ท่านเทพมาแล้ว 241-244
บทที่ 241 ภาพหลอนหรือ?
โดย
Ink Stone_Romance
ถึงแม้เห็นหน้าตาเขาไม่ชัด แต่นางรู้สึกได้ว่าเขากำลังมองนางอยู่
ต้องมองนางอยู่แน่ๆ!
นางคิดแล้วไม่ค่อยเข้าใจ
แต่ไม่ว่าพูดอย่างไร ฉากนั้นช่างเร็วเหมือนภาพมายา
ครุ่นคิดแบบนี้อยู่สักครู่ ทิวทัศน์รอบๆ ระหว่างทางกลับเปลี่ยนไปนานแล้ว ภูเขาแม่น้ำเหล่านั้นเหมือนผ้าไหมที่ประดับหินมีค่าภายใต้แสงจันทร์ ส่วนอวี้ตี้ก็เดินทางเข้าประตูสวรรค์แดนตะวันตก กลับไปถึงวังหลิงเซียวตามทางเดิม
นางจัดการอารมณ์เล็กน้อยก่อนเข้าประตูไป
ที่บ้านเสี่ยวซิงเก็บอาหารไว้ให้มู่จิ่ว ตอนที่กำลังคิดว่าจะทำน้ำแกงเห็ดให้นางหรือไม่ก็ได้ยินประตูลานบ้านเปิดออก นางกลับมาแล้ว
“ทำไมถึงดึกขนาดนี้?” เสี่ยวซิงรีบเข้าไปรับ เพียงเห็นสีหน้าอีกฝ่ายนางก็พูดขึ้น “ทำไมสีหน้าแย่เพียงนี้? หรืออวี้ตี้จับเจ้าได้? ด่าทอเจ้าหรือ?”
มู่จิ่วยิ้มพลางพูด “จะเป็นไปได้อย่างไร? จะออกไปครั้งแรกก็ถูกเขาจับได้แล้วที่ไหนกัน”
นางพูดพลางวางกระบี่ลง นั่งลงไปข้างโต๊ะก่อนรินชา
มู่จิ่วไม่รู้ว่าสีหน้าตนเองย่ำแย่ แต่เสี่ยวซิงไม่พูดส่งเดช คิดดูแล้วเรื่องที่ภูเขาไท่ยังทำให้ตกใจออยู่
“หงิงหงิง”
อาฝูกัดชายกระโปรงนางอีก
นางคืนสติกลับมา ที่แท้เสี่ยวซิงวางกับข้าวต่างๆ ขึ้นโต๊ะให้แล้ว
มู่จิ่วกินข้าวเสร็จคิดจะไปพูดคุยกับลู่ยา ลู่ยากลับพารุ่ยเจี๋ยออกไปข้างนอกและยังไม่กลับมา จึงได้แต่กลับห้องไปก่อน
นอนไปได้ตื่นหนึ่ง ราวกับได้ยินเสียงคนผลักประตูเข้ามา จากนั้นเดินมาถึงริมเตียงแล้วลูบหน้าผากนาง แต่ออกไปเมื่อไหร่นางกลับไม่แน่ชัด เมื่อคิดๆ ดูแล้วนอกจากลู่ยาก็ไม่มีคนอื่นอีก ดังนั้นจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
ตอนเช้าตื่นมานางกินโจ๊กไปสองคำก็เตรียมออกไปข้างนอก เพราะต้องรีบไปรายงานหวังหมู่
ตอนกินข้าวพูดคุยกับเสี่ยวซิง ถึงได้รู้ว่าเมื่อคืนพวกลู่ยาอาจารย์ศิษย์กลับมาตอนใกล้สว่าง
แบบนั้นเมื่อคืนวานคนที่ลูบผมนางคือใคร?
นางฝันหรือ?
เมื่อถึงวังหลิงเซียว ผู้ติดตามรู้ว่านางเป็นแขกประจำ จึงไม่ต้องมากความ พานางไปยังหอแสงไสวที่หวังหมู่อยู่ทันที
หวังหมู่กำลังพูดคุยกับองค์หญิงสามเสาอิน ครั้นได้ยินมู่จิ่วมาถึงจึงให้เสาอินออกไป
มู่จิ่วเล่าเรื่องที่อวี้ตี้ไปภูเขาไท่ หวังหมู่ขมวดคิ้วทันที “เจ้าไม่ได้เข้าไปดู?
“ข้าเข้าไปไม่ได้” มู่จิ่วเอ่ยไปตามตรง
หวังหมู่ยิ้มเยาะขึ้นมา “หากเพียงไปพบจินหง ทำไมต้องหลบซ่อนด้วย? จิงหงผู้นั้นกับเขารู้จักกันตั้งแต่เด็ก สักแปดส่วนต้องมีลับลมคมใน!”
แม้มู่จิ่วก็รู้สึกว่ามีลับลมคมในไม่น้อย แต่เรื่องแบบนี้สามารถพูดส่งเดชได้หรือ? ในที่นี้หวังหมู่เป็นคนหนึ่งที่ยุแหย่ไม่ได้ หากทะเล่อทะล่าพูดออกมาคำหนึ่งอาทำให้ตายได้
แต่ถึงแม้เป็นแบบนี้ หวังหมู่ยังพูดอย่างมีเมตตาเพื่อปกปิดอาการจากนางสายลับคนนี้ “เจ้าทำได้ไม่เลว รู้จักว่าการกลบเกลื่อนร่องรอยนั้นสำคัญ กลับไปก่อน สองวันนี้หากมีการเคลื่อนไหวอีกข้าค่อยแจ้งเจ้า” ซ้ำยังตบรางวัลให้ลูกท้อนางสองลูก “เรื่องนี้จัดการเสร็จแล้ว ข้าไม่เพียงคืนผ้าทอสีเหลืองให้เจ้า ถึงเวลานั้นข้ายังอนุญาตให้เจ้ามางานเลี้ยงลูกท้อด้วย”
มู่จิ่วขอบคุณนางจริงๆ
ไม่ว่าอะไรนางก็ไม่อยากได้ หากสามารถทำให้นางไม่ต้องทำเรื่องบ้าบอนี่ แม้แต่ผ้าทอสีเหลืองนางก็ไม่ต้องการ
อย่างไรนางก็ชดใช้ให้ตระกูลอ๋าวมากพอแล้ว หากทำไม่สำเร็จนางก็ไร้ซึ่งหนทาง บันทึกความดีไม่ได้ก็ช่างมันเถอะ นางไม่ต้องการแล้วได้หรือไม่?
แต่ชัดเจนว่าไม่ได้…
มู่จิ่วถือลูกท้อสองลูกออกจากวัง ไปปฏิบัติงานของตนโดยไม่พูดถึงเรื่องนี้
ทว่าลู่ยาก็ยังได้เบาะแสจากน้ำแกงไก่หลินจือที่เสี่ยวซิงห่อให้มู่จิ่วไป
เมื่อกลับถึงห้องค่อยเรียกอาฝู ใช้มือลูบหัวเขาจึงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวาน
หลังมู่จิ่วเลิกงานเขายังไม่พูดอะไร ตอนนางอุ้มลูกท้อคู่หนึ่งมาอวดกับเขาหลังกินข้าวเสร็จ เขาถึงพูด “เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นที่ภูเขาไท่? เจ้าเห็นชัดหรือไม่ว่าเป็นใคร? ฝึกฝนพลังสายไหน?”
