ท่านเทพมาแล้ว 245-248

 บทที่ 245 นี่คือปริศนา

โดย

Ink Stone_Romance

ในใจมู่จิ่วกลับค่อนข้างเฉยเมย ถึงแม้เหลียงจีรักเขามากพอ ก็ไม่ได้หมายความว่านางไม่มีเหตุผลที่จะไป?


หากเขาทำอะไรผิดล่ะ?


อา นางเห็นเรื่องรักหลายใจยุ่งยากมามาก ไม่อาจโทษที่นางคิดมากได้


ลู่ยากลับถามออกมาแม้นางจะไม่ได้เอ่ยไป “เจ้าทำอะไรผิดต่อนางมาก่อนหรือไม่?”


“ไม่มีขอรับ” ซื่ออินตอบ “พวกเราอยู่ด้วยกันตั้งแต่เด็กจนโต หลายปีขนาดนี้ ถึงแม้ทะเลาะเบาะแว้งเล็กๆ น้อยๆ บ้าง แต่ล้วนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร และไม่เคยทิ้งความบาดหมางอะไรไว้ ข้ายินยอมสละทุกอย่างเพื่อนาง พ่อและแม่ของข้าก็ชอบนางมาก พูดได้ว่าระหว่างพวกเราไม่มีอุปสรรคอะไรขวางกั้น”


มู่จิ่วพินิจมองเขาสักครู่ เห็นเพียงความมั่นคงในแววตาเท่านั้น ดูแล้วคงไม่ได้พูดเกินจริง


คนหนึ่งคนสามารถเชื่อมั่นแน่วแน่แบบนี้ได้หลังจากผ่านไปห้าร้อยปีแล้ว อย่างไรก็ต้องเป็นความจริงสักหลายส่วน


แต่นี่ก็น่าแปลกนัก ในเมื่อคนสองคนรักกันและถึงขั้นจะแต่งงานกัน ทำไมนางถึงหายตัวไปกะทันหัน?


มู่จิ่วมองลู่ยา เขาไม่ได้แสดงออกอะไร


“เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีคนลักพาตัวนาง?” ตอนนี้เองซ่างกวนสุ่นก็เดาขึ้นมา


พูดถึงเรื่องหายตัว นอกจากเสียใจแล้วหนีจากไป ที่เหลือส่วนใหญ่ก็มีเพียงถูกลักพาตัวหรือพบเจออันตราย


“ไม่ใช่ขอรับ” ซื่ออินพูด “ข้ารับใช้หญิงในวังเห็นนางเดินออกไปเอง และเป็นนางเองที่บอกว่าออกไปแล้วเดี๋ยวกลับมา อีกทั้งไม่มีคนมาหานางที่วัง วันนั้นข้าออกไปทำธุระข้างนอกพอดี ยังไม่ทันกลับมา วันรุ่งขึ้นถึงได้รู้เรื่องที่นางหายตัวไป”


มู่จิ่วก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี


ในเมื่อไม่ใช่เพราะเสียใจ ไม่ได้พบเจออันตราย หรือว่าจะหายไปในอากาศ?


ทุกคนในห้องล้วนเงียบ


“บนตัวเจ้ามีสิ่งของของนางติดตัวหรือไม่?” ลู่ยามองซื่ออิน


ซื่ออินครุ่นคิด ก่อนหยิบแหวนรูปทรงโบราณจากกระเป๋าเล็กออกมา “นี่เป็นของขวัญวันเกิดที่ข้าให้นางตอนอายุครบหมื่นปี”


มู่จิ่วถามทันที “ในเมื่อเป็นของขวัญที่สำคัญขนาดนี้ ตอนนั้นทำไมนางไม่ใส่ไปด้วยล่ะ?”


ซื่ออินตอบ “วันเกิดทุกพันปีข้าจะให้ของขวัญนาง ภายหลังอายุถึงสามหมื่นปี ของขวัญก็มากมายจนใส่ไม่ไหวแล้ว แหวนนี้ถูกของใหม่เข้าแทนที่ นางไม่ทิ้งของที่ข้าให้อย่างส่งเดชแน่นอน” ปลายประโยคเขาเน้นย้ำเช่นนี้


ได้ยินเขาเอ่ยเน้นแบบนี้ ใบหน้ามู่จิ่วร้อนจนไม่ไหว นางถอยไปด้านหลังลู่ยา ก่อนยื่นมือออกไปลูบ


ลู่ยายกริมฝีปาก หันหน้ามาพูดกับนาง “ข้ากระหายแล้ว ช่วยข้ารินชามาที”


มู่จิ่วรีบถอยออกจากประตูไป


ดึกมากแล้ว สรรพสิ่งเงียบสงบ แสงจันทร์สาดส่องผืนแผ่นดิน ดอกไม้ต้นไม้ในลานเริ่มรับพลัง


ครั้นมาถึงห้องครัว มู่จิ่วก็หายลำบากใจแล้ว แต่ความคิดกลับยังติดอยู่กับคำพูดของซื่ออิน


ไม่รู้ว่าสาเหตุอะไรที่ทำให้เหลียงจีจากไปไม่ลา ความรู้สึกลึกซึ้งของซื่ออินควรจะรั้งหญิงทุกคนบนโลกนี้ได้ถึงจะถูก แต่นางกลับหายไปเหมือนกับปริศนา


ไม่รู้ว่าลู่ยาจะสืบอะไรได้หรือไม่?


หลังรินชาแล้วกลับมาในห้อง ชัดเจนว่าลู่ยาดูแหวนนั้นแล้ว “ไม่มีผมหรือเลือด จึงมองไม่เห็นเหตุการณ์แน่ชัดของนาง เห็นเพียงบางส่วนเท่านั้น” เขามองแหวนวงนั้น “พี่สาวของนางแต่งงานแล้วหรือ?”


“ใช่ขอรับ” ซื่ออินก็ลุกขึ้นมายืนข้างเขาแล้ว “ปีนั้นราชาของอาณาจักรหนานเซียงมาสู่ขอ ท่านแม่ช่วยจัดงานแต่งของอู่เจินพี่สาวนางกับเขา เพียงแต่ตอนนี้นางตายแล้ว”


“ตายแล้ว?” เสี่ยวซิงเบิกตากว้าง


“ห้าพันปีก่อน อู่เจินแต่งให้กับเซวียนหยวนฮุ่ยราชาของอาณาจักรหนานเซียง พวกนางสองพี่น้องเป็นหญิงงามที่มีชื่อเสียงในหลายอาณาจักรทางเหนือของพวกเรา โหย่วเจียงและหนานเซียงแต่ก่อนไม่เคยติดต่อกันมาก่อน แต่ปีนั้นมาสู่ขอกะทันหัน บอกว่าอยากสร้างมิตรไมตรีกับโหย่วเจียง”


