กระบี่จงมา 239.1-242.2

 บทที่ 239.1 ลมวสันต์ส่งท่านไกลพันหมื่นลี้

โดย

ProjectZyphon

ชุดนักพรตเต๋าสีชมพูของหลิ่วชื่อเฉิงโบกสะบัดอยู่ท่ามกลางสายลมอย่างเชื่องช้า บุคคลสำคัญดุจยักษ์ใหญ่ของนครจักรพรรดิขาวเมื่อหนึ่งพันปีก่อนท่านนี้สำรวมกิริยาลงเล็กน้อยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


นี่ไม่สมเหตุสมผล


เพราะเรือนกายที่เลื่อนลอยดั่งภาพมายาซึ่งก่อตัวจากสายลมวสันต์ยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอันเป็นเพียงปัญญาชนลัทธิขงจื๊อสวมชุดสีเขียวที่ใบหน้าแต้มรอยยิ้มบางเบาคนหนึ่งเท่านั้น


หลิ่วชื่อเฉิงสังเกตลักษณะของอีกฝ่ายแล้วก็เห็นว่าเป็นเพียงตะเกียงดวงหนึ่งที่น้ำมันแทบจะแห้งขอดเท่านั้น ทว่านอกจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้วกลับยังมีกลิ่นอายบางอย่างที่บอกไม่ถูกอยู่อีก หากเปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกลมปราณที่มีระดับต่ำกว่าห้าขอบเขตบนคนใดก็ตาม เกรงว่าคงจะใคร่ครวญหาความเชื่อมต่อใดๆ ไม่เจอ แต่เขาที่สิงอยู่ในร่างของหลิ่วชื่อเฉิงชั่วคราว ในช่วงเวลาที่มีตบะสูงสุดก็คือเซียนขอบเขตสิบสองตัวจริงเสียงจริงคนหนึ่ง ตอนที่ยังไม่ทรยศออกจากสำนักลัทธิมาร เขาที่อยู่ในนครจักรพรรดิขาวซึ่งตั้งอยู่ระหว่างก้อนเมฆหลากสี ตั้งอยู่เบื้องใต้กระแสน้ำของแม่น้ำในถ้ำสวรรค์หวงเหอเคยได้เจอกับบุคคลมีความสามารถที่ยืนตระหง่านอยู่บนยอดกลุ่มเขามามากมาย ตอนนี้จึงรู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า ไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไร


ยิ่งเป็นภาพมายาที่มองตื้นลึกหนาบางไม่ออก หลิ่วชื่อเฉิงก็ยิ่งไม่กล้าดูแคลน


ฉีจิ้งชุนใช้สายตาบอกกับเฉินผิงอันให้วางใจ เขายืนเคียงไหล่อยู่กับเด็กหนุ่ม เอ่ยแนะนำตัวกับหลิ่วชื่อเฉิงด้วยรอยยิ้ม “ฉีจิ้งชุน ลูกศิษย์ของเหวินเซิ่ง อดีตเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาซานหยา”


‘หลิ่วชื่อเฉิง’ มึนงงเล็กน้อย


คนตรงหน้าผู้นี้ไม่ได้วางมาดใหญ่โตอะไร แถมยังมีท่าทางสุภาพอ่อนโยน เพียงแต่ว่าเหวินเซิ่ง? ฉีจิ้งชุน? สำนักศึกษาซานหยา? อะไรก็ไม่รู้ หรือว่าหนึ่งพันปีที่ตนถูกจางเซียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์กำราบไว้นี้มีอริยะที่เป็นอาจารย์และลูกศิษย์จากลัทธิขงจื๊อปรากฎขึ้นอีกสองคน? เพียงแต่คำเรียกขานว่า ‘เหวินเซิ่ง’ นี้ ไม่ได้ธรรมดาเลยแม้แต่น้อย ลำพังแค่เพิ่มคำว่าเซิ่งต่อท้าย ยกตัวอย่างเช่นหลี่เซิ่ง หย่าเซิ่ง ก็ล้วนเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติจะได้ตั้งเทวรูปไว้ในศาลเจ้าบุ๋นทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้น อีกทั้งตำแหน่งที่ตั้งของเทวรูปยังอยู่ด้านหน้าๆ อีกด้วย


จะโทษก็ต้องโทษบัณฑิตที่ไม่ได้ความอย่างหลิ่วชื่อเฉิงผู้นี้มีรากฐานตื้นเขินเกินไป วันๆ ไม่ทำอะไรที่มีแก่นสาร ไม่เคยสนใจสถานการณ์ของในทวีป ดีแต่คิดจะอาศัยความรู้อันน้อยนิดในหัวที่น่าสงสารนั้นไปเกี้ยวพาราสี หลอกล่อหญิงสาวให้หลงคารม แน่นอนว่าตัวเขาเองก็มีส่วนที่ต้องรับผิดชอบด้วย เพราะรู้สึกว่าสถานที่ป่าเถื่อนอย่างบุรพแจกันสมบัติทวีปแห่งนี้ ต่อให้ผ่านการสั่งสมรากฐานมานานนับพันปี ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนก็ต้องมีน้อยจนนับนิ้วได้ ตนไม่จำเป็นต้องให้ความสนใจ


ฉีจิ้งชุนโบกชายแขนเสื้อง่ายๆ หนึ่งที ตราผนึกที่หลิ่วชื่อเฉิงสร้างไว้ก็หายวับไป


วิญญูชนปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ


เมื่อเป็นเช่นนี้ เพียงไม่นานชายฉกรรจ์เคราดกและนักพรตหนุ่มก็ค้นพบความผิดปกติของทางฝั่งนี้ พวกเขาหันหน้ามามองกันเอง คนที่สวมชุดเต๋าสีชมพูนั่นคือหลิ่วชื่อเฉิงบัณฑิตยากจนรึ? ทำไมถึงได้มีความชื่นชอบประหลาดที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความรักสวยรักงามแบบนี้? แล้วปัญญาชนชุดเขียวที่ดูมีอายุคนนั้นล่ะเป็นเทพเซียนจากฝ่ายใด?


หลิ่วชื่อเฉิงหรี่ตาลง


ถึงขนาดทำลายเวทอำพรางตาของตนได้ในเวลาเพียงเสี้ยววินาที แม้ว่าตอนนี้เขาจะมีตบะขอบเขตหยกดิบเพียงแค่ครึ่งเดียว แต่วิชาอภินิหารลึกล้ำที่สืบทอดมาจากระบบลัทธิมารของนครจักรพรรดิขาว ต่อให้เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหยกดิบเต็มตัวคนหนึ่งก็ยังไม่สามารถทำลายตราผนึกของเขาได้ง่ายดายขนาดนี้


จางซานเฟิงขยับตัวจะลุกขึ้นเดินไปหาเฉินผิงอัน แต่กลับถูกสวีหย่วนเสียคว้าแขนเอาไว้ เอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “พวกเราคุยเรื่องของพวกเราต่อไป เรื่องของทางฝั่งนั้นเราเข้าไปมีส่วนด้วยไม่ได้เด็ดขาด ทางที่ดีที่สุดพวกเราอย่ามองในสิ่งที่ไม่ควรมอง อย่าฟังในสิ่งที่ไม่ควรฟัง”


จากนั้นชายฉกรรจ์เคราดกก็เห็นว่าปัญญาชนชุดเขียวหันมองมาทางพวกเขา คลี่ยิ้มบางๆ พยักหน้าเป็นการทักทาย


สวีหย่วนเสียรีบกุมมือคารวะกลับ


ฉีจิ้งชุนถามยิ้มๆ “ท่านผู้อาวุโสใช่เจ้าหอหลิวหลีแห่งนครจักรพรรดิขาวหรือไม่?”


หลิ่วชื่อเฉิงพยักหน้า ตอบอย่างคลุมเครือ “ทำไม เคยได้ยินชื่อเสียงอันโด่งดังของข้ามาก่อนรึ? เป็นเพราะว่าชื่อเสียงฉาวโฉ่ของข้าดังกระฉ่อนเกินไปจนคนในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางได้ยินกันทั่วทุกหัวมุมถนนแล้ว?”


ฉีจิ้งชุนส่ายหน้า “ข้าเคยเดินทางผ่านแม่น้ำหวงเหอ เคยได้พบกับเจ้านครจักรพรรดิขาวที่ริมแม่น้ำหนึ่งครั้ง เลยได้พูดคุยเรื่องของท่านผู้อาวุโส”


จู่ๆ หลิวชื่อเฉิงก็แผดเสียงผรุสวาท “พูดเหมือนผายลม! ศิษย์พี่ใหญ่ของข้าจะออกจากเมืองมาพบคนอื่นได้อย่างไร?! ด้วยนิสัยของเขา ต่อให้เป็นพวกตาแก่ที่มีรูปปั้นอยู่ในศาลเจ้าบุ๋นซึ่งคนมากมายเลื่อมใสมาเยือนถึงที่ ศิษย์พี่ใหญ่ก็ไม่เคยเป็นฝ่ายออกจากเมืองมาต้อนรับแขกด้วยตัวเองเลยสักครั้ง อย่างมากก็แค่โผล่หน้าออกมาระหว่างชั้นเมฆหลากสีเท่านั้น และนั่นก็ถือว่าเห็นแก่หน้าของคนลัทธิขงจื๊ออย่างพวกเจ้ามากแล้ว แต่นี่พวกเจ้าสองคนยังเคยพบหน้ากันที่ริมแม่น้ำ? เจ้าเด็กน้อย จะคุยโวโอ้อวดก็ควรให้มีขอบเขตบ้าง!”


ฉีจิ้งชุนได้ยินเข้าก็หลุดหัวเราะ “ท่านเจ้าเมืองยังเคยเชื้อเชิญให้ข้าเล่นหมากล้อมด้วยสามตา เพียงแต่ว่าตอนนั้นข้ามีธุระสำคัญ จำเป็นต้องเดินทางกลับสถานศึกษาในทันที จึงขอติดเอาไว้ก่อน คิดไม่ถึงว่าหลังจากนั้นเป็นต้นมา ข้าก็ไม่มีโอกาสได้ย้อนกลับไปยังนครจักรพรรดิขาวอีก น่าจนใจจริงๆ”


หลิ่วชื่อเฉิงยกมือสองข้างขยี้ซีกแก้มอย่างแรง ไฟโทสะสุมแน่นอยู่ในอก แม้ว่าเขาจะแตกหักกับศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองไปแล้ว ไม่เหลือความสัมพันธ์ควันธูปต่อกันแม้แต่น้อย ทว่าส่วนลึกในใจเขากลับเคารพเลื่อมใสในตัวเจ้านครจักรพรรดิขาวผู้นั้นมาโดยตลอด เป็นความชื่นชมและเลื่อมใสบูชาจากใจจริง ดังนั้นเขาจึงสองจิตสองใจว่าควรจะตบให้จิตวิญญาณเสี้ยวสุดท้ายที่เหลืออยู่ในโลกของไอ้หมอนี่แหลกสลายไปด้วยฝ่ามือเดียวดีหรือไม่


ในเมื่อเจ้าหอหลิวหลีที่อยู่ตรงหน้าไม่เต็มใจจะเชื่อ ฉีจิ้งชุนก็ไม่คิดจะพูดอะไรให้มากความอีก


สำหรับปีศาจใหญ่แห่งนครจักรพรรดิขาวที่กลับคืนมายังโลกมนุษย์อีกครั้งผู้นี้ อันที่จริงฉีจิ้งชุนไม่ได้มีความรู้สึกที่ย่ำแย่ต่อเขาสักเท่าไหร่ จิตสังหารที่เกิดขึ้นครั้งแรกของคนผู้นี้ก็คือตอนที่มือกระบี่แคว้นซูสุ่ยคิดจะสังหารปีศาจจิ้งจอกน้อยโดยไม่แบ่งแยกดีชั่ว อันที่จริงในกลุ่มบัณฑิตที่เอ่ยคุณธรรมและเมตตาธรรมได้เต็มปาก วิญญูชนจอมปลอมที่แสร้งวางท่าว่ามีคุณธรรมหรือแม้แต่คนในวิถีมารก็ล้วนไม่ขาดบุคคลที่โดดเด่นมีความสามารถ ปีนั้นฉีจิ้งชุนติดตามศิษย์พี่จั่วท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ อยู่นานหลายปี จึงมีความรู้และประสบการณ์มานานมากแล้ว แน่นอนว่าเขาไม่มีทางตัดสินว่าใครดำใครขาว


แล้วนับประสาอะไรกับที่คดีความหลิวหลีที่แตกสลายเมื่อหนึ่งพันปีก่อน เดิมทีฉีจิ้งชุนก็มีความมั่นใจในตัวของปีศาจใหญ่ตรงหน้าผู้นี้อยู่แล้ว


ฉีจิ้งชุนตบไหล่เฉินผิงอัน พูดกับหลิ่วชื่อเฉิงด้วยรอยยิ้ม “เรื่องที่เฉินผิงอันจะกราบไหว้เจ้าเป็นอาจารย์ ย่อมไม่ได้แน่นอน แต่เรื่องฝึกกระบี่ หากผู้อาวุโสเต็มใจสอน เฉินผิงอันก็เต็มใจเรียน ส่วนข้าฉีจิ้งชุนก็ยินดีที่จะให้เป็นเช่นนั้น”


หลิ่วชื่อเฉิงยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาส่ายเบาๆ “ตอนนี้เจ้าอยู่ในสภาพแบบไหน ทั้งเจ้าและข้าต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจ เจ้าก็เป็นแค่ลมวสันต์ไม่กี่กลุ่มที่รวมตัวกันได้เพราะเศษเสี้ยวจิตวิญญาณเล็กน้อยเท่านั้น ต่อให้ตอนยังมีชีวิตอยู่เจ้าจะเป็นอริยะลัทธิขงจื๊อห้าขอบเขตบน แต่วันนี้ไม่เหมือนวันวาน เจ้าคิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติที่จะมาต่อรองกับข้างั้นหรือ?”


ฉีจิ้งชุนมองปีศาจใหญ่ที่สวมชุดนักพรตเต๋าสีชมพู แค่มองไปก็เห็นปราณสังหารที่ท่วมท้นของหลิ่วชื่อเฉิง เห็นท่าทางคันไม้คันมืออยากลงมือเต็มแก่ของเขา


เดิมทีจิตใจของคนเผ่าปีศาจก็สั่นคลอนง่ายอยู่แล้ว การเลือกส่วนใหญ่ของพวกเขามักจะเอนเอียงไปทางนิสัยดุร้ายฉุนเฉียวที่มีมาตั้งแต่กำเนิดมากกว่า นี่จึงเป็นเหตุให้มีโศกนาฎกรรมมากมายเกิดขึ้นในโลกมนุษย์


การที่ใต้หล้าไพศาลมีวิธีสยบกำราบและพันธนาการปีศาจใหญ่ในโลกมากมาย ใช่ว่าจะเป็นเรื่องไร้เหตุผล เคยมีคนให้ข้อเสนอแนะว่า ‘ไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกับข้า ย่อมมีใจคิดไม่ซื่อ’ รวมไปถึงมีคำเอ่ยที่ว่า ‘ภูตผีปีศาจ เกิดมาก็ต้องเอาชีวิตรอดไปวันๆ ชอบช่วงชิงพลังชีวิตของหมื่นสรรพสิ่ง มีเพียงได้รับการอบรมสั่งสอนจากมนุษย์ จึงยินดีที่จะเปลี่ยนตัวเองให้มีคุณธรรม รู้จักความเอื้ออาทร’ ถ้อยคำแสดงความคิดเห็นเหล่านี้มีไว้สำหรับเผ่าพันธ์ที่อยู่นอกเหนือจากเผ่ามนุษย์ ฟังแล้วระคายหูอย่างมาก และในความเป็นจริงแล้ว ช่วงเวลาระหว่างที่หลี่เซิ่งนั่งบัญชาการณ์ใต้หล้า มีอริยะของสถานศึกษาคอยเสนอแนะอยู่ไม่ขาดว่าให้ล้อมจับปีศาจใหญ่ที่เลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนทั้งหมดไปขังไว้ในคุก เพื่อกำจัดภัยร้ายที่อาจตามมาในภายหลังให้สิ้นซาก เพียงแต่ว่าสุดท้ายแล้วหลี่เซิ่งไม่ได้รับข้อเสนอก็เท่านั้น


ฉีจิ้งชุนทอดถอนใจด้วยความปลงอนิจจังเล็กน้อย


สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว หลักการของปีศาจบนโลกนี้ก็ล้วนอยู่ที่คำว่า ‘มีชีวิต’ ทั้งสิ้น คือการแสวงหาไขว่คว้าวิธีที่จะทำให้ตัวเองมีชีวิตอยู่เพื่อได้เป็นผู้แข็งแกร่ง ไร้พันธนาการ ไร้ขื่อไร้แปอย่างไม่ย่อท้อ


ทว่าหลักการของใต้หล้าไพศาลกลับอยู่ที่สองคำว่า ‘กฎเกณฑ์’ เมื่ออยู่ในกฎเกณฑ์ อาณาประชาราษฎร์ก็จะร่มเย็นเป็นสุข


ฉีจิ้งชุนยื่นมือข้างหนึ่งออกมา เอ่ยยิ้มๆ ว่า “หากเจ้าไม่คิดจะพูดจากันด้วยเหตุผล แต่คิดจะใช้กำลังเอาชนะคนอื่น ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงต้องยืมใช้กระบี่มาสะบั้นตบะของเจ้าไปครึ่งหนึ่ง”


กระบี่เล่มยาวที่ถูกเฉินผิงอันตั้งชื่อว่า ‘ปราบมาร’ ซึ่งอยู่ในกล่องกระบี่ไม้ไหวด้านหลังส่งเสียงร้องอย่างเริงร่าประหนึ่งผืนดินที่แห้งแล้งมานานได้ลิ้มรสฝนหวานฉ่ำ ก่อนจะค่อยๆ ออกจากฝักทีละชุ่น แผ่พลังอำนาจสะท้านฟ้า!


ชุดนักพรตเต๋าสีชมพูของหลิ่วชื่อเฉิงสะบัดโป่งพอง ในดวงตาเต็มไปด้วยความดุร้าย ปราณปีศาจท่วมท้นตลอดทั่วทั้งร่าง เอ่ยถามยิ้มๆ ว่า “เจ้าคนแซ่ฉี เจ้าแน่ใจว่าจะมีโอกาสคว้าอาวุธเทพที่ใช้ต่อกรกับเผ่าปีศาจโดยเฉพาะเล่มนั้นหรือ? ต่อให้ข้าต่อยดวงวิญญาณของเจ้าให้แหลกเละไม่ได้ แต่เจ้าไม่กลัวหรือว่าข้าจะต่อยให้เฉินผิงอันกลายเป็นเนื้อบดด้วยหมัดเดียว?”


