ยอดหญิงสกุลเสิ่น 239.2-240.2

ตอนที่ 239-2 ตบหน้าเพี๊ยะๆๆ

 

อวี้ซื่อสาปแช่งอยู่ในห้องครู่ใหญ่จึงสงบอารมณ์ลงได้ ในตอนนี้เองหย่งหนิงโหวก็เดินมือไพล่หลังเข้ามา อวี้ซื่อตกใจ “ท่านโหวกลับมาได้อย่างไร มีเรื่องอะไรหรือ” นี่ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานเลย!


 


 


หย่งหนิงโหวใบหน้าเคร่งขรึม จ้องมองอวี้ซื่อก่อน จากนั้นจึงโบกมือไล่คนรับใช้ในห้องทั้งหมดออกไป อวี้ซื่อก็ยิ่งประหลาดใจ “ท่านโหว เกิดเรื่องแล้วจริงๆ หรือ” บนใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล


 


 


หย่งหนิงโหวเพิ่งจะมองอวี้ซื่อแล้วกล่าว “ภรรยาอวี้เอ๋อร์กลับบ้านฝั่งมารดาเหตุใดเจ้าถึงไม่ส่งคนไปรับ”


 


 


อวี้ซื่อใจเต้น ท่านโหวรู้แล้วหรือ ท่านโหวที่แต่ไหนแต่ไรไม่ใส่ใจเรือนหลังรู้ได้อย่างไรว่าเสิ่นซื่อกลับบ้านฝั่งมารดา หญิงชั่วหน้าไม่อายคนไหนปากมาก ความคิดแรกของอวี้ซื่อก็คือสตรีหลายคนนั้นในเรือนหลังอยู่ไม่สุขแล้ว


 


 


“ท่านโหวไปฟังมาจากไหน ภรรยาอวี้เอ๋อร์เพียงแค่กลับบ้านฝั่งมารดาไปพักสองวันจะรบกวนท่านโหวได้อย่างไร!” อวี้ซื่อยกยิ้มกล่าว “ท่านโหวเองก็เหมือนกัน เรื่องเล็กเท่านี้รอตกกลางดึกค่อยถามไม่ได้ ท่านโหวถึงกับต้องออกจากที่ว่าการกลับจวนก่อนเชียวหรือ” นางไม่พอใจ


 


 


หย่งหนิงโหวได้ยินดังนั้น คิ้วกลับขมวดมุ่น ยังคงจ้องมองใบหน้าของอวี้ซื่อ “เพียงแค่กลับบ้านฝั่งมารดาไปพักสองวันงั้นหรือ เหตุใดข้าถึงได้ยินว่าแม่สามีเช่นเจ้าตบหน้าภรรยาอวี้เอ๋อร์เล่า นางอับอายรับไม่ได้จึงวิ่งกลับบ้านฝั่งมารดา”


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าของอวี้ซื่อหายวับฉับพลัน “ไหนเลยจะจริงจังอย่างที่ท่านโหวพูด เพียงแค่ภรรยาอวี้เอ๋อร์ไม่รู้ประสา ข้าจึงลงโทษนางเล็กๆ น้อยๆ…”


 


 


“ดังนั้นเจ้าเลยตบหน้านางต่อหน้าบ่าวรับใช้ทั้งห้องงั้นหรือ” หย่งหนิงโหวพูดแทรก


 


 


เผชิญหน้ากับสายตาที่บีบบังคับของท่านโหวของตน ชั่วพริบตาอวี้ซื่อก็ใจฝ่อขึ้นมา ตะโกนอย่างแข็งนอกอ่อนใน “ข้าเป็นแม่สามี สั่งสอนกฎระเบียบลูกสะใภ้แล้วอย่างไร เสิ่นซื่อกำเริบเพียงนั้น เอ่ยปากก็ทำลายชื่อเสียงเฟยเฟย ข้าอบรมนางเล็กน้อยแล้วอย่างไร อยู่ดีๆ ก็กระฟัดกระเฟียดวิ่งกลับบ้านฝั่งมารดา นี่หมายความไม่เห็นข้า แล้วยังไม่เห็นจวนหย่งหนิงโหวของพวกเราอยู่ในสายตา”


 


 


คิ้วของหย่งหนิงโหวขมวดมุ่นยิ่งขึ้น กล่าวอย่างไม่พอใจนัก “เหตุใดเรื่องนี้ถึงได้มีเรื่องของเฟยเฟยเด็กคนนั้นด้วยเล่า”


 


 


อวี้ซื่อถือโอกาสราดน้ำมันบนไฟเล่าเรื่องหนึ่งรอบ กล่าวอย่างเดือดดาล “อย่างไรเสียเสิ่นซื่อผู้นั้นก็มีเจตนาให้ร้าย เฟยเฟยเพิ่งจะอายุเท่าไรเอง เป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง สนิทกับอวี้เอ๋อร์เหมือนเป็นพี่ชายแท้ๆ เหตุใดพอเสิ่นซื่อพูดถึงได้กลายเป็นความคิดสกปรกโสมมเล่า” อวี้ซื่อตำหนิอย่างไม่พอใจ


 


 


นางวางแผนอื่นไว้ให้ลูกน้องสาวผู้นี้แล้ว เฟยเฟยเด็กคนนั้นหน้าตาสะสวย เป็นคู่สมรสที่ดีอย่างยิ่ง บุตรอนุภรรยาหลายคนในจวน หนึ่งคือไม่ค่อยเหมาะสมนัก สองคือนางไม่ถูกชะตา ให้เกียรติพวกนางไม่สู้ให้เกียรติเฟยเฟย อย่างน้อยภายหลังนางมีอำนาจแล้วก็ไม่มีทางลืมนางผู้เป็นป้าได้


 


 


ดังนั้นนางจึงไม่เคยคิดจะแต่งลูกน้องสาวเป็นอนุภรรยาของลูกชาย


 


 


ทว่าหย่งหนิงโหวกลับกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “ภรรยาของอวี้เอ๋อร์พูดถูก เฟยเฟยโตเป็นสาวแล้ว วิ่งไปห้องอวี้เอ๋อร์บ่อยๆ เช่นนี้อย่างกับอะไรดี เจ้าเองก็ไม่พูดบ้างนางกลับทำตัวตามใจ ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ”


 


 


อวี้ซื่อสะอึก กล่าวอย่างไม่ยอม “ท่านโหว อวี้เอ๋อร์กับเฟยเฟยเป็นลูกพี่ลูกน้องแท้ๆ เฟยเฟยไปหาอวี้เอ๋อร์ก็เพียงแค่ให้สอนบทกลอน”


 


 


“ต่อให้เป็นพี่น้องแท้ๆ เจ็ดปียังไม่อาจร่วมโต๊ะอาหาร” หย่งหนิงโหวกล่าวเสียงต่ำ เขาเป็นปัญญาชนที่สุภาพเรียบร้อยที่สุด “นางเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง อ่านหนังสือข้อปฏิบัติสตรีหลักกตัญญูเล็กน้อยก็พอแล้ว สอนบทกลอนอะไรกัน นี่ไม่ใช่ทำให้อวี้เอ๋อร์เสียเวลาทบทวนบทเรียนหรอกหรือ วุ่นวาย วุ่นวายเกินไปแล้ว!”


 


 


เห็นสีหน้าของอวี้ซื่อไม่ดีนัก หย่งหนิงโหวคิดแล้วคิดอีกจึงกล่าว “ลูกน้องสาวผู้นั้นของเจ้าหากอยากเรียนกลอนกวีจริงๆ เจ้าก็เชิญอาจารย์หญิงมาให้นางก็ได้แล้ว ค่าใช้จ่ายแค่นี้จวนหย่งหนิงโหวของข้ายังรับผิดชอบได้”


 


 


หากจ้าวเฟยเฟยอยู่ตรงนี้ คงจะต้องว้าวุ่นใจมากเป็นพิเศษ ใครจะบ้าอยากเรียนกลอนกวีกัน ความปรารถนาของข้าไม่ได้อยู่ที่บทกลอน แต่อยู่ที่ญาติผู้พี่ต่างหาก


 


 


“เช่นนั้นข้าก็ขอขอบคุณท่านโหวก่อนเลย” อวี้ซื่อได้ยินแล้วก็สนใจขึ้นมาทันที เฟยเฟยฉลาดเพียงนั้น หากได้เรียนสักหนึ่งปีครึ่งปี ถึงตอนนั้นได้ชื่อว่าเป็นสตรีผู้มีความสามารถใดๆ การหมั้นหมายก็ยิ่งง่ายดาย


 


 