“ท่านแม่ข้าเห็นเซวียนหยวนฮุ่ยสูงใหญ่แข็งแรง วิชาการรบก็สูงส่ง ถึงแม้พวกเราเผ่าพันธุ์เสือขาวแต่งงานกับคนนอกน้อยมาก แต่ดีร้ายเขาก็เป็นราชาของอาณาจักรหนึ่ง และเพราะข้ากับเหลียงจีใจตรงกัน ตกลงปลงใจจะแต่งงานกันอยู่แล้ว หากอู่เจินอยู่ที่โหย่วเจียงต่อ อย่างมากก็แต่งให้น้องชายข้า แม่ของข้าไม่อยากปฏิบัติต่อนางอย่างไม่ยุติธรรม เพราะคิดว่านางแต่งไปก็เป็นราชินีของหนานเซียง จึงถามความเห็นของอู่เจิน และตกลงเรื่องแต่งงานนี้ไป”


“แต่พวกเราคิดไม่ถึงว่าเซวียนหยวนฮุ่ยจะเป็นคนหน้าเนื้อใจเสือ! ตอนแรกอู่เจินแต่งไปก็สงบเรียบร้อยดี แต่ไม่นานนักวันหนึ่งนางกลับมาคร่ำครวญร่ำไห้กับแม่ข้า เซวียนหยวนฮุ่ยไม่รู้ไปฝึกวิชามารไร้นามจากไหน ตัณหาราคะไร้ขอบเขต วันคืนพัวพันอยู่กับอู่เจิน ทำให้นางลำบากจนไม่อาจเอ่ย”


“แม่ข้าส่งคนไปพูดกับเซวียนหยวนฮุ่ยหลายครั้ง เขากลับวางเฉย ภายหลังเมื่อพ่อข้าเดินทางไปหาเขาที่อาณาจักรหนานเซียงด้วยตนเอง ต่อหน้าเซวียนหยวนฮุ่ยรับปากจะเปลี่ยนแปลง ไหนเลยจะรู้ว่าหลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้ข่าวว่าอู่เจินป่วยหนัก! ข้ากับเหลียงจีเดินทางไปดูก่อน เห็นเพียงอู่เจินผอมจนเหลือแต่กระดูก พลังฤทธิ์ทั้งร่างหายไปไร้ร่องรอย แม้แต่ร่างเดิมยังปรากฏออกมารางๆ!”


ซื่ออินพูดถึงตรงนี้ก็กำหมัด ใบหน้าปรากฏความโกรธแค้น


มู่จิ่วกับลู่ยาหันมาสบตากัน สุดท้ายเขาเงียบไปสักครู่ ก่อนถามขึ้น “ต่อมานางก็ตาย?”


“พวกเรากลับมาได้ไม่นานนางก็ตาย นางที่ไม่มีพลังไม่ต่างกับลูกเสือที่เพิ่งเกิด หนำซ้ำพลังปราณของนางเสียหายหนัก มีเพียงหนทางตายเท่านั้น” ซื่ออินกุมมือพลางพูด “ถึงตอนนี้พ่อแม่ข้ายังโทษตนเองที่ให้นางแต่งให้กับเจ้าสารเลวนั่น เพราะเห็นแก่ตำแหน่งราชินีในตอนแรก ตอนอู่เจินตาย เหลียงจีตกใจตื่นกลางดึก จากนั้นร้องไห้วิ่งมาหาข้าที่ห้อง”


“ข้านำกำลังคนไปรบกับเซวียนหยวนฮุ่ยหลายครั้ง สุดท้ายก็ไม่รู้ผลแพ้ชนะ ต่อมาเพื่อป้องกันการสูญเสียกำลังและทรัพยากร เหลียงจีจึงร้องขอให้หยุดสงคราม แต่หลายพันปีมานี้พวกเรากับอาณาจักรหนานเซียงเป็นเหมือนน้ำกับไฟมาตลอด ถึงแม้ไม่มีสงคราม แต่เป็นตายก็ไม่ไปมาหาสู่กันเด็ดขาด”


ลู่ยามองมู่จิ่ว ยกชาที่อุ่นแล้วขึ้นมา


มู่จิ่วเข้าใจความหมายของเขา ในเมื่อพี่สาวคนเดียวของเหลียงจีตายแล้ว ซื่ออินตามหาที่อยู่ของนางมาห้าร้อยปีไม่พบก็เป็นเรื่องที่ให้อภัยได้


บนโลกนี้หากคนผู้หนึ่งตั้งใจหลบซ่อนตัวจากใครอีกคน เช่นนั้นก็ง่ายดายมาก


ประเด็นสำคัญคือ ที่สุดแล้วเหลียงจีตั้งใจหลบซ่อนตัวหรือเจอเรื่องอันตรายจนกลับมาไม่ได้?


นางครุ่นคิดสักครู่ก่อนถาม “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเซวียนหยวนฮุ่ยแต่งงานกับอู่เจินเมื่อไหร่นะ?”


“ห้าพันปีก่อน” ซื่ออินตอบ “พูดอย่างชัดเจนคือห้าพันสามสิบเอ็ดปี ข้าจำวันได้แม่นยำนัก เพราะความรู้สึกของเหลียงจีกับพี่สาวนั้นลึกซึ้งมาก นางบันทึกเวลานี้ไว้บนเสาในห้อง และหลายปีมานี้ข้ากลับวังไปก็ใช้เวลาอยู่ในห้องนางนาน ดังนั้นข้าจึงจำได้ชัดเจน”


สีหน้าของมู่จิ่วเปลี่ยนไป


เป็นห้าพันปีก่อนอีกแล้ว!


ถ้วยชาของลู่ยาก็หยุดค้างอยู่ในมือ ความประหลาดใจบนใบหน้าชัดเจนเหมือนรอยมีดฟันลงมา


“เซวียนหยวนฮุ่ยมีที่มาอย่างไร?” มู่จิ่วสะกดกลั้นคลื่นในใจนาง ก่อนถามต่อ


ซื่ออินสัมผัสได้ว่าสีหน้าของพวกเขาแปรเปลี่ยน


ก็ไม่รู้ว่าทำไม จึงทำได้เพียงตอบไป “อาณาจักรหนานเซียงเป็นเขตของเสือลายเหลือง บรรพบุรุษของเซวียนหยวนฮุ่ยคือสกุลโหย่วซยง เป็นพาหนะของหวงตี้ (จักรพรรดิเหลือง) สกุลเซวียนหยวน ภายหลังอาณาจักรเซวียนหยวนแยกจากกัน คนในเผ่ากระจายกันไป สายหลักของราชินีเปลี่ยนชื่ออาณาจักรเป็นโหย่วซยง พาหนะของโหย่วซยงจึงใช้แซ่เซวียนหยวนตาม จากนั้นบุกเบิกพื้นที่ทางตอนเหนือของอาณาจักรโหย่วซยง ปกป้องลูกหลานเผ่าโหย่วซยง ค่อยๆ แตกรากสาขา จนกลายเป็นอาณาจักรหนึ่งเช่นกัน”


……………………………………


บทที่ 246 เผ่าพันธุ์โบราณ

โดย

Ink Stone_Romance

“เซวียนหยวนฮุ่ยเป็นหลานของเสือลายเหลือง ตามคำบอกเล่า ปีนั้นตอนหวงตี้นำทัพโจมตีชือโหยว เสือลายเหลืองสร้างผลงานใหญ่ และเคยแบกองค์จักรพรรดิหนีออกจากเขตอันตราย สรุปคือโหย่วซยงและหนานเซียงสองอาณาจักรนี้มีสัมพันธ์อันดี และก็เพราะเหตุผลนี้ รุ่นที่ผ่านมาของพวกเรากับหนานเซียงจึงไม่เคยไปมาหาสู่กัน”


“พวกเจ้าขัดแย้งกับอาณาจักรโหย่วซยงได้อย่างไร? ในเมื่อมีความขัดแย้ง ทำไมยังส่งอู่เจินไปแต่งงานที่หนานเซียง?”