ฉีจิ้งชุนสีหน้าปกติคล้ายกำลังอธิบายเหตุผลที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดินมากที่สุด “ขอแค่ข้าฉีจิ้งชุนยังอยู่บนโลกอีกหนึ่งเค่อ ก็ไม่มีใครสามารถรังแกศิษย์น้องเล็กของข้าได้แม้แต่ปลายนิ้วก้อย”


หลิวชื่อเฉิงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ข้าก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี!”


—–


บทที่ 239.2 ลมวสันต์ส่งท่านไกลพันหมื่นลี้

โดย

ProjectZyphon

ม่านตาดำของหลิ่วชื่อเฉิงหดรัดตัวอย่างรุนแรง


ร่างทั้งร่างของเขาถูกปกคลุมอยู่ท่ามกลางลูกแสงสีทองอ่อนจาง


แต่ลูกแสงเหนือศีรษะขึ้นไปกลับมีช่องโหว่ขนาดเล็กปรากฏขึ้นมา สภาพเหมือนกับตอนที่ถ้ำสวรรค์หวงเหอถูกกระบี่ของคนผู้หนึ่งฟาดฟันให้เกิดช่องโหว่อย่างไม่มีผิดเพี้ยน เมื่อค่ายกลแสงทองผสานพลังต้นกำเนิดของนครจักรพรรดิขาวที่ปกป้องหลิ่วชื่อเฉิงเอาไว้มีรูโหว่ปรากฏขึ้น ในสายตาของหลิ่วชื่อเฉิงก็เห็นเป็นจุดสีดำขนาดเล็กเท่าเมล็ดงาก่อน จากนั้นถึงกลายเป็นเส้นสีดำเล็กๆ สุดท้ายก็ถึงเป็นกระบี่ที่ฟันฟั่บ ผ่าค่ายกลใหญ่แสงทองให้แยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง


ปลายกระบี่ชี้มาที่หว่างคิ้วของหลิ่วชื่อเฉิง อยู่ห่างไม่ถึงหนึ่งชุ่น


หลิ่วชื่อเฉิงยืนนิ่งไม่สะทกสะท้าน


ไม่ใช่ว่าพอเสียโอกาสในการลงมือก่อนไปแล้ว เขาจะไม่มีกำลังเหลือให้ต้านทาน ตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ เพราะแต่ไรมานครจักรพรรดิขาวก็มีชื่อเสียงด้านมรรคกถาที่ซับซ้อนและวิชาอภินิหารมากมายหลากหลาย ลำพังเพียงแค่เสื้อคลุมอาคมบนร่างที่เทียบเคียงได้กับอาวุธเซียนครึ่งตัวชิ้นนี้ก็ทำให้เขาที่ยืนนิ่งๆ สามารถต้านทานกระบี่นั้นเอาไว้ได้แล้ว


แต่กระบี่ยาวที่ปัญญาชนสวมชุดเขียวถือไว้ด้วยมือข้างเดียวไม่ใช่กระบี่เล่มที่หร่วนฉงเป็นคนหลอม แต่เป็นแค่กระบี่ไม้ไหวธรรมดาเล่มหนึ่ง


ดังนั้นหลิ่วชื่อเฉิงจึงเลือกที่จะถอยหนึ่งก้าวเพื่อยุติความขัดแย้ง


เพราะเดิมทีเจ้าคนที่ชื่อฉีจิ้งชุนผู้นั้นก็ไม่มีท่าทีที่จะบีบบังคับกันจนเกินเหตุอยู่แล้ว


นี่จึงถือว่าต่างฝ่ายต่างถอยกันคนละก้าว


ฉีจิ้งชุนเก็บกระบี่ไม้กลับมาใส่ไว้ในกล่องกระบี่ด้านหลังเฉินผิงอันช้าๆ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “หากกระบี่นี้เป็นฝีมือของอาเหลียง หรือของศิษย์พี่จั่ว เหตุการณ์ย่อมแตกต่างออกไป”


หลิ่วชื่อเฉิงเอ่ยถาม “ศิษย์พี่ใหญ่ออกจากเมืองมาพบเจ้าจริงๆ รึ? แถมยังเป็นฝ่ายเชื้อเชิญให้เจ้าเล่นหมากล้อมด้วยถึงสามตา?”


ฉีจิ้งชุนพยักหน้ารับ


เพราะความจริงเป็นเช่นนี้ เขาจึงไม่ได้รู้สึกภาคภูมิใจ แล้วก็ไม่มีความจำเป็นให้ต้องปิดบัง


แล้วนับประสาอะไรกับที่ฉีจิ้งชุนไม่เคยเก็บประสบการณ์เหล่านี้กลับมาใส่ใจมาก่อน


นี่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างราวฟ้ากับเหวในด้านนิสัยใจคอระหว่างเขากับเด็กหนุ่มชุยฉานที่ถึงทุกวันนี้ก็ยังภาคภูมิใจในตัวเองที่เคยได้เล่นหมากล้อมสิบตากับเจ้านครจักรพรรดิขาวท่ามกลางชั้นเมฆหลากสี


หลิ่วชื่อเฉิงถอนหายใจหนึ่งทีด้วยสีหน้าเลื่อนลอย


ราวกับว่าในใจมีแก้วหลิวหลีอยู่ใบหนึ่ง แล้วตอนนี้มันระเบิดแตกกระจาย ทั้งผิดหวัง แต่ก็คล้ายว่าได้ปล่อยวางเสียที


สำหรับเขาแล้ว ไม่ว่าในใจจะเคียดแค้นศิษย์พี่ใหญ่ที่ไร้น้ำใจบนมหามรรคาแค่ไหน แต่บุรุษที่สายตามองสูงไม่เห็นหัวใครผู้นั้นก็เป็นบุคคลที่ไร้ศัตรูใดจะทัดทานมาโดยตลอด คือบุคคลผู้สง่างามสูงส่งดุจแก้วหลากสีไร้มลทิน ไม่ควรจะต้องแหกกฎของตัวเองเพื่อใคร


หลิ่วชื่อเฉิงหมดอาลัยตายอยากเล็กน้อย “ในเมื่อไม่อาจเป็นอาจารย์ของเฉินผิงอันได้ ข้าก็คงไม่สอนวิชากระบี่ให้เขาแล้ว มรรคกถาของข้าไม่ได้ราคาถูกด้อยค่าขนาดนั้น คนแซ่ฉี ในเมื่อเจ้ามีความสามารถมากขนาดนี้ก็ถ่ายทอดวิชาให้เขาเองเถอะ”


คล้ายต้องการจะประชด เขาจึงหมุนตัวก้าวยาวๆ ไปทางประตูใหญ่ของวัด


จู่ๆ ฉีจิ้งชุนก็เอ่ยขึ้นว่า “โปรดรอก่อน ข้ามีคำพูดหนึ่งจะมอบให้”


หลิ่วชื่อเฉิงหมุนตัวกลับมาด้วยความสงสัย


แล้วทันใดนั้นในทะเลสาบหัวใจของเขาก็มีริ้วคลื่นหลากสีลักษณะประหลาดกะเพื่อมไหวเบาๆ


หลังจากนั้นบนใบหน้าของหลิ่วชื่อเฉิงก็เผยความตะลึงพรึงเพริดและปิติยินดีเจียนคลั่ง หลังจากคิดสะระตะวุ่นวายอยู่ครู่หนึ่งก็ถามเบาๆ ว่า “ดีนักนะฉีจิ้งชุน เจ้าที่เป็นถึงบุคคลระดับนี้ ไม่ว่าอยู่ในใต้หล้าแห่งใดก็ล้วนถือเป็นเซียนบนยอดเขาที่ร้ายกาจ เหตุใดถึงตกต่ำอยู่ในสภาพนี้ได้?”


ฉีจิ้งชุนถามกลับยิ้มๆ “ทำไมถึงเรียกว่าตกต่ำเล่า?”


หลิ่วชื่อเฉิงอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนกล่าวด้วยความเลื่อมใสจากใจจริง “ข้าละอายใจที่สู้ไม่ได้ ครั้งนี้ถือว่าข้าติดหนี้เฉินผิงอันหนึ่งครั้ง วันหน้ารอจนข้ากลับไปมีชื่อเสียงอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางใหม่อีกครั้ง ก็ให้เฉินผิงอันไปหาข้าที่นครจักรพรรดิขาวได้เลย”


ก่อนหน้าที่จะไปจากวัดโบราณ หลิ่วชื่อเฉิงโบกชายแขนเสื้อแรงๆ หนึ่งครั้ง คว้าปีศาจจิ้งจอกอายุน้อยที่หลบอยู่ในมุมมืดมา พามันออกไปจากวัดโบราณด้วยกัน


ก่อนหน้านี้จิ้งจอกน้อยได้เปลี่ยนมาสวมชุดใหม่แล้ว นางทาผงประทินโฉมเข้มข้นบนแก้มสองข้าง ข้างหนึ่งสีเขียว ข้างหนึ่งสีแดง มองดูแล้วน่าขันอย่างถึงที่สุด นางคงเข้าใจผิดคิดว่านี่ก็คือคนงามผงสีชาด (แปลตรงตัวจากคำว่า红粉佳人 ผงสีชาดคือผงที่ผู้หญิงสมัยโบราณใช้ประทินโฉมให้งดงาม ซึ่งหากแปลอีกอย่างหนึ่งคำนี้จะหมายถึงผู้หญิงที่งดงามมาก) กระมัง?


ในอ้อมอกของนางโอบหนังสือที่รักที่สุดซึ่งเก็บรักษาติดตัวเป็นอย่างดีมานานหลายปีไว้เล่มหนึ่ง เป็นหนังสือที่จัดพิมพ์อย่างหยาบๆ คำผิดมีมากมาย มีชื่อว่า ‘บุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญ’ เล่าเรื่องราวความรักระหว่างชายหญิง ช่วงต้นมีการเขียนถึงมารยาทอันเพียบพร้อมของกุลสตรี ยกตัวอย่างเช่นเวลาพูดกับคนอื่น น้ำเสียงต้องนุ่มนวลอ่อนหวาน เมื่อได้พบเจอกับบัณฑิตหล่อเหลาเป็นครั้งแรกต้องก้มหน้าลงอย่างเขินอายก่อน จากนั้นถึงค่อยเงยหน้าขึ้นแอบมองเขาอย่างขลาดเขิน แล้วก็ก้มหน้าลงต่ำด้วยใบหน้าที่แดงก่ำอีกครั้ง ในหนังสือเล่มนี้มีความรู้มากมาย ทำให้นางได้รับผลประโยชน์ไม่น้อย บางตอนเป็นเรื่องเล่าที่มีฉากจบเศร้า นางก็ยังหลั่งน้ำตาทุกครั้งที่อ่าน


หลิ่วชื่อเฉิงบังคับพาตัวนางไป เดิมทีนางตกใจมาก แต่พอนางเห็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่ยืนอยู่นอกวัดโบราณ ในมือของเขาถือกิ่งหลิว กลางหว่างคิ้วมีปานแดงหนึ่งจุด นางกลับลิงโลดขึ้นมาอีกครั้ง รู้สึกว่าสวรรค์ดีกับนางไม่น้อย บุรุษถูกใจที่ทำให้นางหลงรักตั้งแต่แรกเห็นนี้ก็คือของขวัญที่สวรรค์มอบให้นาง


หลิ่วชื่อเฉิงพาลูกศิษย์และปีศาจจิ้งจอกเดินลงเขาจากไปไกล ไม่รู้ว่าไปที่ไหน


ฉีจิ้งชุนกวาดตามองไปรอบด้านแล้วก็พาเฉินผิงอันเดินออกจากวัดโบราณเช่นกัน พวกเขาไปยืนอยู่ตรงพื้นที่โล่งว่างนอกประตู อาศัยแสงจันทร์ทอดสายตามองภาพบรรยากาศยามค่ำคืนของขุนเขาที่อยู่ห่างไกลไปด้วยกัน


ฉีจิ้งชุนเอ่ยเบาๆ “คนเรามีสามจิตเจ็ดวิญญาณ สามจิตแบ่งออกเป็นไถกวาง ซ่วงหลิง โยวจิง (สามจิตคือส่วนที่เป็นจิตใจของร่างกาย ไถกวางควบคุมชะตาชีวิต ซ่วงหลิงควบคุมสติปัญญา โยวจิงควบคุมการสืบทอดนิสัยอารมณ์ทางกรรมพันธุ์) เมื่อข้าตายไปก็ได้แบ่งจิตวิญญาณและโชคชะตาของทั้งร่างคืนให้กับฟ้าดินเป็นส่วนใหญ่ เด็กๆ ที่เป็นลูกศิษย์อย่างพวกหลี่เป่าผิง หลี่ไหว ฯลฯ ต่างก็ได้อักษรคำว่าฉีไปคนละหนึ่งตัว ส่วนบนร่างของเจ้า จ้าวเหยาและซ่งจี๋ซินสามคน ข้าก็ใช้สามจิตที่หลงเหลืออยู่แอบทิ้งลมวสันต์ไว้หนึ่งกลุ่ม ตัวตนของข้าในเวลานี้ อันที่จริงไม่ถือว่าเป็นฉีจิ้งชุนที่สมบูรณ์แบบ ได้แค่ถือว่าเป็นผู้ปกป้องมรรคาที่คุ้มครองให้พวกเจ้าเดินไปบนเส้นทางในช่วงระยะทางหนึ่ง เส้นทางที่ซ่งจี๋ซินเลือก ยิ่งเดินก็ยิ่งห่างไกลจากระบบดั้งเดิมของลัทธิขงจื๊อมากขึ้นทุกที เรื่องราวบนโลกก็เป็นเช่นนี้ ต่างคนต่างก็มีวาสนาเป็นของตัวเอง ไม่สามารถบังคับควบคุมได้”


“ตอนนั้นจ้าวเหยาถูกชุยฉานขัดขวาง ในสถานการณ์ที่ถูกบีบบังคับจึงจำเป็นต้องมอบตราประทับ ‘ใต้หล้ารับวสันต์’ ไปให้อีกฝ่าย เดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องที่ข้าคาดการณ์ไว้ได้ก่อนแล้ว ดังนั้นจึงบอกกับจ้าวเหยาไว้ล่วงหน้าแล้ว บอกเขาว่าไม่จำเป็นต้องยึดติดกับการดำรงอยู่ของตราประทับชิ้นหนึ่ง ทว่าหลังจากนั้น ระหว่างที่จ้าวเหยาเดินทางไปยังทวีปอื่นก็ได้รับโชควาสนาอย่างอื่น แต่สภาพจิตใจของเขาก็ยังมีช่องโหว่ปรากฏขึ้น วันหน้าไม่แน่ว่าอาจต้องให้เจ้าที่เป็นอาจารย์อาน้อยในนามช่วยเขาสักครั้ง”


เฉินผิงอันทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่พูด


ฉีจิ้งชุนจึงเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าจะบอกว่าไม่ได้ตอบรับอาจารย์ของข้า จึงไม่อาจถือว่าเป็นศิษย์น้องเล็กของข้าได้? ไม่เป็นไร เจ้าไม่รับซิ่วไฉเฒ่าเป็นอาจารย์ แต่ข้าก็ยังรับเจ้าเป็นศิษย์น้องเล็ก”


เฉินผิงอันเกาหัว พยักหน้ารับ “ตกลง!”


ฉีจิ้งชุนตบไหล่เฉินผิงอัน “ตลอดทางที่เดินมานี้ เหนื่อยหรือไม่?”


เฉินผิงอันส่ายหน้า “วิเศษมากเลยล่ะ นอกจากฝึกหมัดแล้ว ยังได้พบเห็นภูเขาและแม่น้ำ ได้รู้จักเพื่อนใหม่อย่างจอมยุทธ์สวีและจางซานเฟิง อีกทั้งยังได้เห็นภูตผีปีศาจแปลกประหลาดมากมาย ไม่เหนื่อย”


ราวกับกลัวว่าอาจารย์ฉีจะไม่เชื่อ เฉินผิงอันจึงคลี่ยิ้ม “ไม่เหนื่อยจริงๆ นะ!”


ฉีจิ้งชุนอืมรับหนึ่งที


เขารู้ดีว่า นี่เป็นแค่ความรู้สึกว่าไม่เหนื่อยของเด็กหนุ่มเท่านั้น ตลอดทางที่มีแต่อุปสรรค หนทางเป็นหลุมเป็นบ่อไม่ราบรื่นนี้ จะไม่เหนื่อยเลยได้อย่างไร? การฝึกวิชาหมัดที่น่าเบื่อหน่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกวัน สิ่งที่แบกอยู่บนไหล่บางๆ นั้นมีแต่ความคาดหวังของคนอื่นและความยากลำบากจากวิถีของโลก และยิ่งต้องคอยป้องกันความอันตรายและชั่วร้ายจากใจคนตลอดเวลา เรื่องราวและคนที่พบเจอมีแต่ความแปลกประหลาดน่าพิศวง ไม่เหนื่อยสิแปลก


ก็แค่เด็กหนุ่มแบกภาระหนักอึ้งไว้บนบ่า แต่ไม่อยากให้คนอื่นต้องเป็นกังวลก็เท่านั้น


พอรู้ว่าอาจารย์ฉีไม่ได้รู้ไปหมดทุกเรื่อง เฉินผิงอันจึงเล่าเรื่องที่เขาได้พบเจอมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปลาตะเพียนข้ามภูเขาที่มหัศจรรย์ ตรอกเมฆาคล้อยน้ำไหลของโรงเตี๊ยมในแคว้นหวงถิง เล่าเรื่องความเคารพเลื่อมใสที่เสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองของเมืองแยนจื่อมีต่ออาจารย์ฉี และยังเล่าความร้ายกาจของตราประทับภูเขาและแม่น้ำคู่นั้น เล่าเรื่องเว่ยป้อที่ย้ายจากภูเขาฉีตุนมาอยู่ภูเขาพีอวิ๋นที่บ้านเกิด พูดถึงผีสาวสวมชุดเจ้าสาว ผีงามโครงกระดูกที่มีนิสัยแตกต่างกัน แน่นอนว่าเรื่องที่เฉินผิงอันพูดมากที่สุดยังคงเป็นเรื่องของบุรุษสวมงอบคนนั้น บอกว่าตอนที่ชายผู้นั้นพูดถึงอาจารย์ฉี จะต้องคลี่ยิ้มสดใสจนหน้าทั้งหน้ามารวมเป็นก้อนเดียวกัน ทว่าในช่วงเวลาเช่นนั้นกลับคล้ายจะเป็นช่วงเวลาที่อาเหลียงเสียใจมากที่สุด สุดท้ายเฉินผิงอันหัวเราะเล่าเรื่องที่อาเหลียงถูกศิษย์คนรองของมรรคาจารย์เต๋าต่อยกลับมาในโลกมนุษย์ด้วยหมัดเดียว แต่พอได้พบหน้ากันอีกครั้ง อาเหลียงบอกกับตนว่า ไม่ต้องรีบร้อนฝึกกระบี่ เพราะเมื่อฝึกหมัดจนถึงขีดสุดก็ถือว่าได้ฝึกวิชากระบี่แล้ว ดังนั้นเขาเฉินผิงอันจึงไม่ร้อนใจสักเท่าไหร่…


ฉีจิ้งชุนยืนเคียงบ่ากับเด็กหนุ่มที่พูดจ้อไม่หยุด เขาถามยิ้มๆ ว่า “คิดถึงอาเหลียงมากเลยใช่ไหม?”


