หมอดูยอดอัจฉริยะ 241-249
ตอนที่ 241
มาหาถึงบ้าน
โดย
Ink Stone_Fantasy
แรงกระแทกอันมหาศาลที่เกิดจากการปะทะระหว่างหน้ารถกับผนังนั้น ทำให้ร่างของซ่งเสี่ยวเจ๋อที่ไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยกระเด็นทะลุกระจกหน้ารถออกไปกระแทกกับผนังอย่างรุนแรง แล้วก็กระเด็นลงไปบนพื้นอีก กลิ้งไปไกลหลายตลบถึงจะหยุดนิ่งลงได้
ร่างที่ร่วงลงไปบนพื้นนั้นกระตุกอยู่สองสามที แล้วก็แน่นิ่งไปเลย การปะทะชนด้วยความเร็วมากกว่าหนึ่งร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงแบบนี้ หากไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย โอกาสที่จะรอดชีวิตก็คงเรียกได้ว่าเป็นศูนย์
“ว้าย!!!”
ไม่รู้เพราะหญิงสาวคนนั้นมีประสาทการตอบสนองเชื่องช้าหรืออย่างไร หลังจากเหตุรถชนนั้นผ่านไปหลายนาทีแล้ว เธอถึงจะกรีดร้องออกมาอย่างสติแตก แล้วตัวอ่อนปวกเปียกล้มลงไปนั่งกับพื้นทันที
ไม่ใช่ว่าแม่สาวคนนี้ตกใจเพราะเห็นรถชนกำแพง แต่ประเด็นคือเธอเพิ่งจะสาปแช่งซ่งเสี่ยวเจ๋อไปว่า เขาขับออกไปไม่ถึงแยกหน้าก็จะโดนชนดับ แล้วเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นตรงตามที่เธอพูดไว้เป๊ะเลย
“ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ…”
หญิงสาวใบหน้าซีดเผือด แต่ในขณะนั้นสถานการณ์บนถนนกำลังวุ่นวาย จึงไม่มีใครมาสนใจเธอเลย หลังจากตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาแล้ว เธอก็วิ่งกระโจนหายไปท่ามกลางฝูงชน ส่วนเมื่อกลับไปถึงบ้านแล้วจะฝันร้ายหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าสมองของเธอนั้นแข็งแกร่งพอไหม
“ยังมีน้องหกอีกคนรึ?” เงาร่างของเยี่ยเทียนแอบซ่อนอยู่ที่มุมหนึ่งของกำแพง และกำลังมองดูรถบีเอ็มดับบลิวที่ลุกเป็นไฟขึ้นมาแล้วอยู่ห่างๆ ด้วยท่าทางครุ่นคิด
เมื่อครู่นี้ถึงซ่งเสี่ยวเจ๋อจะหลบไปคุยโทรศัพท์ในรถ แต่ตอนนั้นเยี่ยเทียนก็เดินเข้าไปใกล้ในระยะไม่เกินสิบเมตรแล้ว อาศัยความสามารถในการได้ยินของเขา ย่อมได้ยินสิ่งที่ซ่งเสี่ยวเจ๋อพูดมาเมื่อครู่ทั้งหมดได้อย่างชัดเจนทุกพยางค์
ส่วนตอนสุดท้ายที่เยี่ยเทียนจงใจเผยโฉมหน้าออกไปนั้น ก็เพื่อที่จะให้ซ่งเสี่ยวเจ๋อตกใจจนสติไม่อยู่กับตัว แล้วส่งกระแสพลังพิฆาตทิ่มแทงเข้าสู่ห้วงสมองของเขา ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่เขาคาดไว้ ซึ่งก็คืออุบัติเหตุทางรถยนต์อันปราศจากพิรุธใดๆ
ถ้าคนเรามีวิญญาณอยู่จริง สงสัยตอนนี้ซ่งเสี่ยวเจ๋อคงจะกำลังร้องไห้ด้วยความชอกช้ำ เพราะเขาไม่นึกเลยว่า อุบัติเหตุที่ตัวเองพยายามจะทำให้เกิดขึ้นนั้นจะมาเกิดเร็วปานนี้และผู้ที่ตกเป็นเหยื่อนั้นก็กลับกลายเป็นเขาเสียเอง
“ช่างเถอะ เจ้าคนนั้นไม่ได้อยู่ในประเทศ เราก็คงไปทำอะไรมันไม่ได้ แต่พอซ่งเสี่ยวเจ๋อตายไปแล้ว คนของตระกูลซ่งก็น่าจะหยุดความเคลื่อนไหวไปได้สักระยะแหละนะ!”
เมื่อได้ยินเสียงของรถพยาบาลฉุกเฉินและรถตำรวจดังมาตามๆ กัน เยี่ยเทียนก็ส่ายหน้า แล้วยื่นมือออกไปโบกเรียกรถแท็กซี่คันหนึ่ง มุ่งหน้ากลับไปยังบ้านตระกูลอวี๋ นี่ก็ออกมาได้สองชั่วโมงเศษแล้ว ต้องกลับไปก่อนที่คนอื่นจะรู้ว่าเขาไม่ได้อยู่ในบ้าน
“เอ๊ะ สี่จื่อ เมื่อกี้เหมือนจะมีคนเดินเข้าไปนะ” รปภ. นายหนึ่งซึ่งกำลังดูโทรทัศน์อยู่นั้น จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีความเคลื่อนไหวบางอย่างอยู่นอกหน้าต่าง แต่พอหันไปมองดู ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนกสักตัว
“พี่ฉวน พี่ตาลายไปรึเปล่าครับ?นี่ก็จะตีสองแล้ว จะไปมีใครที่ไหนกันล่ะ?” รปภ. คนที่ชื่อสี่จื่อเปิดประตูออกไปมองดูรอบๆ แล้วก็ถอยกลับเข้าไป
หลังจากที่เยี่ยเทียนรอดพ้นหูตาของ รปภ. ไปได้ และกลับไปถึงบ้านเลขที่แปดแล้ว เขาก็เดินอ้อมไปหลังบ้านตำแหน่งที่ตรงกับห้องที่เขาพักอยู่ ปลายเท้าถีบยันลงไปบนกำแพงเบาๆ แล้วร่างก็ทะยานเข้าไปในหน้าต่างชั้นสองราวกับนกนางแอ่น
“ใครน่ะ?” ทันทีที่เข้าไปในห้อง เยี่ยเทียนก็รู้สึกไม่ชอบมาพากลขึ้นมา เพียงชั่วพริบตาก็ชักมีดสั้นอู๋เหินออกมาไว้ในมือขวาแล้ว
“เจ้าลูกบ้า กลางดึกแบบนี้แกออกไปไหนมา?” เสียงของเยี่ยตงผิงทำให้เยี่ยเทียนเก็บมือขวาที่ชูขึ้นมากลับลงไป แล้วดีดปลายนิ้วส่งมีดสั้นอู๋เหินกลับเข้าไปเก็บใต้เสื้ออย่างเงียบเชียบ
เยี่ยเทียนเปิดโคมไฟหัวเตียง แล้วพูดอย่างขุ่นเคือง “ทีพ่อยังมาห้องผมกลางดึกเลยนี่ครับ ไฟก็ไม่เปิด ทำผมตกใจหมด พ่อก็รู้นี่ครับว่า เวลาคนเราโดนแกล้งให้ตกใจน่ะ อาจถึงตายได้เลยนะ!”
“ไม่ต้องมาใช้ไม้นี้กับพ่อเลย ไม่ได้ผลหรอก พ่อขอถามแกทีเถอะ เมื่อกี้ไปทำอะไรมา?” เยี่ยตงผิงทำหน้าถมึงทึง เขารู้ว่าลูกชายใจกล้าบ้าบิ่น จึงกลัวเหลือเกินว่าเยี่ยเทียนจะไปทำอะไรเลยเถิดเข้า
เยี่ยเทียนเองก็มีประสบการณ์ในการเผชิญหน้ากับพ่อของตัวเองสูงมาก ยามนั้นจึงยิ้มระรื่นพลางตอบว่า “ตอนค่ำดื่มหนักไปหน่อยน่ะพ่อ ผมเลยออกไปเดินเล่นให้สร่างเมาหน่อย แต่กลัวจะไปทำให้พวกชิงหย่าตื่นกัน ก็เลยออกไปทางหน้าต่างนี่ไงล่ะ เอ้อ ว่าแต่พ่อล่ะ ดึกดื่นไม่หลับไม่นอน มาห้องผมทำไมล่ะครับ?”
“พ่อไม่ไว้ใจแก ก็เลยมาดูน่ะสิ!”
เยี่ยตงผิงรู้จักลูกชายเป็นอย่างดี แค่เหล้าที่ดื่มไปเมื่อตอนค่ำนั้น ยังไม่พอที่จะทำให้เยี่ยเทียนอยู่ในสภาพนั้นได้หรอก เห็นเจ้านี่แกล้งเมาแบบนี้แล้ว ต้องไม่ใช่เพราะเรื่องดีๆ แน่
ตามคาด หลังจากที่เยี่ยเทียนออกไปได้สิบนาที พอเยี่ยตงผิงเปิดประตูห้องของลูกชายก็พบว่า ภายในนั้นไม่มีใครอยู่เลยสักคน เขานั่งรออยู่ที่นี่ไปสองชั่วโมงเต็มๆ เยี่ยเทียนถึงจะกลับมา
“นี่เยี่ยเทียน เรื่องของผู้ใหญ่น่ะแกอย่ายุ่งเลย แม่แกเขาก็มีเรื่องที่ต้องคิดอยู่ อย่าไปทำให้แผนของแม่เขาพังซะล่ะ!”
เยี่ยตงผิงจนปัญญากับลูกชายคนนี้แล้วจริงๆ เยี่ยเทียนยึดมั่นในความถูกต้องมาตั้งแต่เด็ก ถ้าเขาตัดสินใจแล้วว่าจะทำอะไร แม้แต่พ่อคนนี้ก็ดูเหมือนจะยังไม่เคยหยุดยั้งเขาได้เลย
“พ่อ ผมก็แค่ไปเดินเล่นมาเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นแหละ พอเถอะน่า พรุ่งนี้ต้องขึ้นเครื่องบินแต่เช้า ผมจะนอนแล้วนะ!”
เยี่ยเทียนหาวหนึ่งทีพร้อมบิดขี้เกียจ ทำหน้าเหมือนไม่อยากจะพูดอะไรอีกแล้ว เยี่ยตงผิงจึงจนปัญญา ได้แต่เดินออกไปอย่างฉุนเฉียว เพราะนี่เป็นบ้านของอวี๋เฮ่าหราน เยี่ยตงผิงก็เลยไม่อยากมีปากเสียงกับลูกชายจนทำให้ครอบครัวเจ้าของบ้านตื่นกันหมด
“พ่อ เรื่องบางอย่างน่ะ ก็ไม่ใช่สิ่งที่แม่จะควบคุมได้หรอกนะครับ…”
เยี่ยเทียนมองตามหลังพ่อไป แล้วเอ่ยขึ้นมาเสียงเบา เยี่ยตงผิงหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วก็โบกมือไปข้างหลัง ปิดประตูห้องของเยี่ยเทียน ในชั่วขณะนี้ เยี่ยตงผิงรู้สึกว่าตัวเองแก่ลงไปแล้วจริงๆ
ถึงเมื่อวานจะวิ่งวุ่นอยู่จนดึกดื่น แต่เมื่อแสงอาทิตย์แรกของวันสาดส่องลงสู่ผืนแผ่นดิน เยี่ยเทียนก็ยังลุกขึ้นมาได้ แล้วไปยืนสมาธิ ฝึกหมัดมวยในสวนของบ้านตระกูลอวี๋ ระหว่างที่กำลังสูดพลังปราณวิเศษ พลังอัปมงคลที่อยู่ในใจตั้งแต่เมื่อวานก็ถูกสลายไป
ปราณมรณะจากการสังหารซ่งเสี่ยวเจ๋อนั้น ไม่อาจแปดเปื้อนมาถึงตัวเยี่ยเทียนได้เลย ควรทราบว่า สาเหตุที่ซินแสฮวงจุ้ยกล้าเดินทางพเนจรไปตามป่าเขา และสุสานป่าช้าต่างๆ นั้น ก็เป็นเพราะว่าศาสตร์ที่พวกเขาร่ำเรียนมาสามารถป้องกันพลังปราณเหล่านั้น ไม่ให้กล้ำกรายเข้าสู่ร่างกายได้
แต่ในสมัยปัจจุบันนี้ นอกจากเยี่ยเทียนที่ทำได้ถึงระดับนั้นแล้ว คนอื่นๆ ก็คงจะต้องพึ่งพาพลังจากภายนอกในการป้องกันกระแสพลังพิฆาตกันทั้งนั้น อย่างพวกเครื่องรางของขลังก็มีฤทธิ์เช่นนี้อยู่
หลังจากจบกระบวนท่าฝึก ก็เป็นเวลาเจ็ดโมงกว่าแล้ว เมื่อรับประทานอาหารเช้ากันเรียบร้อยแล้ว อวี๋เฮ่าหรานก็ขับรถพาพวกเยี่ยเทียนไปส่งที่สนามบินด้วยตัวเอง
“พ่อคะ แม่คะ ที่นี่กับที่โน่นก็ไม่ได้ไกลกันมาก พวกหนูจะกลับมาเยี่ยมเมื่อไหร่ก็ได้ทั้งนั้น หรือว่า…แม่จะไปอยู่กับหนูที่ปักกิ่งสักระยะหนึ่งดีไหมละคะ?”
เมื่อไปถึงอาคารท่าอากาศยาน อวี๋ชิงหย่าเห็นมารดาขอบตาแดงเรื่องขึ้นมา จึงเริ่มจะรู้สึกอาลัยขึ้นมา แม้จะเป็นเพียงการหมั้นหมาย แต่เธอก็ชื่อว่าเป็นลูกสาวได้ที่แต่งออกไปจากตระกูลแล้ว ต่อจากนี้ไปบ้านตระกูลอวี๋ก็จะกลายเป็นบ้านครอบครัวเก่าของเธอแล้ว
“เฮ่าหราน?” พอได้ยินลูกสาวถามอย่างนั้น นางอวี๋ก็มองไปที่สามี
“ได้ๆ ไว้พอผ่านครึ่งเดือนไปแล้ว เราสองคนก็ไปปักกิ่งกันนะ ได้ยินมาว่าพ่อหนุ่มเยี่ยเทียนไปสร้างบ้านซื่อเหอย่วนไว้เสียใหญ่โตเลยนี่ พวกเราก็ไปพักกันที่นั่นแหละ!”
เมื่อเห็นสายตาเว้าวอนของภรรยา อวี๋เฮ่าหรานก็พยักหน้ารัวๆ ขณะที่กำลังคิดจะวางมาดพ่อตา อบรมเยี่ยเทียนอีกสักหน่อย โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าก็ดังขึ้นกะทันหัน
“อ้อ ผู้อำนวยการซุนหรือครับ?ผมอวี๋เฮ่าหรานนะครับ นี่แค่งานหมั้นน่ะ คราวหน้างานแต่งผมต้องเชิญคุณแน่นอน ถึงตอนนั้นแล้วต้องมาร่วมงานให้ได้เลยนะครับ!” อวี๋เฮ่าหรานรับโทรศัพท์ สนทนากับฝ่ายนั้นอีกสองสามคำ แล้วจู่ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไป ตอบอืมๆ ครับๆ อีกไม่กี่คำก็วางสาย
เมื่อเห็นอวี๋เฮ่าหรานสีหน้าไม่สู้ดี เยี่ยตงผิงจึงเอ่ยถามว่า “เหล่าอวี๋ ทำไมรึ?ธุรกิจมีปัญหารึเปล่า?หรือพวกนายจะกลับไปก่อนก็ได้นะ พวกฉันก็ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะนั่งเครื่องบินกันเป็นครั้งแรกเสียหน่อย!”
“ซ่งเสี่ยวเจ๋อตายแล้ว คืนเมื่อวานนี่เอง รถชนน่ะ!”
อวี๋เฮ่าหรานมีสีหน้าแปลกประหลาดสุดขีด มองไปที่เยี่ยเทียนอย่างอดไม่ได้ ถึงเขาจะรู้ว่าเมื่อวานเยี่ยเทียนอยู่ที่บ้านของเขา แต่ก็ยังอดเชื่อมโยงเรื่องนี้เข้ากับเยี่ยเทียนไม่ได้อยู่ดี
“อะไรนะ?!”
เยี่ยตงผิงมีปฏิกิริยารุนแรงยิ่งกว่าอวี๋เฮ่าหรานเสียอีก พอได้ยินข่าวนี้ สายตาของเขาก็พุ่งตรงไปที่ลูกชายอย่างอึ้งๆ โดยไม่มีการปกปิดสีหน้าเลยสักนิด
เมื่อเห็นว่าสองคนนี้ทำให้แม่ยายและอวี๋ชิงหย่าพลอยมุ่งความสนใจมาที่ตนไปด้วย เยี่ยเทียนก็แบมือ แล้วพูดด้วยหน้าตาใสซื่อ “อ้าว นี่พ่อน่ะ พวกพ่อๆ มามองผมกันทำไมล่ะครับ?รถชนแล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมล่ะ?”
อวี๋เฮ่าหรานพยักหน้า “ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเธอก็จริง ตอนชันสูตรก็พบว่า ก่อนเสียชีวิตซ่งเสี่ยวเจ๋อดื่มเหล้าไปเยอะ อุบัติเหตุน่าจะเกิดเพราะเมาแล้วขับ แต่ว่า…ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าเรื่องนี้มันมีลับลมคมในยังไงชอบกลอยู่นะ?”
“เอาเถอะ เรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราน่ะ จะไปกังวลกับมันทำไมมากมายเล่า?ใกล้จะต้องขึ้นเครื่องแล้ว พวกฉันไปผ่านจุดตรวจความปลอดภัยก่อนนะ!”
แตกต่างจากอวี๋เฮ่าหรานที่มีสีหน้าคลางแคลงสงสัย เยี่ยตงผิงในขณะนั้นกำลังใจเต้นแรงด้วยความหวาดหวั่น เขากล้ารับรองได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่า เรื่องนี้จะต้องเป็นฝีมือของลูกชายตนอย่างแน่นอน แม้เขาจะฉงนใจอยู่ว่าเยี่ยเทียนไปทำอย่างไรถึงก่อให้เกิดเหตุรถชนขึ้นมาได้
ตอนนี้เยี่ยตงผิงคิดแต่อยากจะไปจากเซี่ยงไฮ้ให้เร็วที่สุด เพราะไม่ว่าอย่างไรสำหรับคนธรรมดาอย่างเขา การฆ่าคนก็ดูเป็นเรื่องที่ไกลเกินตัวและน่ากลัวเกินไป โดยเฉพาะยิ่งมาเกี่ยวพันกับลูกชายของตัวเองด้วยแล้ว
หลังจากเครื่องบินออกตัวขึ้นไปแล้ว เยี่ยตงผิงถึงจะโล่งใจลงไปได้ แต่สายตาที่เขามองดูเยี่ยเทียนกลับเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ในใจก็พยายามขบคิดว่าพอกลับไปแล้วจะจัดการกับลูกชายคนนี้อย่างไรดี
เยี่ยเทียนก็ต้องไม่เปิดโอกาสให้พ่ออยู่แล้ว พอลงจากเครื่องบิน เยี่ยเทียนก็ไปหาซื้อของใช้อุปโภคกับอวี๋ชิงหย่าทันที
ตอนเย็นทุกคนก็มารับประทานอาหารกันที่บ้านซื่อเหอย่วนหลังเดิม เยี่ยเทียนยังไม่ทันได้พาว่าที่ภรรยาของตนไปที่เรือนหอ เยี่ยตงผิงจะเอ่ยปากพูดเรื่องนี้ที่โต๊ะอาหารก็คงไม่เหมาะ จึงได้แต่เก็บไว้ในใจไปก่อน
“เหวยอัน หลายวันมานี้บ้านเราไม่มีเรื่องอะไรใช่ไหม?” หลายวันก่อนตอนที่จะออกเดินทาง มีธุรกิจกับลูกค้ารายหนึ่งเกือบจะเจรจาสำเร็จแล้ว แต่เรื่องของลูกชายสำคัญที่สุด เขาจึงยกให้หลิวเหวยอันเป็นคนจัดการแทน
หลิวเหวยอันตอบว่า “ของรายการนั้นตกลงกับลูกค้าตามราคาที่พี่บอกไว้เรียบร้อยแล้วครับ ส่วนในร้านก็ไม่ได้มีเรื่องอะไร แต่มีคนมาหาเสี่ยวเทียนที่บ้านน่ะ…”
“ใครมาหาผมหรือครับอาเขย?” เยี่ยเทียนหันไปมองหลิวเหวยอัน
“ก็…ก็คุณท่านถังคนนั้นน่ะ เขามาหานายที่ซื่อเหอย่วน แล้วก็ฝากเบอร์โทรศัพท์กับที่อยู่ไว้ บอกว่าพอนายกลับมาแล้วให้โทรไปหาด้วย!”
หลิวเหวยอันเคยเจอถังเหวินหย่วนแล้ว เมื่อวานซืนถังเหวินหย่วนมาหาที่บ้านแต่เช้า ทำเอาเขาตกอกตกใจหมดเลย เพราะทั้งสองมีสถานะที่แตกต่างกันมากเหลือเกิน
เยี่ยเทียนรับกระดาษโน้ตแผ่นนั้นไปดูแวบหนึ่ง แล้วพูดขึ้นอย่างเฉยเมย “ผมไม่มีเวลาไปหาเขาหรอก สองวันนี้มีธุระต้องจัดการอยู่ ไว้อีกสองสามวันค่อยคุยก็แล้วกัน!”
ตอนที่ 242
แก้ชะตา
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เสี่ยว…เสี่ยวเทียน แต่…แต่นั่นมันคุณท่านถังเลยนะ?”
เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนพูดแบบนั้น หลิวเหวยอันก็ตะลึงไปทันที เขาจะนึกอย่างไรก็คงนึกไม่ถึงว่า เยี่ยเทียนจะพูดออกมาแบบนี้ ฟังจากที่เยี่ยเทียนพูดมา อย่างกับว่าถังเหวินหย่วนเป็นเพียงคนไร้ชื่อเสียงเรียงนามที่เดินสวนกันตามถนนก็ไม่ปาน
“เหวยอัน คุณท่านถังที่นายพูดถึงนี่คือ?” พอเยี่ยตงผิงได้ยินทั้งสองคุยกัน ก็เอ่ยถามขึ้นมา
“ก็คือถังเหวินหย่วนน่ะสิครับ มหาเศรษฐีฮ่องกงคนนั้นนั่นแหละ ก่อนหน้านี้เสี่ยวเทียนเคยขายหยกให้เขาไป…”
หลิวเหวยอันรีบอธิบาย นี่ไม่ใช่ว่าเขาเห่อคนรวย แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นชาวบ้านตาดำๆ คนอื่น แล้วมีอภิมหาเศรษฐีมาเยือนถึงบ้านแบบนี้ ก็คงจะมีปฏิกิริยาไม่ต่างกับหลิวเหวยอันนักหรอกจริงไหม?
“อาเขยครับ ผมก็ไม่ได้ติดหนี้เขาสักหน่อย เดี๋ยวอีกสองสามวันเขาก็มาหาผมอีกอยู่ดีแหละ”
เยี่ยเทียนโบกมือไม่ให้หลิวเหวยอันพูดต่อ แล้วลุกขึ้นยืน “พ่อ ป้า ผมอิ่มแล้ว เดี๋ยวผมกับชิงหย่าจะกลับไปเรือนฝั่งโน้นก่อนนะครับ!”