ยิ่งรู้เรื่องราวเหล่านี้มาก เรื่องที่อยากรู้ก็ยิ่งมาก ตอนนี้มู่จิ่วหยุดไม่ได้แล้ว


ซื่ออินพูดอย่างร้อนรน “แท้จริงบรรพชนของพวกเราสองฝ่ายมีความสัมพันธ์ไม่เลว ตอนต่อสู้กับซือโหยวล้วนร่วมแรงร่วมใจกัน แต่ภายหลังเกิดเรื่องหนึ่งขึ้น ทำให้พวกเราสองอาณาจักรกลายเป็นศัตรู”


“เรื่องอะไร?”


สีหน้าของซื่ออินลำบากใจอยู่บ้าง


มู่จิ่วรีบพูด “หากไม่สะดวกก็ไม่ต้องพูด ไม่เป็นไร”


นางรู้ว่าสาเหตุที่ทำให้สองอาณาจักรที่มีความสัมพันธ์อันดีกลายเป็นศัตรูกันต้องไม่น่าเปิดเผย ดังนั้นจึงไม่อยากให้เขาลำบากใจ


ซื่ออินกลับพูด “ที่จริงแล้วไม่มีอะไรที่พูดไม่ได้ เรื่องราวก็เกิดขึ้นนานแล้ว”


“แสนปีก่อน ท่านอาของข้ากับราชาของอาณาจักรโหย่วซยงแอบรักกัน เผ่าพันธุ์สัตว์เทพอย่างพวกเราเมื่อไปถึงขั้นเซียนระดับหนึ่งจะสามารถแต่งงานต่างเผ่าได้ โหย่วซยงเป็นเผ่ามนุษย์ ท่านอาข้าแต่งกับพวกเขา ลูกชายลูกสาวที่เกิดมาภายภาคหน้าก็เป็นเผ่ามนุษย์ หากแต่งให้เผ่าจิ้งจอก ลูกที่เกิดมาก็เป็นเผ่าจิ้งจอก เรื่องนี้ไม่มีปัญหาอะไร”


“เผ่าพันธุ์เสือขาวของพวกเรา ถึงแม้ไม่แต่งกับคนต่างเผ่าง่ายๆ แต่ท่านปู่ของข้ากับท่านพ่อก็ยังยินยอมให้ท่านอาข้า”


“แต่อาณาจักรโหย่วซยงถือตนว่าเป็นถึงคนรุ่นหลังของสกุลโหย่วซยง ตำแหน่งในใต้หล้านี้เทียบเท่ากับห้าจักรพรรดิ[1] พวกเราเสือขาวถึงแม้ชื่อเสียงไม่ได้ด้อย แต่เป็นเพียงข้ารับใช้ข้างกายของเซิ่งจุนทั้งสาม พวกเขาคิดว่าเราสูงส่งไม่เทียบเท่าพวกเขา ดังนั้นจึงยืนกรานคัดค้าน ภายหลังท่านอาของข้าตรอมใจตาย ราชาของอาณาจักรโหย่วซยงก็ฆ่าตัวตายตาม นับแต่นั้นมาสองอาณาจักรก็ต่างโทษกัน ความแค้นจึงเกิดขึ้นแบบนี้เอง”


มุมปากของซื่ออินยกเหยียดตนเอง ชัดเจนว่าเรื่องนี้สำหรับพวกเขาเผ่าพันธุ์เสือขาวเองแล้วก็ไม่ใช่เรื่องดี


แม้แต่ลู่ยาที่วางมืออยู่บนเข่า สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไปไม่น่าดู แม้แต่น้ำเสียงยังเจือไปด้วยความเย็นชา “เช่นนี้ ความหมายของอาณาจักรโหย่วซยงคือผู้ติดตามของศิษย์พี่ข้ายังเทียบไม่ได้กับลูกหลานเหลนเหล่านี้ของราชาพวกเขา?”


ซื่ออินรีบพูด “ข้าน้อยไม่ได้ยินกับหูตนเอง บางทีอาจมีส่วนไม่ถูกต้อง”


สีหน้าของลู่ยายังคงไม่น่าดูอยู่ดี


มู่จิ่วก็รู้สึกว่าอาณาจักรโหย่วซยงอวดดีเกินไป


สิ่งที่ซื่ออินพูดนั้นมีส่วนไม่ดี แต่ไม่ได้ต้องการสร้างความบาดหมาง ทว่าท่าทางดูถูกผู้อื่นของพวกเขาก็เป็นเรื่องจริง หากไม่คิดแบบนี้ จะยืนกรานคัดค้านได้อย่างไร?


เผ่าพันธุ์เสือขาวเป็นสิบเทพสงครามที่ยิ่งใหญ่ข้างกายหนี่ว์วา ในสายตาพวกเขากลับมองเป็นเพียงข้ารับใช้ ไม่ว่าพวกเขาเคยพูดคำนี้หรือไม่ แต่หากนำเรื่องฐานะมาเป็นเหตุผล ก็แสดงออกว่าดูแคลนตั้งแต่ต้น


บรรพบุรุษของอาณาจักรโหย่วซยงคือหวงตี้ ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของสองราชาเหยียนและหวงไม่จำเป็นต้องพูดถึง แต่หนี่ว์วาเป็นหนึ่งในเทพเซียนต้นกำเนิด หากต้องพูดถึงละก็ ฐานะความแตกต่างก็ชัดเจนมาก สกุลเซวียนหยวนแตกออกเป็นส่วนๆ ในมือของชนรุ่นหลังของพวกเขา แม้แต่พาหนะยังรักษาไว้ในอาณาจักรไม่ได้ มาถึงวันนี้ต้องเปลี่ยนชื่ออาณาจักรเป็นโหย่วซยง พวกเขากลับยังดูถูกเสือขาว?