เฉินผิงอันเงยหน้ามองม่านฟ้า พึมพำเบาๆ “สักวันอาเหลียงต้องกลับมา”


เฉินผิงอันหันหน้าไปมองอาจารย์ฉี “ใช่ไหม?”


ฉีจิ้งฉุนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม


เฉินผิงอันถามอีก “แล้วอาจารย์ฉีล่ะ?”


ฉีจิ้งชุนถอนหายใจ ส่ายหน้า “ส่งท่านพันหมื่นลี้ สุดท้ายต้องมีวันบอกลา ชีวิตนี้ของข้าฉีจิ้งชุนคงทำได้เพียงเท่านี้แล้ว”


เฉินผิงอันก้มหน้าลงมองปลายเท้าของตัวเองเงียบๆ


คำตอบนี้ก็เหมือนเมื่อครั้งอยู่ในร้านตระกูลหยาง ถึงแม้ว่าเฉินผิงอันจะคาดการณ์ได้ แต่พอได้ยินหยางเหล่าโถวพูดกับปากตัวเองว่า ‘ไม่คุ้มค่า’ เขาก็ยังคงเสียใจเหมือนเดิม อีกทั้งยังไม่ใช่แค่ความเสียใจธรรมดาอีกด้วย


ฉีจิ้งชุนยื่นมือมาวางบนศีรษะของเด็กหนุ่มเบาๆ “เศษซากวิญญาณที่เหลืออยู่ของข้าเหล่านี้ แม้จะบอกว่าในฐานะผู้ปกป้องมรรคาของพวกเจ้าสามคน จึงทำให้สายลมฤดูใบไม้ผลิทั้งหมดมารวมกันอยู่ที่นี่ แต่อันที่จริงแล้วนี่ก็เท่ากับว่าให้เจ้าออกเดินทางท่องเที่ยวในยุทธภพแทนข้าฉีจิ้งชุน ข้าไม่มีอะไรให้ต้องเสียดายอีกแล้ว”


ฉีจิ้งชุนยิ้มอย่างเข้าใจ “เสียใจได้ แต่ก็ดื่มเหล้าได้เหมือนกัน”


เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวยื่นส่งให้ฉีจิ้งชุนด้วยดวงตาแดงก่ำ


ฉีจิ้งชุนที่ร่างเริ่มจางลงเรื่อยๆ ยืดแขนบิดขี้เกียจ ส่ายหน้าพูดยิ้มๆ ว่า “ส่วนของข้าขอติดไว้ก่อนก็แล้วกัน”


เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้ดื่มเหล้า เพียงรัดน้ำเต้าไว้ตรงเอวให้เรียบร้อย


เพราะเขากลัวว่าตัวเองจะดื่มจนกลายเป็นผีขี้เหล้าไปจริงๆ


ฉีจิ้งชุนพลันเอ่ยขึ้นว่า “เฉินผิงอัน สุดท้ายนี้ให้ข้าฝึกหมัดเป็นเพื่อนเจ้าสักครั้งดีไหม?”


เฉินผิงอันตอบรับอย่างหม่นหมอง “เดินนิ่งหกก้าว?”


ฉีจิ้งชุนพยักหน้า


เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เดินไปข้างหน้าช้าๆ ออกหมัดอย่างใจเย็น


แสงจันทร์สะอาดบริสุทธิ์ ปัญญาชนลัทธิขงจื๊อชุดเขียวที่ยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอันก็เดินหน้าออกหมัดตามเด็กหนุ่มอย่างใจเย็นไม่ต่างกัน


หลังจากฝึกท่าหมัดครบหนึ่งรอบ เฉินผิงอันก็วางเท้าลงเบาๆ แล้วไม่ฝึกต่ออีก


เขาไม่ได้หันหน้าไปมอง เอาแต่จ้องมองไปไกลเบื้องหน้า เวลานี้ชายแขนเสื้อสองข้างของเฉินผิงอันไม่มีลมวสันต์ล้อมวนอีกต่อไปแล้ว


เขารู้ดีว่า


อาจารย์ฉี จากไปจริงๆ แล้ว


—–


จบภาค 3 มีดจวินชว่อ


[ภาค 4 ใกล้ปราณกระบี่] บทที่ 240.1 ชมน้ำตก

โดย

ProjectZyphon

เฉินผิงอันทำหน้าที่เฝ้ายามครึ่งคืนหลัง พอเดินกลับเข้ามาในวัดโบราณ ทั้งสวีหย่วนเสียและจางซานเฟิงต่างก็ไม่ได้เปิดปากถาม เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้พูดอะไร


ตั้งแต่กลางคืนจนถึงฟ้าสาง เฉินผิงอันนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับกองไฟโดยตลอด แสงไฟสาดสะท้อนใบหน้าที่ขาวเนียนขึ้นมาหลายส่วนนั้น ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่


ฟ้าเริ่มสาง ชายฉกรรจ์เคราดกยังคงนอนฝันหวาน จางซานเฟิงเก็บผ้าห่มเรียบร้อยก็พบว่าเฉินผิงอันไม่อยู่ในวัด เดินออกนอกประตูไปถึงสังเกตเห็นว่าเฉินผิงอันไม่ได้ฝึกวิชาหมัดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ถือกระบี่ไม้ไหวอยู่ในมือ ยืนนิ่งไม่กระดุกกระดิก


เฉินผิงอันได้ยินเสียงฝีเท้าก็หันหน้ามายิ้มให้ “ตื่นแล้วหรือ?”


จางซานเฟิงพยักหน้ารับแล้วยืดแขนคลายกล้ามเนื้อ สายลมภูเขายามเช้าตรู่ที่พัดโชยมายังคงมีไอหนาวเล็กน้อย จางซานเฟิงปลดกระบี่ไม้ไหวที่สะพายไว้ด้านหลังลง แล้วเริ่มฝึกวิชากระบี่ที่หมื่นปีก็ไม่แปรเปลี่ยน กระโดดพลิกตัวกลับไปกลับมา คนเดินตามกระบี่ เรือนกายโปร่งเบาคล่องแคล่ว


แขนของจางซานเฟิงยาวดุจแขนวานร ท่ากระบี่เชื่อมโยงต่อเนื่องกันได้สมใจปรารถนา หากดูตามสายตาของยอดฝีมือในยุทธภพก็คือตัวอ่อนกระบี่ที่ดีที่เกิดมาก็เหมาะกับการฝึกวิชากระบี่ แต่หากเป็นในสายตาของตระกูลเซียนบนภูเขา เกรงว่าคงไม่ได้พูดแบบนี้ เพราะพวกเขาให้ความสนใจกับการ ‘หล่อเลี้ยงลมปราณ หลอมลมปราณ’ มากกว่า เน้นในเรื่องการเดินขึ้นเขาที่ไวมากพอ ไวจนเป็นดั่งม้าที่เร็วที่สุดของฝูงในความรู้สึกของคนวัยเดียวกัน ไวจนคนเฒ่าคนแก่อายุนับร้อยนับพันปียังได้แต่มองตามฝุ่นที่คลุ้งตลบอยู่ด้านหลัง


หลังจากจางซานเฟิงเก็บกระบี่ไปแล้ว เฉินผิงอันก็ยังคงยืนถือกระบี่ดังเดิม เขาลังเลตัดสินใจไม่ได้ก็เลยไม่คิดจะออกกระบี่


ตอนที่กินอาหารเช้า คนทั้งสามวางแผนร่วมกัน ตัดสินใจว่าจะไปเยือนหมู่บ้านวารีกระบี่ที่ซ่งอวี่เซาสร้างขึ้นสักครั้ง ใช้เวลาพักผ่อนอยู่ที่นั่นพักหนึ่ง สืบข่าวตำแหน่งที่ตั้งของท่าเรือตระกูลเซียนแคว้นซูสุ่ยให้แน่ชัดแล้วค่อยเดินทางต่อก็ยังไม่สาย


หมู่บ้านห่างจากที่แห่งนี้ไปเจ็ดกว่าร้อยลี้ ระยะทางส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงชัน ยังดีที่พอเข้าสู่ฤดูร้อน สายลมอบอุ่นแสงแดดสดใส คนทั้งสามจึงสามารถเร่งรีบเดินทางกันได้อย่างเต็มที่ เพียงไม่นานก็เข้าสู่เขตการปกครองของหมู่บ้านวารีกระบี่ หมู่บ้านตั้งอยู่ตรงตีนเขาของภูเขาขนาดใหญ่ที่งดงาม ก่อนที่จะเข้าไปในหมู่บ้านได้ผ่านเมืองเล็กเจริญรุ่งเรืองที่มีผู้คนสัญจรไม่ขาดสายแห่งหนึ่ง เฉินผิงอันแยกไปซื้อเหล้ามาบรรจุใส่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ สวีหย่วนเสียไปที่ร้านหนังสือ จางซานเฟิงรับผิดชอบไปซื้อเนื้อและอาหารแห้งมาเติมเสบียง ถึงเวลาที่ต้องใช้เงิน คนเรามักเจ็บใจที่เงินน้อยเกินไปเสมอ ชายฉกรรจ์เคราดกถูกใจตำราของอดีตราชวงศ์แคว้นซูสุ่ยที่มีเพียงเล่มเดียวซึ่งราคาสูงมากเล่มหนึ่ง จนใจที่กระเป๋าเงินฟีบแบน ได้แต่โมโหตัวเองที่ตอนอยู่เมืองแยนจือหน้าบางเกินไป ควรจะรับเงินห้าพันตำลึงเงินนั้นมาอย่างเปิดเผยเหมือนเฉินผิงอัน


เนื่องด้วยเรื่องที่เงินอีแปะเดียวก็ล้มชายชาตรีได้ ระหว่างที่คนทั้งสามเดินทางต่อไปยังหมู่บ้านวารีกระบี่ จางซานเฟิงจึงพูดถึง ‘เงินฝนธัญพืช’ (คือฝนที่ตกมาทำให้ธัญพืชที่ปลูกเจริญเติบโตงอกงาม ตรงกับวันที่ 19  20 หรือ 21 เมษายน) ที่มีมูลค่าเหนือกว่าเงินร้อนน้อย บอกว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขายังไม่เคยเห็นเลยสักครั้ง แค่เคยได้ยินชื่อของมัน เงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญเท่ากับเงินเกล็ดหิมะหนึ่งร้อยเหรียญ ส่วนเงินฝนธัญพืชที่วัตถุดิบล้ำค่าหายากก็มีมูลค่าเท่ากับเงินร้อนน้อยร้อยเหรียญ ดูเหมือนว่าพวกเซียนขอบเขตโอสถทองหรือขอบเขตก่อกำเนิดล้วนใช้เงินชนิดนี้มาแลกเปลี่ยนสมบัติอาคม ที่สำคัญที่สุดก็คือเดิมทีเงินฝนธัญพืชก็เป็นเหมือนของบำรุงชิ้นโตสำหรับผู้ฝึกลมปราณอยู่แล้ว เพราะสามารถบำรุงลมปราณ ชดเชยพลังต้นกำเนิดคืนมาได้อย่างรวดเร็ว


ระหว่างนี้สวีหย่วนเสียเอ่ยเตือนพวกเขาสองคนว่า ผลเก็บเกี่ยวจากการกำจัดปีศาจปราบมารที่เมืองแยนจือในครั้งนี้ หากไม่มีประโยชน์ต่อการฝึกตนของตัวเอง ทางที่ดีที่สุดควรหาร้านหนึ่งบนภูเขา ต่อให้จะถูกกดราคา แต่ขอแค่ไม่ถูกเกินไปนักก็ควรจะขายออกไปซะ แล้วเอาเงินมาซื้อวัตถุวิเศษที่จำเป็นและมีประโยชน์ต่อการฝึกตนของตัวเองสักชิ้นสองชิ้นเก็บไว้ในกระเป๋าให้สบายใจ เงินทองเป็นอย่างนี้ การเลื่อนขั้นของขอบเขตก็ยิ่งเป็นเช่นนี้


สำหรับเรื่องนี้จางซานเฟิงมีความคิดอยู่ในใจแล้ว เขาบอกว่าจะซื้อยันต์โจมตีที่ตัวเองปรารถนาแม้ในยามหลับฝันมาสักสองสามแผ่น หากเป็นยันต์วิชาอสนีย่อมดีที่สุด นอกจากนี้ก็หวังว่าจะเจอกระบี่อาคมที่ราคายุติธรรมสักชิ้น แม้ว่ากระบี่ไม้ท้อจะสามารถกำจัดปีศาจปราบมารได้เหมือนกัน แต่มีขีดจำกัดอยู่ที่เดิมทีวัสดุอย่างไม้ท้อก็เปราะบางอยู่แล้ว หากเจอกับปีศาจใหญ่แห่งภูเขาและแม่น้ำที่มีฝีมือเลิศล้ำอย่างแท้จริง คงต้องเคราะห์ร้ายแน่


เฉินผิงอันยังตัดสินใจไม่ได้ แน่นอนว่าเขาปรารถนาอยากให้สมบัติอาคมนับพันนับหมื่นชิ้นในโลกเข้ากระเป๋าตัวเองอย่างเดียว ไม่มีออกไปไหน


อีกอย่างเขาเองก็ไม่เหมือนกับจางซานเฟิง รากฐานในการหยัดยืนของเขาคือเรือนกายและวิชาหมัดของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่สามารถพกติดตัวไปได้ทุกหนแห่ง และเป็นการป้องกันตัวเองอย่างหนึ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เขายังมีบรรพบุรุษน้อยที่มีพลังสังหารไร้เทียมทานอีกสองท่านในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ดังนั้นจึงยังไม่มีความคิดที่จะขายของเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้รับมา หรือใช้สิ่งของแลกสิ่งของอย่างที่พวกผู้ฝึกลมปราณทำกัน


ไปถึงหมู่บ้านวารีกระบี่ที่มีรถม้าขับเคลื่อนไม่ขาดสาย คนทั้งสามค้นพบว่าสภาพการณ์ของตัวเองค่อนข้างน่ากระอักกระอ่วน หมู่บ้านกระบี่มีผู้ดูแลแซ่ฉู่ที่อายุมากอยู่คนหนึ่งก็จริง แต่พอคนเฝ้าประตูและผู้ดูแลฝ่ายนอกซึ่งรับผิดชอบหน้าที่รับรองแขกได้ยินว่ามีคนแปลกหน้าต่างถิ่นสามคนเปิดปากพูดว่าจะพบท่านบรรพบุรุษฉู่ แม้ใบหน้าของเขาจะไม่แสดงสีหน้าอะไร แต่ก็สรรหาเหตุผลที่ถูกต้องเหมาะสมมาปฏิเสธ ต้องรู้ว่าบรรพบุรุษสู่อายุเกือบร้อยปี เป็นรัฐบุรุษอาวุโสที่สร้างคุณความชอบช่วยช่วงชิงใต้หล้ามาพร้อมกับอดีตเจ้าหมู่บ้าน จึงเลิกสนใจเรื่องราวทางโลกมานานแล้ว หรือถึงขั้นพูดได้ว่า หลังจากที่อดีตเจ้าหมู่บ้านมอบหมู่บ้านให้หลานชายคนโตดูแล เขาก็ทำตัวเหมือนมังกรเทพที่เห็นแต่หัวไม่เห็นหาง มักจะออกไปข้างนอก ไม่กลับหมู่บ้านนานถึงสามปีห้าปีเป็นประจำ บรรพบุรุษฉู่ที่มีคุณธรรมและบารมีสูงส่งก็คือรองเจ้าหมู่บ้าน ใช่คนที่ใครคิดอยากจะเจอก็ได้เจออย่างนั้นหรือ? คิดว่าหมู่บ้านวารีกระบี่ของพวกเขาเป็นร้านค้าข้างทางในเมืองหรือยังไง?


ดังนั้นคนทั้งสามจึงได้กินน้ำแกงประตูปิด (หมายถึงคนที่เจ้าของบ้านปิดประตูไม่ให้การต้อนรับ) แบบไม่หยาบคายแต่ก็ไม่อ่อนโยน จางซานเฟิงถามสวีหย่วนเสียว่าจะยัดเงินบอกให้ผู้ดูแลคนนั้นช่วยปล่อยผ่านไปได้หรือไม่


สวีหย่วนเสียยิ้มจืดเจื่อนตอบ “คนในยุทธภพ โดยเฉพาะผู้นำแห่งยุทธภพอย่างหมู่บ้านวารีกระบี่นี้ การที่เราควักเงินแก้ปัญหาเท่ากับตบหน้าคนอื่น เหตุการณ์จะกลับตาลปัตรทันที”


จางซานเฟิงเอ่ยยิ้มๆ “ถ้าไม่ได้จริงๆ พี่ใหญ่สวีก็แสดงวิชาดาบอยู่หน้าประตูใหญ่สักชุด รับรองว่าพวกเราจะได้เป็นแขกผู้มีเกียรติทันที”


อันที่จริงน้ำในยุทธภพของแจกันสมบัติทวีปไม่ลึกนัก เทียบกับอุตรกุรุทวีปที่มีมือกระบี่ฝีมือสูงส่งจำนวนมากไม่ได้ ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตสี่อย่างสวีหย่วนเสีย เมื่อมาอยู่ในยุทธภพของแคว้นเล็กๆ อย่างแคว้นซูสุ่ยนี้ก็ถือว่าเป็นปรมาจารย์ที่ก้าวเดินได้อย่างอาจหาญแล้ว แถมมีอาวุธเทพเหมาะมืออยู่กับตัวก็ยิ่งเป็นดั่งพยัคฆ์ติดปีก หากตอนนั้นที่อยู่ในวัดร้างไม่เป็นเพราะหลงกล ถูก ‘หมัวมัว’ ที่รูปลักษณ์เป็นเด็กสาวลอบโจมตี ได้ต่อสู้กันอย่างเต็มที่ตรงไปตรงมา ก็ไม่แน่เสมอไปว่าสวีหย่วนเสียจะพ่ายแพ้ให้กับหมัวมัวหนึ่งในสี่พิฆาตของแคว้นซูสุ่ย


สวีหย่วนเสียใช้ฝ่ามือลูบเคราตัวเอง หากไม่ได้จริงๆ ก็คงต้องทำตามวิธีนี้แล้ว


แต่ทันใดนั้นจางซานเฟิงก็กระตุกชายแขนเสื้อของคนทั้งสอง สวีหย่วนเสียและเฉินผิงอันหันไปมองก็เห็นว่ามีรถม้าใหญ่ยักษ์ที่ประดับประดาอย่างหรูหราค่อยๆ จอดลงอย่างเปี่ยมอำนาจและบารมี มีเด็กสาวคนหนึ่งกับชายฉกรรจ์ร่างใหญ่โตคนหนึ่งเดินลงมา ใบหน้าของเด็กสาวคุ้นตา นางก็คือมารร้ายที่วางแผนหวังกระทำการเหี้ยมโหดในวัดร้าง ตอนนั้นนางพูดกับซ่งอวี่เซาแห่งแคว้นซูสุ่ยว่านางจะมาเยือนหมู่บ้านวารีกระบี่ด้วยตัวเอง คิดไม่ถึงว่านางจะพูดจริงทำจริง ไม่เลอะเลือนเลยแม้แต่นิดเดียว


ชายฉกรรจ์ร่างสูงถึงเก้าฉื่อ เดินมามือเปล่า แต่กลับเปี่ยมไปด้วยพละกำลังน่ายำเกรง ไม่ว่าจะเดินผ่านที่ใด จอมยุทธ์ของยุทธภพแห่งต่างๆ ยอดฝีมือจากพรรคดัง และผู้มีชื่อเสียงในวงการการต่อสู้ต่างก็พากันขยับหลบเปิดทางให้


พวกเฉินผิงอันมองเห็นมารเด็กสาว นางเองก็มองเห็นพวกเขา หันไปพูดกับชายฉกรรจ์ร่างบึกบึนครู่หนึ่งก็เห็นตรงมาหาคนทั้งสาม แล้วยอบตัวคารวะอย่างชดช้อย จากนั้นจึงยิ้มบางๆ กล่าวว่า “วีรบุรุษทั้งสามท่าน หากพวกเราไม่ตีกันก็คงไม่ได้รู้จักกัน ครั้งนี้มาเป็นแขกที่หมู่บ้านวารีกระบี่ ไม่สู้พวกเราสองฝ่ายมานั่งร่วมโต๊ะ ใช้รอยยิ้มสลายความแค้นดีหรือไม่?”