หย่งหนิงโหวพยักหน้า จากนั้นจึงกล่าว “แม้จะบอกว่าเสิ่นซื่ออารมณ์ร้อนไปหน่อย แต่อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็เป็นความผิดของเจ้า ไม่ต้องให้ถึงพรุ่งนี้ วันนี้เลยแล้วกัน เจ้าพาอวี้เอ๋อร์ไปรับเสิ่นซื่อกลับมาจากจวนจงอู่โหว ให้อวี้เอ๋อร์ขอโทษภรรยาของเขาดีๆ”


 


 


ดวงตาของอวี้ซื่อเบิกโตอย่างรวดเร็ว ประหนึ่งแมวถูกเหยียบหาง “ให้ข้าไปรับเสิ่นซื่อหรือ นางเป็นใครกัน! ท่านโหวท่านไม่รู้ ก่อนหน้านี้แม่นมจวนจงอู่โหวมาโอ้อวดเหิมเกริมที่จวนของพวกเราแล้ว มีหรือที่กลั่นแกล้งคนเช่นนี้ ข้าว่า ในเมื่อวุ่นวายจนเป็นเช่นนี้แล้ว ไม่สู้ขับเสิ่นซื่อผู้นั้นให้สิ้นเรื่อง อวี้เอ๋อร์ของพวกเรามีความรู้ความสามารถ…”


 


 


ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกเสียงขว้างถ้วยชาของหย่งหนิงโหวตัดบทแล้ว “ขับเสิ่นซื่องั้นหรือ เจ้าบังอาจนัก เจ้ามันหญิงโง่ เจ้าไม่ดูเสียบ้างว่าตอนนี้จวนจงอู่โหวเป็นเช่นไร นายท่านผู้เฒ่าโหวเป็นราชครู ไม่เพียงแต่เป็นหัวหน้าขุนนางฝ่าบบุ๋น ซ้ำยังได้รับความเชื่อใจจากฝ่าบาทอย่างยิ่ง เจ้าจะขับหลานสาวของเขา เจ้าจะนำหายนะมาให้จวนหย่งหนิงโหวหรือ”


 


 


สีหน้าของหย่งหนิงโหวไม่ดีอย่างยิ่งแล้ว “เจ้าคิดว่าจวนหย่งหนิงโหวยังเป็นเหมือนยี่สิบปีก่อนหรือ เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าฝั่งเจ้าขับเสิ่นซื่อ ฝั่งเขาก็สามารถแต่งเข้าตระกูลสูงส่งได้ทันที ทั่วทั้งเมืองหลวงอยากเชื่อมสัมพันธ์ทางการสมรสกับจวนจงอู่โหวเยอะถมไป หากไม่ใช่ข้าสนิทสนมกับพี่เสิ่น เขาจะวางใจให้บุตรสาวแต่งเข้าจวนพวกเราหรือ เจ้าที่เป็นแม่สามียังคิดจะบังคับบุตรสาวพวกเขา ข้าเห็นพี่เสิ่นก็รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องแล้ว”


 


 


เดิมทีวันนี้เขาทำงานที่ที่ว่าการ พี่เสิ่นมาหาด้วยตัวเอง ภายใต้ความประหลาดใจเขาจึงต้อนรับอย่างกระตือรือร้น ไหนเลยจะรู้ว่าพี่เสิ่นพูดอ้ำๆ อึ้งๆ บอกเขาว่าบุตรสาวได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมจากแม่สามีในบ้านสามี กลับบ้านไปสองวันแล้ว อีกทั้งยังบอกเป็นนัยว่านายท่านผู้เฒ่าโหวโมโหแล้ว แม้แต่คำพูดว่าหย่าก็เอ่ยออกมาแล้ว


 


 


หย่งหนิงโหวตกใจใหญ่ เรื่องนี้เขาไม่เคยได้ข่าวเลยแม้แต่นิดเดียว! ด้วยอำนาจในตอนนี้ของจวนจงอู่โหว พี่เสิ่นตกลงแต่งบุตรสาวเข้ามาเขาก็ซาบซึ้งอย่างยิ่งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบุตรสาวคนใดก็ตาม อย่างไรเสียเป็นบุตรสาวของพี่เสิ่นก็พอแล้ว


 


 


แม้ชั่วชีวิตนี้ของเขาจะไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก แต่ก็ยังหวังว่าลูกชายจะได้ดี หาบ้านพ่อตาที่มีอำนาจเช่นนี้ให้ลูกชายได้เขาก็พอใจอย่างยิ่งแล้ว เดิมลูกชายก็มีความรู้ความสามารถ บ้านพ่อตาช่วยอีกแรง วันที่จวนหย่งหนิงโหวพัฒนาก็อยู่ไม่นานเกินรอแล้ว! ทุกครั้งที่เขานึกถึงตรงนี้เขาก็รู้สึกว่าชีวิตมีความหวัง


 


 


แม้ว่าเสิ่นซื่อลูกสะใภ้ผู้นี้เขาจะเห็นไม่บ่อยนัก แต่ความประทับใจก็ไม่เลว เคารพเชื่อฟังมีมารยาทฟังว่ายังเชี่ยวชาญบทกลอน เทียบกับความประพฤติของภรรยาตนแล้ว หย่งหนิงโหวไม่เชื่อคำพูดของอวี้ซื่อแม้แต่นิดเดียว


 


 


“เจ้าไม่ไปรับหรือ หรือจะให้ข้าไป” หย่งหนิงโหวกล่าวถาม “หญิงโง่เช่นเจ้าอยากทำลายอวี้เอ๋อร์ใช่หรือไม่ เจ้าเองก็ไม่คิดบ้างว่านายท่านผู้เฒ่าโหวเป็นขุนนางคนสนิทของฝ่าบาท ขอเพียงแค่เขาบอกเป็นนัยต่อหน้าฝ่าบาทเล็กน้อยว่าอวี้เอ๋อร์ครอบครัวแตกหัก อวี้เอ๋อร์จะยังมีอนาคตอะไรได้”


 


 


อวี้ซื่อตกใจอย่างยิ่งทันที “ร้าย…ร้ายแรงเพียงนี้เลยหรือ”


 


 


หย่งหนิงโหวหายใจแรง “ร้ายแรงกว่าที่เจ้าคิดไว้มาก สร้างความประทับใจที่ไม่ดีให้แก่ฝ่าบาท อวี้เอ๋อร์จะดีได้อย่างไร เจ้าลองทำสิ ทำลายอนาคตของลูกเจ้าเอง” หย่งหนิงโหวว้าวุ่นใจยิ่งนัก เหตุใดเขาถึงได้แต่งงานกับหญิงโง่เช่นนี้ ก่อนหน้านี้ก็บีบบังคับอนุภรรยา ตอนนี้ก็บีบบังคับลูกสะใภ้ นางทำเรื่องถูกต้องได้บ้างหรือไม่


 


 


“ท่านโหว ข้าจะไป ข้าจะไปขอโทษเสิ่นซื่อผู้นั้นด้วยตัวเอง” อวี้ซื่อรีบตะโกนกล่าว ตอนนี้นางไม่ห่วงศักดิ์ศรีอะไร แม่สามีอะไรอีกแล้ว ลูกชายคือสิ่งสำคัญของนาง ทั้งยังเป็นที่พึ่งในช่วงชีวิตครึ่งหลังของนาง เพื่อลูกชายแล้วอย่าว่าแต่ให้นางไปขอโทษ แม้จะต้องคุกเข่านางก็กลั้นใจทำได้!


 


 


สีหน้าของหย่งหนิงโหวดีขึ้นเล็กน้อย กล่าวกำชับ “ไปดูสิว่าซื่อจื่ออยู่ในจวนหรือไม่ หากไม่อยู่ก็ไปหาที่ราชวิทยาลัยกั๋วจื่อ” เลี่ยงไม่ให้นานไปยิ่งแย่ รีบไปรับเสิ่นซื่อกลับมาเสียจะดีกว่า


 


 


หย่งหนิงโหวสองสามีภรรยาไม่รู้ว่าลูกชายของพวกเขาร้อนใจยิ่งกว่าพวกเขาเสียอีก


 


 


แม้เว่ยจิ่นอวี้จะยังคงเป็นนักเรียนของราชวิทยาลัยกั๋วจื่อ แต่เรียนมาถึงระดับนี้เขาก็ไม่จำเป็นต้องมาราชวิทยาลัยกั๋วจื่อทุกวัน วันนี้เขานำบทความหลายเล่มที่ตนเขียนในช่วงนี้มาขอคำแนะนำจากอาจารย์ที่ราชวิทยาลัยกั๋วจื่อ ถือโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อนร่วมชั้นเรียนด้วยเล็กน้อย ขณะที่กำลังถกเถียงกันอย่างออกรถออกชาติ น้องชายคนเล็กของภรรยาเขาก็เข้ามาหา เอ่ยปากก็ถามว่าเขาใช่ต้องการหย่ากับพี่ห้าของเขาหรือไม่


 


 