“เสี่ยวเทียน นาย…”
“ช่างเถอะเหวยอัน มันรู้อยู่น่ะว่าตัวเองทำอะไร”
หลิวเหวยอันยังอยากจะเกลี้ยกล่อมหลานชายอีกสักหน่อย แต่กลับถูกเยี่ยตงผิงขัดขึ้นมา เยี่ยตงผิงยังไม่เคยอ่านใจลูกชายของตัวเองออกเลย แม้กระทั่งเรื่องอุบัติเหตุรถชนของซ่งเสี่ยวเจ๋อ ตอนนี้เขาก็เริ่มจะไม่อยากไปซักถามแล้ว
“เยี่ยเทียน คนพวกนั้นกำลังพูดถึงพวกเราอยู่รึเปล่านะ?”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังเปิดประตู อวี๋ชิงหย่าที่กำลังหอบผ้าคลุมเตียงและผ่าปูที่นอนชุดใหม่อยู่เต็มสองแขน ก็มองไปยังกลุ่มคนที่ยืนอยู่ห่างออกไปและกำลังชี้มือชี้ไม้มาทางพวกเธอสองคนด้วยสายตาหวั่นเกรง
เยี่ยเทียนหัวเราะพลางเปิดประตูด้านข้างออก แล้วหันหน้าไปตอบว่า “เรือนฉันนี่เป็นบ้านผีสิงนะ เธอกลัวไหมล่ะ?”
“บ้านผีสิง? นายอย่ามาแกล้งขู่ฉันนะ!”
อวี๋ชิงหย่าค่อนข้างจะเป็นคนขวัญอ่อน สมัยเด็กก็โดนเยี่ยเทียนจับปลาไหลบึงมาแกล้งขู่ว่าเป็นงู จนเธอวิ่งหนีไปทั่ว แต่เมื่อเห็นเยี่ยเทียนยิ้มกริ่ม อวี๋ชิงหย่าก็เข้าใจขึ้นมาทันที กระทืบเท้าแล้วพูดขึ้นว่า “นายจะขู่ก็ขู่ไปเถอะ ถ้าได้อยู่กับนาย ต่อให้เป็นบ้านผีสิงฉันก็ไม่กลัวหรอก!”
“ว้าย?!!”
เพื่อแสดงความกล้าหาญของตัวเอง อวี๋ชิงหย่าจึงชิงตัดหน้าเยี่ยเทียนเข้าไปในตัวเรือนก่อน แต่เมื่อเธอเห็นดอกไม้สดสวยเต็มสวนที่อยู่หลังประตูบานกลาง ก็อดร้องเสียงสูงขึ้นมาไม่ได้
“แม่สาวคนนั้นเจอผีใช่ไหมเนี่ย?”
“เจ้าหนุ่มนี่ก็เป็นคนยังไงเนี่ย ตัวเองไม่กลัวผี แต่ดันพาสาวเข้าไปด้วยเนี่ยนะ!”
“แต่รู้สึกว่า ตั้งแต่เช้าวันที่ยี่สิบเก้า ก็เหมือนจะไม่เห็นมีผีอะไรแล้วนะ?”
“แกเข้าไปดูมาแล้วรึไง? ฉันว่านะ เดี๋ยวแม่สาวนั่นก็คงวิ่งเตลิดกลับออกมาแล้ว ถ้าไม่เชื่อเรามาพนันกันไหมล่ะ!”
พอได้ยินเสียงกรีดร้องของอวี๋ชิงหย่า บรรดาคนที่ตั้งวงสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ ก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมาทันที บางคนมีความเห็นว่า อีกไม่เกินสามนามที อวี๋ชิงหย่าก็จะต้องเผ่นออกมาแน่นอน
แต่ที่ทำให้พวกเขาผิดหวังคือ หลังจากเยี่ยเทียนปิดประตูด้านข้างลงแล้ว ก็ไม่มีสุ้มเสียงเล็ดรอดออกมาจากเรือนใหญ่นั้นอีกเลย บางคนที่ยังไม่ยอมตายใจถึงกับยืนรออยู่กลางลมหนาวเป็นครึ่งค่อนชั่วโมง แต่ก็ไม่เห็นจะมีเรื่องตื่นเต้นอะไรให้ดูเลย
“เยี่ยเทียน ที่นี่…ที่นี่มันช่างสวยอะไรอย่างนี้นะ!”
ฝั่งข้างนอกประตูมีแต่หิมะทับถมกัน แต่ข้างในนี้กลับเต็มไปด้วยดอกไม้หอมกรุ่น ภาพที่ปรากฏแก่สายตานี้ ทำให้อวี๋ชิงหย่ายืนอึ้งอยู่ตรงนั้นไปพักใหญ่ๆ ถึงจะมีปฏิกิริยาขึ้นมาได้
แม้ว่าลานบ้านของเยี่ยเทียนจะกว้างใหญ่มาก แต่ทั่วทั้งลานบ้านนั้นไม่มีกระแสพลังพิฆาตอยู่เลยแม้แต่น้อย ทำให้รู้สึกปลอดภัยและผ่อนคลายอย่างยิ่ง อวี๋ชิงหย่านึกสนุกขึ้นมา จับมือเยี่ยเทียนแล้วพูดขึ้นว่า “เยี่ยเทียน เรามาเล่นซ่อนแอบกันดีไหม?”
“คุณอายุเท่าไหร่แล้วคร้าบ? ยังจะเล่นซ่อนแอบอีก?” เยี่ยเทียนหัวเราะเจื่อนๆ จูงมือเล็กๆ ของอวี๋ชิงหย่าเดินไปนั่งลงที่สวนดอกไม้ในลานบ้าน “ชิงหย่า ฉันมีเรื่องจะพูดกับเธอน่ะ…”
อวี๋ชิงหย่าหันไปมองนั่นมองนี่ พลางถามอย่างไม่ใส่ใจนักว่า “เรื่องอะไรล่ะ? เยี่ยเทียน ในสระนี้มีปลาด้วยเหรอเนี่ย?”
เยี่ยเทียนยื่นมือออกไปจับศีรษะของอวี๋ชิงหย่าที่กำลังหันมองไปทั่วนั้นไว้ แล้วตอบอย่างเคร่งขรึม “เรื่องเกี่ยวกับเราสองคนน่ะ!”
“เรื่องของเราสองคน มีอะไรหรือเยี่ยเทียน?” เมื่อเห็นท่าทีของเยี่ยเทียน อวี๋ชิงหย่าก็เริ่มจริงจังขึ้นมาบ้าง และยังรู้สึกหวาดผวาขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผลอีกด้วย
“ชิงหย่า เธอรู้ไหมว่า ทำไมอาจารย์ถึงไม่แต่งงาน และไม่มีทายาทเลยตลอดทั้งชีวิตของท่าน?” เยี่ยเทียนถามขึ้น
“ก็อาจารย์นายเป็นนักพรตไม่ใช่รึ? นักพรตนี่แต่งงานได้ด้วยหรือ?” ทันใดนั้นอวี๋ชิงหย่าก็ร้องอุทานขึ้นมา “เยี่ยเทียน นายคงไม่ได้คิดจะออกบวชเหมือนท่านหรอกนะ? แล้ว…แล้วอย่างนั้นฉันจะทำยังไงล่ะ?”
“ใช่ที่ไหนเล่า? ใช้สมองคิดยังไงของเธอเนี่ย?”
เยี่ยเทียนเขกศีรษะอวี๋ชิงหย่าไปหนึ่งทีอย่างเคืองๆ “ชิงหย่า เธอก็รู้อยู่ว่า ฉันเป็นผู้สืบทอดสำนักเสื้อป่านรุ่นที่ห้าสิบเอ็ด คนที่ทำอาชีพอย่างพวกฉันน่ะ โดยปกติมักจะต้องอาภัพด้านใดด้านหนึ่งในห้าขาดตกสามบกพร่อง ที่อาจารย์ไม่ได้แต่งงานเลยตลอดชีวิต ก็เป็นเพราะสาเหตุนี้นี่แหละ!”
ที่เยี่ยเทียนพูดมานั้น ที่จริงแล้วเป็นสาเหตุเพียงครึ่งหนึ่ง หลังจากที่หลี่ซั่นหยวนเข้าเป็นศิษย์ของสำนักเสื้อป่านเมื่อวัยหนุ่ม ก็ได้ตั้งปณิธานไว้แล้วว่า จะอุทิศเวลาและพลังทั้งชีวิตเพื่อพัฒนาศาสตร์ลี้ลับของสำนักในส่วนที่ยังบกพร่องอยู่
ดังนั้นตลอดชีวิตของพรตเฒ่าจึงไม่แต่งภรรยากำเนิดบุตร สาเหตุหนึ่งเพราะกลัวว่าชะตาที่บกพร่องของตนเองจะทำให้ครอบครัวพลอยลำบากไปด้วย ส่วนอีกประการหนึ่งก็เพราะว่า พรตเฒ่าต้องการจะเสียสละเพื่อสำนักนั่นเอง
“เยี่ย…เยี่ยเทียน แล้ว…แล้วนายจะโดนห้าขาดสามอะไรนั่นเหมือนกันรึเปล่าล่ะ?” อวี๋ชิงหย่าได้ยินเยี่ยเทียนพูดอย่างนั้นก็ใจหายใจคว่ำ มือเล็กๆ นั้นจับเยี่ยเทียนไว้แน่น ราวกับว่าถ้าคลายมือออกเขาก็จะหายตัวไปเลย
“ยายเด็กโง่ ถ้าฉันจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็คงไม่มาหมั้นกับเธอแล้วละ”
เยี่ยเทียนหัวเราะแล้วพูดต่อ “แต่ฉันจะต้องแก้ไขดวงชะตาของเธอหน่อย เธอจะได้ไม่ต้องมาพลอยรับโทษสวรรค์เพราะฉันเป็นสาเหตุไปด้วย แบบนี้ต่อไปพวกเราก็จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้แล้วละ!”
สาเหตุที่เขายังไม่ไปพบถังเหวินหย่วนนั้น หลักๆ ก็เป็นเพราะเรื่องนี้นี่เอง
เยี่ยเทียนจะต้องใช้เวลาหนึ่งวันในการตั้งค่ายอาคม สกัดพลังปราณบนร่างของอวี๋ชิงหย่าไว้ชั่วคราว แล้วใช้ศาสตร์ลี้ลับแก้ไขดวงชะตาของเธอ เพื่อให้กฎแห่งฟ้าไม่อาจส่งผลกระทบถึงพลังชี่ของอวี๋ชิงหย่าได้
เมื่อได้ฟังที่เยี่ยเทียนบอก อวี๋ชิงหย่าก็รีบพูดขึ้นว่า “งั้น…งั้นก็เร็วๆ เข้าเถอะ ต้องแก้ยังไงล่ะเยี่ยเทียน?”
“ไม่รีบหรอก วันนี้วิ่งวุ่นกันมาทั้งวันแล้ว นอนหลับพักผ่อนให้สบายก่อน พรุ่งนี้ฉันพร้อมเมื่อไหร่ก็จะแก้ชะตาให้เธอเลย!”
เยี่ยเทียนยิ้มพลางลูบศีรษะของอวี๋ชิงหย่า พลางคิดว่าตัวเองผ่านช่วงติดขัดไปแล้ว ตามที่อาจารย์กล่าวไว้ เขาก็สามารถที่จะละพรหมจรรย์ได้แล้ว จิตใจของเยี่ยเทียนเองก็กำลังระอุคุกรุ่น สมัยที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัย เขาก็เคยแอบไปดูหนังอย่างว่าตามร้านฉายวิดีโอเถื่อนกับสวีเจิ้นหนานมาเหมือนกัน
หลังจากนั่งคุยกับอวี๋ชิงหย่าในสวนไปพักหนึ่ง เยี่ยเทียนก็เกลี้ยกล่อมเธอให้ไปนอนในห้อง แต่เขาเองกลับเดินมาทำงานยุ่งอยู่ที่ห้องด้านนอก
“ไม่ได้ทำมาช่วงนึงแล้ว ฝีมือเริ่มตกไปจริงๆ แฮะ!” มือซ้ายของเยี่ยเทียนถือหยกขนาดเท่าฝ่ามือชิ้นหนึ่ง มือขวาถือมีดแกะสลักเล่มหนึ่ง และกำลังสลักเสลาหยกชิ้นนั้นอย่างรวดเร็ว
ถ้าเยี่ยตงผิงมาเห็นเข้า คงได้ถือมีดทำครัวไล่ล่าสังหารลูกชายไปจนสุดขอบโลกแน่ๆ เพราะหยกชิ้นนั้น เป็นถึงหยกเหอเถียนชั้นดีจากซินเจียงที่เขาซื้อมาแสนกว่าหยวนเลยทีเดียว
การเจียระไนหยกนั้นเป็นงานที่ต้องใช้เวลานาน หลังจากเร่งมือมาตลอดทั้งคืน จนกระทั่งได้ยินเสียงไก่ขันดังแว่วมาแต่ไกล เยี่ยเทียนถึงจะแกะสลักหยกชิ้นนี้เสร็จสิ้นไปได้ และกำลังวางไว้บนฝ่ามือพลางพิจารณาดูแล้วดูอีก
ชิ้นหยกที่ตอนแรกเป็นเพียงรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้านั้น ยามนี้กลับกลายเป็นหุ่นสลักรูปอวี๋ชิงหย่าไปแล้ว เค้าหน้าเหมือนตัวจริงทุกรายละเอียด มองเห็นเส้นผมเป็นลายชัดเจน หลังจากที่พลังฝีมือของเยี่ยเทียนพัฒนาขึ้นมาก ทักษะในการควบคุมมือของเขาก็ประณีตละเอียดขึ้นตามไปด้วย
เมื่อแกะสลักหุ่นอวี๋ชิงหย่าเสร็จแล้ว เยี่ยเทียนก็หยิบมีดสั้นอู๋เหินและเหรียญต้าฉีทงเป่าออกมา พร้อมด้วยเครื่องรางนักษัตรที่เหลืออยู่อีกสองเหรียญสุดท้าย แล้วเริ่มตั้งค่ายอาคมสี่ลักษณ์สะกดปราณในลานบ้าน
อาคมชนิดนี้สามารถสะกดควบคุมพลังปราณของคนได้ แต่ถ้าต้องการจะฝืนชะตาฟ้า ก็จะต้องใช้เวลาหนึ่งวันในการพัฒนาอาคมนี้ ดังนั้นตลอดช่วงกลางวันในวันนั้น เยี่ยเทียนจึงหมดเวลาไปกับการพัฒนาอาคมจนหมด
“เยี่ยเทียน นี่จะทำอะไรน่ะ?” เมื่อเห็นพื้นที่ว่างตรงหน้า อวี๋ชิงหย่าก็ชักจะสงสัยขึ้นมา เธอไม่เข้าใจว่า ทำไมเยี่ยเทียนต้องให้เธอไปนั่งบนม้านั่งกลางที่โล่งๆ นั่นด้วย?
“ไม่ต้องถามมากหรอก เดี๋ยวไม่ว่าเธอจะเห็นอะไร ก็อย่าพูดอะไรออกมาทั้งนั้นนะ ฉันตั้งค่ายอาคมนี่ขึ้นมาเพื่อแก้ดวงชะตาให้เธอนั่นแหละ!”
เยี่ยเทียนสีหน้าเคร่งขรึม เขายังไม่เคยใช้ศาสตร์ลับวิชานี้มาก่อนเลย ถ้าไม่ใช่เพราะรู้อยู่ว่า ต่อให้การแก้ชะตาล้มเหลว อวี๋ชิงหย่าก็ยังคงไม่เป็นอันตรายอะไรแล้วละก็ เยี่ยเทียนก็คงไม่กล้าใช้วิธีนี้หรอก
“อืม รู้แล้วละ ฉันจะไม่พูดเด็ดขาดเลย!” เมื่อเห็นเยี่ยเทียนท่าทางจริงจัง อวี๋ชิงหย่าก็พยักหน้า แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ในเขตอาคมอย่างว่าง่าย มองดูเยี่ยเทียนตาไม่กระพริบ
“อาคมนี่ใช้ได้ผลจริงๆ ด้วยแฮะ!”
หลังจากอวี๋ชิงหย่าเข้าไปในเขตอาคมสี่ลักษณ์สะกดปราณแล้ว แม้ว่าตาของเยี่ยเทียนจะยังมองเห็นอวี๋ชิงหย่าได้อยู่ แต่กลับสัมผัสถึงพลังชี่บนร่างของอวี๋ชิงหย่าไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าเธอได้อันตรธานไปต่อหน้าเขาแล้วก้ไม่ปาน
เยี่ยเทียนหยิบหุ่นสลักรูปอวี๋ชิงหย่าที่เตรียมไว้แล้วออกมา จากนั้นก็นำเส้นผมของอวี๋ชิงหย่ามาอีกเส้นหนึ่ง ใช้ศาสตร์ลับเค้นพลังปราณของอวี๋ชิงหย่าที่มีอยู่ในเส้นผมนั้นออกมา แล้วถ่ายเข้าสู่หุ่นหยกนั้น
จากนั้นเยี่ยเทียนก็ก้าวเดินเป็นรูปยันต์แปดทิศ สองมือวาดยันต์กลางอากาศ ท่องแปดอักขระวันเดือนปีและเวลาเกิดของอวี๋ชิงหย่าใส่เข้าไปในหยก หลังจากขั้นตอนเหล่านี้เสร็จสิ้นลง เยี่ยเทียนก็เหงื่อออกเต็มหน้าผาก จึงนั่งลงไปพักผ่อนสักครู่หนึ่ง
ศาสตร์ลับที่เยี่ยเทียนใช้อยู่นี้ ที่จริงแล้วเป็นไสยศาสตร์โบราณแขนงหนึ่ง ซึ่งจะสะเดาะเคราะห์ร้ายโดยใช้นำหยกที่แกะสลักเป็นตัวแทนของคน แต่ถ้าไม่ใช่เพราะเยี่ยเทียนได้รับถ่ายทอดวิชามาจากท่านปรมาจารย์ ศาสตร์ลี้ลับแขนงนี้ก็คงจะสาบสูญไปนานแล้ว
หลังจากพักผ่อนไปได้ครู่หนึ่ง เยี่ยเทียนก็ลุกขึ้นยืน สองมือเริ่มนับนิ้วจับยาม ปากก็ตะเบ็งเสียงว่า “เก้าราศีเคลื่อนคล้อย ก่อกำเนิดวนเวียน งามเลิศเจิดจรัส จิตเดิมแยกสลาย หยุดเมฆาอาบตะวัน ทะยานร่างสู่ตำหนัก สรรพสิ่งในโลก จงให้ข้าหยั่งรู้!”
เมื่อเยี่ยเทียนเปล่งเสียงบริกรรมคาถา ภายในบ้านซื่อเหอย่วนที่ไม่มีเสียงลมเลยแม้แต่น้อยนั้น จู่ๆ พลังชี่ก็เริ่มปั่นป่วนขึ้นมา ม่านป้องกันล่องหนที่ปกคลุมอยู่เหนือบ้านซื่อเหอย่วนนั้น ก็ดูราวกับถูกพลังมหาศาลอย่างหนึ่งฉีกทำลายลง อากาศอันหนาวเย็นพุ่งถาโถมเข้ามาทันที
ขณะเดียวกันบนฟ้าเหนือบ้านซื่อเหอย่วนของเยี่ยเทียน เมฆดำกลุ่มหนึ่งก็เริ่มก่อตัวขึ้น แต่ตอนแรกท้องฟ้าก็มืดอยู่แล้ว จึงไม่ได้ดูสะดุดตามากนัก
“ญาณศักดิ์สิทธิ์รุ่งเรือง ดำรงตราบนิรันดร์ ในบัดดล!”
เยี่ยเทียนตะเบ็งเสียงออกไปอีกครั้ง เมื่อเสียงเปล่งออกไป สายฟ้าลำหนึ่งก็พุ่งผ่าลงมาทันที โดยผ่าลงไปที่หุ่นแกะสลักที่อยู่ตรงหน้าห่างจากเยี่ยเทียนหนึ่งเมตรเข้าอย่างจัง
สายฟ้าที่ปรากฏให้เห็นและเสียงที่ดังสนั่นอยู่ใกล้ๆ นั้น ทำเอาอวี๋ชิงหย่าตกใจจนหน้าถอดสี แต่ในใจเธอก็ยังคงจดจำสิ่งที่เยี่ยเทียนกำชับไว้ได้อยู่ จึงขบริมฝีปากแน่น ไม่เปล่งเสียงอะไรออกมาแม้แต่น้อย
“ดวงจิตแก่นแท้ จงสื่อสารกับข้า เพี้ยง!”
เมื่อเห็นหุ่นแกะสลักนั้นสลายเป็นเถ้าถ่านไปท่ามกลางสายฟ้าแลบ เยี่ยเทียนก็มีสีหน้ายินดีปรีดา หลังจากตะโกนคาถาคำสุดท้ายออกมาแล้ว โลหิตที่กักอยู่ในลำคอก็กระอักออกมา ล้มก้นจ้ำเบ้าลงไปนั่งกับพื้น
ตอนที่ 243
บ้านพักตากอากาศ
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากที่เสียงสวดมนต์บทสุดท้ายของเยี่ยเทียนกล่าวออกไป เมฆทะมึนบนท้องฟ้าก็มลายสลายราวกับปาฏิหารย์ เหมือนว่าสายฟ้าแปลบปลาบเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เกราะกำบังไร้รูปหนึ่งชั้น ก็เข้ามาห่อหุ้มเรือนสี่ประสานอีกครั้ง
“แม่เอ๊ย โชคดีทีไม่ผ่ามาใส่เรา ไม่อย่างนั้นชีวิตน้อย ๆ คงจบกันแน่!” เยี่ยเทียนที่นั่งอยู่บนพื้นหน้าซีดเผือด มองยังท้องฟ้าด้วยหัวใจหวาดหวั่น นึกกลัวว่าถ้าสวรรค์ไม่พอใจขึ้นมา เดี๋ยวจะฟาดสายฟ้าลงมาอีกรอบ
ที่สำคัญ แม้ฟ้าผ่าเมื่อครู่เยี่ยเทียนไม่ได้เป็นสื่อกระแสไฟฟ้า แต่กลับเป็นเยี่ยเทียนที่เหนี่ยวนำลงมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแม้การฝึกฝนของเขาถึงขั้นฝึกลมปราณให้กลายเป็นพลังวิญญาณได้แล้ว ก็ยังไม่สามารถต้านทานพลังแห่งฟ้าดิน
เงยหน้าขึ้นเห็นอวี๋ชิงหย่ายืนอยู่กลางวงเวท ใช้มือน้อยอุดปากอย่างแนบแน่น เยี่ยเทียนก็ยิ้มแย้ม โบกมือกล่าว “ชิงหย่า ไม่เป็นไรแล้ว เธอออกมาได้แล้วล่ะ!”
