กระบี่จงมา 244.5-246.1

 บทที่ 244.5 อยู่เบื้องหน้ากองทัพที่เกรียงไกร ข้าดื่มเหล้าหนึ่งคำ

โดย

ProjectZyphon

ซ่งอวี่เซานึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ความขัดแย้งในศาลาริมน้ำครั้งนั้น ดูเหมือนว่าเจ้าจะสั่งสมไฟโทสะไว้จนเต็มท้อง ข้ารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย หากข้าซ่งอวี่เซาใช้สายตาของคนนอกที่เป็นเพียงคนในยุทธภพธรรมดาคนหนึ่งมามอง ตามหลักแล้ว ถ้ายังไม่รู้รากฐานของเจ้า หวังอี้หรานเป็นถึงผู้นำแห่งหมู่บ้านเหิงเตา เป็นปรมาจารย์ที่มีชื่อเสียงในยุทธภพมานาน สามารถปฏิบัติต่อเด็กหนุ่มเช่นเจ้าอย่างมีมารยาท ไม่เพียงแต่ไม่อาศัยกำลังที่มากกว่ารังแกคนอื่น ยังยินดีขอโทษแทนบุตรสาว เหตุใดถึงดูเหมือนว่าเจ้าจะ…ไม่ค่อยเต็มใจอยากยอมแพ้?”


เฉินผิงอันเรอเอิ้กหนึ่งที ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวลง แต่ไม่ได้ดื่มเหล้า ใช้เวลาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าไม่ได้มีอคติต่อหวังอี้หราน แต่ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้มีจุดที่ไม่ถูกต้อง”


ซ่งอวี่เซาถามอย่างแปลกใจ “หมายความว่าอย่างไร?”


เฉินผิงอันดื่มเหล้าอีกหนึ่งคำตามจิตใต้สำนึก อาศัยฤทธิ์เหล้าที่ทำให้มึนงงเอ่ยเนิบช้าว่า “ข้าเคยได้ยินอาจารย์ผู้เฒ่าคนหนึ่งเอ่ยถึงเรื่องของลำดับขั้นตอน ข้าไม่เคยเรียนหนังสือ ตัวอักษรที่อ่านออกมีไม่มาก ความเข้าใจจึงตื้นเขินมาก แต่เวลาที่ไม่มีอะไรทำก็ยินดีเอาความรู้พวกนี้มาขบคิด รู้สึกว่าผิดถูกมีก่อนหลัง แน่นอนว่ายังมีแบ่งเล็กใหญ่ ไม่สามารถเอาความถูกต้องในภายหลังมากลบทับความผิดในเบื้องหน้า ต่อให้ความถูกต้องในภายหลังจะมีสูงมาก ความผิดในช่วงก่อนหน้ามีน้อยนิด แต่ก็ยังต้องเอาความผิดในตอนแรกมาพูดคุยกันให้กระจ่างเสียก่อน เมื่ออธิบายเหตุผลได้อย่างชัดเจนครบถ้วนแล้ว ความถูกต้องในภายหลังถึงจะสามารถหยัดยืนได้อย่างมั่นคง นี่ก็เหมือนกับการที่…คนคนหนึ่งไม่สามารถเดินด้วยการกระโดดได้”


“แต่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ที่ข้าใคร่ครวญออกมาได้ อาจจะไม่มีเหตุผลเลย เพราะการเดินทางลงใต้ในครั้งนี้ ข้าได้อ่านตำรามากมาย ในตำราล้วนไม่มีเรื่องพวกนี้กล่าวไว้ ดังนั้นข้าก็เลยไม่กล้าแน่ใจว่าตัวเองคิดผิดหรือคิดถูก แต่หากอิงตามหลักการของข้า ยกตัวอย่างเช่นเรื่องในศาลาริมน้ำ อันที่จริงเจ้าหวังอี้หรานไม่จำเป็นต้องขอโทษข้าเลย แค่ให้ลูกสาวของเจ้าเดินออกมาพูดกับข้าว่าขอโทษ แค่คำเดียวก็พอแล้ว ไม่อย่างนั้นพอถึงท้ายที่สุดเจ้าหวังอี้หราน ปรมาจารย์ใหญ่ในยุทธภพผู้มีชื่อเสียงต้องคอยมาขอโทษแทนคนอื่น แล้วข้าจำเป็นต้องรับไว้ด้วยหรือไง? ต่อให้ถอยไปพูดหนึ่งก้าว ข้ายินดียอมรับคำขอโทษ ก็จะถือว่าลูกสาวของเจ้าไม่มีความผิดแล้วอย่างนั้นหรือ? ข้าคิดว่าไม่ควรเป็นอย่างนี้ ต่อให้เจ้าหวังอี้หรานจะทำถูกแค่ไหน คำพูดและการกระทำของลูกสาวเจ้าผิด ก็คือผิด วันนี้เป็นอย่างนี้ พรุ่งนี้เป็นอย่างนี้ วันหน้าอีกสิบปีเปลี่ยนคู่กรณีเป็นคนอื่น หญิงสาวพกดาบที่ชื่อว่าหวังซานหูคนนั้นก็อาจจะยังทำผิดอยู่ดี”


เฉินผิงอันมือหนึ่งถือน้ำเต้าบรรจุกระบี่ อีกมือหนึ่งเกาหัว “ผู้อาวุโสซ่ง เรื่องพวกนี้ข้าพูดไปส่งเดชอย่างนั้นเอง ขายหน้าท่านแล้ว”


ซ่งอวี่เซาอึ้งตะลึงไปก่อน จากนั้นก็เลื่อนลอย สุดท้ายเผยสีหน้ากระจ่างแจ้ง รู้สึกเพียงว่ายุทธภพที่ตนเคยรู้จักพลิกคว่ำคะมำหงายไปอย่างสิ้นเชิง


สุดท้ายซ่งอวี่เซาย้อนนึกถึงเรื่องราวตลอดชีวิตที่ผ่านมา โดยเฉพาะความทรงจำเกี่ยวกับบุตรชายซ่งเกาเฟิงที่เขาไม่อยากหวนนึกถึง เดิมทีผู้เฒ่าไม่อยากจะคิดถึงมันอีกต่อแล้ว ยิ่งไม่อยากสืบสาวราวเรื่องถึงบุญคุณความแค้นทั้งหลาย แต่จนกระทั่งวันนี้ จนกระทั่งบัดนี้ ผู้เฒ่าถึงได้ค้นพบว่าแท้ที่จริงแล้วปมในใจของตนอยู่ตรงไหน แล้วเหตุใดทั้งๆ ที่ตนละอายใจเจ็บแค้นถึงเพียงนี้ แต่กลับไม่เคยคลายปมในใจนี้ได้เลย


ผู้เฒ่าตาแดงก่ำ มือสั่นๆ ยกตะเกียบขึ้นคีบอาหารชิ้นหนึ่งที่อยู่ในก้นหม้อไฟ ยัดใส่ปากเคี้ยวช้าๆ บนใบหน้าค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้ม


กฎเกณฑ์เก่าแก่ที่คนรุ่นเก่าในยุทธภพตั้งเป็นมาตรฐาน ถูกมองเป็นกฎเหล็กไม่อาจเปลี่ยนแปลง ที่แท้ ที่แท้ก็มีส่วนที่ผิดอยู่เหมือนกัน!


ปีนั้นซ่งเกาเฟิงบุตรชายของตนผิดตรงไหน? ต่อให้มีความผิด ก็เป็นคนสันดานหยาบช้าในยุทธภพที่ผิดก่อน!


เป็นอดีตผู้นำยุทธภพที่มีชาติกำเนิดเป็นแม่ทัพแห่งสมรภูมิรบคนนั้นที่ผิดก่อน ความแค้นครั้งนั้นไม่ใช่เรื่องที่แขนข้างเดียวจะหายกันได้!


เป็นลูกสาวของเจ้าที่ติดค้างลูกชายของข้าซ่งอวี่เซา ติดค้างคำว่าขอโทษกับลูกสะใภ้ของข้า!


ซ่งอวี่เซาที่ปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มต่อหน้าเด็กหนุ่มโดยไม่อายค่อยๆ วางตะเกียบลง ลุกขึ้นยืน หัวเราะเสียงดังอย่างปล่อยวางกับเฉินผิงอัน “อาหารมื้อนี้ ข้าซ่งอวี่เซาขอเป็นตัวแทนลูกชายและลูกสะใภ้ เป็นตัวแทนของหมู่บ้านวารีกระบี่เลี้ยงเจ้าเอง!”


เสียงฮือฮาดังขึ้นบนชั้นสองของภัตตาคาร


เพราะคำว่าซ่งอวี่เซาและคำว่าหมู่บ้านวารีกระบี่!


เพราะนี่หมายถึงชื่อเสียงและความสง่างามครึ่งหนึ่งของยุทธภพแคว้นซูสุ่ย


สุดท้ายผู้เฒ่ากุมหมัดเอ่ยกับเฉินผิงอันว่า “ข้ามีเรื่องจะพูดกับหลานชาย คงต้องขอตัวกลับหมู่บ้านก่อน หลังจากนี้อาจไม่ได้บอกลาเจ้า ถ้าอย่างนั้นก็ขอเอ่ยประโยคเก่าแก่ในยุทธภพ ภูเขาเขียวไม่เปลี่ยน น้ำใสไหลยาว หวังว่าวันหน้าพวกเราจะมีโอกาสได้พบกันใหม่!”


เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนด้วยความมึนงง เห็นเพียงว่าผู้เฒ่าพุ่งตัวออกจากหน้าต่าง ทะยานตัวไปตามหลังคา


ซ่งอวี่เซาพกกระบี่เหล็กที่มีสนิมเขรอะเล่มนั้นมานานหลายปีแล้ว ผู้เฒ่าเหินทะยานไปจนถึงหน้าประตูของหมู่บ้านภายใต้การจับจ้องมองมาของคนมากมาย จากนั้นก็ก้าวยาวๆ ข้ามผ่านธรณีประตูเข้าไป ไม่สนใจคำทักทายอย่างมีมารยาทจากใครอื่น มุ่งหน้าตรงไปยังเรือนเล็กแห่งหนึ่งที่ไม่มีคนอยู่อาศัยมานานหลายปี แล้วจึงเจอกับคนหนุ่มที่กำลังยืนหลับตาทำสมาธิอยู่ห่างไปไกล ซึ่งก็คือซ่งเฟิ่งซานหลานชายของเขา


ซ่งเฟิ่งซานลืมตาขึ้น ไม่เอ่ยคำใดเหมือนปีนั้นที่นั่งเฝ้าอยู่หน้าเตียงของบิดามารดาที่ป่วยไข้ตอนเขายังเป็นเด็ก


ซ่งอวี่เซาปลดกระบี่เหล็กตรงเอวลง กำไว้ในมือข้างเดียว ยื่นส่งมันให้กับซ่งเฟิ่งซานที่สีหน้าเฉยเมย ฝ่ายหลังถามว่า “ทำไม?”


ซ่งอวี่เซากล่าวเสียงหนัก “นี่คือกระบี่ของซ่งเกาเฟิงบิดาของเจ้า บุตรสืบทอดกิจการของบิดา ก็ควรมอบมันให้กับมือของเจ้าซ่งเฟิ่งซาน”


ซ่งเฟิ่งซานไม่ได้ยื่นมือมารับ เขากล่าวเย้ยหยันว่า “อ้อ มีเรื่องประหลาดอีกแล้วหรือนี่ ก่อนหน้านี้ท่านปู่กลับมาถึงก่อนกำหนด ร่วมแสดงความยินดีกับข้าเรื่องงานพิธีแต่งตั้งผู้นำยุทธภพ ตอนนี้ยังจะมามอบกระบี่ผุๆ เล่มหนึ่งให้ข้าอีก ทำไม จู่ๆ ท่านปู่ก็อยากปลดภาระที่มีต่อแคว้นซูสุ่ยและหมู่บ้านวารีกระบี่ คิดจะหาความสงบสุขในบั้นปลายแล้วอย่างนั้นหรือ?”


คนหนุ่มยืนสองมือไพล่หลัง สายตาเฉียบคม ทว่าใบหน้ากลับคลี่ยิ้มบางๆ “แต่ต้องขอโทษด้วย หลานอกตัญญูต้องบอกข่าวร้ายข่าวหนึ่งแก่ท่านปู่ ฮ่องเต้เขียนราชโองการลับหลายฉบับ กองทัพใหญ่นับหมื่นคนของราชสำนักได้มารวมตัวกันอยู่นอกเมืองเรียบร้อยแล้ว วันพรุ่งนี้คงจะยกทัพเข้ามาล้อมปราบผู้นำยุทธภพคนใหม่ที่เป็นคนเนรคุณอย่างข้า ท่านปู่ หลานไม่หวังให้ท่านออกหน้าช่วยเหลือ จริงๆ นะ นี่คือคำพูดจากใจจริงของหลาน ขอแค่ท่านปู่ยืนดูอยู่เฉยๆ หวังแค่ท่านอย่าได้แทงข้าเพิ่มอีกหนึ่งแผลก็พอ”


ซ่งอวี่เซาจ้องนิ่งไปบนใบหน้าของหลานชายแล้วหัวเราะเสียงดังลั่น ก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ตบไหล่เขาหนักๆ หนึ่งที ไม่ปกปิดรอยยิ้มและความปลาบปลื้มของตัวเองแม้แต่น้อย ผู้เฒ่ากล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ไม่เสียแรงที่เป็นบุตรชายของซ่งเกาเฟิงและหลิ่วเชี่ยน! ปู่รู้ว่าคนที่นำทัพในครั้งนี้ก็คือแม่ทัพใหญ่ฉู่หาว สามีของสตรีผู้นั้น”


ใบหน้าของซ่งเฟิ่งซานเต็มไปด้วยความสงสัย ขมวดคิ้วเป็นปม


ซ่งอวี่เซาเอ่ยยิ้มๆ “ในเมื่อสตรีจิตใจอำมหิตผู้นั้นได้คืบจะเอาศอก นี่ก็ถือเป็นโอกาสอันดีที่ควรฉวยไว้ ข้าซ่งอวี่เซาเองก็จะมีเหตุผลในการขอคำอธิบายจากยุทธภพและราชสำนัก!”


กรอบตาผู้เฒ่าเปียกชื้น ยังคงกำมือไว้ข้างเดียว ยกมือข้างที่เหลืออยู่มาลูบหัวคิ้วที่ขมวดแน่นของหลานชายเบาๆ พลางพึมพำว่า “ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ ปู่ก็ควรจะทำอะไรเพื่อเจ้าบ้าง”


คนหนุ่มถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก้มหน้าลง ยกมือข้างหนึ่งมาบังหน้าตัวเอง


ผู้เฒ่าเอ่ยเบาๆ “เฟิ่งซาน นับจากวันนี้ไป ปู่จะไม่พร่ำพูดถึงกฎเกณฑ์เก่าๆ พวกนั้นกับเจ้าอีกแล้ว แต่สุดท้ายหวังว่าเจ้าจะฟังปู่สักครั้ง ยุทธภพเก่าก็มีส่วนที่ไม่ถูกต้อง แต่ส่วนที่ถูกต้อง เรื่องที่ดีงามก็ยังมีเหลืออยู่ หวังว่าวันหน้าเจ้าที่อยู่ในยุทธภพจะไม่ปฏิเสธไปซะทุกอย่าง”


ผู้เฒ่าวางกระบี่เหล็กโบราณที่ให้ตายหลานชายก็ไม่ยอมรับไปวางลงบนโต๊ะหินกลางลานบ้าน จากนั้นก็เดินไปทางประตูเพียงลำพัง ระหว่างนี้ผู้เฒ่ายังหันไปมองที่ห้องหลักของเรือนเล็ก เพียงแต่ว่าคำพูดมารออยู่ตรงปากแล้ว ผู้เฒ่ากลับพูดไม่ออก


ซ่งเฟิ่งซานเอ่ยถามเสียงแหบ “ท่านปู่ ท่านจะไปไหน?”