คำพูดเดิมของเสิ่นเจวี๋ยพูดเช่นนี้ “พี่เขย แท้จริงแล้วตระกูลพวกท่านคิดเช่นไรกันแน่ หากตระกูลพวกท่านไม่ชอบพี่ห้าของข้าจริงๆ ท่านปู่ก็บอกว่าสามารถหย่าได้ แม่สามีทรมานพี่ห้าของข้าเช่นนี้เพื่ออะไร ตบหน้าลูกสะใภ้ เรื่องนี้อย่าว่าแต่ตระกูลใหญ่ตระกูลโตไม่มี ต่อให้เป็นครอบครัวชาวนายังหายากเลย! นายท่านจวนจงอู่โหวของพวกข้ายังไม่ตาย พี่ห้ากลับบ้านมาสองวันแล้ว จวนท่านไม่ถามไม่ไถ่ หมายความว่าอย่างไรท่านบอกได้หรือไม่”


 


 


ให้ตายเถอะ เรื่องนี้ใหญ่จริงๆ! เว่ยจิ่นอวี้รู้สึกเพียงสายตาที่เพื่อนร่วมชั้นมองเขาแปลกขึ้นมาทันที ถูกน้องชายภรรยามาหาถึงราชวิทยาลัย ใบหน้าของเขาก็ร้อนผ่าว เขาคิดจะหาที่ลับตาพูดคุย แต่น้องภรรยาผู้นั้นดันไม่ยอม “คนของจวนจงอู่โหวของพวกข้าต่างก็มีนิสัยตรงไปตรงมา ไม่มีเรื่องใดที่ไม่พูดต่อหน้าคนไม่ได้ มีอะไรพวกเราก็พูดออกมาอย่างเปิดเผยบริสุทธิ์ใจสิ! พี่เขยห้า เหตุใดแม่สามีถึงตบพี่ห้าของข้าเล่า” เสิ่นเจวี๋ยถามด้วยใบหน้าจริงจัง “แม้พี่ห้าของข้าจะโมโหง่าย ทว่าแต่ไหนแต่ไรก็รักษากฎระเบียบดีอย่างยิ่ง กตัญญูต่อผู้อาวุโส คนที่ท่านย่ารักที่สุดในจวนก็คือนาง”


 


 


เว่ยจิ่นอวี้รู้สึกว่าสายตาที่สาดมาบนร่างเขาร้อนผ่าวยิ่งขึ้น ทำได้เพียงอดทนอธิบาย “น้องเจวี๋ย เจ้าเข้าใจผิดแล้ว พี่กับพี่ห้าของเจ้าทะเลาะกันเพียงไม่กี่ประโยค ไม่เกี่ยวกับท่านแม่จริงๆ” ภายใต้สายตาที่จับจ้อง เว่ยจิ่นอวี้ไม่โง่ จะยอมรับว่าแม่เขาตบหน้าภรรยาเขาได้อย่างไร ย่อมต้องรับความผิดไว้เอง ระหว่างสามีภรรยาคู่ใหม่มีปากเสียงกันก็เป็นเรื่องที่ธรรมดาอย่างยิ่งมิใช่หรือ


 


 


ทว่าเสิ่นเจวี๋ยกลับไม่คิดจะทำให้เขาสมปรารถนา “ผู้อาวุโสในตระกูลถามพี่ห้าแล้ว พี่ห้าเอาแต่ร้องไห้ ไม่ยอมพูดแม้แต่ประโยคเดียว ยังคงเป็นท่านย่าที่เห็นรอยฝ่ามือบนใบหน้าของนางจึงไต่ถามสาวใช้ข้างกายนาง ฟังว่าแม่สามีไม่พอใจสินเดิมของพี่ห้าข้าอย่างยิ่ง พี่เขยห้ามีเรื่องเช่นนี้หรือไม่”


 


 


ไม่รอให้เว่ยจิ่นอวี้ตอบเขาก็กล่าวต่อ “สินเดิมของพี่ห้าข้าก็ไม่ได้น้อยมิใช่หรือ แม้จะพูดไม่ได้ว่าดีที่สุด แต่ก็เยอะกว่าสินเดิมทั่วไปแล้ว! แม่สามีอยากได้เท่าไรกัน พี่เขยห้าท่านบอกจำนวนมาก ข้าจะกลับไปพูดกับผู้อาวุโส เพิ่มเติมให้พี่ห้าอีกหน่อย ไม่อาจปล่อยให้ของนอกกายมาทำให้ท่านพี่ถูกทรมานที่บ้านสามีได้กระมัง”


 


 


“ไม่…ไม่มีเรื่องเช่นนี้…” เว่นจิ่นอวี้ที่ปกติพูดจากคล่องแคล่วอย่างยิ่งกลับเค้นประโยคนี้ออกมาอย่างอ้ำอึ้ง น่าขายหน้าเกินไปแล้ว อึดอัดใจเกินไปแล้ว เขากระทั่งได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของเพื่อนร่วมชั้นเรียนข้างหลัง เขาอยากหนีไปให้เร็ว แต่น้องภรรยาผู้นั้นของเขาก็ขวางอยู่ข้างประตู เขาหนีไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิง “น้องเจวี๋ย เจ้าเอาที่ไหนมาพูด แต่ไหนแต่ไรสินเดิมของสตรีเป็นทรัพย์สินส่วนตนของตัวเอง สินเดิมของพี่เจ้ามากน้อยพวกข้าย่อมไม่สนใจอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นข้าเว่ยจิ่นอวี้เป็นสุภาพบุรุษจะคำนวณสินเดิมของภรรยาทำไมกัน” เขากล่าวอย่างมีเหตุผลและสัจธรรม


 


 


เสิ่นเจวี๋ยแสยะปาก “มีเรื่องนี้หรือไม่ก็มีเพียงจวนพวกท่านที่รู้ดี อย่างไรเสียคำพูดนี้ท่านย่าก็บีบบังคับออกมาจากปากสาวใช้ข้างกายของพี่ห้า อ้อ ฟังว่าในจวนพวกท่านยังมีคุณหนูฝั่งมารดาที่สร้างความวุ่นวายผู้หนึ่ง พี่ห้าข้าเห็นแล้วไม่ชอบใจจึงว่านางไม่กี่ประโยค จากนั้นแม่สามีก็หนุนหลังคุณหนูฝั่งมารดาตบหน้าพี่ห้าของข้า เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่”


 


 


คนอื่นๆ ในห้องเรียนได้ยินคุณหนูฝั่งมารดาอะไรนั่น สายตาที่มองเว่ยจิ่นอวี้ก็ลุกวาวในชั่วขณะ บ้างก็อิจฉา บ้างก็ดูถูก


 


 


ส่วนเว่ยจิ่นอวี้ก็อึดอัดจนหน้าแดงก่ำ “หวังว่าน้องเจวี๋ยจะปรานีบ้าง เหตุใดถึงทำลายเชื่อเสียงสตรีต่อหน้าผู้อื่นเล่า”


 


 


เสิ่นเจวี๋ยเก็บสีหน้าท่าทางของคนทั้งหมดไว้ในสายตา ไม่สนใจเว่ยจิ่นอวี้ผู้นั้นอย่างสิ้นเชิง “หรือว่าข้าไม่ได้พูดความจริง คุณหนูฝั่งมารดาผู้นั้นในจวนท่านไม่ใช่อายุสิบสามสิบสี่ปี แต่อายุสามสี่ปีหรือไร ไม่น่าใช่ คราวก่อนพี่ห้าข้ากลับมาแม่สามียังให้คุณหนูฝั่งมารดามาเยี่ยมด้วยอยู่เลย” เสิ่นเจวี๋ยแสดงท่าทีสับสนงุนงง ทำให้มีคนหัวเราะคิกคัก


 


 


“ข้าต้องติพี่เขยสักหน่อย สตรีน่ะต่างก็ชอบมีนิสัยหึงหวง หวงแหน คุณหนูฝั่งมารดาไม่รู้ประสา พี่เขยท่านก็ไม่รู้ประสาด้วยหรือไร ชายหญิงอยู่ร่วมกันในห้องสองต่อสองเช่นนั้น พี่ห้าข้าเห็นแล้วจิตใจจะรับได้อย่างไร พี่ห้าข้าใส่ใจท่าน ท่านทำเช่นนี้ต่อนางได้อย่างไร นางโมโหจนกลับบ้านฝั่งมารดาสองวันแล้ว ท่านยังไม่ได้ดูนางเลยสักนิดเดียว ท่านเองก็ไร้เมตตาเกินไปหน่อยหรือไม่”


 


 


เสิ่นเจวี๋ยไม่สนว่าเว่ยจิ่นอวี้จะลำบากใจหรือไม่ อย่างไรเสียเขามีอะไรก็พูดออกมา หนุนหลังพี่น้องในจวน ก็ต้องพูดความผิดของฝ่ายตรงข้ามออกมา แล้วจึงพูดความไม่เป็นธรรมที่พี่น้องของตนได้รับออกมามิใช่หรือ