กลับกัน สิบเทพสงครามข้างกายหนี่ว์วา แต่ละเผ่าพันธุ์ล้วนเปิดสำนักฝึกฝนในโลกเซียน จิ้งจอกเก้าหางสามารถเรียกลมเรียกฝนได้ เผ่าที่เหลือถึงแม้ไม่ได้อยู่เป็นกลุ่มก้อน แต่ก็ชำนาญศาสตร์วิชาไม่น้อย สกุลโหย่วเจียงจะแต่งด้วย พวกเขากลับยังติว่าฐานะต้อยต่ำ ไม่รู้จริงๆ ว่าคิดได้อย่างไร


“ในเมื่อเป็นแบบนี้ อู่เจินไปหนานเซียงได้อย่างไร?” มู่จิ่วถามอีก


ซื่ออินตอบ “อันที่จริง หลายปีมานี้พวกเราสองอาณาจักรรอมชอมกันแล้ว อย่างไรก็ผ่านไปหลายปี บวกกับหนานเซียงอยู่ทางเหนือของโหย่วซยง พวกเราโหย่วเจียงอยู่ด้านตะวันตกเฉียงใต้ของโหย่วซยง เขตแดนของพวกเรากับหนานเซียงไม่ติดกัน และไม่เคยทะเลาะเบาะแว้ง ก่อนหน้านี้เสือลายเหลืองกับบรรพบุรุษพวกเราเคยรบด้วยกัน เซวียนหยวนฮุ่ยมาก็พูดเรื่องความสัมพันธ์เก่าก่อน และพูดถึงความสำเร็จของหวงตี้ ยินยอมใช้ตนเองเป็นทูตเชื่อมไมตรี สลายความขัดแย้งระหว่างชายแดน”


“ปีนั้นพ่อของอู่เจินสละชีพในการต่อสู้กับอาณาจักรโหย่วซยง นิสัยของพวกนางพี่น้องโอบอ้อมอารีอย่างมาก ดังนั้นอู่เจินจึงยินยอมแต่งไปหนานเซียง เพียงแต่พวกเรามองคนผิดไป เซวียนหยวนฮุ่ยนั่นแท้จริงเป็นคนสารเลว!”


เผ่าในอดีตตั้งแต่บรรพกาลอยู่อย่างเป็นสุข ไม่วุ่นวายมากมายเหมือนคนยุคนี้ ความคิดของอู่เจินเข้าใจไม่ยาก


มู่จิ่วพินิจพิเคราะห์สถานการณ์ตอนนี้แต่ละเผ่าของถิ่นทุรกันดารทางเหนือ


ตอนนี้ไม่มีชนรุ่นหลังสายตรงของหวงตี้แล้ว และได้กลายเป็นอาณาจักรโหย่วซยงไปสิ้น ส่วนเสือลายเหลืองพาหนะของหวงตี้ยังคงจงรักภักดี สาบานจะปกป้องชนรุ่นหลังของเจ้านายเก่าจนตัวตาย ซ้ำยังสร้างอาณาจักรหนานเซียงทางตอนเหนือของอาณาจักรโหย่วซยง โหย่วเจียงที่ซื่ออินอยู่เป็นเพื่อนบ้านกับโหย่วซยง แต่ตอนนี้โหย่วเจียงมีทั้งโหย่วซยงและหนานเซียงเป็นศัตรู


ยามนี้เป้าหมายขององค์ชายซื่ออินแห่งโหย่วเจียงคือตามหาภรรยาที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย


มู่จิ่วขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่สักครู่ ก่อนถามลู่ยา “อาศัยแหวนนี้หาตำแหน่งแห่งที่ของเหลียงจีไม่ได้หรือ?”


“หาไม่ได้” ลู่ยาพูด “แต่กลิ่นอายบนนั้นชัดเจน นางยังคงมีชีวิตอยู่”


เขามองซื่ออิน “เจ้าคิดจะทำอย่างไร?”


ซื่ออินได้ยินเขาพูดว่าเหลียงจียังมีชีวิตอยู่ก็ผ่อนคลายลง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นอย่างซึมเซา “ข้าคิดจะตามหาต่อ เพียงนางยังอยู่ในใต้หล้านี้ ข้าจะต้องพานางกลับมาให้ได้” เขามองท้องฟ้าด้านนอก จากนั้นทำความเคารพลู่ยาพลางกล่าว “รบกวนเซิ่งจุนนานขนาดนี้ ซื่ออินขอลาก่อน วันหลังจะไปเยี่ยมทำความเคารพท่านที่วังชิงเสวียน”


มู่จิ่วอดพูดไม่ได้ “ในเมื่อมาแล้ว ช้าอีกนิดก็คงมิใช่ปัญหา มิสู้คืนนี้อยู่ที่นี่ก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยไปก็ไม่สาย” จากนั้นจึงพูดกับอาฝู “คืนนี้องค์ชายซื่ออินจะอยู่ห้องเจ้า เจ้าไปอยู่กับรุ่ยเจี๋ยเถิด”


อาฝูถูก้นรุ่ยเจี๋ยอย่างดีใจ ทำเอารุ่ยเจี๋ยคันจนกุมก้นเดินออกไป


ถึงแม้ซื่ออินจะกังวลใจ แต่เมื่อลู่ยาอยู่ด้วยก็ไม่ปฏิเสธ อีกอย่างฟ้ามืดมากแล้ว จะยังสามารถหาอะไรเจอได้อีก?


เขาจึงรับน้ำใจของมู่จิ่วไว้ และพักอยู่ห้องของอาฝู


เสี่ยวซิงกับซ่างกวนสุ่นเปลี่ยนผ้าปูเตียงของอาฝูใหม่ ไปจัดการเรื่องรับแขกเองโดยไม่ต้องเอ่ยปากบอก


มู่จิ่วกลับทนไม่ได้ ตามลู่ยากลับไปที่ห้อง


“บังเอิญนัก เสือขาวใหญ่ก็เป็นเสือขาวเช่นกัน ไม่รู้เขามีความสัมพันธ์อะไรกับอาฝูหรือไม่? เป็นไปได้หรือไม่ว่าเป็นน้องชายเขา?”


นางเข้าประตูไปแล้วก็นั่งลงข้างโต๊ะเขา


ลู่ยาล้างมือในอ่างทองแดง ก่อนพูด “หากเป็นคนในครอบครัว เขาจะไม่ตกใจสงสัยกระนั้นหรือ?”