“เยี่ยเทียน นาย……นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว อวี๋ชิงหย่าก็วิ่งออกมาจากวงเวท พอถึงตัวก็กอดเยี่ยเทียนนิ่ง เผลอตัวร้องไห้เสียงดังออกมา
แม้จะรู้ว่าเยี่ยเทียนมีเวทมนตร์หายตัวได้ แต่ไม่ว่ายังไงอวี๋ชิงหย่าก็คิดไม่ถึงว่า เยี่ยเทียนจะสามารถดลบันดาลให้ฟ้าผ่า นั่นแทบไม่ต่างจากพลังอำนาจในตำนานและเทพนิยาย เธอตกใจกลัวจนขวัญหาย
เยี่ยเทียนส่ายหัว ใช้มือลูบผมสลวยของอวี๋ชิงหย่า กล่าวว่า “ไม่เป็นไร แค่ถูกพลังย้อนกลับนิดหน่อยเท่านั้น พักสักวันสองวันก็หายแล้ว……”
เทียบกับตอนฝืนลิขิตเปลี่ยนชะตาให้หลี่ซั่นหยวนเจ็ดวันเจ็ดคืนไม่หลับไม่นอนแล้ว เปลี่ยนชะตาให้อวี๋ชิงหย่านับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ยิ่งตอนนี้เยี่ยเทียนสามารถดึงพลังชี่จากฟ้าดินมาซ่อมแซมร่างกาย เพียงไม่นานก็สามารถรักษาบาดเจ็บให้หายดี
“เยี่ยเทียน……ถ้า ถ้าอย่างนั้นผมของนายจะไม่กลายเป็นสีขาวแล้วใช่ไหม?” อวี๋ชิงหย่าถามด้วยความกังวล เธอรู้เหตุผลที่ผมของเยี่ยเทียนกลายเป็นสีขาวเมื่อคราวก่อน
“ไม่อยู่แล้วล่ะ ชิงหย่า เธอพยุงฉันนั่งทางนั้นหน่อย ฉันอยากพักผ่อนสักนิด!” แม้ว่าอาการบาดเจ็บจะไม่หนักมาก แต่เวลาเยี่ยเทียนสูดลมหายใจ ยังสามารถรู้สึกถึงความเจ็บปวดเล็กน้อยจากอวัยวะภายใน
“ฉัน……ฉันพยุงนายไปข้างในห้องดีกว่า!” ถึงแม้ว่าอุณภภูมิบ้านหลังนี้จะสูงกว่าข้างนอกไม่น้อย แต่อย่างไรเสียตอนนี้ก็ยังเป็นฤดูหนาว นั่งบนเก้าอี้หินก็ยังเยือกเย็นอยู่
เยี่ยเทียนพยักหน้า “ได้ ชิงหย่า เดี๋ยวเธอช่วยเอามีดเล็กเล่มนั้นกับหินหยกในเขตวงเวทเก็บกลับเข้ามาในบ้านที……”
เมื่อใช้ของขลังจัดเรียงวงเวท จะมีการใช้พลังจากของขลัง ของขลังหินหยกสองสามชิ้นนั้นออกจะฝืนกำลังไปสักหน่อย เยี่ยเทียนกลัวว่าหากปล่อยไว้นานไปจะทำให้พลังแห่งโชคลาภข้างในสูญไปจนหมด
หลังกลับเข้ามาในห้อง เยี่ยเทียนก็นั่งขัดสมาธิบนแคร่ไม้ไผ่ที่ใช้เป็นประจำ ไอร้อนกลุ่มหนึ่งลอยขึ้นมาจากจุดตันเถียน อัดแน่นอยู่ตรงช่วงอกระยะหนึ่งแล้วจึงล่องลอยออกไป
ในเวลานั้นเอง จิตวิญญาณฟ้าดินเข้มข้นในเรือนสี่ประสาน กลับกลายราวลำแสงสว่างซึมซาบเข้ามาภายในร่างกายเยี่ยเทียน ฟื้นฟูชีพจรที่บาดเจ็บของเยี่ยเทียน
สองชั่วโมงถัดมา เยี่ยเทียนค่อย ๆ ลืมตาขึ้น พอเห็นอวี๋ชิงหย่าที่นั่งอยู่ไม่ไกลมีสีหน้าวิตกกังวลก็ยิ้มกล่าว “ชิงหย่า ไม่เป็นไรแล้ว!”
“เยี่ยเทียน ฉันเป็นห่วงแทบแย่ ถ้ารู้ว่ามันจะอันตรายอย่างนี้ ฉันคงไม่ให้เธอแก้ไขชะตาแล้ว……” เห็นใบหน้าของเยี่ยเทียนมีเลือดฝาดกลับคืนมา อวี๋ชิงหย่าก็เดินไปยังข้างกายเยี่ยเทียน ค่อย ๆ เอนซุกตัวลงในอ้อมอกของเขา
“หึ ๆ เพื่อชะตาอีกครึ่งที่เหลือของพวกเรา ถึงอันตรายก็ต้องทำ!” เยี่ยเทียนหัวเราะหึ ๆ ประคองร่างอวี๋ชิงหย่าให้ตัวตรง พูดขึ้น “เธอยืนขึ้นสิ ให้ฉันสัมผัสผลลัพธ์หน่อยว่าเป็นอย่างไร”
ระหว่างที่พูดเยี่ยเทียนก็ปลดปล่อยทิศทางขับเคลื่อนพลังชี่ของตนเอง ขณะที่สัมผัสร่างกายของอวี๋ชิงหย่าแล้ว กลับพบว่า ลมปราณเดิมที่คุ้นเคยในร่างกายของอวี๋ชิงหย่า ตอนนี้ได้สลายไปจนหมดสิ้นแล้ว
แทนที่ลมปราณชนิดนั้น กลับทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกเลือนรางไม่แน่ชัด ราวกับความไม่แน่นอนของสวรรค์ ล้วนไร้ซึ่งกฎเกณฑ์
“นี่……คงจะสำเร็จแล้วล่ะมั้ง? ชิงหย่า ตอนนี้เธอรู้สึกยังไงบ้าง?” เยี่ยเทียนไม่เคยแก้ไขชะตาให้กับมนุษย์มาก่อน อีกทั้งไม่รู้ว่าพลิกชะตาแล้วจะกลายเป็นอย่างไร ดังนั้นเยี่ยเทียนเองจึงไม่แน่ใจว่าประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง
อวี๋ชิงหย่าครุ่นคิดชั่วขณะ หลับตาลงสัมผัสดูสักพัก แล้วกล่าวว่า “รู้สึกว่าร่างกายเบาขึ้นกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย เหมือนพันธนาการบางอย่างที่บอกไม่ถูกสลายออกไปแล้ว”
“งั้นก็คงสำเร็จแล้วล่ะ ชิงหย่า เดือนนี้ทุก ๆ อาทิตย์เธอมาอยู่ที่นี่สามวัน สังเกตอาการก่อนสักพักแล้วค่อยว่ากัน!”
จากวิชาลับในความทรงจำ ให้ใช้หินหยกแทนตัวอวี๋ชิงหย่า แล้วนำการขับเคลื่อนพลังชี่แปดอักษรใส่ไปข้างใน ภายในระยะเวลาไม่นาน ก็จะสามารถปกปิดลิขิตสวรรค์ ทำให้ไม่อาจแยกแยะถูกผิด
ในขณะเดียวกัน เยี่ยเทียนก็ใช้วิชาลับ สะบั้นสายใยเชื่อมโยงระหวางหินหยกและสวรรค์ แต่สวรรค์ไร้น้ำใจ ไยจะยอมให้คนปรับเปลี่ยนเส้นทางโคจรได้อย่างง่ายดายเล่า?ดังนั้นจึงนำมาซึ่งสายฟ้าแห่งสวรรค์พิโรธ ทำให้หินหยกที่เป็นตัวแทนอวี๋ชิงหย่าแตกสลายกลายเป็นผุยผง
แต่ผู้ได้รับแรงพิโรธจากสวรรค์กลับไม่ใช่อวี๋ชิงหย่า ทว่าเป็นหินหยกแทนตัวของอวี๋ชิงหย่าชิ้นนั้น ดังนั้นหากว่ากันตามหลักการแล้ว ตัวตนของอวี๋ชิงหย่า เวลานี้จะไม่อยู่ภายในเส้นทางโคจรแห่งสวรรค์อีกต่อไป..
หากใช้คำพูดของนักทำนายสมัยโบราณ ก็คือหลุดพ้นจากทั้งสามโลก ไม่อยู่ในเส้นทางทั้งห้า อวี๋ชิงหย่าจะไม่ถูกสกัดกั้นด้วยขนบทางโลก ไม่เกี่ยวพันด้วยเรื่องบนพิภพ ไม่โดนควบคุมด้วยกฎแห่งสวรรค์อีกต่อไป!
“เยี่ยเทียน งั้น……งั้นนี่ก็หมายความว่า พวก……พวกเราสามารถแต่งงานกันได้แล้วเหรอ?” ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้วใบหน้าของอวี๋ชิงหย่าก็แดงซ่านขึ้นมา
“ได้แน่นอนอยู่แล้ว ทำไม รีบร้อนอยากแต่งงานกับฉันขนาดนั้นเชียว?” เยี่ยเทียนยิ้มพลางกอดอวี๋ชิงหย่าในอ้อมแขน ลูบไล้หยอกล้อจนอวี๋ชิงหย่ากระเง้ากระงอดไม่หยุด
แต่ว่าร่างกายยังบาดเจ็บอยู่ แถมเยี่ยเทียนเองก็ยังไม่กล้าฟันธงว่าแก้ไขชะตาสำเร็จ ในที่สุดหลังจากทั้งสองใกล้ชิดกันแล้ว ก็ยังไม่ได้ผ่าเส้นเขตแดนสุดท้ายอยู่ดี
คืนที่อวี๋ชิงหย่านอนหลับในห้องของเยี่ยเทียนนั้น ทำให้ “ปรมาจารย์เยี่ย” ต้องท่องมนต์สงบจิตภายในใจอยู่เนิ่นนานถึงจะหลับสนิท
ในเรือนสี่ประสานของเยี่ยเทียนยังมีโสมและถั่งเฉ้าของบำรุงกำลังเหลืออยู่ ด้วยผลลัพธ์เป็นสองเท่าจากพลังจิตและอาหารบำรุงกำลังภายในบ้าน จุดที่บาดเจ็บภายในร่างกายเยี่ยเทียนจึงฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงวันที่สาม ก็ไม่มีอะไรติดขัดอีกแล้ว
อีกทั้งหลังจากอาการบาดเจ็บของเยี่ยเทียนหายดีแล้ว อวี์ชิงหย่าก็เข้าเรียนพอดี นี่เป็นครึ่งเทอมสุดท้ายของเธอที่มหาวิทยาลัยหวาชิง ยังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องจัดการ
………………
“พ่อว่านะไอ้หนู ตอนนี้แค่หมั้นกันยังไม่ได้แต่งงาน อย่าเพิ่งก่อเรื่องอะไรขึ้นมาเชียว เดี๋ยวถึงเวลาหน้าตาของเหล่าอวี๋กับพ่อจะดูไม่จืด!”
เช้าวันนี้ตอนไปกินข้าวเช้าที่บ้านเก่า เยี่ยเทียนถูกพ่อดึงหู เจ้าหนูคนนี้ชักจะเหลวไหลมากเกินไป พาอวี๋ชิงหย่าไปกกอยู่ในบ้านใหม่ตั้งสามวัน กระทั่งหน้าตายังไม่โผล่มาให้เห็น
ในความคิดของเยี่ยตงผิง หนุ่มสาวมีความยับยั้งชั่งใจต่ำ ทั้งสองคนจะต้องทำพิเรนทร์ต่อฟ้าท้าทายสวรรค์อยู่ข้างในแน่นอน ในฐานะผู้ใหญ่ เยี่ยตงผิงจะไปว่าอวี๋ชิงหย่าก็ไม่ได้ จับตัวลูกชายครั้งนี้ จึงว่ากล่าวขึ้นมาอย่างดุเดือด
เยี่ยเทียนแกะมือพ่อ เหมือนจะหัวเราะก็ไม่ได้จะร้องไห้ก็ไม่ออก พูดว่า “พ่อ เดามั่วอะไรอยู่เนี่ย? ผมแก้ลิขิตพลิกชะตาให้อวี๋ชิงหย่า แถมยังได้รับบาดเจ็บ รักษาตัวอยู่ตั้งหลายวัน ไม่ได้เป็นอย่างที่พ่อคิดนะ……”
“แก้ลิขิตพลิกชะตา? งั้นที่ฟ้าผ่าเมื่อคืนก่อน เป็นแกก่อเรื่องขึ้นมาล่ะสิ? ทำไมแกถึงทำเรื่องแบบนี้ขึ้นมาอีกหา?”
ได้ยินคำพูดของลูกชายแล้ว เยี่ยตงผิงก็วิตกกังวลขึ้นมาทันที ครั้งก่อนแก้ลิขิตพลิกชะตาให้ท่านนักพรตแล้ว ท่าทางอิดโรยของเยี่ยเทียนนั้นยังทำให้เขาเจ็บปวดใจไม่หาย
“พ่อ ไม่เป็นไรหรอก พ่อดูสิผมก็ยังสบายดีไม่ใช่หรือไง”
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว แกต้องรู้จักคิดให้ดีซะบ้าง!”
เยี่ยตงผิงมองพิจารณาลูกชายตัวเองอยู่สักพัก จากนั้นกล่าวว่า “จริงสิ ถ้าแกไม่เป็นอะไรจริง ๆ แล้วล่ะก็ไปพบเหล่าถังหน่อยเถอะ เมื่อวานนี้ตาแก่นั่นมาถึงในบ้านอีกแล้ว แกอย่าทำตัวเสียมารยาทมากนัก!”
บ้านตระกูลเยี่ยในสมัยก่อนถือว่าเป็นตระกูลร่ำรวยใหญ่โต ให้ความสำคัญกับมารยาทอย่างมาก
แม้ว่าเยี่ยตงผิงจะไม่มีอะไรที่ต้องการจากบ้านของถังเหวินหย่วน และไม่จำเป็นต้องไปเอาอกเอาใจเขา แต่ด้วยวัยกว่าเจ็ดแปดสิบปีของอีกฝ่าย ทั้งยังมาแวะเวียนถึงหน้าประตูหลายต่อหลายครั้ง หากเยี่ยเทียนยังไม่ไปอีก จะกลายเป็นว่าตระกูลเยี่ยไม่รู้จักสัมมาคารวะ
เยี่ยเทียนเข้าใจความหมายของพ่อ ส่ายหัวตอบ “พ่อ ไม่ต้องรีบร้อนหรอก ผมตกลงสัญญาไว้ว่าภายในครึ่งปี นนี่เพิงจะผ่านมาได้แค่ห้าเดือนเท่านั้น เป็นเขาที่รีบร้อนเอง ไม่น่าสงสัยเลยว่าพวกเรา……”
เยี่ยเทียนไม่ได้มีความหมายเป็นอื่น เขาแค่อยากจะคอยยันถังเหวินหย่วนเอาไว้ ตาแก่นั่นจะได้ไม่คิดว่าเขาคุยง่าย ภายหลังมีเรื่องหรือไม่มีเรื่องอะไรก็คอยจะมาหาเขา เยี่ยเทียนไม่มีความคิดที่จะต้องไปคอยบริการ
“อย่าพูดแบบนั้น คนอื่นเขาอุตส่าห์มาแล้ว แกเอาแต่หลบไม่ยอมพบหน้ามันเสียมารยาท” เยี่ยตงผิงไม่ค่อยเห็นด้วยกับคำพูดของเยี่ยเทียนเท่าไหร่นัก เขาคาดเดาว่าเจ้าลูกคนนี้จะเก็บงำเจตนาร้ายอะไรไว้น่ะสิ
“พ่อ ไม่เป็นไรหรอก รถใหม่ของพ่อยังตกอยู่กับเขาอยู่เลย หนีเขาไม่รอดหรอก!”
เยี่ยเทียนหัวเราะเสียงดัง เผยความคิดอื่นของตนเองออกมา ตาแก่นั่นร่ำรวยจนไม่รู้ว่าตัวเองมีเงินเท่าไหร่ ดาบครั้งนี้ของเยี่ยเทียนจะไม่ลงแผ่วเบาแน่นอน
เห็นพ่อยังอยากจะพูดต่อ เยี่ยเทียนจึงรีบร้อนยัดซาลาเปาเข้าในปาก เคลื่อนตัวขยับออกไปด้านนอก กล่าวว่า “เอาล่ะ พ่อ วันนี้ผมยังติดธุระอยู่ พรุ่งนี้หรือวันมะรืนค่อยไปหาเขาแล้วกัน”
“ไอ้เด็กบ้า หมอดูน้อยจอมปลอมชัด ๆ !”
เยี่ยตงผิงด่าไล่หลังไปประโยคหนึ่ง แต่เมื่อคิดถึงตอนเด็ก ๆ ที่เยี่ยเทียนช่วยทำนายชะตาดูโหงวเฮ้งให้คนแล้ว ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ตอนนั้นเยี่ยเทียนนับว่าเป็นหมอดูน้อยจอมปลอมจริง ๆ
วันนี้เยี่ยเทียนยังติดธุระอยู่จริงเพราะว่าเมื่อวานเขานัดกับเฉินสี่ฉวนเอาไว้แล้ว วันนี้ต้องไปบ้านพักตากอากาศของเฉินสี่ฉวนเพื่อเยี่ยมเยียนเขา ดังนั้นเรื่องของถังเหวินหย่วนจึงต้องเลื่อนไปเป็นอีกวัน
กลับมาถึงบ้านตัวเองแล้ว เยี่ยเทียนก็เลือกของขลังสิบสองนักษัตรมาชิ้นหนึ่ง เขาเองก็ขี้เกียจจะไปซื้อกล่องมาอีก หลังจากหาผ้าไหมแดงชิ้นหนึ่งมาห่อได้ ก็ยัดลงกระเป๋าเสื้อคอจีน
หลังจากทำเสื้อคอจีนตัวนี้ขึ้นมา เยี่ยเทียนก็ใส่จนรู้สึกคุ้นชินแล้ว เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง กระเป๋ามันเยอะ อย่างน้อยตอนนี้เวลาออกไปข้างนอก นอกจากบัตรเครดิต บนเนื้อตัวก็ยังมีพื้นที่ให้ใส่โทรศัพท์มือถืออีกเครื่อง
พอออกจากบ้านไปเรียกรถ เยี่ยเทียนก็ตรงดิ่งไปยังที่อยู่ที่เฉินสี่ฉวนให้เขาทันที หลังจากที่ถึงบ้านพักตากอากาศ เยี่ยเทียนก็พบกับพนักงานต้อนรับ เมื่อขานชื่อเฉินสี่ฉวนไป เพียงไม่นานเฉินสี่ฉวนก็ออกมาต้อนรับ
“อาเฉิน บรรยากาศบ้านคุณที่นี่ไม่เลวเลย ผมว่าแทบไม่ต่างจากบ้านพักตากอากาศที่ทะเลสาบเทียนฉือเลยสักนิด!”
บ้านพักตากอากาศชานเมืองของเฉินสี่ฉวนหลังนี้ราวกับป้อมปราการโดยแท้ ภายในยังมีโครงการลานสกี ที่สำคัญ กีฬาชนิดนี้ในประเทศไม่ค่อยเป็นที่นิยม คนเล่นจึงไม่เยอะนัก
ตอนที่ 244
ปีศาจน้ำ
โดย
Ink Stone_Fantasy
บ้านพักตากอากาศด้านหลังติดภูเขาอวี้ฉวนซานแห่งนี้ แม้ว่าภูเขาจะไม่สูงนัก แต่ก็เหมาะเจาะจะทำเป็นลานสกีได้พอดี
อีกด้านหนึ่งยังมีทะเลสาบแห่งหนึ่ง ที่ผู้พักอาศัยสามารถนั่งเรือท่องให้สำราญใจได้ น้ำพุผุดขึ้นมาจากน้ำในภูเขาไหลริน มีผู้พักอาศัยไม่น้อยรายไปยังตีนเขาเพื่อรับน้ำพุมาใช้กินดื่ม
เวลานั้นเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิแล้ว ต้นหลิวริมทะเลสาบเริ่มผลิใบอ่อน บรรยากาศของทะเลสาบและภูเขาแห่งนี้ชวนให้ผู้คนรู้สึกสดชื่นแจ่มใส เป็นสถานที่เหมาะแก่การท่องเที่ยวยามฤดูใบไม้ผลิโดยแท้
“อาเฉิน ต้องขออภัยด้วยจริง ๆ ที่เมื่อต้นปีไม่ได้มาเยี่ยมเยียน ไว้ไปเยี่ยมคุณตอนปลายปีแล้วกัน!”
ต้องบอกว่าในเมืองปักกิ่ง คนที่เยี่ยเทียนติดค้างมากที่สุดก็คือเว่ยหงจวิน แต่ว่าความเกี่ยวพันระหว่างทั้งสองนั้นมีผลประโยชน์อยู่บ้าง แต่กลับไม่มีความเกี่ยวพันใดกับเฉินสี่ฉวน
สำหรับคนวัยกลางคนผู้กว้างขวางจริงใจคนนี้ เยี่ยเทียนให้ความเคารพจากใจ เพราะเขาสามารถสัมผัสได้ ว่าอีกฝ่ายช่วยเขาโดยไม่มีความคิดอยากให้ตอบแทนอะไรเลย เป็นเจตนาดีอันบริสุทธิ์โดยแท้
ภาษิตว่าสวรรค์มิโปรดปรานผู้ใด แต่มักเห็นใจคนดี ในฐานะนักเรียนที่สำเร็จการศึกษากลับมายังบ้านเกิด เฉินสี่ฉวนสามารถทำการค้าได้ใหญ่โตขนาดนี้ ก็ไม่ใช่ว่าไร้ซึ่งเหตุผล
เฉินสี่ฉวนยังคงเป็นเหมือนเมื่อก่อน ตบบ่าเยียเทียนอย่างร่าเริงจริงใจ กล่าวว่า “คิดจะชวนนายมาเที่ยวนานแล้ว เพียงแต่ปีที่แล้วเรื่องมันเยอะ เยี่ยเทียน ทำไมไม่เห็นแฟนนายเลยล่ะ?”
“หึ ๆ อาเฉิน เธอเปิดเทอมไปมหาวิทยาลัยแล้ว ครั้งหน้าผมจะพาเธอมาเที่ยวครับ”
เยี่ยเทียนยิ้มแย้ม หยิบเอาหินหยกก้อนนั้นออกมา กล่าวว่า “อาเฉิน นี่คือสิ่งของที่ผมสะสมเอาไว้ ได้ยินคนเล่ากันว่าภายในกักเก็บพลังเวทมนตร์ ผมรู้ว่าอาสนใจของพวกนี้ เอาเก็บไว้เล่นเถอะนะครับ!”
เยี่ยเทียนไม่อยากอธิบายให้ละเอียดถึงของขลังชนิดนี้ ถึงพูดไปเฉินสี่ฉวนก็อาจไม่เข้าใจ ดังนั้นจึงพูดอ้อม ๆ ให้อนาคตเฉินสี่ฉวนเอาไปชื่นชมเล่นตามปกติ
“งั้นอาไม่เกรงใจล่ะนะ!”
ได้ยินเยี่ยเทียนบอกว่าหินหยกนี้บรรจุพลังเวทอยู่ เฉินสี่ฉวนก็นึกสนใจขึ้นมาทันที จากนั้นก็เปิดพลิกผ้าไหมแดงออกมาดู แต่ดูไปดูมาก็เป็นแค่หินหยกนักษัตรธรรมดา ๆ สามารถพูดได้เพียงว่าคุณภาพหยกไม่เลวเท่านั้น
เมื่อพิจารณาไม่ออก เฉินสี่ฉวนจึงนำหินหยกใส่ลงในถุง กล่าวว่า “เยี่ยเทียน อยู่เที่ยวที่นี่สักวันนะ เดี๋ยวฉันจะไปแจ้งพวกเขาสักหน่อย อยากเล่นสกีอะไรฉันจะให้คนจัดที่ทางให้ แล้วตอนกลางคืนเรียกรถจะกลับบ้าน ก็เอาน้ำจากเขาอวี้ฉวนซานกลับไปชงชาให้คนที่บ้านด้วยล่ะ!”
