ยอดหญิงสกุลเสิ่น 243.1-244.1
ตอนที่ 243-1 สำรวจจวนเสนาบดีฉินอีกครั้ง
ตอนที่ท่านเสนาบดีฉินรู้ว่าแม่นางที่ถูกลูกชายคนเล็กฉุดเข้าจวนหายตัวไป ก็ยิ่งมั่นใจว่าเรื่องนี้ผิดปกติ หากบอกว่ามีคนพุ่งเป้ามาที่ลูกชายคนเล็กของเขาวางกับดักกลับไม่แน่ อย่างไรเสียก็ไม่มีเรื่องที่บังเอิญเพียงนั้น คาดว่าหลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้นคงจะมีคนจับปลาในน้ำขุ่น ผลักอยู่ข้างหลัง ส่วนจะเป็นใคร ท่านเสนาบดีฉินละทิ้งการสืบหาแล้ว อย่างไรเสียศัตรูทางการเมืองของเขาก็มีไม่น้อย ใครจะรู้ว่าเป็นผู้ใด
เหอะ เรื่องตลกของจวนเสนาบดีฉินน่าดูเพียงนั้นเลยหรือ แววตาของท่านเสนาบดีฉินมีประกายแหลมเปรียวแวบผ่าน
“ไป ไสหัวออกไป ตระกูลเล็กๆ ของพวกข้า ไม่มีวาสนาเกาะจวนเสนาบดีฉินหรอก” เผชิญหน้ากับพ่อบ้านจวนเสนาบดีฉินที่มาไกล่เกลี่ยถึงหน้าบ้าน บิดาของจางย่วนเหนียงก็โมโหจนมือไม้สั่น เป็นอนุภรรยาหรือ บุตรสาวเขาเป็นภรรยาเอกดีๆ ไม่เป็น ไยจะต้องยอมลดตัวเองลงไปเป็นอนุภรรยาให้ลำบากด้วยเล่า ตระกูลจางของเขาไม่ใช่ตระกูลขายสตรีสร้างเกียรติเช่นนั้น
พี่ชายทั้งสองของจางย่วนเหนียงก็โมโหมากเป็นพิเศษ กระบองที่ถืออยู่ในมือก็ยกขึ้นมาทันที “น้องสาวข้าเล่า รีบปล่อยน้องสาวข้ากลับมา จวนอัครเสนาบดีเก่งนักหรือ ข้าไม่เชื่อว่าแผ่นดินที่ใหญ่เช่นเมืองหลวงจะไม่มีสถานที่ที่มีเหตุมีผลเลย ยังจะให้เป็นอนุภรรยา ต่อให้พวกเจ้าหามเกี้ยวใหญ่แปดคนแบกน้องข้าเข้าจวนเป็นภรรยาเอกพวกข้าก็ไม่ยินยอม”
พ่อบ้านผู้นั้นตอนที่มายังคุยโวโอ้อวดต่อหน้าอาจารย์เริ่นอยู่เลย อาจารย์เริ่นก็คือนายทหารผู้ช่วยคนสนิทผู้นั้นข้างกายท่านเสนาบดีฉิน นามว่าเริ่นหงซู ในจวนเรียกเขาว่าอาจารย์เริ่น
ชาวบ้านเช่นเจ้าสามารถเกาะจวนเสนาบดีฉินได้ นี่ก็นับเป็นวาสนาที่ใหญ่ยิ่งมหาศาลแล้ว ขอเพียงแค่ไม่โง่ก็ไม่มีใครไม่รู้จักเข้ามาเกาะขาหรอก ใครจะรู้พ่อลูกตระกูลจางนี้ไม่รู้จักให้เกียรติ ไม่เห็นด้วยยังไม่เท่าไร ยังกล้าลงมือกับเขา ไม่มีความรู้เสียจริงๆ พ่อบ้านโมโหแทบแย่แล้ว
พ่อบ้านหลบกระบองไปพลางถอยหลังไปพลาง ปากร้องตะโกน “ข้าว่าพวกเจ้าพูดดีๆ ไม่ฟังต้องใช้กำลังบังคับแล้วกระมัง ยังกล้าพูดว่าภรรยาเอก พวกเจ้าใหญ่นักหรือ กล้าคิดจริงๆ! ในเมื่อพวกเจ้าไม่รู้จักใหเกียรติ เช่นนั้นก็คอยดูเถอะ อย่าคิดว่าพวกเจ้าไปยื่นคำฟ้องร้องที่ศาลต้าหลี่แล้วจะสำเร็จ เหอะ ใต้เท้าจ้าวผู้พิพากษาศาลต้าหลี่นั่นมีความสัมพันธ์อันดีกับท่านเสนาบดีของพวกเขา กูไหน่ไนของพวกข้าคือซูเฟยเหนียงเหนียงในวัง มดตัวเล็กๆ ยังคิดจะเขย่าต้นไม้ใหญ่ คิดเพ้อฝันจริงๆ ข้าจะคอยดูว่าพวกเจ้าจะมีจุดจบเช่นไร”
พ่อบ้านจากไปด้วยสภาพจนตรอก จางซิ่วไฉค้ำประตูไอออกมาพักหนึ่ง พี่ชายทั้งสองของจางย่วนเหนียงรีบโยนกระบองลงแล้ววิ่งเข้ามา “ท่านพ่อ ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่” บุตรคนโตตระกูลจางถามด้วยความเป็นกังวล
คำตอบที่เขาได้รับคือเสียงไอที่รุนแรงอีกพักหนึ่งของจางซิ่วไฉ บุตรคนรองตระกูลจางรีบช่วยเขาตบหลังเขาเบาๆ “ท่านพ่อ ท่านอย่าร้อนใจ น้องเล็กไม่อาจเป็นอะไรไปได้” อันที่จริงพูดประโยคนี้ออกมาตัวเขาเองก็ไม่เชื่อ ลูกคุณชายตระกูลขุนนางทรงอำนาจเหล่านั้นจะดีได้อย่างไร น้องเล็กอาจจะถูกทรมานก็ได้
จางซิ่วไฉเพิ่งจะหยุดไอ หายใจหอบกล่าว “แม้จะบอกว่าศาลต้าหลี่รับคำร้องของพวกเราแล้ว แต่ในแวดวงขุนนางแต่ไหนแต่ไรขุนนางก็ปกป้องกันเอง ไม่รู้วาจะสามารถพาน้องสาวของพวกเจ้ากลับมาได้หรือไม่ ชั่วชีวิตนี้ของพ่อซื่อสัตยมาโดยตลอด ไม่เคยทำเรื่องไม่ดีเลยสักเรื่อง เหตุใดตระกูลพวกเราถึงได้เจอเรื่องหายนะเช่นนี้”