ผู้เฒ่าที่ก้าวยาวๆ ไปด้านหน้าเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “หลายปีที่ผ่านมา กระบี่ของปู่ถูกเก็บอยู่ในบ่อน้ำใต้น้ำตกมาโดยตลอด ปู่จะไปเอากระบี่!”


จนกระทั่งผู้เฒ่าจากไปไกลแล้ว ซ่งเฟิ่งซานก็ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม


ประตูห้องถูกเปิดออกช้าๆ สตรีแต่งงานแล้วที่ยังอายุน้อยเดินออกมา เอ่ยถามว่า “ไม่ห้ามท่านปู่หรือ?”


ซ่งเฟิ่งซานเช็ดน้ำตา ยื่นมือมากดลงบนกระบี่ที่วางไว้บนโต๊ะเบาๆ พูดพร้อมยิ้มบางๆ น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ “ในเมื่อพวกเราวางแผนกันมานานแล้ว ทุกอย่างก็ล้วนอยู่ในการควบคุม เจ้าไม่อยากเห็นคนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ขวางอยู่หน้าขบวนรบจนกองทัพนับหมื่นไม่อาจเคลื่อนหน้าหรอกหรือ? แต่ข้าที่เป็นหลานอยากจะเห็น แล้วก็แอบคิดอย่างนี้มานานหลายปีแล้วด้วย”


สตรียังสาวพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “ท่านบรรพบุรุษคิดตกได้อย่างไร?”


จากนั้นนางก็กล่าวอย่างเป็นกังวล “ทุกการกระทำของหมู่บ้านเราในอนาคต ท่านบรรพบุรุษอาจจะไม่ชอบก็ได้”


ซ่งเฟิ่งซานแค่นเสียงเย็น “อย่างมากก็ให้ท่านปู่แทงข้าอีกสักสองสามที ถึงเวลานั้นหากไม่ได้จริงๆ ก็เอากระบี่ของท่านพ่อข้าเล่มนี้ออกมา ดูสิว่าท่านปู่จะตัดใจลงมืออย่างอำมหิตได้อีกหรือไม่!”


สตรีแต่งงานแล้วเอ่ยสัพยอก “โอ้โห ไม่ได้เรียกท่านปู่มายี่สิบกว่าปีแล้ว วันนี้ดูท่าพระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก เรียกซะคล่องปากเชียวนะ”


ซ่งเฟิ่งซานหันหน้ามาถลึงตาใส่นางหนึ่งที


สตรีแต่งงานแล้วหัวเราะเสียงหวาน


อันที่จริงนางเป็นหน่วยกล้าตายคนหนึ่งของต้าหลี สักวันหนึ่งเมื่อกีบม้าของต้าหลีย่ำลงบนพื้นที่ตอนกลางของแจกันสมบัติทวีป นางก็สามารถชูป้ายสงบสุขปลอดภัยที่ทางราชสำนักต้าหลีออกให้อย่างเปิดเผย


ข้อนี้ซ่งเฟิ่งซานเองก็รู้ดี


วันต่อมา งานคัดเลือกผู้นำยุทธภพคนใหม่ของแคว้นซูสุ่ยในหมู่บ้านวารีกระบี่ยังคงดำเนินไปตามกำหนด


จากถนนของเมืองแห่งหนึ่งในแคว้นซูสุ่ยมาจนถึงหมู่บ้านวารีกระบี่ กองทัพม้าควบตะบึง ฝุ่นคลุ้งตลบอบอวล มืดฟ้ามัวดิน


ท่ามกลางขบวนรบยิ่งใหญ่ มีแม่ทัพใหญ่สวมเสื้อเกราะหนักใหม่เอี่ยมคนหนึ่ง ขี่ม้าสูงใหญ่ มุมปากของบุรุษแต้มยิ้ม ทอดสายตามองไกลๆ ก็เห็นได้ชัดว่าเปี่ยมไปด้วยความลำพองห้าวเหิม หากครั้งนี้เหยียบหมู่บ้านวารีกระบี่ระยำนั่นให้ราบคาบได้ ตนก็จะกลายเป็นผู้มีคุณความชอบอันดับหนึ่งของแคว้นซูสุ่ย


แต่แล้วจู่ๆ แม่ทัพใหญ่ท่านนี้ก็หรี่ตาลง


เบื้องหน้ากองทัพใหญ่


หลังจากไปนำกระบี่ประจำกายมาจากน้ำตกแล้ว ผู้เฒ่าชุดดำคนหนึ่งที่ได้รับการขนานนามว่าอริยะกระบี่ของแคว้นซูสุ่ยก็มายืนขวางอยู่หน้าขบวนรบเกรียงไกร


เพียงแต่ด้านหลังผู้เฒ่ามีเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ ตรงเอวห้อยน้ำเต้าบรรจุเหล้าเดินตามมาไกลๆ ด้วย


ก่อนจะออกหมัดใส่กองทัพที่มีทั้งคนทั้งม้านับหมื่น เด็กหนุ่มปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลง แหงนหน้ากรอกเหล้าอึกใหญ่เข้าปาก ดื่มอักๆ อย่างสาแก่ใจ


—–


บทที่ 245.1 เฉินผิงอันแห่งต้าหลีอยู่ที่นี่

โดย

ProjectZyphon

กระบี่ที่พกอยู่ตรงเอวของซ่งอวี่เซา เขาไปเอามาจากน้ำตกเมื่อวาน คืออาวุธเทพที่ผู้ฝึกลมปราณทุกคนต้องหลบเลี่ยงประกายแหลมคม มีชื่อว่า ‘ตั้งตระหง่าน’


ในความเป็นจริงแล้วครั้งแรกที่ซ่งอวี่เซาพบกระบี่เล่มนี้คือที่บ่อลึกเบื้องใต้น้ำตก อีกอย่างในหินยักษ์ที่เป็นดั่งเสาเอกของบ่อน้ำที่เฉินผิงอันใช้ฝึกยืนนิ่งเจี้ยนหลูก็มีกลไกลับซ่อนอยู่ ปีนั้นเพราะโชควาสนาซ่งอวี่เซาจึงได้เจอกับกระบี่เล่มนี้โดยบังเอิญ ทั้งเวทกระบี่และชื่อกระบี่ต่างก็เติมเต็มซึ่งกันและกัน กาลต่อมาถึงได้มีอริยะกระบี่แห่งแคว้นซูสุ่ย


หลังจากซ่งเกาเฟิงบุตรชายตายไป ซ่งอวี่เซาก็เปลี่ยนกระบี่เล่มใหม่ เอากระบี่ตั้งตระหง่านที่ฝักกระบี่ทำขึ้นจากไม้ไผ่เขียวเล่มนี้กลับไปซ่อนไว้ในหินยักษ์อีกครั้ง ซ่งอวี่เซาเคยพลิกเปิดตำรามากมาย สุดท้ายพบบันทึกประวัติศาสตร์หน้าหนึ่ง ว่ากันว่ากระบี่เล่มนี้ถูกเทพแห่งการต่อสู้คนหนึ่งของทวีปอื่นสร้างขึ้นมาเองกับมือ แต่มาทำหายที่แจกันสมบัติทวีป จากนั้นก็ไม่พบร่องรอยอีก มีบันทึกท่อนหนึ่งกล่าวไว้ว่า ‘ประกายแสงผ่าห้าขุนเขา ปราณกระบี่ฟันแม่น้ำใหญ่’


ซ่งอวี่เซาในเวลานี้พกกระบี่เล่มยาวที่ฝักกระบี่เริ่มกลายเป็นสีเหลือง ทอดสายตาไปทางขบวนทัพของราชสำนักที่พลันลดความเร็วลง ไม่ผิดต่อนามของกระบี่คู่ใจ ผู้เฒ่าชุดดำก็ยืนตระหง่าน สีหน้าไร้ความกริ่งกลัวเช่นกัน


‘ทัพใหญ่ปราบกบฏ’ ที่มีเกือบหมื่นคนของแคว้นซูสุ่ยทัพนี้ พลทหารม้าสามพันนายในนั้นคือญาติสายตรงของแม่ทัพใหญ่ฉู่หาว ทุกคนล้วนมีชาติกำเนิดมาจากสมรภูมิชายแดน คือทหารกล้าอันดับหนึ่งของแคว้นซูสุ่ย นอกจากนี้ยังมีทหารกล้าที่ระดมมาจากฐานทัพของท้องถิ่นอีกสี่ห้าพันนาย ส่วนอีกพันกว่าคนคือมือปราบที่ดึงตัวมาจากที่ว่าการของเมือง รวมไปถึงจอมยุทธ์ในยุทธภพที่ถูกซื้อตัวมาด้วยเงินจำนวนมาก แน่นอนว่ายังมียอดฝีมือในยุทธภพอีกบางส่วนที่แม่ทัพใหญ่ฉู่หาวรวบรวมมาด้วยตัวเอง ซึ่งทุกคนแทบจะมาจาก ‘สินเจ้าสาว’ ที่อุดมสมบูรณ์ซึ่งปีนั้นโอรสสวรรค์เป็นพ่อสื่อสู่ขอสตรีผู้นั้นให้เขาด้วยตัวเอง แม้ว่าพ่อตาของเขาจะตายไปเพราะถูกตามล้างแค้น แต่ก่อนหน้านั้นจะดีจะชั่วเขาก็เคยเป็นผู้นำในยุทธภพมานานถึงยี่สิบปี แถมยังมีราชสำนักเป็นที่พึ่ง แอบเลี้ยงกองกำลังอย่างลับๆ ไว้มากมาย หลังจากเขาตาย กองกำลังเหล่านั้นก็กลายมาเป็นข้ารับใช้ เป็นหน่วยกล้าตายของลูกเขยอย่างฉู่หาว


ต่อให้ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ สตรีที่นอนเคียงหมอนฉู่หาวก็ยังอาฆาตแค้นหมู่บ้านวารีกระบี่อย่างลึกล้ำ กลายเป็นเงื่อนตายในใจที่ไม่อาจคลายออกได้


สำหรับเรื่องนี้ฉู่หาวเองก็รู้ดี แม้ปากจะเออออคล้อยตาม แต่เขาไม่มีทางทำอะไรบุ่มบ่ามแน่นอน หากฮ่องเต้ยังไม่เปิดปาก เขาก็ไม่มีทางใช้สถานะของจวนแม่ทัพใหญ่ออกหน้าไปท้าทายปรมาจารย์ใหญ่แห่งวิถีวรยุทธ์ที่มีวิชากระบี่เป็นเลิศของแคว้นซูสุ่ย ดังนั้นสตรีผู้นั้นจึงคอยพร่ำตำหนิอย่างไม่พอใจ ยังดีที่คราวนี้หมู่บ้านวารีกระบี่รนหาที่ตายเอง ฮ่องเต้ทรงพิโรธอย่างหนัก ฉู่หาวจึงได้โอกาสนำทัพตามคำบัญชา ทุกอย่างจึงสอดคล้องกันไปหมด


บอกตามตรง ภรรยามีปมในใจที่ยากจะคลายออก ฉู่หาวที่เป็นบุคคลผู้ทรงอิทธิพลซึ่งใช้ชีวิตอยู่ริมชายแดนมานานหลายปี เคยเห็นการวางแผนเพื่อความสามัคคีและความแตกแยกในวงการขุนนางมาก่อน เขาเองก็มีปมในใจเหมือนกัน เจ้าเป็นแค่สตรีคนหนึ่ง ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าซ่งเกาเฟิงแต่งงานนานแล้ว พวกเขาสองสามีภรรยารักใคร่กันดี แถมยังมีบิดาเป็นอริยะกระบี่ เจ้าอาศัยอะไรถึงจะทำให้เขาต้องหย่าภรรยามาแต่งงานกับเจ้า เพียงแค่เพราะเจ้าเป็นบุตรสาวของผู้นำยุทธภพ? จากนั้นพอเจ้าโมโห ก็เลยจ้างคนไปทำลายสวนดอกไม้? ทำลายชีวิตของผู้หญิงคนนั้น? หากเปลี่ยนมาเป็นเขาฉู่หาวก็คงยกทัพใหญ่ใต้บังคับบัญชาของตัวเองเข่นฆ่าให้เลือดนองเป็นสายน้ำไปแล้ว


แต่จะว่าไปแล้ว ฉู่หาวก็ไม่ใช่ซ่งเกาเฟิงผู้น่าสงสารที่ต้องรับเคราะห์กรรมอย่างไร้สาเหตุผู้นั้น ในเมื่อเป็นสามีภรรยากันแล้ว ได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ ได้แต่งงานกับสตรีที่งดงามดุจบุปผา ในมือยังมียอดฝีมือของยุทธภพให้เรียกใช้งานอีกหลายสิบคน ยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว ทำการค้าที่ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำแบบนี้ ฉู่หาวผู้กล้าแกร่งจึงไม่ได้ยึดติดกับปมในใจเล็กๆ น้อยๆ นี้ อีกอย่างวันที่อดีตผู้นำยุทธภพล้างมือลาจากวงการ ซ่งเกาเฟิงที่รูปโฉมถูกทำลายใช้กำลังของเขาคนเดียวสังหารผู้เฒ่า ก็ทำให้สตรีผู้นั้นสงบสำรวมขึ้นกว่าเก่าเยอะมาก โดยรวมแล้วก็พอจะเรียกได้ว่าเป็นภรรยาที่ดี ช่วยเหลือสามีดูแลอบรมบุตร ผูกสัมพันธไมตรีกับผู้คนในเมืองหลวงและฮูหยินตราตั้งคนอื่นๆ เป็นวงกว้าง ช่วยเพิ่มเกียรติยศหน้าตาให้กับฉู่หาวไม่น้อย หนทางในอนาคตของเขาจึงราบรื่นกว้างไกลขึ้นมาก ฉู่หาวรู้สึกว่าข้อนี้ต้องขอบคุณเจ้าคนแซ่ซ่งผู้นั้นที่มอบบทเรียนให้นาง หาไม่แล้วคนที่ต้องลำบากย่อมเป็นตน


ครั้งนี้ก่อนจะออกจากเมืองหลวง ภรรยาของเขาแอบติดตามมาด้วย ตอนนี้นางแอบอาศัยอยู่ในเมืองอย่างลับๆ นางเสนอว่าหลังจากเหยียบย่ำหมู่บ้านวารีกระบี่ให้ราบเป็นหน้ากลองได้แล้ว ซ่งอวี่เซาอริยะกระบี่เฒ่าไม่ต้องตายก็ได้ หากเขาหนีได้ก็ปล่อยไป แต่เจ้าเศษสวะซ่งเฟิ่งซานที่ว่ากันว่าหน้าตาเหมือนมารดาผู้นั้นต้องแหลกสลายกลายเป็นผุยผง ถึงเวลานั้นนางจะเอาโกศใส่อัฐิของซ่งเฟิ่งซานไปทุบทำลายที่หน้าหลุมศพสุนัขชายหญิงคู่นั้นให้เละ ให้พวกเขาได้เห็นว่าควันธูปของสกุลซ่งขาดหายไปกับตาตัวเอง


พิษงูเขียวใบไม้ หรือพิษตัวต่อเหลือง หากรักษาทันเวลายังหายได้ แต่พิษที่ร้ายที่สุดก็คือใจของสตรี


ไม่เสียแรงที่เป็นภรรยาเอกซึ่งเขาฉู่หาวแต่งเข้าบ้านมา ดีจริงๆ!