“อาเฉิน ถ้ามีธุระก็ไปจัดการก่อนได้เลยครับ ไม่ต้องห่วงผมหรอก……”
ฟังความหมายจากคำพูดนี้ของเฉินสี่ฉวนแล้ว เหมือนกับว่าเขายังมีธุระบางอย่าง เยี่ยเทียนจึงลองสอบถามดู “อาเฉิน หรือว่าเจอปัญหาอะไรยุ่งยากหรือเปล่าครับ?”
ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว เฉินสี่ฉวนก็เกาหัวแกรก กล่าวตอบ “เจอเรื่องนิดหน่อยน่ะ ไปเถอะ พวกเราไปคุยกันทางนั้นดีกว่า!”
หลังจากนั่งบนโซฟาในเขตพักผ่อนแล้ว เฉินสี่ฉวนก็เอ่ยปาก “บ้านพักตากอากาศที่นี่มีฉันกับเพื่อนสองสามคนร่วมกันดูแล โดยปกติแล้วฉันเองก็ไม่ยุ่งอะไรมาก แต่ว่าช่วงนี้เกิดเรื่องอยู่บ่อย ๆ เพื่อนเหล่านั้นรู้ว่าฉันรู้จักคนใหญ่คนโตอยู่บ้าง ดังนั้นวันนี้ก็เลยมาหา”
“อาเฉิน เกิดเรื่องอะไรเหรอครับ?”
เยี่ยเทียนสงสัยเล็กน้อย ตอนที่เขามาก็สังเกตการณ์ดูแล้ว พลังแผ่นดินที่นี่ “ลวดลายดินซ่อนเร้น เกิดเกล็ดมังกรเขียว” แต่ก็มีสายโลหิตมังกรอยู่ในที่เดียวกัน ฮวงจุ้ยดีเลิศ ไม่น่ามีสิ่งมืดมนจำพวกพลังชั่วร้ายปรากฏ
“คือ……”
เฉินสี่ฉวนลังเลอยู่สักครู่ พลางคิดว่าเยี่ยเทียนเหมือนจะรู้ฮวงจุ้ยพลังแผ่นดินกับศาสตร์แห่งเต๋า สุดท้ายจึงเบาเสียงลงหลายส่วน กล่าวว่า “ในทะเลสาบเล็กทางด้านใต้มีปีศาจน้ำปรากฎ หลายวันก่อนจับตัวเด็กลงไป เมื่อคืนนี้ก็มีเด็กผู้หญิงถูกลากตัวลงไปอีก เพื่อนคนนั้นของฉันบอกว่าที่นั่นในอดีตเคยมีคนกระโดดน้ำตาย ตอนนี้จึงมาหาตัวตายตัวแทน……”
ตามความเชื่อของชาวจีน คนที่กระโดดน้ำตายหรือตายโดยอุบัติเหตุ จะวนเวียนอยู่ตรงสถานที่ตัวเองจมน้ำตาย กลายเป็นปีศาจน้ำ จากนั้นก็จะเฝ้ารออยู่ใต้น้ำอย่างอดทน ล่อลวงหรือบังคับคนให้ตกลงไปตายในน้ำ มาแทนที่วิญญาณซึ่งตายไปแล้วของตน
เฉินสี่ฉวนเชื่อเรื่องผีสาง ดังนั้นตอนเล่าถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของเขาจึงปรากฏให้เห็นสีหน้าขุ่นเครียดขึ้นมาก ธุรกิจของตนเองเกิดเรื่องอย่างนี้ ไม่มีใครสามารถอารมณ์ดีได้หรอก
“ปีศาจน้ำ? อาเฉิน อามั่นใจเหรอครับ?”
ได้ยินคำพูดของเฉินสี่ฉวนแล้ว เยี่ยเทียนก็อดตกใจขึ้นมาไม่ได้ พื้นที่ซึ่งมีบรรยากาศชั่วร้ายกดดันอาจส่งผลกระทบต่อจิตใจคนได้จริง ๆ ทำให้พวกคนที่มีภาวะจิตใจไม่มั่นคงกระโดดลงไปในน้ำได้ แต่กลับไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยกับปีศาจน้ำ
เฉินสี่ฉวนส่ายหน้าตอบ “ฉันเองก็ไม่รู้ว่านั่นคือปีศาจน้ำแน่หรือเปล่า แต่ว่าเหตุการณ์สองเรื่องก่อนหน้านั้นเป็นจำนวนเงินไม่น้อยเลย ถ้าหากเกิดเรื่องขึ้นอีกล่ะก็ บ้านพักตากอากาศนี่อาจจะเปิดต่อไปไม่ได้แล้ว”
พูดถึงตรงนี้ เฉินสี่ฉวนก็มองยังเยี่ยเทียนอย่างรู้สึกผิด กล่าวต่อว่า “เพื่อนของฉันไปเชิญหมอดูมา พอถึงตอนเที่ยงก็จะมาทำพิธี เยี่ยเทียน วันนี้อาไม่มีเวลาอยู่เป็นเพื่อนนายแล้วล่ะ!”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า เอ่ยปากตอบ “อาเฉิน อาไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนหรอกครับ ผมเองก็สนใจเรื่องนี้มากเหมือนกัน ขอตามไปดูด้วยคนได้ไหม?”
เฉินสี่ฉวนเพียงนึกว่าเยี่ยเทียนสงสัย จึงพยักหน้าตอบทันที “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ ทะเลสาบทางใต้นั้นกว้างมาก นายยืนออกมาไกลหน่อยก็พอ อ้าว มากันแล้ว เยี่ยเทียน เชิญตามสบายนะ อาขอตัวก่อนล่ะ!”
ระหว่างที่สองคนคุยกันอยู่นั้น รถเบนซ์สีดำคันหนึ่งก็มาจอดที่ทางเข้าบ้านพักตากอากาศ เมื่อมองทะลุกระจกรถแล้ว เฉินสี่ฉวนก็รีบร้อนลุกขึ้น กล่าวขอโทษเยี่ยเทียนแล้วออกไปรับ
วิ่งมาถึงหน้ารถเบนซ์แล้ว เฉินสี่ฉวนก็เปิดประตูหลังรถออก นักพรตเต๋าผมและเคราขาวโพลนสวมชุดนักบวชลงมาจากข้างใน ในมือถือแส้ขนม้า ด้านหลังนักพรตเต๋ายังมีนักพรตหนุ่มที่อายุแก่กว่าเยี่ยเทียนไม่กี่ปี
“ให้ตายสิ เป็นตาแก่นี่เองเหรอ? ธุรกิจของพวกเขาไม่เลวเลยสิเนี่ย?” พอเห็นนักพรตเต๋าคนนั้นแล้ว เยี่ยเทียนก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นใบหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมา
นักพรตคนนี้เป็นหนึ่งในสหายไม่กี่คนของเยี่ยเทียนในปักกิ่งถิ่นชาววัง ไม่กี่เดือนก่อนนี้เยี่ยเทียนเพิ่งจะไปดื่มเหล้าวางหมากด้วยกันกับตาแก่นี่ จากนั้นธุรกิจปลุกผีในเรือนสี่ประสานของเขา ก็ให้เขาเป็นคนทำ
แต่แม้จะรู้ว่านักพรตคนนี้เสแสร้งปลอมเป็นเทพหลอกผี เยี่ยเทียนก็ไม่เปิดโปงเรื่องของเขา นั่นเพราะจากตัวของนักพรตคนนี้ เขาสามารถเห็นเงาของอาจารย์ได้อยู่บ่อยครั้ง และนั่นก็เป็นสาเหตุที่เยี่ยเทียนอยู่อาศัยที่อารามไป๋อวิ๋นยาวถึงสองเดือน
ได้พบคนรู้จัก ก็อยากเข้าไปทักทาย เห็นคนทั้งหลายเดินเข้ามาใกล้ เยี่ยเทียนก็ลุกขึ้นไปต้อนรับ “หัวหน้านักพรตอวิ๋นหยาง นึกไม่ถึงว่าจะได้พบท่านที่นี่ เรื่องคราวก่อนนั้นต้องขอบคุณท่านมาก!”
ในเมื่อเป็นคนคุ้นเคยกัน เยี่ยเทียนจึงไม่รอช้าเข้าไปช่วยเสริมความมั่นใจให้กับนักพรต ถึงอย่างไรราคาก็คงตกลงกันไปแล้ว จึงไม่นับว่าตนเองช่วยนักพรตหลอกลวงเฉินสี่ฉวน
“สหายเสวียนชิง คุณ……คุณมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน?”
นักพรตอวิ๋นหยางเห็นเยี่ยเทียนแล้วดวงตาเบิกกว้างไปชั่วขณะ ในช่วงเวลาสองเดือนนั้น อวิ๋นหยางสนทนากันเรื่องวิชาพยากรณ์อยู่บ่อยครั้ง รู้ว่าในตัวของเยี่ยเทียนมีของดี ปาหี่ที่ตัวเองสร้างขึ้นจึงตบตาเขาไม่ได้
เยี่ยเทียนยิ้มตอบ “ผมมาเที่ยวที่นี่น่ะ หัวหน้านักพรตอวิ๋นหยาง นับตั้งแต่ครั้งก่อนที่ท่านช่วยเบิกแท่นทำพิธีแล้ว บ้านของผมก็ไม่มีภูตผีปีศาจเข้ามาวุ่นวายอีกเลย!”
“หึ ๆ สหายเสวียนชิง เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องพูดถึง ไม่จำเป็นต้องพูดถึง……”
ระหว่างที่เยี่ยเทียนพูดนั้นยังขยิบตามาทางนักพรตเต๋า นักพรตอวิ๋นหยางก็กระจ่างขึ้นมาในทันที พอเข้าใจดีแล้ว สีหน้าก็เผยให้เห็นความสง่างามขึ้นมาอีกครั้ง
“รอเดี๋ยว เอ่อ ผมว่า นี่……นี่มันเกิดอะไรขึ้นหรือครับ?”
ขณะที่เยี่ยเทียนกับอวิ๋นหยางคุยกันอย่างสนิทสนมนั้น เฉินสี่ฉวนและเพื่อนเขากลับตกตะลึง “เยี่ยเทียน นาย……นายรู้จักกับหัวหน้านักพรตอวิ๋นหยางด้วยเหรอ อีกอย่าง ทำไมหัวหน้านักพรตอวิ๋นหยางถึงเรียกเธอว่าเสวียนชิงล่ะ?”
เยี่ยเทียนสวมเสื้อคอจีนอยู่แท้ ๆ แต่อวิ๋นหยางกลับเรียกด้วยสมญานามเต๋า นี่ทำให้ในหัวของเฉินสี่ฉวนสับสนไปหมด ทำอย่างไรก็ไม่เข้าใจความสัมพันธ์ของพวกเขาและสถานะของเยี่ยเทียน
“หึ ๆ อาเฉิน ตอนเด็ก ๆ ผมเคยติดตามอาจารย์ลัทธิเต๋ามาก่อน ก็เลยมีสถานภาพทางลัทธิเต๋าครับ”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็ยิ้มออกมา เห็นเฉินสี่ฉวนยังทำหน้าไม่เข้าใจอยู่อย่างนั้นจึงกล่าวต่อ “เสวียนชิงคือสมญานามทางเต๋าของผม หัวหน้านักพรตอวิ๋นหยางคือรุ่นพี่ลัทธิเต๋าของพวกเรา ผมก็ต้องรู้จักอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ผมซื้อเรือนสี่ประสานผีสิงมา ก็เลยเชิญท่านหัวหน้านักพรตอวิ๋นหยางมาช่วยเบิกแท่นทำพิธีให้……”
เยี่ยเทียนอธิบายแบบนี้ เฉินสี่ฉวนจึงเข้าใจขึ้นมาในทันที แต่ชายวัยกลางคนที่ขับรถไปรับหัวหน้านักพรตอวิ๋นหยาง กลับมองมาทางเฉินสี่ฉวนแล้วถาม “เหล่าเฉิน สหายคนนี้คือ?”
เฉินสี่ฉวนยิ้มตอบ “ฉันจะแนะนำให้พวกนายรู้จักกัน นี่คือประธานหวัง หวังเจียซวิน เพื่อนสมัยเด็กของฉัน เหล่าหวัง นี่คือเยี่ยเทียน เป็นสหายต่างวัยของฉัน!”
“ในเมื่อต่างก็เป็นเพื่อนกัน งั้นก็มานั่งข้างในสิ หัวหน้านักพรตอวิ๋นหยาง เสี่ยวเยี่ยแล้วก็หัวหน้านักพรตผู้นี้ เชิญข้างในเลยครับ……”
ได้ยินว่าเป็นเพื่อนของเฉินสี่ฉวนทั้งหมด หวังเจียซวินก็ไม่ได้เมินใส่เยี่ยเทียน เชิญทุกคนตรงนั้นเข้าไปข้างในร้านกาแฟ ตอนกลางวันที่คนไม่มากนัก จึงเป็นสถานที่ที่เหมาะสมแก่การสนทนากัน
แต่ว่าภายในบ้านพักตากอากาศเกิดคดีอย่างนี้ หวังเจียซวินจึงนั่งไม่เป็นสุขเท่าไหร่ กาแฟแก้วหนึ่งเพิ่งดื่มเสร็จไป ก็เอ่ยถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “หัวหน้านักพรตอวิ๋นหยาง ท่านว่า……เมื่อไหร่พวกเราจะไปตรวจสอบที่ทะเลสาบทางใต้กันครับ?”
“ไม่ต้องรีบร้อน เมื่อถึงเที่ยงวัน จะเป็นเวลาที่พลังหยางรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด นั่นจะทำให้การลงแรงทำพิธีเพียงครึ่งเดียวแต่ได้ผลเป็นสองเท่า ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยามน่ะ……”
วันนี้ถึงแม้ที่ปักกิ่งแสงแดดจัดจ้า แต่ก็มีลมไม่น้อย นักพรตอวิ๋นหยางไม่อยากไปตากลมให้ท้องกิ่ว รอสักพักจนเที่ยงค่อยไปสวดมนต์วนไปสักสองสามจบ จากนั้นจะได้ถึงเวลากินข้าวเที่ยงพอดิบพอดี
“นั่นสิ ๆ ท่านหัวหน้านักพรตอวิ๋นพยางกล่าวได้ถูกต้อง งั้นเดี๋ยวต้องขอร้องทั้งสองท่านแล้วล่ะครับ!” ประธานหวังหรือจะเข้าใจความในใจของตาแก่นี่ พยักหน้าติดต่อกันทันที กุลีกุจอรินกาแฟให้กับนักพรต
อวิ๋นหยางแสดงท่าทางอย่างมีลับลมคมใน พยักหน้านิด ๆ กล่าว “ไม่มีปัญหา ต่อให้มีปีศาจน้ำจริง ๆ อาตมาสวดเพียงจบเดียว ก็ส่งวิญญาณมันได้แล้ว พวกประสกไม่ต้องเป็นห่วง!”
“โม้ โม้หนักเหลือเกิน เดี๋ยวสถานที่นั้นเกิดเป็นเขตพลังหยินสูงจริง ๆ ฉันว่าตาแก่อย่างแกจะวิ่งไวกว่าใครเลย!”
เห็นอวิ๋นหยางท่าทางแบบนั้น เยี่ยเทียนหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง ตาแก่นี่ไม่มีความสามารถเท่าไหร่เลย ทักษะหลอกลวงชาวบ้านราวกับเป็นอาจารย์ โดยเฉพาะภาพลักษณ์ผมเคราสีขาวนั่น ที่ทำให้ดูเป็นเซียนไปถึงเนื้อใน
ตอนที่ 245
ปีศาจน้ำ (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากนั่งอยู่ในร้านกาแฟหนึ่งชั่วโมง เห็นผู้ว่าจ้างมีสีหน้าอดรนทนไม่ไหวแล้ว อวิ๋นหยางจึงเรียกลูกศิษย์ให้ลุกขึ้น เดินไปยังทะเลสาบทางทิศใต้โดยการนำทางของหวังเจียซวินและเฉินสี่ฉวน
ในฐานะสหายของเฉินสี่ฉวนและสหายทางธรรมของหัวหหน้านักพรตเต๋าอวิ๋นหยาง เยี่ยเทียนจึงติดตามไปด้วย
ว่ากันตามตรง ในใจเยี่ยเทียนยังนึกสงสัยอยู่บ้าง สถานที่นี่อยู่เชิงเขาติดริมน้ำ ไม่ว่าจะมองจากทางไหน ฮวงจุ้ยล้วนไม่มีปัญหาอะไร เรื่องเล่าเกี่ยวกับผีพรายนี้ เยี่ยเทียนจึงไม่ค่อยปักใจเชื่อนัก
พอเลี้ยวครั้งหนึ่งที่เชิงเขา สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาก็คือทะเลสาบกว้างใหญ่ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด มีเรือครูซไม่กี่ลำลอยโดดเดี่ยวอยู่บนผิวน้ำ กั้นไว้เป็นเขตหวงห้าม นอกจากพนักงานแล้วที่นี่ก็ไม่มีแขกมาพักอยู่แม้แต่คนเดียว
ขณะที่อยู่ห่างจากริมทะเลสาบประมาณยี่สิบกว่าเมตร หวังเจียซวินชี้ไปยังจุดหนึ่งแล้วกล่าว “หัวหน้านักพรตอวิ๋นหยาง ที่นี่แหละครับ ทั้งสองคนตกลงไปในน้ำตรงตำแหน่งต้นไม้คอคดนั่น กว่าจะงมขึ้นมาได้ ก็ถูกปลากัดแทะจนไม่เป็นรูปทรงแล้ว!
แล้วก็……แล้วก็ตอนกลางคืนมีพนักงานเห็นเงาดำอยู่ใกล้ ๆ แถวนี้ แต่พอใช้ไฟฉายส่องไป เงานั่นกลับหายไปทันที……”
สองวันมานี้ที่นี่เกิดเหตุมากมายขนาดนั้น หวังเจียซวินจึงไม่กล้าไปอยู่ข้างหน้า ด้วยเกิดความกลัวว่าตัวเองจะถูกผีพรายลากลงไปด้วย พอชี้อยู่ไกล ๆ แล้ว ก็กระเถิบร่างถอยออกไป
“อาตมาขอดูหน่อย!”
อาจดูว่านักพรตอวิ๋นหยางไม่รู้วิชาพยากรณ์ แต่ก็มีใจกล้าหาญไม่ธรรมดา หลังจากเดินตรงไปพิจารณายังต้นไม้คอคดต้นนั้นแล้ว ก็หันร่างกลับ กล่าวขึ้นอย่างกระตือรือร้นว่า “ประสกหวัง พลังหยินที่นี่รุนแรงมาก ในอดีตคงจะมีคนผูกคอตายบนต้นไม้นี่แต่ไม่ตาย กลับตกลงไปในน้ำแล้วจมน้ำตาย ดังนั้นจึงมีความแค้นหนัก มักล่อลวงคนให้ลงไปในน้ำเพื่อคร่าเอาชีวิต
ไม่ว่าจะเป็นการทำนายโหงวเฮ้งหรือฮวงจุ้ยภูมิลักษณ์พยากรณ์ กระทั่งรวมไปถึงด้านธุรกิจการค้าขายของเก่า สิ่งที่เน้นหนักก็คือฝีปาก ยิ่งคุณพูดจาให้เรื่องราวดูพิสดารมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งดึงธนบัตรเป็นกอบเป็นกำออกจากกระเป๋าลูกค้าได้มากเท่านั้น
คำพูดพวกนั้นของอวิ๋นหยาง เยี่ยเทียนมองแล้ว เป็นเพียงคำพูดเลอะเลือน และสาเหตุที่เขากล้าเดินไปตรวจสอบดูใต้ต้นหลิวคอคดนั่น เป็นเพราะเข็มทิศในแขนเสื้อของอวิ๋นหยางไม่แสดงออกให้เห็นว่าที่ตรงนั้นมีพลังชั่วร้ายสิงสถิตอยู่
แต่เยี่ยเทียนรู้ ไม่ได้หมายความว่าเถ้าแก่หวังจะรู้ไปด้วย พอเสียงของนักพรตเงียบลง หวังเจียซวินก็กล่าวขึ้นด้วยสีหน้ากังวล “หัวหน้านักพรตอวิ๋นหยาง งั้น……งั้นท่านว่าควรจะทำยังไงดี?ขืน……ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปเราทำการค้าต่อไม่ได้แน่!”
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ปิดทำการชั่วคราวจนทำให้สูญเสียรายได้ สองวันนี้ยังต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับครอบครัวผู้สูญเสียอีก เป็นเงินกว่าห้าแสน หากมีคนตายอีกล่ะก็ บ้านพักตากอากาศแห่งนี้คงต้องปิดตัวลงอย่างแน่นอน
“ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา ประสกหวังไม่ต้องกังวล!”
นักพรตอวิ๋นหยางมีท่าทีสบาย ๆ โบกมือไปมากล่าวว่า “เจ้าวิญญาณแปลกปลอมตัวนี้อยู่ใต้รากต้นหลิว รออาตมาทำพิธีเสร็จ แล้วใช้ยันต์สะกดต้นหลิวโบราณต้นนี้ไว้ ร่ายคาถาสักรอบ ต่อความคับแค้นของวิญญาณนี้จะหนักหนาสาหัส ก็สามารถถูกข้าส่งวิญญาณได้ เพียงแต่……”
“หัวหน้านักพรตอวิ๋นหยาง เพียงแต่อะไร?” หวังเจียซวินถามขึ้นอย่างร้อนรน
หัวหน้าอวิ๋นหยางถอนหายใจออกมาเสียงหนึ่ง กล่าวว่า “เพียงแต่ยันต์นี้เป็นมรดกตกทอดมาจากอาจารย์ ถึงตอนนี้มีเหลือไม่กี่ชิ้นแล้ว อาตมารู้สึกเสียดายไม่อยากใช้!”
หวังเจียซวินที่อยูด้านข้างตกตะลึง เอ่ยปากถาม “ตกทอดมาจากอาจารย์ของท่าน?งั้น……งั้นเขาอายุเท่าไหร่แล้วหรือ?”
มองจากภายนอก นักพรตเต๋าผู้นี้น่าจะอายุประมาณเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว ถ้าหากอาจารย์ของเขายังมีชีวิตอยู่ล่ะก็ จะไม่ถึงขั้นเก้าสิบกว่าหรือไง?
“ท่านอาจารย์เสด็จสู่สวรรค์กลายเป็นเซียนไปแล้ว นี่เป็นของต่างหน้าเขา ช่างเถอะ ยันต์นี้ล้ำค่ามากเกินไป ไม่ใช้ดีกว่า ใช้เพียงคาถาก็น่าจะพอกำจัดความอัปมงคลนี้ไปได้!”
นักพรตเต๋ามองหวังเจียซวินอย่างไม่สบอารมณ์แวบหนึ่ง คนผู้นี้ไม่มีหัวคิดเอาซะเลย ต้องให้ตัวเขาเอ่ยปากตรง ๆ ว่าต้องเพิ่มเงินงั้นหรือ?