ขณะที่พูดอารมณ์ของเขาก็เดือดดาลขึ้นมา สองพี่น้องตระกูลจางรีบปลอบ “ท่านพ่อ ท่านอย่าร้อนใจ อย่าร้อนใจ ลูกสืบถามมาแล้ว ใต้เท้าจ้าวผู้พิพากษาศาลต้าหลี่ผู้นั้นเป็นขุนนางดี รักความเป็นธรรมที่สุด จะต้องช่วยพวกเราทวงความยุติธรรมแน่นอน ท่านรักษาร่างกายให้ดี อย่าให้น้องเล็กกลับมาแล้วท่านกลับล้มป่วย งานแต่งงานเดือนหน้าของน้องเล็กยังต้องให้ท่านออกหน้ารับแขกอยู่”
ไม่เอ่ยถึงงานแต่งงานยังดี เมื่อเอ่ยถึงงานแต่งงานสีหน้าของจางซิ่วไฉก็ยิ่งเป็นทุกข์ “เหล่าต้า อีกประเดี๋ยวไปดูบ้านลุงซั่งของเจ้าหน่อย พ่อไม่มีหน้าไปพบพี่ซั่งแล้วจริงๆ บอกลุงซั่งของเจ้าว่า หากพวกเขาอยากถอนหมั้น พวกเราไม่ถือแม้แต่นิดเดียว”
“ไม่ได้! ท่านพ่อ เดือนหน้าก็ถึงฤกษ์แต่งงานแล้ว จะถอนหมั้นได้อย่างไร” บุตรคนรองตระกูลจางคัดค้านทันที ถอนหมั้นชีวิตทั้งชีวิตของน้องเล็กก็พังหมดแล้ว
บุตรคนโตตระกูลจางก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน “ท่านพ่อ น้องเล็กกับอาจื้อโตมาด้วยกัน ความผูกพันของพวกเขาสองคนพวกเราเห็นอยู่ในสายตา อาจื้อไม่มีทางยอมถอนหมั้น อีกทั้งถอนหมั้นแล้วน้องเล็กจะทำอย่างไรเล่า”
จางซิ่วไฉยิ้มเจื่อน “คิดว่าข้าอยากถอนหมั้นหรือ อาจื้อเด็กคนนี้ตั้งแต่เล็กก็รู้ประสามีคุณธรรม ทั้งยังดีกับย่วนเหนียง เป็นสามีที่ดีที่ต่อให้ส่องโคมก็หาได้ยาก แต่ตระกูลเราเกิดเรื่องนี้ขึ้นแล้ว ไม่อาจทำให้ตระกูลลุงซั่งของเจ้าลำบากได้! ต่อให้พวกเราจะฟ้องร้องชนะ ย่วนเหนียงปลอดภัยกลับมา แต่อย่างไรเสีย อย่างไรเสีย…นางยังจะแต่งงานกับอาจื้อได้อยู่อีกหรือ คิดเสียว่าพวกเขาไม่ได้เกิดมาคู่กัน”
“ท่านพ่อ อาจื้อไม่ใช่คนแบบนั้น! ตระกูลซั่งก็ไม่ใช่ตระกูลแบบนั้น ท่านพ่อ ท่านรู้จักท่านลุงซั่งมาครึ่งชีวิตแล้ว ยังไม่รู้นิสัยของเขาอีกหรือ พวกเขาไม่มีทางทอดทิ้งน้องเล็ก” บุตรคนโตตระกูลจางกล่าวเสียงดัง ตามที่เขารู้ ตอนนี้อาจื้อยังถูกท่านลุงซั่งมัดตัวอยู่ในห้องไม่กล้าปล่อยออกมา กลัวว่าเขาจะพุ่งไปที่จวนเสนาบดีฉินสุดชีวิตทันที
บุตรคนรองตระกูลจางรีบคล้อยตาม “ใช่แล้ว ตระกูลซั่งไม่ใช่คนแบบนั้น อีกอย่าง ต่อให้พวกเขาจะทอดทิ้งน้องเล็ก มีพวกข้าสองพี่น้องอยู่ ไม่อาจปล่อยให้น้องเล็กไร้ที่พึ่งพิงได้”
จางซิ่วไฉยังคงยิ้มเจื่อน แต่กลับไม่ได้พูดอะไรต่อ ตอนนี้พูดมากไปแล้วจะมีประโยชน์อันใด รอคำตัดสินของศาลต้าหลี่ออกมาดีกว่า ย่วนเหนียงเป็นบุตรสาวที่เขาเลี้ยงอย่างทะนุถนอมมากับมือ จะดีจะเลวเขาล้วนยอมรับ ขอเพียงแค่คนสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัยก็พอ
พ่อบ้านจวนเสนาบดีฉินจัดการไม่ได้ อยู่ต่อหน้าอาจารย์เริ่นแล้วย่อมต้องใส่ร้ายตระกูลจางฉากใหญ่ อาจารย์เริ่นฟังแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรจากนั้นจึงไล่เขาออกไป คนก็ไม่อยู่แล้วยังเอาปัญหาเข้าจวนอีก
ศาลต้าหลี่คึกคักแล้ว จางซิ่วไฉทางฝั่งตะวันออกของเมืองฟ้องร้องฉินมู่หรานคุณชายเล็กของตระกูลท่านเสนาบดีฉินว่าฉุดบุตรสาวตระกูลเขา เจ้าหน้าที่มาจับตัวถึงที่แต่กลับไม่สำเร็จ วันรุ่งขึ้นจวนเสนาบดีฉินมีพ่อบ้านผู้หนึ่งออกมาฟ้องตระกูลจางกลับ บอกว่าตระกูลจางใส่ร้ายคุณชายเล็กของพวกเขา เรื่องฉุดหญิงชาวบ้านไม่มีอยู่จริงอย่างสิ้นเชิง พูดด้วยน้ำใสใจจริง ซ้ำยังบอกว่าหากไม่เชื่อสามารถเข้าจวนไปสืบสวนได้
คราวนี้ทำให้ทุกคนสับสนแล้ว คุณชายเล็กตระกูลฉินผู้นั้นฉุดบุตรสาวตระกูลจางไม่ใช่มีคนจำนวนมากเห็นกับตาหรอกหรือ เหตุใดชั่วพริบตาถึงกลายเป็นใส่ร้ายป้ายสีแล้วเล่า บุตรสาวตระกูลจางผู้นั้นไปไหนแล้วเล่า คงไม่ใช่ว่าถูกฆ่าปิดปากไปแล้ว ทุกคนคิดถึงตรงนี้ ก็พากันสั่นระริก
ถึงตอนเที่ยงตระกูลจางก็ยื่นคำร้องมาอีกหนึ่งใบแล้ว นอกจากฟ้องว่าฉินมู่หรานฉุดหญิงชาวบ้าน ยังมีอีกหนึ่งเรือง นั่นก็คือฆ่าคนปิดปาก ในคำร้องเต็มไปด้วยอารมณ์เศร้าโศก ข้อให้ผู้ผดุงความยุติธรรมจึงตัดสินแทนประชาชน และบุตรสาวของพวกเขา