ฉู่หาวเก็บความคิดทั้งหมดลง มือหนึ่งดึงเชือกบังคับม้า อีกมือหนึ่งยกขึ้นบังแสงอาทิตย์ ควบม้าเหยาะย่างพลางมองไกลไปเบื้องหน้าอย่างสบายอารมณ์


ถนนทางหลวงของที่แห่งนี้กว้างขวาง สองข้างทางก็เป็นพื้นที่ราบเรียบ ไม่เพียงแต่เหมาะให้พลเดินเท้าเดินขบวนผ่าน ต่อให้ควบม้าศึกพุ่งไปก็ไม่ลำบากมากนัก ตาแก่ซ่งที่ถืออำนาจวางโตในยุทธภพช่างเป็นคนบุ่มบ่ามไม่รู้จักกลัวตาย ไม่เข้าใจการทำสงครามเลยจริงๆ แล้วยังกล้าทำตัวเป็นวีรบุรุษ สมควรจะแหลกเป็นจุลไปพร้อมกับหมู่บ้านวารีกระบี่ของเขานั่นแหละ


ฉู่หาวมองผู้เฒ่าที่ต่อให้เป็นคนอยู่ไกลถึงเมืองหลวงก็ยังเคยได้ยินชื่อแล้วกระตุกมุมปาก ลดมือลง ใช้ฝ่ามือถูดาบตัดกระดาษสีทองที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ เอ่ยพร้อมยกยิ้ม “น่าเสียดายมาดที่ห้าวหาญนี้นัก ก็ดีเหมือนกัน วันหน้าเวลาคนรุ่นหลังพูดถึงเรื่องนี้ก็มีแต่จะพูดว่าข้าฉู่หาวสังหารอริยะกระบี่คนหนึ่งหน้ากองทัพ”


คำกล่าวที่ว่าต้านทานศัตรูนับหมื่นในสนามรบก็เป็นเพียงถ้อยคำสวยหรูเกินจริงของนักประพันธ์ห่วยๆ เท่านั้น บนอาณาเขตที่กว้างขวางของหลายสิบแคว้นซึ่งรวมถึงแคว้นซูสุ่ยนี้ มีทหารกล้าที่ไม่อาจดูแคลน พละกำลังเปี่ยมล้น เชี่ยวชาญการวางกับดักหลุมพรางก็จริง หากมีม้าเทพ (เป็นคำเปรียบเปรยถึงม้าที่ดีมีพละกำลังแข็งแรง เดินทางได้พันลี้) ให้ขี่ก็ยิ่งเหมือนพยัคฆ์ติดปีก ทว่าหนึ่งคนต่อกรหมื่นศัตรู? ไม่เคยมีอยู่จริง


ฉู่หาวมีประสบการณ์การต่อสู้มาเป็นร้อยๆ ครั้ง ไม่ใช่ปัญญาชนที่ดีแต่นอนเสพสุขอยู่บนเตียง แต่กระนั้นเขาก็ไม่เคยเห็นใครที่เทพขนาดนั้นมาก่อน


ซ่งอวี่เซายืนอยู่ที่เดิม ในเมื่อเดินมาถึงที่นี่แล้ว ผู้เฒ่าก็ไม่คิดจะถอยกลับแม้เพียงก้าวเดียว เพียงแต่ว่าพอหันมองไปข้างหลังก็ให้รู้สึกจนใจไม่น้อย


เจ้าเฉินผิงอันจะมาร่วมวงสนุกอะไรด้วย?


คราวนี้เฉินผิงอันสะพายกล่องกระบี่ที่บรรจุกำจัดปีศาจปราบมารมาด้วย อีกทั้งยังรัดเชือกไว้อย่างแน่นหนา


เขาวิ่งเหยาะๆ มาตลอดทางจนมาถึงข้างกายของซ่งอวี่เซา


ผู้เฒ่ากล่าวด้วยน้ำเสียงมีโทสะเล็กน้อย “ตอนที่เจ้าทะเลาะกับคนของหมู่บ้านเหิงเตาที่ศาลาริมน้ำ ข้าเคยพูดว่า ‘เดินทางอยู่ในยุทธภพ เป็นตายต้องรับผิดชอบเอง’ เฉินผิงอัน เจ้ารู้ความหมายของประโยคนี้หรือไม่?”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ


ซ่งอวี่เซาโมโหจัดจนกลายเป็นขำ “เจ้าเข้าใจกะผีน่ะสิ! หวังซานหูผู้นั้นชี้ปลายฝักดาบเข้าใส่เจ้า นี่ก็คือการท่องอยู่ในยุทธภพของนาง ข้ารับใช้ของหัวหน้าหมู่บ้านที่ง้างธนูยิงใส่คนลับหลัง นี่ก็ใช่ ทุกครั้งที่หลานชายของข้าซ่งเฟิ่งซานหาคนมาประลองกระบี่ก็ใช่เหมือนกัน และการที่ข้าซ่งอวี่เซามาขวางอยู่หน้ากองทัพใหญ่ในวันนี้ก็ยิ่งไม่แตกต่าง!”


ซ่งอวี่เซากล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดรวบรัด สุดท้ายหลงเหลือเพียงเสียงถอนหายใจ “เฉินผิงอัน เจ้าไม่ควรมา”


เฉินผิงอันพูดเบาๆ “ไม่ว่าวันนี้ผู้อาวุโสซ่งจะทำอะไร เรื่องที่ข้าต้องรับผิดชอบมีเพียงเรื่องเดียว นั่นคือพาผู้อาวุโสซ่งออกไปจากที่นี่โดยที่ยังมีชีวิตอยู่ เพียงแค่นี้เท่านั้น ข้าจะไม่ฆ่าใคร”


เฉินผิงอันเอ่ยเสริมอีกประโยคว่า “จะพยายามไม่ฆ่าใคร”


ซ่งอวี่เซาสูดหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง พยายามปรับอารมณ์ให้สงบนิ่งเพื่อพูดเกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย “ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายเท่ากับเป็นสองทัพที่คุมเชิงกันอยู่ เจ้าบอกว่าจะไม่ฆ่าคนก็ไม่ฆ่าคนได้หรือ? เจ้าคิดว่านี่เป็นเหมือนเด็กเล่นขายของหรือไง ในกองทัพใหญ่มีทหารม้าหลายพันนายที่สามารถควบตะบึงอย่างอิสระเสรี มีพลเดินเท้าสวมเกราะหนักที่จัดขบวนรบยิ่งใหญ่ดุจขุนเขา และยังมีพลธนูอีกหลายพันที่เล็งธนูมาที่เจ้า ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็พร้อมระดมยิงใส่เจ้าเหมือนฝนห่าใหญ่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมือดีอีกหลายสิบคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของฉู่หาว รวมไปถึงพวกนายกองที่ได้ครอบครองธนูเทพของสำนักการทหารอยู่ในมือ ธนูเทพนี้คืออาวุธหนักที่ทางราชสำนักสร้างขึ้นเพื่อใช้รับมือกับผู้ฝึกลมปราณและปรมาจารย์ในยุทธภพโดยเฉพาะ ต่อให้เป็นข้าซ่งอวี่เซา หากโดนยิงเข้าที่จุดสำคัญก็ต้องบาดเจ็บสาหัสเหมือนกัน!”


เฉินผิงอันถามกลับ “ในเมื่ออีกฝ่ายร้ายกาจขนาดนี้ ผู้อาวุโสมาที่นี่ก็เพื่อพาตัวเองมาตายหรือ?”


ซ่งอวี่เซาพูดเสียงหนัก “ข้าจะใช้หลักคิดจะจับโจรต้องจับหัวหน้าโจรก่อน จะพยายามจับตัวฉู่หาวแม่ทัพใหญ่ให้ได้ในคราวเดียว กองทัพใหญ่จะได้เป็นดั่งมังกรหัวขาด จากนั้นก็ข่มขู่ฉู่หาวให้มอบตัวสตรีผู้นั้นมา หากข้าทำเรื่องนี้คนเดียวก็มีความมั่นใจห้าส่วน แต่หากเจ้าติดตามข้าบุกเข้าไปใจกลางวงล้อมศัตรู หากถูกล้อมขึ้นมา ก็มีแต่จะกลายเป็นภาระของข้า ดังนั้นฟังข้าสักคำ รีบกลับไปที่หมู่บ้าน พาเพื่อนสองคนของเจ้าออกห่างจากสถานที่อันตรายแห่งนี้”


ซ่งอวี่เซาเงยหน้าขึ้น ตอนนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว แต่ยังมีท้องนภางดงามกับแสงแดดอบอุ่นแบบนี้ได้ นับว่าไม่เลวเลยจริงๆ เขาหันหน้าไปมองเด็กหนุ่มจากทิศเหนือ ยิ้มบางๆ ให้อีกฝ่าย “เฉินผิงอัน ความหวังดีของเจ้า ข้ารับไว้แล้ว แต่ข้าซ่งอวี่เซาจะเป็นหรือตาย หมู่บ้านวารีกระบี่จะอยู่หรือรอด เมื่อเจ้าถามใจตัวเองก็ไม่จำเป็นต้องละอาย ท่องอยูในยุทธภพ แค่นี้ยังไม่พออีกหรือ? พอมากแล้ว!”


เฉินผิงอันตบไปที่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอว กล่าวพร้อมยิ้มเจิดจ้า “ข้าไม่ได้โม้จริงๆ นะ แต่หากข้าวิ่งขึ้นมา ขาสองข้างของข้าต้องเร็วกว่าสี่ขาของม้าศึกอย่างแน่นอน อีกอย่างข้ายังมีสมบัติก้นกรุที่ช่วยคุ้มครองชีวิต ผู้อาวุโสไม่ต้องเป็นห่วงข้า เชิญท่านจัดการกับฉู่หาวผู้นั้นได้ตามสบาย หากไม่มีความมั่นใจนี้ วันนี้ข้าก็คงไม่ปรากฏตัว”


ซ่งอวี่เซาร้อนใจอย่างยิ่ง ใจคิดอยากจะเขกมะเหงกใส่ศีรษะของเจ้าเด็กบื้อผู้นี้แรงๆ “เจ้าทึ่ม! เจ้าคิดจริงๆ หรือว่ากาเหล้าผุๆ ของเจ้าคือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ของเทพเซียน? อีกอย่างเจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่หล่อหลอมเรือนกาย ต่อให้มีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่จริง แล้วจะมีประโยชน์อะไร?”


เฉินผิงอันขยับเท้ามายืนอยู่ด้านหลังซ่งอวี่เซาตรงตำแหน่งที่กองทัพของราชสำนักซูสุ่ยจะมองไม่เห็น แล้วตบลงไปบนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ด้านใต้สลักคำว่า ‘เจียงหู’ หนักๆ หนึ่งที เอ่ยเสียงทุ้ม “ชูอี มีคนดูถูกเจ้าแน่ะ ออกมา”


ซ่งอวี่เซายืนอึ้งอยู่ตรงนั้น


ทำอะไรน่ะ?


น้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ


เฉินผิงอันกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “สืออู่”


เสียงสวบดังหนึ่งครั้ง แสงกระบี่สีมรกตน่าครั่นคร้ามกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาจากน้ำเต้าอย่างรวดเร็ว ความเร็วนั้นเทียบเคียงได้กับสายฟ้าลมกรด กระบี่เล่มเล็กที่เป็นสีใสแวววาวพลันหยุดนิ่งอยู่ตรงกลางระหว่างคนทั้งสอง จากนั้นก็ส่ายไหวน้อยๆ ราวกับจะขอรางวัลจากเจ้านายอย่างเฉินผิงอัน


เฉินผิงอันรู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าบรรพบุรุษน้อยสองตนในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ใบนี้ กระบี่บินสืออู่อ่อนโยนว่าง่าย เฉินผิงอันเล็งเป้าหมายไปที่ไหน ปลายกระบี่ของสืออู่ก็จะชี้ไปที่นั่น เรียกได้ว่าเป็นเหมือนสำลีน้อยผู้เอาใจใส่ ส่วนนายท่านใหญ่อย่างชูอีนั้นชอบวางมาดใหญ่โตยิ่งกว่าแผ่นฟ้าเสียอีก เว้นเสียแต่ว่าเป็นสถานการณ์อันตรายที่ตัดสินเป็นตาย หรือตัวมันเองเกิดความสนใจ นอกเหนือจากนี้เฉินผิงอันก็แทบจะเรียกใช้งานมันไม่ได้ แต่เฉินผิงอันก็ไม่คิดจะบีบบังคับ ไม่คาดหวังให้ชูอีทำทุกอย่างตามที่เขาต้องการอย่างสืออู่ อย่างน้อยในช่วงเวลาสำคัญหลายครั้งที่ผ่านมา ชูอีก็ไม่เคยกลั่นแกล้งเล่นงานเขามาก่อน


ซ่งอวี่เซากล่าวอย่างตกตะลึง “นี่คือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ของเซียนกระบี่ใหญ่จริงๆ รึ?!”


เฉินผิงอันยิ้มกว้าง


แต่การตัดสินใจและคำพูดถัดมาของซ่งอวี่เซาก็ยังคงเต็มไปด้วยความคร่ำครึของยุทธภพเก่า เขาตบไหล่เฉินผิงอันพลางกล่าวว่า “เฉินผิงอัน จำเอาไว้ ผู้มีสถานะสูงส่งไม่มีทางพาตัวเข้าหาอันตรายง่ายๆ! ไปเถอะ แค่เจ้ามาส่งข้าที่นี่ก็ถือว่ามีน้ำใจมากแล้ว ในเมื่อเส้นทางวิถีวรยุทธ์ของเจ้าราบรื่นมากแล้ว อีกทั้งยังมีสมบัติล้ำค่าติดกาย ก็ยิ่งควรถนอมความปลอดภัยที่มีในเวลานี้เอาไว้ ไปๆๆ ไม่ต้องพูดจู้จี้จุกจิกแล้ว ไม่อย่างนั้นเชื่อหรือไม่ว่าก่อนจะประมือกับกองทัพใหญ่ ข้าจะตบให้เจ้าหน้าทิ่มเปื้อนดินไปซะก่อน?!”


ซ่งอวี่เซาพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน “ข้าซ่งอวี่เซาพูดคำไหนคำนั้น!”


แต่ก็ยังมีข้อยกเว้น


กลิ่นอายแห่งยุทธภพที่เปี่ยมล้นอยู่ทั่วกายของเด็กหนุ่มผู้เพิ่งออกมาผจญโลกกว้างกลับไม่เป็นรองซ่งอวี่เซาคนเก่าแก่ในยุทธภพเลยแม้แต่น้อย


เด็กหนุ่มจากทิศเหนือที่สวมรองเท้าแตะ สะพายกล่องกระบี่ ตรงเอวห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ในน้ำเต้ามีกระบี่บิน เดินข้ามพันภูเขาหมื่นแม่น้ำมาแล้วคนนี้กล่าวกับผู้เฒ่าด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าเฉินผิงอันที่มาจากตรอกหนีผิงอำเภอไหวหวางเขตการปกครองหลงเฉวียนต้าหลีก็กำลังท่องอยู่ในยุทภพเช่นกัน!”


ผู้เฒ่าหมุนตัวกลับ กล่าวกลั้วหัวเราะเสียงดัง “เจ้าเด็กน้อย เจ้าโง่หรือไง?”