 


 


เว่ยจิ่นอวี้อยากวิ่งหนีออกไปจริงๆ เขาหมดหนทางจะพูดอธิบายความรู้สึกในตอนนี้ของตน คนมีหน้ามีตาเช่นนี้ถูกคนขวางไว้ในห้องชี้จมูกด่า ซ้ำยังทำต่อหน้าเพื่อนร่วมชั้น ต่อจากนี้จะให้เขาเงยหน้าขึ้นอย่างไร


 


 


โชคดีที่เด็กรับใช้ที่จวนหย่งหนิงโหวส่งมาช่วยเขาไว้ได้พอดี “ท่านซื่อจื่อ ท่านโหวหาท่านอยู่ รีบกลับจวนเถิดขอรับ”


 


 


ดวงตาเว่ยจิ่นอวี้เป็นประกายทันที นี่เป็นคำพูดที่ดีที่สุดที่เขาได้ยินมาตลอดชีวิตแล้ว


 


 


เสิ่นเจวี๋ยเห็นว่าที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว จึงรีบกล่าว “พี่เขยห้ารีบกลับไปเถิด ไปปรึกษากับท่านโหวและแม่สามีให้ดีๆ น้องจะกลับจวนไปรอข่าวจากท่านก่อน” ประสานมือหันหลังจากไปด้วยความสง่าผ่าเผย

 

 

 


ตอนที่ 240-1 ความร้าวฉานก่อตัว

 

เสิ่นเจวี๋ยหันหลังเดินออกไปอย่างสง่าผ่าเผย เว่ยจิ่นอวี้ไม่มีแม้กระทั่งความกล้าหาญจะหันหลังกลับมาเผชิญหน้ากับเพื่อนร่วมชั้นของตนเอง แต่ไหนแต่ไรเขาให้ความสำคัญต่อภาพลักษณ์ ตั้งแต่วันนี้ผู้อื่นจะมองเขาเช่นไร


 


 


ใช้กำลังมหาศาลเขาจึงควบคุมอารมณ์ตนเองไว้ได้ หันหลังกลับก้มหน้า “ทำให้ทุกท่านหัวเราะเยาะแล้ว” ไม่กล้าแม้กระทั่งเงยหน้ามองสีหน้าของพวกเขา จากนั้นก็ก้าวยาวออกไปแล้ว


 


 


เดือนห้าอากาศร้อน ทว่าเว่ยจิ่นอวี้กลับหนาวไปทั่วทั้งร่าง คุณชายผู้งามสง่า เกิดเรื่องในวันนี้เขาเกรงว่าเขาจะต้องกลายเป็นตัวตลกในเมืองหลวงแล้วกระมัง ไหนเลยจะเป็นคุณชายผู้งามสง่าอะไรได้อีก แต่ว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ท่านแม่หรือ เสิ่นซื่อหรือ เขาควรจะโทษใคร


 


 


“พี่เว่ย พี่เว่ย!” เว่ยจิ่นอวี้กำลังเดินไปข้างหน้าอย่างมึนงง ข้างหลังก็มีเสียงเรียกของสหายหงเทาดังขึ้น เขาหยุดฝีเท้าอย่างอดไม่ได้


 


 


หงเทาวิ่งตามมาอย่างกระหืดกระหอบ บนใบเน้าเต็มไปด้วยความกังวล “พี่เว่ย เหตุใดเจ้าถึงเลอะเลือนเช่นนั้นเล่า”


 


 


“หืมม์” เว่ยจิ่นอวี้ยังคงมีท่าทางงุนงง


 


 


“พี่เว่ย ไม่ใช่ข้าว่าเจ้า เรื่องนี้เป็นตระกูลเจ้าที่ทำไม่ถูกจริงๆ ฮูหยินพี่สะใภ้เป็นคุณหนูของจวนโหว ท่านป้าลงมือได้อย่างไร ลงมือ…เหตุใดเจ้าถึงไม่ห้ามสักหน่อยเล่า” หงเทาไม่กล้าพูดคำว่าตบหน้าสองคำนี้ออกมา เรื่องนี้น่าตกใจเกินไปแล้วจริงๆ แม่สามีลูกสะใภ้ไม่ถูกกันมีเยอะถมไป แต่ไม่เคยได้ยินว่ามีแม่สามีที่ไหนไม่ให้เกียรติลูกสะใภ้เช่นนี้ ใครจะยังกล้าแต่งบุตรสาวเข้าไปอีก!


 


 


เพราะว่าชื่อเสียงในเมืองหลวงของเสิ่นเสวี่ยไม่เลวมาโดยตลอด หงเทาจึงมีความประทับใจต่อนางดีอย่างยิ่ง “แม้สตรีจะมีนิสัยหึงหวง หากฮูหยินพี่สะใภ้โมโหกลับบ้านฝั่งมารดาเพราะเรื่องอื่นยังพอว่า สองวันเจ้าค่อยไปรับก็ไม่เป็นไร แต่เป็นเพราะเรื่องนี้กลับไม่ได้ เจ้าจะให้บ้านพ่อตามองเจ้าอย่างไร เขาทำได้เพียงคิดว่าเจ้าดูถูกเขา พี่เว่ย เรื่องนี้เจ้าทำผิดมหันต์แล้ว” หงเทาร้อนใจแทนเพื่อนสนิทของตนเอง


 


 


“ผิดหรือ” เว่ยจิ่นอวี้กล่าวตามจิตใต้สำนึก เหตุใดถึงเป็นความผิดเขาเล่า ไม่ใช่ท่านแม่กับเสิ่นซื่อที่ก่อเรื่องหรอกหรือ


 


 


“ผิดสิ” หงเทาพยักหน้าอย่างมั่นใจ “พี่เว่ยวันนั้นเจ้าก็ควรไปรับที่หน้าประตูแล้ว วางท่าทางถ่อมตัว ยอมโดนตียอมโดนด่า อย่างไรเสียฮูหยินพี่สะใภ้ก็ได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง ท่านมีท่าทีจริงใจ ในใจผู้อาวุโสก็ยอมรับได้แล้ว! เกียรติก็ให้แล้วความรู้สึกก็ปรับแล้ว เรื่องนี้ก็จบแล้วมิใช่หรือ” หงเทาอธิบายแก่สหาย


 


 


ทว่าเว่ยจิ่นอวี้กลับยังคงไม่เข้าใจนัก น้องชายภรรยาตำหนิว่าเขาผิด สหายคนสนิทก็บอกว่าเขาผิดเช่นกัน เขาเองก็รู้สึกว่าตนคล้ายกับผิด เพียงแต่เขาไม่เข้าใจว่าตนผิดตรงไหน


 


 


อันที่จริงนี่เองก็โทษเขาไม่ได้ เริ่มร่ำเรียนตั้งแต่อายุสามปีเขาก็ตั้งใจเรียนมาโดยตลอด ไม่ได้รับรู้เรื่องเหล่านี้ในเรือนหลังอย่างสิ้นเชิง หงเทากลับไม่เหมือนกัน เขาเป็นลูกคนเล็ก ในตระกูลยังมีพี่ชายมารดาเดียวกันสองคน มารดาเขาไม่ถูกกับพี่สะใภ้สองคนของเขา วันทั้งวันทะเลาะบ้านแตกสาแหรกขาดเพราะเรื่องเล็กๆ เขาที่เป็นลูกชายคนเล็กจึงต้องไปปลอบขวัญมารดา ฟังเหล่าพี่ชายระบายความทุกข์มิใช่หรือ เรื่องเหล่านี้เขาเห็นจนชินแล้ว นานวันเข้าก็ค่อยๆ เข้าใจ


 


 


หงเทาเห็นท่าทีก็ถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ รู้ว่าสหายเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวในจวน ไม่เข้าใจเรื่องซับซ้อนเหล่านี้ในเรือนหลัง จึงกล่าว “เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึงแล้ว พี่เว่ยเจ้ารีบกลับจวนไปปรึกษาท่านโหวแล้วรับฮูหยินพี่สะใภ้กลับมาเถิด”


 


 


เว่ยจิ่นอวี้พยักหน้า “ขอบคุณพี่หงที่แนะนำอย่างจริงใจ” หันหลังกลับล่องลอยไปข้างหน้าด้วยความสับสนอย่างยิ่งต่อ หงเทาที่มองอยู่ข้างหลังเป็นกังวลยิ่งนัก


 


 