“อย่า ๆ หัวหน้านักพรตอวิ๋นหยาง ใช้เถอะ ราคาเท่าไหร่ท่านเปิดราคามาเลยพวกเราตกลง ทำตามนั้นได้ไหม?”
นาทีนั้นหวังเจียซวินถูกอวิ๋นหยางหลอกล่อจนเชื่อสนิท ในใจคิดว่าหากจับผีตัวนั้นไม่ได้ล่ะก็ อนาคตจะไม่สร้างความปั่นป่วนให้พวกเขาหนักข้อขึ้นอีกหรือ?ครั้งนี้ต่อให้จ่ายเงินเพิ่ม เขาก็ต้องถอนรากถอนโคนให้สำเร็จ
“ผู้ละทิ้งทางโลกไม่พูดถึงเรื่องเงินทอง เราจะต้องการสิ่งของในโลกีย์วิสัยพวกนี้ไปเพื่ออะไรกัน?”
สายตาของอวิ๋นหยางราวกับเห็นเงินทองเป็นของโสโครก เปลี่ยนประเด็นในทันใด “ประสกหวัง เอาอย่างนี้ เดี๋ยวท่านบริจาคค่าธูปเป็นเงินสักห้าหมื่นหยวนก็แล้วกัน!”
ตกลง ห้าหมื่นก็ห้าหมื่น หัวหน้านักพรตอวิ๋นหยาง ท่านต้องใช้ยันต์ที่ดีที่สุดนะ!” เถ้าแก่หวังพยักหน้าติดต่อกัน ออกปากรับคำในทันใด
“วางใจเถอะ อาตมาจะเริ่มเดี๋ยวนี้ รับประกันได้ว่าหลังผ่านวันนี้ไป สถานที่นี้ของประสกจะสงบสุขไร้ปัญหา!”
เห็นอีกฝ่ายดีอกดีใจอย่างนั้น ในใจนักพรตนึกเสียดายขึ้นมา รู้อย่างนี้ออกปากสักแสนหนึ่งไปแล้ว แต่ว่าตอนนี้จะให้กลับคำก็ชักไม่ดี
“แม่เจ้า นักพรตเฒ่าเฮงซวยตลบแตลงเก่งจริง ๆ ตอนนั้นท่านอาจารย์หลอกล่อเจ้าสัวเหมียวในเมืองให้ช่วยเขาซ่อมแซมอารามเต๋า แต่ก็ยังหยิบยกเอาความสามารถที่แท้จริงออกมาบ้าง ตาแก่นี่ถึงกับจับเสือมือเปล่าเลยเชียวหรือ?”
ได้ยินคำพูดของอวิ๋นหยางแล้ว เยี่ยเทียนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ถึงกับเกร็งหน้านิ่ง ขืนตาแก่โป้ปดขึ้นมาอีกครั้ง เขาคงจะกลั้นขำออกเสียงไม่อยู่แน่นอน
มีอาจารย์ที่ไหนให้ยันต์อะไรเป็นมรดกตกทอดกัน?ก็แค่นักพรตเต๋าวาดขึ้นมาเองตอนว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำเท่านั้น แถมยังไม่ใช้ชาดด้วยซ้ำ เป็นแค่สีน้ำดำกับแดง ตอนเยี่ยเทียนอยู่ในอารามเต๋ายังเคยปรึกษาเขาว่าควรจะวาดอย่างไรดี
ของที่ราคาแผ่นหนึ่งราคาไม่ถึงเหมาอย่างนี้ ออกมาจากปากนักพรตเต๋ากลับมีราคาถึงห้าหมื่น ตอนนี้เยี่ยเทียนชักสงสัยว่านักพรตเต๋าคนนี้ก่อนออกบวชเคยไปคลุกคลีใน “สำนักเจียงเซียง” บ้างหรือเปล่า?
“ศิษย์เอ๋ย จงวางวงเวท!”
ในเมื่อตกลงเงินกันเรียบร้อยแล้ว นักพรตเต๋าก็ย่อมต้องทำพิธี พอเสียงคำสั่งเงียบลง นักพรตน้อยผู้นั้นก็นำแผนภาพไท่จี๋แปดทิศแผ่วางลงบนพื้นเคียงข้างต้นหลิว
ขณะเดียวกันพนักงานสองคนก็ขนย้ายเอาโต๊ะยาวจากในบ้านพักตากอากาศออกมา วางลงตรงหน้านักพรตเต๋า บนโต๊ะนั้นยังมีผลแตงบูชากับกระถางธูปหนึ่งใบและน้ำหนึ่งถ้วย
นักพรตเต๋าสะบัดผมสยาย ดึงเอาดาบไม้ท้อความยาวเพียงมีดสั้นออกมา ร้องเสียงดังว่า “ไท่ซั่งมีประกาศิต ปลดปล่อยวิญญาณเร่ร่อนของเจ้า ภูตผีปีศาจทั้งหลาย สรรพสัตว์ล้วนได้รับกรุณา มีหัวหลุดพ้น ไร้หัวล่องลอย สังหารด้วยมีดปืน กระโจนน้ำแขวนคอ รับสั่งปลดเปลื้องทุกหมู่เหล่า เกิดใหม่โดยพลัน รับสั่งปลดเปลื้องทุกหมู่เหล่า เกิดใหม่โดยพลัน!”
หลังจากบริกรรมคาถาฉบับย่อนี้จบแล้ว นักพรตเต๋าก็ดื่มน้ำในชามข้างหน้าอึกหนึ่ง พ่นน้ำจากปากลงบนดาบ จากนั้นมือซ้ายก็หยิบยันต์ออกมา มือขวาเลือกนำเอายันต์มาติดไว้บนดาบ เอ่ยปากร้องออกมาสั้น ๆ “ไท่ซ่างเหล่าจวิน เกิดใหม่โดยพลัน!”
พูดไปก็แปลก ขณะนักพรตอวิ๋นหยางร้องบทนี้ขึ้นมา ยันต์บนดาบเกิดลุกไหม้ขึ้นมาเอง ผู้คนรอบด้านที่กำลังมองอยู่ต่างเบิกตาโต เผยให้เห็นสีหน้าอันไม่คาดฝัน
“เฮ้ ตาแก่นี่ยังนับว่ามีความสามารถอยู่บ้างนี่นา?” เห็นภาพนั้นแล้ว เยี่ยเทียนก็อดตื่นเต้นไม่ได้ นับว่านักพรตอวิ๋นหยางยังรู้จักศิลปะการแสดงละคร สร้างสีสันออกมาได้
ยันต์ที่ลุกไหม้ขึ้นมาเองนี้ ในสายตาคนอื่นถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์สุด ๆ แต่ว่าในสายตาเยี่ยเทียน เป็นเพียงปาหี่เร่ร่อนเล็ก ๆ เท่านั้น
แค่ทาโซเดียมคลอไรด์บนกระดาษ พอกระดาษสีเหลืองแผ่นนี้เจอน้ำหรือคาร์บอนไดออกไซต์ ก็จะเกิดลุกไหม้ขึ้นมาเองในทันที กลวิธีนี้เยี่ยเทียนสามารถทำได้ตั้งแต่ตอนอายุสิบสองปีแล้ว
เยี่ยเทียนเองก็ไม่เคยเห็นใครใช้ปาหี่ชนิดนี้มานานหลายปี ตอนนี้ได้มาเห็นยังตื่นตาตื่นใจอย่างมาก คงจะพูดว่าเป็นนักพรตซังกะบ๊วยไม่ได้อีก
รับเงินคนอื่นไปห้าหมื่นหยวน นักพรตเต๋าจึงทำการแสดงพอสมควร หลังจากยันต์เผาไหม้เสร็จแล้ว เขาก็ย่ำก้าวตามผังเจ็ดดาว ส่ายหน้าสะบัดหัวแสร้งทำเป็นเทพสะกดวิญญาณต่อ
“ให้ตายเถอะ หมอนี่กำลังทรงเจ้าเข้าผีหรือเบิกแท่นทำพิธีอยู่กันแน่?”
เยี่ยเทียนรู้สึกว่าที่มาวันนี้คุ้มค่าแล้วจริง ๆ มีนักพรตเต๋าที่ไหนทำพิธีแบบนี้กัน?เพียงแค่เปลี่ยนดาบไม้ท้อนั่นเป็นกลองไคหยวน ท่วงท่านี้ก็จะเหมือนกับการทรงเจ้าเข้าผีในลัทธิบูชาวิญญาณสมัยราชวงศ์ชิงในอดีตชัด ๆ
ภาษิตว่าหากเข้าใจจะมองเห็นแบบแผน ไม่เข้าใจจะมองว่าน่าตื่นเต้น เฉินสี่ฉวนกับหวังเจียซวินอีกทั้งพนักงานเหล่านั้น ต่างมองอย่างเบิกบานสุขใจ หากไม่กลัวว่าจะเป็นการรบกวนท่านนักพรต คงต้องเอ่ยร้องชื่นชมออกไปแล้ว!
ราวกับสัมผัสความตื่นอกตื่นใจของผู้คนได้ การเต้นรำของนักพรตยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก อาจจะดูว่าอายุเขาไม่น้อย แต่ร่างกายยังคล่องแคล่วว่องไวอย่างมาก หลังจากเต้นรำไปกว่าห้านาทีเต็ม ท่วงท่าจึงได้ค่อย ๆ ผ่อนความเร็วลง
หลังจากนักพรตน้อยเห็นอวิ๋นหยางหยุดนิ่ง พิงตัวยังบนต้นหลิวคอคดต้นนั้น ก็อดร้องเตือนขึ้นมาไม่ได้ “ท่านอาจารย์ ระวัง ข้างหลังเป็นทะเลสาบ!”
นักพรตทำเป็นหูทวนลมต่อคำพูดของลูกศิษย์ ก่อนอื่นใช้สองมือรวบผมขึ้นมา จากนั้นใช้ดาบไม้ท้อเล่มนั้นเสียบเข้าไปตรง ๆ แทนปิ่นปักผม แล้วจึงเอ่ยปากพูด “กลัวอะไร อาจารย์อย่างข้าเคยยืนท่าไก่ทองขาเดียวบนยอดเขาไท่ซานมาแล้ว มีหรือจะตกลงไปได้?”
แต่ใครจะรู้ว่าพอเสียงของอวิ๋นหยางเงียบลง ร่างที่เดิมยืนอยู่นั้น กลับถอยร่นลงไปด้านล่างอย่างรุนแรง เสียงดัง “ตูม” ทั้งเนื้อตัวหล่นลงไปยังในน้ำ
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วไร้สิ่งใดเทียบ กว่าทุกคนจะเห็นเพียงสองมือของท่านนักพรตโผล่อยู่เหนือน้ำนั่น ผ่านไปเพียงแค่สองวินาที ทุกคนต่างแสดงปฏิกิริยาไม่ทันว่ามันเกิดอะไรขึ้น?
นักพรตน้อยที่ยืนอยู่ริมโต๊ะกลับแสดงออกได้อย่างว่องไว หลังกระโดดห่างออกมาสี่ห้าเมตรแล้ว ก็ร้องตะโกนเสียงดัง “ผี!บังอาจกระทำการชั่วร้ายกลางวันแสก ๆ นี่……นี่มันผีร้าย!”
ปาหี่เร่ร่อนพวกนี้กับทอล์คโชว์ไม่ค่อยต่างกัน มีคนเล่นมุกก็ต้องมีคนตบมุก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการแสดงของนักพรตน้อยคือตัวตบมุก ถึงขั้นนี้แล้วยังไม่ลืมช่วยอาจารย์ของเขาแสดงละคร
“แม่เจ้าโว้ย ไอ้นั่นมันอะไรกัน?”
คนอื่นไม่ทันได้มองชัด ๆ ว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น แต่เยี่ยเทียนกลับเห็นอย่างชัดเจน ชั่ววินาทีที่ร่างของนักพรตตกลงไปนั่นเอง เยี่ยเทียนเห็นช่วงข้อเท้าของนักพรต มีมือดำมะเมื่อมขนดกรุงรังจับเอาไว้
“อาเฉิน ให้เรือลำนั้นแล่นเข้ามา ผมจะไปช่วยคนก่อน!”
นาทีนั้นเยี่ยเทียนไม่สนใจจะเดาว่าเจ้าสิ่งนั้นคืออะไรแล้ว ตะโกนใส่เฉินสี่ฉวนทางหนึ่ง พลางถอดเสื้อผ้ากระโดดลงไปยังจุดที่นักพรตเต๋าตกลงไปในน้ำ
ปกติแล้วคบหากับอวิ๋นหยางได้ดี อีกทั้งยังไปดื่มกินที่อารามไป่อวิ๋นถึงสองเดือน เป็นธรรมดาที่เยี่ยเทียนจะไม่สามารถทนมองตาแก่นี่พบจุดจบเช่นนี้ จึงพุ่งกระโจนลงไปในน้ำทันที
ตอนที่ 246
ปีศาจน้ำ (3)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เฮ้ย เยี่ยเทียน นาย……นายไม่ต้องลงไปหรอก!”
เฉินสี่ฉวนไม่ทันจับตัว เยี่ยเทียนก็กระโดดลงน้ำไปแล้ว เขาตะโกนขึ้นติด ๆ กันอย่างลนลานโดยทันที “เร็วเข้า อย่าใช้เรือใหญ่ ความเร็วช้าเกินไป รีบเอาเรือเล็กแล่นเข้ามา!”
“ประ……ประธานเฉิน พวกเราไม่กล้าลงไปครับ!”
เห็นคนมีชีวิตถูกผีพรายดึงลงไปในทะเลสาบต่อหน้าต่อตา พนักงานที่อยู่ในที่เกิดเหตุตรงนั้นต่างสีหน้าซีดเผือด ท่อนขาปวกเปียก ที่ไม่หันหลังวิ่งหนีไปเพราะยังรักษาหน้าเจ้านายไว้อยู่ แล้วไหนเลยพวกเขาจะกล้าลงไปพายเรือในทะเลสาบ?
ทำเจ้านายโกรธอาจทำให้เสียงานได้ แต่ถ้ายั่วยุปีศาจน้ำอาจจะต้องเสียชีวิต ในใจของพนักงานเหล่านี้คิดคำนวณเรื่องนี้เป็นอย่างดีแล้ว
“พวกแกไปเอาเหล้า กับผ้าขนหนูผืนใหญ่มาหลาย ๆ ผืน แม่เอ๊ย ฉัน……ฉันไปพายเรือเองก็ได้!”
เฉินสี่ฉวนไม่มีทางเลือก วิ่งเร็วจี๋ไปทางเรือเล็กริมทะเลสาบ เลือกเรือถีบลำหนึ่งแล้วก้าวขึ้นไป หลังจากปลดเชือกตรงริมชายฝั่งแล้ว ก็ถีบออกไปยังจุดที่เยี่ยเทียนกับนักพรตเต๋าตกน้ำ
“เยี่ยเทียน เยี่ยเทียน นายอยู่ที่ไหน?!”
แม้ว่าจะเป็นหน้าหนาว น้ำในทะเลสาบใสกระจ่าง แต่ว่าน้ำในทะเลสาบทางใต้นี้ลึกมาก มองด้วยตาเปล่ายังไม่เห็นถึงครึ่งสระ หลังจากเฉินสี่ฉวนนำเรือถีบลงมาในน้ำแล้ว ก็ยืนทำอะไรไม่ถูกอยู่บนเรือ ได้แต่ร้องตะโกนเรียกชื่อเยี่ยเทียนอย่างเปล่าประโยชน์
ตั้งแต่เยี่ยเทียนลงน้ำไปจนถึงตอนนี้ ผ่านไปสองนาทีกว่าแล้ว ในใจเฉินสี่ฉวนชักรู้สึกสังหรณ์ไม่ดี เขาชักกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับหนุ่มน้อยคนนี้
“ซ่า!”
ขณะที่เฉินสี่ฉวนร้อนเร่าเหมือนโดนไฟลนอยู่นั้น พลันได้ยินเสียงน้ำกระจายดังมาจากข้างหู ตามมาด้วยหัวคนกับเส้นผมกระเซอะกระเซิงโผล่พ้นขึ้นมาจากผิวน้ำ บนหัวนั้นยังมีสาหร่ายติดอยู่หลายเส้น
จู่ ๆ มีหัวคนโผล่พ้นขึ้นมาจากผิวน้ำ ยังไม่ทันเห็นหน้าชัดเจน เฉินสี่ฉวนที่อยู่บนเรือก็พลันสะดุ้งขนลุกขนพองขึ้นมาทั้งเนื้อตัว ล้มจ้ำเบ้ากลับลงไปยังพื้นเรือ
“ท่านอาจารย์ นั่นมันท่านอาจารย์นี่!” นักพรตน้อยที่ริมฝั่งมองเห็นชัดเจนแล้ว ก็กู่ร้องขึ้นมา
“หัวหน้านักพรตอวิ๋นหยางเหรอ?”
ได้ยินคำพูดของนักพรตน้อยแล้ว เฉินสี่ฉวนถึงเริ่มมีความกล้าขึ้นมาบ้าง ใช้สองมือพยุงกราบเรือลุกขึ้นยืน แต่ว่าในเวลานั้นเอง บังเกิดเสียงน้ำแตกกระเซ็นดังขึ้นอีก มีหัวคนโผล่พ้นขึ้นมาข้างกายนักพรต
“เยี่ยเทียน”
ได้เห็นใบหน้าที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมาแล้ว เฉินสี่ฉวนก็ร้องขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น เขาคาดไม่ถึงมาก่อนเลยว่า กลางทะเลสาบที่ทั้งลึกและหนาวเย็นอย่างนี้ เยี่ยเทียนกลับสามารถช่วยเหลือหัวหน้านักพรตอวิ๋นหยางขึ้นมาได้จริง ๆ
“พรวด!”
เยี่ยเทียนพ่นน้ำในทะเลสาบออกจากปาก หลังช่วยเฉินสี่ฉวนนำตัวนักพรตเต๋าที่หมดสติไปแล้วส่งกลับขึ้นเรือ ก็กล่าวว่า “อาเฉิน รีบช่วยชีวิตเขาเร็ว อวิ๋นหยางอายุมากแล้ว เดี๋ยวจะทนไม่ไหว!”
“ได้ ๆ เยี่ยเทียน ฉันดึงตัวนายขึ้นมาก่อนแล้วกัน!” เฉินสี่ฉวนพยักหน้าซ้ำ ๆ พูดพลางยื่นมือไปทางเยี่ยเทียน
“อาเฉิน ข้างใต้ภูติผีพวกนั้นเยอะมาก เดี๋ยวผมจับมันได้แล้วค่อยขึ้นไป……”
เยี่ยเทียนยิ้มพลางโบกมือ สูดลมหายใจเข้าลึก แล้วดำลงไปทันที หลังจากวงน้ำกระเพื่อมขึ้นมาอีกครั้ง บนผิวทะเลสาบก็ไม่เห็นเงาของเยี่ยเทียนแล้ว
“เฮ้ย เยี่ยเทียน นาย……ทำไมนายถึงยังลงไปอีกล่ะ?”
เฉินสี่ฉวนงงเป็นไก่ตาแตกกับการกระทำของเยี่ยเทียน นักพรตเต๋าก็ช่วยขึ้นมาได้แล้ว เขายังจะลงแรงไปเพื่ออะไรอีก?ต่อให้ทำไปเพราะเห็นแก่คุณธรรม ด้านล่างนั่นก็ไม่มีใครให้ต้องช่วยแล้วนี่!
………………
หากพูดถึงเยี่ยเทียนนั้น ไม่ได้เป็นเด็กหนุ่มเลือดร้อนที่เห็นคุณธรรมเป็นหนึ่งอย่างที่เฉินสี่ฉวนคิดจริง ๆ หรอก
สาเหตุที่เขาดำลงไปครั้งแรกในทันที อันดับแรกเป็นเพราะมีความสัมพันธ์อันดีกับอวิ๋นหยาง อันดับสองเพราะอยากรู้จริง ๆ ว่า “มือ” นั่นที่จับข้อเท้าอวิ๋นหยาง ที่แท้คือตัวอะไรกัน
ด้วยวิชาความสามารถของเยี่ยเทียนในปัจจุบัน ไม่มีเรื่องใดที่จำเป็นต้องกลัว อย่าว่าแต่เขาไม่เชื่อเรื่องผีสางบนโลกเลย ต่อให้ใต้น้ำมีผีซ่อนตัวอยู่จริง เยี่ยเทียนก็ยังสามารถลากตัวมันขึ้นมาได้
ด้วยเติบโตมาในหมู่บ้านติดแม่น้ำทางใต้มาตั้งแต่เล็ก ทักษะด้านการว่ายน้ำของเยี่ยเทียนจึงไม่ต้องพูดถึง ตอนเขาแปดขวบก็สามารถดำน้ำลงไปจับปลาใต้สระได้ลึกถึงเจ็ดแปดเมตร ชนิดที่ว่าพอลงไปในน้ำ ร่างกายก็กลายเป็นปลาแหวกว่ายใต้น้ำในทันที
อาศัยสัมผัสของร่างกายกับสายน้ำกระเพื่อมไหว หลังจากลงน้ำมาสิบกว่าวินาที เยี่ยเทียนก็มาถึงยังก้นทะเลสาบ แต่ว่าเวลานั้นเยี่ยเทียนเองก็ถูกภาพที่เห็นตรงหน้าทำเอาตกใจจนสะดุ้ง
นั่นเพราะนอกจากนักพรตเต๋าที่สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดผวากำลังสำลักน้ำ “บุ๋ง ๆ” อึกใหญ่แล้ว ยังมีสิ่งมีชีวิตรูปร่างเหมือนคน ทั่วตัวดำมะเมื่อมขนรกรุงรัง สูงประมาณหนึ่งเมตรกว่า!
ด้วยใต้น้ำมีแสงริบหรี่ เยี่ยเทียนจึงไม่อาจเห็นใบหน้าของสิ่งมีชีวิตตัวนี้ได้ชัดเจน แต่เขามองเห็นได้ว่า กรงเล็บดำเมื่อมของมันจับหัวไหล่ของอวิ๋นหยางไว้อย่างแน่นหนา กำลังลากตัวเขาลงไปยังก้นทะเลสาบ
เวลานั้นเยี่ยเทียนไม่สนใจอะไรอีก เพียงพลิกฝ่ามือ ก็เกิดแรงกระเพื่อมเป็นรอยแยกของสายน้ำ พุ่งตรงเฉือนยังกรงเล็บนั่น ความสามารถในการควบคุมไฟของเยี่ยเทียนนั้นเยี่ยมยอด กรงเล็บนั่นถูกเฉือนออกตรงข้อมือ ทว่าไม่ได้ทำอันตรายตัวอวิ๋นหยางแม้แต่น้อย
กรงเล็บข้างหนึ่งถูกเยี่ยเทียนตัดขาด สิ่งมีชีวิตนั่นคล้ายจะส่งเสียงประหลาดออกมาเสียงหนึ่ง หลังปล่อยตัวนักพรตอวิ๋นหยางออกมาแล้ว ก็พลิกหมุนตัวไปยังด้านหลัง ซุกตัวเข้าไปท่ามกลางดงสาหร่ายหนาทึบใต้พื้นทะเลสาบ
แต่ว่าเยี่ยเทียนกลับไม่ยอมเลิกรา หลังจากนำตัวอวิ๋นหยางที่หมดสติแล้วขึ้นไปส่งยังผิวน้ำ สัมผัสถึงทิศทางที่กระแสน้ำกระเพื่อมได้ ก็ดำกลับลงไปในทะเลสาบอีกครั้ง
“ยังคิดหนีอีกเรอะ?”