ใต้เท้าจ้าวผู้พิพากษาศาลต้าหลี่เห็นคำฟ้องสองฉบับที่วางอยู่ตรงหน้า นึกถึงท่าทีโอหังของพ่อบ้านจวนเสนาบดีฉินผู้นั้น บนใบหน้าก็มีความโกรธแวบผ่าน
สำหรับคดีนี้เขารู้อยู่แก่ใจ นั่นก็คือลูกชายคนเล็กของท่านเสนาบดีฉินผู้นั้นฉุดบุตรสาวของตระกูลจาง เมื่อวานตอนที่เขาส่งคนไปจับตัวคนถึงที่เห็นชัดๆ ว่าท่านเสนาบดีฉินไม่ได้ปฏิเสธ เพียงแค่คืนเดียวกลับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ ความลับลมคมนัยในนี้ไม่บอกเขาก็รู้ ไม่ฆ่าคนปิดปาก แม่นางตระกูลจางก็ถูกซ่อนไว้ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ใดก็ล้วนแต่จัดการยากอย่างถึงที่สุด
แม้แต่เด็กรับใช้และคนเดินถนนที่เห็นคุณชายเล็กฉุดคนกับตาหลายคนนั้นยังปิดปากเงียบ ไม่ว่าจะไต่ถามอย่างไรก็ส่ายหน้าบอกไม่รู้ นี่ทำให้คนอึดอัดใจอย่างถึงที่สุด
รู้ชัดว่านั่นคือมือสังหาร แต่เพราะไม่มีหลักฐานจึงไม่มีทางจัดการเขาได้ นี่จะให้ใต้เท้าจ้าวที่แต่ไหนแต่ไรใจซื่อมือสะอาดรักความเป็นธรรมไม่โมโหได้อย่างไร โดยเฉพาะคุณชายเล็กตระกูลฉินผู้นั้นยังคงคุยโวโอ้อวดกับเพื่อนกินเพื่อนเที่ยวของเขาในเหลาสุราแม้แต่จ้าวผดุงธรรมที่มีชื่อเสียงบังเอิญพบเขายังต้อมก้มศีรษะ
คนไม่น้อย รวมถึงที่ปรึกษาส่วนตัวที่เชื่อใจได้ที่สุดของเขายังโน้มน้าวให้เขาปิดคดี ไยจะต้องลำบากไปผิดใจท่านเสนาบดีฉินด้วยเล่า ผิดใจท่านเสนาบดีฉินก็เท่ากับผิดใจซูเฟยเหนียงเหนียงกับองค์ชายรองในราชสำนัก เอ่ยออกมาหนึ่งประโยคลวกๆ ก็เพียงพอให้เขาสำลักได้ ไยจะต้องทำเช่นนี้ ไยจึงไม่ก้มหัวให้ท่านเสนาบดีฉิน เจ้าปลอดภัย ข้าปลอดภัย ทุกคนปลอดภัย ดียิ่งนัก!
แต่ใต้เท้าจ้าวไม่ยินยอม ในเมื่อเขารับบตำแหน่งเป็นผู้พิพากษาศาลต้าหลี่นี้แล้ว หากไม่สามารถทวงความยุติธรรมให้ประชาชนได้ ตำแหน่งขุนนางนี้ทำไปแล้วจะมีประโยชน์อันใด ด้วยเหตุนี้เขาจึงลากคดีนี้ วันๆ ส่งคนไปเดินดูรอบนอกจวนเสนาบดีฉิน หวังว่าจะพบเห็นอะไรได้
“จวิ้นจู่ พวกเราใช่หวังดีแต่กลับกลายเป็นร้ายหรือไม่” เสี่ยวตี๋มองเสิ่นเวยอย่างไม่สบายใจเล็กน้อย สายลับที่แฝงตัวอยู่ในเรือนฉินมู่หรานพาจางย่วนเหนียงออกจากจวนเสนาบดีโดยพลการ กระทั่งทำให้จวนเสนาบดีฉินฉวยโอกาสตักตวงผลประโยชน์ นี่ทำให้เสี่ยวตี๋ไม่สบายใจอย่างมาก
เสิ่นเวยเองก็ขมวดคิ้วมุ่น สายลับพาจางย่วนเหนียงออกมาโดยพลการตอนนั้นนางเองก็เห็นด้วย และคิดว่าสามารถยัดเยียดโทษฆ่าคนปิดปากให้จวนเสนาบดีฉินได้ ไม่คิดว่าจวนเสนาบดีฉินจะตอบสนองเร็วเพียงนี้ ถือโอกาสผลักภาระไม่ยอมรับอะไรทั้งสิ้น อย่างไรเสียนอกจากเด็กรับใช้ข้างกายฉินมู่หรานแล้วก็ไม่มีใครเป็นพยานอีก หากคิดจะบังคับฉินมู่หรานเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมก็ยังไม่ง่ายอย่างยิ่งจริงๆ
ตอนที่ 243-2 สำรวจจวนเสนาบดีฉินอีกครั้ง
“คืนนี้เจ้าพาคนหลายคนแอบเข้าไปสืบดูในจวนเสนาบดีฉิน ดูว่าพบเห็นอะไรได้บ้างหรือไม่ สิ่งสำคัญก็คือไปสำรวจที่เรือนฉินมู่หราน ข้าไม่เชื่อว่าเขาสามารถเก็บหางทั้งหมดจนเกลี้ยงได้” เสิ่นเวยครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงกล่าว
“เจ้าค่ะ ผู้น้อยทราบแล้ว” เสี่ยวตี๋ขานรับอย่างจริงจัง
เสิ่นเวยเงยหน้าถามต่อ “จางย่วนเหนียงผู้นั้นจัดการเรียบร้อยแล้วหรือยัง ซ่อนให้ดีหน่อย ถูกท่านเสนาบดีฉินพบเข้าเป็นเรื่องเล็ก หากรั่วไหลออกไปพวกเราจะแย่เอา” อัครเสนาบดีของราชสำนัก ทำเรื่องไม่ดีในที่ลับ เพิ่มปัญหาให้เล็กน้อยก็พอแล้ว นางยังไม่อยากเผชิญหน้ากับเขาชั่วคราว
เสี่ยวตี๋พยักหน้า กล่าวอย่างภูมิใจ “จวิ้นจู่วางใจเถิด ต่อให้ท่านเสนาบดีฉินพลิกเมืองหลวงก็หาคนไม่เจอ” ความมั่นใจในจุดนี้เสี่ยวตี๋ยังคงมี มิเช่นนั้นพวกเขาพลลับเหล่านี้ก็คงจะอยู่ไม่ได้แล้ว ถูกคนรื้อรังเก่าไปนานแล้ว