เฉินผิงอันก้าวไปข้างหน้า ขยับมาเดินเคียงไหล่ผู้เฒ่า “ข้ายังต้องเลี้ยงหม้อไฟท่านคืนหนึ่งมื้อ”


ผู้เฒ่ายังคงไม่วางใจ แม้ว่าสายตาจะทอดมองไปข้างหน้า แต่ก็ยังจำต้องถามว่า “หากท่าไม่ดี เจ้าคิดหนีก็จะหนีได้จริงๆ หรือ?”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าไม่เพียงแต่มีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่และกระบี่บินป้องกันกาย เมื่อคืนวานข้ายังเขียนยันต์ย่อพื้นที่รวดเดียวยี่สิบแผ่น สามารถช่วยให้ข้าย่อพื้นที่ให้สั้นลง หากคิดจะหนีจริงๆ ความเร็วนั้นรับรองว่าดังสวบๆๆ แม้แต่ข้าเองก็ยังอดยกนิ้วโป้งให้ไม่ได้”


แม้ฟังดูแล้วจะเหมือนพูดตลก แต่ผู้เฒ่าหันหน้าไปมองประเมินสีหน้าของเด็กหนุ่มอย่างละเอียดก็เห็นว่าเขาไม่เหมือนคนที่กำลังล้อเล่นเลยสักนิด


ผู้เฒ่าจึงวางใจลงได้ พลังอำนาจของเขาพลันทะลุสู่ชั้นเมฆ เอามือกดลงบนด้ามกระบี่ ‘ตั้งตระหง่าน’ “ดี! ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะรอเจ้าเลี้ยงหม้อไฟ!”


เฉินผิงอันพลันเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ว่า “ไปกินหม้อไฟที่ภัตตาคาร เอาเหล้าไปเองได้หรือไม่?”


มีทั้งน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ กระบี่บินและยันต์ย่อพื้นที่อะไรนั่น ก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนพฤติกรรมของคนขี้งก


ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ทำไมจะเอาไปไม่ได้เล่า ต้องได้อยู่แล้ว!”


ซ่งอวี่เซากระโจนไปข้างหน้า ชักกระบี่ยาวออกจากฝัก ปราณกระบี่ล้อมวนไปทั่วฟ้าดิน กล่าวกลั้วหัวเราะเสียงกังวาน “ขอให้ข้านำหน้าไปก่อน เจ้าตามหลังข้ามาก็พอ!”


—–


บทที่ 245.2 เฉินผิงอันแห่งต้าหลีอยู่ที่นี่

โดย

ProjectZyphon

ฝ่ายหนึ่งมีแค่สองคน แต่อีกฝ่ายคือกองทัพใหญ่หมื่นคน


แต่คนของฝ่ายหลังที่เมื่อเผชิญหน้ากับหนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กหนุ่มคู่นี้ แต่ละคนกลับทำท่าเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ เมื่อกลองรบลั่นขึ้น นายทหารหนุ่มบางคนที่มีชาติกำเนิดมาจากกองทัพประจำแต่ละพื้นที่ก็ถึงกับกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว


เพราะปราณกระบี่ขยับเข้ามาใกล้


รับมือกับชาวยุทธ์ที่บุ่มบ่ามสองคน แค่เผาผลาญพละกำลังของอีกฝ่ายให้หมดลงก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันในเรื่องการจัดขบวนค่ายกลอะไรทั้งนั้น เพราะถึงอย่างไรก็คงต้องใช้ทหารม้าบุกเปิดทางไปก่อน จากนั้นค่อยแยกตัวเรียงเป็นเส้นกองหน้าอย่างเหมาะสม ซ้ายขวาขนาบรับมือ พยายามให้ฝนลูกธนูกลบทับเส้นทางการฝ่าขบวนรบของอริยะกระบี่แคว้นซูสุ่ยให้ได้มากที่สุด จากนั้นก็ให้ทหารเดินเท้าที่อยู่ด้านหลังตั้งขบวนรับ มือโล่พกดาบบังอยู่ด้านหน้า แทงทวนยาวออกไป สร้างผนังเหล็กที่ทับซ้อนกันหลายชั้น


นอกจากธนูของพลเดินเท้าที่กองทัพแคว้นซูสุ่ยเป็นผู้สร้างขึ้นแล้ว ยังมีธนูเทพอีกหลายสิบคันที่เอาออกมาจากคลังสมบัติเชื้อพระวงศ์ปะปนอยู่ด้วย ธนูเหล่านี้ ช่างของสำนักโม่เป็นผู้สร้างขึ้นอย่างตั้งใจ เป็นอาวุธสำคัญที่แม่ทัพของสำนักการทหารใช้มาโดยตลอด ปลายธนูสลักลายเมฆ ตัวธนูทำมาจากเหล็กกล้าชั้นดี หางลูกธนูคือขนนกสีทอง ลูกธนูลูกหนึ่งทนทานและหนักมาก เป็นเหตุให้พลธนูทั่วไปไม่สามารถบังคับได้ มีเพียงมัลละในกองทัพที่มีพรสวรรค์ด้านวิถีวรยุทธ์ไม่ธรรมดาเท่านั้นถึงจะสามารถง้าวธนูได้สุดสาย พลานุภาพยิ่งใหญ่อย่างถึงที่สุด ความเร็ว ระยะการยิงและระดับความแม่นยำล้วนเหนือกว่าธนูแข็งแกร่งทั่วไป


สุดท้ายจึงเป็นผู้ติดตามในยุทธภพเกือบยี่สิบคนที่มารวมตัวกันอยู่รอบกายแม่ทัพใหญ่ฉู่หาว ยอดฝีมือห้อมล้อมให้การอารักขา ซ่งอวี่เซาคิดจะใช้กำลังของคนคนเดียวฝ่าขบวนรบ สังหารมาจนถึงเบื้องหน้าฉู่หาวนั้นยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์


แต่ฉู่หาวรู้ดีว่าตัวเองกำชัยชนะไว้ได้อย่างมั่นคงแล้ว ญาติสายตรงพลทหารม้าใต้บังคับบัญชาสามพันนายที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ต่างก็ไม่กลัวตำแหน่งอริยะกระบี่ของคนผู้หนึ่ง ฉู่หาวอยู่ในสมรภูมิรบมานาน เข้าใจดีว่าการที่กล้าบุกเป็นทัพหน้าไม่ได้หมายความว่านายทหารคนอื่นๆ จะเก่งกล้าไม่กลัวตาย ดังนั้นเขาจึงส่งคนนำความไปบอกแม่ทัพที่ตั้งฐานบัญชาการณ์ประจำท้องที่แห่งต่างๆ ว่า ม้าศึกที่เหยียบย่ำยุทธภพในครั้งนี้ ทุกคนในกองทัพที่ตายไป ทางราชสำนักจะมอบเงินช่วยเหลือด้วยจำนวนที่ทำให้คนอ้าปากค้าง ซึ่งมากถึงหนึ่งร้อยตำลึงเงิน คนในตระกูลของทหารที่ตายไปไม่ต้องเขาร่วมกองทัพเป็นเวลาสิบปี!


แต่ใครก็ตามที่กล้าหนีทัพจะถูกสังหารทันที อีกทั้งยังจะถูกลงโทษตามกฎของกองทัพ คนในตระกูลถูกเนรเทศไปไกลพันลี้!


มีทั้งรางวัลและการลงโทษ เมื่อเป็นเช่นนี้คนทั้งกองทัพก็มีแค่ทางเลือกเดียวคือรบจนตัวตายเท่านั้น


แม่ทัพใหญ่ฉู่หาวบังคับม้ายืนตระหง่านรับลมภายใต้ธงทัพที่โบกสะบัดเปี่ยมบารมี สีหน้าเต็มไปด้วยความฮึกเหิมลำพองใจ


กองทัพใหญ่บุกประชิดพรมแดน ผู้เฒ่าที่บุ่มบ่ามคนนี้ก็ไม่ต่างจากตั๊กแตนที่ขวางหน้ารถ ฮ่องเต้เคยให้คำสัญญากับตนว่า ทรัพย์สินทั้งหมดในหมู่บ้านวารีกระบี่ เขาฉู่หาวสามารถเก็บเข้ากระเป๋าตัวเองได้ครึ่งหนึ่ง เป็นการให้รางวัลพิเศษแก่ทัพใหญ่สกุลฉู่ที่เคลื่อนทัพในครั้งนี้ ส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งต้องมอบให้แก่ท้องพระคลังของแคว้น แต่ความเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับกองทัพท้องถิ่น เขาฉู่หาวต้องเป็นผู้แก้ไขเพียงลำพัง ห้ามไปรบกวนกรมโยธาธิการและกรมการคลัง


ค่าใช้จ่ายเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ขอแค่ริบทรัพย์มาจากหมู่บ้านวารีกระบี่จนเกลี้ยงแล้ว ฉู่หาวก็ยังได้กำไรก้อนใหญ่อยู่ดี


ซ่งอวี่เซาไม่ได้ทะยานขึ้นกลางอากาศสูงให้กลายเป็นเป้าสายตาในทันที เขาค้อมเอวลงต่ำ ในมือถือตั้งตระหง่าน ห้อตะบึงไปเบื้องหน้าตลอดทางด้วยพลังอำนาจน่าครั่นคร้าม รวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ


พุ่งปะทะกองทหารม้าสกุลฉู่ที่แยกตัวเรียงเป็นแถวกองหน้าอย่างเป็นระเบียบโดยตรง


ฝนลูกธนูห่าแรกสาดเทลงมา ท้องฟ้าเห็นเป็นเพียงจุดสีดำแน่นขนัด เมื่อลูกธนูยิงออกมาแล้ว สายง้าวที่ขึงจนตึงก็พลันคลายลงเกิดเป็นเสียงดังอื้ออึง


และนี่ยังเป็นแค่การยิงของพลธนูบนหลังม้าในรอบแรกเท่านั้น


ซ่งอวี่เซากระทืบเท้าลงบนพื้นหนักๆ หนึ่งที ร่างที่เดิมทีก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วอยู่แล้วยิ่งเปลี่ยนมาเป็นเลื่อนลอย กระโจนออกไปด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม ขณะเดียวกันก็บิดข้อมือ พลิกตัวหมุน ปราณกระบี่กลิ้งตลบหลุนๆ ในรัศมีรอบด้านหลายสิบจั้ง ปราณกระบี่มหาศาลก่อตัวรวมกันเป็นกลุ่มก้อน จากนั้นก็ระเบิดกระจายไปสี่ทิศ


พื้นดินด้านหลังซ่งอวี่เซาถูกลูกธนูที่ตีวงโค้งลงมาจากท้องฟ้าปักเต็มในชั่วพริบตา ดินปริแตก เศษฝุ่นคลุ้งตลบ


ลูกธนูที่เหลือซึ่งเพิ่งจะพุ่งมาถึงก็ถูกปราณกระบี่ที่แผ่ไปสี่ทิศของซ่งอวี่เซาโจมตีเป็นผุยผง


แม้ว่าความเร็วของซ่งอวี่เซาจะเหนือเกินกว่าใครจะคาดการณ์ ปราณกระบี่ที่พลุ่งพล่านก็ยิ่งทำให้เหล่าทหารแห่งสมรภูมิรบได้เปิดโลกกว้าง ทว่าลูกธนูกลุ่มที่สองก็ยังสาดยิงตามมาติดๆ อย่างเป็นระเบียบประหนึ่งฝนที่ตกกระหน่ำ


ในมือของซ่งอวี่เซาถือตั้งตระหง่าน ร่างพลันหมุนคว้างหนึ่งตลบดุจลูกข่าง เห็นเพียงว่ารอบกายของอริยะกระบี่เฒ่าแคว้นซูสุ่ยผู้นี้มีกระบี่ ‘ตั้งตระหง่าน’ อีกนับร้อยนับพันเล่มผุดเพิ่มขึ้นมาในชั่วพริบตา ปลายกระบี่แหลมคมพุ่งไปยังนอกวงอย่างพร้อมเพรียงกัน


ปราณกระบี่แยกตัวเป็นกระบี่นับร้อยนับพันได้ในรวดเดียว


ในมือของซ่งอวี่เซาไม่ถือกระบี่อีกต่อไป แต่ประกบสองนิ้วเป็นท่ามุทรากระบี่ ชี้ไปที่ท้องฟ้าสูงพลางตวาดเบาๆ “ไป!”


จากนั้นก็กระทืบเท้าหนึ่งครั้ง กระบี่ยาวที่เกิดจากการรวมตัวกันของปราณกระบี่ซึ่งตั้งแถวเป็นค่ายกลกระบี่ครึ่งวงเบื้องหน้าเขาสาดโปรยไปยังทหารม้าถือหอกที่ควบตะบึงดาหน้ากันเข้ามา ครู่ขณะเดียวก็ตัดขาม้าไปหลายสิบตัว ทั้งยังแทงทะลุลำคอของทหารที่นั่งอยู่บนหลังม้าถึงยี่สิบนาย บนเส้นทางที่ทหารม้ากองหน้าพุ่งทะยานมาพลันเกิดภาพคนผงะกลิ้งม้าพลิกหงาย


กระบี่ตั้งตระหง่านเล่มหนึ่งบินโผนสู่ฟากฟ้า ภายใต้การชักนำจากคาถากระบี่ของซ่งอวี่เซา ปราณกระบี่จากทั่วทุกสารทิศมารวมตัวกันเป็นเหมือนร่มคันใหญ่บังเม็ดฝน เมื่อลูกธนูทั้งหลายตกกระทบลงบนร่มคันนี้ก็แตกย่อยยับไม่ต่างจากเอาไข่ไปกระทบหิน


ทหารม้าที่เรียงเป็นปีกสองข้างควบตะลุยมาข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วพากันยิงธนูเข้าใส่ซ่งอวี่เซาจากทางด้านข้าง ปราณกระบี่ครึ่งวงที่เหลืออยู่ด้านหลังผู้เฒ่าเข้ามาชดเชยค่ายกลกระบี่ครึ่งวงก่อนหน้านี้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะสาดยิงออกไปอีกครั้ง ในกลุ่มทหารม้าที่อยู่สองปีกข้างจึงมีม้าศึกตายคาที่ไปอีกหลายสิบตัว พลทหารพลัดตกลงมาจากหลังม้า เพียงแต่ว่าความสามารถในการฝึกทหารของฉู่หาวก็ได้ปรากฎให้เห็นในนาทีนี้ ในบรรดาทหารม้าเหล่านั้น นอกจากคนจำนวนน้อยนิดที่หมดสติไปแล้ว คนส่วนใหญ่ล้วนพลิ้วกายลงบนพื้น บ้างก็กลิ้งตัวแล้วลุกขึ้นยืน ดึงดาบที่อยู่ตรงเอวออกมา กระโจนเข้าสังหารซ่งอวี่เซาโดยตรง


ตำแหน่งอริยะกระบี่แห่งแคว้นซูสุ่ย ยอดฝีมืออันดับหนึ่งในยุทธภพเพียงคนเดียวไม่สามารถทำให้ทหารกล้าห้าวหาญที่เคยแช่อยู่ในเลือด นอนอยู่ในกองกระดูกเหล่านี้หวาดกลัวได้


พื้นที่ตอนกลางรวมไปถึงแถบตะวันตกของแจกันสมบัติทวีป สิบกว่าแคว้นรอบด้านซึ่งรวมถึงแคว้นไฉ่อี แคว้นไฉ่อีถือเป็นแคว้นที่มีทหารและม้ามากที่สุด มองภายนอกคือแคว้นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่ง โดยเฉพาะจำนวนทหารม้าที่มีมากเหนือกว่าทุกแคว้น เพียงแต่ว่าพลังการต่อสู้ที่แท้จริงนั้น ไม่ว่าจะเป็นแคว้นกู่อวี๋ที่มีพลเดินเท้าเกราะหนักจำนวนมาก หรือแคว้นซงซีที่เชี่ยวชาญการยิงธนูบนหลังม้า คุ้นชินกับการใช้ม้าสู้รบ หรือแม้แต่แคว้นซูสุ่ยที่มีขนบธรรมเนียมดุดัน ทั้งพลทหารเดินเท้าและพลทหารม้าต่างก็เป็นยอดฝีมือ ก็ล้วนมีคุณสมบัติที่จะหัวเราะเยาะว่ากองทัพชายแดนแคว้นไฉ่อีเป็นเพียงหมอนปักลายดอกไม้ กว่าจะมีแม่ทัพฝีมือร้ายกาจอย่างแม่ทัพแซ่หม่าโผล่ขึ้นมาสักคนก็ดันถูกพวกตำแหน่งสูงที่ชายแดนขับไสไล่ส่งให้ไปพักรักษาตัวอยู่ในเมืองแยนจือ เนื้อติดมันชิ้นโตขนาดนี้ มากพอจะทำให้สามแคว้นที่มีชายแดนติดกับแคว้นไฉ่อีร่วมมือกันจนกินอิ่มหนำไปหนึ่งมื้อ