ในห้องหนังสือส่วนพระองค์ ฮ่องเต้ยงเซวียนนั่งอยู่หน้าโต๊ะส่วนพระองค์ตั้งใจอ่านสาส์นกราบทูล บางครั้งก็เหลือบมองหลานชายที่สีหน้าเรียบเฉย ภายในห้องเงียบสงัดอย่างถึงที่สุด มีเพียงเสียงเปิดอ่านสาส์นกราบทูลของฮ่องเต้ยงเซวียน


 


 


“พูดมา วันนี้เจ้ามีเรื่องอันใด” ด้วยนิสัยของหลานชายเขาสามารถนั่งอยู่ที่นี่ทั้งวันได้ ฮ่องเต้ยงเซวียนทำได้เพียงเอ่ยปากก่อน


 


 


สวีโย่วเหลือบตาขึ้นมองฮ่องเต้ยงเซวียน “เป็นเรื่องเล็กน้อย” หยุดครู่หนึ่งจึงกล่าว “เกี่ยวกับหลานสะใภ้ของท่าน”


 


 


“คุณหนูสี่ตระกูลเสิ่นหรือ ทำไมเล่า นางเล่นลูกไม้อะไรอีกแล้ว” ฮ่องเต้ยงเซวียนอดขึ้นเสียงสูงไม่ได้ ทว่าในดวงตากลับมีความสนใจ ไม่ผิดที่ฮ่องเต้ยงเซวียนจะคิดเช่นนี้ ช่วงนี้ข่าวลือกับเรื่องตลกในจวนจิ้นอ๋องดังออกมาไม่ขาดสาย ฮ่องเต้ยงเซวียนกระทั่งไม่ต้องส่งคนไปสืบก็รู้ว่านี่ล้วนเป็นฝีมือหลานสะใภ้ผู้นั้นของเขา


 


 


คุณหนูสี่ตระกูลเสิ่นเป็นใคร สามารถคว่ำแคว้นซีเหลียงได้ พระชายาจิ้นอ๋องหญิงโง่ผู้นั้นยังคิดจะบีบบังคับนางงั้นหรือ ดูสิ ถูกเปิดโปงอดีตเผยโฉมหน้าแล้วมิใช่หรือ


 


 


ฮ่องเต้ยงเซวียนทอดถอนใจไปพลางดูความสนุกไปพลาง ในใจรู้สึกดีอย่างยิ่ง! หากจะพูดถึงสตรีที่ฮ่องเต้ยงเซวียนรังเกียจที่สุดก็คงจะขาดพระชายาจิ้นอ๋องซ่งซื่อไปไม่ได้ เพราะหญิงคนนี้ น้องชายแท้ๆ ของเขาจึงเหลวแหลก อ้อ ยังมีต้วนซื่อ แม้เขาจะไม่มีความคิดเห็นอะไรกับต้วนซื่อ แต่อย่างไรเสียก็มีมิตรภาพที่เติบโตมาด้วยกัน ต้วนซื่อเองก็นับว่าตายในน้ำมือของซ่งซื่อ ฮ่องเต้ยงเซวียนจะมีความรู้สึกดีต่อซ่งซื่อได้อย่างไร


 


 


เขาเป็นฮ่องเต้แห่งรัชสมัย ซ่งซื่อก็กลายเป็นน้องสะใภ้ของเขา เขาย่อมไม่อาจลดตัวลงไปจัดการนาง แต่เห็นหลานสะใภ้จัดการนาง เห็นซ่งซื่อเสียหน้า เขาก็ยังคงดีใจอย่างยิ่ง


 


 


ใบหน้าหล่อเหลาของสวีโย่วอดกระตุกไม่ได้ อะไรคือเล่นลูกไม้อีกแล้ว น้องสี่ของเขาเป็นเด็กดีที่สุดรู้หรือไม่


 


 


“เรื่องเป็นเช่นนี้ หลานสะใภ้ท่านก่อตั้งกองทหารเด็กสี่ร้อยกว่าคนหนึ่งกลุ่มที่ซีเจียงมิใช่หรือ ตอนนี้กองทหารเด็กเหล่านั้นมาเมืองหลวงขอพี่พึ่งคุณชายสี่ของพวกเขาแล้ว เรื่องใหญ่เช่นนี้ หลานก็ควรมารายงานท่านสักคำมิใช่หรือ ถือโอกาสขอความคิดเห็น” สวีโย่วกล่าวอย่างสงบนิ่ง


 


 


“อ้อ มีเรื่องนี้ด้วยหรือ” ฮ่องเต้ยงเซวียนประหลาดใจเล็กน้อย และสงสัยเล็กน้อย เรื่องกองทหารเด็กตอนแรกเขาก็ทราบเช่นกัน ซ้ำยังเคยชื่นชมอีกด้วย “มาจริงหรือ แอบมาหรือ เป็นคนเช่นไรก็นำทัพเช่นนั้นจริงๆ” ฮ่องเต้ยงเซวียนเดาได้ว่ากองทหารเด็กกลุ่มนี้ไม่ได้มาอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้ง


 


 


สวีโย่วมองฮ่องเต้ยงเซวียนปราดหนึ่ง อะไรคือเป็นคนเช่นไรก็นำทัพเช่นนั้น นี่ไม่ใช่หมายความว่าน้องสี่ของเขาสร้างความไม่พอใจหรอกหรือ แม้น้องสี่ของเขาจะชอบเล่นไปหน่อย แต่ก็ฉลาดอย่างยิ่ง เสด็จลุงกำลังมีอคติกับภรรยาของเขา!


 


 


“มาหมดแล้วพะยะค่ะ อยู่ที่นอกเมือง คาดว่าก่อนอาทิตย์ตกจะสามารถมาถึงจวนจวิ้นอ๋องได้ หลานคิดว่า หลานกับหลานสะใภ้ของท่านคนหนึ่งเป็นจวิ้นอ๋อง คนหนึ่งเป็นจวิ้นจู่ ใต้บังคับบัญชาไม่อาจไม่มีคนได้กระมัง ตอนนี้กองทหารเด็กมาแล้วไม่ใช่หรือ ด้วยนิสัยใจอ่อนเช่นนั้นของหลานสะใภ้ท่านไม่อาจไม่สนใจไต่ถาม จึงถือโอกาสดูแลดีกว่า เฝ้าบ้านดูแลเรือนอย่างไรเสียก็ต้องทำได้ เสด็จลุงท่านก็ไม่ต้องเพิ่มคนให้อีก” สวีโย่วบอกแผนการของตนออกมา


 


 


ทว่าฮ่องเต้ยงเซวียนกลับมีสีหน้าเคร่งขรึม ตำหนิอย่างอารมณ์ไม่ดี “หรือว่าในใจเจ้าลุงใจแคบเพียงนั้นเชียวหรือ เด็กยังไม่โตสี่ร้อยคนจะไปทำอะไรได้ ตามกฎระเบียบควรใช้คนเท่าไรก็ใช้เท่านั้น ลุงกลับไปจะเพิ่มให้เจ้า”


 


 


พูดยังไม่ทันขาดคำก็ตอบสนองกลับมาทันทีเขาหลงกลหลานชายหน้าตายผู้นั้นของเขาแล้ว อดชี้สวีโย่วยิ้มด่าไม่ได้ “เจ้าเด็กนี่ เดี๋ยวนี้เก่งแล้วหรือ” ไม่ได้สังเกตเพียงนิดเดียวคาดไม่ถึงว่าถูกเด็กคนนี้หลอกแล้ว นี่ไปเรียนมาจากคุณหนูสี่ตระกูลเสิ่นเด็กเจ้าเล่ห์ผู้นั้นใช่หรือไม่ จริงๆ เลย…ฮ่องเต้ยงเซวียนหัวเราะตัวเอง ในขณะเดียวกันเบื้องลึกในใจก็ชื่นใจเล็กน้อย ดีเหมือกัน อาโย่วเป็นเช่นนี้ก็ดี ดีกว่าเมื่อก่อนที่ไม่ว่าอะไรก็เห็นดีเห็นงามไปหมด เขาเองก็นับได้ว่าสามารถทำตามคำฝากฝังของเสด็จพ่อได้แล้ว


 


 


สวีโย่วเลิกคิ้ว ไม่ได้เก็บคำพูดของฮ่องเต้ยงเซวียนมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย “เสด็จลุง พวกเราตกลงเช่นนี้แล้วใช่หรือไม่ หลานไม่รบกวนท่านอ่านสาส์นแล้ว หลานสะใภ้ท่านยังรออยู่ที่จวน” เขาลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวลา


 


 


ฮ่องเต้ยงเซวียนโบกมืออย่างหงุดหงิด “ไปเถิดๆ รู้อยู่แล้วว่าเจ้าไม่มีเรื่องอะไรก็ไม่มาหาถึงพระตำหนักหรอก กลับไปเถิด รีบไปขอความดีความชอบจากภรรยาเจ้า” เขาหยอกล้อหนึ่งประโยค


 


 