สวีหย่วนเสียหันไปสบตากับเฉินผิงอันและจางซานเฟิงก่อน ค่อยหันหน้ามายิ้มให้นาง “ได้สิ”


เพียงไม่นานทางฝ่ายของหมู่บ้านก็มีผู้เฒ่าหลังงอแซ่ฉู่เดินออกจากประตูมาต้อนรับเด็กสาวและชายฉกรรจ์ ที่แท้ก่อนที่จะมาเยือน ชายร่างยักษ์ได้ส่งเทียบเชิญมาก่อนแล้ว ทางหมู่บ้านจึงไม่กล้าเพิกเฉย


สวีหย่วนเสียอาศัยโอกาสนี้เอ่ยคำพูดของซ่งอวี่เซาให้ผู้เฒ่าฟัง ผู้เฒ่าคนนี้ก็คือผู้เฒ่าแซ่ฉู่ผู้ดูแลใหญ่ของหมู่บ้าน พอได้ยินประโยคนี้ก็แน่ใจว่าเป็นคำพูดของอดีตเจ้าหมู่บ้าน เมื่อเทียบกับความระมัดระวังที่ปฏิบัติต่อเด็กสาวและชายร่างใหญ่แล้ว กับพวกสวีหย่วนเสียจึงมีความจริงใจและกระตือรือร้นเพิ่มขึ้นมา อีกอย่างสหายในยุทธภพที่เข้าตาอดีตเจ้าหมู่บ้านได้ และยิ่งเป็นในช่วงเวลาเช่นนี้ก็ควรต้องผูกมิตรเอาไว้ให้มาก ไม่แน่ว่านายน้อยเจ้าหมู่บ้านจะได้นั่งบนเก้าอี้ผู้นำมั่นคงขึ้น!


เข้ามาในหมู่บ้าน เดินลอดระเบียง ข้ามเส้นทาง อ้อมผ่านกำแพงบังตา หมู่บ้านกระบี่สร้างขึ้นอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว คนทั้งสามถูกผู้ดูแลฉู่พามาพักเรือนเดี่ยวขนาดใหญ่ที่ทิวทัศน์งามสง่าแห่งหนึ่ง ส่วนเด็กสาวกับชายร่างใหญ่ก็พักอยู่ในเรือนติดกัน


ก่อนจะเข้ามาในเรือนเฉินผิงอันก็ได้ยินเสียงน้ำไหลแล้ว พอถามว่าใกล้ๆ นี้มีธารน้ำหรือไม่ ถึงได้รู้ว่าหากเดินเลียบไปตามทางเดินหินด้านหลังเรือน ไม่ใกล้กับที่แห่งนี้เท่าไหร่ มีน้ำตกสายใหญ่ตกลงมาจากที่สูงอยู่สายหนึ่ง เป็นทัศนียภาพที่งดงามแห่งหนึ่งของหมู่บ้านวารีกระบี่ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วแคว้นซูสุ่ย หากเป็นหลังฝนตกจะมีสายรุ้งพาดผ่านท้องฟ้า เป็นภาพที่ยิ่งใหญ่และงดงาม สร้างความประทับใจให้แก่คนมอง


ตอนนี้สวีหย่วนเสียกับจางซานเฟิงยังไม่อยากออกไปข้างนอก เฉินผิงอันจึงไปดูน้ำตกเพียงลำพัง


จางซานเฟิงฝึกวิชากระบี่อยู่ในลานบ้าน สวีหย่วนเสียที่นั่งอยู่บนม้านั่งหินเอ่ยเยาะเย้ยตัวเอง “ดีนักนะ ข้าเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่ ดันไม่ได้ยินเสียงน้ำตก แต่ไอ้หนูอย่างเจ้ากลับหูดีนัก”


หลังจากผู้เฒ่าแซ่ฉู่คนนั้นเดินมาได้ระยะหนึ่งก็หยุดฝีเท้าลง หันกลับไปมองยังทิศทางของน้ำตกกลางภูเขาที่อยู่ห่างไปไกลแล้วพึมพำกับตัวเอง “หรือว่าเด็กหนุ่มสะพายกระบี่คนนี้คือปรมาจารย์ใหญ่แก่ชราที่กลับคืนเป็นหนุ่ม?”


……


เขตการปกครองหลงเฉวียนได้ต้อนรับกองกำลังทหารกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นแขกที่หาได้ยากยิ่ง


กองกำลังทหารกลุ่มนี้เป็นคนของทางการต้าสุย แม้ว่าจะแต่งตัวเรียบง่าย ไม่ได้ติดอาวุธหนัก อีกทั้งยังไม่ได้โบกธงตีกลอง แต่ก็ยังสร้างคลื่นมรสุมลูกใหญ่ให้กับราชสำนักของต้าหลี เป็นเหตุให้ในกลุ่มคนของต้าหลีที่มารับแขกมีนายพลเอกเสาหลักของแคว้นอยู่ถึงสองท่าน แบ่งออกเป็นนายพลแซ่หยวนและแซ่เฉา และยังมีเจ้ากรมพิธีการที่มีชาติกำเนิดมาจากสำนักศึกษาซานหยา รวมไปถึงผู้อาวุโสใหญ่ในเมืองหลวงอีกหลายท่าน ซึ่งทุกคนต่างก็เป็นญาติสนิทของฮ่องเต้ต้าหลีโดยไม่มีข้อยกเว้น เจ้าเมืองอู๋ยวนที่อยู่ท่ามกลางคนเหล่านี้จึงไม่สะดุดตาเอาเสียเลย


คนสำคัญของทางฝ่ายต้าสุยคือผู้เฒ่าอายุมากที่ชื่อเสียงไม่โด่งดังคนหนึ่ง รู้เพียงว่าแซ่เกา แซ่เดียวกับฮ่องเต้ต้าสุย เพียงแต่ว่าดูจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้วกลับคล้ายนักเล่านิทานที่มีสี่สมุทรเป็นบ้านมากกว่า ไม่มีกลิ่นอายของความสูงศักดิ์ร่ำรวยใดๆ ข้างกายมีเด็กสาวติดตามมาด้วยคนหนึ่ง ในรถม้าอีกสองคันที่เหลือ ผู้ที่โดยสารมาแบ่งออกเป็นองค์ชายเกาเซวียนและขันทีสวมชุดลายงูหลาม รวมไปถึงรองเจ้ากรมพิธีการคนหนึ่งที่มีสง่าราศี แต่ระดับตำแหน่งไม่สูงมากนัก


หลังจากที่คนทั้งสองกลุ่มมาเจอกันที่จุดพักม้าแห่งหนึ่งก็แค่กินข้าวดื่มชาง่ายๆ ร่วมกันหนึ่งมื้อ จากนั้นก็รีบร้อนเดินทางไปยังภูเขาพีอวิ๋นที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งใหม่ให้เป็นขุนเขาเหนือ เว่ยป้อเทพใหญ่แห่งขุนเขาเหนือและเฉิงสุ่ยตงที่ในอดีตมีชาติกำเนิดเป็นขุนนางของแคว้นหวงถิง แต่ตอนนี้กลับกระโดดพรวดขึ้นเป็นรองเจ้าสำนักศึกษาหลินลู่ หนึ่งทวยเทพหนึ่งเจียวเฒ่ามายืนรอคนกลุ่มใหญ่อยู่ที่ตีนเขาอย่างอดทน


สามฝ่ายเจอกันแล้วก็ทยอยพากันขึ้นเขา


สกุลซ่งต้าหลีกับสกุลเกาต้าสุยจะจับมือเป็นพันธมิตรกันบนภูเขาพีอวิ๋น!


‘พันธมิตรภูเขา’ ในครั้งนี้ สองราชวงศ์ใหญ่สุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ทางทิศเหนือของบุรพแจกันสมบัติทวีปจะลงนามเป็นพันธมิตรที่ร่วมมือกันป้องกันและโจมตีศัตรูเป็นเวลาหนึ่งร้อยปี


ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังจะลงนามเป็นพันธมิตรตามกฎระเบียบที่ลัทธิขงจื๊อตั้งไว้ เด็กหนุ่มสองคนที่อายุเท่ากันยืนอยู่ฝั่งตรงกันข้าม ทั้งสองต่างก็เป็นองค์ชายเหมือนกัน คนหนึ่งชื่อซ่งจี๋ซิน ด้านหลังมีสาวใช้จื้อกุยที่ใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวยืนอยู่ อีกคนหนึ่งชื่อเกาเซวียน ด้านหลังมีขันทีผมขาวโพลนสวมชุดลายงูหลามยืนสอดมือประสานกันอย่างเคร่งขรึม


เกาเซวียนยิ้มบางๆ กล่าวว่า “พบกันอีกแล้วนะ”


ความทรงจำที่ซ่งจี๋ซินมีต่อเชื้อพระวงศ์ต้าสุยที่พบกันครั้งแรกในตรอกหนีผิงผู้นี้ย่ำแย่มาก จึงไม่ได้เปิดปากพูดอะไร


เกาเซวียนทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “ลมและน้ำหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ตอนนี้เจ้าร้ายกาจกว่าข้าแล้ว”


ซ่งจี๋ซินยิ้มหยัน ไม่เอ่ยคำใด


เกาเซวียนจึงเปลี่ยนไปมองเด็กสาวสะโอดสะองคนนั้น ยิ้มบางๆ พูดกับนาง “ตอนนี้ข้ากับเฉินผิงอันเป็นสหายที่สนิทกันมาก ตอนเขาอยู่ต้าสุย ขอแค่พูดถึงเรื่องที่บ้านเกิดก็มักจะพูดถึงเจ้าเป็นประจำ”


จื้อกุยกลอกตามองบนใส่อย่างไม่เกรงใจ


ดูเหมือนเกาเซวียนจะนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงถามซ่งจี๋ซิน “ตอนนั้นที่ข้าขอซื้อตัวสาวใช้คนนี้ ถ้าจำไม่ผิด ดูเหมือนเจ้าจะตั้งราคาหมื่นตำลึงทอง ตอนนี้ยังราคาเดิมไหม?”


คราวนี้ซ่งจี๋ซินยอมเปิดปากพูดในที่สุด “ต้าสุยทั้งหมดราคาเท่าไหร่ ไหนลองว่ามาสิ วันหน้าหากข้ามีเงิน ไม่แน่ว่าอาจจะซื้อ”


เกาเซวียนจุ๊ปากพูด “คนอาศัยเสื้อผ้า ม้าอาศัยอาน คำพูดของเจ้าในเวลานี้ช่างน่าตกใจจริงๆ”


ซ่งจี๋ซินหัวเราะหยัน “ถ้าอย่างนั้นเจ้าตกใจตายแล้วหรือยัง?”


เกาเซวียนเบ้ปาก ไม่คิดต่อล้อต่อเถียงกับเจ้าหมอนี่อีก เขาหันไปมองศาลเทพขุนเขาเหนือของต้าหลีที่ยิ่งใหญ่โอ่อ่า ถามเบาๆ ว่า “ศาลขุนเขาเหนืออยู่ที่นี่ แล้วขุนเขาใต้ล่ะ?”


……


บนภูเขาตงซานของเมืองหลวงต้าสุยอันเป็นที่ตั้งสำนักศึกษาซานหยาก็มีการลงนามกึ่งพันธมิตรภูเขาที่ค่อนข้างลึกลับซับซ้อนเกิดขึ้น แม้มองดูแล้วจะมีคุณสมบัติไม่สูงมากนัก อีกทั้งยังไม่ได้เปิดเผยข่าวใดๆ ให้ภายนอกรับรู้ แต่คนทั้งในและนอกเมืองหลวงต้าสุยต่างก็ตึงเครียดกันมาก นับตั้งแต่ฮ่องเต้ไปจนถึงหกกรม รวมไปถึงคนทั้งบนและล่างภูเขา ด้านนอกผ่อนคลาย ด้านในตึงเครียด ทุกคนจับตามองสำนักศึกษาซานหยาอย่างไม่ให้คลาดสายตา ยังดีที่รองเจ้าขุนเขาเหมาเสี่ยวตงทำตัวคล้ายแม่ไก่ที่ปกป้องฝูงลูกเจี๊ยบ ยืนกรานกับราชสำนักต้าสุยอย่างแข็งขันว่า อย่าถ่วงเวลาการเรียนการสอนตามปกติของสำนักศึกษาด้วยสาเหตุนี้ นี่จึงเป็นเหตุให้เหล่าอาจารย์และนักเรียนส่วนใหญ่ในสำนักศึกษาต่างก็สัมผัสไม่ได้ถึงความผิดปกติ


การที่ต้าสุยหวาดหวั่นขวัญผวากันขนาดนี้ จะโทษว่าต้าสุยทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ไม่ได้ เพราะคนที่รับผิดชอบมาลงนามพันธมิตรขุนเขาของฝ่ายต้าหลีในครั้งนี้มีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก


ราชครูต้าหลี ชุยฉาน


ในเรือนที่สง่างามสงบเงียบแห่งหนึ่งของสำนักศึกษาซานหยา เด็กสาวเซี่ยเซี่ยที่ตอนนี้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งเมืองหลวงต้าสุยกำลังนั่งคุกเข่าอยู่หน้าประตู ไม่กล้าหายใจดัง


ในห้องมีคนสองคนนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน


อันที่จริงหากจะพูดให้ถูกก็คือ เป็นคนคนเดียวกัน


เด็กหนุ่มชุยฉานสวมชุดขาวพลิ้วไหว ชุยฉานผู้เฒ่าสวมชุดปัญญาชนสีเขียว


หลังจากคนทั้งสองได้พบหน้ากันก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกัน เพียงแค่เล่นหมากล้อมด้วยกันหนึ่งตา สุดท้ายเด็กหนุ่มที่เปลี่ยนชื่อเป็นชุยตงซานเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่เด็กหนุ่มกลับไม่ได้อารมณ์เสีย ยังสามารถเล่นทวนซ้ำเพียงลำพังด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม


สีหน้าของชุยฉานผู้เฒ่าเคร่งเครียด รับชาร้อนถ้วยหนึ่งที่เด็กสาวเซี่ยเซี่ยส่งมาให้ด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ดื่มชาเนิบช้า ไม่แม้แต่จะปรายตามองหมากบนกระดาน


 —–


บทที่ 240.2 ชมน้ำตก

โดย

ProjectZyphon

จู่ๆ ชุยฉานก็เอ่ยขึ้นว่า “ต่อให้ตอนนี้มีวิธีรวมวิญญาณเข้าเป็นหนึ่ง เจ้าก็ไม่ยินดีจะทำแล้วใช่หรือไม่?”


ชุยตงซานที่ค้อมตัวไปหยิบเม็ดหมากเก็บใส่โถอย่างต่อเนื่องตอบเสียงขุ่น “ยังต้องถามอีกหรือ? ชุยฉานมีนิสัยเป็นอย่างไร ยอมเป็นหัวไก่แต่ไม่ยอมเป็นหางหงส์ เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนเป็นแบบนี้ หนึ่งหมื่นปีให้หลังก็ยังจะเป็นแบบนี้!”


ชุยฉานทอดถอนใจ “เรื่องราวบนโลกยากจะคาดการณ์ และบางทีก็ไร้สาระได้อย่างน่าเหลือเชื่อ”


ชุยตงซานถามยิ้มๆ “ตอนนี้ข่าวสารของข้าไม่ว่องไวนัก ทางฝ่ายแคว้นไฉ่อีตอนกลางของแจกันสมบัติทวีปเกิดเรื่องวุ่นวายกันแล้วใช่ไหม?”


ชุยฉานพยักหน้ารับ “แม้ว่าจะมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่ส่งผลต่อสถานการณ์โดยรวม และเรื่องวุ่นวายนั่นก็จบลงแล้ว”


ชุยตงซานที่เก็บกระดานหมากอยู่นานชำเลืองมองตาเฒ่าที่นั่งตัวตรงอย่างสำรวมราวกับนายท่านใหญ่ด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย ตัดสินใจเลิกเปลืองแรงให้เหนื่อยยาก ทิ้งตัวนอนหงายกางแขนกางขาบนเสื่อไม้ไผ่ผืนใหญ่ที่ทอขึ้นอย่างประณีต พูดงึมงำ “เจ้าโชคดีกว่าข้ามากเลย ซิ่วไฉเฒ่าเป็นพวกชอบรังแกคนอ่อนแอหวาดกลัวคนเหนือกว่า ไม่ยินดีจะแตกหักกับเจ้าก็เลยหันมาเล่นงานหนุ่มน้อยที่ไร้เดียงสาอย่างข้า เจ้าไม่รู้หรอกว่าตั้งแต่ถ้ำสวรรค์หลีจูมาจนถึงเมืองหลวงต้าสุยแห่งนี้ ข้าผู้อาวุโสได้รับความอยุติธรรมและถูกผู้คนดูแคลนมากเท่าไหร่”


ชุยฉานเงียบไม่ต่อคำ


ชุยตงซานนอนหงายอยู่บนเสื่อ ยกมือลูบหน้าผากราวกับว่าตอนนี้ก็ยังเจ็บตุบๆ ภาพที่หลี่เป่าผิงเด็กบ้านั่นเอาตราประทับทุบหัวเขาก็คือเงามืดในใจ!