คราวนี้ฉู่หาวยกทัพนำทหารมาสยบยุทธภพด้วยตัวเอง นอกจากจะเพราะความแค้นส่วนตัวของภรรยาแล้ว อันที่จริงยังเป็นเพราะเขาต้องการจะช่วงชิงสถานะผู้บัญชาการณ์ใหญ่ที่ยกทัพไปขยี้แคว้นไฉ่อีด้วย ด้วยหวังให้ตัวเองมีชื่อเสียงที่ดีในราชสำนักมากขึ้น หาไม่แล้วต่อให้ตัวเลือกในพระทัยของฮ่องเต้จะเอนเอียงมาทางฉู่หาว แต่ก็คงหลีกเลี่ยงคำวิพากษ์วิจารณ์ที่มาจากผู้เฒ่าผู้มีคุณูปการต่อแคว้น หรือไม่ก็จากเชื้อพระวงศ์ที่สูงศักดิ์ไม่ได้


หัวของอริยะกระบี่ที่พาตัวมาส่งด้วยตัวเองนี้ มีน้ำหนักไม่น้อยไปกว่าหมู่บ้านวารีกระบี่เลย


ฉู่หาวที่ถูกกองทัพใหญ่ปกป้องไว้อย่างแน่นหนาหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “สวรรค์ช่วยข้าแท้ๆ ซ่งอวี่เซา ฆ่า ฆ่าให้เต็มที่ รอจนเจ้ากลายเป็นม้าตีนปลาย ดูสิว่าเจ้าจะยังเหลืออำนาจบารมีอะไรอีกไหม อีกไม่นานข้าฉู่หาวก็จะได้กุมกองทัพชายแดนหลายแสนคนไว้ในมือ บัญชาทัพขึ้นเหนือ รอจนข้าได้คุณความชอบอันดับหนึ่งมาจากการโค่นล้มแคว้นไฉ่อีเมื่อไหร่ ไม่แน่ว่าคำวิจารณ์อันสูงส่งที่มีต่อแม่ทัพฝ่ายบู๊ทุกๆ สิบปีจากสำนักศึกษากวานหูก็อาจมีที่ว่างให้สำหรับข้าฉู่หาว! ซ่งจ่างจิ้งของต้าหลีที่อยู่ทางเหนือก็แค่อาศัยว่าตัวเองเป็นเชื้อพระวงศ์เท่านั้น หากว่ากันด้วยความสามารถที่แท้จริงในการยกทัพจับศึกแล้วล่ะก็ แค่คนเถื่อนชาวเหนือที่ไม่มีอารยธรรมคนหนึ่ง จะนับเป็นตัวอะไรได้!”


ฉู่หาวกำดาบตัดกระดาษพระราชทานเล่มนั้นไว้แน่น รอยยิ้มยิ่งกดลึก พูดประโยคเดิมซ้ำอีกรอบอย่างอดไม่ได้ “สวรรค์ช่วยข้าโดยแท้!”


บนถนน หลังจากสกัดกั้นห่าธนูสองชุดไปได้สำเร็จ ซ่งอวี่เซาที่รับมือกับทหารม้าทั้งกองทัพเพียงลำพังก็ทิ้งระยะห่างจากทหารม้ากองหน้าอีกไม่ถึงห้าสิบก้าว ด้วยความเร็วในการเคลื่อนหน้าของเขา ทหารม้าล้มเลิกความคิดที่จะยิงธนูใส่เขาแล้ว เปลี่ยนมาใช้ท่าบุกโจมตีทะลวงขบวนรบที่คุ้นเคยอย่างถึงที่สุดพุ่งเข้าใส่ผู้เฒ่าชุดดำอย่างป่าเถื่อนแทน


จิตของซ่งอวี่เซากระตุกเล็กน้อย ระหว่างที่วิ่งไปข้างหน้าก็ขยับเบี่ยงไปด้านข้างหลายก้าว หลบธนูลูกหนึ่งที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วได้อย่างหวุดหวิด ธนูลูกนี้มีพลังอำนาจเหนือกว่าลูกธนูจำนวนมากที่ถูกระดมยิงก่อนหน้านี้ไปไกล หลังจากนั้นผู้เฒ่าก็สลับตำแหน่งสามครั้ง ล้วนสามารถหลบเลี่ยงธนูพิเศษมาได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ สองนิ้วที่ประกบเป็นท่ามุทรากระบี่ตวัดหนึ่งที บังคับให้กระบี่ยาวที่อยู่กลางอากาศเล่มนั้นลดลงต่ำและพุ่งไปข้างหน้า พลางหัวเราะเสียงดัง “ฟันม้าแหวกขบวน!”


พลทหารถือดาบที่พลัดตกลงม้าจากหลังม้าเตรียมใจพร้อมสู้ตายแล้ว แต่ดาบของทุกคนกลับฟันลงไปในความว่างเปล่า รู้สึกเพียงว่ามีควันดำกลุ่มหนึ่งที่ล่องลอยจับต้องไม่ได้พุ่งผ่านไหล่ของตัวเองไป แล้วข้างหน้าก็ไม่มีร่างของผู้เฒ่าชุดดำเหลืออยู่อีก


ตั้งตระหง่านเป็นดั่งกระบี่บินที่พุ่งไปข้างหน้า ดุจดั่งมังกรที่แหวกว่ายอยู่ในธารา ม้าศึกจำนวนมากถูกตัดขาในเสี้ยววินาที กระบี่ยาวสนแต่จะเปิดทางให้เจ้านายที่อยู่ด้านหลังได้บุกขึ้นหน้ามาอย่างสะดวกเท่านั้น บ้างก็แทงทะลุหลังม้าศึก บ้างก็กรีดร่องเลือดลึกใหญ่ตรงสีข้างของม้า บ้างก็กรีดท้องม้าพาให้ตับไต้ไส้พุงของมันทะลักออกมา ทุกที่ที่ผ่าน ม้าศึกล้มคว่ำ หทารร่วงระนาว จากนั้นก็ตามมาด้วยเงาร่างที่เป็นดั่งควันบางๆ เส้นหนึ่งพุ่งไปข้างหน้าอย่างสง่างาม


พลทหารม้าทัพหน้าที่ฝีมือการต่อสู้เลิศล้ำถูกอริยะกระบี่แคว้นซูสุ่ยแหวกทะลวงไปทั้งอย่างนี้


หลังจากเจาะขบวนทัพกลุ่มแรกมาได้สำเร็จ ด้านหน้าซ่งอวี่เซากลับเป็นโล่เหล็กที่เรียงแถวยาวดุจภูเขา ตรงช่องว่างมีแสงดาบวาววับ และยังมีทวนยาวตั้งเอียงๆ สูงเท่ากับหนึ่งคนครึ่งจำนวนมากมายดุจต้นไม้ในผืนป่า เมื่ออยู่ภายใต้แสงแดดที่สาดส่อง ปลายหอกที่ตั้งอย่างเป็นระเบียบนั้นก็ส่องประกายแวววาว ปลดปล่อยพลังอำนาจอันน่ากริ่งเกรงที่มีเฉพาะในสนามรบออกมา


หากกระโดดขึ้นสูง โฉบเข้าหาธงใหญ่อันเป็นที่บอกตำแหน่งของแม่ทัพหลักผ่านกลางอากาศ สิ่งที่กองทัพใหญ่สกุลฉู่จะใช้ต้อนรับแขกย่อมต้องเป็นพลธนูเดินเท้าที่อยู่ด้านหลังขบวนทวนซึ่งจะระดมยิงขึ้นฟ้าอย่างเต็มกำลัง


ก่อนหน้านี้เนื่องจากซ่งอวี่เซาทำลายขบวนรบเร็วเกินไป พลธนูเดินเท้าจึงไม่ทันได้ลงสนาม แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่มีพลังสยบอันน่าครั่นคร้าม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงธนูเทพสำนักโม่ซึ่งทางราชสำนักเก็บรักษาเป็นอย่างดีที่ปะปนอยู่ในธนูเหล่านี้ด้วย


ซ่งอวี่เซาฝืนเปลี่ยนลมหายใจเฮือกใหม่ ลมปราณในร่างไหลเวียนดุจน้ำป่าไหลกราก และเวลานี้เอง ด้านหลังขบวนรบของพลเดินเท้าที่สายตาซ่งอวี่เซามองไปไม่เห็น ยอดฝีมือในยุทธภพแคว้นซูสุ่ยที่พึ่งพิงราชสำนักหลายคนที่เตรียมพร้อมอยู่นานแล้วก็พากันเหยียบศีรษะและไหล่ของทหารที่อยู่เบื้องหน้า จับมือกันพุ่งเข้ามาสังหาร พวกเขาคำนวณช่วงเวลาการเปลี่ยนลมปราณของซ่งอวี่เซาไว้ก่อนแล้ว แต่ละคนที่พกพาอาวุธไว้กับตัวจึงกระโดดสูงข้ามกำแพงทวนออกมา พุ่งเข้าแสกหน้าซ่งอวี่เซาอย่างพอดิบพอดี


ซ่งอวี่เซาดีดปลายเท้าเบาๆ ไม่เพียงแต่ไม่ถอยกลับรุกขึ้นหน้า มือข้างหนึ่งกำกระบี่ยาวตั้งตระหง่าน ปาดกระบี่ไปในแนวขวาง ปล่อยปราณกระบี่ผ่าไปกลางอากาศ


แม้จะคำนวณได้ว่าซ่งอวี่เซาต้องผลัดเปลี่ยนลมปราณ แต่ขอบเขตวิถีวรยุทธ์มีความต่าง ปรมาจารย์แห่งยุทธภพในสายตาคนทั้งโลกผู้นี้เหมือนไม่รู้จักคำว่าช่องว่างการหมุนเวียนลมปราณของชาวบู๊ขอบเขตหกเลยแม้แต่น้อย!


ปรมาจารย์น้อยขอบเขตสี่ที่พกอาวุธแตกต่างกันสามคนถูกปราณกระบี่ครึ่งวงกลมนั้นผ่าครึ่งร่างตายคาที่


เกิดในยุทธภพ ตายในสนามรบ


ไม่รู้ว่าคนทั้งสามจะตายตาหลับหรือไม่


ซ่งอวี่เซาตวัดกระบี่ไปในแนวตรงดิ่งอีกครั้ง ทหารเดินเท้าห้าหกคนที่สวมเกราะหนักยืนเรียงเป็นขบวน รวมไปถึงคนอีกหลายคนด้านหลังพวกเขาถูกปราณกระบี่ที่แหวกตรงมากลางอากาศเส้นนี้ฟาดฟันจนทั้งตัวคนที่สวมเสื้อเกราะและอาวุธที่พกพาแหลกสลาย ทหารที่ยืนอยู่รอบๆ ซึ่งแม้จะสวมเกราะเหล็กก็แขนขาขาดเลือดไหลนอง ยังดีที่ทหารเดินเท้าเกราะหนักมีชื่อเสียงด้านความแข็งแกร่งมั่นคงมาโดยตลอด หลังจากที่ขบวนรบถูกปราณกระบี่ฟันจนแหวกออกเป็นทางหนึ่งเส้น ทหารที่อยู่ด้านหลังก็กรูกันขึ้นมาปิด อุดรูรั่วนั่นอย่างทันท่วงที ทหารที่อยู่สองฝั่งซ้ายขวาก็ขยับเข้ามาใกล้ตรงกลางตามจิตใต้สำนึก


การเข่นฆ่าในสนามรบ คนที่ไม่กลัวตาย ไม่แน่เสมอไปว่าจะรอดชีวิต แต่พวกคนที่กลัวตาย ย่อมต้องตายอย่างแน่นอน


ซ่งอวี่เซาอาศัยช่วงเวลาเพียงชั่วพริบตาที่ขบวนทัพแหวกออกเป็นเส้นแล้วประกบปิดเข้าด้วยกันนี้มองไปเห็นระดับความหนาของขบวนรบคร่าวๆ แล้วก็ถอนหายใจเบาๆ อยู่ในใจ เตะปลายเท้าเล็กน้อย มือถือตั้งตระหง่าน ยังคงกระโดดขึ้นสูง สาดปราณกระบี่ออกไปอย่างกำเริบเสิบสาน สะบั้นกำแพงทวนหลายแถวเบื้องหน้า ขณะเดียวกันก็พลันกำด้ามกระบี่ยาวไว้แน่น ปณิธานกระบี่เอ่อล้นท่วมร่าง ปราณกระบี่สยบสี่ทิศ ชั่วเวลานั้นซ่งอวี่เซาเหมือนถือพระจันทร์เต็มดวงไว้ในมือดวงหนึ่ง แสงของมันราวกับจะสามารถประชันกับแสงเจิดจ้าของดวงอาทิตย์ที่อยู่เหนือศีรษะได้!


ซ่งอวี่เซาตวาดกร้าวหนึ่งครั้ง ร่างทะยานขึ้นสูงหนึ่งจั้งกว่า ปณิธานกระบี่และปราณกระบี่เพิ่มพรวดในเวลาเดียวกัน ดวงจันทร์เต็มดวงที่เดิมทีใหญ่เท่าถาดหยกก็เปลี่ยนมาใหญ่มหึมาเกินจะเปรียบ ปกคลุมร่างของซ่งอวี่เซาไว้ภายใน ปล่อยให้ลูกธนูที่เป็นดั่งห่าฝนสาดยิงเข้าใส่ ยังคงใช้กฎเกณฑ์เดิมคือพุ่งไปข้างหน้า กลิ้งเป็นเส้นตรงไปกลางอากาศ มุ่งหน้าเข้าหาธงทัพ ส่วนลูกธนูที่พอยิงมาโดนพระจันทร์เต็มดวงแล้ว ปลายลูกธนูก็ถูกทำลาย ตัวลูกธนูปริแตก


ขณะที่ผู้เฒ่าชุดดำทลายขบวนรบด่านที่สอง เด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่อยู่ห่างไปไกลก็ไม่ได้นิ่งดูดาย เขาเองก็เริ่มวิ่งห้อไปด้านหน้า ว่องไวดุจกระต่ายที่หนีออกจากกรง คล่องแคล่วปราดเปรียวอย่างถึงที่สุด


กองทัพม้าสายตรงของสกุลฉู่ไม่มีความจำเป็นต้องหันหัวม้ากลับ เพราะมีแต่จะไปรบกวนพลเดินเท้า ทำให้เสียรูปขบวนเปล่าๆ ดังนั้นผู้ที่รองรับไฟโทสะซึ่งอัดแน่นอยู่เต็มอกพวกเขาย่อมต้องเป็นเด็กหนุ่ม


บทที่ 245.3 เฉินผิงอันแห่งต้าหลีอยู่ที่นี่

โดย

ProjectZyphon

เพียงแต่ใครก็คิดไม่ถึงว่า อริยะกระบี่คนหนึ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในแคว้นซูสุ่ยมานานถึงหกสิบปี สามารถทลายขบวนรบได้อย่างแกร่งกร้าวก็ยังพอทำเนา แต่นี่เด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนในยุทธภพก็ยังรับมือยากไม่ต่างกัน เรือนกายของเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ปราดเปรียวว่องไวเกินไป ก้าวเดียวก็ขยับไกลถึงสองสามจั้ง อีกทั้งยังสามารถพลิกกายเปลี่ยนท่าอยู่ในพื้นที่แคบๆ อย่างคล่องแคล่ว ไม่เพียงแต่หลบธนูจากสำนักโม่สี่ห้าดอกที่พุ่งเป้ามาอย่างแม่นยำได้ แม้แต่ลูกธนูที่พุ่งมาดั่งห่าฝน เขาก็ยังฝ่าออกไปได้เช่นกัน