เขาทำได้เพียงดึงความทรงจำของอาฝูขึ้นมา แต่ในความทรงจำคนที่โจมตีพวกเขามีเพียงลมขุมหนึ่งเท่านั้น เขาไม่เห็นอะไรเลย
อันที่จริงมู่จิ่วลืมเรื่องนี้ไปแล้ว ได้ยินเขาถามขึ้นมากะทันหันจึงนึกย้อนกลับไปอย่างละเอียด ก่อนกล่าว “มองเห็นไม่ชัดเลยว่าเป็นใคร อีกทั้งพลังบำเพ็ญล้ำลึกไม่อาจหยั่งถึง ตอนนั้นข้าเดาว่าเขามาล้างแค้น แต่ประการแรกคุณสมบัติข้าไม่พอล่วงเกินศัตรูที่แข็งแกร่งขนาดนี้ ประการที่สองคือเขาไม่ได้ติดตามอย่างไม่ลดละ ข้าคิดว่าเขาอาจเป็นมหาเทพอีกคนนอกจากตงเยวี่ยแห่งภูเขาไท่”
“พูดส่งเดช” ลู่ยาขมวดคิ้วมองนาง “ตงเยวี่ยมีเพียงจินหงซื่อที่พลังบำเพ็ญค่อนข้างลึกล้ำ ยังมีมหาเทพอะไรอีก?”
“ไม่แน่ว่าอาจขี่เมฆมาที่นั่นพอดี?” มู่จิ่วพูด “สรุปคือข้าคิดไม่ออก นอกจากข้าไปล่วงเกินเขาโดยไม่รู้ตัวแล้ว ยังมีความเป็นไปได้อื่นใดอีก และอีกอย่าง” นางชะงักก่อนพูดต่อ “หากเขาต้องการทำร้ายข้าจริง เขาก็ไม่มีเหตุผลต้องล้มเลิกไปแบบนั้น”
ส่วนเรื่องที่ภายหลังเขาจ้องมองนาง นางเดาว่าบางทีอาจมีเพียงความเป็นไปได้เดียวคือ ดอกบัวทองบนร่างนางทำให้เขาชะงักไป
นางกล่าวแบบนี้ ลู่ยาก็ไม่ได้พูดอีก สิ่งที่นางพูดก็มีเหตุผล อย่างไรเสียนางก็กลับมาอย่างไร้รอยขีดข่วน แต่ไหนแต่ไรนางไม่เคยเป็นศัตรูกับใคร พลังบำเพ็ญต่ำเพียงนี้ จะล่วงเกินผู้เก่งกาจขนาดนั้นได้อย่างไร
แต่อย่าลืมว่าบนร่างนางมีความลับที่ยังไม่คลี่คลาย ก่อนที่จะคลี่คลายเรื่องพลังฤทธิ์ในร่างนางได้ ก็ไม่ควรมองข้ามความผิดปกติทั้งหลาย
เขาขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพลันเหลือบมองนาง “เจ้านี่นะ ยิ่งนานไปยิ่งทำให้ข้าอยากจับเจ้าเลื่อนขั้นโดยตรงให้จบเรื่องเสียจริง”
“หากทำได้ แบบนั้นก็ดียิ่งนัก!” มู่จิ่วปรบมือพูด “ในที่สุดข้าก็ใช้เส้นสายได้แล้ว!”
ลู่ยาหยิบพัดมาเคาะหัวนาง จากนั้นสะบัดพัดขึ้นมา
ตัวมู่จิ่วเองไม่ได้ผ่อนคลายถึงขนาดนั้น อันตรายในตอนนั้นนางเป็นคนประสบเอง ความลึกลับของฝั่งตรงข้ามก็อยู่ในความทรงจำของนาง แต่วันคืนในสวรรค์สงบสุขเกินไป ความน่ากลัวทั้งหมดค่อยๆ เลือนรางตามกาลเวลาที่ผ่านไป นางลืมเรื่องนี้ไปทีละนิดเช่นเดียวกัน
แต่เห็นได้ชัดว่าหวังหมู่จดจำเรื่องการเดินทางครั้งนี้ของอวี้ตี้ไว้ในใจแล้ว
วันนี้ตอนเช้าหลิวจวิ้นเรียกนางไปที่ห้องทำงาน ต้องการให้พวกเขาสิบสองคนรักษาความปลอดภัยของสวรรค์อย่างเคร่งครัดในหลายวันนี้ หากเกิดคดีห้ามล่าช้า เพราะยูไลฝอจู่พาพระโพธิสัตว์หลายองค์มาเป็นแขกที่สวรรค์ ย่อมไม่อาจให้ชมพูทวีปเห็นว่าทัพทหารสวรรค์ไม่เข้มงวดเรื่องการอารักขาได้
ชมพูทวีปเป็นดินแดนของศาสนาพุทธ ถึงแม้ตามทฤษฎีร่วมปกครองฟ้าดินกับสวรรค์ แต่อย่างไรกำลังอำนาจฝ่ายนั้นก็ไม่อ่อนด้อย และฝอจู่ก็เป็นศิษย์ของหุนคุนจู่ซือ ก่อนกลับไปเกิดได้สร้างลัทธิประจิมกับศิษย์พี่ของเขาจุ่นถีเต้าเหริน ผลกระทบตอนนั้นส่งผลไม่น้อยกับลัทธิฉ่านในตอนนี้ หลังจากไปเกิดแล้วยูไลฝอจู่ยังบรรลุธรรมอย่างไร้ขอบเขตในวิถีพุทธ ว่าไปแล้วเทพบูรพาล้วนต้องให้ความเคารพอย่างสมฐานะ
มู่จิ่วรู้ถึงเหตุนี้ จึงย่อมไม่มีเหตุผลที่จะไม่สนใจ
ทั้งวันนี้นางตั้งอกตั้งใจวางแผนให้ดี ไม่ง่ายเลยกว่าจะจัดการเรื่องราวจนเสร็จถึงบ่าย ถึงค่อยยืดแขนมุ่งหน้ากลับบ้านไป เพิ่งถึงประตูก็เห็นเสี่ยวซิงพารุ่ยเจี๋ยอาฝูไปเดินเล่นที่่ตลาดนอกประตูสวรรค์แดนใต้ นางนั่งอยู่ทั้งวันก็อยากขยับเนื้อขยับตัวบ้าง จึงคิดจะเดินไปตามทาง ไหนเลยจะรู้ว่าเพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว นกปี้ฟางพลันบินเข้ามาตรงหน้า ก่อนจะคาบแขนเสื้อนางมุ่งไปทางสวรรค์
……………………………………………
บทที่ 242 เหนียงเหนียงฉลาดหลักแหลม!