คืนนั้น เสิ่นเวยไม่ยอมนอนรอข่าวของเสี่ยวตี๋ตลอดคืน นางนั่งอยู่ใต้โคมไฟในมือถือหนังสือหนึ่งเล่ม เนิ่นนานก็ไม่เห็นเปิดสักหน้า เมื่อมองดูก็รู้ว่าความคิดไม่รู้ว่าลอยไปไหนแล้ว
สวีโย่วที่พิงหัวเตียงอยู่เคียดแค้นอย่างถึงที่สุด สายตาที่มองเสิ่นเวยคับแค้นราวกับดื่มน้ำส้มสายชูสิบจิน เห็นได้ชัดว่าภรรยาเขาใส่ใจบุตรสาวซิ่วไฉผู้นั้นทางฝั่งตะวันออกของเมืองมากกว่าเขา นี่ทำให้หัวใจดวงเล็กๆ ที่เปราะบางของเขาเจ็บปวดอย่างยิ่ง เจ็บปวดมาก เจ็บปวดมากๆ กระทั่งเขาคิดว่าใช่จะคิดหาวิธีช่วยจ้าวผดุงธรรมผู้นั้นสักหน่อย จับคุณชายเล็กของเสนาบดีฉินเข้าไปอยู่ในคุก เรื่องนี้ไม่จบสิ้นภรรยาเขาก็จะทุกข์ใจ เมื่อภรรยาเขาทุกข์ใจไหนเลยจะยังมีเวลามาสนใจเขาอีก
ใช่ คุณชายเล็กแซ่ฉินน่ารังเกียจเกินไปแล้ว ขัดวางไม่ให้เขากอดภรรยามากเกินไปแล้ว สวีโย่วตัดสินใจในใจด้วยความเคียดแค้น
นอกห้องมีเสียงฝีเท้าดัง เสิ่นเวยลุกพรวดขึ้นฉับพลัน เห็นหลีฮวาพาเสี่ยวตี๋เข้ามาอย่างรวดเร็ว นางสวมชุดท่องราตรี ดูท่าแล้วออกมาจากจวนเสนาบดีฉินก็ตรงมาทันที “เป็นอย่างไร สืบได้อะไรหรือไม่” เสิ่นเวยรีบกล่าวถาม
เสี่ยวตี๋ส่ายหน้า สีหน้าบนใบหน้าผิดปกติเล็กน้อย “จวิ้นจู่ พวกข้าไม่กล้าเข้าไปใกล้เรือนหลักเลย เพิ่งจะเข้าไปได้ไม่นานก็เกือบจะถูกพบเห็น จวิ้นจู่ จวนเสนาบดีฉินผิดปกติ คราวก่อนตอนที่พวกเราไป การป้องกันของจวนเสนาบดีฉินไม่ได้เข้มงวดเท่านี้”
เสิ่นเวยไม่เห็นด้วย “คราวก่อนคงจะถูกพวกเราบุกจวนจึงเพิ่มการตรวจตราที่เข้มงวดขึ้นกระมัง” เปลี่ยนเป็นนางก็จะทำเช่นนี้เหมือนกัน ในบ้านตนคนอื่นอยากมากก็มา อยากไปก็ไป จะได้อย่างไรกัน
เสี่ยวตี๋ยังคงขมวดคิ้วมุ่น “จวิ้นจู่ ไม่ได้เป็นเช่นนี้ ความสามารถของพวกเราท่านก็ทราบ แม้แต่พวกเรายังแทบจะออกมาไม่ได้ เห็นได้ว่าการป้องกันของจวนเสนาบดีเข้มงวดเพียงใด ต่อให้ท่านเสนาบดีฉินจะเป็นขุนนางคนสำคัญของราชสำนักก็ไม่น่ามีกำลังที่แข็งแกร่งถึงเพียงนั้น! เขากำลังป้องกันใครอยู่” เสี่ยวตี๋พูดข้อสงสัยของตัวเองออกมา
ได้ยินคำพูดของเสี่ยวตี๋ เสิ่นเวยก็อดให้ความสนใจไม่ได้ “การป้องกันของจวนเสนาบดีฉินเข้มงวดเพียงนั้นเชียวหรือ” คราวก่อนนางแอบเข้าไปในห้องหนังสือของท่านเสนาบดีฉินได้ง่ายอย่างยิ่ง! ต่อให้จะเพิ่มความกวดขันในภายหลัง แต่ก็ไม่น่าถึงขนาดที่เสี่ยวตี๋ยังแทบจะตกหลุมพราง! คนอื่นนางไม่รู้ แต่วิชาตัวเบาของเสี่ยวตี๋เรียกได้ว่าเป็นปีศาจร้ายจริงๆ
เสี่ยวตี๋พยักหน้า “จริงแท้แน่นอน” นึกถึงความเสี่ยงก่อนหน้านี้ เสี่ยวตี๋ยังคงหวาดกลัวอยู่เลย
คราวนี้เสิ่นเวยเริ่มสนใจมากขึ้นแล้ว กำชับเสี่ยวตี๋ “เอาล่ะ เรื่องนี้ข้าทราบแล้ว เจ้ากลับไปพักก่อนเถอะ” หากจริงอย่างที่เสี่ยวตี๋ว่า เช่นนั้นนางก็ต้องไปดูให้เห็นสักหน่อย
เสี่ยวตี๋อ้าปากคิดจะพูดอะไรต่อ ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไรจึงจากไป เงาร่างของนางหายไปตรงหน้าประตู เสิ่นเวยก็พุ่งไปข้างหน้าสวีโย่ว เอ่ยชวนด้วยท่าทีจริงจัง “คุณชายใหญ่ ท่านจวิ้นอ๋อง พระจันทร์คืนนี้สวยเพียงนั้น พวกเราออกไปเดินเล่นกันหน่อยเถอะ”
สวีโย่วหัวเราะเยาะหนึ่งครา ชี้ข้างนอก บอกเป็นนัยให้นางดู เด็กคนนี้ยังหลับตาพูดคำบอดได้จริงๆ ยังกล้าบอกว่าพระจันทร์สวยเพียงนั้น เห็นชัดๆ ว่าข้างนอกมืดสนิทไม่มีแม้แต่แสงจันทร์มิใช่หรือไร
เสิ่นเวยหันหน้ามองนอกหน้าต่าง จากนั้นก็กล่าวอย่างแน่นิ่ง “อ้อ เมื่อครู่พระจันทร์ยังอยู่ ตอนนี้คงหลบเขากลีบเมฆไปแล้ว อีกประเดี๋ยวน่าจะออกมา”
ยังกล้าพูดจริงๆ วันนี้เป็นวันที่มีเมฆมาก อย่างว่าแต่ดวงจันทร์ บนฟ้าไม่มีแม้แต่ดวงดาว แววตาสวีโย่วปรากฎรอยยิ้ม ไม่ได้เอ่ยปาก
เสิ่นเวยโน้มตั้วไปข้างหน้า “ตอบมา ไป หรือไม่ไป” เสิ่นเวยยิ้มสวยยิ่งนัก!