ระหว่างนี้ขอแค่เป็นลูกธนูที่พุ่งมาบนเส้นทางของเขาซึ่งไม่สามารถหลบเลี่ยงได้พ้นจริงๆ เด็กหนุ่มก็จะใช้สองมือปัดลูกธนูที่พุ่งมาด้วยน้ำหนักมหาศาลออกไปโดยตรง เมื่อเด็กหนุ่มปะทะเข้ากับกองทัพม้าที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ม้าศึกกองหน้าที่อาศัยแรงของฝีเท้าม้าควบม้าตะบึงมา เดิมทีคิดว่าจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ


แต่เด็กหนุ่มที่ไม่รู้ว่ามาจากฝ่ายไหนในยุทธภพผู้นั้นกลับเหมือนปลาหนีชิวที่ไหลลื่นจับตัวไม่ได้ เขาพาร่างของตัวเองลอดผ่านไประหว่างช่องว่างของม้าศึก มีบางครั้งที่ประมือกัน หากไม่ปล่อยหมัดต่อยใส่ด้านข้างของม้าศึก ต่อยจนทั้งคนทั้งม้าปลิวไปสองสามจั้ง ก็ใช้ไหล่กระแทกใส่เอียงๆ ม้าหงายผลึ่ง คนผงะกลิ้งหลายหลัง จุดจบอเนจอนาถไม่ต่างกัน


สุดท้ายเขาถึงกระโดดขึ้นเบาๆ เหยียบลงบนหลังม้าแล้วดีดตัวไปตามหัวหรือหลังของม้าศึกที่อยู่ด้านหลังไปตลอดทางเหมือนกบกระโดดแตะผิวน้ำ ทำให้พวกทหารม้ารู้สึกเพียงว่ามีลมเย็นๆ พัดผ่านใบหน้า ดาบก็ฟันออกไป ทวนก็แทงเสือกออกไปแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถสัมผัสได้แม้แต่ปลายเสื้อของเด็กหนุ่มผู้นั้น


ย่อมต้องเป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ขอบเขตสี่ขั้นสูงสุด หรืออาจถึงขั้นห้าอย่างแน่นอน!


ทหารม้าคนหนึ่งเล็งหอกยาวใส่ลำคอของเด็กหนุ่มที่ทะยานตัวอยู่กลางอากาศ แทงเสือกขึ้นมาพลางตวาดเสียงดังก้อง “ไปตายซะเถอะ!”


เฉินผิงอันเอียงคอหลบการจ้วงแทงของหอกยาวมาได้พอดี ขณะเดียวกันก็ยื่นมือไปกำด้ามหอกที่ทหารม้าในสนามรบทุกคนปรารถนาอยากครอบครองแม้แต่ในยามหลับฝันเอาไว้ ทหารม้าผู้นั้นกำด้ามหอกเอาไว้แน่น ทว่าต่อให้จะกำจนเลือดนองฝ่ามือ หอกยาวอันเป็นสมบัติที่รักซึ่งตกทอดมาจากบรรพบุรุษก็ยังถูกแย่งชิงไป เฉินผิงอันที่อยู่กลางอากาศเปลี่ยนมาใช้สองมือกำหอก แล้วปักมันลงไปบนพื้นแรงๆ หอกยาวที่มีระดับความยืดหยุ่นสูงพลันโค้งงอดุจสายธนูที่ถูกง้าว เสียงปังทึบหนักดังหนึ่งครั้ง ร่างของเฉินผิงอันก็ถูกดีดให้ลอยขึ้นไปกลางอากาศสูงอีกเจ็ดแปดจั้ง


ในมือยังคงถือปลายหอกอีกฝั่งหนึ่งไว้ ไม่ยอมปล่อยมันทิ้งไป


ภายใต้สายตาของกองทหารม้ากลุ่มใหญ่ที่หันหน้ากลับมามอง และภายใต้การจับจ้องของผู้คนมากมายรอบด้าน เด็กหนุ่มสะพายกระบี่ผู้มีสีหน้าเด็ดเดี่ยวดูคล้ายเทพเซียนที่เหินทะยานอยู่กลางสายลม พอหล่นลงบนพื้นที่ว่างด้านหน้าทหารเดินเท้าซึ่งรออยู่ด้านหลังทหารม้า อาภรณ์ของเด็กหนุ่มปลิวสะบัด สองเท้าสัมผัสพื้นแล้วก็ไม่ได้หยุดนิ่ง แต่ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ควงแขนเหวี่ยงหอกยาวเล่มนั้นขึ้นไปกลางอากาศสูงเต็มแรง จากนั้นตบลงบนน้ำเต้าบรรจุเหล้าที่เอวหนึ่งที กระโดดขึ้นสูง ร่างก็หายวับไป เหมือนกับเซียนที่ใช้วิชาอภินิหารย่อพื้นที่พันลี้ ต่อมาทุกคนก็เห็นว่าเด็กหนุ่มเหยียบลงบนด้ามหอก เท้าหนึ่งอยู่หน้า เท้าหนึ่งอยู่หลังได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ท่าทางเช่นนั้นคล้ายท่วงท่าของเซียนที่ขี่กระบี่ในตำนาน เปี่ยมไปด้วยท่วงทำนองของความอิสระเสรีที่ชาวยุทธ์ในสนามรบยากจะทำความเข้าใจได้


หากไม่เพราะคือศัตรูที่อยู่ฝั่งตรงกันข้าม เกรงว่าคงมีคนส่งเสียงไชโยโห่ร้องอย่างอดใจไม่ไหวไปแล้ว


จากนั้นภาพเหตุการณ์ที่ทำให้ทุกคนเต้นผางสบถด่าเสียงดังก็เกิดขึ้น


เด็กหนุ่มคนนั้นเหยียบบนหอกยาวที่ทะยานไปข้างหน้าเหนือขบวนรบใหญ่ไม่พอ เขายังปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าจากเอว แหงนหน้ากระดกขึ้นดื่มหนึ่งอึกด้วย!


แม้ทุกคนจะกัดฟันกรอดๆ อย่างแค้นเคือง แต่ลึกๆ ในใจหรือจะไม่รู้สึก…ปรารถนาอยากให้ตัวเองเป็นแบบนั้นบ้าง?!


สนามรบเหี้ยมโหดไร้ปราณี กลิ่นอายแห่งความห้าวหาญของยุทธภพแผ่อบอวล


เดิมทีทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน ก็เหมือนการทำลายขบวนรบของอริยะกระบี่แคว้นซูสุ่ยก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะตอนที่ใช้ปราณกระบี่ฟันผ่าขบวนของทหารเดินเท้า นั่นเป็นภาพที่อำมหิตคลุ้งไปด้วยคาวเลือดขนาดไหน?


แต่ตลอดทางที่เด็กหนุ่มสะพายกระบี่คนนี้พุ่งไปข้างหน้า เขากลับไม่ได้สังหารใครแม้แต่คนเดียว เพียงแค่แหวกขบวนรบไล่ตามผู้เฒ่าชุดดำไปติดๆ โดยไม่พูดไม่จา ฝ่าขบวนรบเหมือนกัน แต่กลับมีมาดสง่างามถึงเพียงนี้


เพราะหอกยาวพุ่งไปข้างหน้าเร็วเกินไป อีกอย่างการกระทำนี้ของเขาก็อยู่เหนือการคาดการณ์ของผู้คน เป็นเหตุให้มือธนูพลเดินเท้ามึนงง แต่เมื่อแม่ทัพผู้นำขบวนทัพตวาดออกคำสั่ง มือธนูในกองทัพที่มีพละกำลังแขนแข็งแกร่งที่สุดก็ง้างธนูมุ่งสังหารเฉินผิงอัน แน่นอนว่ายิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกผู้แข็งแกร่งในสนามรบที่มีคุณสมบัติได้ถือธนูเทพของสำนักโม่ พวกเขาง้างธนูสุดสายจนเป็นพระจันทร์เต็มดวงอยู่นานแล้ว สมบัติหนักของสำนักการทหารหลายชิ้นถูกสาดยิงตามไปติดๆ


 แล้วภาพเหตุการณ์ประหลาดไม่คาดฝันที่ทำให้คนปากอ้าตาค้างก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง


เห็นเพียงว่าระหว่างที่เด็กหนุ่มสะพายกระบี่ผูกน้ำเต้าไว้ที่เอวดังเดิมได้มีแสงพร่างพราวสีขาวหิมะและสีเขียวมรกตสองเส้นพุ่งออกมาอยู่ด้านล่างหอกยาว ไล่โจมตีลูกธนูทั้งหลายให้แตกกระจาย


เด็กหนุ่มไม่จำเป็นต้องหลบเลี่ยง ลูกธนูจำนวนน้อยนิดแต่กลับมีพลานุภาพมากไพศาลก็ล้วนตกลงเบื้องล่างอย่างเปล่าประโยชน์


หลังบินทะยานไปได้หลายสิบจั้ง หอกยาวที่สองขายืนเหยียบอยู่เริ่มลดระดับลงต่ำ เฉินผิงอันกระทืบลงบนหอกยาวหนึ่งที ไม่สนใจแล้วว่าหอกยาวด้ามนี้จะตกกระแทกพื้น ร่างของเขาโผบินเป็นเส้นตรงดีดขึ้นสูง หลบพ้นการพุ่งเข้ามาปลิดชีพของมือกระบี่ยอดฝีมือคนหนึ่งในยุทธภพได้พอดิบพอดี ฝ่ายหลังพลิ้วกายลงพื้นด้วยความเสียดาย หันกลับไปมองด้านหลัง สายตาฉายความอำมหิต ใบหน้าเต็มไปด้วยความแค้นเคือง


หากก่อนหน้านี้การที่ตนขวางซ่งอวี่เซาไว้ไม่ได้ ถูกปราณกระบี่มากไพศาลที่แทบจะไม่มีช่องว่างให้โจมตีของอีกฝ่ายผ่าแสกหน้าเข้ามาจนต้องถอยไปชนกับขบวนรบด้านหลัง ยังถือว่าเป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ แต่กับเด็กหนุ่มไร้นามคนหนึ่งก็ยังแตะต้องอีกฝ่ายไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บ นี่มันเรื่องอะไรกัน!


ฝึกทหารพันวัน ใช้ทหารเพียงชั่วครู่ชั่วยาม วันหน้าตนจะสามารถเสพสุขกับลาภยศอยู่ข้างกายแม่ทัพใหญ่ฉู่หาวอย่างเปิดเผยได้อย่างไร?


ขยับไปด้านหน้า ห่างจากธงใหญ่ของแม่ทัพหลักแค่ร้อยกว่าก้าว เดิมทีปราณกระบี่ขุ่นมัวที่ปกคลุมซ่งอวี่เซาไว้ภายในได้ถูกทวนและลูกธนูจำนวนนับไม่ถ้วนสกัดขวางจนเกิดความเสียหายอย่างหนัก บวกกับที่มีชาวยุทธ์ฝีมือดีสิบกว่าคนร่วมมือกันพุ่งเข้ามาประหัตประหาร ดังนั้นเมื่อปราณกระบี่สีเขียวสายหนึ่งที่มาพร้อมกับเสียงลมและฟ้าร้องพุ่งมาถึง ซ่งอวี่เซาจึงยกกระบี่พาดขวางไว้ตรงหน้า แม้ว่าสุดท้ายแล้วปราณกระบี่ที่เป็นดั่งงูหลามสีเขียวจะสามารถทำลายค่ายกลกระบี่จันทร์เต็มดวงของผู้เฒ่าได้สำเร็จ แต่ก็ถูกกระบี่ยาวตั้งตระหง่านฟันออกเป็นสองท่อน จึงพุ่งผ่านสองข้างกายของผู้เฒ่าไป เป็นเหตุให้พลเดินเท้าสวมเกราะหนักหลายสิบคนที่อยู่ด้านหลังตายคาที่


ซ่งอวี่เซาเก็บท่ากระบี่วางพาดหน้าลง มุมปากมีเลือดสดไหลซึม ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ผู้เฒ่าก็ยังไม่กล้าเปลี่ยนลมปราณง่ายๆ


เพราะคนที่ออกกระบี่เมื่อครู่นี้ก็คือปรมาจารย์วิถีกระบี่ซึ่งอย่างน้อยต้องมีขอบเขตห้าคนหนึ่งซึ่งยืนห่างออกไปหนึ่งร้อยก้าว


คนผู้นั้นยืนอยู่ใต้ธงผืนใหญ่ ข้างกายแม่ทัพใหญ่ฉู่หาว สวมชุดคลุมยาวสีเขียว มือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งชี้ปลายกระบี่เข้าใส่ซ่งอวี่เซา


คนผู้นี้อายุไม่มาก มองดูแล้วประมาณสามสิบปี แต่อายุที่แท้จริงอาจสี่สิบปี กระบี่ยาวในมือไม่ใช่อาวุธเทพที่ตัดเหล็กได้เหมือนตัดโคลนอะไร แต่เป็นไม้ไผ่สีเขียวท่อนหนึ่งที่เรียบลื่นแวววาวน่ามอง ยาวสองฉื่อหกชุ่น ระดับความยาวเท่ากับกระบี่ทั่วไป


เขายืนอยู่บนหลังม้าอย่างเย่อหยิ่ง แม่ทัพใหญ่ฉู่หาวที่ถูกอีกฝ่ายยืนค้ำศีรษะกลับไม่ถือสา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มปลาบปลื้ม


มือกระบี่ที่ใช้ไม้ไผ่เขียวแทนกระบี่ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ฝักกระบี่ไม้ไผ่อันนั้นของซ่งอวี่เซาไม่เลวเลยทีเดียว แม่ทัพฉู่ ยกมันให้ข้าได้ไหม?”


ฉู่หาวกล่าวอย่างใจกว้าง “ทำไมจะไม่ได้เล่า? อย่าได้แต่ฝักไม้ไผ่เลย แม้แต่กระบี่ก็จะมอบให้เจ้าไปพร้อมกันด้วย!”


มือกระบี่ส่ายหน้าเอ่ยยิ้มๆ “ไม่ต้องหรอก ตั้งตระหง่านเล่มหนึ่ง หากแม่ทัพฉู่สามารถนำมันไปมอบให้กับฮ่องเต้ของพวกเจ้า เพื่อเป็นการแสดงว่ายุทธภพปาวรณาตัวเป็นข้ารับใช้ของราชสำนัก ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี”


ฉู่หาวพลันกระจ่างแจ้ง ปรบมือหัวเราะชอบใจ “ยังคงไปเซียนไผ่เขียวที่คิดได้รอบคอบ ทำแบบนี้ได้ย่อมดีที่สุด!”