ใบหน้าของเยี่ยเทียนเผยรอยยิ้มเยือกเย็น ว่ายน้ำลงไปเหนือดงสาหร่ายอย่างเงียบเชียบ สองขาควานไปมาครู่หนึ่ง ร่างกายก็พุ่งราวกับลูกธนูลงไปยังใต้ดงสาหร่ายยาวยืด
สิ่งมีชีวิตที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ดงสาหร่ายนั้น ราวกับคาดไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนจะกลับลงไปตามหามัน กว่ามันจะรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติ ก็หนีไม่ทันเสียแล้ว
ขณะที่เยี่ยเทียนพุ่งลงไปกลางดงสาหร่ายนั้น สาหร่ายที่สามารถคร่าชีวิตคน ก็เข้าพัวพันบนตัวเยี่ยเทียน แต่ว่าเยี่ยเทียนไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย คว้าจับลำคอของสิ่งมีชีวิตข้างใต้นั่นด้วยมือข้างเดียว
สำหรับสัตว์ประหลาดใต้น้ำที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนนี่ เยี่ยเทียนเองกลับไม่เคยคิดจะสังหารมัน มือซ้ายค่อย ๆ ออกแรงส่งกำลังภายในเข้าไปในร่างตัวประหลาด ทำให้มันหยุดหายใจโดยฉับพลัน
มือขวาวาดอักษร “ไร้ร่องรอย” วนรอบทั่วร่างแล้ว สาหร่ายที่พันธนาการอยู่ก็หลุดร่วงลงมา สองขาของเยี่ยเทียนออกแรงดันก้นทะเลสาบเล็กน้อย ร่างกายก็ลอยขึ้นมายังริมฝั่งทะเลสามอย่างรวดเร็ว
เวลานั้นเฉินสี่ฉวนที่ขึ้นมาบนฝั่งเห็นเยี่ยเทียนปรากฏตัวที่ผิวน้ำอีกครั้ง ก็ลนลานร้องขึ้น “ขึ้นมาแล้ว เฮ้ย ขึ้นมาแล้ว เร็ว รีบดึงตัวเขาขึ้นมา!”
เมื่อครู่เยี่ยเทียนลงน้ำไปช่วยชีวิตคนได้สำเร็จ จึงทำให้พนักงานที่อยู่บนฝั่งคลายความกลัวผีพรายลงไปไม่น้อย พอได้ยินเฉินสี่ฉวนกล่าว ก็แยกย้ายกันล้อมชายฝั่ง เตรียมดึงตัวเยี่ยเทียนขึ้นมาบนพื้นดิน
“แม่เจ้าโว้ย ปีศาจน้ำผีพรายถูกจับแล้วเหรอ!?”
เพียงแต่พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่า พอเยี่ยเทียนว่ายถึงริมฝั่งแล้ว เจ้าตัวยังไม่ทันขึ้นจากน้ำ มือซ้ายดันจับเอาสิ่งดำมะเมื่อมโยนทิ้งไว้บนชายฝั่ง สิ่งที่ดำเมื่อมทั้งตัวหัวกระเซอะกระเซิงนั้น พลันทำให้คนแตกฮือกันไปทั้งสี่ทิศ
“ให้ตายสิ งมงายกันสุด ๆ เลยเหรอ?มิน่าล่ะนักพรตอวิ๋นหยางถึงหาเงินได้ง่ายดายนัก
สองมือเยี่ยเทียนยันที่ริมฝั่ง เนื้อตัวเปียกปอนกระโจนจากน้ำขึ้นบนยังพื้นดิน เอื้อมมือหิ้วปีศาจน้ำที่อยู่บนฝั่งดึงขึ้น เดินเข้าไปข้างในสองสามก้าว เขากลัวว่าพอตัวประหลาดนี่ฟื้นขึ้น จะหนีกลับลงไปในทะเลสาบอีก
“เยี่ย……เยี่ยเทียน นี่……นี่มันตัวประหลาดอะไรกัน?”
เฉินสี่ฉวนที่เพิ่งช่วยอวิ๋นหยางให้ฟื้นขึ้น ตัวสั่นระริกเดินไปข้างเยี่ยเทียน ถึงแม้เขาจะมีความกล้ามากกว่าคนรอบข้างอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่กล้ามองสัตว์ประหลาดในมือเยี่ยเทียนด้วยตาตัวเอง
“ผมเองก็ยังไม่เคยเห็นไอ้ตัวนี้ คงจะเป็นปีศาจน้ำอะไรสักอย่างไหม?” เยี่ยเทียนพบเห็นของพิสดารหายากมาไม่น้อย แต่ก็ยังไม่เคยเห็นสัตว์ประหลาดในมือนี้มาก่อน
เห็นใบหน้าของมันคลับคล้ายลิงอยู่มาก แต่ฝ่าเท้าเรียบลื่น ยิ่งเป็นหลักฐานว่าเจ้าตัวนี้เป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในน้ำ ขณะนั้นเยี่ยเทียนเองก็ยังพิจารณาว่ามันคือตัวอะไรกันแน่
“ไอ้ตัวนี้เหมือนลิงนะ!”
“เหลวไหล แกเคยเห็นลิงที่ดำน้ำว่ายน้ำเป็นหรือยังไง?”
“ไม่แน่ว่าไอ้ตัวนี้อาจเป็นผีพรายจำแลงก็ได้ ทุกคนถอยห่างออกมาหน่อย!”
นาทีนั้นทุกคนเห็นสัตว์ประหลาดนั่นถูกเยี่ยเทียนจับไว้ในมือ จึงได้มีความกล้าขึ้นมาบ้าง ต่างรายล้อมเข้ามาพูดคุยถกเถียงกัน
พอได้กลิ่นเหม็นคาวจากตัวประหลาด ทั้งยังมีรอยเลือดสีดำไหลรินออกมาจากข้อมือที่ขาดนั้น เยี่ยเทียนก็ขมวดคิ้ว ทิ้งตัวประหลาดนั่นลงบนพื้นข้างหน้าตน
ขณะที่ปล่อยตัวประหลาดลงบนพื้น เยี่ยเทียนออกแรงที่มือเล็กน้อย จึงกระตุ้นร่างกายเจ้าตัวประหลาด อีกทั้งยังร่วงหล่น จึงมีเสียงกรีดร้องแหลมแสบแก้วหูดังออกมาจากปากสัตว์ประหลาด ฟื้นตัวตื่นขึ้นมาในทันใด
“แม่จ๋า หนีเร็ว ผีพรายฟื้นคืนชีพแล้ว!”
เยี่ยเทียนปล่อยลงไปคราวนี้ ทำเอาคนริมฝั่งวงแตกในทันที พนักงานพวกนั้นต่างกลัวจนขี้หดตดหาย บางคนถึงกับแยกทิศเหนือใต้ออกตกไม่ได้ พุ่งกระโจนไปยังทางทะเลสาบ
“กลัวอะไรกันนักหนา? ผมจับขึ้นมาจากน้ำแล้ว ยังจะกลัวมันทำร้ายคนอีกเหรอ?”
เยี่ยเทียนตะโกนเสียงหนึ่ง ทำเอาเสียงร้องไห้โวยวายรอบด้านเงียบลงฉับพลัน คิด ๆ ดูแล้วก็เป็นไปตามนั้น มีเยี่ยเทียนอยู่เคียงข้าง พวกเขาก็ไม่มีอะไรต้องกลัว
ราวกับถูกเสียงนั้นของเยี่ยเทียนทำให้ตกใจจนแน่นิ่ง ร่างของสัตว์ประหลาดนั่นสั่นเทาคลานขึ้นอยู่บนพื้น เหเสมือนว่าพอออกห่างจากน้ำแล้ว มันไม่สามารถก้าวเดินได้
“พวกคุณมีใครรู้จักไอ้ตัวนี่หรือเปล่า?” นาทีนั้นเยี่ยเทียนไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับเจ้าตัวนี้อย่างไร อยากจะส่งไปสวนสัตว์ก็ไม่รู้ว่าคนอื่นเขาจะรับหรือไม่
“ฉัน……ฉันรู้!” เสียงอ่อนแรงเสียงหนึ่งดังขึ้นมา เยี่ยเทียนหันหน้าไปมอง กลับเป็นนักพรตเต๋าอวิ๋นหยางที่เพิ่งฟื้นขึ้นมานั่นเอง
“ไอ้……ไอ้ตัวนี่เรียกว่า……ว่าลิงวารี จำแลงมาจากความคับแค้นของคนที่ตายไปแล้ว มันชอบใช้เสียงร้องไห้ล่อลวงคนให้ลงไปในน้ำ!ฉวยโอกาสดึงจนตกน้ำ สูบเลือดสูบเนื้อ กินดวงตา!” ทุกคนที่ได้ยินคำพูดของนักพรตเต๋าต่างอดถอยหลังไปหลายก้าวไม่ได้
แต่ว่านักพรตเต๋ายังคงตะโกนเสียงดังต่อ “ทุกคนไม่ต้องกลัว เจ้าสิ่งนี้อยู่ในน้ำมีกำลังวังชา แต่อยู่บนบกแขนขาง่อยเปลี้ย หากปล่อยมันไว้จะเป็นภัยพิบัติ ทุกคนจงช่วยกันทำร้ายมันให้ตาย!”
ราวกับเพื่อเป็นการยืนยันคำพูดของตนเอง นักพรตเต๋าวิ่งตุปัดตุเป๋มาข้างหน้า เตะเข้าตัวลิงวารีทีหนึ่ง เป็นไปตามคาด สัตว์ประหลาดนั่นตัวสั่นเทาเพียงเล็กน้อย ไม่แสดงอาการตอบโต้ใด ๆ
การกระทำนี้ทำให้ทุกคนที่ยังหวาดกลัวอยู่ เห็นหนทางระบายอารมณ์ ต่างพุ่งตรงกันเข้ามาราวกับกินยาปลุก โห่ร้องออกมาทั้งเตะทั้งถีบบนเนื้อตัวสัตว์ประหลาด
ตอนที่ 247
เยี่ยเทียนเองก็ไม่ได้หยุดยั้งความบ้าคลั่งของทุกคน เจอเรื่องผีพรายก่อกวนมานานขนาดนั้น พวกเขาต้องการหนทางปลดปล่อยเช่นนี้ เพื่อปัดเป่าความหวาดกลัวที่อยู่ในใจ
อีกทั้งปีศาจน้ำตัวนั้นพอถูกตนเองตัดข้อมือแล้ว ขึ้นมาจากน้ำก็แทบจะหมดลมหายใจอยู่รอมร่อ แม้จะไม่ถูกคนพวกนี้โจมตี ก็เกรงว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน
ส่วนการกระทำของนักพรต เยี่ยเทียนเองก็พอเข้าใจได้ มันคือความอับอายที่กลลวงของตนเองถูกเปิดโปงจนกลายเป็นความโกรธแค้น เสริมด้วยการกระทำที่อยากไว้หน้าให้ตัวเองสักหน่อย
อย่างไรเสียก็ไม่มีใครเคยเห็นสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ ถึงอวิ๋นหยางยืนกรานว่าเป็นผีพรายจำแลงมา คนอื่นก็เถียงอะไรไม่ได้ พอเห็นนักพรตเชี่ยวชาญเส้นทางในวงการนี้ เยี่ยเทียนชักสงสัยจริง ๆ ว่าตาแก่นี่ในอดีตมาจากสำนักเจียงเซียงหรือเปล่า
ขณะที่ทุกคนทำร้ายปีศาจน้ำอยู่นั้น เฉินสี่ฉวนก็ถือเอาผ้าขนหนูผืนใหญ่เดินมาหา ไม่พูดพล่ามทำเพลงห่มลงบนตัวเยี่ยเทียน กล่าวว่า “เยี่ยเทียน เร็ว เช็ดตัวเร็วเข้า ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าข้างในก่อนเถอะ ฉันจะให้คนต้มน้ำขิงให้……”
คนอื่นอาจจะเชื่อเรื่องเล่าผีของนักพรต แต่เฉินสี่ฉวนกลับไม่เชื่อแม้แต่ประโยคเดียว ถ้าหากไม่มีเยี่ยเทียน ปริศนาเรื่องผีพรายคงไม่มีทางไขกระจ่าง
เยี่ยเทียนใช้ผ้าขนหนูเช็ดหน้าเช็ดตา ยิ้มตอบ “อาเฉิน ไม่เป็นไรครับ ผมอายุยังน้อยธาตุไฟแข็งแรง”
ด้วยทักษะปัจจุบันของเยี่ยเทียน สามารถทำให้ไอร้อนไอเย็นไม่อาจเข้ากล้ำกรายได้นานแล้ว ตอนที่เขาลงไปในน้ำ รูขุมขนล้วนปิดไม่ให้ความเย็นเข้ามา ไอเย็นของน้ำจึงถูกปิดกั้นไว้ภายนอกร่างกายทั้งหมด
“อาเฉินให้พวกเขาออกมาเถอะ เจ้าสัตว์ประหลาดนั่นน่าจะถูกทำร้ายจนตายไปนานแล้วล่ะ!”
ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน เฉินสี่ฉวนก็ตะโกนใส่กลุ่มคน “แยก ทุกคนแยกย้าย เมื่อกี้ไม่เห็นพวกแกจะกล้าหาญกันอย่างนี้เลย ตอนนี้มาทำเป็นฮีโร่เรอะ?แยกย้ายออกมา!”
หลังจากที่กลุ่มคนแยกย้ายกันออกมา สัตว์ประหลาดบนพื้นก็แทบหายใจรวยรินแล้ว ใบหน้าของสิ่งมีชีวิตคล้ายลิงนั้นเต็มไปด้วยเลือดสด ท้องบวมเป่ง นอนแผ่แหงแก๋อยู่บนพื้น
“ในท้องนี่ล้วนเป็นเนื้อคนตายทั้งสิ้น ไม่รู้เหมือนกันว่ามารร้ายนี้คร่าเอาชีวิตคนมากน้อยเท่าไหร่ กระทั่งวันนี้มาเจอเข้ากับอาตมา……เอ่อ แล้วก็สหายเสวียนชิง ไม่อย่างนั้นภายหลังไม่รู้จะมีคนอีกมากมายแค่ไหนต้องสละชีวิตในเงื้อมมือของมัน!”
หลังจากนักพรตอวิ๋นหยางลงเท้าเป็นคนแรกแล้ว ก็ไปหลบอยู่ข้างหลังฝูงคน ตอนนี้นับว่าเหตุการณ์กลับกลายเป็นปกติ จึงพุ่งตัวออกมาอยู่ข้างหน้าปีศาจน้ำแล้วปั้นน้ำเป็นตัวต่อ
“หัวหน้า…หัวหน้านักพรต เจ้านี่เป็นผีพรายจำแลงจริงหรือ?” คราวนี้หวังเจียซวินชักไม่แน่ใจว่าควรจะเชื่อคำพูด ของอวิ๋นหยางดีหรือเปล่า เพราะว่าศพที่อยู่บนพื้นนี่ ดูอย่างไรก็เหมือนสัตว์ตัวหนึ่งเท่านั้น?
“แน่นอนอยู่แล้ว เจ้าสิ่งนี้เดิมมีชื่อเรียกว่าอสูรวารี จำแลงมาจากคนที่ตายอย่างไร้ความผิด กินเนื้อคนสด ๆ เข้าไปจึงกลายเป็นร่างเนื้อ อาศัยเสียงร้องไห้ล่อลวงคนลงน้ำเป็นหลัก จากนั้นก็คร่าเอาชีวิต……
ในอดีตตอนที่อาตมาท่องยุทธภพกับท่านอาจารย์ ก็เคยพบกับอสูรวารีชนิดนี้ ถูกท่านอาจารย์ฟันด้วยดาบคมกริบสามชุ่น เพื่อกำจัดเภทภัยในท้องถิ่น!”
เห็นทุกคนคล้อยตามไปกับคำพูดของตน นักพรตอวิ๋นหยางก็นึกกระหยิ่มในใจ ตอแหลน้ำลายแตกฟองต่อ “ถ้าหากไม่ใช่เพราะพิธีกรรมที่อาตมาทำขึ้นวันนี้ สะบั้นเส้นทางชีวิตของมัน มันจะไม่มีทางปรากฏตัวขึ้นมาเด็ดขาด แต่เพราะอาตมาสูงวัยร่างกายอ่อนแอ กลับต้านทานมารร้ายนี่ไม่ไหว โชคดีที่สหายแห่งเต๋าเสวียนชิงช่วยไว้ น่าละอาย ช่างน่าละอายเสียจริง ๆ!”
คำพูดเช่นนี้ของอวิ๋นหยางนำเอาความยากลำบากของตัวเองเชิดชูขึ้นก่อน จากนั้นค่อยอ้างอายุของตนมาอธิบายความจริงที่ตัวเขาอ่อนแอจนถูกดึงลงน้ำ ตบท้ายด้วยการยกยอเยี่ยเทียนให้เป็นที่จดจำ ทำให้เรื่องนี้สมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ
แม้ว่าจะฟังแล้วเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เมื่อเกี่ยวกับเรื่องประเภทนี้ หวังเจียซวินก็ยังเลือกจะเชื่อ เอ่ยปากชื่นชมในทันที “ต้องขอบคุณท่านหัวหน้านักพรตอย่างมากที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ และขอเชิญเข้าด้านในดื่มน้ำขิงร้อนกับเปลี่ยนเสื้อผ้าสักหน่อย ผมให้ทางห้องอาหารจัดเตรียมไว้แล้ว อีกสักครู่จะฉลองชัยชนะให้กับท่านหัวหน้านักพรตอวิ๋นหยางกับเสวียนชิง……เอ้ย สหายเยี่ยเทียน!”
“ประสกหวังเกรงใจแล้ว นักบวชอย่างพวกเราไหนเลยจะทนเห็นมารร้ายออกรังควาญผู้คนได้?ทุกอย่างนี้เป็นสิ่งที่พวกอาตมาสมควรทำ!”
ตาแก่อวิ๋นหยางแม้อยากพยายามทำท่าวางมาดแทบตาย แต่ด้วยร่างกายอันเปียกชุ่มทั้งเนื้อตัว จึงไม่มีคำอลังการใด จะกล่าว ร้องเรียกเยี่ยเทียนขึ้นมาเสียงหนึ่งแล้วเตรียมตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
หลังจากเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว อวิ๋นหยางพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ หันไปพูดกับหวังเจียซวิน “จริงสิ ประสกหวัง เจ้ามารร้ายนี่เดิมคือวิญญาณคนตายจำแลง เพื่อไม่ให้วิญญาณของมันหลีกเร้นไปทำร้ายคนได้อีก ทางที่ดีที่สุดต้องนำร่างของมันไปเผาทิ้งทันที จึงจะมั่นใจได้ว่าปลอดภัยไร้กังวล
นักพรตอวิ๋นหยางกลัวว่าหวังเจียซวินจะนำร่างไปชันสูตร ถ้าหากชันสูตรออกมาเป็นผลอะไรสักอย่าง คำโกหกของเขาจะไม่ถูกเปิดโปงจนหมดหรือ? ดังนั้นทำอะไรต้องทำให้ถึงที่สุด พูดจาข่มขู่หวังเจียซวินออกไป ให้เผาทำลายศพเพื่อกำจัดหลักฐาน
ถูกอวิ๋นหยางพูดใส่แบบนั้น หวังเจียซวินก็สะดุ้งขึ้นมาทันที แม้ว่าทีแรกเขาจะมีความคิดนำเอาร่างส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อชันสูตร แต่ว่าตอนนี้กลับไม่กล้าอีกต่อไป ลนลานตอบ “ตกลง ๆ ผมจะจัดคนให้เผาทำลายศพ ขอเชิญท่านหัวหน้านักพรตไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ”
คนทำธุรกิจให้ความสำคัญเรื่องกำไรมากสุด เรื่องบางเรื่องถึงแม้คุณจะไม่เชื่อ แต่หากหลีกเลี่ยงเรื่องวุ่นวายได้ก็จะหลีก
ดังนั้นหลังจากให้เฉินสี่ฉวนพาพวกเยี่ยเทียนกลับไปยังบ้านพักตากอากาศ หวังเจียซวินก็ให้คนที่อยู่ตรงนั้นนำเอาพวกน้ำมันเชื้อเพลิงมา เริ่มจุดไฟเผาศพ
กลุ่มของเฉินสี่ฉวนเพิ่งจะเข้ามาในห้องโถงบ้านพักตากอากาศ พนักงานคนหนึ่งก็เข้ามาต้อนรับ กล่าวว่า “ประธานเฉิน มีแขกสองสามคนมาค่ะ บอกว่าต้องการมาหาคุณผู้ชายคนนั้นที่เพิ่งออกไปกับท่าน เอ๋? คุณเยี่ยคนนั้นไม่อยู่เหรอคะ?”
ตอนเยี่ยเทียนออกไปสวมเสื้อคอจีนผ้าเรียบตรง ตอนนี้กลับมากลับห่อตัวด้วยผ้าขนหนูผืนใหญ่ ทั้งผมทั้งเนื้อตัวเปียกปอน อีกทั้งด้านข้างยังมีนักพรตอวิ๋นหยางที่อยู่สภาพเดียวกับเขา หากพนักงานคนนั้นยังจดจำได้สิจึงจะแปลก
ได้ยินคำพูดของพนักงานแล้ว เฉินสี่ฉวนก็หันหน้ามาหัวเราะตอบ “เยี่ยเทียน มีคนมาหานาย เป็นแฟนนายมาหรือเปล่าน่ะ?”
“ไม่หรอกครับ เธอเพิ่งเปิดเทอมไม่มีเวลาหรอก” เยี่ยเทียนเองก็นึกสงสัย ใครกันที่มาถึงนี่เพื่อมาหาเขาว่าไปแล้วกระทั่งเยี่ยตงผิงยังไม่รู้ว่าวันนี้เยี่ยเทียนไปไหน
“เยี่ยเทียน เธอ……ทำไมเธอถึงอยู่ในสภาพนี้ได้?”
ได้ยินคำพูดดังมาจากข้างหู ทำให้เยี่ยเทียนไม่ต้องคาดเดาอีกต่อไป เพราะว่าถังเหวินหย่วนกำลังค้ำไม่เท้า ยืนมองอยู่ห่างจากตัวเองไปสี่ห้าเมตร
แม้ถังเหวินหย่วนจะมีชีวิตอยู่มากว่าเจ็ดสิบปี แต่นาทีนี้กำลังมองเยี่ยเทียน ด้วยสีหน้าตกตะลึงอ้าปากค้าง ที่เยี่ยเทียนเปียกซ่กตลอดทั้งร่างนั้นไม่ต้องพูดถึง แต่กระทั่งบนหัวก็ยังมีสาหร่ายสีเขียวสดติดอยู่
หลังจากผู้เฒ่าถังตกตะลึงไปชั่วขณะ ก็รีบสาวเท้าเดินมาข้างหน้า เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “เยี่ยเทียน หรือ……หรือว่าเธอไปว่ายน้ำหน้าหนาวมา?”
ถังเหวินหย่วนรู้ว่า ทางพื้นที่ด้านในของภาคเหนือ กีฬาว่ายน้ำหน้าหนาวนั้นแพร่หลาย ว่ากันว่าช่วยเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง แต่ยังเป็นเพียงคำเล่าลือ ไม่มีการยืนยันทางวิทยาศาสตร์
“ใครไปว่ายน้ำหน้าหนาวกันล่ะครับ?เห็นผมว่างจัดไม่มีอะไรทำจนต้องพุ่งลงน้ำในหน้าหนาวหรือยังไง?”