“แต่” พูดถึงตรงนี้เขาจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นเช็ดมือ แล้วจึงกล่าวต่อ “อาณาจักรโหย่วเจียงไม่เหมือนกับชิงชิว การขยายเผ่าพันธุ์ของเสือขาวมากขึ้นทุกที ในอาณาจักรโหย่วเจียงล้วนเป็นเสือขาวทั้งสิ้น พลังฤทธิ์ยิ่งต่ำอายุยิ่งสั้น ถึงแม้เป็นเผ่าพันธุ์เทพเหมือนกัน แต่เวลาการเกิดกลับห่างกันน้อยมาก หลายแสนปีมานี้ คนในอาณาจักรก็มีไม่น้อยแล้ว”


“แล้วอย่างไร?” มู่จิ่วนำผ้าเช็ดหน้าที่เขาส่งมาพาดไว้บนราว


“ความหมายของข้าคือ ถึงแม้อาฝูไม่เกี่ยวข้องกับเขา แต่ก็เป็นไปได้ว่าจะเป็นประชากรของเขา”


…………………………………………


[1] ห้าจักรพรรดิในตำนานจีนได้แก่ หวงตี้ (จักรพรรดิเหลือง) จวนซวี ตี้คู่ พระเจ้าเหยา พระเจ้าซุ่น ทั้งนี้ ห้าจักรพรรดิจะมีรายนามต่างกันไปตามแต่ละตำรา


บทที่ 247 ผังดวงชะตาผิดปกติ

โดย

Ink Stone_Romance

มู่จิ่วไม่เชื่อ


ถึงแม้นางไม่ได้มีความรู้สึกอคติกับประชาชนคนธรรมดา แต่อาฝูมีพรสวรรค์พิเศษ ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนเสือขาวธรรมดาที่อยู่เพียงไม่กี่สิบปีก็ตายแล้ว!


“ไม่ใช่หรอก? ดูแล้วอาฝูเหมือนเผ่าพันธุ์สูงศักดิ์”


“เรื่องนี้พูดยาก” ลู่ยาเอนพิงพนักเก้าอี้พลางลูบคาง “พรสวรรค์ไม่ได้ดูที่ฐานะ ฟ้าถูกใจใคร คนนั้นก็โชคดี อย่างเช่นข้าเห็นมนุษย์คนไหนเข้าตา ลูบหัวเขาสักหน่อย เขาก็สามารถมีรากฐานเซียนได้แล้ว นี่คือวาสนาเซียน”


มู่จิ่วไม่มีหนทางโต้แย้ง


แต่นางยังรู้สึกว่าอาฝูของนางไม่ใช่แค่เสือธรรมดาเท่านั้น “แบบนั้นทำไมเขาถึงไม่มีความทรงจำก่อนเข้าประตูสวรรค์เลย?” นางรู้สึกเสมอว่าอาฝูต้องมีความลับซ่อนอยู่ ประกาศของทัพทหารสวรรค์แปะไปทั่วสามภพนานขนาดนั้น กลับไม่มีใครออกมารับ หรือว่าพวกเขาไม่เห็นใจเด็ก?


“หรือว่าญาติพี่น้องของเขาตายหมดแล้ว” ลู่ยาเว้นไปนานก่อนเอ่ยคำเหล่านี้ออกมา


สีหน้าของมู่จิ่วพลันไม่สู้ดี


ตายแล้ว?!


อาฝูเป็นเด็กกำพร้าจริงหรือ?


ลู่ยาไม่ได้บอกคำตอบที่ชัดเจนแก่มู่จิ่ว เพราะถึงแม้เขาเป็นมหาเทพที่ไม่มีอะไรทำไม่ได้ แต่เมื่อเจอกับความทรงจำขาวโพลนก็ไม่อาจสืบหาออกมาได้


มู่จิ่วยังรู้สึกเศร้าอยู่บ้าง ยังเล็กขนาดนี้พ่อแม่ก็ตายหมดแล้ว เช่นนั้นแท้จริงแล้วก่อนเข้าประตูสวรรค์ อาฝูพบเจออะไรมาบ้างนะ?


“ข้ากลับค่อนข้างสนใจเรื่องการตายของอู่เจินและการเปลี่ยนแปลงของเสือลายเหลืองเมื่อห้าพันปีก่อน” ลู่ยาพูดพลางคลี่กระดองเต่าแผ่ออก นิ้วทั้งสิบวาดผ่านไปมาอยู่บนโต๊ะ สาดส่องแสงเงาออกมาผืนหนึ่ง “เรื่องหลายเรื่องเกิดขึ้นเมื่อห้าพันปีก่อน ถึงแม้มีความเป็นไปได้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ผังดวงชะตาของข้าบอกว่า ในสามร้อยปีนั้นผังนอกเป็นน้ำ (☵) ผังในเป็นฟ้าคะนอง (☳)”


“ผังนอกเป็นน้ำ ผังในเป็นฟ้าคะนอง?” มู่จิ่วอึ้งไป “นี่คือผังแอ่งน้ำและสายฟ้า หมายความว่าฟ้าดินตั้งมั่น สรรพสิ่งก่อกำเนิด สำหรับหกภพแล้วดีมากมิใช่หรือ?”


“ผังดวงชะตานั้นย่อมดี” ลู่ยามองผังดวงชะตาก่อนพูด “สรรพสิ่งก่อกำเนิดต้องดูดซับแก่นพลังฟ้าดิน เวลานี้คือโอกาสเหมาะที่พลังวิญญาณแต่ละส่วนจะเคลื่อนไหว หากควบคุมได้ดีและเดินไปทางสายธรรม นั่นก็ดีต่อคนธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง แต่หากไม่เดินตามทางหลัก พลังนั้นก็สามารถเปลี่ยนเป็นไอสังหาร สร้างภัยพิบัติให้หกภพได้”


มู่จิ่วนิ่งอึ้ง “เจ้าหมายความว่าเรื่องที่เกิดต่อเนื่องกันเมื่อห้าพันปีก่อนเหล่านี้ เกิดขึ้นเพราะมีคนใช้ประโยชน์จากช่วงเวลานั้นกลืนกินพลังวิญญาณเข้าไป?”


“นี่ไม่อาจตอบได้” ลู่ยาส่ายหน้าน้อยๆ “หากเพียงเพราะกินพลังวิญญาณบำเพ็ญเพียร ทำเรื่องเหล่านี้ก็ไม่แปลกอะไร จุดที่สำคัญคือข้าทำนายผังดวงชะตาหลายรอบขนาดนี้ กลับไม่มีที่ไหนในหกภพแสดงว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น หากมีคนกระหายกินพลังวิญญาณอย่างไร้การควบคุม พลังวิญญาณเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นต้องกระทบกับสวรรค์”


มู่จิ่วพลันนึกถึงบึงน้ำดำที่คุนหลุนตะวันออก


“เรื่องที่อ๋าวเชินเจอที่คุนหลุนตะวันออก ยังใช้เป็นเครื่องยืนยันไม่ได้อีกหรือ?”


ลู่ยาเงยหน้าขึ้นมา มองนางอยู่ครู่หนึ่งถึงค่อยตอบ “เรื่องที่อ๋าวเชินเจอแถวคุนหลุนตะวันออก และเรื่องที่คืนนั้นพลังของเจ้าเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่นั่น ไม่ปรากฏบนบนผังดวงชะตาเลยสักนิด ไม่เพียงผังดวงชะตาไม่แสดงออกมา ข้าดูแผนภูมิฟ้าดินก็ไม่มีร่องรอยแม้แต่น้อย”


ลมหายใจมู่จิ่วติดอยู่ที่ลำคอ ไม่รู้จะพ่นออกมาอย่างไร!