มุมปากสวีโย่วกระตุกอีกครั้ง ตัดสินใจเพิกเฉยประโยคสุดท้ายของเสด็จลุงเขา หันหลังกลับกล่าว “หลานว่างแล้วจะมาวางหมากกับท่านอีก”


 


 


มือของฮ่องเต้ยงเซวียนโบกถี่ยิ่งขึ้น ท่าทางไม่ต้อนรับ


 


 


หลังสวีโย่วไป ฮ่องเต้ยงเซวียนก็เรียกผู้บัญชาการใหญ่สวีเวยเข้ามา สั่งให้เขาเลือกทหารออกมาจากกองทหารรักษาพระองค์แล้วส่งไปยังจวนจวิ้นอ๋อง

 

 

 


ตอนที่ 240-2 ความร้าวฉานก่อตัว

 

ซื่อจื่อฮูหยินจวนจิ้นอ๋องอู๋ซื่อกำลังร้อนใจดังไฟสุมทรวง เห็นซือหนงเข้ามาก็เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว “หมอหลวงเล่า เหตุใดถึงไม่เชิญมา”


 


 


ซือหนงกัดริมฝีปาก ท่าทางลำบากใจอย่างยิ่ง


 


 


ใบหน้าของอู๋ซื่อดึงต่ำลงในชั่วขณะ ตะโกนเสียงเด็ดขาด “รีบพูดมา เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”


 


 


ซือหนงจึงกล่าวด้วยสีหน้าอึดอัดใจทั้งใบ “ฮูหยินสามแพ้ท้อง หมอหลวงหวังจึงมาไม่ได้เจ้าค่ะ”


 


 


“แพ้ท้องอีกแล้วหรือ ไม่ใช่มีหมอหลวงสองคนหรือ นางยึดตัวไปหมดเลยหรือ” อู๋ซื่อกัดฟันกรอด นางเห็นท่าทางอยากพูดแต่พูดไม่ได้ของซือหนง ยังมีอะไรไม่เข้าใจอีก “นางตั้งครรภ์สูงส่งแล้วอย่างไร ลูกสาวคนโตของข้ายังคงเป็นบุตรภรรยาเอกคนโตในจวนอยู่ดี”


 


 


“ท่านแม่ ไม่ไหวแล้ว” เสียงเล็กๆ ของเม่าเอ๋อร์บุตรสาวคนโตของอู๋ซื่อดังขึ้นมา


 


 


อู๋ซื่อหันหน้ากลับไปมองลูกสาวที่แม่นมอุ้มไว้ในอ้อมอกปราดหนึ่ง เห็นเพียงมือเล็กๆ ของนางพยายามจะเกาใบหน้า บนใบหน้าเต็มไปด้วยผื่นสีแดงหนึ่งชั้น ชั่วพริบตาทั้งสงสารทั้งโมโห รีบไปกดมือลูกสาวไว้ กล่าวปลอบ “เม่าเอ๋อร์เด็กดี อย่าเกา เกาแล้วจะไม่สวยเอานะ”


 


 


ทว่าเม่าเอ๋อร์กลับมีท่าทางทนไม่ได้อย่างยิ่ง “ท่านแม่ ท่านแม่ ไม่ไหวแล้ว คัน”


 


 


ใบหน้าเล็กๆ ขมวดมุ่น ผื่นแดงบนใบหน้าก็ยิ่งน่ากลัว จิตใจคนเป็นแม่ของอู๋ซื่อก็กังวลขึ้นมา “เม่าเอ๋อร์รอหน่อย อีกประเดี๋ยวหมอหลวงก็มาแล้ว พวกเรากินยาก็จะดีขึ้น”


 


 


หันหน้าตำหนิซือหนง “ไปเชิญมาอีก ต้องเชิญกลับมาให้ข้าจงได้ รีบไป หากเม่าเอ๋อร์เป็นอะไรไป ตัวข้าฮูหยินจะขายพวกเจ้าเข้าตรอกโคมแดงเสีย”


 


 


ซือหนงและสาวใช้ที่รับใช้อยู่ในห้องคนอื่นๆ ต่างก็ขนหัวลุก โดยเฉพาะซือหนง เพราะว่าท่านซื่อจื่อชอบมองนาง ตอนนี้ฮูหยินจึงเห็นนางไม่เข้าตา หากฉวยโอกาสนี้ขายนาง…นางหนาวสั่นเร่งฝีเท้าไม่กล้าคิดต่อ ทำดีแล้วต่อให้ต้องคุกเข่าโขกศีรษะก็ต้องเชิญหมอหลวงมาให้ได้


 


 


แม่นมที่อุ้มเม่าเอ๋อร์ไว้กลับกล่าวด้วยสีหน้ากังวลทั้งใบหน้า “ฮูหยิน พระชายากับท่านอ๋องเห็นครรภ์นี้ของฮูหยินสามสำคัญยิ่งนัก!” เจตนาในคำพูดก็คือหากครรภ์นี้ของฮูหยินสามเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นเนื่องจากเม่าเอ๋อร์จะทำอย่างไร


 


 


ไฟโกรธของอู๋ซื่อแผดเผาขึ้นมาแล้ว “ครรภ์นี้ของนางยังไม่รู้ว่าจะรอดหรือไม่ ก็แค่เลือดเนื้อหนึ่งก้อน มีค่าเท่าเม่าเอ๋อร์ของข้าหรือไร นางคนเดียวยึดตัวหมอหลวงสองคน วันนี้แพ้ท้อง พรุ่งนี้แท้ท้อง ฟุ่มเฟือยยิ่งกว่าเหนียงเหนียงในวังเสียอีก นางทรมานเช่นนี้คลอดออกมาได้ก็แปลกแล้ว” นางกล่าวอย่างเคียดแค้น


 


 


ก่อนหน้านี้อู๋ซือยังแค่ไม่พอใจเล็กน้อย ตอนนี้เกี่ยวพันมาถึงเม่าเอ๋อร์ของนาง ความไม่พอใจที่นางมีต่อหูซื่อก็มาถึงขีดสุดแล้ว แม้แต่แม่สามีก็เคียดแค้นขึ้นมาแล้วเช่นกัน หากไม่ใช่นางตามใจ หูซื่อจะกำเริบเสิบสานเช่นนี้ได้หรือ


 


 


“ฮูหยิน ท่านเบาเสียงหน่อยเจ้าค่ะ” แม่นมรีบมองซ้ายมองขวา “หากดังไปถึงหูของพระชายา…” นึกถึงนิสัยของพระชายา นางก็สั่นกลัว


 


 


อู๋ซื่อกำลังโมโหเลือดขึ้นหน้า “ต่อให้พระชายารู้แล้วอย่างไร หรือว่าเม่าเอ๋อร์ไม่ใช่หลานสาวนาง” แต่ก็ยังคงมองซ้ายขวางปราดหนึ่ง หน้าดำคร่ำเครียดกล่าว “หากข้ารู้ว่าใครคิดทรยศ อย่าหาว่าข้าไม่ปรานีก็แล้วกัน”


 


 


“บ่าวมิบังอาจ!” สาวใช้ทั้งหมดย่อมคุกเข่าแสดงความจงรักภัคดี


 


 


อู๋ซื่อแค่นเสียงหนึ่งครา คิ้วขมวดมุ่นอีกครั้ง มองออกไปหน้าประตูไม่หยุด “เหตุใดถึงยังไม่กลับมาอีก ซือหนงผู้นี้ไร้ประโยชน์ แม้แต่เรื่องนี้ก็ทำไม่ได้ ซืออวี่เจ้าไปดูอีกที”


 


 


สาวใช้ที่ชื่อซืออวี่ขานรับรีบออกไป


 


 


แม่นมเห็นผื่นแดงบนใบหน้าของเม่าเอ๋อร์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็รีบเลิกเสื้อของนางขึ้น ตายล่ะ แม้แต่บนตัวก็มีผื่นแดง ชั่วขณะก็ลนลาน “ฮูหยิน พวกเรารอแต่ฮูหยินสามฝั่งนั้นไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ รีบสั่งคนไปเชิญหมอข้างนอกมาเถิด คุณหนูใหญ่ล่าช้าไม่ได้แล้ว”


 


 


เม่าเอ๋อร์มีแม่นมเลี้ยงมาจนโต ย่อมต้องผูกพันเป็นอย่างยิ่ง เห็นเด็กตัวเล็กๆ มีผื่นเต็มหน้า บนร่างเล็กๆ ก็บิดไปบิดมาอย่างไม่สบายตัว นางสงสารไม่ต่างจากอู๋ซื่อเลยแม้แต่นิดเดียว


 


 