โดย
Ink Stone_Romance
ตอนหวังหมู่เห็นนางเข้าก็หยิบพัดเดินเข้ามา “คืนนี้ฝ่าบาทอาจออกไปข้างนอก เจ้าระวังไว้”
มู่จิ่วสับสน “เหนียงเหนียงรู้ได้อย่างไร?”
ตอนนางเพิ่งเข้ามาเห็นด้านหน้าวังหลิงเซียวยุ่งกันมาก เหล่าเซียนรับใช้หญิงผ่านไปผ่านมา และมีเทพเซียนเพิ่มขึ้นไม่น้อย ดูไปแล้วทุกคนล้วนตื่นเต้นยินดียิ่งนัก แม้แต่ตอนนี้อวี้ตี้จะไปผ่อนคลายที่ห้องภรรยารองยังทำไม่ได้เลย ตอนนี้หวังหมู่ยังสามารถสืบหามาได้ว่าเขายังมีกิจกรรมยามค่ำคืนอยู่อีก ช่างไม่มีใครเทียบเทียมจริงๆ
“เพราะข้าเพิ่งเห็นว่ามื้อเย็นเขาไม่ได้ดื่มเหล้า”
นิสัยแต่เดิมของหวังหมู่ตรงไปตรงมา มิฉะนั้นก็คงไม่มีคนมากเพียงนั้นรู้ว่านางเป็นแม่เสือร้าย ช่วงนี้เพราะส่งมู่จิ่วไปช่วยนางปฏิบัติงานส่วนตัว ความนัยในคำพูดจึงเผยออกมาต่อหน้านางอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว นางแค่นเสียงเยาะเย้ยก่อนพูด “เจ้าคงรู้ ทุกวันกลางคืนเขาต้องดื่มเหล้าครึ่งถ้วย หากเขาไม่ได้ดื่ม แสดงว่ามีปัญหาแน่”
ความใคร่รู้ในท้องของมู่จิ่วเกือบจะพ่นออกมาตรงๆ แล้ว!
เพียงดูสิ่งนี้นางก็เดาได้ว่าคืนนี้อวี้ตี้จะออกไปข้างนอก?
เก่งกาจไปแล้วกระมัง ถึงแม้นางเป็นเทพเซียน แบบนั้นก็น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
หากเพียงเพราะอวี้ตี้งานยุ่งเท่านั้นจึงลืมไปล่ะ?
นางอดเข้าไปใกล้ไม่ได้ พาดแขนลงบนโต๊ะชา “ทำไมเหนียงเหนียงถึงคิดว่าการที่ฝ่าบาทไม่ดื่มเหล้า กลางคืนต้องออกไปข้างนอก?”
มุมปากหวังหมู่ยกยิ้ม จัดกระโปรง นัยน์ตาหงส์เหลือบมองนอกประตูพลางพูด “นิสัยดื่มเหล้ายามค่ำคืนของเขาไม่ใช่มีเพียงข้าที่รู้ คนข้างกายเขาล้วนรู้หมด แต่คืนนี้เขาไม่เพียงไม่ดื่มเหล้า แม้แต่คนรับใช้ข้างกายยังไม่เอ่ยปากขึ้นมา ขนาดถ้วยเหล้าก็ยังไม่ส่งขึ้นไป นี่แสดงว่าเขาต้องสั่งการเรื่องนี้ไว้ก่อน เขาเตรียมการไว้แล้ว”
มู่จิ่วรู้สึกชื่นชมนาง หากมู่จิ่วมีความรอบคอบของหวังหมู่ ไหนเลยตอนนั้นจะทะเลาะกับลู่ยาได้? นางพลันมีใจอยากเรียนรู้ จึงเอ่ย “แต่ถึงแม้ฝ่าบาทต้องออกไปข้างนอกก็ไม่จำเป็นต้องงดเหล้า”
หวังหมู่มองนางก่อนพูดอย่างล้ำลึก “เจ้าว่าเจ้าจะชอบนัดพบคนที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยกลิ่นเหล้าหรือไม่?”
มู่จิ่วนิ่งอึ้ง
มหาเทพคือมหาเทพดังคาด นางยิ่งฟังยิ่งรู้สึกว่ามีเหตุผล…
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร หากได้รับความไว้วางใจแล้วต้องทำอย่างเต็มที่ ในเมื่อหวังหมู่แน่ใจว่าอวี้ตี้ออกไปนัดพบ อย่างไรนางก็ต้องไปเฝ้าอยู่ที่ตำหนัก
แต่เพียงนางคนเดียวจะใช้ได้อย่างไร? ถึงแม้อวี้ตี้ขี่เมฆหนีไม่พ้นหูตาของนาง แต่สวรรค์มีทางออกมากขนาดนี้ หากเขารอบคอบไว้ก่อนออกจากประตูไปล่ะ? เขาสามารถเป็นราชาสวรรค์ได้ต้องไม่ธรรมดา ใครจะรู้ว่าครั้งนี้เขาจะมุ่งไปทางไหน? นางไม่กล้าเดิมพันว่าจะโชคดีเหมือนครั้งก่อน
มู่จิ่วเห็นท้องฟ้ายังสว่างอยู่ จึงก้าวเท้าเร็วๆ กลับบ้านไปขอยันต์จากลู่ยาหลายแผ่นเผื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน
ลู่ยาพูด “ไม่ต้องใช้ยันต์ หากเขาไม่ต้องการให้คนรู้ แน่นอนว่าต้องเลือกหลบซ่อน และถึงแม้หลบซ่อน ฟ้าก็มีการเปลี่ยนแปลง ข้าจะให้คาถาไป เจ้าเพียงกระตุ้นดอกบัวทองที่แขนแล้วซ่อนไว้ใกล้ๆ วังหลิงเซียว หากเขาออกมาต้องมีพลังวิญญาณเคลื่อนไหว เจ้าเพียงตามหาเขาในจุดที่พลังวิญญาณเคลื่อนไหวก็พอ”
มู่จิ่วไม่รู้ว่าดอกบัวทองสามารถรับรู้ถึงพลังวิญญาณได้ นางเลิกแขนเสื้อขึ้นดู ลู่ยาหยิบพู่กันจากบนโต๊ะมาเขียนคาถาบนฝ่ามือนาง ก่อนพูด “กลับมาเร็วหน่อย”
นางเอ่ย “รับทราบ” จากนั้นจึงพาอาฝูออกไป
ครั้นกลับมาถึงด้านนอกวังหลิงเซียว มู่จิ่วกระตุ้นดอกบัวทองที่แขน ปรากฏแสงสีทองลอยออกมาบางๆ ค่อยๆ กลายเป็นเงาแสงอ่อนครอบคลุมไปทั้งวังหลิงเซียว เงานี้ทั้งอ่อนมากและเบามาก กลืนเป็นเนื้อเดียวกันกับเมฆหมอกทีละน้อย ก่อนจะจางหายไป
มู่จิ่วกับอาฝูนั่งอยู่ใต้ต้นแปะก๊วยต้นใหญ่ ต้นแปะก๊วยสูงสี่ถึงห้าจั้ง แผ่ออกเหมือนร่ม ปกคลุมไปไกลหลายลี้
สวรรค์ชั้นเก้าพื้นที่กว้างใหญ่ ด้านหน้าชั้นอันซับซ้อนของสวรรค์กลับไม่โดดเด่นนัก แต่ที่นี่มองเห็นกำแพงวังได้ครึ่งหนึ่ง เป็นที่แอบซ่อนตัวที่ไม่เลว ก่อนหน้านี้หวังหมู่เคยพูดไว้ มู่จิ่วก็เลยอยากดูเสียหน่อยว่าแท้จริงแล้วนางหวาดระแวง หรือสัญชาตญาณของนางแข็งแกร่งถึงขั้นไม่มีใครเทียมแล้ว
ดอกบัวทองบนแขนส่องสว่างน้อยๆ อยู่ตลอด แต่มีเสื้อผ้าบังไว้จึงไม่มีใครเห็น
และอาณาเขตที่แสงดอกบัวทองปกคลุมไว้มีพลังวิญญาณเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา แต่กลับไม่มีอะไรชัดเจนเป็นพิเศษ
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม ตอนที่ดาวบนฟ้าปรากฏออกมา ใกล้ทิศทางของวังจื่อเวยพลันมีพลังวิญญาณเล็กๆ กระเพื่อมขึ้น! พลังวิญญาณที่กระเพื่อมนี้ลึกลับเป็นอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะแสงดอกบัวทองบนแขนพลันสว่างและทิวทัศน์ในสายตาบิดเบี้ยวเล็กน้อย นางก็ไม่อาจค้นพบได้เลย!