แผนภูมิฟ้าดินคือของวิเศษโบราณที่บันทึกสิ่งผิดปกติทั้งหมดในฟ้าดิน มันถูกจัดประเภทเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ ถึงแม้ไม่ละเอียดเท่าหนังสือประวัติศาสตร์ แต่ความเคลื่อนไหวในหกภพล้วนต้องถูกบันทึกไว้!


เรื่องใหญ่ขนาดนั้น พลังวิญญาณแข็งแกร่งขนาดนั้น ไหนจะพลังวิญญาณรุนแรงที่พุ่งทะลุฟ้าก่อนและหลังสองครั้ง แผนภูมิฟ้าดินไม่ได้บันทึกไว้เลยหรือ?


“เช่นนั้น นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”


ลู่ยาถือกระดองเต่า ค้ำยันหน้าผากไว้ เลิกคิ้วพลางกล่าว “หากไม่ใช่แผนภูมิฟ้าดินเริ่มละเลยหน้าที่ เช่นนั้นใต้หล้านี้ต้องมีคนผู้หนึ่งที่มีพลังอำนาจแข็งแกร่งจนสามารถปิดบังอำพราง แอบซ่อนเรื่องทั้งหมดได้”


ใจของมู่จิ่วบีบรัด “นอกจากพวกเจ้าสี่มหาเทพบรรพกาล ยังมีคนแบบนี้อีกหรือ?”


“ใครก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่าไม่มี” ลู่ยามองนางก่อนพูดอย่างจริงจัง “คนคนหนึ่งแข็งแกร่งหรือไม่ ไม่ใช่ดูที่ประสบการณ์ทั้งหมด”


“อย่างเช่นเจ้า ตอนนี้เจ้าอายุเพิ่งสองพันปี แต่วิชากลับก้าวหน้าเหนือผู้บำเพ็ญอายุเจ็ดแปดพันปีมากแล้ว หากคนผู้นี้เขามีพรสวรรค์ พบเจอโชคดี มีมันสมอง ยิ่งไปกว่านั้นหากเขายังมีพลังวิญญาณบางอย่างซ่อนไว้ ถึงแม้ฐานะของเขาไม่มีวันอยู่เหนือผู้อื่นตลอดไป เขาก็อาจมีความสามารถพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้”


“และหากเขามีพลังอีกส่วนหนึ่งที่ไม่รู้ชัดเจน บางทีแม้แต่เขารวมหกภพไว้ด้วยกันอีกครั้งก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้”


“หากพวกเราเทพเซียนแบ่งแยกตำแหน่งฐานะแล้วสามารถดำรงความสงบของฟ้าดินได้ตลอด แบบนั้นสวรรค์จะก่อตั้งทัพทหารสวรรค์ขึ้นทำไม? ตอนแรกทำไมสวรรค์ถึงผนึกเส้นทางเซียนและมารสองภพนี้ไว้อย่างแน่นหนา? ฟ้าดินหยินหยาง เกิดขึ้นสองฝั่ง พลังชั่วร้ายไม่มีทางหายไปได้ตลอดกาล เฉกเช่นพวกมารก็ไม่มีหนทางชนะอธรรมได้ตลอดไป”


“สองฝั่งนี้เกิดมาคู่กันพิฆาตกัน อะไรก็เป็นไปได้”


เขาพูดจบก็จิบชาอึกหนึ่ง


คำพูดนี้มู่จิ่วกลับเห็นด้วย เพราะก่อนหน้านี้ไม่นานหลิวหยางก็พูดกับนางแบบนี้


นางคิดสักครู่ก่อนกล่าว “ถึงแม้ทางทฤษฎีจะเป็นแบบที่เจ้าพูด แต่ความเป็นไปได้ของเรื่องนี้ก็น้อยมาก”


“หากคนผู้นี้คว้าความเป็นไปได้อันน้อยนิดนี้ไว้ได้เมื่อห้าพันปีก่อนพอดีเล่า?”


ลู่ยามองนาง “พวกเราไม่สามารถละเลยความเป็นไปได้นี้ สรรพสิ่งในฟ้าดินล้วนมีปัญญา แต่กลับแพ้พรสวรรค์และโชคชะตา พวกเราไม่ว่าใครล้วนไม่อาจบอกว่าจักรวาลไร้ศัตรู เพียงพูดได้ว่าเจ้ามีกำลังยิ่งใหญ่ยิ่งมาก ก็ยิ่งมีความสามารถในการปกป้องความสงบของฟ้าดินมากขึ้นเท่านั้น”


มู่จิ่วรู้สึกว่าตนเองถูกล้างสมองไปแล้ว


นางพลันรู้สึกว่าคำพูดของเขาแต่ละประโยคมีเหตุผลทั้งนั้น


นางถาม “ตอนพลังฤทธิ์ข้าระเบิดออกครั้งนั้นที่คุนหลุนตะวันออกก็ไม่มีบันทึกไว้หรือ?”


“ไม่มี” ลู่ยาครุ่นคิดอยู่สามวินาที “นี่ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ข้าสงสัย หากบอกว่าที่อ๋าวเชินเจอพลังวิญญาณบึงน้ำดำระเบิดออก มีคนตั้งใจปิดบังไว้ ทำไมครั้งนี้ของเจ้าเขาถึงต้องปิดบังด้วย?”


คิ้วมู่จิ่วที่แต่เดิมจะคลายลงพลันหยุดชะงัก ไม่รู้ว่าจะขมวดคิ้วต่อหรือไม่ดี


เดิมทีนางยังรู้สึกว่าคำพูดของลู่ยาเกินจริง แต่เมื่อได้ยินประโยคท้ายนี้กลับเริ่มสนใจแล้ว


เพราะไม่เพียงนางไม่มีคำตอบ แม้แต่ความเป็นไปได้ที่ไม่แน่นอนก็ยังเรียบเรียงออกมาไม่ได้…คนผู้นั้นทำไมต้องปกปิดเรื่องพลังของนางระเบิดออกด้วย?


เขาเป็นใคร? เขาคิดจะทำอะไร?


ไม่รู้เป็นเพราะนอนดึกไปหรือคิดมากเกินไป ตื่นมาตอนเช้าจึงรู้สึกหนักหัว


มู่จิ่วผลักหน้าต่างออกไปดูความคึกคักในลานบ้าน เสี่ยวซิงกับซ่างกวนสุ่นกำลังยุ่ง นางเพิ่งคิดขึ้นได้ว่าในบ้านมีเสือขาวอีกตัวเพิ่มมา


อาฝูชัดเจนว่าดีใจเป็นอย่างมาก


เขาที่ปกตินอนจนตะวันส่องก้น วันถัดมาตื่นเช้าก็เอาอุ้งมือไปข่วนหน้าประตูห้องตนเอง


ซื่ออินก็ตื่นเช้าเช่นกัน เมื่อเปิดประตูเห็นเขาจึงนั่งยองๆ ลูบหัว ดวงตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ความกังวลก่อนหน้านี้ถอยลงไปอยู่ส่วนที่ลึกที่สุดแล้ว


“เจ้าชื่ออะไร?” เขาถามอย่างอ่อนโยน


อาฝูก้มหัว ร้องหงิงหงิงขึ้นมาอย่างอึดอัด


……………………………………………


บทที่ 248 ลูกของใคร?