ได้ยินคำพูดของถังเหวินหย่วนแล้ว เยี่ยเทียนนึกฉุนขึ้นมาทันใด ตาแก่นี่ไม่รู้จักสังเกตสังกาเอาเสียเลย ไม่เห็นว่าข้าง ๆ ยังมีคนแก่กว่าเขายืนเปียกซ่กไปทั้งตัวอยู่เหมือนกันหรือไง?
แต่ไหนเลยเยี่ยเทียนจะรู้ ว่าตั้งแต่ที่เขาปรากฏตัวออกมา สายตาของถังเหวินหย่วนก็ไม่ได้มองที่คนอื่น จับจ้องที่ตัวเขาตลอดเวลา
เห็นอาติงที่เคยพบเมื่อครั้งก่อนยืนห่างไปไม่ไกล ข้าง ๆ ถังเหวินหย่วนยังมีตาแก่ผอมแห้งอีกหนึ่งคน เยี่ยเทียนเองก็ไม่อยากให้เขาเสียหน้าเกินไปนัก จึงออกปากถาม “จริงสิ คุณมาที่นี่ได้ยังไงครับ?ผมบอกไปแล้วนี่ว่าอีกสองสามวันจะไปหา?”
พอเสียงของเยี่ยเทียนเงียบลง อาติงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็พูดขึ้นอย่างไม่พอใจ “อ้าว นายพูดอย่างนี้ได้ยังไง?”
ตั้งแต่มาประเทศจีนครั้งก่อนได้พบเยี่ยเทียน ในใจของอาติงก็เก็บกักความขุ่นเคืองเอาไว้แล้ว แม้ว่าตอนนี้เขาจะอายุกว่าสี่สิบปี แต่ตอนหนุ่ม ๆ ก็เคยอยู่ในกลุ่มบุปผาคู่ไม้พลองแดง มีความเลือดร้อนสูงกว่าธรรมดา
มองเห็นเยี่ยเทียนพูดจาไร้มารยาทกับถังเหวินหย่วน ไฟโทสะก็พลันพุ่งพล่านขึ้นหน้า ก้าวออกมาหวังจะสั่งสอนเยี่ยเทียนว่าอะไรคือสัมมาคารวะ
“อะแฮ่ม อาติง ไม่ใช่เรื่องของนาย……”
ถังเหวินหย่วนรีบร้อนตะโกนหยุดอาติง กระแอมไออย่างขัดเขินเล็กน้อย อธิบายตอบเยี่ยเทียนว่า “เยี่ยเทียน ฉันเป็นกังวลน่ะ ฉันถามพ่อของเธอแล้ว จากนั้นถึงได้ไปสอบถามคุณอวี๋ จึงรู้ว่าเธอมายังที่นี่……”
ภายในถังเหวินหย่วนเองก็รู้สึกคับข้องใจ แต่ว่าอย่างแรกตัวเขาเองรักษาหลานสาวไม่ได้ อย่างที่สองความอาวุโสของเขาก็ไม่ได้สูงไปกว่าเยี่ยเทียน นอกจากมีเงินมากกว่าเยี่ยเทียนแล้ว ก็ไม่มีอะไรมาเสนอให้ ดังนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าเยี่ยเทียนจึงได้แต่ต้องยอมอ่อนข้อเท่านั้น
“เหล่า……เอ่อ ท่านผู้เฒ่า ท่านดูสิว่าสภาพผมตอนนี้ก็ไม่เหมาะสมจะพูดคุย ขอผมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ”
เยี่ยเทียนเกือบจะหลุดปากเรียกออกมาว่าเหล่าถัง หลังจากบอกถังเหวินหย่วนเสร็จ เยี่ยเทียนก็หันร่างไปพูดกับเฉินสี่ฉวน “อาเฉิน คนนี้คือรุ่นพี่ของผมเองครับ เชิญทำความรู้จักกันก่อน เดี๋ยวผมอาบน้ำเสร็จแล้วจะออกมา!”
“ได้ กางเกงชั้นในฉันให้คนเตรียมไว้ให้แล้ว นายอาบน้ำเสร็จแล้วค่อยเปลี่ยนก็ได้!”
เฉินสี่ฉวนตกปากรับคำ มองไปทางถังเหวินหย่วนแล้วกล่าว “ผู้เฒ่าท่านนี้ ขอเชิญนั่งที่ร้านกาแฟก่อนนะครับ เยี่ยเทียนไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วจะออกมาพบท่าน!”
ด้วยไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างถังเหวินหย่วนกับเยี่ยเทียน เฉินสี่ฉวนจึงให้ความเกรงใจอย่างยิ่ง ออกนำทางไปส่งคนเหล่านั้นถึงในร้านกาแฟด้วยตนเอง
ถึงแม้ถังเหวินหย่วนจะมีชื่อเสียงโด่งดังในประเทศจีน เฉินสี่ฉวนเองก็เคยได้ยินชื่อของเขา แต่อย่างไรเฉินสี่ฉวนก็คงไม่นำเอามหาเศรษฐีชาวจีนผู้มีชื่อเสียงระบือไกลมาเชื่อมโยงกับตาแก่ตรงหน้า
บ้านพักตากอากาศเกิดเรื่องอย่างนี้ กิจธุระของเฉินสี่ฉวนเองก็มากมายไม่น้อย หลังจากพาคนทั้งหลายไปถึงร้านกาแฟแล้ว ตนเองก็รีบออกไปจัดการสะสาง
“อาเหวิน เจ้าหนุ่มที่ชื่อเยี่ยเทียนคนนั้นมีที่มาที่ไปยังไงกันแน่?ทำไมท่านต้องเกรงใจเขาถึงขนาดนี้?” รอจนกระทั่งไม่มีคนอื่น ตาแก่ผอมแห้งซึ่งตามติดถังเหวินหย่วนมาตลอดก็เอ่ยปากถามขึ้น ภายในดวงตาเผยให้เห็นความสงสัยใคร่รู้
ตั้งแต่พบหน้าเยี่ยเทียนครั้งแรก ความรู้สึกหวั่นเกรงของผู้เฒ่าคนนี้ก็เผยออกมาให้เห็นโดยไม่ต้องอธิบาย แต่เพิ่งจะมีโอกาสถามออกมาในเวลานี้
หากเปลี่ยนเป็นจี่หรานมาอยู่ที่นี่ล่ะก็ จะต้องจดจำได้ ว่าผู้เฒ่าที่อยู่ข้างกายถังเหวินหย่วนคนนี้ ก็คือ “อาสี่” ผู้นั้นที่เคยปรากฏตัวอยู่ในสโมสรอิงหลันนั่นเอง
………………
ตอนที่ 248
อาสี่สกุลตู้ มีชื่อว่าตู้เฟย เดิมเป็นคนของสำนักหงเหมิน มีตำแหน่งในสำนักค่อนข้างสูง
ด้วยหงเหมินมีธุรกิจการค้ามากมาย ล้วนมีเครือข่ายสายสัมพันธ์มากคณานับกับชาวต่างชาติและตระกูลซ่ง ดังนั้นตู้เฟยในยุคปี 80 ในฐานะตัวแทนของหงเหมินหรือพูดอีกอย่างคือผู้คุ้มกัน จึงมักอยู่ข้างกายซ่งอิงหลันตลอดเวลา
ตู้เฟยรู้จักเยี่ยเทียน อีกทั้งยังเคยให้คนสืบข้อมูลของเยี่ยเทียนอยู่พักหนึ่ง เพียงแต่ช่วงหลังซ่งอิงหลันส่งคำสั่งปิดผนึกมาจากอเมริกา เขาจึงได้เลิกจับตามองเยี่ยเทียน
ด้วยเป็นคนภายในหงเหมินเหมือนกัน ตู้เฟยเองก็รู้จักถังเหวินหย่วนมานานเก้าถึงสิบปีแล้ว ครั้งนี้ถังเหวินหย่วนมาปักกิ่ง เขาจึงต้องมาเยี่ยมเยียนคารวะ บังเอิญว่าถังเหวินหย่วนกำลังจะออกไปข้างนอกพอดี ตู้เฟยที่นับว่าเป็นเจ้าถิ่นอยู่ครึ่งหนึ่ง จึงต้องติดสอยห้อยตามมาด้วย
เพียงแต่อย่างไรตู้เฟยก็นึกไม่ถึงว่า คนที่ถังเหวินหย่วนรีบร้อนออกมาพบ กลับเป็นเจ้าหนูเยี่ยเทียนคนนี้ อีกทั้งยังมีท่าทางเคารพนบนอบสุด ๆ เขารู้จักผู้เฒ่าถังมาตั้งหลายปี นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่เห็นถังเหวินหย่วนเกรงใจคนมากขนาดนี้
ว่ากันตามตรง ตู้เฟยไม่เห็นด้วยกับท่าทีของถังเหวินหย่วนสักเท่าไหร่ ในสายตาของเขานั้น นอกจากสถานภาพที่ยังไม่ได้ยืนยันจากตระกูลซ่งแล้ว ก็ไม่มีอะไรดีเลย
แน่นอนว่า บางทีเยี่ยเทียนอาจรู้วิชาพยากรณ์อยู่บ้าง แต่แล้วจะทำไมหรือ?ในสังคมปัจจุบันนี้ ความสามารถของแต่ละคนถูกลดลงอย่างไร้ขีดจำกัด ต่อให้มีวิทยายุทธ์สูงแค่ไหนก็ต้านทานลูกกระสุนเล็ก ๆ เม็ดหนึ่งไม่ได้หรอก?
“อาเหวิน คนผู้นั้นจะอย่างไรก็เป็นแค่รุ่นเด็ก ท่านไม่เห็นต้องเกรงใจเขาขนาดนั้นเลย?”
อายุของตู้เฟยน้อยกว่าถังเหวินหย่วนกว่าสิบปี ตำแหน่งในสำนักเทียบเขาไม่ได้ จึงต้องเรียกขานถังเหวินหย่วนว่า “อาเหวิน”
ตู้เฟยรู้จักประวัติของเยี่ยเทียน แต่ว่าเรื่องภายในของตระกูลซ่งนั้น เขาไม่ค่อยเชื่อนัก ตอนนี้กลับแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว ออกปากถามถังเหวินหย่วนขึ้นมา
ถังเหวินหย่วนยังไม่พูดอะไร อาติงที่เดือดจนข่มอารมณ์ไม่อยู่กลับโวยวายขึ้น “ผู้เฒ่าถังนั่นแหละที่ไปยกย่องเขา ผู้อาวุโสอักษรรุ่น “ต้า” อะไรกัน เขายังไม่ได้เข้าสำนัก อะไรก็ไม่นับทั้งนั้นแหละ!
“หุบปาก ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง คำพูดนี้แกพูดได้เรอะ?”
ได้ยินคำพูดของอาติงแล้ว ถังเหวินหย่วนก็ตบฝ่ามือลงโต๊ะดัง “ปัง” อย่างแรงจนทำให้ถ้วยกาแฟบนโต๊ะกระดอนขึ้น หกไปทั่วทิศทาง เห็นได้ว่าคราวนี้ท่านผู้เฒ่าโมโหขึ้นมาแล้วจริง ๆ
คนวัยนี้อย่างถังเหวินหย่วน ให้ความสำคัญกับสถานะและความอาวุโสเป็นสำคัญ ไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้เยี่ยเทียนอายุเพียงยี่สิบกว่า ต่อให้เขาเป็นทารกอายุเพียงสองขวบ เพียงมีอาวุโสสูงกว่า เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ตัวเองก็ต้องนอบน้อมอย่างรุ่นน้อง
หลังจากที่ถังเหวินหย่วนกลับมาคราวก่อน ก็รวบรวมบันทึกพงศาวลีโบราณในสำนักเป็นพิเศษ พบข้อมูลเกี่ยวกับหลี่ซั่นหยวน ไม่ผิดเพี้ยนไปจากที่เยี่ยเทียนพูดแม้แต่น้อย
ดังนั้นที่เยี่ยเทียนไม่ได้เข้าสำนักหงเหมินชิงปังอย่างเป็นทางการนั้นไม่ผิด แต่ว่าสถานะของเขาเองก็ได้รับการยืนยันโดยสมบูรณ์ ในสายตาของถังเหวินหย่วน หากไม่เคารพนบนอบต่อเยี่ยเทียนนั่นถือเป็นศิษย์ล้างครูลบหลู่บรรพบุรุษ
พนักงานคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลเห็นทางนี้เหมือนมีเรื่องขัดแย้งกัน ลนลานวิ่งเข้ามาหา ถามขึ้น “ทุกท่านคะ มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“ไม่มีอะไร เช็ดโต๊ะนี่ก็พอแล้ว……” เห็นคนนอกเข้ามา ถังเหวินหย่วนก็ข่มไฟโทสะในใจลง
รู้ว่าคราวนี้ถังเหวินหย่วนโกรธขึ้นมาจริง ๆ หลังจากรอให้พนักงานเดินจากไปไกลแล้ว อาติงก็ร้อนรนลุกขึ้นยืนพูดว่า
“ผู้เฒ่าถัง ขออภัยด้วย ผมปากพล่อยไปเอง!”
“หากครั้งหน้ายังพูดอย่างนี้อีก ก็ไม่ต้องตามฉันมาแล้ว!”
ถังเหวินหย่วนส่งเสียงหึเยือกเย็น คนหนุ่มสาวในชิงปังสำนักหงเหมินปัจจุบันนี้ ไม่เห็นความสำคัญของธรรมเนียมการเคารพผู้อาวุโสมากขึ้นทุกที ถึงแม้ตอนนี้เขาจะถอนตัวออกจากสำนักมาแล้ว แต่เห็นเข้าก็ยังไม่คุ้นตานัก
“ต้า?อักษรรุ่นต้า?เยี่ย…เยี่ยเทียนมีอักษรรุ่นต้าเหรอ?อาเหวิน ท่าน……ท่านไม่ได้เข้าใจผิดไปใช่ไหม?”
บทสนทนานี้ของถังเหวินหย่วนกับอาติง กลับทำให้ตู้เฟยที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ตะลึงตาค้าง ในฐานะคนในสำนักหงเหมินตู้ เฟยย่อมรู้จักรุ่นในชิงปัง เช่นกัน ด้วยเหตุที่กำเนิดจากตระกูลชิงหง รุ่นของชิงปังจึงได้รับการยอมรับจากพวกเขาด้วย
ในอดีตยุคหาดเซี่ยงไฮ้สมัยก่อนสงครามปลดแอก คนในอักษรรุ่น “ต้า” ของชิงปังก็เหลืออยู่ไม่มากแล้ว ทั้งอักษร “หลี่” ก่อนหน้าอักษรต้าก็ตายจากไปไม่เหลือแม้แต่คนเดียว แล้วอักษรรุ่นนี้ของเยี่ยเทียนได้มาจากไหนกันล่ะ?
อีกทั้งหลายปีก่อนตู้เฟยเคยสืบเสาะเรื่องของเยี่ยเทียนเป็นพิเศษ สอบถามเรื่องของเขาด้วยตัวเองไม่น้อย แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีคำเล่าลือว่าเยี่ยเทียนเป็นหนึ่งในชิงปังเลยนี่นา?แถมยังถึงขั้นมีอักษรรุ่น “ต้า” อันสูงส่งจนน่ากลัวขนาดนั้น!
“เสี่ยวเฟย ว่าตามเหตุผลนายเองก็ไม่ใช่คนนอก เดิมทีแล้วเรื่องนี้ไม่ควรปกปิดนาย แต่ว่าเยี่ยเทียนเคยบอกไว้ ว่าตอนนี้เขาไม่อยากกลับไปทำความรู้จักบรรพบุรุษ ดังนั้นนายก็อย่าไปถาม ถ้าหากเยี่ยเทียนยินยอมล่ะก็ ฉันจะพูดเอง……”
เห็นสีหน้าของตู้เฟยแสดงออกเหมือนยังสับสนไม่หาย ถังเหวินหย่วนก็ถอนหายใจกล่าว “เอาเป็นว่านายรู้ก็พอแล้ว รุ่นของเยี่ยเทียนใหญ่กว่าพวกเรามาก เสี่ยวเฟย อยู่ต่อหน้าเขาถึงแม้ไม่ทำตัวนอบน้อม แต่ก็ควรมีมารยาทบ้าง!”
ตู้เฟยนั้นให้ความเคารพต่อถังเหวินหย่วนมาก หลังจากได้ยินคำพูดของถังเหวินหย่วนแล้ว ก็รีบร้อนลุกขึ้นคำนับกล่าว “ครับ อาเหวิน ผมทราบแล้ว……”
ต่อหน้าแม้จะรับคำถังเหวินหย่วน แต่ว่าในใจตู้เฟยยังคงไม่สบอารมณ์อย่างมาก เพราะเขารู้ว่าเยี่ยเทียนเคยนับถือนักพรตเต๋าผู้ท่องเที่ยวในยุทธภพผู้หนึ่งเป็นอาจารย์
ดังนั้นในสายตาตู้เฟย ไม่แน่ว่าเยี่ยเทียนอาจใช้วิธีการบางอย่าง ตบตาผู้เฒ่าสูงวัย สมองเลอะเลือนตรงหน้าผู้นี้ก็เป็นได้
เพียงแต่ตู้เฟยไม่ได้คิดว่า ถังเหวินหย่วน จากผู้มีสถานะตั้งต้นภายในสำนัก อยู่มาจนกลายเป็นมหาเศรษฐีชาวจีนผู้ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ถึงแม้ตอนนี้จะชราแล้ว แต่ไหนเลยจะเป็นคนที่ถูกเด็กหนุ่มรุ่นหลังตบตาเอา?
“อาเหวิน ผมรู้จักแพทย์แผนจีนจากเหอเป่ยคนหนึ่ง ได้ยินว่าความสามารถไม่เลว ให้ไปรับเขามาดูอาการของเสวี่ยเสวี่ยไหมครับ?”
พอเกิดเรื่องผู้เฒ่าดุด่าอาติง บรรยากาศก็พลันอึดอัดขึ้นมา ตู้เฟยรีบหาหัวข้ออื่น มาเบี่ยงเบนประเด็นออกจากเรื่องเยี่ยเทียน
“เสี่ยวเฟย นายเอาใจใส่ดี แต่ว่าอาการของเสี่ยวเสวี่ยน่ะไม่ใช่หมอธรรมดาจะรักษาหายได้……”
ถังเหวินหย่วนถอนหายใจ ถ้าหากไม่ใช่เพราะยันต์ใบนั้นที่เยี่ยเทียนให้เขา ไม่ถูกเด็กเวรที่บ้านเผาทิ้งไปล่ะก็ ต่อให้เยี่ยเทียนมีอาวุโสสูงส่ง เขาก็คงจะไม่มาขอร้องเยี่ยเทียนเสียงอ่อนเสียงหวานหรอก
นั่นเป็นเรื่องเมื่อครึ่งเดือนก่อน เหลนอายุแปดขวบของถังเหวินหย่วนคนหนึ่ง หลังจากที่กำลังดูหนังผีดิบฮ่องกงแล้ว เห็นว่าในมือของพี่สะใภ้กลับมียันต์ที่เหมือนกับในทีวีไม่มีผิด เกิดอยากหัดจับผีดิบอย่างหัวหน้านักพรตเต๋า จึงแอบเอายันต์นั้นไปเผา
กว่าทุกคนจะไปพบ ยันต์แผ่นนั้นก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว และร่างกายของถังเสวี่ยเสวี่ยก็อ่อนแรงลงทุกวัน เพราะอับจนปัญญา ถังเหวินหย่วนจึงบากใบหน้าชรามาหาเยี่ยเทียนก่อนกำหนด
แต่ว่าถังเหวินหย่วนไม่อยากเล่าเรื่องนี้ให้ตู้เฟยฟัง หลังจากอธิบายคร่าว ๆ แล้วถามถึงเรื่องการเปิดประชุมใหญ่สำนักหงเหมิน ช่วงนั้นเขาติดธุระพอดี จึงไม่ได้ไปร่วมด้วย
……………………-
“ทุกท่าน ทานข้าวกันหรือยังครับ?ผมยังหิวอยู่เลย ถ้ายังไง……กินด้วยกันหน่อยไหม?”
เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงกว่า เยี่ยเทียนก็เดินเข้ามา ด้านหลังยังมีเฉินสี่ฉวนกับหวังเจียซวินและพวกหัวหนัานักพรตเต๋า ข้าง ๆ ร้านกาแฟเป็นภัตตาคารกลาง หลายคนจึงมาที่นี่เพื่อกินข้าวเที่ยง
ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ถังเหวินหย่วนก็ยิ้มลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “ยังไม่ได้กินจริง ๆ ถ้าอย่างนั้นผู้เฒ่าคนนี้ต้องขอขอบคุณเจ้ามือสำหรับมื้อนี้แล้ว……”
“ไม่เป็นไร ๆ แค่อาหารจานด่วนมื้อเดียวเท่านั้น เวลานี้ก็ไม่เช้าแล้ว ทุกท่านเชิญมากินด้วยกันเถอะ!”
แม้เฉินสี่ฉวนจะไม่รู้สถานะของถังเหวินหย่วน แต่เขาก็สามารถดูออกจากท่วงท่าการเคลื่อนไหวที่มีพลังไม่ใช่ดุดัน ชัดเจนว่าเป็นคนที่อยู่ในตำแหน่งสูงเป็นเวลานาน
อาหารจานด่วนที่เฉินสี่ฉวนกล่าวถึง กลับอลังการอย่างมาก ทุกคนบนโต๊ะถูกเสิร์ฟด้วยข้าวต้มหูฉลามก่อน จากนั้นจึงเป็นอาหารจานหลัก อาหารชั้นเลิศจากขุนเขาและท้องทะเลค่อย ๆ ถูกจัดเรียงลงบนโต๊ะ ส่วนเครื่องดื่มนั้นคือเหล้าเหมาไถอายุยี่สิบปี
อย่าดูถูกว่านักพรตอวิ๋นหยางอายุถึงเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว ร่างกายกลับยังแข็งแรงไม่ธรรมดา ที่อาบน้ำเย็นเมื่อครู่นั้นไม่มีผลอะไรกับเขาเลยสักนิด หลังจากจัดวางอาหารอย่างอุดมสมบูรณ์ นอกจากเยี่ยเทียน ก็ไม่มีใครกินมากไปกว่าเขาอีก
ทั้งศาสนาเต๋าไม่มีข้อห้ามเรื่องอาหาร เหล้าเหมาไถทั้งกล่องนั่น จึงถูกนักพรตอวิ๋นหยางกำจัดไปเพียงคนเดียวถึงสองขวด แต่ว่าตาเฒ่าก็ดื่มมากไป ปากเอาแต่โวยวายว่าให้เอาพวกขวดที่เหลือ ๆ อยู่ให้เขานำกลับอารามเต๋า
อาหารมื้อนี้ทุกคนต่างกินกันอย่างไว้เชิง ถังเหวินหย่วนกินข้าวชามเล็กไปหนึ่งชามก็ไม่กินแล้ว อีกทั้งตู้เฟยก็เอาแต่คอยพิจารณาเยี่ยเทียนตลอด หวังว่าจะเห็นโฉมหน้าที่แตกต่างออกไปของเขา
มีเพียงเยี่ยเทียนกับนักพรตอวิ๋นหยาง ที่ไม่เลือกกินสักอย่าง อาการกว่าครึ่งโต๊ะกลับเข้าไปอยู่ในท้องของทั้งสองคน กินถึงที่สุดอย่างไม่เสียดายเงินแม้แต่น้อย
“นักพรตอวิ๋นหยาง ครั้งนี้ต้องขอบคุณท่านมาก นี่คือเงินแปดแสนที่เราตกลงกันไว้ จะนับดูก่อนไหม?” ขณะที่งานเลี้ยงใกล้จะจบ หวังเจียซวินก็ให้คนนำกระเป๋าหนังมาใบหนึ่ง วางไว้ข้างหน้านักพรตอวิ๋นหยาง
เดิมทีเบิกแท่นทำพิธีปลดปล่อยผีพราย นักพรตเต๋าเปิดราคาไว้ที่สามแสน แต่ด้วยการตลบแตลงหลังจากนั้น ขายยันต์กาก ๆ นั่นไปเป็นราคาห้าแสน ดังนั้นรวมทั้งสิ้นแล้วจึงกลายเป็นแปดแสน
ความจริงหวังเจียซวินเองนั้นไม่โง่ ภายหลังชักสังหรณ์ใจว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่เรื่องทั้งหมดก็นับว่าจัดการได้เรียบร้อยสมบูรณ์ เขาเองก็ไม่อยากถือสาหาความ ดังนั้นจึงนำเงินออกมาให้
นักพรตเต๋าสวมชุดคลุมนักบวชที่ถูกซักรีดจนแห้งแล้ว ท่วงท่าอย่างเซียนผู้วิเศษก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ได้ยินแล้วก็ส่ายหน้ากล่าว “ไม่ต้อง ๆ ประสกหวัง เงินก้อนนี้ของประสกบริจาคเป็นค่าธูปอารามไป่อวิ๋น จำนวนเท่าไหร่นั้นรู้อยู่แก่ใจ!”