วังจื่อเวยเป็นวังบรรทมของอวี้ตี้ พลังวิญญาณนั้นต้องเป็นเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
นางรีบกินยาอำพรางกายที่หวังหมู่ให้มา ก่อนป้อนอาฝู จากนั้นบินไปอย่างรวดเร็ว
ตอนพวกเขาถึงด้านหน้าสวรรค์ พลังวิญญาณนั้นลอยไปนอกวังราวกับดาวตก แล้วจึงมุ่งไปทางเหนือ!
คิดไม่ถึงว่าหวังหมู่จะคาดคะเนได้แม่นยำ อวี้ตี้ออกไปข้างนอกจริงๆ!
พริบตาเดียวมู่จิ่วก็จนคำพูด รีบก้าวขึ้นหลังอาฝูแล้วตามไป
เป็นธรรมดาที่อาฝูจะเทียบความเร็วอวี้ตี้ไม่ได้ แต่ยังดี ขอเพียงไม่เก็บดอกบัวทองบนแขนมา อย่างไรก็สามารถตามรอยได้
การเดินทางครั้งนี้พลิกภูผาข้ามทิวเขา ตอนที่มู่จิ่วกำลังสงสัยว่าเขาจะไปพบสหายที่ภูเขาไหน ทันใดนั้นเขาเปลี่ยนทิศทาง มุ่งไปยังโลกมนุษย์
เขาต้องการไปโลกมนุษย์? มองเซียนหญิงบนสวรรค์จนเบื่อแล้ว ต้องการเปลี่ยนรสชาติบ้างหรือไร?
นี่อดทำให้นางนึกถึงหลี่ว์ต้งปิน[1]ไม่ได้ ดูเหมือนเทพเซียนก็มีความคิดที่จะรักกับมนุษย์!
มู่จิ่วจำต้องตามไปโลกมนุษย์
เมื่อถึงนอกประตูเมือง แสงวิญญาณนั้นลงสู่พื้น พริบตาเดียวก็กลายเป็นร่างคน อวี้ตี้สวมเสื้อไหมสีเงินยวง มือถือพัดท่าทางสง่างาม ผมหวีจนเรียบแปล้เงางาม หนวดเล็กๆ สองฝั่งเรียบร้อย กลิ่นจือหลาน (ไอริสหรือกล้วยไม้) บนร่างลอยมาตามลม บนเอวยังแขวนหยกมังกรหงส์งดงาม ด้านหลังยังตามมาด้วยมังกรทองผู้จงรักภักดี ท่าทางเหมือนผู้ไปคบชู้โดยแท้
มู่จิ่วชะงักร่างอยู่ตรงนั้น อวี้ตี้สั่งให้มังกรทองแปลงร่างเป็นผู้อารักขาแล้วหายวับผ่านกำแพงเมืองเข้าไป
นางมีเรื่องยุ่งยากแล้ว พาเสือขาวมาตัวหนึ่งจะเข้าไปอย่างไร?
นี่เป็นโลกมนุษย์!
ขณะร้อนใจอยู่ นางทำได้เพียงเอาชุดซ่อนเซียนคลุมให้อาฝู จากนั้นนำเขาเข้าประตูเมืองไป
ตอนเข้าประตู นางเงยหน้ามองป้ายด้านบน เมืองหลวงต้าหนิง
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งราชวงศ์แล้ว
การเดินทะลุกำแพงข้ามบ้าน สำหรับพวกเขาไม่เป็นปัญหาเลย เมื่อมาถึงที่นี่ ถ้าต้องการหาร่องรอยเซียนก็สะดวกแล้ว คนธรรมดาไม่มีพลังวิญญาณ ดอกบัวทองไม่มีปฏิกิริยาอะไรกับพวกเขา และอวี้ตี้ปรากฏตัวที่นี่ด้วยร่างจริง บนศีรษะต้องมีไอมงคล เพียงตามไอมลคลในอากาศไปย่อมไม่มีปัญหา
ชัดเจนว่าอวี้ตี้ไม่รู้ตัวว่ามีคนตามรอยเขามาถึงที่นี่ เข้ามาในเมืองก็เดินไปทางถนนใหญ่ทางตะวันออก โลกมนุษย์เป็นกลางฤดูร้อนพอดี ถึงแม้เป็นกลางคืน คนเดินบนท้องถนนกลับยังคึกคัก ร้านรวงสองข้างทางล้วนปิดกันหมดแล้ว แต่ก็ยังมีพ่อค้าเร่ผ่านไปมา อวี้ตี้เดินอยู่ในกลุ่มคนก็ยังดึงดูดสายตา ชายหญิงบนถนนจำนวนไม่น้อยจ้องมองเขา
มู่จิ่วเดินตามรอย ไม่นับว่าใกล้เกินไป และไม่นับว่าไกลเกินไป มีกลิ่นคาวโลกีย์ขวางกั้นอยู่ อวี้ตี้ก็ไม่อาจรู้สึกตัวได้ง่ายขนาดนั้น
…………………………
[1]หลี่ว์ต้งปิน เป็นเซียนองค์ที่สามในแปดเซียน (โป๊ยเซียน)
บทที่ 243 เป็นชายงาม
โดย
Ink Stone_Romance
สุดท้ายตามถึงด้านหน้าประตูเรือนหลังหนึ่ง อวี้ตี้เดินเข้าไป มู่จิ่วมองป้ายบนประตู…ไม่มีป้ายอะไร ดูไม่ออกว่าเป็นบ้านใคร แต่กลิ่นอายที่ออกมาจากด้านในกลับมีพลังแรงกล้า หรือจะเป็นเซียนหญิงลงมาจากสวรรค์?