โดย

Ink Stone_Romance

“ยังพูดไม่ได้หรือ?” ซื่ออินยิ้มพลางเกาคางเขา “วิชาของเจ้าแข็งแกร่งขนาดนี้ ยังเข้าใจว่าเจ้าผ่านด่านเคราะห์แล้วเสียอีก”


“ใกล้แล้ว ช่วงนี้พวกเราต้องจับตาดูเขาไว้”


มู่จิ่วมองเห็นจากใต้ซุ้มจื่อเถิง จึงเดินเข้ามาพลางกล่าว “เขาเชื่องมาก และก็ฉลาดมากด้วย”


ซื่ออินพยักหน้า ยืนขึ้นมา “ฉลาดมากแน่นอน เมื่อคืนตอนข้าเดินผ่านพวกเจ้าก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยอย่างมากขุมหนึ่ง จึงเดินเข้าไปหา คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเสือขาวตัวหนึ่ง ตอนข้าอยู่โหย่วเจียงเห็นเสือน้อยที่มีปัญญาหลักแหลมแบบนี้น้อยมาก เขามีที่มาอย่างไร? หรือเป็นเซียนเด็กในวังของเซิ่งจุนทั้งสาม?”


มู่จิ่วส่ายหน้า “ข้าเก็บได้เมื่อหนึ่งกว่าปีก่อนในสวรรค์ พูดไปก็ประหลาดนัก เขาไม่มีความทรงจำก่อนหน้าที่จะเข้ามาในสวรรค์เลย” ตอนพูดคำนี้สองตาของนางจับจ้องแน่นิ่งที่เขา อยากดูว่าเขามีปฏิกิริยาพิเศษอะไรหรือไม่


ไหนเลยจะรู้ว่าเขาเพียงตอบ ‘อืม’ หนึ่งคำ แสดงออกถึงความอยากรู้เพียงเล็กน้อย ก็ไม่มีอะไรต่อแล้ว


มู่จิ่วไม่หมดหวัง ถามอีกว่า “องค์ชายทราบบ้างหรือไม่ว่ามีลูกบ้านไหนในอาณาจักรท่านหายตัวไป?”


ซื่ออินขมวดคิ้วครุ่นคิด “ไม่มี เพียงแต่พอเจ้าพูดเรื่องนี้ ข้ากลับนึกขึ้นได้ คลับคล้ายคลับคลาว่าเห็นประกาศของทัพทหารสวรรค์แปะอยู่ที่กำแพงเมืองนานมากแล้ว เกรงว่าตอนนี้ก็ยังอยู่”


มู่จิ่วรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย


อาฝูก้มหัวมองพื้น ถึงแม้ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องตามหาพ่อแม่ แต่เขาก็พอเข้าใจความตั้งใจของมู่จิ่ว ดังนั้นดวงตาสีฟ้าหม่นจึงดูไปแล้วก็มีความกังวลอยู่บ้าง


ซื่ออินอดนั่งยองลงไปลูบหัวเขาไม่ได้


ลู่ยาออกมา มุ่งไปทางห้องมู่จิ่ว ระหว่างทางเจอเสี่ยวซิงยกอ่างน้ำไปเทน้ำพอดี


ตอนเสี่ยวซิงยืดตัวหลีกทางให้ เขามองเข้าไปในอ่างโดยไม่ได้ตั้งใจ และอดหยุดถามไม่ได้ “ทำไมถึงเป็นเลือด?”


เสี่ยวซิงตอบ “เมื่อคืนตอนองค์ชายซื่ออินไม่ได้สติ ทำเตียงอาฝูเปื้อนเลือด นี่เป็นน้ำซักผ้าปูเตียงเจ้าค่ะ”


ลู่ยาค่อยวางใจ


นางกำลังจะก้าวเท้าเดินไป เขาพลันรั้งไว้ “เก็บไว้ให้ข้า”


เสี่ยงซิงนิ่งอึ้ง


เขาชี้อ่างน้ำ


เสี่ยวซิงวางมันลง ก่อนเดินจากไปทั้งใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย


ลู่ยานั่งยองลงจ้องอ่างนี้ ไม่นานก็มีหมอกขาวหลายสายลอยเข้าจมูกเขา


เห็นเพียงหัวคิ้วของเขาขมวดมุ่น พลันจ้องอาฝูที่เล่นอยู่กับรุ่ยเจี๋ยห่างออกไป ก่อนนิ่งอึ้ง


“อาฝู!”


ลู่ยาลุกขึ้นกวักมือเรียก อาฝูวิ่งเข้ามาอย่างเชื่องๆ แล้วจึงเลียหลังมือเขา


ไหนเลยจะรู้ว่าลู่ยากลับคว้าอุ้งเท้าอาฝูขึ้นมา ยื่นมือกดลงบนข้อมือเขา จากนั้นเลือดสายหนึ่งเล็กขนาดเท่าปลายปิ่นปักผมก็ไหลออกมา หยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ!


“หงิงหงิง!”


อาฝูตกใจรีบถอยหลัง ลู่ยาก็ปล่อยเขาไป ปาดเลือดนั้นนำเข้าใกล้ใต้จมูก


เมื่อคืนรู้เรื่องอดีตมากมายของซื่ออิน แต่ที่จริงก็ไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากพบความประจวบเหมาะเรื่อง ‘ห้าพันปีก่อน’ สำหรับพวกเขาแล้วถึงอยากช่วยก็จนปัญญา มู่จิ่วจึงยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้างกับเรื่องนี้ ซื่ออินสละตัวช่วยเหลือ แต่นางกลับไม่มีหนทางตอบแทนอะไรคืนกลับไป นางพูดขอโทษซื่ออินบนโต๊ะอาหาร แต่เขากลับหมกหมุ่นครุ่นคิดเรื่องภรรยา จึงไม่ได้ใส่ใจ


หลังมื้ออาหาร ขณะกำลังเตรียมตัวไปปฏิบัติงาน เสี่ยวซิงพลันรีบร้อนตามมาจากด้านหลัง “ลู่ยาให้เจ้าไปห้องเขา!”


มู่จิ่วมองฟ้า อันที่จริงควรออกจากบ้านแล้ว และนี่ก็เป็นเวลาที่ปกติเขาสอนวิชารุ่ยเจี๋ยและอาฝู เรียกนางตอนนี้หรือ?


