้ง
เสิ่นเวยมีความสุขยิ่งนัก เหตุใดความรู้สึกนี้ถึงได้เหมือนพิธีตรวจพลสวนสนาม คิกคิก พวกเราก็น่าจะลองสวมบทบาทดูสักครั้ง
ความรู้สึกของสวีโย่ว รวมถึงเจียงเฮยเจียงไป๋ที่ถูกหลีฮวาเหอฮวาเถาฮวาเบียดออกไปข้างๆ ก็ซับซ้อนอย่างยิ่ง ได้ยินหรือไม่ พวกเขาตะโกนว่า ‘ยินดีต้อนรับจวิ้นจู่ จวิ้นอ๋องกลับจวน’ จวิ้นจู่มาก่อน ท่านจวิ้นอ๋องเช่นเขาอยู่ข้างหลัง หากไม่ใช่ว่าบนประตูใหญ่แขวนป้ายว่า ‘จวนผิงจวิ้นอ๋อง’ เขายังคิดว่าเขามาผิดที่เสียอีก
น่าจะมาผิดที่แล้วกระมัง หรือไม่ก็แขวนป้ายผิดแล้ว เห็นชัดๆ ว่านี่คือจวนจวิ้นจู่ต่างหาก!
จากนั้นจึงมองคนเหล่านี้ที่เรียงแถวต้อนรับ สวีโย่วก็ยิ่งอัดอั้นใจ ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นคนของภรรยาเขา คนของเขาเพียงไม่กี่คนปะปนอยู่ในนั้น มองผ่านๆ ก็ยังหาไม่เจอจริงๆ นี่ นี่คือบ้านที่ภรรยาเป็นใหญ่นี่นา!
อยากจะลากทหารเงาและทหารมังกรออกมาให้หมดจริงๆ!
สวีโย่วอดส่งสายตาเคียดแค้นไปให้เจียงเฮยเจียงไป๋ไม่ได้ ดูอาจารย์ซูกับโอวหยางไน่สิ มีความสามารถยิ่งนัก! แล้วดูพวกเจ้าสองคน แม้ทหารเงากับทหารมังกรจะปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนไม่ได้ อย่างไรเสียเจ้าสองคนก็หาคนมาเป็นหน้าตาให้ข้าบ้างก็ได้! กวาดสายตามองปราดเดียวล้วนแต่เป็นคนของนายหญิงเช่นนี้ นายพวกเจ้าไม่มีเกียรติ บ่าวเช่นพวกเจ้าจะยังมีเกียรติอยู่อีกหรือ เทียบไม่ได้จริงๆ เทียบแล้วน่าโมโหยิ่งนัก
เจียงเฮยเจียงไป๋เองก็ได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง เรื่องนี้ล้วนเป็นเจี่ยงปั๋วที่จัดการ มีพวกเขาสองพี่น้องไว้ทำไม เจี่ยงปั๋วก็จริงๆ เลย เจ้าบอกว่าเจ้าจัดพิธีที่ใหญ่เช่นนี้ได้ เหตุใดถึงไม่หาคนมาช่วยเป็นหน้าเป็นตาให้ท่านจวิ้นอ๋องหน่อยเล่า เจ้าก็อายุปูนนี้แล้ว เหตุใดถึงได้วิ่งไปเกาะขาจวิ้นจู่เล่า ไม่อายบ้างหรือไร
เจี่ยงปั๋วก็ยิ่งไม่ได้รับความเป็นธรรม เขาเองก็อยากให้เกียรติจวิ้นอ๋อง แต่คนที่อยู่ในจวนผิงจวิ้นอ๋องล้วนแต่เป็นคนของจวิ้นอ๋อง ใต้บังคับบัญชาของท่านจวิ้นอ๋องมีใครบ้าง เขาเอาเด็กรับใช้กับหญิงชราในเรือนจวนจิ้นอ๋องมาหมดแล้ว นั่นไง ไม่ใช่ว่ายืนอยู่ข้างหลังหรือไร
สวีโย่วมองไปตามสายตาของเจี่งปั๋ว อยากจะตาบอดไปเสียยังดีกว่า เพียงแค่เด็กรับใช้สิบกว่าคนนั้น บวกกับหญิงชราใช้แรงงานเจ็ดแปดคน แม้จะสวมชุดใหม่เอี่ยมเหมือนกัน แต่ดูจากท่าทางการยืนก็อ่อนแอกว่าคนข้างๆ เท่าตัวแล้ว ถูกขับจนราวกับเป็นไก่บ้าน สู้พวกเขายังไม่ได้