“เสือขาว?”
ฟากนางกำลังครุ่นคิด ด้านหลังพลันมีเสียงประหลาดใจลอยมา
มู่จิ่วหันตัวไปทันที เห็นเพียงชายหนุ่มอายุราวยี่สิบปีผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างหน้า ใส่เสื้อคลุมผ้าทอสีขาว สวมครอบศีรษะทองที่ประดับด้วยทองแท้ สายคาดเอวหยกไม่มีอะไรประดับ แต่ด้านล่างกลับห้อยสร้อยหยกขาวคู่หนึ่ง…ครั้นมองหน้าตา เหลี่ยมมุมบนใบหน้าชัดเจน สันจมูกตรงและริมฝีปากบางเม้มแน่น นี่คือมาตรฐานของชายหล่อเหลา ไม่จำเป็นต้องพูดมาก เพียงแค่ผมกับคิ้วนั่นก็แยงตายิ่งนัก เพราะเป็นสีเงิน…
มู่จิ่วนิ่งอึ้ง ไม่ใช่เพราะด้านหน้ามีชายงามยืนอยู่ แต่เพราะเขากลับสามารถมองเห็นอาฝู?
เขาไม่เพียงเห็นอาฝูเท่านั้น ตอนนี้สายตายังอยู่บนตัวเขาด้วย
นางรีบกระตุ้นพลังฤทธิ์ ก็สัมผัสได้ถึงขั้นเซียนของเขาทันที จึงรีบประสานมือค้อมตัวทำความเคารพ ย้ายไปที่มุมสงบก่อนพูด “ขอบังอาจถาม ท่านรู้จักเสือขาวนี้หรือ?”
“ไม่” เขาส่ายหัว มองนางพลางตอบ “ข้าไม่รู้จัก เพียงแปลกใจที่เห็นเขาที่นี่เท่านั้น”
น้ำเสียงของชายหนุ่มอ่อนโยน เป็นมิตรอย่างมาก ใบหน้าเจือไปด้วยความกังวล
พูดถึงตรงนี้ สายตาของเขาไปหยุดอยู่ที่อาฝูอีกครา
อาฝูนั่งอยู่บนพื้น แหงนหน้าจ้องอีกฝ่ายเช่นกัน เขาไม่ได้แยกเขี้ยวง้างกรงเล็บเหมือนกับเมื่อก่อนที่เจอคนแปลกหน้า ทำให้มู่จิ่วสับสนนัก
แต่นอกจากเรื่องนี้แล้ว ชายหนุ่มคนนั้นก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรอีก เขาพยักหน้าให้มู่จิ่วแล้วจึงจากไป
มู่จิ่วมองส่งเขาจากไปไกล ก่อนหันกลับมามองเรือนหลังนี้ จากนั้นใช้ดอกบัวทองสำรวจด้านใน สัมผัสได้เพียงว่าอวี้ตี้ยังอยู่ นางมองไปด้านหลัง ก่อนทะลุกำแพงเข้าไปเงียบๆ
ติดตามมาถึงตอนนี้ นี่ถึงจะเรียกว่าเป็นช่วงเวลาที่สุ่มเสี่ยงที่สุด แต่ไม่มีหนทางอื่นอีก สิ่งที่หวังหมู่ต้องการไม่ใช่เขาไปที่ไหน แต่ต้องการรู้ว่าเขาพบใคร นางจึงไม่อาจไม่เข้ามาได้
ในเรือนไม่มีอะไรแตกต่างจากบ้านเรือนปกติ เพียงแต่สิ่งก่อสร้างงดงามประณีตยิ่งกว่า และผู้ที่เดินอยู่ด้านในล้วนเป็นเซียนหญิง แค่นี้ก็ชัดเจนมากแล้ว! อวี้ตี้ต้องย้ายที่พำนักเซียนบนสวรรค์มาที่นี่ เซียนหญิงที่อยู่เต็มลานนี้ ก็เพียงพอจะยืนยันได้ว่าคนที่เขามาพบเป็นผู้หญิง!
มู่จิ่วตื่นเต้นเล็กน้อยเมื่อมาถึงตอนนี้!
หวังหมู่ช่างสังเกตเห็นแม้แต่รายละเอียดเล็กน้อย มิน่าอวี้ตี้ถึงถูกนางควบคุมไว้อยู่หมัดแบบนี้ เพียงอาศัยเรื่องเล็กน้อยที่เขาดื่มหรือไม่ดื่มเหล้า ก็คาดเดาได้ว่าคืนนี้เขาต้องออกไปนอกลู่นอกทางข้างนอก ความสามารถนี้ช่างยอดเยี่ยมนัก! ลู่ยาที่บ้านนางรูปงามขนาดนั้น ถึงแม้เขาไม่ไปเกี้ยวพาราสีคนอื่น ก็กลัวแต่ว่าจะคุมไม่ให้คนอื่นมาเกี้ยวพาราสีเขาไม่ได้ ดูแล้วต่อจากนี้นางคงต้องไปหาหวังหมู่เพื่อเรียนรู้กระบวนท่าเตรียมป้องกันไว้สักหน่อย
นางคิดแบบนี้พลางเดินเข้าไปด้านในอย่างเงียบๆ เห็นด้านในห้องเปิดโล่งบริเวณสวนดอกไม้มีคนนั่งอยู่สองคน ด้านซ้ายที่หันมาทางนี้คืออวี้ตี้ ส่วนเซียนหญิงที่นั่งหันหลังมวยผมสูง บุคลิกน่ารักดึงดูดใจ เพียงแค่มองด้านหลังก็เดาได้แล้วว่าต้องเป็นคนงาม ทั้งสองคนกำลังเดินหมาก สีหน้าอวี้ตี้อบอุ่น กำลังเอ่ยอะไรบางอย่าง ถึงแม้ไม่เห็นว่ามีตัณหาอะไร แต่อย่างน้อยบรรยากาศก็ดีอย่างยิ่ง
มู่จิ่วเครียดอยู่บ้าง
หากเป็นเวลาปกติ นางมักจะโดนพบเจอนานแล้วไม่ใช่หรือ? แต่ตอนนี้นางห่างจากพวกเขาเพียงไม่กี่ลี้ เขากลับไม่สนใจสิ่งใดโดยสิ้นเชิง คาดว่านอกจากหญิงงามคนนี้ก็มองไม่เห็นคนอื่นแล้ว
นางยุ่งอยู่ครึ่งเดือน ในที่สุดก็มีผลลัพธ์ แต่เซียนหญิงผู้นี้เป็นใครกัน?