ซ่งอวี่เซากลั้นลมหายใจทำสมาธิ ยืนอยู่บนพื้นที่ว่างขนาดเล็กซึ่งทหารตรงจุดหนึ่งเบี่ยงหลบให้ด้วยตัวเอง


มือกระบี่หนุ่มที่เป็นเซียนกระบี่ไผ่เขียวของแคว้นซงซีถามยิ้มๆ “อริยะกระบี่ซ่ง เชื่อหรือไม่ว่าตอนที่เจ้าผลัดเปลี่ยนลมปราณ ก็คือช่วงเวลาที่เจ้าสิ้นลมหายใจ”


สีหน้าของซ่งอวี่เซาเย็นชา


ด้านหลังมีเสียงอึกทึกดังขึ้นมาเป็นระลอก


ฉู่หาวหรี่ตาลง ควักของเล็กๆ ลักษณะเหมือนก้อนเงินออกจากชายแขนเสื้อมากำไว้ในฝ่ามือ จากนั้นก็บิดลำคอหนึ่งที เพียงไม่นานก็มีผู้เฒ่าผมขาวสองคนที่ลมหายใจทอดยาวเดินออกมา คนผู้หนึ่งสวมชุดยาวผ้าแพร ระหว่างนิ้วสองข้างคีบยันต์สีเขียวไว้หนึ่งแผ่น ตัวยันต์เขียนด้วยอักษรสีทอง อีกคนหนึ่งเรือนกายล่ำสัน มือถือขวานคู่ บนขวานสลักลายเมฆมงคล คนทั้งสองต่างก็ไม่ได้สวมเกราะ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนของกองทัพ


คนทั้งสองมองไปด้านหลังของซ่งอวี่เซา เมื่อเทียบกับความสงบนิ่งไม่สะทกสะท้านของเซียนกระบี่ไผ่เขียวแล้ว ผู้เฒ่าสองคนที่ติดตามมมากับกองทัพกลับมีสีหน้าที่เคร่งเครียด


ในฐานะผู้ฝึกลมปราณใหญ่ที่รับใช้เชื้อพระวงศ์แคว้นซูสุ่ย พวกเขารู้ดีว่าผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่สามารถบ่มเพาะกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาได้ ไม่ว่าจะหนุ่มหรือแก่ หากยอมสละชีวิตต่อสู้ดั่งสัตว์ที่ติดกับดักแล้ว จะหมายความว่าอะไร


ฉู่หาวเอ่ยเบาๆ “พวกเจ้าคนหนึ่งช่วยเซียนกระบี่ไผ่เขียวสังหารซ่งอวี่เซา รีบรบรีบจบ อีกคนหนึ่งต้องถ่วงเวลาเด็กหนุ่มผู้นั้นไว้ให้ได้”


ชายร่างยักษ์ที่ถือขวานคู่ก้าวยาวๆ เข้าหาซ่งอวี่ซาน ยิ้มเหี้ยมกล่าวว่า “ข้าจะเป็นคนบีบให้ตาแก่นี่ต้องเปลี่ยนลมปราณเอง!”


ผู้เฒ่าสวมชุดผ้าแพรยิ้มฝาดเฝื่อน เก็บความคิดทั้งหมดลง ขว้างยันต์กระดาษเขียวที่เก็บรักษาเป็นอย่างดีมาหลายปีแผ่นนั้นไปยังกลางอากาศ เมื่อศัตรูตัวฉกาจมาอยู่ตรงหน้า ต่อให้จะเสียดายแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์


หลังจากที่ยันต์ลอยขึ้นกลางอากาศก็หายวับไปในชั่วพริบตา


ทันใดนั้นมันก็มาโผล่ห่างออกไปหนึ่งร้อยห้าสิบก้าว แสงสีทองระเบิดกระจาย สุดท้ายกลายเป็นแม่ทัพฝ่ายบู๊สวมเสื้อเกราะสีทองตนหนึ่งที่ทิ้งร่างลงบนพื้นดังโครม เรือนกายของเขาสูงสองจั้ง เมื่อยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มของทหารเดินเท้าก็โดดเด่นดุจนกกระเรียนในฝูงไก่ มือของเขาถือง้าวขนาดใหญ่ด้ามหนึ่ง ด้านในเสื้อเกราะสีทองที่หนักอึ้งนั้นมีเพียงประกายแสงสีเงินไหลวน แม่ทัพฝ่ายบู๊ผู้นี้ไม่ได้มีเรือนกายที่แท้จริง


เฉินผิงอันห้อตะบึงมาตลอดทาง มองดูเหมือนวิ่งอยู่กลางอากาศ แต่ในความเป็นจริงแล้วทุกก้าวที่เท้าเหยียบลงไปล้วนเหยียบลงบนกระบี่บินสองเล่มอย่างชูอีและสืออู่


หากจะบอกว่าเฉินผิงอันคือคนหัวรั้นดื้อดึง ย่อมไม่ผิดแน่นอน


แต่เมื่อเขาเริ่มออกเดินทางในยุทธภพเพียงลำพัง เมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงที่ชอบกระโดดข้ามธารน้ำแล้ว อันที่จริงเฉินผิงอันเปลี่ยนไปเยอะมาก


เวลานี้มองเห็นว่าห่างไปไม่ไกลมีมัลละร่างเงินสวมเกราะทองที่ในมือถือง้าวใหญ่สีทองเล่มหนึ่ง ตั้งท่าพร้อมต่อสู้ กำลังจ้องมาที่ตนเขม็ง


จิตใจของเฉินผิงอันก็ยังคงนิ่งสงบไม่ไหวติง นักพรตจงเมี่ยวของเมืองแยนจือก็มีมัลละร่างทองเหลืองสองตนคอยให้การปกป้อง ดูเหมือนว่าหากเป็นมัลละร่างทองเหลืองของพรรคมหายันต์ซึ่งมีระดับสูงตนหนึ่งจะสามารถทัดเทียมได้กับผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสาม มัลละเกราะทองที่ร่างสูงสองจั้งตรงหน้าตนนี้คาดว่าอย่างน้อยน่าจะมีพลังการต่อสู้ของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่ หรืออาจจะถึงขอบเขตห้าก็เป็นได้


เพียงแต่ว่าขนาดตอนเพิ่งเริ่มฝึกวิชาหมัด เฉินผิงอันยังกล้างัดข้อกับวานรย้ายขุนเขาของภูเขาตะวันเที่ยง


เมื่อเฉินผิงอันคิดจะดื้อดึงขึ้นมา เขาก็ไม่เคยกลัวใครเลยจริงๆ


สั่งสมให้มากแล้วเอาออกมาใช้ทีละน้อย เมื่อคำนี้ผุดขึ้น หัวสมองของเฉินผิงอันก็สว่างวาบ


เฉินผิงอันเอื้อมมือไปจับกระบี่ไม้ไหวที่อยู่ด้านหลังอย่างเป็นธรรมชาติ


ขณะเดียวกันก็พูดกับตัวเองในใจว่า “ชูอี สืออู่ ไปช่วยผู้อาวุโสซ่งรับมือกับมือกระบี่และชายร่างยักษ์ผู้นั้น มัลละตนนี้ข้าจะจัดการเอง”


อยู่ห่างอีกแค่ยี่สิบก้าว แสงกระบี่สองเส้นใต้ฝ่าเท้าของเฉินผิงอันก็แยกออกไปหนึ่งซ้ายหนึ่งขวา วาดวงโค้งอ้อมผ่านมัลละเกราะทองมือถือง้าวใหญ่ที่เริ่มกระทืบเท้าหนักๆ แล้ววิ่งตะบึงมาด้านหน้า


เฉินผิงอันที่ยังค้างอยู่ในท่าจับด้ามกระบี่ไม้ด้านหลังกระโดดผลุงออกไปพลางตะโกนว่า “ผู้อาวุโสซ่ง เชิญท่านเปลี่ยนลมปราณให้สบายใจ!”


มีศัตรูฝีมือร้ายกาจอยู่ตรงหน้า ขวานคู่ของชายร่างยักษ์ล่ำสันกำลังจะฟันลงมา อีกทั้งเซียนกระบี่ไผ่เขียวยังจ้องเขม็งพร้อมตะครุบ ซ่งอวี่เซากลับยกยิ้มเชื่อใจ แล้วก็เริ่มเปลี่ยนลมปราณจริงๆ!


เซียนกระบี่ไผ่เขียวที่ยืนอยู่บนหลังม้าปล่อยกระบี่ฟันฉับทันควัน


เฉินผิงอันที่ร่างลอยอยู่กลางอากาศพึมพำด้วยถ้อยคำที่ใครก็ไม่ได้ยิน จากนั้นร่างทั้งร่างของเขาก็จมสู่สภาวะอัศจรรย์อย่างหนึ่งซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน


ลืมสิ้นทั้งวัตถุและตัวตน จิตแห่งกระบี่ใสกระจ่าง


ครานั้นในวัดร้าง กระบี่ไม้ไหวฟันลงไปอย่างง่ายๆ เพียงครั้งเดียวก็สามารถผ่าทลายค่ายกลใหญ่แสงทองของปีศาจใหญ่ชุดสีชมพูได้


ในเมื่อไม่มีความสามารถที่จะทำเช่นนั้นได้ การออกกระบี่ของข้าในวันนี้ก็เหมือนกับการเรียนวิชาหมัด ค่อยๆ ฝึกไปทีละหมัด ทีละหมัด สักวันย่อมต้องต่อยได้หนึ่งล้านหมัด แค่เลียนแบบความหมายของมันก่อน ยังไม่ต้องเลียนแบบรูปลักษณ์ของมัน!


แค่ส่งกระบี่ออกไปก็พอ!


มีภูเขาผ่าภูเขา มีน้ำสะบั้นน้ำ!


ปราณกระบี่สิบแปดหยุดในร่างพุ่งโคจรอย่างไม่มีกักไว้ ประหนึ่งน้ำที่ท่วมทะลักเขื่อนกั้น ไหลกรากเข้าโจมตีช่องโพรงลมปราณห่างไกลที่ถูกผู้ฝึกกระบี่ในปัจจุบันมองเป็นดั่งซี่โครงไก่


เฉินผิงอันดึงกระบี่ไม้ไหวออกจากฝัก ฉับพลันนั้นกระบี่พร้อมปราณกระบี่เจิดจ้าที่ตัวเขาเองมองไม่เห็นก็พากันฟาดฟันเข้าใส่มัลละเกราะทองสูงสองจั้งตนนั้น


ทั้งง้าวใหญ่ยักษ์และแม่ทัพบู๊ในเสื้อเกราะทองต่างก็ถูกฟันไปพร้อมกันเสียงดังฟั่บ!


เฉินผิงอันที่สองเท้าสัมผัสพื้นเงยหน้าขึ้นจึงเห็นว่าบนร่างของมัลละเกราะทองเกิดร่องลึกพาดเอียง แสงสีเงินปริพุ่ง เกราะทองแตกร้าว


ครั้นแล้วร่างของมันก็หล่นเอนลงมาตรงหน้าเขา ก่อนจะระเบิดตูม แสงสีเงินและสีทองปลิวว่อนคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ


เฉินผิงอันที่เหงื่อแตกเต็มศีรษะ สองเข่างอเล็กน้อยอึ้งงันไปครู่หนึ่ง แต่ไม่นานก็คืนสติ เขายืดเอวขึ้นตรง กำกระบี่ไม้ไหวที่อยู่ในมือแน่น


ท่องในยุทธภพ ข้ามีหนึ่งกระบี่!


เด็กหนุ่มไม่เคยรู้สึกสะใจอย่างเต็มคราบแบบนี้มาก่อน ด้วยเหตุนี้จึงอยากระบายความอัดอั้นในใจ ท่ามกลางกองทัพใหญ่นับหมื่น เด็กหนุ่มที่มือข้างหนึ่งถือกระบี่ไม้ไหวซึ่งเพิ่งจะโจมตีสำเร็จตะโกนออกไปเสียงดังว่า “เฉินผิงอันแห่งต้าหลีอยู่นี่แล้ว!”


—–


บทที่ 246.1 เสียงสวบสาบดังในป่า ลมฟ้าลมฝนมืดทะมึน

โดย

ProjectZyphon

สนามรบพลันเงียบงัน หลังจากความตกตะลึงของคนในขบวนทัพที่ห้อมล้อมเด็กหนุ่มเป็นจุดศูนย์กลางผ่านพ้นไป ก็เกิดเป็นเสียงเกราะเหล็กที่ดังสะเทือนอย่างพร้อมเพรียงกัน การทำสงครามของทัพใหญ่ไม่ใช่การมาร่วมวงดูเรื่องครึกครื้น ทันใดนั้นทวนยาวก็หันปลายแหลมเข้าหา ธนูถูกง้าวขึ้น ล้วนเล็งมาที่เซียนกระบี่เด็กหนุ่มที่บอกว่าตัวเองเป็นคนของต้าหลี


จากนั้นเฉินผิงอันก็ทำในสิ่งที่ไม่ถูกกาลเทศะอย่างยิ่ง มือซ้ายสอดกระบี่ไม้ไหวกลับเข้ากล่องไม้ มือขวาปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าลงมาอย่างคุ้นเคย แล้วชูมือซ้ายขึ้นสูงราวกับกำลังบอกกองทัพใหญ่ของแคว้นซูสุ่ยว่า ‘ทุกท่านโปรดรอสักครู่ ให้ข้าดื่มเหล้าก่อนค่อยตีกันต่อก็ยังไม่สาย’


เสียงฮือฮาดังเซ็งแซ่เหมือนเสียงกระแสน้ำขึ้น ต่อให้เป็นแม่ทัพนายกองที่เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ก็ยังหันมามองหน้ากันเอง หรือว่าเซียนกระบี่เด็กหนุ่มที่ฟันเกราะทองแหลกสลายด้วยกระบี่เดียวจะสามารถใช้กำลังของคนคนเดียวต่อกรกับคนนับหมื่นได้จริงๆ? ถึงได้มีท่าทางสบายใจเหมือนเดินเล่นอยู่ในสวน ตั้งแต่ต้นจนจบเอาแต่พุ่งกระโจนไปข้างหน้าอย่างเดียว ราวกับมองไม่เห็นกองทัพใหญ่ที่มีทหารนับหมื่นนายอยู่ในสายตา? สงครามที่น่าอัดอั้นตันใจแบบนี้จะสู้กันต่อได้อย่างไร! ถึงอย่างไรก็คงไม่ควรให้พี่น้องเอาชีวิตไปเต็มเติมหลุมที่ไร้ก้นหรอกกระมัง? เงินช่วยเหลือหนึ่งร้อยตำลึงเงินสูงมากก็จริง แต่ความสัมพันธ์ระหว่างสหายร่วมสมรภูมิรบในใต้หล้าแห่งนี้ ใครเล่าจะเต็มใจอยากเห็นคนคุ้นเคยที่มีชีวิตชีวาอยู่ข้างกายกลายมาเป็นเงินทองที่ไร้ชีวิต?


กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มอย่างชูอีกับสืออู่ต่างก็สร้างคุณความชอบ ช่วยเสริมภาพลักษณ์ของผู้ไร้เทียมทานลวงตาให้แก่เฉินผิงอัน


ปราณกระบี่ของเซียนไผ่เขียวที่ฟันเข้าหาซ่งอวี่เซาประหนึ่งกระแสน้ำขึ้นที่ซัดมาเบื้องหน้า แต่กลับถูกชูอีที่บินอย่างกำเริบเสิบสานลอดทะลวงอยู่ในกระแสน้ำอย่างต่อเนื่อง คอยลดทอนกลืนกินพลังของอีกฝ่ายทีละนิดจนไม่มีเหลือ ส่วนผู้ฝึกตนสำนักการทหารแคว้นซูสุ่ยที่สองมือถือขวานยักษ์ก็ถูกสืออู่ที่มีความเร็วจนน่าตะลึงแทงเข้าใส่หว่างคิ้ว ทำเอาชายร่างกำยำตกใจรีบหดท่าจู่โจม เขาไม่คิดจะแลกชีวิตกับซ่งอวี่เซา ดังนั้นจึงจำต้องใช้ขวานคู่สกัดไปรอบกายตัวเองทำให้เกิดเสียงเคร้งๆๆ ดังกังวานเสนาะหู ประกายไฟแลบกระเซ็นจากขวานคู่ไม่หยุด


ซ่งอวี่เซาที่ได้โอกาสเปลี่ยนลมปราณเฮือกใหม่จนเสร็จยื่นมือออกไป กำตั้งตระหง่านที่สาดประกายคมกริบ ตรงเอวห้อยฝักกระบี่ไม้ไผ่ ปณิธานกระบี่ทั่วร่างเพิ่มพูน ชุดสีดำของผู้เฒ่าปลิวไสวทั้งๆ ที่ไร้ลม สามารถปลดปล่อยตัวเองต่อสู้อย่างเต็มที่ ช่างสาแก่ใจยิ่งนัก


หลังจากที่เฉินผิงอันยกมือทำให้ผู้คนงุนงงแล้ว ขณะเดียวกันกับที่แหงนหน้าดื่มเหล้า เขาก็พูดในใจตัวเองไปด้วยว่า “ชูอี สืออู่ โรมรันกับคู่ต่อสู้ของพวกเจ้าต่อไป จะเล่นท่าวาดลวดลายมากหน่อย…ก็ไม่เป็นไร!”