ชุยตงซานยกขานอนไขว่ห้าง ถอนหายใจเฮือกๆ “ฮ่องเต้ต้าสุยถือว่าเป็นคนกล้าหาญ ทนรับความอัปยศแบกภาระหนักอึ้งได้ การที่เขายอมถูกหยามเกียรติลงนามเป็นพันธมิตรกับต้าหลีในครั้งนี้ สกุลเกาแห่งเมืองอี้หยางต้าสุยต้องทำตัวเป็นเต่าหดหัว ยอมพึ่งพิงอยู่ใต้ชายคาของคนอื่น ต้องยอมยกแคว้นใต้อาณัติซึ่งรวมถึงแคว้นหวงถิงให้ต้าหลีด้วยสาเหตุนี้ถึงหนึ่งร้อยปี ได้แต่ทนมองให้กองทัพม้าเหล็กของต้าหลีมุ่งหน้าลงใต้ ควบผ่านประตูหน้าบ้านของตัวเองคาตา และนี่ย่อมต้องเป็นการควบรวมอำนาจที่ใหญ่ที่สุดซึ่งไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ของแจกันสมบัติทวีปมาก่อน”


ชุยฉานเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “อีกร้อยปีให้หลัง สถานการณ์ของแจกันสมบัติทวีปจะเป็นอย่างไร เจ้าและข้ามองเห็นได้หรือ? ต่อให้มองเห็น แล้วจะถูกต้องเสมอไปหรืออย่างไร? การอดทนข่มกลั้นของสกุลเกาต้าสุยในวันนี้ ก็ไม่แน่ว่าภายภาคหน้าอาจจะได้กลายเป็นคนมาทีหลังที่ก้าวนำไปก่อน”


ชุยตงซานส่ายหน้า “หากเปลี่ยนมาเป็นข้าคงกล้ำกลืนโทสะนี้ไม่ลง”


ชุยฉานแค่นหัวเราะ “ที่แท้ข้าชุยฉานตอนเป็นเด็กหนุ่ม ไม่ว่าจะนิสัยหรือสายตาก็ล้วนไม่เอาไหน มิน่าเล่าวันนี้ข้าถึงมีสภาพน่าอนาถได้ถึงขนาดนี้”


ชุยตงซานไม่โกรธ เขากระดิกขาข้างหนึ่ง สอดสองมือหนุนเป็นหมอนใต้ท้ายทอย สายตาจ้องเป๋งไปที่เพดาน “ไม่รู้ว่าทำไม เจ้าดูถูกข้าในเวลานี้ ข้าเองก็ไม่ชอบเจ้าในตอนนี้เหมือนกัน คนที่ส่องกระจก ต่างฝ่ายต่างรังเกียจกันเอง ฮ่าๆ ไม่นึกว่าใต้หล้าจะมีเรื่องที่น่าสนใจขนาดนี้”


ชุยฉานลังเลอยู่ชั่วขณะ “ท่านปู่ไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียน พักอาศัยอยู่ในเรือนไม้ไผ่แห่งหนึ่ง ตอนนี้สติกลับคืนมามากแล้ว แต่ว่า…”


“รู้อยู่แล้วว่าต้องมีไอ้คำว่า ‘แต่’ สมควรตายนี่!”


ชุยตงซานยกมือสองข้างอุดหู นอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเสื่อ ร้องคร่ำครวญเลียนแบบหลี่ไหว “ไม่ฟังๆ คนระยำท่องคัมภีร์”


ชุยฉานไม่สนใจเขา ยังคงพูดกับตัวเองต่อไปว่า “ก่อนหน้าที่ลู่เฉินจะไปจากใต้หล้าไพศาล ได้ไปหาเขาและประมือกันในเรือนไม้ไผ่ เจ้าน่าจะรู้ดีว่า ด้วยนิสัยดึงดันที่พอได้ฝึกวิชาหมัดก็ฝึกจนธาตุไฟเข้าแทรกของเขาแล้ว ปรารถนาสูงสุดในชีวิตคืออยากรู้ว่าเส้นทางของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบกับเส้นทางของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบสาม หรือแม้แต่กับเส้นทางของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบสี่ ใครสูงใครต่ำ และต่อให้ต่ำ จะต่ำกว่ากันมากน้อยเท่าไหร่ ดังนั้นต่อให้เผชิญหน้ากับเจ้าลัทธิที่ดูแลลัทธิเต๋าสายหนึ่ง…”


ชุยตงซานหันหน้ามามองผู้เฒ่าที่มีหมากล้อมหนึ่งกระดานกั้นขวาง “ลู่เฉินอยู่ในใต้หล้าไพศาลก็ควรต้องเคารพกฎที่ศาลเจ้าบุ๋นตั้งไว้กระมัง อย่างมากสุดก็ได้แค่ใช้ขอบเขตสิบสาม หากท่านปู่สามารถกลับคืนสู่จุดสูงสุดของขอบเขตสิบได้ ก็ใช่ว่าจะไม่มีพลังให้ต่อสู้เสียเลย ไม่ได้เรื่องแค่ไหนก็ไม่ถึงขั้นต้องตายสถานเดียว”


ชุยฉานส่ายหน้า “ลู่เฉินเล่นตุกติก พาเขาเข้าไปในถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กแห่งหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้สนามต่อสู้จึงไม่ถือว่าอยู่ในใต้หล้าไพศาลแล้ว”


ชุยตงซานผุดลุกขึ้นนั่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยปราณสังหาร แต่น้ำเสียงกลับหนักแน่นเก็บอารมณ์อย่างถึงที่สุด “ท่านปู่ตายแล้ว?”


ชุยฉานจิบชา ก่อนพูดเนิบช้าว่า “เปล่า หลังจบเรื่องเขาเดินออกมาจากในเรือนไม้ไผ่ ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการขายสี่สมบัติในห้องหนังสือ (พู่กัน กระดาษ หมึก จานฝนหมึก) เหมือนชาวบ้านทั่วไปของเมืองเล็กคนหนึ่ง ตอนที่ข้าไปหาเขา เขาบอกว่าตอนที่อยู่ในถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กนั่น ลู่เฉินใช้มรรคกถาที่ลี้ลับเรียกผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบถึงสิบคนออกมาให้เขาใช้งาน ลองจินตนาการดู หนึ่งคนสองหมัด ถูกผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบในตำนานสิบท่านโอบล้อม ทั้งๆ ที่รู้ว่าต้องตายอย่างแน่นอน เจ้าจะยังปล่อยหมัดนั้นออกไปหรือไม่?”


ชุยตงซานลุกขึ้นยืน แล้วก็นั่งลงขัดสมาธิอีกครั้ง ยื่นมือมาทึ้งผมตัวเอง กล่าวอย่างหงุดหงิด “ข้าย่อมไม่ทำอยู่แล้ว แต่เขาน่ะทำแน่นอน ท่านปู่จะไม่รู้เลยหรือว่า เมื่อเก็บหมัดนี้กลับมาก็เท่ากับว่าโยนขอบเขตสิบเอ็ดของวิถีวรยุทธ์ในตำนานทิ้งไป? หากไม่ปล่อยหมัดนี้ออกไป สิ่งที่แสวงหามาทั้งชีวิตก็ล้วนถูกละทิ้งไปทั้งหมดน่ะสิ”


ชุยฉานวางถ้วยชาลง “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ต่อให้เขาปล่อยหมัดไปแล้วยังมีชีวิตอยู่ต่อได้อีก หรืออาจถึงขั้นเลื่อนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบเอ็ดได้อย่างราบรื่น ถ้าอย่างนั้นเจ้ากับข้า และยังมีเฉินผิงอัน วันหน้าจะยังมีชีวิตที่เป็นสุขได้อีกหรือ? พวกตาแก่ทั้งหลายที่หลบซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังมานับร้อยนับพันปีอาจจะยอมปล่อยให้แจกันสมบัติทวีปมีผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบ แต่ไม่แน่เสมอไปว่าจะยอมรับเทพแห่งการต่อสู้ขอบเขตสิบเอ็ดคนใหม่ได้ ดังนั้นหมัดนี้ของเขาจึงเป็นการแลกเปลี่ยนกับเจ้าลัทธิลู่เฉิน หรือจะพูดอีกอย่างว่าเป็นการแลกเปลี่ยนกับทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เอาขอบเขตสิบเอ็ดของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่งไปแลกกับโอกาสที่จะได้ขายของเล็กๆ น้อยๆ ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด แลกมาด้วยวันเวลาที่สงบสุขร่มเย็นไปตลอดชีวิต”


ชุยตงซานทิ้งตัวนอนหงายดังตุ้บ “น่าเบื่อ”


หัวใจของชุยฉานสั่นไหวเล็กน้อย หันขวับไปมองที่นอกประตู


ชุยตงซานก็ทำแบบเดียวกัน


ชุยฉานหัวเราะหยัน “ฉีจิ้งชุน! วิญญาณไม่ยอมดับสลายไปเสียที จนกระทั่งบัดนี้ถึงได้ยอมหยุดอย่างแท้จริง ข้าอยากจะรู้นัก ว่าเจ้าจะยังมีวิธีรับมือเหลือทิ้งไว้ให้เล่นหมากล้อมกับข้าอีกหรือไม่!”


ชุยตงซานกล่าวอย่างมีใจสู้แต่ไร้กำลัง “เหล่าชุยเอ๋ย เจ้าอยากจะปวดหัวก็ปวดหัวไปคนเดียวเถอะ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่เล่นหมากล้อมกับฉีจิ้งชุนอีกแล้ว เพราะมันยิ่งน่าเบื่อเข้าไปใหญ่”


ชุยฉานส่งเสียงหึในลำคอ ลุกขึ้นยืนหลุบตามองต่ำมายังตัวเองที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มแล้วหัวเราะหยัน “โคลนเละปั้นไม่ติดกำแพง!”


ชุยตงซานหัวเราะคิกคักได้หน้าตาเฉย “อันที่จริงนอนอาบแดดอยู่ในโคลนเละๆ ก็สบายจะตายไป อย่าได้ปั้นประคองข้าขึ้นมาเด็ดขาดเชียว ใครทำอย่างนั้นข้าโกรธตายเลย”


ชุยฉานยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง “เอามา!”


ชุยตงซานกะพริบตาปริบๆ “อะไร?”


สีหน้าของชุยฉานดำคล้ำ “วัตถุจื่อชื่อชิ้นนั้น!”


ชุยตงซานพลิกตัวกลับ หันก้นให้ชุยฉาน


สีหน้าของชุยฉานเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง “ให้เจ้ายืมใช้ยี่สิบปี วันหน้าต่อให้เจ้ายังไม่เลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน ข้าก็ยังจะเอาคืนอยู่ดี”


ชุยตงซานพลิกตัวกลับมาอย่างว่องไว ยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง เอ่ยต่อรองราคา “อย่างน้อยห้าสิบปี!”


ชุยฉานเดินไปที่หน้าประตู ชายแขนเสื้อกว้างส่ายสะบัด “สามสิบปี หากยังกล้าได้คืบเอาศอก ข้าจะฆ่าเจ้าให้ตายเสียเดี๋ยวนี้”


หลังจากชุยฉานจากไปแล้ว ชุยตงซานก็กลิ้งตัวจากบนเสื่อมาจนถึงหน้าประตู


ตั้งแต่ต้นจนจบเด็กสาวเซี่ยเซี่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่นอกธรณีประตูเหมือนหุ่นไม้ตัวหนึ่ง


ชุยตงซานลุกขึ้นนั่งอย่างเกียจคร้าน ชำเลืองตามองท่านั่งของเด็กสาวแล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า “เซี่ยเซี่ย ที่แท้ก้นเจ้าก็ใหญ่ถึงขนาดนี้ มิน่าเล่าถึงคิดอยากจะเป็นอาจารย์แม่ของข้า”


เด็กสาวนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมอย่างว่าง่าย ท่านั่งยังคงเดิม แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน


ชุยตงซานกระโดดผลุงขึ้น วิ่งไปหยุดยืนอยู่ข้างกายเด็กสาวแล้วเตะก้นของนางอย่างแรงจนร่างของเด็กสาวล้มทิ่มเข้าไปในลานบ้าน


เด็กหนุ่มชุดขาวยกมือสองข้างเท้าเอว หัวเราะเสียงดังสนั่น


เด็กสาวลุกขึ้นยืนเงียบๆ แม้แต่ฝุ่นดินที่เปื้อนอยู่บนตัวก็ยังไม่กล้าปัด


ชุยตงซานถอนหายใจหนึ่งที ยื่นมือมาตบลงบนตำแหน่งหัวใจ “เห็นท่าทางที่น่าสงสารของเจ้าแล้ว หัวใจของคุณชายอย่างข้าก็เจ็บปวดราวกับถูกมีดคว้าน”


เซี่ยเซี่ยฝืนเค้นรอยยิ้มทั้งที่ในใจไม่เบิกบาน


ชุยตงซานรีบยกมือข้างหนึ่งปิดหน้า ส่วนมืออีกข้างสะบัดอย่างแรง “รีบหันหน้ากลับไป เจอผีกลางวันแสกๆ โดยแท้ ตาของข้าผู้เป็นคุณชายใกล้จะบอดแล้ว!”


เด็กสาวหันหน้ากลับมา สายตาเหลือบมองขึ้นไปบนท้องฟ้าสดใสสีคราม


ตอนเป็นเด็กนางมักจะไม่เข้าใจว่าทำไม ‘ฟ้าใสไร้เมฆ’ ถึงเป็นอากาศที่ดีที่สุด เมฆทอประกายหลากสีไม่ได้น่ามองกว่าหรอกหรือ? จนกระทั่งขึ้นมาบนภูเขา นางถึงได้เข้าใจว่าที่แท้เมื่อไร้เมฆก็ไร้ลมมรสุม


……


หลี่เป่าผิงใช้ ‘ตราคำสั่งผู้นำ’ ที่ทำจากไม้ชิ้นหนึ่งมาเรียกรวมตัวทุกคน เนื่องจากช่วงที่ผ่านมานางเพิ่งจะอ่านนิยายจอมยุทธ์ใหญ่ในยุทธภพจบไปเล่มหนึ่ง ขอแค่คนที่ถูกยกย่องให้เป็นผู้นำแห่งยุทธภพนำป้ายคำสั่งนี้ออกมาก็สามารถออกคำสั่งคนในยุทธภพ มีบารมีน่าเกรงขามอย่างมาก นางถือป้ายไม้ที่ทำขึ้นมาเองแผ่นนั้นเดินอาดๆ ไปเคาะประตูห้องบานแล้วบานเล่า แล้วก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ชูป้ายคำสั่งในมือด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแล้วเดินไปยังห้องถัดไป


สุดท้ายหลินโส่วอี หลี่ไหว อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ย หรือแม้แต่ชุยตงซานก็มาร่วมสนุก ทุกคนมารวมตัวกันอยู่ในหอพักของหลี่เป่าผิง รอให้ผู้นำยุทธภพท่านนี้เอื้อนเอ่ย


หลี่เป่าผิงกระแอมหนึ่งที แขวนป้ายไม้แผ่นเล็กคล้องคอเอาไว้ บนโต๊ะวางจดหมายฉบับหนาไว้หนึ่งปึก


แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงเปิดผนึกจดหมายออกอย่างเชื่องช้า กล่าวด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง “อาจารย์อาน้อยเขียนจดหมายมาให้พวกเรา ในฐานะผู้นำสาขาย่อยตงซานที่อยู่ภายใต้อำนาจศูนย์บัญชาการเขตการปกครองหลงเฉวียน ตอนนี้ข้าจะเริ่มอ่านให้พวกเจ้าฟัง พวกเจ้าจงจำไว้ว่าอย่าเอะอะเสียงดัง ห้ามเพิกเฉยไม่ใส่ใจ ห้าม…หลี่ไหวกลับไปนั่งดีๆ เดี๋ยวนี้! แล้วก็ชุยตงซาน ห้ามนั่งไขว่ห้าง! อวี๋ลู่อย่าเพิ่งแทะเมล็ดแตง!”


คนทั้งกลุ่มได้แต่นั่งตัวตรง ล้างหูรอฟังอย่างว่าง่าย


แม่นางน้อยอ่านจดหมายฉบับที่อาจารย์อาน้อยเขียนมาให้นางก่อน นางอ่านได้อย่างมีจังหวะจะโคนเสนาะหู


จากนั้นก็พับจดหมายเก็บอย่างระมัดระวัง เอาวางไว้ข้างมือ ดึงจดหมายฉบับที่สองออกมาจากในซอง เป็นจดหมายของหลี่ไหว หลังจากนั้นจึงเป็นจดหมายของหลินโส่วอี ส่วนจดหมายของอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยเขียนไว้ในแผ่นเดียวกัน


เนื้อหาที่เฉินผิงอันเขียนไว้ในจดหมายส่วนใหญ่เป็นเรื่องหยุมหยิมเล็กๆ น้อยๆ ตอนช่วงปีใหม่ของเมืองเล็กบ้านเกิด นอกจากนั้นก็บอกพวกเขาว่าห้ามทะเลาะกัน เวลาออกไปข้างนอกต้องสามัคคีกันให้มาก อยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง อย่าทำให้คนที่บ้านเป็นห่วง เวลาเรียนก็อย่าให้เหนื่อยเกินไปนัก ลงจากเขาไปเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์บ้าง หรือจะจับคู่กันไปเดินเล่นในเมืองหลวงต้าสุยก็ได้ ฯลฯ ที่เขียนไว้มากที่สุดก็คือเรื่องราวมหัศจรรย์ที่เขาพบเจอหลังเดินทางออกจากเมืองหลวงต้าสุย รวมไปถึงบรรยายภาพบรรยากาศตอนอยู่บนเรือคุนแล้วมองต่ำลงไปบนพื้นดิน ภาษาที่เขียนไม่มีท่วงทำนองของความสละสลวยแม้แต่น้อย ถ้อยคำเรียบง่าย ตรงไปตรงมา เพียงแต่ว่ามีความจริงใจเอาจริงเอาจังอย่างเต็มเปี่ยม ทุกคนถึงขั้นจินตนาการได้เลยว่าตอนที่เฉินผิงอันจับพู่กันเขียนจดหมายต้องนั่งตัวตรงอย่างสำรวม และมีสีหน้าเคร่งขรึมยิ่งกว่าพวกเขาในเวลานี้แน่นอน


หลี่เป่าผิงอ่านจดหมายทุกฉบับจบก็ใช้สองมือทำท่าสยบลมปราณไว้ตรงจุดตันเถียน “เสร็จสิ้น!”


หลี่ไหวกล่าวอย่างอัดอั้น “หลี่เป่าผิง ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็เขียนจดหมายให้พวกเราคนละฉบับอยู่แล้ว เจ้ามอบจดหมายให้พวกเราก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ?”


แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงหันมาถลึงตาใส่ หลี่ไหวทำคอย่น


ชุยตงซานชี้จมูกตัวเอง “ของข้าล่ะ?”


หลี่เป่าผิงยกสองแขนขึ้นกอดอก นั่งขัดสมาธิอยู่บนม้านั่งตัวยาว ส่ายหน้า “อาจารย์อาน้อยไม่ได้เขียนจดหมายให้เจ้า”


ชุยตงซานเงยหน้าทำท่าคล้ายมีน้ำตาไหลอาบแก้ม พึมพำเบาๆ “ไม่นึกเลยว่าบนโลกจะมีอาจารย์ที่ไร้คุณธรรมไร้น้ำใจได้ถึงขนาดนี้”


จู่ๆ หลี่เป่าผิงก็หัวเราะร่า หยิบตั๋วเงินที่มีตราของโรงรับจำนำเก่าแก่ต้าหลีออกมาสี่ห้าแผ่น “ในจดหมายของข้า อาจารย์อาน้อยได้สั่งความไว้เรื่องหนึ่ง เมื่อครู่ข้าลืมอ่าน เอ้า เอาไป อาจารย์อาน้อยบอกว่าเงินสองพันตำลึงที่ติดเจ้าไว้ คืนให้เจ้าแล้ว ชุยตงซาน วันหน้าเจ้าจะเบี้ยวหนี้บอกว่าอาจารย์อาน้อยยังไม่คืนเงินให้เจ้าไม่ได้ เพราะข้าจะเป็นพยานให้อาจารย์อาน้อยเอง!”


ชุยตงซานรับตั๋วเงินเบาหวิวหลายแผ่นนั้นมาด้วยสีหน้าเจ็บปวดปานจะขาดใจ แต่แล้วจู่ๆ ในดวงตาก็มีประกายแห่งความคาดหวังผุดขึ้น “เป่าผิง อาจารย์อาน้อยของเจ้าได้พูดถึงเรื่องกลอนคู่หรือไม่ ที่ข้าเป็นคนเขียนน่ะ อาจารย์ได้เอาติดบนผนังบ้านในวันปีใหม่บ้างหรือเปล่า? เจ้าลองหาอย่างละเอียดอีกทีสิ ไม่แน่อาจอ่านข้ามไปก็ได้นะ?”


หลี่เป่าผิงพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ไม่มี! จดหมายของอาจารย์อาน้อย ข้าอ่านทวนซ้ำไปซ้ำมาเก้ารอบจนท่องย้อนกลับหลังได้แล้ว!”


ชุยตงซานทำสีหน้าคลางแคลงใจ ลุกขึ้นโน้มตัวหมายจะยื่นมือไปหยิบจดหมาย กะว่าจะเอามาอ่านด้วยตัวเอง


หลี่เป่าผิงตบฝ่ามือกดทับลงบนจดหมายที่พับอย่างประณีตแล้ววางทับซ้อนกันไว้กองนั้น หันมาถลึงตาเดือดดาลใส่ลูกน้องใต้บังคับบัญชาที่ไม่เอาไหนของตัวเอง “บังอาจ!”


สิ่งหนึ่งมักจะสยบสิ่งหนึ่งได้เสมอ


ชุยตงซานหดมือกลับอย่างหวาดหวั่น นั่งกลับลงไปอีกครั้งแล้วถอนหายใจเฮือกๆ รู้สึกเพียงว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรให้อาลัยอาวรณ์อีกแล้ว


หลี่ไหวเอ่ยเบาๆ “ชุยตงซาน รังเกียจที่ตั๋วเงินเกะกะลูกตาหรือ? ถ้าอย่างนั้นให้ข้าดีไหมล่ะ?”


ชุยตงซานเก็บตั๋วเงิน เหล่ตามามอง “ตั๋วเงินไม่เกะกะลูกตา เจ้านั่นแหละที่เกะกะ”


หลี่ไหวยกสองมือกอดอกเลียนแบบหลี่เป่าผิง กล่าวอย่างลำพองใจ “พูดอะไรระวังหน่อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าเป็นผู้นำสาขาย่อยหอพักอักษรอู้ของสาขาย่อยตงซานภายใต้อำนาจการปกครองศูนย์บัญชาการเขตการปกครองหลงเฉวียนแล้วนะ?!”


ชุยตงซานลุกขึ้นยืน เอามือปัดก้น ด่าเจ้าลูกหมานี่ยิ้มๆ “ไสหัวไปเลย!”


หลี่เป่าผิงเก็บจดหมายทุกฉบับกลับไปใส่ในซอง “ข้าจะช่วยพวกเจ้าเก็บจดหมายไว้ก่อน พวกเจ้าจะได้ไม่ทำหาย เลิกประชุม!”


ชุยตงซานเดินหาวออกไปจากหอพัก


หลินโส่วอีและหลี่ไหวเดินออกไปพร้อมกัน


อวี๋ลู่กับเซี่ยเซี่ยเดินรั้งท้ายสุด


อวี๋ลู่เอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงเบา “จดหมายที่เฉินผิงอันเขียนให้พวกเราสองคน ของข้ามากกว่าของเจ้ายี่สิบสี่ตัวอักษรแน่ะ”


เซี่ยเซี่ยพูดหน้าดำ “อวี๋ลู่ เจ้าปัญญาอ่อนหรือไง?”


อวี๋ลู่ยิ้มน่าเตะ


……


กลางภูเขาลึกที่ตั้งของหมู่บ้านวารีกระบี่ น้ำตกที่ยิ่งใหญ่น่าครั่นคร้ามประหนึ่งผ้าต่วนสีขาวที่พุ่งลงมาจากชั้นฟ้า


ด้านล่างน้ำตกคือบ่อน้ำสีมรกตที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นบ่อ พอจะมองเห็นเงาร่างของปลาสีแดงแหวกว่ายได้รำไร


เสียงน้ำตกดังเหมือนเสียงฟ้าผ่า ไอน้ำลอยแผ่อบอวลไปสี่ทิศ


เฉินผิงอันยืนอยู่กลางศาลาข้างบ่อน้ำลึกที่สร้างขึ้นอย่างประณีต ครุ่นคิดถึงปัญหาข้อหนึ่ง


หากตัวเองใช้หนึ่งกระบี่ฟันลงไป จะสามารถผ่าม่านน้ำของน้ำตกให้แหวกออกจากกันได้หรือไม่?


เฉินผิงอันประเมินน้ำหนักของน้ำตก จากนั้นก็คิดถึงสภาพกระอักกระอ่วนของตัวเองที่แม้แต่จะออกกระบี่ก็ยังทำไม่เป็น คำตอบก็คือไม่ได้


เฉินผิงอันเขย่งปลายเท้าขึ้นไปเหยียบบนราวระเบียงสีแดงของศาลาริมน้ำ เดิมทีคิดจะฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู ทว่ามืออีกข้างหนึ่งกลับยื่นไปปลดน้ำเต้าตามจิตใต้สำนึก ดื่มเหล้าไปหนึ่งอึกก็เงยหน้าขึ้นมองยอดบนของน้ำตก แล้วค่อยๆ ไล่สายตาลงมาข้างล่าง


ประหนึ่งปราณกระบี่เส้นหนึ่งที่ไหลจากชายแขนเสื้อของเซียนลงมายังโลกมนุษย์


 —–


บทที่ 241.1 พระโพธิสัตว์ดินเผามีไฟโทสะ

โดย

ProjectZyphon

สุดท้ายเฉินผิงอันที่ชมน้ำตกจนพอใจก็ไม่ได้ชักกระบี่ไม้ไหวออกมาฟาดฟันอย่างที่อาจารย์ฉีกระทำต่อปีศาจใหญ่ชุดสีชมพูในวัดโบราณ


เฉินผิงอันพึมพำกับตัวเอง “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมถึงได้รู้สึกว่าหากออกกระบี่จะต้องผิดอย่างแน่นอน? หรือว่าฝึกหมัดกับฝึกกระบี่คือสองเรื่องที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อันหนึ่งหากมุมานะสามารถชดเชยในส่วนที่ขาด ส่วนอีกอันหนึ่งต้องมีพรสวรรค์เท่านั้น?”


ตอนนี้เฉินผิงอันยังไม่รู้ว่า นี่ไม่ใช่เพราะเขาโง่เขลาเกินไป และยิ่งไม่ใช่เพราะไร้พรสวรรค์ในการฝึกกระบี่ แต่เป็นเพราะกระบี่ที่เขาได้เห็น ไม่ว่าจะเป็นคนที่ถือกระบี่ หรือวิชากระบี่อันไร้เทียมทานที่พวกเขาใช้ สำหรับเฉินผิงอันที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสามแล้ว มันทั้งสูงและอยู่ไกลเกินไป


แต่ปัญหาอยู่ที่สายตาของเฉินผิงอันดีเยี่ยม จึงมองเห็นจุดที่ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปหลายคนมองไม่เห็นอย่างชัดเจน นี่จึงยิ่งกลายมาเป็นภาระไร้รูปลักษณ์สำหรับเฉินผิงอัน ทุกครั้งที่เขาอยากจะออกกระบี่ เฉินผิงอันที่เคยชินกับการแสวงหาความสมบูรณ์แบบไร้ข้อผิดพลาดจึงมักจะรู้สึกว่ากระบี่ที่อยู่ในฝักหนักอึ้งนับพันชั่ง นับหมื่นจิน


สิ่งที่เฉินผิงอันได้พบเห็นมาตลอดทาง ไม่ว่าจะเป็นเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะที่ได้เลื่อนขั้นเป็นเซียนกระบี่พสุธา ตัวคนยังไม่ทันมาถึง กระบี่ก็ฟันให้ม่านฟ้าในอาณาเขตของผีสาวสวมชุดแต่งงานปริแตก มาภายหลังคือกระบี่ยาวของสวี่รั่วจอมยุทธ์สำนักโม่ที่ออกจากฝักเพียงเล็กน้อยก็สามารถอาศัยเทือกเขาสายหนึ่งที่นึกถึงในความคิดมาต้านทานกระบี่ของเว่ยจิ้นได้ หรือจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉีจิ้งชุนออกกระบี่อย่างสบายๆ ผ่อนคลายตามใจปรารถนาก็สามารถฟันให้ค่ายกลแสงทองผสานพลังต้นกำเนิดที่สืบทอดมาจากระบบเต๋าของนครจักรพรรดิขาวแตกสลายในครั้งเดียว


นี่ไม่ค่อยเหมือนกับตอนที่หนิงเหยาอยู่ในบ้านบรรพบุรุษ แล้วเดินท่าเดินนิ่งขั้นพื้นฐานของตำราหมัดเขย่าขุนเขาไม่กี่ครั้ง เฉินผิงอันก็พอจะทำตามนางได้อย่างถูไถ หรือถึงขั้นพอจะใคร่ครวญถึงสัจธรรมของวิชาหมัดออกมาได้หลายส่วน เพราะหลังจากที่ผู้เฒ่าแซ่ชุยอ่านตำราหมัดเล่มนั้นก็ได้ให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงไว้นานแล้วว่า อันที่จริงกระบวนท่าหมัดของวิชาหมัดเขย่าขุนเขานั้นหยาบมากจนไม่มีค่าพอให้พูดถึง ดังนั้นไม่ว่าใครก็สามารถเลียนแบบได้ ก็เหมือนจ้าวซู่เซี่ยของเมืองแยนจือที่พอแอบมองเฉินผิงอันเดินนิ่งแล้ว ก็สามารถหล่อหลอมเรือนกายของตัวเองให้แข็งแกร่งได้เช่นกัน


แต่สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดของหมัดเขย่าขุนเขานั้นอยู่ที่ลมปราณหนึ่งเฮือกของ ‘ผู้ฝึกยุทธ์อย่างเรา’ ดังนั้นหมัดเขย่าขุนเขาจึงอยู่ในวิชาประเภทที่เริ่มต้นง่าย แต่หากจะฝึกให้ประสบความสำเร็จสูงและกระจ่างแจ้งจนถึงแก่นกลับ…ยาก


ยากแค่ไหน?


พูดถึงแค่เจตจำนงของหมัดเขย่าขุนเขาที่กล่าวไว้ว่า ‘ผู้ที่เรียนวิชาหมัดของข้า เผชิญหน้ากับศัตรูที่เป็นมรรคาจารย์เต๋า แพ้ได้แต่ถอยไม่ได้’ ปู่ของชุยฉานที่เป็นสุดยอดผู้ฝึกยุทธ์ซึ่งพลังกลับคืนสู่จุดสูงสุดของขอบเขตสิบอีกครั้ง เมื่อเจอกับลู่เฉิน ได้ปล่อยหมัดออกไปหรือไม่? ไม่เลย ไม่ว่าผู้เฒ่าจะมีเหตุผลอะไรให้ต้องเป็นกังวล หากมองแค่ผลลัพธ์ สุดท้ายแล้วผู้เฒ่าก็ไม่ได้ปล่อยหมัดนั้นออกไป นี่จึงแสดงให้เห็นว่า หากคนรุ่นหลังที่ฝึกวิชาหมัดคิดจะทำตามแก่นสำคัญที่ตำราเขย่าขุนเขายกย่องเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ หากจะบรรยายด้วยคำว่ายากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์ก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่นิดเดียว


น้ำตกตกกระทบลงบนบ่อน้ำ สะเก็ดน้ำแตกกระเซ็นไปรอบด้าน ประหนึ่งไข่มุกนับล้านเม็ดที่แตกโพล๊ะอย่างพร้อมเพรียงกัน พาให้ไอน้ำลอยตัวกรุ่นขึ้นมา


“อาเหลียง ฝึกกระบี่ยากจังเลย”


เฉินผิงอันยกมือเกาหัวอย่างเหม่อลอย ดื่มเหล้าอีกอึกหนึ่งเพื่อดับทุกข์ รู้สึกจนใจไม่น้อย เขายืนอยู่บนราวระเบียงของศาลาริมน้ำ หันมองไปรอบด้าน สุดท้ายหยุดสายตาจ้องนิ่งไปยังด้านบนของน้ำตก แม้ว่าจะไม่มีความคิดอยากออกกระบี่อีกแล้ว แต่ก็จำได้ว่าผู้เฒ่าเปลือยเท้าที่ช่วยขัดเกลาเรือนกายขอบเขตสามให้ตนเคยเอ่ยไว้ว่า ตอนที่กระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่ปรากฎขึ้นในโลกเป็นครั้งแรก เคยต่อยให้ม่านฝนที่ตกลงมาท่ามกลางฟ้าดินถอยย้อนกลับขึ้นไปบนท้องฟ้า


เฉินผิงอันมองน้ำตกใหญ่ยักษ์ที่ตกกระทบพรั่งพรูลงมาเบื้องล่างแล้วก็ให้อยากรู้ว่า หากผู้เฒ่าในเรือนไม้ไผ่ปล่อยหมัดหนึ่งครั้ง จะสามารถต่อยให้น้ำตกกระเพื่อมขึ้นสู่ด้านบน กระแสน้ำเกิดพลิกตาลปัตรได้หรือไม่?


เมื่อเปลี่ยนความคิดจากการชักกระบี่ที่ไม่เคยชินมาเป็นการออกหมัดที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี เฉินผิงอันก็เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ความมั่นใจนี้มาจากการฝึกเดินนิ่งที่เขานับในใจได้หลายแสนครั้ง และมาจากการเผชิญหน้ากับศัตรูโดยไม่เคยถอยหนีครั้งแล้วครั้งเล่า


เฉินผิงอันมองไปยังน้ำตกยิ่งใหญ่สายนั้นแล้วพลันเกิดจินตนาการบรรเจิด หากตนออกแรงเต็มกำลัง จะสามารถต่อยทะลุม่านน้ำตกที่หนาใหญ่นั้นไปได้ด้วยหมัดเดียวหรือไม่? แล้วหลังจากที่โชคดีต่อยทะลุม่านน้ำไปได้แล้ว จะยังมีพายุหมัดเหลือให้กระแทกลงบนผนังหินด้านหลังม่านน้ำหรือไม่? ไม่รู้ว่าสวีหย่วนเสียที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ซึ่งเลื่อนสู่ขอบเขตหลอมลมปราณแล้วจะต่อยหนึ่งหมัดให้ผนังหินเกิดเป็นแอ่งเว้าได้ไหม?


เฉินผิงอันเริ่มเกิดความคิดดีๆ บางอย่าง


แต่เพียงไม่นานเฉินผิงอันก็กระโดดลงจากราวระเบียง มานั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาวของศาลา ยกเหล้าขึ้นดื่มคล้ายนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบในทัศนียภาพอันงดงาม


เฉินผิงอันมองไปยังทางเดิน ครู่หนึ่งต่อมาก็มีกลุ่มคนสวมเสื้อผ้าสีสันสดใสเดินมาช้าๆ บางคนกำลังหัวเราะสนุกสนานเสียงดัง ท่วงท่าองอาจห้าวหาญ บางคนท่าทางสุภาพสง่างาม กิริยางดงามผ่าเผย แล้วก็มีสตรีที่สงบสำรวม ใบหน้าแย้มยิ้มดุจบุปผาผลิบาน สามคนที่เป็นผู้นำ มีคนหนึ่งคือคุณชายหน้าหยกหล่อเหลา ตรงเอวห้อยหยกประดับไว้ด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งห้อยกระบี่สั้นที่พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก บุคลิกลักษณะทระนงองอาจ ทางฝั่งซ้ายมือของเขาคือบุรุษที่พกดาบเล่มหนึ่ง ก้าวย่างของเขาหนักแน่นประดุจพยัคฆ์ ท่าทางลำพองใจ ฝั่งขวามือคือบัณฑิตหนุ่มที่สวมหมวกอ่อน (หมวกที่ทำจากผ้า ลักษณะคล้ายผ้าโพกหัว) ในมือถือพัดพับ


ด้านหลังคนทั้งสามมีเด็กสาวและผู้หญิงโตเต็มวัยหลายคนที่ทั้งบุคลิกและหน้าตาต่างก็ไม่ธรรมดาอย่างถึงที่สุด


ขยับไปด้านหลังอีกก็คือข้ารับใช้ผู้ติดตามหนึ่งกลุ่ม ส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มแข็งแรงที่ดวงตาทั้งคู่เป็นประกายเฉียบคม พลังอำนาจบีบคั้นผู้คน คนหนึ่งในนั้นที่สะพายธนูเขาวัวแข็งแกร่งโดดเด่นสะดุดตามากที่สุด


กลิ่นอายยุทธภพที่ไม่อาจใช้ถ้อยคำมาบรรยายกรูเข้ามาทางศาลาริมน้ำแห่งนี้


เส้นทางชมน้ำตกของหมู่บ้านวารีกระบี่คือทางตัน จุดหมายปลายทางก็คือศาลาริมน้ำ พอคนทั้งกลุ่มเดินเบียดกันมา บนถนนเส้นเล็กก็แทบไม่มีช่องว่างเหลืออยู่ เฉินผิงอันจึงได้แต่รออยู่ในศาลาไปชั่วคราว คิดว่ารอให้พวกเขาเข้าศาลามาก่อน ตัวเองค่อยหาโอกาสออกไป สามคนที่เป็นผู้นำกับพวกผู้หญิงทยอยกันเดินขึ้นมาบนบันได ส่วนพวกข้ารับใช้ก็แยกย้ายกันไปเฝ้าอยู่ใต้ต้นไม้คนละตำแหน่ง สำหรับเด็กหนุ่มที่สะพายกล่องไม้นั่งอยู่ในศาลา คนส่วนใหญ่เพียงแค่ปรายตามองครั้งเดียวแล้วก็ไม่สนใจอีก


พอเห็นเฉินผิงอัน คุณชายที่เป็นผู้นำซึ่งลักษณะคล้ายลูกหลานตระกูลร่ำรวยก็หยุดสายตาค้างไว้เล็กน้อย ราวกับกำลังรอให้เฉินผิงอันเป็นฝ่ายเปิดปากก่อน เพียงแต่ว่าหลังจากประสานสายตากับคุณชายท่านนี้ เฉินผิงอันกลับเฉยเมยอย่างเห็นได้ชัด คุณชายจึงเป็นฝ่ายยิ้มบางๆ พลางผงกศีรษะทักทาย แต่ในใจกลับค่อนข้างจะแปลกใจ จอมยุทธ์ในยุทธภพที่เข้ามาในหมู่บ้านบนภูเขาแห่งนี้ได้ มีคนที่ไม่รู้จักตนด้วยหรือ?