แต่นางยังวิ่งกลับเข้าไปหาที่ห้องเขาอย่างว่าง่าย


“อาฝูเป็นสมาชิกในราชวงศ์โหย่วเจียง”


ฝั่งนางเพิ่งยืนได้มั่นคง ลู่ยาก็เอ่ยเข้าประเด็นด้วยประโยคนี้


มู่จิ่วยังไม่ทันได้ย่อยข้อมูลนี้ เขาก็ชี้อ่างเลือดบนโต๊ะแล้วพูดต่อ “เลือดของพวกเขาเหมือนกัน อาฝูมาจากราชวงศ์เสือขาว”


“เลือดเหมือนกัน?” มู่จิ่วหันหน้ามาฟังเขาพูดเรื่องนี้ “เจ้าหมายความว่าหมู่เลือดของเขาเหมือนกัน?”


ลู่ยาก็ไม่เข้าใจว่าหมู่เลือดที่นางพูดถึงหมายความว่าอะไร แต่นี่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการพูดคุยของพวกเขา เขากล่าว “ประเภทเดียวกัน เส้นโลหิตชีพจรเดียวกัน เลือดเนื้อของทั้งสองมีกลิ่นอายไม่เหมือนตระกูลสาขา นี่เป็นหนึ่งในวิธีที่สัตว์เทพทุกเผ่าพันธุ์ใช้แยกความใกล้ชิด อาฝูกับซื่ออินไม่เพียงมีเลือดเหมือนกัน แต่ยังใกล้ชิดกันมาก ต้องเป็นเชื้อสายเดียวกันแน่”


“แบบนั้นก็ดีนัก!”


มู่จิ่วร้องอย่างดีใจ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร สามารถยืนยันเรื่องเล็กน้อยนี้ได้ก็เป็นผลลัพธ์ครั้งใหญ่! เทียบกับที่ตามหาคนบ้านอาฝูไม่เจอแล้วดีกว่ามาก!


พูดจบนางก็กระโดดข้ามธรณีประตู ตรงไปถึงหน้าลานราวกับลมพัด พูดกับซื่ออินที่ยังนั่งอยู่ในห้องอาหารกับอาฝูว่า “มีข่าวดี! พวกเจ้ารีบตามข้ามา!” พูดจบก็ทนรอไม่ไหว อุ้มอาฝูเดินออกประตูไป


อาฝูหนักขนาดนี้ นางไหนเลยจะอุ้มไหว? เดินไปไม่ถึงสองก้าวเขาก็เคลื่อนจากอกนางไปกองอยู่กับพื้น อาฝูเห็นนางรีบร้อนขนาดนี้ จึงกระโดดไปเองเสีย เพียงก้าวเดียวก็ถึงระเบียงหน้าห้องลู่ยาแล้ว


แต่เดิมซื่ออินคิดจะบอกลา ทว่าได้ยินลู่ยาเรียกหา ย่อมไม่กล้าชักช้า รีบตามหลังมู่จิ่วไป


รอจนลู่ยาพูด พวกเขาทั้งสองก็สบตากันอย่างไม่อยากจะเชื่อ!


ที่แท้พวกเขาก็เป็นคนบ้านเดียวกัน!


นี่ก็บังเอิญเกินไปแล้ว!


แต่นี่เป็นเรื่องจริงที่ลู่ยายืนยันเรียบร้อย ไม่มีใครไม่เชื่อ!


ซื่ออินอดกลั้นความตื่นตกใจลงไปอย่างไม่ง่ายนัก ก่อนพูด “มิน่าล่ะ ตอนแรกข้าเห็นเขาถึงรู้สึกว่าใกล้ชิดสนิทสนมมาก แต่เซิ่งจุน พวกเราราชวงศ์ไม่มีเสือน้อยที่หายตัวไป และในพันปีนี้ไม่มีเสือถือกำเนิดใหม่ อาฝูเพิ่งอายุสามร้อยปี นี่คือเรื่องอะไรกัน?”


“ไม่จำเป็นต้องเป็นลูกหลานของผู้ที่มีชื่อในบันทึกตระกูล ในอาณาจักรโหย่วเจียงล้วนเป็นเสือขาว หากพวกเจ้ามีลูกหลานไปไข่ทิ้งไว้ข้างนอกก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” ลู่ยาพูดตรงๆ แต่เรื่องแบบนี้อ้อมค้อมไปก็ไม่มีประโยชน์?


ซื่ออินกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง


มู่จิ่วและซ่างก่วนสุ่นที่ตามมาทีหลังกระแอมไอ รู้สึกว่าฝีปากของลู่ยาช่างไม่ไว้หน้าคนเขาบ้างเลย


อีกทั้งในใจพวกเขาก็ไม่อาจรับได้ว่าอาฝูเป็นลูกนอกสมรส ถึงแม้การเกิดเป็นลูกนอกสมรสไม่ใช่ความผิดของเขา แต่สำหรับเขาแล้วฐานะแบบนี้ไม่ยุติธรรมเท่าไหร่ มู่จิ่วทำเหมือนเขาเป็นองค์ชายน้อยเผ่าพันธุ์เสือที่เกิดในชาติตระกูลดีมาตลอด


พูดถึงเรื่องชาติตระกูลดี ถึงแม้อาฝูสูญเสียความทรงจำ แต่ตั้งแต่เขาปรากฏตัวจนถึงตอนนี้ อากัปกิริยาล้วนถูกหล่อหลอมจากสัญชาตญาณภายใน ถึงแม้เร่ร่อนอยู่ข้างนอกนานขนาดนั้นก็ไม่มีพฤติกรรมแย่ๆ หากไม่ใช่ว่าเคยอยู่กับคนที่มีพฤติกรรมดีเหมือนกันมาก่อน เขาจะมีกิริยาเช่นนี้ได้อย่างไร?


“ไม่ว่าพูดอย่างไร นี่ก็เป็นเรื่องดี” รุ่ยเจี๋ยพูดพลางเลิกคิ้วขึ้น “พี่ซื่ออินต้องพาอาฝูกลับไปหรือไม่?”


ริมฝีปากทั้งสองของซื่ออินเม้มลง ไม่ตอบคำ


ในเมื่ออาฝูได้รับการยืนยันแล้วว่าเป็นสายเลือดของราชวงศ์พวกเขา ไม่ว่าเขาจะเป็นลูกภรรยาหลักหรือภรรยารอง ตามเหตุผลแล้วต้องพาเขากลับไปยืนยัน พลังวิญญาณของราชวงศ์เสือขาวเทียบกับชาวบ้านธรรมดาแล้วไม่รู้ว่าสูงส่งกว่าเท่าไหร่ อีกอย่าง วันนี้เขาไม่มีทั้งคนในครอบครัวและไม่มีความทรงจำ นอกจากพาเขากลับไป ยังจะสามารถทำอย่างไรได้อีก? อย่างน้อยซื่ออินก็ต้องพาอาฝูกลับไปถามญาติพี่น้องเขา


เพียงแต่คิดถึงตรงนี้ สีหน้าเขาพลันเปลี่ยน!


…………………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)