เสิ่นเวยเก็บการฟ้องร้องทางสายตาของสวีโย่วนายบ่าวไว้ในดวงตา ในใจพอใจยิ่งนัก บีบมือของสวีโย่ว หัวเราะเสียงเบากล่าว “หลังจากนี้ ท่านก็รับผิดชอบหน้าตาดี ส่วนข้า ก็รับผิดชอบหาเลี้ยงครอบครัว”
มุมปากสวีโย่วกระตุก แต่กลับไม่ได้โต้เถียง ตอบกลับนางหนึ่งประโยค “หลังจากนี้ก็ลำบากฮูหยินแล้ว”
รากฐานเศรษฐกิจต้องอยู่บนยอดพีระมิด เห็นหรือไม่ อำนาจสำคัญมาก หนึ่งประโยคก็วางรากฐานตำแหน่งผู้นำอย่างสมบูรณ์ในบ้านของเสิ่นเวยได้แล้ว
“เอาล่ะ ลำบากทั้งหมดแล้ว เดือนนี้ทุกคนเพิ่มเงินเดือนสองเดือน เที่ยงวันนี้พวกเราสั่งอาหารจากเหลาสุราข้างนอกมา ดื่มสุราทานอาหารกันให้พอ” เสิ่นเวยประกาศอย่างสบายอกบายใจ
ทุกคนโห่ร้องดีใจทันที “ขอบคุณจวิ้นจู่เหนียงเหนียงที่เมตตา ขอบคุณท่านจวิ้นอ๋อง” ทุกคนต่างก็ดีใจเช่นนั้น ทั่วทั้งจวนผิงจวิ้นอ๋องประหนึ่งขึ้นปีใหม่
“ไป ไปดูเรือนหลัก ข้าเลือกด้วยตัวเอง เวยเวยไปดูว่าชอบหรือไม่ หากไม่ชอบพวกเราค่อยเปลี่ยน” สวีโย่วกล่าวกับเสิ่นเวย
เสิ่นเวยพยักหน้า ตั้งตารอสวีโย่วสร้างความประหลาดใจให้นางอย่างยิ่ง
ตอนที่ 245-2 ย้ายบ้านแล้ว
ตอนที่ได้ยืนอยู่นอกเรือนหลักจริงๆ บนใบหน้าของเสิ่นเวยก็มีความประหลาดใจและดีใจแวบผ่าน หอเฟิงหวา เปลี่ยนจากเรือนที่นางอยู่ในจวนจงอู่โหวเพียงแค่ตัวอักษรเดียว ไม่ต้องเข้าไป เพียงแค่ดูจากประตูเรือนที่เปิดกว้างก็มองออกแล้วว่าเรือนหลังนี้เหมือนกันกับเรือนที่นางเคยอยู่มาก่อน
นี่ก็คือความประหลาดใจที่สวีโย่วมอบให้นางหรือ เช่นนั้นนางก็ทั้งประหลาดใจทั้งดีใจจริงๆ เสิ่นเวยรู้สึกว่าในใจมีบางอย่างเพ่นพ่านไปมา ประหนึ่งอยากจะวิ่งออกมา ทะเลสาบหัวใจที่สงบนิ่งก็มีคลื่นซัดเข้ามา
เสิ่นเวยพิงศีรษะลงบนบ่าของสวีโย่ว มุมปากอมยิ้ม ดวงหน้าที่งดงามประหนึ่งดอกท้อเดือนสาม “สวีโย่ว ข้าเคยบอกท่านหรือไม่ว่าหากท่านหมดรักข้าจะเลิก”
“เคย” สวีโย่วโอบเสิ่นเวยทอดมองไปข้างหน้า ตอนที่นางพูดประโยคนี้ยังอยู่ที่ซีเจียง นางถูกเขารบเร้าจนชี้จมูกเขากล่าว ‘อย่าคิดว่ามีพระราชทานสมรสแล้วข้าจะทำอะไรท่านไม่ได้ ท่านทำตัวดีกับข้าก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่ดี หึ หากท่านหมดรักข้าจะเลิก’
“เช่นนั้นวันนี้ขอเพิ่มอีกหนึ่งประโยค หากท่านไม่เลิก ข้าก็ไม่ทิ้ง” เสียงของเสิ่นเวยดังขึ้น “สวีโย่ว หากท่านไม่ทรยศข้าก่อน เช่นนั้นชั่วชีวิตนี้ข้าก็จะเดินอยู่เคียงคู่ท่าน ดีหรือไม่”