นักพรตเต๋ากระทุ้งเยี่ยเทียนนิดหนึ่ง พลันออกปากขึ้นมาอีกเสียง “ไอ้หยา ชักไม่สบายท้องขึ้นมาแล้วสิ สหายเสวียนชิง รบกวนเธอช่วยพาอาตมาไปห้องน้ำหน่อยเถอะ……”
หลังจากประคองนักพรตเต๋าเข้าห้องน้ำแล้ว เยี่ยเทียนเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม เอ่ยถามขึ้น “มีอะไรล่ะ ตาเฒ่า?”
“อะแฮ่ม……” อวิ๋นหยางกระแอมในลำคอ กล่าวว่า “สหายเสวียนชิง วันนี้นับว่าเธอช่วยชีวิตอาตมาไว้ พบกันครึ่งทาง แปดแสนนั่น เธอเอาไปสี่แสนเป็นยังไง?”
“เอาเถอะ วันนี้ท่านเองก็ลำบากไม่น้อย แสดงเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่กระโจนลงน้ำให้ผมดูตั้งฉากหนึ่ง สี่แสนนั่นผมไม่เอาหรอก!” เยี่ยเทียนได้ยินก็หัวเราะออกมาเสียงดัง เขารู้แต่แรกแล้วว่านักพรตเรียกตัวเองมาเพื่อแชร์ส่วนแบ่ง
……………………
ตอนที่ 249
กลับถึงร้านอาหาร อาหารที่เตรียมไว้ก็เกือบจะหมดแล้ว
หลังจากที่ส่งอาจารย์หยุนหยางและลูกศิษย์ทั้งสองแล้ว เฉินสี่ฉวนชวนเยี่ยเทียนไปที่ห้องชาชิมชา เดิมทีถังเหวินหย่วนอยากหาที่เงียบ ๆ คุยเรื่องบางอย่างกับเยี่ยเทียน แต่ว่าพอเยี่ยเทียนตอบกลับมา เขาก็ทำได้แค่เดินตามไป
“เยี่ยเทียน เรื่องวันนี้ต้องขอบคุณเธอมาก ๆ เลยนะ ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าเจ้าปีศาจทะเลนั้นจะทำร้ายใครบ้าง”
หลังจากที่นั่งลงมา เฉินสี่ฉวนแสดงความซาบซึ้งใจต่อเยี่ยเทียนก่อน ในตอนนั้นก็หยิบการ์ดออกมาหนึ่งใบ พูดว่า “เยี่ยเทียน เงินไม่มากมาย มีแค่สองหมื่น แต่ก็ถือว่าเป็นน้ำใจเล็ก ๆ ของลุงเฉิน เธอต้องรับมันไว้นะ”
เดิมทีหวังเจียซุนก็จะให้เงินเยี่ยเทียน แต่ว่าโดนเฉินสี่ฉวนตัดหน้าไปก่อน เขารู้ว่าน้องชายตัวเองนี้เป็นคนที่มีน้ำใจไมตรี ไม่จำเป็นต้องให้เงินต่อหน้า ดังนั้นตอนที่กินข้าวก็ให้คนไปทำบัตรสองหมื่นหยวน
“ลุงเฉิน นี่ลุงทำอะไรเนี่ย”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็รู้สึกไม่เข้าใจ ต่อมาใบหน้าก็ขรึมขึ้น พูดว่า “ผมอยู่ที่ภูเขาหิมะพอเวลาเจอเรื่องที่ยากลำบาก ลุงช่วยผมตอนที่ลำบากก็คือต้องการเงินเหมือนกันหรอ”
ใบหน้าที่ตึงเครียดของเยี่ยเทียน บรรยากาศภายในห้องก็ตึงเครียดขึ้นมาทันที คนที่นั่งอยู่ในห้องก็รู้สึกอึดอัดใจขึ้นมา ศิลปินชาที่กำลังเทน้ำชาใส่ถ้วย ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรถึงสั่นไปด้วย
ครั้งแรกของเฉินสี่ฉวนที่เห็นเยี่ยเทียนเป็นแบบนี้ รีบอธิบายไปว่า “เยี่ยเทียน เธอก็รู้ ลุงไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น”
“ไม่ได้หมายความว่าแบบนี้ก็ดี ลุงเฉิน เอาบัตรคืนไป ระหว่างพวกเราจะไม่มีการพูดถึงเรื่องเงิน”
เยี่ยเทียนยิ้มขึ้นมา ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเขานั้น ตอนแรกทำให้ทุกคนรู้สึกอึดอัดใจ ทันใดนั้นความรู้สึกอึดอัดก็ค่อย ๆ หายไป เหมือนกับอาติงคนที่ไม่ได้คิดอะไรอย่างละเอียด เพราะฉะนั้นก็ไม่ได้เอาความกดดันเมื่อกี้มาเชื่อมโยงกันกับเยี่ยเทียน
ผ่านเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ เฉินสี่ฉวนมีความรู้สึกที่แตกต่างในร่างกายของเยี่ยเทียน อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ในเดือนสองที่เยี่ยเทียนเช่าอยู่ก็สามารถจับเป็นเจ้าปีศาจทะเลได้จากทะเลสาบ ไม่ใช่ว่าคนทั่วไปจะสามารถทำได้
และเฉินสี่ฉวนได้สังเกตเห็นว่า ข้อมือขวาของเจ้าปีศาจทะเลตัวนั้นถูกตัดออก แต่ทว่าเขาก็ไม่เห็นอาวุธมีคมอะไรบนตัวของเยี่ยเทียนเลย ท่าทีที่ส่อให้เห็น เยี่ยเทียนก็แค่คนธรรมดาทั่วไป
เป็นเพื่อนกับคนประเภทนี้ ถือว่าปล่อยให้เป็นตามธรรมชาติดีกว่า ดังนั้นเมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว เฉินสี่ฉวนก็ไม่ได้ถือสาอะไร ก็เก็บบัตรขึ้นมา พูดว่า “ดี เยี่ยเทียน ลุงเข้าใจถึงความมีไมตรีของเธอแล้ว”
หลังจากที่เฉินสี่ฉวนพูดออกไปไม่กี่คำ เยี่ยเทียนมองไปที่ถังเหวินหย่วน ถามว่า “ถังเหล่า ถังเหล่า ท่านนี้คือ”
ตู้เฟยรู้จักเยี่ยเทียนเป็นอย่างดี แต่ว่าเยี่ยเทียนไม่เคยเจอเขา ตู้เฟยมีรูปร่างที่ไม่สูง ในตอนนั้นที่อยู่สโมสรอิงหลันก็จะยืนอยู่ข้างหลังคนอื่นตลอด เพราะฉะนั้นเยี่ยเทียนเลยไม่รู้จักเขา
แต่ว่าเยี่ยเทียนรู้สึกได้ถึงปฏิกิริยาบางอย่างสังเกตได้ไม่ยากผู้เฒ่าที่ผอมแต่มีพลังคอยสังเกตเขาอยู่ตลอดตั้งแต่กินข้าวจนตอนนี้ และการสังเกตนั้นยังทำตามอำเภอใจทำจนเกินไป จึงให้เยี่ยเทียนรู้สึกค่อยไม่พอใจ
“เยี่ยเทียน เขาคือคนจากฝั่งทวีปอเมริกาเหนือ ก็ถือว่าเป็นรุ่นน้องของเธอด้วย”
มีคนอยู่ข้างนอก ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับถังเหวินหย่วนที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมา สามารถทำได้แค่ปิดบังตัวตนของตู้เฟย และในตอนที่เขาพูดนั้นก็ตั้งใจมองไปที่เฉินสี่ฉวน
“เยี่ยเทียน พวกเธอคุยกันไปก่อน ฉันออกไปดูสักหน่อย ไม่กี่วันนี้มีเรื่องไม่น้อยเลย”
เฉินสี่ฉวนก็เป็นคนทำที่การค้าขายมาแล้วหลายปี เมื่อได้ยินคำพูดถังเหวินหย่วนนี้ ก็เข้าใจขึ้นมาทันที ถึงแม้ว่าเขากับผู้เฒ่าคนนั้นมีเยี่ยเทียนเป็นรุ่นน้องก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ประหลาดใจอยู่ แต่ก็ยืนขึ้นเพื่อกล่าวคำอำลา
“เอาล่ะ ลุงเฉิน ถ้าอย่างนั้นก็ใช้โอกาสนี้พูดสักคำสองคำ” เยี่ยเทียนพยักหัว “บางเรื่องให้เฉินสี่ฉวนรู้ความจริงก็ไม่ได้ดี อย่าไปคิดว่าตัวเองเป็นสังคมอิทธิพลมืดอะไรนั่นจริง ๆ เลย”
หลังจากที่ส่งเฉินสี่ฉวนออกไป เยี่ยเทียนรู้สึกไม่พอใจพูดออกมาว่า “เฮ้ย ฉันพูดถึงเหล่าถัง ตกลงมันคือเรื่องอะไรกันแน่แกถึงได้ตามมาถึงที่นี้”
จากที่เยี่ยเทียนคิด ถังเหวินหย่วนบอกกับผู้เฒ่านั้นว่าตัวตนของตัวเองที่ช่วยเหลือหงเหมินอยู่ ดังนั้นก็ไม่ปิดบังอีกต่อไป จึงตะโกนฉายาของเหล่าถังออกมา บอกว่าถ้ายึดตามศักดิ์ของตัวเอง ถ้าต้องถูกเรียกว่าปู่เขาก็รับไม่ได้
กับฉายาที่ถังเหวินหย่วนให้กับเยี่ยเทียนก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ในตอนนั้นที่กำลังจะพูด ตู้เฟยก็ยืนขึ้นมาทันที สีหน้าที่ไม่พอใจพูดว่า “เยี่ยเทียน อายุเธอยังน้อย ไม่รู้จักการให้ความเคารพผู้อาวุโสกว่าแล้วแล้วหรอ”
เดิมทีตู้เฟยมีความคิดที่อยู่ในใจเรื่องที่เยี่ยเทียนใช้กลอุบายหลอกลวงถังเหวินหย่วน เห็นเยี่ยเทียนที่พูดจาไม่ให้เกียรติและหยาบคายเช่นนี้ ทันใดนั้นก็รู้สึกทนไม่ไหวขึ้นมาทันที
อีกทั้งตู้เฟยยังรู้ถึงประวัติของตะกูลซ่งอย่างลึกซึ้งอีกด้วย รู้จักสี่ห้าครอบครัว ในความคิดของเขานั้น เยี่ยเทียนคือลูกชายของซ่งเหวยหรัน และก็ถือว่าเป็นรุ่นน้องของตัวเองด้วย เป็นรุ่นพี่ที่ต้องคอยสั่งสอนรุ่นน้อง นั้นก็คือเรื่องของเหตุผลและน้ำใจ
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของตู้เฟย สีหน้าที่เย็นชาของเยี่ยเทียน ก็ไม่ได้สนใจตู้เฟย แต่ทว่ามองไปที่ถังเหวินหย่วน ถามเป็นคำเป็นประโยคว่า “เหล่าถัง ตอนนี้พวกหงเหมินในต่างประเทศ ต่างก็ไม่มีกฎเกณฑ์เช่นนี้”
“พ่อหนุ่ม ให้คนรุ่นฉันหรือผู้ใหญ่ที่บ้านสอนแกเยอะ ๆ หน่อย อะไรที่เรียกว่าทำตามกฎเกณฑ์””
ประวัติของตู้เฟยที่อยู่ในหงเหมินไม่ธรรมดาเลยที่เดียว เขาคือลูกชายของหัวหน้าแกงค์หงเหมิน แต่ว่าพ่อเขาเสียชีวิตไปแล้ว ดังนั้นคนในแกงค์หงเหมินยังให้ความเคารพนับถือกับเขาด้วยเช่นกัน
ถึงแม้ว่าในปีนี้ไล่ตามซ่งอิงหลัน เวลาอยู่ข้างนอกตู้เฟยก็จะถูกเรียกกันปากต่อปากว่าปู่สี่ รับไม่ได้ต่อความผิดพลาดที่ถูกเยี่ยเที่ยนเบียดเบียนการถอนเงินจากธนาคารในตอนนั้นแสดงตัวออกมาทันที มือขวากลายเป็นกรงเล็บ งอนิ้วมือทั้งห้า จิกไปที่ไหล่ของเยี่ยเทียน
จากวันนั้นดูภาพที่บันทึกไว้ตรวจสอบข้อมูลของเยี่ยเทียน ตู้เฟยรู้เลยว่าเยี่ยเทียนมีวิชากังฟู แต่ว่าวิชาพลังกรงเล็บอินทรีของเขาใช้เวลาฝึกมากว่าสิบปีแล้ว สามารถบีบเอาเอ็นกับกระดูกโดยไม่มีพลั้งมือ
อย่าพูดว่าแค่ไหล่ของเยี่ยเทียนเลย ขนาดต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ตู้เฟยก็สามารถจิกต้นไม้ให้หลุดเป็นชิ้น ๆ ได้ เขาสามารถทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกชาและไร้เรี่ยวแรงด้วยกรงเล็บนี้จนอีกฝ่ายต้องร้องขอให้ยกโทษให้
“พลังกรงเล็บอินทรีฉางไป๋ซาน?”
เมื่อเห็นตู้เฟ่ยมือขวาจิกไปที่ไหล่ของตัวเองเร็วเหมือนกับสายฟ้าแลบ เยี่ยเทียนก็ไม่ได้หลบ รอให้พลังกรงเล็บอินทรีของตู้เฟยจิกโดนตัวเองเมื่อไหร่ เขาจะเอนตัวไปด้านหลังและทำให้สามารถหลบกรงเล็บนั้นได้
เยี่ยเทียนก็ยกมือขวาขึ้นมาทันที นิ้วโป้งประกบเข้ากับนิ้วกลาง แล้วดีดกลับไปทางตู้เฟยตอนที่ไม่ทันตั้งตัว
เยี่ยเทียนรู้ว่าตู้เฟยศึกษาตัวเองมาก่อนแล้ว แต่เป็นเพราะว่าเขาเป็นคนที่ชอบลงมือก่อน ดังนั้นก็สามารถดีดไปได้อย่างสบาย เมื่อถูกเยี่ยเทียนดีดใส่นี้ ต่อให้ฝีมือกังฟูที่ตู้เฟยฝึกฝนมากกว่าสิบปีก็ไร้ประโยชน์
พูดความจริงคือ ตู้เฟยอยู่ในยุทธภพมาหลายสิบปี ประสบการณ์ยามประชันหน้ากับศัตรูย่อมต้องเหนือกว่าเยี่ยเทียนอยู่แล้ว
ทันใดนั้นเยี่ยเทียนก็ไปหลบซ่อน แต่ตอนที่เยี่ยเทียนดีดนิ้วออกไปนั้นนิ้วมือยังไม่สัมผัสถูกข้อมือ ผิวหนังก็ค่อย ๆ ปวดขึ้นมา ทันใดนั้นตู้เฟยก็บิดข้อมือ ห้านิ้วกลายเป็นกรงเล็บ หมายความอยากจะจิกนิ้วมือที่ดีดมาของเยี่ยเทียนให้ขาด
ใบหน้าเยี่ยเทียนแสดงรอยยิ้มที่เย็นชา เขาดูกังฟูของฝั่งตรงข้ามออกว่าฝึกจนแข็งแกร่ง นับได้ว่าเป็นคนที่มีวิชาสุดยอดกังฟูขั้นสูงคนหนึ่งเท่าที่ตัวเขาเคยพบเจอ แต่แล้วยังไงเล่า? ยามเมื่อปะทะเข้ากับพลังที่สมบูรณ์ ท่วงท่าในการต่อสู้ก็ไม่ได้สำคัญอะไรเลย
ขณะที่กำลังต่อสู้กันอยู่นั้น ถังเหวินหย่วนไม่มีโอกาสแม้แต่จะเข้าไปห้ามปราม ขณะเดียวกันนิ้วกลางของเยี่ยเทียนก็ปะทะเข้ากับกรงเล็บอินทรีของตู้เฟย
“โอ๊ย…”
ถังเหวินหย่วนก็ไม่คิดว่านิ้วมือของเยี่ยเทียนจะรับกำลังของห้านิ้วได้ เขาหลับตาด้วยความเจ็บปวดทรมาน ถ้าเกิดนิ้วมือของเยี่ยเทียนขาดขึ้นมา ครั้งนี้เขาคงรู้สึกผิดต่อเยี่ยเทียนเป็นอย่างมาก
“นี่…นี่?”
หลังจากที่ถังเหวินหย่วนลืมตาขึ้นมา เขาถึงกับนิ่งอึ้งไปเลย เพราะว่าเยี่ยเทียนยังนั่งอยู่ตรงนั้น หากตู้เฟยกลับถอยห่างจากโต๊ะชาไปสี่ห้าเมตร
“พลังกรงเล็บอินทรีประสานกับเหยี่ยวพลิกตัว ความชำนาญในกังฟูถึอว่าไม่น้อยเลย”
เยี่ยเทียนลุกขึ้นมาและเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งว่า “เจ้าผู้เฒ่าที่ตัวเหมือนเด็ก ทำไมอารมณ์แกถึงได้ฉุนเฉียวขนาดนี้ โตจนป่านนี้ ฆ่าไปแล้วไม่รู้กี่คน วันนี้ก็โดนฉันโค่นกังฟูของแกจนแพ้แล้ว”
เยี่ยเทียนโกรธมากจริง ๆ เขาสามารถรับรู้ได้ถึงพลังกรงเล็บที่ตู้เฟยใช้เมื่อครู่ ถ้าเกิดเปลี่ยนเป็นคนธรรมดาทั่วไป นิ้วกลางของตัวเองอาจถูกอีกฝ่ายหักทิ้งอย่างแน่นอน และผิวหนังของหลังมืออาจถูกจิกออกไป
เยี่ยเทียนกับเขาก็ไม่ได้มีความแค้นต่อกัน แต่ว่าพอตอนลงมือถึงได้โหดเหี้ยมขนาดนี้ พอจะเดาได้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร คนที่ฝึกฝนกังฟูมักจะเป็นคนที่อารมณ์ร้อน ที่เยี่ยเทียนระงับมันไว้ก่อนหน้านี้ แต่เวลานี้ ความโกรธมันกลับพุ่งออกมาทันที
เพียงแต่ว่าเยี่ยเทียนไม่รู้ เดิมทีตู้เฟยใช้พลังแค่สองสามส่วน แต่ที่เขาดีดนิ้วมือนั้น เสียงลมที่มีพลัง การดีดออกมาไวเหมือนลูกกระสูน ทำให้ตู้เฟยต้องใช้พลังที่มีทั้งหมดป้องกันไว้
ถึงเป็นเช่นนั้น ตู้เฟยก็ได้รับแรงกระทบจากพลังเหยี่ยวพลิกตัวออกมาทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่อยากจะล้มเยี่ยเทียน
แต่ว่าในยุทธจักรนี้ต้องมีความขัดแย้งเกิดขึ้น ไม่สนว่าใครจะทำผิดต่อใคร มันต้องผ่านการประลองยุทธ์กันถึงจะรู้ เยี่ยเทียนพูดว่าจะล้มกังฟูของตู้เฟยให้ได้ หน้าของเขาเริ่มไม่ไหวแล้ว พูดออกไปว่า “คุณ คุณจะมาล้มกังฟูของผมเรอะ? งั้นก็มาดูว่าคุณจะมีปัญญาหรือเปล่า”
ทันใดนั้นก็รับรู้ได้ถึงพลังของนิ้วมือนั้น แต่ว่าตู้เฟยก็ไม่กลัว กี่ปีที่ผ่านมาเจอเรื่องอันตรายมานับครั้งไม่ถ้วน ฝึกฝนกังฟูจนถึงขั้นสูงสุด มือนี้พรากไปแล้วไม่รู้กี่ชีวิต ไม่มีทางที่จะกลัวเยี่ยเทียนหรอก
“คุณมันก็กล้าลงมืออย่างโหดเหี้ยมกับคนธรรมดาเท่านั้นล่ะ” เยี่ยเทียนก็ไม่พูดให้เสียเวลา สองขาถีบเข้าไป ร่างกายดั่งพญาเสือลงจากเขา ก็โถมเข้าโจมตีไปที่หัวของตู้เฟย
เยี่ยเทียนไม่เคยเรียนกังฟูของสำนักอื่น วิชากังฟูเดียวที่เขาเรียนรู้ก็คือวิชากายบริหารเบญจสัตว์ที่นักบวชเต๋าสอน แต่หลังจากเยี่ยเทียนทำลายพลังที่ควบคุมเอาไว้และเข้าสู่ช่วงพลังสับเปลี่ยน เขาก็รู้สึกได้ว่ากายบริหารเบญจสัตว์นี้ไม่สามารถทำการต่อสู้ได้จริง
เหมือนกับการต่อสู้นี้ของเยี่ยเทียน เขาเงยหน้ามองขึ้นฟ้าก่อน ต่อมาก็ก้มหน้ามองลงพื้น ดั่งเช่นเสือที่หิวโหย พลังกระจายไปทั่วร่างกาย ปิดตายทุกทางซ้ายขวาหน้าหลังเพื่อไม่ให้ตู้เฟยหลบซ่อน จะมีแต่การเผชิญหน้าอย่างเดียวเท่านั้น
ตู้เฟยที่ยืนอยู่ตรงนั้นมองเห็นเยี่ยเทียนท่าทางที่โถมเข้าโจมตี สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เขามีความรู้สึกเหมือนกับว่ามีพญาเสือลงจากเขาจ้องมองมาที่ตัวเอง ทั่วร่างกายเหมือนโดนพลังของฝั่งตรงข้ามควบคุมไว้
ในเวลานี้ ภายในใจของตู้เฟยมีความรู้สึกเหมือนว่าสัตว์ป่าเผชิญหน้าอยู่กับราชาแห่งสัตว์ร้าย ไม่มีวิธีที่จะต่อต้านและคัดค้านได้เลย
………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น