กระบี่บินชูอีเป็นดั่งอันธพาลที่ชอบตามตอแยไม่เลิกราซึ่งหมายตา ‘สาวน้อย’ อย่างเซียนกระบี่ไผ่เขียว ส่วนสืออู่ก็ยิ่งฟาดฟันขวานคู่อาวุธหนักของชายร่างกำยำจนไม่เหลือสภาพเดิม พื้นผิวของขวานเต็มไปด้วยหลุมบ่อ ทำเอาเจ้าของเสียดายอย่างถึงที่สุด


เซียนกระบี่ไผ่เขียวมีทั้งสายตาและตบะที่สูงกว่าผู้อื่น ระหว่างที่ต้านทานชูอี ปรมาจารย์วิถีกระบี่ที่หมายมาดศีรษะของอริยะกระบี่เฒ่าแคว้นซูสุ่ยก็แผดเสียงเดือดดาลเปิดโปงความลับด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร “สองครั้งที่เด็กหนุ่มคนนั้นดื่มเหล้าเป็นเรื่องหลอก ผลัดเปลี่ยนลมปราณต่างหากที่เป็นของจริง!”


ศึกระหว่างปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ เมื่อโอกาสมาแล้วไม่ควรพลาด พลาดไปแล้วก็ไม่มีโอกาสอีก


เฉินผิงอันวางมือลง เอาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่รัดไว้ตรงเอวให้เรียบร้อย กระโดดข้ามขบวนของพลเดินเท้า ส่งยิ้มเจิดจ้าให้กับเซียนกระบี่ไผ่เขียวผู้นั้น


ซ่งอวี่เซาที่เปลี่ยนลมปราณเฮือกใหม่แล้วพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังเหมือนราดน้ำมันลงบนกองเพลิง “เจ้าทึ่ม!”


หลังจากเสียสมบัติก้นกรุไป ผู้เฒ่าชุดแพรที่ก่อนหน้านี้ใช้ยันต์เชิญมัลละเกราะทองตนหนึ่งออกมาก็ยิ้มขื่น สองนิ้วคีบยันต์สีเขียวออกมาสามแผ่น เพียงแต่ว่ายันต์พวกนี้ไม่ได้เขียนด้วยตัวอักษรสีทอง หนึ่งแผ่นคือตัวอักษรสีเงิน สองแผ่นตัวอักษรสีแดง โยนพวกมันออกไปอีกครั้ง มัลละพรรคมหายันต์ลัทธิเต๋าอีกสามตนก็ร่วงกระแทกพื้นดังโครม พวกมันยืนเคียงไหล่กันสกัดขวางอยู่ด้านหน้าธงรบผืนใหญ่ของแม่ทัพหลัก มัลละตนหนึ่งสวมเกราะสีเงิน อีกสองตนสวมเกราะสีทองเหลือง


เมื่อซ่งอวี่เซาและเซียนกระบี่เด็กหนุ่มร่วมมือกันบุกสังหารมาถึงธงใหญ่ สองฝ่ายที่เป็นศัตรูกันเริ่มเปลี่ยนสถานะจู่โจมและป้องกันอย่างไร้รูปลักษณ์


หากไม่มีฝ่ายหลัง อันที่จริงซ่งอวี่เซาคงต้องรบตายอยู่ที่นี่ไปแล้ว


ทว่าเมื่อมีคนคนหนึ่งเข้ามาป่วนสถานการณ์ กลับทำให้ซ่งอวี่เซาเป็นฝ่ายได้เปรียบ


ฉู่หาวตัดสินสภาพการณ์ของการต่อสู้ครั้งนี้ได้อย่างชัดเจน อยู่บนหลังม้ามาครึ่งชีวิต เคยลงสนามรบทั้งเล็กและใหญ่มากว่าสามสิบสนาม ยังไม่เคยพ่ายแพ้ สายตาแค่นี้จึงยังพอมีอยู่บ้าง


ดังนั้นแม่ทัพใหญ่ที่สีหน้าอึมครึมท่านนี้จึงแอบกรอกลมปราณที่แท้จริงใส่เข้าไปในอาวุธหนักสำนักการทหารลักษณะเหมือนก้อนเงินที่อยู่ในมือ เม็ดเสื้อเกราะที่เป็นของล้ำค่าที่สุดในบรรดาสินเจ้าสาวอันอุดมสมบูรณ์ของฮูหยินเขาในปีนั้นทำให้เวลานี้เหมือนมีปรอทสีเงินไหลวนเวียนอยู่ด้านนอกเสื้อเกราะที่ฉู่หาวสวมใส่ เสื้อเกราะหนักของฝ่ายทหารที่เดิมทีเป็นสีดำสนิทกลายมาเป็นเสื้อเกราะวิเศษสีขาวหิมะที่เต็มไปด้วยลวดลายเมฆโบราณ มีชื่อว่าเทพรับน้ำค้าง บนภูเขาเรียกกันว่าเสื้อเกราะน้ำค้างหวาน


แม้ว่าจะเป็นระดับล่างสุดในบรรดาเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหาร แต่มองไปทั่วหลายสิบแคว้นซึ่งรวมแคว้นซูสุ่ยเป็นหนึ่งในนั้นก็ไม่มีแม่ทัพคนใดที่สามารถครอบครองวัตถุชิ้นนี้ได้ แน่นอนว่าไม่ได้เป็นเพราะในกระเป๋าของพวกเสาหลักแห่งแคว้นที่กุมอำนาจสำคัญไว้ในมือไม่มีเงิน แต่เป็นเพราะมีราคาแต่ไม่มีวางขาย อย่าว่าแต่มูลค่าของมันที่เท่ากับหนึ่งพันห้าร้อยเงินเกล็ดหิมะเลย ต่อให้ราคาสูงกว่านี้ไปอีกหนึ่งเท่าตัว พวกแม่ทัพฝ่ายบู๊ก็ยินดีทุบหม้อขายเหล็กเอาเงินมาซื้อสักเม็ด เงินเกล็ดหิมะสามพันเหรียญสำหรับบนภูเขาเท่ากับสามแสนตำลึงเงิน แลกมาด้วยยันต์ป้องกันชีวิตที่ดีที่สุด ใครบ้างจะไม่ยอมควักเงินนี้? แค่เพราะหาซื้อไม่ได้ก็เท่านั้น


ผู้ฝึกตนตระกูลเซียนบนภูเขาแทบจะยึดครองเม็ดเสื้อเกราะไว้เองทั้งหมด นอกเหนือจากผู้ฝึกกระบี่ ผู้ฝึกลมปราณที่ด้านการหล่อหลอมเรือนกายไม่อาจเทียบเคียงกับผู้อื่นได้ก็ยิ่งอยากซื้อเม็ดเสื้อเกราะไว้เป็นยันต์ป้องกันตัว ไหนเลยจะตกมาถึงมือของชาวบู๊ด้านล่างภูเขาได้? หากไม่เรียกว่าย่ำยีวัตถุสวรรค์ให้เสียเปล่าจะเรียกว่าอะไร?


ซ่งอวี่เซาเริ่มออกวิ่ง เมื่อไม่มีอะไรให้ต้องพะวงหลัง หนึ่งคนหนึ่งกระบี่ก็ยิ่งบุกตะลุยได้อย่างราบรื่น


เพราะมีเฉินผิงอันคอยช่วยระวังหลังให้อยู่


เฉินผิงอันหัวเราะเสียงดัง เดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าวไกลถึงสองจั้งกว่า “กลับมา!”


ชูอีไม่เต็มใจจะปล่อยเซียนกระบี่ไผ่เขียวไป จึงลอยกลับมาอย่างอืดอาด เห็นได้ชัดว่ากำลังกวนโมโหเฉินผิงอัน


แต่กระบี่บินสืออู่กลับพุ่งมาล้อมวนอยู่รอบกายเฉินผิงอันในเสี้ยววินาที ช่วยสกัดกั้นปลายทวนและลูกธนูที่กรูเข้ามาให้เขา


เซียนกระบี่ไผ่เขียวที่ยืนอยู่บนหลังม้าตลอดเวลาถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที ชำเลืองตามองฝักกระบี่ไม้ไผ่ตรงเอวของซ่งอวี่เซาอย่างอาลัยอาวรณ์ เซียนกระบี่แคว้นซงซีที่ชื่อเสียงในยุทธภพเหนือกว่าซ่งเฟิ่งซานระดับหนึ่งผู้นี้เอนตัวไปด้านหลัง ดีดปลายเท้าหนึ่งครั้ง ร่างก็พุ่งออกไปด้านหลังทันที จากนั้นเขาก็พลิกตัวกลางอากาศ เหยียบลงบนหัวของทหารที่ยืนอยู่ด้านหลังธงใหญ่หัวแล้วหัวเล่า ล่องลอยหนีจากไปไกลทั้งอย่างนี้ หลังถอยห่างจากกองทัพใหญ่ของแคว้นซูสุ่ยได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว เซียนกระบี่หนุ่มก็เก็บไม้ไผ่เขียวท่อนนั้นห้อยไว้ที่เอว แล้วค่อยๆ เดินไปทางเมืองใหญ่ หันหน้ากลับมามองทางธงรบอีกครั้งก็เอ่ยด้วยความเสียดายว่า “หากคิดจะฉวยโอกาสช่วงชิงฝักกระบี่ไม้ไผ่ภูเขาชิงเสินนั้นมา ก็ไม่รู้ว่าต้องรอไปอีกนานแค่ไหน หากครั้งนี้ซ่งอวี่เซารอดชีวิตไปได้ จะอย่างไรก็คงต้องมีชีวิตอยู่อีกยี่สิบสามสิบปีกระมัง?”


พอเซียนกระบี่ไผ่เขียวหนีไป กองทัพใหญ่ของราชสำนักแคว้นซูสุ่ยก็เริ่มระส่ำระส่าย สายตาของฉู่หาวแสดงความกังขา หันหน้าไปมองขบวนพลเดินเท้าจากฐานทัพประจำท้องถิ่นที่ทหารแตกฮือ สภาพดีกว่าระเบิดลงค่ายเล็กน้อย ตามหลักแล้วไม่ควรจะวุ่นวายโกลาหลขนาดนี้ถึงจะถูก แม้ว่าพลังการต่อสู้ของทหารประจำด่านแคว้นซูสุ่ยสี่สายนี้จะเทียบกับทหารสายตรงของตัวเองไม่ได้ แต่พลทหารเท้าสองสายเป็นทหารเก่าแก่ เคยผ่านศึกอยู่ในชายแดนมาแล้วหลายปี ก็ไม่น่าจะไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวขนาดนี้


เมื่อฉู่หาวเห็นว่าแม่ทัพคนหนึ่งที่ประจำการอยู่ในท้องถิ่นไม่เพียงแต่ไม่หยุดยั้งสถานการณ์ย่ำแย่ที่แทบจะใกล้เคียงกับคำว่าเละเทะนี้ กลับยังนั่งกอดอกอยู่บนหลังม้าสบายใจเฉิบราวกับเป็นคนที่อยู่นอกสถานการณ์ สีหน้าของฉู่หาวก็พลันเขียวคล้ำ กัดฟันกรอดๆ ด้วยความโมโห ใจอยากจะควบม้าตะบึงไปโบกดาบฟาดฟันอีกฝ่ายให้เละเป็นโจ๊กยิ่งนัก


แต่แล้วฉู่หาวก็หน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง กระดกก้นขึ้น ทอดสายตามองไปไกล ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ขบวนเดินเท้าซึ่งส่วนใหญ่แล้วปักหลักไม่ขยับกลับกลายมาเป็นฝ่ายที่สกัดกั้นการช่วยเหลือจากทหารม้าสายตรงสกุลฉู่ กั้นขวางตนที่อยู่ใต้ธงผืนใหญ่และผู้ติดตามคนสนิทหลายสิบคนให้แยกห่างจากทหารม้าสามพันนาย


ซ่งอวี่เซาคนเดียวรับมือกับชายกำยำถือขวานและมัลละที่ผู้เฒ่าชุดแพรเชิญมาจากแผ่นยันต์ก็ยังมีพลังเหลือเฟือ จึงคอยสังเกตทุกการกระทำของฉู่หาวอยู่ตลอดเวลา


เฉินผิงอันเริ่มค้นพบว่าสถานการณ์พัฒนาไปอย่างแปลกประหลาด การจู่โจมที่ดุดันรุนแรงของขบวนเดินเท้าค่อยๆ ลดความเร็วลง นอกจากยอดฝีมือในยุทธภพที่ล้อมกันเข้ามาโจมตีตน ลูกธนูและทวนจากกองทัพยิ่งลดน้อยลงเรื่อยๆ สุดท้ายทหารเหล่านั้นก็เปลี่ยนมาเป็นคล้ายดูไฟชายฝั่ง เหมือนกำลังชมงิ้วอย่างไรอย่างนั้น อีกทั้งยังมีขุนพลฝ่ายบู๊ที่ลักษณะเหมือนแม่ทัพนายกองควบม้าผ่านช่องว่างระหว่างขบวนเดินเท้า คอยกระซิบบอกอะไรบางอย่างกับทหารใต้บัญชาการณ์ของตัวเองอย่างต่อเนื่อง


หนึ่งกระบี่ของซ่งอวี่เซาตัดมัลละร่างทองเหลืองตนหนึ่งขาดครึ่งท่อน ยันต์ที่กลับคืนสู่สภาพเดิมระเบิดเป็นผุยผงอยู่กลางอากาศ แล้วอีกกระบี่หนึ่งก็ตวัดผ่านขวานยักษ์สองเล่ม สะเก็ดไฟยาวเส้นหนึ่งเหยียดระเบิดตัวแล้วสาดกระจายไปสี่ด้านแปดทิศ สะเก็ดไฟร้อนลวกที่เป็นเศษชิ้นส่วนของขวานไปตกกระทบลงบนเสื้อเกราะของทหารที่อยู่ห่างไปไกล สองฝ่ายโจมตีกันเกิดเป็นเสียงโลหะกระทบเบาๆ นี่แสดงให้เห็นว่าตบะของบุคคลอันดับหนึ่งบนวิถีวรยุทธ์ของแคว้นซูสุ่ยผู้นั้นน่าครั่นคร้ามมากเพียงใด


หลังจากหนึ่งกระบี่บีบให้ผู้ฝึกตนของสำนักการทหารที่รับใช้ราชสำนักแคว้นซูสุ่ยผู้นั้นถอยไปได้ ซ่งอวี่เซาก็ชี้ปลายกระบี่ไปที่ฉู่หาว ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ข้าผู้อาวุโสเดินทางไกลมาต้อนรับในครั้งนี้จะขอเชิญแค่แม่ทัพใหญ่ฉู่หาวไปเป็นแขกที่หมู่บ้านคนเดียวเท่านั้น คนอื่นๆ ที่เหลือ หากเต็มใจตายก็จงสู้จนตัวตาย อยู่ภายใต้ตั้งตระหง่าน เป็นตายต้องรับผิดชอบเอง!”


ทันใดนั้นภายใต้ธงรบผืนใหญ่ที่โบกสะบัดก็เกิดเสียงดังกัมปนาท


—–

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)