เฉินผิงอันผงกศีรษะทักทายกลับคืน


ขณะที่เฉินผิงอันเตรียมจะเดินออกไปจากศาลา สตรียังสาวที่นั่งอยู่ข้างกายคุณชายผู้หล่อเหลามองมาทางเฉินผิงอันแล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “หากคุณชายมาชมทัศนียภาพ แล้วยังไม่หมดความสนใจ ก็ไม่จำเป็นต้องออกไป”


เฉินผิงอันอึ้งตะลึง เพราะว่าสตรีผู้นั้นพูดภาษาทางการของแคว้นซูสุ่ย เขาจึงฟังไม่เข้าใจ


สตรีสาวเข้าใจได้ทันที จึงรีบพูดซ้ำด้วยภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีป


เฉินผิงอันถึงได้ฟังเข้าใจ


สตรีอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปีคนหนึ่งที่ตัวสูงไม่แพ้บุรุษ สีหน้าเย็นชาราวกับน้ำค้างแข็ง ตรงเอวห้อยดาบยาวที่ฝักดาบประณีตงดงาม รัดพันด้วยด้ายสีทองเล่มหนึ่ง เพียงแต่ว่าการห้อยดาบของนางประหลาดมาก เป็นการห้อยแบบกลับด้าน ข้อนี้เหมือนกับชายฉกรรจ์วัยกลางคนผู้นั้นอย่างไม่มีผิดเพี้ยน


นางปรายตามองกล่องกระบี่ที่อยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน แล้วค่อยมอง ‘น้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาด’ ที่อยู่ตรงเอวของเฉินผิงอัน เมื่อมองความสูงต่ำของขอบเขตและรากฐานในยุทธภพของอีกฝ่ายไม่ออก หญิงสาวก็หมดสิ้นซึ่งความสนใจ


ชายฉกรรจ์พกดาบกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “น้องชาย นั่งให้สบายเถอะ ควรดื่มเหล้าก็ดื่ม ควรชมวิวก็ชม ไม่ต้องอึดอัด หากจะนับลำดับมาก่อนมาหลัง ก็เป็นพวกเราต่างหากที่มารบกวนการพักผ่อนอย่างสงบของน้องชาย แน่นอนว่าหากอีกเดี๋ยวน้องชายรำคาญที่พวกเราพูดคุยกันเสียงดัง น้องชายคิดจะจากไปก็ยังไม่สาย”


หากเป็นคนทั่วไปก็คงนั่งอยู่ที่เดิม แต่เฉินผิงอันกลับกุมมือบอกลา “ข้ามาอยู่ตรงนี้ได้ครึ่งวันแล้ว น้ำตกก็ชมไปแล้ว ตอนนี้อยากจะย้อนกลับไปทางเดิมพอดี”


ชายฉกรรจ์พกดาบหัวเราะเสียงดัง ถึงกับลุกขึ้นยืนกุมหมัดบอกลาอย่างมีมารยาท “ไม่เป็นไรๆ เชิญน้องชายตามสบาย”


เด็กสาวที่อายุน้อยที่สุดเบิกตากว้าง รู้สึกว่าเด็กหนุ่มแปลกหน้าคนนี้สายตาแย่มาก และก็วางท่าใหญ่โตมากเช่นกัน หรือเขาไม่รู้จริงๆ ว่าหัวหน้าบูรพาที่นั่งอยู่ในศาลาผู้นั้นก็คือซ่งเฟิ่งซานนายน้อยผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านวารีกระบี่? เซียนกระบี่น้อยอันดับหนึ่งในยุทธภพแคว้นซูสุ่ย คนเล่าลือกันว่ามีองค์หญิงคนหนึ่งของแคว้นซูสุ่ยชื่นชอบเขามากจนแทบจะหนีตามเขาไป ต่อให้แขกไม่รู้จักเจ้าบ้าน ทว่าบุคคลยิ่งใหญ่ที่กล้าห้อยดาบกลับด้านอยู่ในแคว้นซูสุ่ยแบบนี้ ก็ไม่รู้จักงั้นหรือ? ชายฉกรรจ์ที่กุมหมัดบอกลาคนนั้น อย่าเห็นแค่ว่าเขาดูเข้ากับคนได้ง่าย ไม่คล้ายยอดฝีมือผู้หยิ่งยโสในยุทธภพเลยแม้แต่น้อย อันที่จริงเขาคือหัวหน้าหมู่บ้านคนปัจจุบันของหมู่บ้านเหิงเตา (ดาบแนวขวาง หรือชื่อดาบชนิดหนึ่งในสมัยโบราณ) ซึ่งมีชื่อเสียงทัดเทียมกับหมู่บ้านวารีกระบี่ คือปรมาจารย์ใหญ่ด้านวิชาดาบที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของแคว้นซูสุ่ย ชื่อเสียงของเขาเลื่องลือไปทั่ว เคยท่องไปในยุทธภพของหลายสิบแคว้น มีชื่อเสียงระบือไกลขนาดที่อริยะกระบี่ผู้เฒ่าซ่งอวี่เซาก็ยังเคยเอ่ยปากชื่นชมวิชาดาบของคนผู้นี้ว่า ขาดอีกแค่เสี้ยวเดียวก็สามารถเข้าสู่จุดสูงสุดของความสมบูรณ์แบบแห่งวิถีวรยุทธ์ได้แล้ว


เด็กสาวแอบหัวเราะอยู่ในใจ คิดในใจว่าเด็กหนุ่มที่ยากจนคนนี้คงไม่ใช่ลูกนกที่เพิ่งมาเผชิญโลกกว้างของยุทธภพหรอกกระมัง? หรือว่าจะเป็นหัวขโมยตัวน้อยที่ใจกล้าแอบดอดเข้ามาในหมู่บ้านวารีกระบี่ ก็เลยไม่กล้ารั้งรออยู่นาน? ฮ่าๆ หากเป็นเช่นนี้จริงก็สนุกแล้ว


เฉินผิงอันเดินออกมาจากศาลา เดินลงบันไดมา แต่จู่ๆ ด้านหลังก็มีน้ำเสียงใสเย็นดังขึ้น “ช้าก่อน”


เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง เป็นหญิงสาวที่ห้อยดาบกลับด้านคนนั้น นางเดินมาตรงบันไดขั้นบนสุด หลุบตาลงต่ำมองตน “อาจารย์ของเจ้าเป็นใคร? ใช่สำนักผู้ฝึกกระบี่ในแคว้นไฉ่อีหรือแคว้นกู่อวี๋หรือไม่?”


แม้ว่าน้ำเสียงของหญิงสาวค่อนข้างจะข่มคนอื่น แต่เฉินผิงอันที่หันกลับไปส่ายหน้าให้นางยังคงตอบอย่างมีมารยาทโดยพยายามไม่ให้สร้างความบาดหมางมากที่สุด “ข้ามาจากทางทิศเหนือ ครั้งนี้เดินทางมาเยือนหมู่บ้านวารีกระบี่พร้อมกับสหายก็เพราะได้ยินว่าเจ้าหมู่บ้านจะถูกเลือกให้เป็นผู้นำแห่งยุทธภพแคว้นซูสุ่ย ก็เลยอยากจะหาโอกาสมาแสดงความยินดี”


คุณชายหน้าตาหล่อเหลาผู้นั้นยิ้มบางๆ


 —–


บทที่ 241.2 พระโพธิสัตว์ดินเผามีไฟโทสะ

โดย

ProjectZyphon

บัณฑิตที่โบกพัดเอ่ยเย้าเสียงเบา “เทพเซียนอยู่ตรงหน้า แต่คนดันไม่รู้จัก”


ชายพกดาบมองแผ่นหลังของหญิงสาวแล้วให้โมโหจนกลายเป็นขำ “เจ้าเด็กบ้าพลังผู้นี้ ห้ามเสียมารยาทกับแขก! ก่อนหน้านี้พูดกับเจ้าไว้ว่าอย่างไร ออกจากหมู่บ้านของตัวเองแล้วห้ามหาเรื่องประลองฝีมือกับคนอื่นไปทั่ว!”


หญิงสาวพกดาบใช้ฝ่ามือกดไว้ที่ด้ามดาบ ปลายฝักดาบจึงส่ายไหวเบาๆ ตามไปด้วย และมันก็ชี้มายังเฉินผิงอันที่ยืนอยู่บันไดขั้นล่างพอดี นางทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของชายฉกรรจ์ จ้องหน้าเฉินผิงอันแล้วถามว่า “เจ้ามีขอบเขตวรยุทธ์ขั้นที่สองหรือขั้นที่สาม? ฝึกกระบี่มากี่ปีแล้ว?”


เฉินผิงอันขมวดคิ้ว เพียงกุมมือคารวะแล้วหมุนตัวจากมาทันที ไม่คิดจะสนใจหญิงสาวที่มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลชั้นสูงของยุทธภพแคว้นซูสุ่ยผู้นี้


เฉินผิงอันเป็นคนพูดง่าย แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีหลักการกับทุกคน ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ สำหรับคนแปลกหน้าแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาเฉินผิงอันไม่เคยไปหาเรื่อง แต่ก็ไม่เคยเกรงกลัวเช่นกัน


ไช่จินเจี่ยน ฝูหนันหัว วานรย้ายภูเขา งูยักษ์ภูเขาฉีตุนที่หัวระเบิดแตก ข้ารับใช้ขุนนางบนเรือข้ามแม่น้ำซิ่วฮวา แน่นอนว่ายังมีเด็กหนุ่มชุยฉานที่ตอนนั้นไปหลบอยู่ใต้บ่อน้ำแคว้นหวงถิง ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมโผล่หน้าออกมา รวมไปถึงผีสาวในวัดร้างที่ก่อนหน้านี้ไม่นานถูกเขาบีบคอแล้วต่อยรัวจนวิญญาณแหลกสลายซึ่งต่างก็ได้รับบทเรียนไปแล้ว


หญิงสาวพกดาบสีหน้าเย็นชา ทิ้งประโยคหนึ่งไว้เบาๆ ว่า “เศษสวะอย่างนี้ก็มีหน้าสะพายกระบี่ท่องอยู่ในยุทธภพ แถมยังกล้าเข้ามาในหมู่บ้านวารีกระบี่ คิดดูแล้วคนที่สอนเจ้าฝึกกระบี่คงสอนให้เจ้าขี้ขลาดตาขาวมากกว่ากระมัง?”


ชายฉกรรจ์ห้อยดาบกลับด้านรู้สึกระอาใจ นิสัยเจ้าอารมณ์ที่พกมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์แม่ของบุตรสาวคนนี้เป็นอันตรายกับตัวนางเองไม่น้อย


แต่บ่นก็ส่วนบ่น เอาเข้าจริงแล้วชายฉกรรจ์ก็ภาคภูมิใจในพรสวรรค์ด้านวิถีวรยุทธ์ของบุตรสาวเพียงคนเดียวของตัวเองมาโดยตลอด ไม่เคยปิดบังความคาดหวังที่ตัวเองมีต่อนาง เคยป่าวประกาศด้วยว่าวันหน้าบุตรสาวจะไม่แต่งออกนอกบ้านเด็ดขาด หมู่บ้านเหิงเตาจะแต่งเขยเข้าบ้านอย่างเดียวเท่านั้น เพราะบุตรสาวของเขาถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องสืบทอดตำแหน่งเจ้าหมู่บ้านคนต่อไป


ชายฉกรรจ์พกดาบไม่คิดจะอาศัยกำลังที่มีมากกว่ารังแกคนอื่น จึงลุกขึ้นยืน หมายจะเกลี้ยกล่อมบุตรสาวว่าอย่าไปพูดท้าทายเด็กหนุ่มต่างถิ่นคนนั้น คนที่ฝึกวรยุทธ์ควรจะมีคุณธรรมเป็นหลัก วรยุทธ์สูงต่ำเป็นเรื่องรองลงมา


แต่ชายฉกรรจ์เองก็รู้ดีว่า คำพูดเดิมๆ ในยุทธภพเหล่านี้ ไม่เพียงแต่บุตรสาวของเขาเท่านั้นที่ฟังไม่เข้าหู อันที่จริงตอนนี้พวกคนหนุ่มสาวที่มีพรสวรรค์ในยุทธภพ มีใครบ้างที่ไม่ฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ใบหน้าไม่สบอารมณ์ พ่นเสียงขึ้นจมูกใส่ด้านหลังของพวกผู้อาวุโส?


ยอดฝีมือคนหนุ่มที่ฉายประกายเฉียบคมที่สุดในช่วงสิบปีที่ผ่านมาของแคว้นซูสุ่ยก็ไม่ใช่เจ้าหมู่บ้านหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างกายตนผู้นี้หรอกหรือ? อายุน้อยๆ ก็เลื่อนสู่ขอบเขตสี่ของวิถีวรยุทธ์ ช่วงชิงคำเรียกขานที่งดงามว่าเซียนกระบี่น้อยให้กับตัวเองตั้งแต่ยังเด็ก ทุกครั้งก่อนที่ซ่งเฟิ่งซานจะออกกระบี่ ไม่ว่าจะถูกคนท้ารบหรือเป็นฝ่ายไปหาคนประลองกระบี่ด้วยตัวเอง เขาจะต้องอบธูปหอม อาบน้ำผลัดเสื้อผ้า เปลี่ยนมาสวมชุดใหม่เอี่ยมที่ไม่เคยใส่มาก่อน อีกทั้งหากออกกระบี่แล้วจะไม่มีทางทิ้งให้ใครรอดชีวิตภายใต้คมกระบี่เด็ดขาด


แต่ว่าผู้มากพรสวรรค์วิถีกระบี่ที่ฆ่าคนอย่างเด็ดขาดแบบนี้กลับมีความเป็นไปได้สูงสุดว่าจะกลายเป็นปรมาจารย์ขอบเขตห้าที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์แคว้นซูสุ่ย


ปรมาจารย์ขอบเขตห้าอายุสามสิบ ถึงเวลานั้นหากเอาชนะเซียนกระบี่ไผ่เขียวได้ ซ่งเฟิ่งซานก็จะได้ยึดครองตำแหน่ง ‘เซียนกระบี่’ เพียงลำพังอย่างถูกต้องเหมาะสม ถึงเวลานั้นปู่ของเขา ซ่งอวี่เซาอริยะกระบี่ผู้เฒ่าน่าจะยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้เทพกระบี่แคว้นไฉ่อีได้ตายไปแล้ว แล้วในอาณาเขตของสิบกว่าแคว้นนี้ยังจะมีใครที่สามารถต้านทานหมู่บ้านวารีกระบี่ได้อีก?


และนี่ก็เป็นกุญแจสำคัญที่ยุทธภพของแคว้นซูสุ่ยยินดีทำตัวนอบน้อมต่อเด็กรุ่นหลังคนหนึ่ง


แต่การที่อดีตเจ้าหมู่บ้านซ่งอวี่เซาปรากฏตัวน้อยครั้งนักในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ก็ไม่ใช่เพราะผิดหวังต่อยุทธภพที่มีบรรยากาศใหม่ๆ ของคนรุ่นใหม่หรอกหรือ


เล่าลือกันว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองปู่หลานไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะกับหลานสะใภ้ซุนซึ่งเป็นดั่งสำลีซ่อนเข็มที่อริยะกระบี่ผู้เฒ่ายิ่งไม่ชอบใจ


ได้ยินคำพูดเหน็บแนมระคายหูจากเด็กสาวที่พกดาบกลับด้าน ต่อให้เป็นเฉินผิงอันที่มีนิสัยดุจดั่งรูปปั้นพระโพธิสัตว์ดินเผาก็ยังหยุดฝีเท้า หันขวับไปมองทางศาลา


เขาไม่ค่อยรู้กฎเกณฑ์ในยุทธภพก็จริง อีกทั้งยังไม่รู้ขนบธรรมเนียมของแคว้นซูสุ่ย แต่เฉินผิงอันรู้สึกว่าใต้หล้าแห่งนี้มีเหตุผลบางอย่างที่ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของสี่สมุทรก็เป็นหลักการที่ถูกต้อง และเรื่องบางเรื่องก็ยิ่งควรต้องแยกแยะถูกผิดให้ชัดเจน


ยังดีที่ชายฉกรรจ์เดินมาถึงข้างกายเด็กสาวและสั่งสอนนางด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแล้ว “นิสัยอวดดีจองหองถึงเพียงนี้ พ่อจะกล้าปล่อยให้เจ้าเดินทางในยุทธภพเพียงลำพังได้อย่างไร ชะลอไว้อีกหนึ่งปีค่อยว่ากัน!”