มู่จิ่วจ้องดอกโบตั๋นที่ปักอยู่หลังศีรษะนาง นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก
เซียนหญิงที่นางรู้จักก็มีไม่มากนัก เซียนหญิงที่ประดับดอกโบตั๋นมีสักหนึ่งร้อยหรือเก้าสิบกระมัง? เรื่องนี้ทำให้นางยุ่งยากเสียแล้ว
ขณะกำลังมองร่างนางอย่างละเอียด ดูว่ามีลักษณะพิเศษอื่นหรือไม่ อวี้ตี้พลันจ้องมาทางนี้ก่อนตะโกนขึ้นมา “ใคร!” คล้อยหลังเขาสะบัดแขนเสื้อ ลมพายุสายหนึ่งพลันโจมตีเข้ามามืดฟ้ามัวดิน!
มู่จิ่วตกใจจนหน้าถอดสี ตาเห็นว่านางกับอาฝูกำลังถูกพัดเข้าไปในลม ยามนี้บนแขนข้างซ้ายพลันมีแสงสีทองสว่างออกมา พริบตาเดียวก็ต้านลมนี้คืนกลับไป! แต่อันตรายยังไม่จบสิ้น นางเพิ่งคืนสติ มังกรทองข้างกายอวี้ตี้ก็พลันโจมตีมาทางนี้!
“ตามข้ามา!”
มีดอกบัวทองอยู่ มังกรทองทำร้ายนางไม่ได้ และนางก็ไม่กลัวถูกคนพบเข้า อย่างน้อยที่สุดก็ไม่กลัวว่าอวี้ตี้จะจำนางได้ แต่ระหว่างกำลังอาศัยแสงทองหนีไป ทันใดนั้นกลับมีมือข้างหนึ่งยื่นจากเงาสีขาวที่วูบผ่านมาด้านข้าง ดึงพวกเขาทั้งสองหายวับไปจากที่นี่
มู่จิ่วกอดคออาฝู รู้สึกเพียงว่าริมหูมีเสียงลมพัด ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้ค่อยๆ หยุดลง นางเงยหน้ามอง ที่แท้ก็มาถึงด้านนอกประตูเมืองหรือสถานที่ที่พวกเขาหยุดก่อนหน้านี้ ทว่านางเพิ่งปรับลมหายใจ ก็ได้ยินเสียงคนล้มลงพื้นด้านข้าง นางรีบร้อนเข้าไปดู เห็นเพียงคนผมขาวเสื้อขาวกุมหัวใจอยู่บนพื้น เป็นชายคนนั้นที่พบนอกเรือนก่อนหน้านี้!
ต่อให้มู่จิ่วลนลานอย่างไรก็รู้ว่าก่อนหน้านี้เขาช่วยพวกนางฝ่าวงล้อมออกมา ครั้นเห็นเขาล้มลงบนพื้น แม้แต่พูดยังพูดไม่ไหว จึงรีบกระโดดลงไปที่พื้น “เจ้าเป็นอะไร?! บาดเจ็บหนักหรือไม่?”
มองไปครั้งนี้กลับทำให้ตื่นตกใจ นางเห็นเพียงสีแดงฉานย้อมอยู่บนหน้าอกเขา ใบหน้าก็ซีดขาวและยังหลั่งเหงื่อเย็นออกมา เมื่ออยู่ท่ามกลางผมขาวยิ่งเสริมให้ดูน่ากลัวขึ้นอีก! นางรีบเอาขวดยาออกมาป้อนยาให้เขาสองเม็ด และรีบขับเคลื่อนพลังให้ยาเข้าไปในชีพจรเขาโดยเร็ว จากนั้นขี่อาฝูมุ่งหน้าไปยังประตูสวรรค์แดนใต้!
ลู่ยาที่อยู่บ้านก็รู้สึกใจไม่สงบอยู่เล็กน้อย ถึงแม้ผังดวงชะตาจะแสดงว่าไม่มีอุปสรรคใด แต่เรื่องเมื่อคราวก่อนยังคงอยู่ในใจเขา ซ้ำยังกลัวว่านางจะพอเจอเรื่องน่าตกใจอะไร ขณะกำลังคิดว่าจะไปรับนางดีหรือไม่ ตอนนี้เองก็ได้ยินเสียงประตูลานถูกเปิดออก จากนั้นเสียงเสือร้องของอาฝูก็ดังเข้ามา ตามด้วยเสียงร้อนรนของมู่จิ่ว “ลู่ยา! เร็วเข้า! มีคนได้รับบาดเจ็บ!”
เมื่อได้ยินคำว่าได้รับบาดเจ็บ ลู่ยาก็มาถึงลานบ้านแล้ว เห็นแต่ร่างกายนางสมบูรณ์ดี ทว่าบนร่างอาฝูกลับแบกคนคนหนึ่งไว้ พลังวิญญาณแตกซ่าน ท่าทางเหมือนได้รับบาดเจ็บ
พวกเสี่ยวซิงล้วนออกมากันหมด ครั้นเห็นอาฝูแบกร่างคนผู้หนึ่งกลับมาก็ตกใจจนอ้าปากค้าง!
“เกิดอะไรขึ้น?” ลู่ยานั่งยองลงไป พลิกร่างคนผู้นี้เข้ามาพลางถามนาง
มู่จิ่วรีบเล่าที่มาที่ไป “แต่เดิมตอนนั้นข้าไม่มีอันตราย ตอนที่กำลังจะถอยไปเขากลับพลันออกมาปกป้องพวกเราทั้งสอง ดอกบัวทองบนแขนทำได้เพียงปกป้องร่างกาย ไม่สามารถช่วยเขาต้านทาน การโจมตีของอวี้ตี้ยังไม่สิ้นสุด ผู้อารักขามังกรทองก็โจมตีเข้ามาอีก จากนั้นเขาก็หมดสติไปแล้ว”
พูดจบนางก็เขยิบเข้ามาใกล้ก่อนเอ่ย “เป็นอย่างไรบ้าง? เขาบาดเจ็บหนักหรือไม่?”
อาฝูก็เกาะแกะเขาพลางเอาแต่ร้องหงิงหงิงอย่างเป็นกังวล
“ไม่หนักมาก” ลู่ยายืนขึ้นมาพลางพูด “เขาเพียงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ปกติหลังจากบำเพ็ญเปลี่ยนร่างเป็นคนแล้ว หากพวกเขาเสือขาวพลังวิญญาณแตกซ่าน สามารถจำศีลในระยะเวลาอันสั้นที่สุดเพื่อฟื้นฟูพลัง ดีร้ายเขาก็เป็นลูกหลานเผ่าพันธุ์เทพสงคราม ถึงอย่างไรการโจมตีครั้งเดียวก็ไม่อาจฆ่าเขาได้”
“เสือขาว?!”
มู่จิ่วอึ้ง “เจ้าพูดว่าอะไรนะ?” เสือขาวคืออาฝู อาฝูไม่ได้รับบาดเจ็บเสียหน่อย!
“ข้าบอกว่าเขาเป็นลูกหลานเชื้อสายเสือขาว มีปัญหาอะไรหรือไม่?” ลู่ยาเงยหน้ามองนาง “หรือเจ้ายังไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร?”