“ดี!” สวีโย่วกระชับแขนรวบเสิ่นเวยเข้ามาในอ้อมอก คำตอบของเขาแน่วแน่และมีความสุข ในที่สุดเด็กน้อยคนนี้ก็ยอมก้าวมาหาเขาอีกหนึ่งก้าวแล้ว ไม่เสียแรงที่เขาทุ่มเทความคิดมากเพียงนั้น
แม้จะย้ายเข้าจวนจวิ้นอ๋องแล้ว แต่เรื่องจุกจิกร้อยแปดพันเก้าก็ยังรอเสิ่นเวยตัดสินใจอยู่ วิธีของเสิ่นเวยง่ายดายอย่างยิ่ง เลื่อนตำแหน่งให้คนที่จัดการหลายคน โยนงานให้พวกเขา งานในชีวิตประจำวันพวกเขาตัดสินใจเองก็ได้แล้ว ตัดสินใจไม่ได้ก็มารายงานที่นาง เช่นนี้นางก็สบายมากขึ้นแล้ว
พ่อบ้านใหญ่ของจวนจวิ้นอ๋องยังคงเป็นเจี่ยงปั๋ว เรือนในก็มีแม่นมมั่วจัดการโดยรวม องครักษ์ในจวนมีโอวหยางไน่นำ ในขณะเดียวกันเขายังดูแลการฝึกซ้อมของกองทหารเด็กให้เหมาะสมอีกด้วย ทหารลับก็มีเสิ่นเวยดูแลด้วยตนเอง เดิมทีก่อนออกเรือนนางก็อยากคืนทหารลับให้ปู่นาง บุตรสาวที่ยังไม่ออกเรือนยังพาทหารลับบ้านฝั่งมารดามาแสดงอำนาจ ทว่านายท่านผู้เฒ่าโหวปฏิเสธ บอกว่าให้นางแล้วก็เป็นของนาง คิดเสียว่าเป็นการเพิ่มสินเดิมให้นาง
เสิ่นเวยอดตกใจไม่ได้ ท่านปู่ใจกว้างเกินไปน่ารักเกินไปแล้วหรือไม่ ราคาของทหารลับกลุ่มนี้แพงกว่าทรัพย์สินส่วนตัวที่ท่านปู่ให้นางเสียอีก เดิมถือคติว่ามีผลประโยชน์แต่ไม่รับเป็นคนโง่ เสิ่นเวยจึงรับไว้ด้วยความถ่อมตนอย่างยิ่ง
สำหรับการจัดเตรียมที่ให้อาจารย์ซู ก็คือไม่มีการจัดเตรียม อาจารย์ซูนับได้ว่าเป็นกึ่งอาจารย์ของเสิ่นเวย ทั้งยังเป็นนายทหารผู้ช่วยที่มีมันสมองของนาง อ้อ ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านตระกูลเสิ่นเขายังรับหน้าที่เป็นพ่อบ้านชั่วขณะหนึ่ง เนื่องจากความสามารถที่หลากหลายของอาจารย์ซู เสิ่นเวยจึงให้เงินเดือนและตำแหน่งที่อยู่เหนือข้อยกเว้นแก่เขา ดูเหมือนไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น แต่ขอเพียงแค่เป็นเรื่องที่เจี่ยงปั๋วแม่นมมั่วโอวหยางไน่ตัดสินใจไม่ได้ก็สามารถไปปรึกษาอาจารย์ซูได้
จ้าวเฉิงซวี่ได้พยานแล้วก็ส่งหนังสือจับตัวทันที จะว่าไปแล้วฉินมู่หรานเด็กคนนั้นก็ซวยจริงๆ หากเขาอยู่ในจวนเสนาบดีเงียบๆ เจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่จะจับตัวเขาก็ไม่ง่ายจริงๆ แต่เขาดันวิ่งไปพนันไก่ชนบนถนน บังเอิญถูกเจ้าหน้าที่ที่ผ่านทางมาเห็นเข้าพอดี คราวนี้ก็ง่ายแล้ว แม้แต่จวนเสนาบดีก็ไม่ต้องไป เข้าไปหิ้วคนกลับมาได้ทันที