“ไป ไปแน่นอน ภรรยาสั่งสามีตาม เวยเวยไปไหนข้าย่อมไปด้วย” สวีโย่วกล่าวอย่างมีเหตุมีผล ทว่าในใจกลับบ่น ไม่ไปได้ด้วยหรือ มือจิกอยู่บนลำคอแล้วยังกล้าไม่ไปหรือ
ช่างเป็นเด็กน้อยนิสัยเสียจริงๆ ออดอ้อนหน่อยจะตายหรือไร จะต้องใช้อำนาจข่มขู่ให้ได้ แต่ว่าเขาก็ยังชอบอยู่ดี
ในเมื่อจะไปสำรวจจวนเสนาบดี เสิ่นเวยกับสวีโย่วต่างก็เปลี่ยนไปสวมชุดท่องราตรี เพื่อป้องกันอันตรายเกิดขึ้น เสิ่นเวยยังทำหน้ากากสองอัน โยนให้สวีโย่วหนึ่งอัน ตนใส่หนึ่งอัน สวีโย่วมองดู หน้ากากของตนเป็นหัวหมู ปากอ้ากว้างอย่างยิ่ง น่าเกลียดยิ่งนัก! จากนั้นจึงมองหน้ากากในมือภรรยา เป็นจิ้งจอกน้อยที่สะสวย
ชั่วขณะในใจก็รู้สึกไม่เท่าเทียม เสิ่นเวยปรายตามองเขาปราดหนึ่ง “ท่านเป็นบุรุษจะใส่อันสวยๆ ไปทำไม ดึงดูดสายตาหรือ”
ได้ยินประโยคแรกสวีโย่วไม่พอใจอย่างยิ่ง บุรุษจะใส่อันสวยๆ ไม่ได้หรืออย่างไร ไม่ใช่เพราะว่าเขาหน้าตาดีเด็กคนนี้ถึงได้ยอมแต่งงานกับเขาหรอกหรือ แต่เมื่อได้ยินประโยคหลังสวีโย่วก็ไม่โกรธทันที ดึงดูดสายตาอะไร เขาไหนเลยจะกล้า
เดินเล่นไปตามทางจนถึงจวนเสนาบดีฉิน มีสวีโย่วยอดฝีมือที่สุดแห่งยุคผู้นี้อยู่ เสิ่นเวยย่อมไม่ยินยอมเปลืองแรง ยื่นมือออกไปทันที สวีโย่วก็โอบเอวนางตามคำสั่ง เท้าแตะเล็กน้อย ก็ลอยเข้าไปในกำแพงสูงประหนึ่งใบไม้ร่วง เท้าแตะลงอีกครั้งก็อยู่บนหลังคาแล้ว
พวกเขาเองก็ไม่รีบไปเรือนฉินมู่หราน แต่รออยู่บนหลังคาก่อน เป็นดังคาด ไม่นานนักก็เห็นว่าตรงภูเขาจำลองมีเงาดำเคลื่อนไหวเล็กน้อย พวกเขายังคงอดทนรอต่อไป สวีโย่วตบมือของเสิ่นเวย ชี้ต้นไม้ใหญ่ที่ก่อตัวเป็นภูเขาจำลองเฝ้าสังเกตสถานการณ์บอกเป็นนัยให้นางดู
เสิ่นเวยจ้องมองเข้าไป กิ่งไม้ใบไม้ของต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นไร้ลมพัดแต่กลับขยับเล็กน้อย ดูท่าแล้วบนต้นไม้นั้นคงจะมีคนอยู่
ตอนนี้ ริมฝีปากของเสิ่นเวยเม้มแน่น ทั่งร่างเตรียมป้องกันขึ้นมา กล่าวในใจว่าเสี่ยวตี๋ไม่ได้พูดเกินเลยอย่างสิ้นเชิง จวนเสนาบดีฉินไม่ต่างจากถ้ำพยัคฆ์วังมังกรเลย แต่ว่าต่อให้เป็นถ้ำพยัคฆ์วังมังกร คืนนี้นางก็ต้องบุกเข้าไป ท่ามกลางความดำมืดดวงตาหนึ่งคู่ของนางเปล่งประกายจนน่าตกใจ โลหิตทั่วร่างเดือดพล่านอย่างอดไม่ได้
มือของสวีโย่วที่วางอยู่บนเอวเสิ่นเวยตบเบาๆ เล็กน้อย กล่าวเสียงเบาข้างหูนาง “วางใจ เวยเวยวางใจ มีข้าอยู่”
เสิ่นเวยคิดๆ ดูแล้วก็ใช่ ไม่ใช่ยังมีชายหนุ่มรูปงามแซ่สวีมารฝืนชะตาผู้นี้อยู่หรือ นางเองก็เพิ่งรู้ว่ามารตนนี้ฝึกยุทธ์วิเศษแห่งยุคทั้งภายในและภายนอกตั้งแต่เล็ก ยอดฝีมือสูงสุดแห่งยุทธภพที่ว่าเหล่านั้นอยู่ตรงหน้าเขาเทียบไม่ได้อย่างสิ้นเชิง หากไม่ใช่สารพิษในร่างกายเขากำเริบอยู่บ่อยๆ คราวก่อนเขาก็คงไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว
สวีโย่วพาเสิ่นเวยหลบหน่วยสว่างหน่วยมืดหน่วยเคลื่อนไหวภายในจวนเสนาบดีออกไปได้อย่างปราดเปรียว มาถึงเรือนของฉินมู่หรานตามแผนที่ที่สายลับบอกมา เพิ่งจะเจาะรูบนหน้าต่างห้องเขา เสิ่นเวยก็แทบจะโมโหตายแล้ว
ให้ตายเถอะ ในห้องกำลังแสดงฉากอนาจารอยู่ เสิ่นเวยหน้าแดงหูแดง สาปแช่งเงียบๆ ในใจ ฉินมู่หรานคนน่าไม่อายผู้นี้ ไม่ช้าไม่เร็วก็คงจะตายอยู่ในมือผู้หญิง พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ เทพสวรรค์ ได้โปรดรีบสั่งฟ้าผ่าเขาให้ตายเสียทีเถอะ
อันที่จริงเสิ่นเวยอยากจะเข้าไปแทงกระบี่จบชีวิตเขาอย่างยิ่ง แต่คิดถึงผลลัพธ์ของการทำเช่นนี้ เสิ่นเวยก็ยังคงอดทนไว้
“เวยเวยคิดอะไรอยู่” สวีโย่วยืนอยู่ข้างหลังเสิ่นเวย
เสิ่นเวยตกใจเล็กน้อย แทบจะร้องอุทานออกมา มือใหญ่ๆ ของสวีโย่วปิดปากนางไว้ทันพอดี
เสิ่นเวยขยับไม่ได้ ทำได้เพียงใช้ศอกกระทุ้งเขา บอกเป็นนัยให้เขาปล่อย แต่สวีโย่วกลับยิ่งทวีความรุนแรง
เสิ่นเวยโมโหแทบตายแล้ว เพิ่งจะบอกว่าฉินมู่หรานหน้าไม่อาย คนผู้นี้ข้างหลังนางจึงจะเป็นคนที่หน้าไม่อายที่สุดในใต้หล้า