……………………………………………………
บทที่ 244 ข้าชอบหัวไชเท้า
โดย
Ink Stone_Romance
คางของมู่จิ่วเกือบจะร่วงลงไปแล้ว!
ที่แท้คนผู้นี้ก็เป็นเสือขาว! มิน่าเล่า ก่อนหน้านี้เพียงมองครั้งเดียวเขาก็เห็นอาฝูที่อำพรางกายอยู่ ทั้งสายตาก็ยังคงคอยวนเวียนอยู่บนตัวอาฝู!
ไม่แปลกที่ตอนอาฝูเห็นเขาจึงเชื่องเป็นพิเศษ ที่แท้ก็เจอพวกเดียวกันนี่เอง
อาฝูมีพรสวรรค์ล้ำเลิศ เห็นที่มาที่ไปของผู้อื่นได้คร่าวๆ นี่ก็ไม่เลวแล้ว
แบบนี้การที่เขาปรากฏตัวอีกครั้งเพื่อช่วยพวกมู่จิ่ว ก็คงมาเพื่อช่วยอาฝูเช่นกัน!
“รีบพาเขากลับเข้าห้องเร็ว! ซ่างกวนสุ่น เจ้าประคองเขาเข้าห้องอาฝู!” มู่จิ่วรีบออกคำสั่ง จากนั้นสั่งเสี่ยวซิงให้นำน้ำมาล้างมือล้างหน้าให้เสือขาวใหญ่ตัวนี้
ซ่างกวนสุ่นรีบทำตาม อาฝูก็เหมือนจะกังวลอย่างมาก สายตาเหม่อลอยจับจ้องตามเข้าไป
รอจนจัดการเสร็จแล้ว ไม่มีเรื่องอะไรใหม่ มู่จิ่วถึงได้ไปคุยกับลู่ยาที่ห้อง
“เจ้ารู้หรือไม่ ที่แท้อวี้ตี้ไปลักลอบคบชู้จริง ข้าเห็นกับตา” จากนั้นก็อธิบายว่านางตามเขาไปอย่างไรอย่างออกรสออกชาติ แล้วจึงเล่าให้ฟังว่าแผ่นหลังของเซียนหญิงคนนั้นโดดเด่นอย่างไร “คิดไม่ถึงว่าอวี้ตี้คนนี้กลับเหมือนอ๋าวเชิน ไม่สนใจของในบ้าน ต้องออกไปแอบกินข้างนอก!”
พูดไปสายตานางก็เหลือบมองหน้าลู่ยาหลายครั้ง ความนัยกล่าวเตือนนี้จะชัดแจ้งเกินไปแล้ว
ลู่ยาเลี้ยงปลาทองไว้อ่างหนึ่ง เขาถือกะละมังโยนอาหารเข้าไปในอ่างน้ำ พลางพูดอย่างจนปัญญา “เจ้าเพียงแค่เห็นเขาเดินหมากด้วยกันเท่านั้น รู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาต้องเป็นชู้กัน? เจ้าไม่ได้จับเขาตอนลักลอบเล่นชู้ได้พอดีเสียหน่อย”
“ออกจะชัดเจน! เจ้าไม่เห็นแผ่นหลังของเซียนหญิงคนนั้น งดงามเกินไปแล้ว! อวี้ตี้ลอบพบนางที่โลกมนุษย์ลับหลังหวังหมู่กับสวรรค์ ไม่เป็นชู้กันแล้วจะเป็นอะไร?” มู่จิ่วไม่เชื่อว่าสิ่งที่นางเห็นจะไม่ใช่เรื่องจริง และความทรงจำที่ชัดเจนที่สุดของนางคืออากัปกิริยาเย้ายวนของเซียนหญิงผู้นั้น พูดตามจริง อย่าว่าแต่อวี้ตี้เลย หากวางลู่ยาไว้ตรงหน้าเซียนหญิงผู้นั้นก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะไม่หวั่นไหว
“หากเฮ่าเทียนมีใจลักลอบคบชู้จริง ทำไมต้องเลือกตลาดที่คึกคัก? เก้าทวีปสี่ทะเลใหญ่ขนาดนี้ เลือกสุ่มๆ สักที่หนึ่งมิสงบกว่าหรือ?” ลู่ยาป้อนอาหารปลาเสร็จแล้วก็เดินกลับมา บีบแก้มนาง “ใช่ว่าทุกคนชอบแบบงดงามเย้ายวน อย่างข้า ข้าชอบแบบไชเท้าผักกาดขาว”
มู่จิ่วรู้สึกว่าเขากำลังเล่นสำนวนโวหาร
แต่วินาทีถัดมา ใบหน้าของนางกลับทะมึน “เจ้าหมายความว่าข้าเป็นได้เพียงไชเท้าหัวหนึ่ง?”
“แน่นอน ไม่นับว่าเป็นหัวไชเท้าธรรมดา แต่นับเป็นผู้โดดเด่นในบรรดาหัวไชเท้า” ลู่ยาเท้าคางยกยิ้ม “เป็นไชเท้าที่พิเศษมาก”
มู่จิ่วมองเขาอย่างล้ำลึกคราหนึ่ง พลันวิ่งออกไป ก่อนจะหันหน้าวิ่งตึงตังกลับมา แล้วเอาไชเท้าหนาเท่าน่องเจ็ดแปดหัวที่ถอนมาจากในสวนยัดเข้าไปในอกเขาเสียงดังตุบ!
“กัวมู่จิ่ว!”
ลู่ยาที่ถูกไชเท้าถ่วงจนเอวโค้งตะโกนขึ้น
เพราะไม่รู้ว่าเสือขาวใหญ่ตัวนั้นจะตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ มู่จิ่วจึงไม่กล้านอนเร็ว ได้แต่ดูเสี่ยวซิงปักลายดอกไม้ต่างๆ อยู่ในห้อง
ตอนนี้เสี่ยวซิงทำรองเท้าให้ซ่างกวนสุ่น เพราะไม่ได้กลับเนินอารามบ่อยๆ เสื้อผ้าของใช้ของเขาจึงมีไม่เยอะ ยิ่งเป็นคนรักความสะอาดอยู่ด้วย เสี่ยวซิงเห็นว่ามีเวลาว่างจึงทำให้เขา
มู่จิ่วปักผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นเสร็จ ได้มอบให้ลู่ยาไปนานแล้ว ตอนนี้กำลังวาดภาพดอกไม้ให้เขา เพิ่งวาดลายเมฆมงคลได้สองก้อน อาฝูก็ผลักประตู นางจึงออกไปดูด้านนอก เห็นเพียงในห้องเขามีเงาคนเคลื่อนไหว รู้ว่าเสือขาวตัวใหญ่นั่นฟื้นแล้ว ดังนั้นจึงรีบวางพู่กันเดินเข้าไป
รุ่ยเจี๋ยกำลังคุยอะไรกับเสือขาวใหญ่ในห้อง เมื่อเห็นพวกนางมาก็รีบยืนขึ้น
ปกติรุ่ยเจี๋ยตัวติดกับอาฝู เขาจะอยู่ด้วยก็ไม่แปลก
มู่จิ่วเข้าไปใกล้พลางพูด “ท่านไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม?”