ฉินมู่หรานถูกส่งไปยังคุกแล้วจวนเสนาบดีเพิ่งจะได้ข่าว นายหญิงผู้เฒ่าตระกูลฉินร้องไห้ฟูมฟายปาดน้ำมูกน้ำตาดึงท่านเสนาบดีฉินให้เขารีบไปช่วยคน
“หลานรักข้า คราวนี้ต้องโทษใหญ่แล้ว ผู้แซ่จ้าวสมควรตายต้องไม่ตายดี เหตุใดฟ้าถึงไม่ผ่าเขาตายเล่า” นายหญิงผู้เฒ่าตระกูลฉินสาปแช่ง จากนั้นก็ชี้ท่านเสนาบดีฉินตำหนิ “เหล่าต้า มีพ่อเช่นเจ้าด้วยหรือ ลูกเข้าคุกไปแล้วเจ้ายังมีอารมณ์มาอ่านหนังสือ เจ้าใช่จะยั่วโมโหแม่ให้ตายหรือไม่”
ต่งซื่อเองก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา “นายท่าน ท่านรีบหาวิธีช่วยหรานเอ๋อร์ออกมาเถอะ ตั้งแต่เล็กเขาก็ไม่เคยทุกข์ยากเช่นนี้มาก่อน นี่จะดีได้อย่างไร! นายท่าน ท่านรีบคิดหาวิธีเถอะ”
“อย่าให้หลานรักข้านอนในคุกทั้งคืน ฟังว่าสถานที่นั้นสกปรกอย่างยิ่ง เหล่าต้า เจ้าไม่ใช่ท่านเสนาบดีหรือไร ขุนนางแซ่จ้าวผู้นั้นต่ำกว่าเจ้า ต้องฟังเจ้า ตอนนี้เจ้าไปพาหลานรักข้ากลับมาเถิด หากพากลับมาไม่ได้ เจ้าก็รอเก็บศพแม่เจ้าได้เลย หลานผู้น่าสงสารของข้า!” นายหญิงผู้เฒ่าตระกูลฉินใช้ไม้เท้าในมือกระทุ้งพื้นไม่ยอมเลิกรา
ท่านเสนาบดีฉินเองก็โมโหอย่างยิ่ง ต่อให้ลูกเขาจะชั่วช้า เจ้าจ้าวเฉิงซวี่ไม่พูดสักคำก็จับคนไปแล้ว นี่ไม่ใช่เป็นการดูถูกจวนเสนาบดีดูถูกท่านเสนาบดีเช่นเขาหรอกหรือ
“เสด็จแม่วางใจ หรานเอ๋อร์จะต้องไม่เป็นไร ข้าให้พ่อบ้านวิ่งไปศาลต้าหลี่เที่ยวหนึ่งแล้ว ดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น” ท่านเสนาบดีฉินพยุงนายหญิงผู้เฒ่าตระกูลฉิน พยายามโน้มน้าว หันหน้ากล่าวกับต่งซื่อต่อ “เจ้าก็ดูแลท่าแม่กลับเรือนไปพักผ่อน ท่านแม่อายุมากแล้ว เจ้าก็อย่าสร้างปัญหาเพิ่ม”
ทว่านายหญิงผู้เฒ่าตระกูลฉินกลับดื้อรั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมไป “ข้าไม่ไป ข้าจะอยู่ที่นี่รอหลานรักข้ากลับมา เจ้าจะว่าภรรยาเจ้าทำไม เจ้ารีบให้พ่อบ้านไปพาหลานรักข้ากลับมาเถอะ”
ท่านเสนาบดีฉินเสียแรงไปมากอย่างยิ่งกว่าจะสงบอารมณ์มารดาของเขาได้ รับปากนางว่าหรานเอ๋อร์กลับมาจะส่งไปตรงหน้านางทันที นายหญิงผู้เฒ่าตระกูลฉินจึงกลับเรือนในอย่างไม่ยินดี
เมื่อนายหญิงผู้เฒ่าตระกูลฉินไปแล้ว ท่านเสนาบดีฉินก็ปรึกษากับนายทหารผู้ช่วย “อาจารย์เริ่นคิดเห็นอย่างไร”