เสิ่นเวยดิ้นไม่หลุด เกิดไหวพริบขึ้นมาทันที ยกเท้าเหยียบลงบนเท้าเขา บดขยี้อย่างแรง แต่กลับไม่เป็นประโยชน์เลยแม้แต่นิดเดียว
สวีโย่วรู้สึกถูกปลุกเร้าอย่างถึงที่สุด ยังจะสำรวจจวนเสนาบดีอะไรอีก รีบกลับจวนจึงจะถูก สวีโย่วอุ้มเสิ่นเวยขึ้นมาอย่างไม่ลังเล แสดงกระบวนท่าที่แปลกประหลาดยิ่งกว่าตอนเข้ามาวิ่งไปนอกจวนด้วยความรวดเร็ว
ตอนที่ 244-1 ตลกร้ายก่อนออกจากจวนอ๋อง
เช้าตรู่วันที่สองเสิ่นเวยลืมตาขึ้นมา สวีโย่วตื่นเรียบร้อยแล้ว กำลังเท้าศีรษะมองนางไม่ละสายตาอยู่
เสิ่นเวยกะพริบตาอย่างสะลึมสะลือ ยิ้มชั่วร้าย มือที่ขาวดั่งหยกเชยคางของสวีโย่วขึ้น “ปรนนิบัติได้ไม่เลว กลับไปข้าจะตบรางวัลให้เจ้าอย่างดี” ท่าทางเจ้าเล่ห์นั้นประหนึ่งออกมาจากบุตรหลานลูกคุณชายตามถนนใหญ่
“ปรนนิบัติได้ไม่เลวงั้นหรือ หืมม์” สวีโย่วหรี่ตาลงอย่างอันตราย มือใหญ่ๆ ก็ซุกซนขึ้นมา นึกไม่ถึงว่าเด็กน้อยคนนี้กล้าหยอกล้อเขา กล้าหาญจริงๆ ต้องสั่งสอนเสียหน่อยแล้ว
ชั่วขณะเสิ่นเวยก็ร้องเสียงแหลมอย่างไร้เรี่ยวแรงมาก มือทั้งคู่บังหน้าอกตนไว้ หลบซ้ายหลบขวา แต่ไม่ว่าจะหลบอย่างไรก็หลบไม่พ้นมือของสวีโย่ว นางบิดตัวเป็นเกลียวอยู่บนเตียง ท้ายที่สุดก็กลิ้งเข้าไปในอ้อมอกของเสียโย่ว “สวีโย่ว ท่านมันอันธพาล รีบหยุดมือเดี๋ยวนี้” นางตะโกนอย่างหายใจหอบ
ดวงตาของนางใสกระจ่างราวกับน้ำ ทั้งยังแฝงรอยยิ้มที่นุ่มนวล ริมฝีปากของนางสีสดดุจบุปผาแรกแย้ม หอมรัญจวนจนทำให้คนหลงใหล นางอยู่ในอ้อมอกของเขา เงยหน้าขึ้นมองเขา สวยหยาดเยิ้ม แต่กลับบริสุทธิ์ เสมือนนางฟ้าตัวน้อยที่สับสนอยู่กลางลำธารในหุบเขา ทั้งยังเหมือนมารที่คลุมผ้าปิดหน้ายั่วยวนท่ามกลางราตรีอันมืดมิด
ชั่วขณะหัวใจของสวีโย่วก็อ่อนยวบประหนึ่งพืชน้ำ ร่างทั้งร่างกลายเป็นน้ำริมหาด “ได้ เชื่อฟังฮูหยิน” กอดหญิงงามอยู่ในอ้อมอก สวีโย่วรู้สึกว่าตนมีครบทุกอย่างแล้ว ไม่ขาดอะไรแล้ว
“บอกมา ท่านจะชดใช้ให้ข้าอย่างไร” เสิ่นเวยชี้จมูกของสวีโย่วอย่างน่ารักไต่ถามเขาอย่างโหดเ**้ยม หากไม่ใช่ว่าเมื่อคืนผีทะเลตัวนี้เกิดสัญชาตญาณหมาป่าฉับพลัน ไม่แน่ว่านางอาจจะสืบข่าวอะไรได้บ้าง ความสูญเสียนี้มากยิ่งนัก ไม่ได้ ต้องให้มารตนนี้ชดใช้คืนมาให้นาง
เสิ่นเวยกระเง้ากระงอดจนในที่สุดก็ออดอ้อนให้สวีโย่วสบายอารมณ์ได้ มุมปากของสวีโย่วยกสูง กล่าวเตือน “นี่จะยากอะไร ข้างกายเด็กเดรัจฉานแซ่ฉินไม่ใช่ยังมีสุนัขรับใช้หลายตัวหรือไร จะปิดปากได้สนิทเพียงนั้นทุกคนเลยหรือ” ทำการลงโทษไต่ถาม เขาไม่เชื่อว่าจะยังงัดปากของเขาไม่ได้
เด็กเดรัจฉานหรือ หากฉินมู่หรานเป็นเด็กเดรัจฉาน เช่นนั้นท่านเสนาบดีฉินย่อมต้องเป็นตาเฒ่าเดรัจฉาน ปากของมารแซ่สวีร้ายกาจจริงๆ เสิ่นเวยตกใจจนพูดไม่ออก แต่ว่าคำศัพท์คำนี้นางชอบจริงๆ
ฟังความคิดเห็นที่สวีโย่วเสนอ ดวงตาของเสิ่นเวยก็ลุกวาวในชั่วขณะ ตบหน้าผากด้วยความเสียดาย “จริงสิ เหตุใดข้าถึงคิดไม่ออกเล่า!” ตามการเคลื่อนไหวของนาง ภาพงดงามด้านหน้าก็เผยออกมาผืนใหญ่ สวีโย่วตักตวงบุญตาอย่างเต็มที่ ไม่มีความคิดจะเตือนเสิ่นเวยเลยแม้แต่นิดเดียว
ยังคงเป็นเสิ่นเวยเองที่พบว่าเหตุใดสายตาของมารแซ่สวีถึงได้ร้อนผ่าวเช่นนั้นจึงสังเกตได้ว่าโป๊แล้ว อดถลึงตาใส่เขาอย่างงอนง้อไม่ได้ ปิดภาพหน้าอกไว้อย่างรวดเร็ว นี่ทำให้สวีโย่วเสียดายอย่างถึงที่สุด
เสิ่นเวยได้ความคิดเห็นแล้วก็ลุกจากเตียงอย่างมีความสุข แม้สวีโย่วจะรู้สึกเสียดายแต่ก็ลุกขึ้นตาม แน่นอนว่าขั้นตอนการลุกจากเตียงก็ไม่ได้ราบรื่นเพียงนั้น ส่วนสำคัญคือสวีโย่วมือบอน ยุแหย่เสิ่นเวยจนส่ายไปมา ท้ายที่สุดเสิ่นเวยทนไม่ไหวจึงไล่เขาออกไปเสีย
สวีโย่วเสนอความคิดเห็นดีๆ บวกกับพรุ่งนี้ก็จะย้ายไปจวนจวิ้นอ๋องแล้ว ตอนนี้เสิ่นเวยมีความสุขยิ่งนัก สั่งให้เด็กรับใช้และเด็กในร้านทั้งหลายย้ายสินเดิมไปข้างนอกด้วยตัวเอง ขบวนที่ใหญ่โตมโหฬารทำให้บ่าวรับใช้จวนอ๋องพากันอิจฉาตาร้อน สินเดิมของจวิ้นจู่เยอะจริงๆ มิน่าเล่าถึงได้ใจป้ำเพียงนั้น สามารถทำงานให้นายที่ใจกว้างเช่นนี้ได้ช่างเป็นวาสนาอย่างยิ่งจริงๆ!
การเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้นายแต่ละเรือนย่อมต้องได้รับข่าวแล้ว
จิ้นอ๋องขมวดคิ้ว อ้าปากคิดจะพูดอะไร ท้ายที่สุดกลับโบกมือไม่ได้พูดอะไรแล้ว
สีหน้าพระชายาจิ้นอ๋องเต็มไปด้วยความรังเกียจ “รอไม่ได้เพียงนี้เลยหรือ สินเดิมวางไว้ในจวนอ๋องใครจะยังขโมยของนางได้ ใจแคบยิ่งนัก รู้ไปที่ไหนก็อายไปถึงนั่น”
ซื่อจื่อฮูหยินอู๋ซื่อได้รับความเมตตาจากเสิ่นเวย ฟังสาวใช้เอ่ยถึงสินเดิมของฮูหยินใหญ่ว่ามากมายเพียงใดด้วยความอิจฉา ก็เพียงแค่เลิกคิ้ว ไม่พูดจาจิกกัดเลยแม้แต้ประโยคเดียว ส่วนในใจจะคิดอย่างไรก็ไม่อาจทราบได้
ฮูหยินสามหูซื่อลูบท้องน้อยๆ ปากอมบ๊วยแห้งเปรี้ยวๆ คำพูดที่พูดออกมาก็เจ็บแสบ “ใครให้นางเป็นจวิ้นจู่ที่ฝ่าบาทพระราชทานบรรดาศักดิ์ด้วยตัวพระองค์เองเล่า ซ้ำยังมีมารดาที่มีสินเดิมมหาศาล เหอะ เดิมทียังคิดว่าในท้องข้าคลอดออกมาแล้วจะได้ผลประโยชน์สักหน่อย ไม่คิดว่านางจะไม่เห็นเราอยู่ในสายตาเลย เจ้าน่ะ ไม่มีวาสนาเสียเลย” นางมองท้องน้อยๆ ของตัวเอง
สาวใช้ที่รับข้างกายย่อมพูดจากยกยอปอปั้น พูดจนใบหน้าหูซื่อเต็มไปด้วยความพอใจ
คุณชายสี่สวีฉั่งที่ไม่เคยอยู่ในจวนมาก่อนนั่งไขว่ห้างอิจฉา “พี่ใหญ่มีวาสนาจริงๆ แค่สินเดิมส่วนนี้ต่อให้พี่สะใภ้ใหญ่จะขี่เหร่อัปลักษณ์ก็คุ้มค่า ยิ่งไปกว่านั้นพี่สะใภ้ใหญ่ยังสวยราวกับนางฟ้า”
เด็กรับใช้ที่อยู่ข้างกายกล่าวประจบทันที “ไยคุณชายสี่จะต้องอิจฉาคุณชายใหญ่ด้วยเล่า ว่าที่ฮูหยินสี่มีฐานะเดิมอยู่ในจวนเสนาบดีฉิน สินเดิมจักต้องไม่น้อยแน่นอน”
“นางหรือ” สวีฉั่งหัวเราะเยาะหนึ่งครา ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ว่าที่ภรรยาผู้นี้ของเขาบอกว่ามีฐานะเดิมในจวนเสนาบดีฉิน อันที่จริงก็เป็นเพียงบุตรสาวบ้านสามก็เท่านั้น เพียงแค่มีฐานะเป็นบุตรภรรยาเอก ว่าที่พ่อตาของเขาเป็นเพียงขุนนางเล็กๆ ที่ไม่สลักสำคัญ จะมอบของดีอะไรได้ ยังคิดจะเทียบกับพี่สะใภ้ใหญ่
เหตุใดเสด็จแม่ถึงหมั้นหมายคู่หมั้นผู้นี้ให้เขา แม้เขาจะเป็นลูกคุณชาย แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ หากไม่ใช่เห็นแก่ซูเฟยเหนียงเหนียงกับองค์ชายรองความสัมพันธ์ชั้นนี้ ซ้ำฉินอิงอิงผู้นั้นก็หน้าตาดี มิเช่นนั้นแล้วต่อให้พูดจนปากแฉะเขาก็ไม่ยอมแต่งหรอก!
เขาอยู่คนเดียวเป็นอิสระยิ่งนัก อยากไปไหนก็ไป อยากทำอะไรก็ทำ ไม่มีใครบังคับ ดียิ่งนัก! ใครจะทนแต่งงานได้ เอาสตรีผู้หนึ่งมาอยู่ข้างกายบ่นนั่นบ่นนี่ น่ารำคาญจะตายไป หากฉินอิงอิงผู้นั้นรู้จักวางตัว เขากลับสามารถให้ความเคารพนางได้หลายส่วน หากเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการขี้หึงขี้หวง เหอะ ข้าก็มีวิธีจัดการเจ้าเช่นกัน!
ส่วนบุตรชายบุตรสาวอนุภรรยาที่เหลือในจวนจิ้นอ๋องจะคิดเช่นไร นั่นก็ยิ่งไม่สำคัญแล้ว
สินเดิมหามออกไปจากจวนจิ้นอ๋อง มุ่งหน้าไปยังจวนผิงจวิ้นอ๋อง แม้จะไม่ได้ตีฆ้องตีกลอง แต่ก็ยังคงดึงดูดคนเดินถนนนับไม่ถ้วนให้มุงดู “ตระกูลใดสู่ขออีกแล้ว สินเดิมนี้แทบจะเทียบจวิ้นจู่เหนียงเหนียงผู้นั้นของจวนจงอู่โหวได้แล้ว”
ข้างๆ มีคนดูถูก “เทียบเท่าอะไรกัน นี่ก็คือสินเดิมของจวิ้นจู่เหนียงเหนียงผู้นั้นอย่างไรเล่า”
คนผู้นั้นที่พูดก่อนหน้าไม่เข้าใจ “เช่นนั้นเหตุใดถึงหามออกมาแล้วเล่า คงไม่ใช่ว่าหย่า…”
พูดยังไม่ทันจบก็ถูกคนปิดปาก เหลือบซ้ายแลขวา กล่าวเสียงเบา “พี่ชายผู้นี้อยากตายหรือไร ไม่เห็นหรือว่าสินเดิมนั่นกำลังหามไปจวนผิงจวิ้นอ๋อง คุณชายใหญ่ผู้นั้นในจวนจิ้นอ๋องได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นจวิ้นอ๋อง ผิงจวิ้นอ๋อง ฝ่าบาทพระราชทานสวนชิงหยวนให้ใช้เป็นจวนของผิงจวิ้นอ๋อง หลังจากนี้ผิงจวิ้นอ๋องกับจวิ้นจู่เหนียงเหนียงก็ต้องอยู่ที่จวนผิงจวิ้นอ๋อง สินเดิมย่อมต้องย้ายเข้าไป จะวางไว้ในจวนจิ้นอ๋องทำไมกัน”
“ที่แท้แล้วก็เป็นเช่นนี้ เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว” คนผู้นั้นประสานมือกล่าว
บริเวณริมหน้าต่างชั้นสองของเหลาสุราข้างถนน ราชบัณฑิตเจียงเฉินและเซี่ยเฟยของสำนักราชบัณฑิตเองก็กำลังมองดูข้างนอกอย่างสนอกสนใจ
“ขบวนสินสอดสิบลี้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” เซียวเฟยตกใจจนพูดไม่ออก ฟังว่าบุตรสาวที่มีสินเดิมมหาศาลเช่นนี้นอกจากจวนแม่ทัพใหญ่ตระกูลหร่วนเมื่อยี่สิบปีก่อน ก็มีจวนจงอู่โหวนี่แหละ อีกทั้งนี่ยังเป็นแม่ลูกกันอีกด้วย
“พี่เซี่ยอิจฉาแล้วหรือ สนใจแล้วหรือ ในราชสำนักมีใต้เท้าหลายท่านที่ยื่นกิ่งเชื่อมสัมพันธ์ให้พี่เซี่ย พี่เซี่ยไม่ลองพิจารณาดูบ้างหรือ แม้สินเดิมของคุณหนูตระกูลพวกเขาจะเทียบจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ท่านนี้ไม่ได้ แต่ก็ไม่ถือว่าน้อยกระมัง พี่เซี่ยยังไม่รีบแต่งภรรยา กลับบ้านไปจะได้ไม่ต้องเผชิญหน้ากับความเงียบเหงาทั้งห้อง” เจียงเฉินขยิบตากล่าวหยอกล้อ
เซี่ยเฟยปรายตา โต้กลับอย่างไม่ลังเล “คนที่จับจ้องมองทั่นฮวาเช่นเจ้าในราชสำนักก็มีไม่น้อยเช่นกัน เจ้าไม่สนใจใครบ้างหรือ” ใบเสนอราคาของทั่นฮวาผู้นี้ขายดีกว่าเขามาก เดือนก่อนยังมีแม่นางมาไล่ตามเขาอยู่ที่หน้าประตูสำนักราชบัณฑิตอยู่เลย
เจียงเฉินยิ้มน้อยๆ กล่าวด้วยเหตุและผล “คำสั่งของพ่อแม่ วาจาของแม่สื่อ เรื่องใหญ่เช่นการแต่งงานใช่จะตัดสินใจคนเดียวได้อย่างไร” ที่สำคัญเขายังไม่อยากมีครอบครัวจริงๆ!