เสือขาวใหญ่ยืนขึ้นมา ประสานมือให้นางอย่างสง่างาม “ที่แท้แม่นางเป็นเจ้าหน้าที่ของสวรรค์ ล่วงเกินแล้ว”
มู่จิ่วโบกมือ ทั้งสองฝ่ายนั่งลงแล้ว นางค่อยพูด “ยังไม่ทราบเลยว่าท่านแซ่อะไร? มาจากที่ไหน? ก่อนหน้านี้โชคดีที่ท่านช่วยเหลือไว้ ข้ายังไม่ได้ขอบคุณเลย” ถึงแม้ตอนนั้นไม่ได้อันตรายนัก แต่คนเขามีความตั้งใจดี ทั้งยังได้รับบาดเจ็บ คำพูดเหล่านี้ก็ไม่ต้องสงวนไว้
“ข้ามาจากอาณาจักรโหย่วเจียง..”
“อาจารย์”
เสือขาวใหญ่กำลังพูด เสียงรุ่ยเจี๋ยจากนอกประตูก็ดังเข้ามา ลู่ยารีบร้อนเข้ามาข้างใน ใช้สายตากวาดมองทุกคนรอบหนึ่ง
เสือขาวใหญ่มองเขาอย่างสงสัย ผ่านไปครู่หนึ่งสีหน้าถึงเปลี่ยน พลันคุกเข่าหมอบลงไปที่พื้น “องค์ชายรัชทายาทซื่ออินแห่งโหย่วเจียง เข้าพบเซิ่งจุน!”
พวกมู่จิ่วต่างก็ตกใจ เสือขาวใหญ่ตัวนี้กลับรู้จักลู่ยา? ทั้งยังเป็นองค์ชายรัชทายาทอีก?
“อาณาจักรโหย่วเจียง เจ้าเป็นลูกของไท่ฉี่?” ลู่ยาอึ้งเล็กน้อย
“ใช่ขอรับ! ท่านพ่อพูดเรื่องเซิ่งจุนกับพวกเราพี่น้องบ่อย” ในสายตาของซื่ออินมีความกระตือรือร้น “ท่านพ่อยังบอกอีกว่า ปีแรกๆ ตอนอยู่ที่สวรรค์อันสูงส่งได้รับการชี้แนะจากเซิ่งจุนไม่น้อย”
มู่จิ่วถึงได้รู้ว่าที่แท้พ่อของเขาอาศัยอยู่ที่สวรรค์อันสูงส่งตอนยังเด็ก
ลู่ยาพยักหน้า ในแววตาปรากฏความอบอุ่นอยู่บ้าง ก่อนพูดคุยเรื่องเก่าแก่กับเขา “พ่อของเจ้าสบายดีหรือ?”
ซื่ออินตื่นเต้นอย่างมาก “เซิ่งจุนช่างใส่ใจ พ่อข้าสบายดีขอรับ”
ลู่ยาเรียกให้เขาลุกขึ้นมา เสี่ยวซิงรีบย้ายเก้าอี้มาให้เขานั่ง เพราะได้ยินว่าเขาเป็นองค์ชายเสือขาว และยังรู้จักลู่ยามาก่อน มู่จิ่วอดรู้สึกใกล้ชิดขึ้นมาหลายส่วนไม่ได้ จึงรีบเรียกให้ซ่างกวนสุ่นยกน้ำแกงผลไม้ขนมมา ทั้งยังยกโคมไฟมาหลายอัน ทำให้ห้องสว่างขึ้นมาก
“ทำไมเจ้าไปอยู่ที่โลกมนุษย์ได้?” ลู่ยารู้เรื่องจากมู่จิ่วแล้ว เป็นธรรมดาที่จะสงสัยในการปรากฏตัวของเขา และเขาที่เป็นองค์ชายรัชทายาทของอาณาจักรหนึ่งไม่พาแม้แต่ผู้รับใช้ไป ดูผิดปกติยิ่งนัก
“ข้าออกมานานมากแล้ว” ซื่ออินพูด ขณะเดียวกันความกังวลตรงระห่างคิ้วของเขาชัดเจนขึ้นภายใต้แสงโคมไฟ “ข้ามาเพื่อตามหาภรรยาข้า บังเอิญไปโลกมนุษย์และได้พบเสือขาวน้อยตัวนี้เข้า ดังนั้นจึงหยุดทักทาย ไม่คิดว่าจะเป็นคนข้างกายของเซิ่งจุน”
เขาดูออกว่าความสัมพันธ์ของพวกมู่จิ่วกับลู่ยาไม่ตื้นเขิน เพราะไม่แน่ใจในความสัมพันธ์ จึงทำได้เพียงเรียกว่าเป็นคนข้างกาย
ลู่ยาไม่ใส่ใจอะไร ก่อนเอ่ย “ภรรยาเจ้าไปไหนแล้ว?”
สีหน้าของซื่ออินเศร้าซึมลง มือทั้งสองข้างที่วางอยู่บนเข่ากำแน่นเป็นหมัดโดยไม่รู้ตัว “ข้าก็ไม่รู้ ห้าร้อยปีก่อนนางหายตัวไป ตอนนั้นพวกเรากำลังเตรียมตัวจัดงานแต่งงาน แต่อยู่มาวันหนึ่งนางก็หายตัวไป ห้าร้อยปีนี้ข้าหาไปทั่วทั้งฟ้าดินก็ไม่เจอร่องรอยของนางแม้แต่น้อย ข้าจึงอยากไปดูที่โลกมนุษย์สักหน่อย”
“หายตัวไปกะทันหัน?” มู่จิ่วงุนงง “ไม่มีร่องรอยแม้แต่น้อย?”
“ใช่ขอรับ” ซื่ออินพยักหน้าพลางพูด “ภรรยาข้าเหลียงจี มารดานางเสียชีวิตนานแล้ว แต่เดิมบิดาเป็นนายพลของอาณาจักรโหย่วเจียงของข้า พลีชีพไปในสงครามกับอาณาจักรโหย่วซยง เหลือเพียงพวกนางสองพี่น้องหญิง”
“มารดาข้าพาพวกนางเข้ามาอยู่ในวัง ข้ากับเหลียงจีเติบโตมาด้วยกัน ตั้งแต่เด็กจนโตรู้ใจกันและกันดี ก่อนที่นางจะหายไป พวกเรายังหารือกันเรื่องตกแต่งห้องใหม่อยู่ ข้ารู้ว่าในใจนางมีเพียงข้า ต้องไม่ใช่เพราะการแต่งงานครั้งนี้จึงจากข้าไปแน่ แต่ข้าไม่รู้ว่านางหายตัวไปได้อย่างไร? แท้จริงแล้วไปไหน?”
สายตาของเขาเต็มไปด้วยความสับสน ความเจ็บปวดเปิดเผยออกมาอย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อย
………………………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น