เริ่นหงซูใคร่ครวญครู่หนึ่งจึงกล่าว “ท่านเสนาบดี เรื่องนี้แปลกเล็กน้อย จ้าวเฉิงซวี่คนผู้นั้นเป็นคนรอบคอบที่สุด หากในมือไม่มีหลักฐานก็ไม่กล้าเสี่ยงอันตรายจับตัวคน ตอนนี้พวกเขาจับคุณชายเล็กเข้าคุก เกรงว่าในมือจะกุมหลักฐานอะไรอยู่”
ดวงตาท่านเสนาบดีฉินกะพริบวาบ กล่าว “เจ้าจะบอกว่าศาลต้าหลี่หาแม่นางผู้นั้นเจอแล้วหรือ”
เริ่นหงซูกล่าว “เป็นไปได้ แต่ก็เป็นไปได้ว่าจะเป็นหลักฐานอื่นเช่นกัน”
ท่านเสนาบดีฉินคิดแล้วจึงกล่าว “จะเป็นอะไรได้ ชาวบ้านไม่กี่คนนั้นก็ส่งคนไปดูแล้ว พวกเขาไม่กล้าออกมาพูดจาเหลวไหล” ยังจะมีจุดสะเพร่าอะไรอีกที่เขานึกไม่ถึง
เริ่นหงซูส่ายหน้า กล่าว “รอดูเถิด รอคุณชายเล็กกลับมาก็รู้แล้ว”
น่าเสียดายที่พวกเขาไม่สามารถรอฉินมู่หรานกลับมาได้ มีเพียงพ่อบ้านที่วิ่งเหงื่อท่วมหัวกลับมาคนเดียว ร้องห่มร้องไห้กล่าว “ท่านเสนาบดี อาจารย์เริ่น แย่แล้ว เด็กรับใช้ข้างกายคุณชายเล็กมีคนทรยศ เขาเป็นพยานว่าคุณชายเล็กฉุดแม่นางตระกูลจาง ศาลต้าหลี่ไม่ปล่อยคนขอรับ”
“อะไรนะ ทรยศงั้นหรือ คนไหนกัน” สีหน้าของท่านเสนาบดีฉินย่ำแย่อย่างถึงที่สุด
พ่อบ้านปาดเหงื่อบนหน้าผาก “เอ้อร์หนิวจื่อขอรับ” เขากล่าวอย่างหวาดกลัวเล็กน้อย เด็กรับใช้คนสนิทข้างกายคุณชายเล็กส่วนใหญ่ล้วนเป็นเขาที่จัดคนเข้าไป เขากลัวท่านเสนาบดีจะไต่ถามความรับผิดชอบ!
“เอ้อร์หนิวจื่อคือคนไหน เกิดในบ้านหรือไม่ ครอบครัวของเขาเล่า พ่อแม่เล่า” ท่านเสนาบดีฉินกล่าวถาม
สีหน้าของพ่อบ้านซีดหมดแล้ว กล่าวอย่างตะกุกตะกัก “เรียนท่านเสนาบดี เอ้อร์หนิวจื่อเกิดในบ้านขอรับ แต่ครอบครัวเขาไม่มีใครแล้ว”
“เหตุใดถึงไม่มีใครเล่า” ท่านเสนาบดีฉินขมวดคิ้วขึ้นเสียงสูง
พ่อบ้านรวบรวมความกล้าตอบ “เรียนท่านเสนาบดีฉิน บิดาของเอ้อร์หนิวจื่อเดิมทำงานที่โรงม้าในจวน มีฝีมือเลี้ยงม้า แต่ติดนิสัยชอบดื่มสุรา ฤดูหนาวปีหนึ่งเขาดื่มสุราเยอะไปตกลงไปในแม่น้ำจมน้ำตาย ปีนั้นเอ้อร์หนิวจื่อเพิ่งจะอายุได้สองขวบ แม่เขาทำงานอยู่ในฝ่ายเย็บผ้า สามปีก่อนเสียชีวิตแล้ว เดิมเขายังมีพี่สาวอยู่หนึ่งคน สองเดือนก่อนคลอดยาก ปกป้องไม่ได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ครอบครัวเขาเป็นครอบครัวเดี่ยว ลุงน้าไม่มีสักคน ตอนนี้ทั้งตระกูลเขาเหลือเขาเพียงคนเดียว”
เสียงของพ่อบ้านยิ่งพูดก็ยิ่งต่ำ ท้ายที่สุดก็กัดฟันถือโอกาสรายงานด้วยตัวเอง “ท่านเสนาบดี เอ้อร์หนิวจื่อผู้นั้นเป็นคนที่บ่าวส่งไปอยู่ข้างกายคุณชายเล็ก บ่าวเห็นเขาเป็นคนปราดเปรียว ใครจะรู้ว่าเขาจะเนรคุณ เป็นความผิดของบ่าวเอง บ่าวรู้จักคนไม่ดีพอ ท่านลงโทษบ่าวเถิด” เขาคุกเข่าลงบนพื้นเสียงดังโครม