“จริงสิ ฮูยินใหญ่ ฮูหยิน เรือนฮูหยินใหญ่ก็มีหมอเช่นกัน บ่าวได้ยินเหล่าคนใช้บอกว่าฝีมือการรักษาไม่เลวอย่างยิ่ง” จู่ๆ แม่นมก็นึกเรื่องนี้ขึ้นได้ ดวงตามองอู๋ซื่อด้วยความกระตือรือร้น


 


 


อู๋ซื่อลังเลเพียงชั่วครู่จากนั้นก็ออกคำสั่ง “ไป รีบไปเชิญหมอที่เรือนฮูหยินใหญ่มา” นางรู้ว่าแม่สามีไม่ถูกกับพี่ใหญ่พี่สะใภ้ใหญ่ เพื่อที่จะเอาใจแม่สามี นางย่อมไปมาหาสู่กับฝั่งนั้นน้อย แต่ตอนนี้เพื่อลูกสาวนางไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นแล้ว


 


 


ท่ามกลางการรอคอยที่ร้อนใจของอู๋ซื่อในที่สุดหมอก็มาแล้ว ไม่ใช่หมอหลวง แต่เป็นเสิ่นเวยกับหมอหลิว อู๋ซื่อส่งคนไปรายงานสถานการณ์ เสิ่นเวยก็ไม่ล่าช้าแม้แต่วินาทีเดียวสั่งหมอหลิวเข้ามาแล้ว ตัวนางเองไม่วางใจก็ตามมาด้วยเช่นกัน


 


 


“พี่สะใภ้ใหญ่มาได้อย่างไร รบกวนท่านแล้วจริงๆ” ตอนที่อู๋ซื่อเห็นเสิ่นเวยก็ประหลาดใจในชั่วพริบตา หลังจากนั้นก็กลับเป็นปกติ


 


 


เสิ่นเวยโบกมือ “อย่างอื่นไว้ค่อยพูด ให้หมอหลิวตรวจเม่าเอ๋อร์ก่อนเถอะ โห เม่าเอ๋อร์ของเราอาการหนักยิ่งนัก” เสิ่นเวยเห็นผื่นแดงบนหน้าบนมือของเม่าเอ๋อร์แล้วก็ตกใจ เด็กตัวเล็กแค่นี้จะทนไหวได้อย่างไร “หมอหลิวเจ้ารีบตรวจเถิดว่าเม่าเอ๋อร์เป็นอย่างไร”


 


 


หมอหลิวก้าวยาวขึ้นไปข้างหน้า ตรวจดูผื่นแดงบนใบหน้าและลำตัวของเม่าเอ๋อร์ก่อน แล้วจึงตรวจดูตาจมูกปากนาง จากนั้นก็ไถ่ถามแม่นมเสียงเบาหลายคำถาม ท้ายที่สุดก็ยื่นนิ้วมือสองนิ้วแตะลงบนข้อมือเล็กๆ ของเม่าเอ๋อร์


 


 


ในระหว่างนี้ อู๋ซื่อก็ร้อนใจนแทบจะฉีกผ้าเช็ดหน้าขาดแล้ว เสิ่นเวยเห็นท่าทีก็ปลอบนาง “น้องสะใภ้รองวางใจเถิด ฝีมือการรักษาของหมอหลิวของข้าดีเยี่ยม ปู่ข้าถูกยิงธนูพิษที่ซีเจียงก็ได้เขารักษา ไม่ต่างอะไรจากหมอหลวง เม่าเอ๋อร์จะต้องไม่เป็นไรแน่นอน”


 


 


อู๋ซื่อมองเสิ่นเวยด้วยความซาบซึ้ง ไม่รู้เหมือนกันว่าจะพูดอะไรดี ทว่าจิตใจที่เป็นกังวลกลับวางลงช้าๆ


 


 


ภายใต้การจ้องมองอย่างแรงกล้าของอู๋ซื่อและเสิ่นเวย ในที่สุดหมอหลวก็เก็บมือกลับมาแล้ว “เป็นอย่างไร ร้ายแรงหรือไม่” อู๋ซื่อเอ่ยปากทันที


 


 


ทว่าสีหน้าหมอหลิวกลับผ่อนคลาย “ซื่อจื่อฮูหยินไม่ต้องเป็นกังวล ไม่ใช่ปัญญาใหญ่อะไร” หยุดครู่หนึ่งจึงอธิบายต่อ “สุขภาพร่างกายของคุณหนูใหญ่พิเศษเล็กน้อย ผื่นแดงนี้เกิดจากการกินหรือแตะของผิดสำแดงอะไร ผู้ชราจะเขียนใบสั่งยาให้คุณหนูทาน หลังหนึ่งชั่วยามผื่นแดงก็จะหายดี”


 


 


อู๋ซื่อได้ยินว่าไม่มีอะไรร้ายแรงมาก ร่างทั้งร่างก็เบาลง จากนั้นก็ได้ยินว่าผื่นแดงของเม่าเอ๋อร์เกิดจากการกินหรือแตะของผิดสำแดง สายตาที่มองแม่นมก็ไม่พอใจขึ้นมาทันที


 


 


แม่นมรีบเรียกร้องความเป็นธรรม “ฮูหยินเจ้าคะ บ่าวไม่ได้ให้คุณหนูใหญ่ทานของผิดสำแดงอะไรนะเจ้าค่ะ ล้วนเหมือนเดิมทั้งสิ้น” เช็ดน้ำมูกน้ำตา แทบจะสาบานต่อฟ้าแล้ว


 


 


อู๋ซื่อไหนเลยจะเชื่อ แต่เสิ่นเวยกลับเข้าใจดี ฟังคำของหมอหลิว เม่าเอ๋อร์น่าจะเกิดอาการแพ้ ของจำนวนมากที่ปกติสำหรับคนอื่นแต่กลับเป็นอันตรายต่อนาง แม่นมผู้นี้ได้รับความไม่เป็นธรรมจริงๆ ไม่รู้ว่าเม่าเอ๋อร์แพ้อะไร หรือว่าแพ้ของประเภทใดบ้าง หากหาไม่เจอ ภายหลังเม่าเอ๋อร์ก็อาจจะเจอเหตุการณ์เช่นนี้อีก


 


 


ด้วยเหตุนี้เสิ่นเวยจึงห้ามปรามอู๋ซื่อ ถามหมอหลิว “หมอหลิว เม่าเอ๋อร์ไม่เหมือนคนอื่นใช่หรือไม่ ใช่ของจำนวนหนึ่งที่ธรรมดาสำหรับคนอื่นเป็นอันตรายต่อเม่าเอ๋อร์หรือไม่”


 


 


หมอหลิวเขียนใบสั่งยาไปพลาง พยักหน้ากล่าวไปพลาง “จวิ้นจู่กล่าวถูกต้อง ร่างกายคุณหนูใหญ่ผิดจากคนทั่วไปเล็กน้อย ซ้ำยังเป็นเด็ก ภูมิคุ้มกันไม่เท่าผู้ใหญ่ ของบางอย่างพวกเราแตะก็ไม่เป็นไร แต่สำหรับคุณหนูใหญ่แล้วกลับมอันตรายถึงแก่ชีวิต”


 


 


อู๋ซื่อได้ยินคำว่าถึงแก่ชีวิตสองคำนี้ทั่วทั้งร่างก็ร้อนรนแล้ว ไม่สนใจไต่ถามความรับผิดชอบของแม่นมแล้ว รีบถาม “หมอหลิว ของแบบไหนที่เม่าเอ๋อร์ของข้าไม่อาจแตะได้หรือ” หากหาออกมาไม่ได้ จิตใจของนางจะสงบได้อย่างไร


 


 


หมอหลิวส่งใบสั่งยาเข้าไป แต่กลับส่ายหน้า “นี่ต้องค่อยๆ ตรวจหา ดูว่าวันนี้คุณหนูใหญ่กินอะไรหรือว่าแตะอะไรไป”


 


 


อู๋ซื่อถือโอกาสส่งใบสั่งยาให้สาวใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกาย “รีบไปต้มยา” จากนั้นจึงมองแม่นมแล้วกล่าว “ไม่ได้ยินที่หมอหลิวพูดหรือ วันนี้เม่าเอ๋อร์กินอะไรไปบ้าง แล้วเจ้าพานางไปเล่นที่ไหนไปแตะอะไรบ้าง”


 


 


“ตอนเที่ยงคุณหนูใหญ่งอแงไม่ยอมกินข้าว บ่าวเกลี้ยมกล่อมจนยอมดื่มนมวัวไปครึ่งถ้วย นมวัวนี้ก็กินเป็นปกตินะเจ้าค่ะ!” แม่นมรีบพูด กลัวซื่อจื่อฮูหยินตำหนิติโทษนาง


 


 


“เจ้ามั่นใจหรือว่าเม่าเอ๋อร์ดื่มเพียงนมวัวไม่ได้กินของอย่างอื่น” อู๋ซื่อจ้องมองนางอย่างแน่นิ่ง