เซี่ยเฟยแค่นเสียงหนึ่งครา เจ้าก็รู้ว่าเรื่องใหญ่เช่นการแต่งงานไม่อาจตัดสินใจคนเดียวได้ แล้วข้าเป็นคนไม่รู้ธรรมเนียมเหล่านั้นหรือไร พูดถึงคำสั่งของพ่อแม่ ชั่วขณะเซี่ยเฟยก็นึกถึงบ้านเก่าของเจียงเฉิน “ข้าจำได้ว่าบ้านเก่าพี่เจียงอยู่ที่ผิงหยางใช่หรือไม่ ภูมิลำเนาเดิมของตระกูลเสิ่นจวนจงอู่โหวก็คล้ายอยู่ที่นั่นด้วยใช่หรือไม่”
หัวใจของเจียงเฉินเต้นขึ้นมาทันที กล่าวด้วยความประหลาดใจ “ถูกต้อง ข้าเป็นคนบ้านเดียวกันกับนายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นผู้นั้น เขาเป็นบุคคลสำคัญในตำนานนั้นของพวกข้า เพียงแต่ผิงหยางกว้างใหญ่ บ้านพวกข้าอยู่ในอำเภอผิงหยาง ห่างจากบ้านเดิมตระกูลเสิ่นตั้งร้อยกว่าลี้ ทำไมหรือ พี่เซี่ยสนใจตระกูลเสิ่นหรือ”
เซี่ยเฟยคีบกับข้าวเข้าปากเคี้ยวอย่างสุภาพ กลืนลงไปแล้วจึงกล่าว “จงอู่โหวเมื่อก่อน ราชครูเสิ่นในวันนี้ จากเด็กหนุ่มตัวคนเดียวมาจนถึงประตูโหวที่มีชื่อเสียงอำนาจในวันนี้ ใครบ้างจะไม่สนใจ ไม่ปิดบังพี่เจียง หากจะพูดถึงคนที่ข้าเลื่อมใสที่สุด นายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นท่านนี้นับได้ว่าเป็นหนึ่งคนในนั้น”
“นายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นเป็นวีรชนคนกล้า จงรักภัคดีต่อแคว้น ใครบ้างไม่เลื่อมใส” เจียงเฉินเอ่ยชมหนึ่งประโยค วางใจลง
ทว่าเซี่ยเฟยฝั่งตรงข้ามยังคงกล่าวต่อ “ไม่ใช่ว่ากันว่าจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ผู้นี้เติบโตที่บ้านเดิมตระกูลเสิ่นหรอกหรือ ตอนที่พี่เจียงอยู่บ้านเก่าไม่เคยเห็นโฉมหน้าของจวิ้นจู่ผู้นี้หรือ”
คำพูดที่ดูคล้ายไม่สนใจกลับทำให้หัวใจของเจียงเฉินเป็นกังวลขึ้นมาอีกครั้ง แต่สีหน้ากลับตกใจอย่างถึงที่สุด “เหตุใดพี่เซี่ยถึงมีความคิดเหลวไหลเช่นนี้ คุณหนูจวนโหวกลับบ้านเดิมจะป่าวประกาศออกไปทั่วได้อย่างไร อีกทั้งคุณหนูสูงศักดิ์แต่ไหนแต่ไรก็อยู่แต่เรือนใน ไหนเลยจะให้ชายอื่นได้ยลโฉมได้ พี่เซี่ยกำลังมองข้าน้อยเป็นคนเสเพลหรือไร” เจียงเฉินกล่าวอย่างไม่พอใจเล็กน้อย
ทว่าเซี่ยเฟยกลับยิ้มแย้มหัวเราะฮ่าๆ “ดูพี่เจียงจริงจังไปได้ ข้าก็แค่ล้อเล่นมิใช่หรือ”
เจียงเฉินกลับปั้นหน้าตาย กล่าวอย่างตั้งใจ “เรื่องเช่นนี้สามารถพูดเล่นตามอำเภอใจได้หรือ ข้าน้อยเป็นบุรุษ สำหรับคนอื่นอย่างมากก็เป็นเพียงข่าวลือ แต่สำหรับสตรีแล้วนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวของกับศักดิ์ศรีของสตรี อีกทั้งสามีของจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ผู้นั้นยังเป็นจวิ้นอ๋อง พี่เซี่ยไม่ใช่ใส่ร้ายข้าหรอกหรือ”
เซี่ยเฟยรีบปลอบขวัญ “เอาล่ะๆๆ ข้าพลั้งปากไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว ผิดไปแล้ว”
เจียงเฉินแค่นเสียงหนึ่งครา ทำทีไม่สนใจ ทว่าในใจกลับระมัดระวังขึ้นมา ตัดสินใจแล้วว่าหากไม่มีเรื่องคอขาดบาดตายจะไม่ติดต่อกับเสิ่นเวยอีก
เห็นสินเดิมถูกหามออกไปทีละคานๆ ความรู้สึกของเสิ่นเวยก็เกินกว่าจะใช้คำว่ามีความสุขมาอธิบายได้
ในขณะที่สินเดิมหาบออกไปเกือบหมดแล้ว หวาเยียนข้างกายพระชายาจิ้นอ๋องก็เข้ามาบอกว่าพระชายาเชิญตัว เสิ่นเวยประหลาดใจ ตอนนี้พระชายาจิ้นอ๋องจะเรียกนางทำไม หรือเพราะรู้ว่าพรุ่งนี้พวกเขาจะย้ายไปจวนจวิ้นอ๋องจึงเรียกนางไปสั่งเสียหลายประโยค
ช่างเถอะ ช่างเถอะ อย่างไรเสียพรุ่งนี้ก็ย้ายออกไปแล้ว ตอนนี้นางอารมณ์ดี ให้เกียรติไปเยี่ยมเสียหน่อย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น