เอ็อร์เหนียงจื่อกลับเป็นคนปราดเปรียวจริงๆ เพราะว่าพ่อเขาตายเร็ว แม่เขาเลี้ยงลูกสองคนเพียงคนเดียว ซ้ำยังต้องทำงาน ยากจะเลี่ยงไม่ให้มองข้ามการสั่งสอนเขา ตั้งแต่เล็กเขาก็บ่มเพาะนิสัยอันธพาลแล้ว กินดื่มเที่ยวเล่นกลับเชี่ยวชาญ ไม่รู้เหมือนกันว่าเส้นประสาทเส้นไหนของเขาผิดปกติ คาดไม่ถึงว่าถือกับข้าวหิ้วสุราเดินมาหาเขา ขอทำงานข้างกายคุณชายเล็ก
แม้ว่าพ่อบ้านจะไม่กลัวเอ้อร์หนิวจื่อ แต่กลับไม่อยากผิดใจเขา ตอนนั้นเขาคิด คุณชายเล็กเป็นคนชอบเที่ยว เอ้อร์หนิวจื่อก็ชอบเที่ยว ไม่แน่ว่าเอ้อร์หนิวจื่ออาจจะเข้าตาคุณชายเล็กก็ได้ คนเช่นเขาก็จะมีเกียรติมิใช่หรือ นี่เองก็เป็นน้ำใจอย่างหนึ่ง! ด้วยเหตุนี้เขาจึงลงมือช่วย
เป็นดังคาดไม่นานนักเอ้อร์หนิวจื่อก็เข้าตาคุณชายเล็ก กลายเป็นคนสนิทอันดับหนึ่งข้างกายคุณชายเล็กอย่างสมบูรณ์ พ่อบ้านก็ได้ผลประโยชน์ไปไม่น้อย แต่ใครจะรู้ว่าเอ้อร์หนิวจื่อผู้นี้จะทรยศนายเล่า
ท่านเสนาบดีฉินมองพ่อบ้านที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ในดวงตามีบางอย่างแวบผ่านอย่างรวดเร็ว พูดเพียงหนึ่งประโยค “ลุกขึ้นเถิด คราวหน้าก็ระวังหน่อย” เรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว ตำหนิพ่อบ้านอีกก็ไม่มีประโยชน์ ยิ่งไปกว่านั้นพ่อบ้านก็เพียงแค่ตรวจสอบบกพร่องเท่านั้น
“ขอบคุณท่านเสนาบดี ขอบคุณท่านเสนาบดีที่เมตตา บ่าวจะจำไว้” พ่อบ้านดีใจใหญ่ ลุกขึ้นจากพื้นช้าๆ มายืนข้างๆ มีความรู้สึกรอดตายชนิดหนึ่ง
“ท่านเสนาบดี เรื่องนี้ยุ่งยากเล็กน้อย” เริ่นหงซูขมวดคิ้วมุ่น หากเป็นพยานอื่นยังดี พยานคนนี้ดันเป็นคนข้างกายคุณชายเล็ก รู้เรื่องของคุณชายเล็กดีเป็นพิเศษ หากเขารับสารภาพอะไรออกมาจะไม่เป็นผลดีต่อคุณชายเล็กอย่างยิ่ง
“ก็แค่บ่าวคนหนึ่ง” ท่านเสนาบดีฉินแค่นเสียงหนึ่งครา เสือไม่แสดงอำนาจก็คิดว่าข้าเป็นแมวป่วยเสียแล้ว “สั่งคนนำข่าวไปให้เอ้อร์หนิวจื่อผู้นั้น ให้เขาแก้ปากคำ ยังมี เตรียมคุกเดี่ยวให้หรานเอ๋อร์ สั่งอาหารจากเหลาสุราส่งเข้าไป” เขาจะทำให้จ้าวเฉิงซวี่คนชั่วผู้นั้นรู้ว่าจับลูกเขาเข้าไปเช่นไร ก็ต้องส่งออกมาอย่างเคารพนบนอบเช่นนั้น ให้เกียรติไม่เอาเกียรติ คิดว่าจวนเสนาบดีฉินของเขารังแกง่ายหรือไร
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น