 


 


แม่นมพยักหน้าไม่หยุด รีบอธิบาย “ไม่มีเจ้าค่ะ ฮูหยินโปรดเชื่อ บ่าวไม่ได้โกหกจริงๆเจ้าค่ะ! คุณหนูใหญ่ดื่มนมวัวแล้วงอแงจะมาหาฮูหยินให้ได้ บ่าวจึงอุ้มนางมา ไม่ได้ไปที่อื่นจริงๆ เจ้าค่ะ! จริงสิ ยังมีเสี่ยวฝู เสี่ยวฝูอยู่กับบ่าวตลอด นางสามารถเป็นพยานให้บ่าวได้”


 


 


เสี่ยวฝูที่ถูกแม่นมเรียกชื่อก็ก้าวออกมาอย่างขลาดกลัว “เรียนฮูหยิน บ่าวอยู่กับแม่นมตลอด ตอนเที่ยงคุณหนูใหญ่ดื่มนมวัวครึ่งถ้วย จากนั้นก็มาหาฮูหยินที่นี่ ไม่ได้ไปที่อื่นจริงๆ เจ้าค่ะ”


 


 


“เช่นนั้นผื่นแดงนี้บนตัวเม่าเอ๋อร์มาได้อย่างไร ข้าว่าพวกเจ้าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ไม่ลงโทษก็ไม่พูดความจริงใช่หรือไม่” อู๋ซื่อตะโกนเสียงต่ำ “ใครก็ได้ ลากสองคนนี้ออกไปตีเดี๋ยวนี้ พูดความจริงเมื่อไหร่ค่อยหยุดเมื่อนั้น” เรื่องเกี่ยวข้องกับลูกสาวของตน อู๋ซื่อไม่กล้าประมาทเลยแม้แต่นิดเดียว


 


 


“ช้าก่อน” เสิ่นเวยรีบห้าม สบสายตาที่ไม่พอใจของอู๋ซื่อ นางกล่าว “น้องสะใภ้รองอย่ารีบร้อน ข้าถามพวกนางอีกสักหน่อย”


 


 


อู๋ซื่อไม่อาจไม่ไว้หน้าได้ “ฮูหยินใหญ่ถามพวกเจ้าแล้ว ก็ตอบความจริงข้ามา”


 


 


เสิ่นเวยกล่าว “ระหว่างทางที่พวกเจ้าพาเม่าเอ๋อร์มาหาซื่อจื่อฮูหยินไปแตะอะไรเข้าหรือไม่”


 


 


“ระหว่างทางหรือ” แม่นมกับเสี่ยวฝูนึกย้อนทันที “ดอกเฉียงเวย (กุหลาบพันธุ์ไม้เลื้อย)” ดวงตาคนทั้งสองเป็นประกายกล่าวขึ้นพร้อมกัน “เรียนฮูหยิน ระหว่างทางมา คุณหนูใหญ่เห็นดอกเฉียงเวยผลิดอกอยู่ในสวนดอกไม้เล็ก งอแงจะเอา บ่าวจึงไปเด็ดมาให้นางหลายดอก”


 


 


“ใช่ๆๆ ตอนที่มาในมือเม่าเอ๋อร์กำดอกเฉียงเวยหลายดอก ซ้ำยังให้ข้าหาแจกันเสียบ อ้อ อยู่ตรงนั้น!” อู๋ซื่อเองก็รีบกล่าว “แต่ก่อนหน้านี้เม่าเอ๋อร์ก็เคยแตะดอกเฉียงเวยแล้ว ไม่เคยเห็นนางเป็นอะไรนี่” สีหน้าท่าทางไม่เข้าใจอย่างยิ่ง


 


 


“มีเรื่องอื่นอีกหรือไม่” เสิ่นเวยถามต่อ


 


 


“ทั้งสองส่ายหน้าพร้อมกัน “ไม่มีแล้วเจ้าค่ะ หากบ่าวโกหกก็ขอให้ฟ้าผ่าตาย”


 


 


คนโบราณเชื่อเรื่องภูตผีเวรกรรม คำสาบานนี้ไม่อาจโกหกได้ เสิ่นเวยมองสีหน้าพวกนางแม้ว่าจะลุกลน แต่แววตากลับไม่คลุมเครือ จึงตัดสินว่าพวกนางไม่ได้โกหก อดมองหมอหลิวไม่ได้ “หมอหลิวว่าอย่างไร”


 


 


หมอหลิวคิดครู่หนึ่งจึงกล่าว “ของที่เป็นอันตรายต่อคุณหนูใหญ่ไม่เหมือนกัน สัมผัสนมวัวและดอกเฉียงเวยเพียงอย่างเดียวไม่เป็นไร หากสัมผัสสองอย่างนี้พร้อมกันจะทำให้เกิดอาการหายใจลำบากร่างกายเต็มไปด้วยผื่นแดง กรณีนี้ผู้ชราก็เคยเห็นมาก่อน”


 


 


“อมิตาพุทธ ที่แท้แล้วก็เป็นเช่นนี้! ความหมายของหมอหลิวก็คือขอเพียงแค่เม่าเอ๋อร์ไม่สัมผัสนมวัวและดอกเฉียงเวยพร้อมกันก็ไม่เป็นไรใช่หรือไม่” อู๋ซื่อถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่กลับมองหมอหลิวอย่างไม่มั่นใจเล็กน้อย


 


 


หมอหลิวไตร่ตรองครู่หนึ่งจึงกล่าว “ถูกต้องแล้ว เพียงแต่ผู้ชราไม่รู้ว่าคุณหนูใหญ่ใช่แตะดอกไม้อื่นไม่ได้ด้วยหรือไม่” เห็นอู๋ซื่อตื่นตระหนกขึ้นมาอีกครั้ง รีบกล่าว “ขอเพียงแค่ไม่ดื่มนมวัวพร้อมกันก็ไม่เป็นไร! แม้จะเกิดเหตุการณ์เช่นวันนี้อีก ขอเพียงแค่กินยาทันเวลาก็จะไม่เกิดอันตราย กลับไปผู้ชราจะเปลี่ยนแกงยานี้เป็นยาลูกกลอน เตรียมไว้ติดตัวคุณหนูทุกเมื่อ”


 


 


อู๋ซื่อนับได้ว่าสบายใจลงแล้ว “ขอบคุณหมอหลิวอย่างยิ่งจริงๆ” จากนั้นก็จับมือเสิ่นเวยขอบคุณไม่หยุด “พี่สะใภ้ ครั้งนี้ขอบคุณท่านมากจริงๆ ท่านช่วยชีวิตเม่าเอ๋อร์ของข้าไว้!” แววตาเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง


 


 


เสิ่นเวยรีบโบกมือ ตบมือของนางปลอบขวัญ “น้องสะใภ้รองเกรงใจเกินไปแล้ว เม่าเอ๋อร์เองก็เป็นหลานสาวของข้ามิใช่หรือ คนบ้านเดียวกันยังต้องเกรงใจอะไรอีก”


 


 


เทียบกับน้องสะใภ้สามหูซื่อ ความประทับใจที่อู๋ซื่อมีต่อเสิ่นเวยก็ดีขึ้นในชั่วพริบตา


 


 


เม่าเอ๋อร์กินยาแล้ว เพียงครึ่งชั่วยาม ผื่นแดงบนใบหน้าก็เริ่มหาย หนึ่งชั่วยามผ่านไปก็หายไปเกินครึ่ง อู๋ซื่อจึงถอนหายใจยาวหนึ่งครา จับมือของเสิ่นเวยส่งนางออกจากเรือนไปไกล


 


 


ส่วนแม่นมและเสี่ยวฝู อู๋ซื่ออยากลงโทษ แต่เมื่อย้อนคิดอีกครั้ง ปกติแม่นมก็ดูแลเม่าเอ๋อร์ด้วยความใส่ใจอย่างยิ่ง หากเปลี่ยนแล้วจะเหมาะสมกับลูกสาวหรือไม่ไม่ว่า นางเองก็ไม่กล้ารับรองว่าคนที่มาใหม่จะใส่ใจได้เท่าเดิม อีกทั้งเม่าเอ๋อร์สุขภาพร่างกายต่างจากคนอื่นโชคดีที่พบอาการล่วงหน้า ทำให้นางเตรียมการล่วงหน้าได้ หากตอนนี้ไม่รู้ ภายหลังป่วยขึ้นมานอกจวน ไหนเลยจะบังเอิญเชิญหมอที่มีประสบการณ์ด้านนี้มาได้ทัน เช่นนั้นเม่าเอ๋อร์ก็ต้องเป็นอันตรายมิใช่หรือ


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้ อู๋ซื่อจึงไม่ได้ลงโทษแม่นมและเสี่ยวฝูอีก ถือว่าเป็นการชดใช้เวรกรรม

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)