เด็กสาวเดือดดาลอย่างหนัก สีหน้าที่เย็นชาดุจน้ำค้างแข็งยิ่งเยือกเย็นน่าสะพรึงกลัว แต่ถึงอย่างไรคนตรงหน้าผู้นี้ก็คือบิดาของนาง อีกทั้งยังเป็นอาจารย์ที่ถ่ายทอดวิชาดาบของวิถีวรยุทธ์ให้นางเองกับมือ เป็นทั้งบิดาเป็นทั้งอาจารย์ นับประสาอะไรกับที่อยู่ต่อหน้าคนนอกมากมายขนาดนี้


ต่อให้เด็กสาวพกดาบที่ได้ยินได้ฟังเรื่องราวในยุทธภพมาตั้งแต่เล็กจะไม่เต็มใจแค่ไหนก็ยังทำแค่แค่นเสียงหึหนึ่งครั้ง ไม่พูดจาทำร้ายจิตใจใครอีก เพียงหมุนกายเดินกลับไปนั่งบนม้านั่งยาวในศาลา หันหน้าไปมองน้ำตกสายนั้นด้วยอารมณ์หงุดหงิดขุ่นเคือง


ชายฉกรรจ์หันไปเอ่ยขออภัยเฉินผิงอัน “น้องชาย ข้าหวังอี้หรานต้องขอโทษเจ้าแทนบุตรสาวด้วย”


เฉินผิงอันพยักหน้า หมุนตัวกลับแล้วเดินไปข้างหน้าต่ออีกครั้ง ความรู้สึกที่มีต่อหญิงสาวผู้นี้ย่ำแย่ถึงขีดสุด เพราะนางทำให้เขานึกถึงพ่อลูกจูเหอจูลู่ที่ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ทั้งๆ ที่บิดาคือคนดีที่มีเหตุมีผล ปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างจริงใจเปิดเผย แต่ทำไมถึงสั่งสอนให้ลูกสาวกลายมาเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองอย่างร้ายกาจแบบนี้ได้?


แปลกซะจริง!


พอเฉินผิงอันนึกถึงจูลู่ที่คิดจะลอบสังหารตน ก็ไพล่นึกไปถึงคนที่บงการอยู่เบื้องหลังอย่างหลี่เป่าเจินพี่ชายคนรองของหลี่เป่าผิง นี่คือความแค้นที่ข้ามผ่านไปไม่ได้ และนี่ก็ทำให้เฉินผิงอันต้องทอดถอนใจไม่หยุด


เฉินผิงอันจากไปทันทีโดยไม่พูดไม่จา ภาพนี้ทำให้เด็กสาวพกกระบี่ที่โทสะสุมแน่นอยู่เต็มท้องไม่อาจอดทนได้อีก นางลุกพรวดขึ้นยืน กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “หัวหน้าหมู่บ้านเหิงเตาผู้ยิ่งใหญ่ยอมขอโทษเจ้า แต่เจ้ากลับไม่แม้แต่จะผายลม? ไอ้พวกมีแม่ให้กำเนิดแต่ไม่มีพ่อสั่งสอน!”


เฉินผิงอันหันหน้ากลับมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ รัดสายเชือกเส้นเล็กผูกกับกล่องกระบี่ด้านหลังให้แน่น “เจ้าอยากจะประลองฝีมือก็มาประลอง”


ในระยะทางเจ็ดร้อยลี้ตั้งแต่ที่วัดโบราณมาจนถึงหมู่บ้านวารีกระบี่แห่งนี้ เฉินผิงอันพูดน้อยมาตลอดทาง อารมณ์ของเขาไม่ใคร่จะดีนัก สวีหย่วนเสียและจางซานเฟิงต่างก็มองออก ชายฉกรรจ์เคราดกถึงกับระงับใจไม่ดื่มเหล้าให้มากเกินไป คำพูดหยาบคายเวลาเมามายก็ยิ่งไม่เอ่ยจากปาก ดังนั้นครั้งนี้พอเฉินผิงอันบอกว่าจะมาชมน้ำตก คนทั้งสองที่แท้จริงแล้วต่างก็สนใจกลับพากันพูดว่าไม่อยากออกไปไหนอย่างคนที่ความรู้สึกไว เพราะทั้งสองคนต่างก็อยากให้เฉินผิงอันได้ออกมาเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์เพียงลำพัง


หญิงสาวก้าวยาวๆ มายังบันไดขั้นบนสุด หัวเราะหยัน “ดีสิ รอคำนี้ของเจ้าอยู่นี่แหละ!”


แต่ประโยคถัดมาของเฉินผิงอันกลับทำให้ทุกคนที่อยู่ทั้งในและนอกศาลาต้องหันมามองเขาเสียใหม่ ในใจบังเกิดความพรั่นพรึง “สัญญาเป็นตายปากเปล่า นับได้หรือไม่?”


หวังอี้หรานปรมาจารย์วิชาดาบที่มีชื่อเสียงไปทั่วแคว้นซูสุ่ยเอ่ยเสียงหนัก “น้องชาย ประลองฝีมือกันน่ะได้ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ข้าจะไม่ยื่นมือเข้าแทรก แต่ข้าหวังว่าจะไม่ต้องต่อสู้กันถึงเป็นถึงตาย เมื่อพอสมควรก็หยุด ตกลงไหม?”


เด็กสาวพกดาบเตรียมจะอ้าปากพูด หวังอี้หรานกลับถลึงตามองนางด้วยสายตาดุดัน เด็กสาวที่แทบไม่เคยเห็นสีหน้าเข้มงวดแบบนี้ของบิดามาก่อนตกใจจึงเงียบกริบเป็นจั๊กจั่นในหน้าหนาว ไม่กล้าพูดจาดุร้ายใส่เด็กหนุ่มจากต่างถิ่นที่สมควรตายผู้นั้นอีก


หวังอี้หรานจ้องเฉินผิงอันเขม็ง “หากจะต้องลงนามสัญญาเป็นตายถึงจะยอมต่อสู้กันในครั้งนี้ ข้าไม่มีทางตอบรับเด็ดขาด แต่หากเป็นแค่การประลองฝีมือ ต่อให้จะลงมือหนักไปสักหน่อย ข้าก็เต็มใจจะให้บุตรสาวเผชิญกับความยากลำบากนี้ หวังว่าทางที่ดีที่สุดนางจะอาศัยโอกาสนี้มาเรียนรู้ความตื้นลึกของน้ำในยุทธภพ ไม่ทำตัวอวดดีไม่เห็นหัวใครอีก ไม่ใช่ว่าเรียนรู้วรยุทธ์แค่งูๆ ปลาๆ แล้วจะนึกว่าตัวเองไร้เทียมทานอยู่ในใต้หล้าแห่งนี้แล้ว!”


กล่าวมาถึงช่วงสุดท้าย ชายฉกรรจ์หันไปมองบุตรสาว อยู่ต่อหน้าคนนอกมากมายถึงเพียงนี้ คำพูดเหล่านี้ของเขานับว่าแรงมาก


สั่งสอนบุตรต่อหน้า สั่งสอนภรรยาลับหลัง


นี่น่าจะเป็นกฎเกณฑ์เก่าแก่ในยุทธภพกระมัง


เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง “ถ้าอย่างนั้นก็ประลองฝีมือ!”


หวังอี้หรานที่ยืนอยู่ข้างกายเด็กสาวกดเสียงพูดเบาๆ “ซานหู จำไว้ว่าตอนลงมือต้องรู้จักหนักเบา เป็นคนต้องรู้จักเหลือพื้นที่ว่างให้แก่กัน อย่าทำให้เส้นทางในยุทธภพของตัวเองยิ่งเดินก็ยิ่งคับแคบลง”


เห็นได้ชัดว่า หวังอี้หรานยังคงเห็นดีในตัวบุตรสาวของตัวเองมากกว่า เพียงแต่ว่าในฐานะบิดา หลักการสำคัญที่ควรพูดก็ยังต้องพูด


หญิงสาวพกดาบมองเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่บนทางเล็กนอกศาลาแล้วกระตุกมุมปาก “ท่านพ่อ ข้ารู้ว่าควรทำอย่างไร”


มือของนางกดด้ามดาบ ยิ้มบางๆ สะกิดปลายเท้าหนึ่งครั้ง ทะยานตัวขึ้นสูงกระโจนเข้าหามือกระบี่เด็กหนุ่มที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ


ดาบในมือของนางออกจากฝักในเสี้ยววินาที


บนทางเส้นเล็กเกิดแรงสั่นสะเทือนดังอื้ออึง เงาร่างที่ทุกคนเห็นผ่านหางตาหายวับไปทันใด นาทีถัดมาเด็กหนุ่มที่สะพายกล่องไม้ไว้ด้านหลังก็รับหน้าหญิงสาวถือดาบด้วยหมัดที่กระแทกเข้าใส่หน้าผากของนาง เฉินผิงอันอาศัยแรงดีดสะท้อนลอยตัวกลับไปยืนอยู่ที่เดิม เก็บหมัดลง ยืนนิ่งอย่างสง่างาม ส่วนหญิงสาวคนนั้นร่างทั้งร่างคล้ายว่าวที่สายป่านขาด ถูกต่อยจนลอยลิ่วไปกลางอากาศ ลอยข้ามผ่านยอดศาลาไปโดยตรง สุดท้ายหล่นกระแทกลงในบ่อน้ำเบื้องล่างน้ำตก ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย


สองฝ่ายที่ประลองฝีมือกัน


ฝ่ายหนึ่งมีเสียงฟ้าร้องคำรามดังลั่น แต่สายฝนกลับบางเบาจนกระทั่ง…ไม่มีเลย


ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งรวดเร็วฉับไวไร้เสียงฟ้าคำรณ ทว่าเมื่อลงมือกลับเป็นดั่งพายุฝนโหมกระหน่ำที่กระแทกแสกหน้า


เฉินผิงอันหมุนกายเดินจากไป ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ชูขึ้นสูง กรอกเหล้าเข้าปากหนึ่งอึก ทิ้งไว้เพียงแผ่นหลังให้ทุกคนได้เหลียวมอง


ที่แท้พระโพธิสัตว์ดินเผาก็มีไฟโทสะได้เหมือนกัน


—–


บทที่ 242.1 ดื่มเหล้าของเซียนกระบี่แล้วก็เอาไปคุยอวดได้

โดย

ProjectZyphon

หวังอี้หรานสีหน้าเคร่งเครียด บิดตัวหมุนกลับไป ดีดปลายเท้าขึ้นไปเหยียบบนราวระเบียงโดยไม่สนใจว่าสตรีคนอื่นๆ ที่อยู่ในศาลาจะตกใจหรือไม่ ครั้นจึงเหินร่างพุ่งไปยังบ่อน้ำเพื่องมบุตรสาวของตัวเองขึ้นมา


หัวหน้าหมู่บ้านหนุ่มของหมู่บ้านวารีกระบี่สีหน้าเป็นปกติ ฝ่ายบัณฑิตหนุ่มที่โบกพัดจุ๊ปากพูดว่า “นึกไม่ถึงว่าจะเป็นยอดฝีมือที่อำพรางตัวได้อย่างลึกล้ำ”


บัณฑิตหุบพัดดังพรึ่บ มองไปยังเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่ค่อยๆ จากไปไกลบนถนนสายเล็ก อีกฝ่ายต้องเป็นปรมาจารย์น้อยขอบเขตสี่ของวิถีวรยุทธ์อย่างแน่นอน! หรือว่าเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของเทพกระบี่แคว้นไฉ่อี? เพียงแต่ว่ายุทธภพอันตราย บวกกับที่เทพกระบี่ผู้เป็นอาจารย์เพิ่งตายอยู่ในป่าเขา จึงจำต้องแกล้งปลอมตัวเป็นคนต่างถิ่นที่ท่องเที่ยวในยุทธภพเพียงลำพังเพื่อหลบภัย? หาไม่แล้วเขาก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะมีใครที่สามารถสั่งสอนผู้มีพรสวรรค์ด้านวิถีวรยุทธ์ที่อายุน้อยขนาดนี้ให้เลื่อนสู่ขอบเขตปรมาจารย์ได้เร็วกว่าซ่งเฟิ่งซาน


ภรรยาของซ่งเฟิ่งซาน สตรีอายุยังน้อยที่หน้าตางดงามกิริยาสำรวมเรียบร้อยผู้นั้นถามขึ้นมาเบาๆ อย่างอดไม่ได้ “จะเกิดเรื่องกับซานหูหรือไม่?”


ซ่งเฟิ่งซานใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ถูด้ามกระบี่สั้นชื่อว่า ‘วารีสีคราม’ ที่พกไว้ตรงเอวเงียบๆ เพียงยิ้ม แต่ไม่ตอบ


บัณฑิตจึงเป็นคนอธิบายด้วยรอยยิ้มบางๆ “ฮูหยินโปรดวางใจ แม่นางหวังไม่ได้เป็นอะไรมาก หมัดนั้นของเด็กหนุ่มต่อยด้วยแรงที่ไม่มาก แค่ใช้แรงภายนอกของพายุหมัดโจมตีให้แม่นางหวังหมดสติไปเท่านั้น เป็นเพียงแค่บาดแผลภายนอก ไม่ได้บาดเจ็บไปถึงร่างกายและจิตวิญญาณของนาง การประลองฝีมือในครั้งนี้ เด็กหนุ่มออมแรงไว้กะทันหัน คงอยากทำเหมือนที่หัวหน้าหมู่บ้านหวังกล่าวไว้ นั่นคือไม่ต้องการให้เส้นทางในยุทธภพของตัวเอง ยิ่งเดินก็ยิ่งแคบลง”


แล้วก็จริงดังคาด หวังอี้หรานอุ้มบุตรสาวกลับเข้ามาในศาลา และเมื่อได้รับการช่วยเหลือจากหวังอี้หรานด้วยการจี้ไปตามจุดบนร่างกายไม่กี่ครั้ง หญิงสาวก็ค่อยๆ ฟื้นคืนสติ นอกจากที่นางจะมีสภาพกระเซอะกระเซิง เสื้อผ้าเปียกปอน มองเห็นความสาวได้วับแวม ต้องอับอายขายหน้าผู้คนครั้งใหญ่แล้ว สีหน้าและท่าทางก็ยังคงดีอยู่เหมือนเดิม หญิงสาวที่ห้อยดาบกลับด้านดิ้นรนลุกขึ้นยืนกลางศาลา หน้าผากบวมเป่ง นางหันหลังให้กับทุกคน มือหนึ่งยันเสากลางศาลา อีกมือหนึ่งปิดปากของตัวเอง ดวงตาทั้งคู่ของหญิงสาวร่างสูงโปร่งที่เปียกโชกไปทั้งตัวมีไอน้ำเอ่อคลอ เมื่อเทียบกับความเย็นชาในเวลาปกติแล้ว เวลานี้กลับมีความน่าสงสารเพิ่มขึ้นมาอีกหลายส่วน


เด็กสาวที่กลัวว่าเรื่องราวจะครึกครื้นไม่มากพอยืดคอยาวออกไปมองเด็กหนุ่มที่กำลังดื่มเหล้าเดินอยู่บนทางสายเล็ก แล้วทอดถอนใจด้วยความทึ่ง “ว้าว สมกับเป็นยอดฝีมือจริงๆ”


บัณฑิตชำเลืองตามองแผ่นหลังอรชรของหญิงสาวแบบเร็วๆ แวบหนึ่ง หญิงสาวที่สภาพเหมือนไก่ตกน้ำเปิดเผยส่วนเว้าส่วนโค้งบนร่างออกมาจนหมดสิ้น มุมปากของบัณฑิตตวัดขึ้นสูง ถอนหายใจให้กับขาที่อวบยาวได้อย่างน่าตะลึงของอีกฝ่าย เกรงว่าเด็กหนุ่มซื่อบื้อคนนั้นคงไม่เข้าใจเรื่องราวทางโลกในมุมนี้ ต้องลูกหลานตระกูลร่ำรวยที่มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนแบบเขานี่แหละที่รู้ว่าภาพแบบนี้ทำร้ายร่างกายของบุรุษได้ดีที่สุด


มรสุมแรกยังไม่สงบ มรสุมใหม่ก็บังเกิดขึ้น


ยุทธภพให้ความสำคัญกับคำว่านายได้รับความอัปยศบ่าวสมควรตายมากที่สุด ในบรรดาผู้ติดตามของแต่ละฝ่ายที่ยืนอยู่นอกศาลา บุรุษคนที่สะพายธนูเขาวัวคันใหญ่ไว้ด้านหลังคล้ายมองเห็นรอยยิ้มเย้ยหยันอันคลุมเครือจากผู้ติดตามคนอื่น เมื่อโทสะบังเกิดความกล้าจึงตามมา เขาตวาดกร้าวเสียงดัง ปลดธนูแข็งล้ำค่าที่ช่างใช้เวลาสิบปีกว่าจะสร้างเสร็จลงมา ดึงลูกธนูในถุงซึ่งมีลูกธนูขนนกสีขาวเบียดเสียดกันเต็มแน่นออกมาหนึ่งดอก ง้าวสายจนธนูวาดโค้งเป็นทรงพระจันทร์เต็มดวง “เจ้าคนชั่วบังอาจทำร้ายคุณหนูของข้า กินลูกธนูของข้าซะ!”


เหตุการณ์น่าตกใจเกิดขึ้นติดต่อกัน มาจนถึงตอนนี้หวังอี้หรานหัวหน้าหมู่บ้านเหิงเตามีชื่อเสียงด้านความสุขุมหนักแน่น อีกทั้งยังเป็นปรมาจารย์ด้านวิชากระบี่ที่วิชากระบี่มี ‘กลิ่นอายแห่งขุนเขา’ ก็เริ่มเกิดโทสะขึ้นมาบ้างแล้ว เขาแผดเสียงตะคอกเดือดดาล “หม่าลู่! ห้ามใช้อาวุธลับทำร้ายคนอื่น!”


เฉินผิงอันที่เดินห่างออกไปได้ร้อยก้าวกำลังจะหันตัวมาอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย เพราะหางตาเหลือบไปเห็นว่าบนกิ่งไม้สูงยอดบนสุดของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งมีคนยืนเอาสองมือไพล่หลัง เมื่อลมภูเขาพัดโชย ร่างของผู้เฒ่าชุดดำก็แกว่งไกวตามกิ่งไม้คล้ายคลื่นน้ำที่กระเพื่อมเบาๆ เกิดเป็นภาพชวนมอง เพียงไม่นานสายตาของคนทั้งสองก็สบประสานกัน ผู้เฒ่าผงกศีรษะให้ เฉินผิงอันจึงล้มเลิกความคิดที่จะลงมือ เพียงหมุนตัวกลับ หันหน้าเข้าหาศาลาริมน้ำอีกครั้ง


ร่างของผู้เฒ่าพกกระบี่สะบัดวูบหนึ่งครั้งก็หายวับไป นาทีถัดมาจึงมาปรากฏตัวอยู่บนทางเส้นเล็ก พุ่งสวนไหล่ของเฉินผิงอันไปดุจควันสีดำหนึ่งกลุ่ม เขายกมือ ตั้งนิ้วข้างหนึ่งขึ้นตรงแล้วยื่นไปด้านหน้า


ลูกธนูขนนกที่แหวกอากาศเข้ามาถูกผู้เฒ่าชุดดำสกัดไว้ด้วยนิ้วเดียว ลูกธนูที่พกพาพละกำลังอันหนักอึ้งปริแตกทีละชุ่นอยู่กลางอากาศ ส่วนนิ้วของผู้เฒ่ากลับยังปกติดังเดิม ไม่มีความเสียหายแม้แต่นิดเดียว


ผู้เฒ่ายื่นนิ้วออกมาอีกหนึ่งนิ้ว คว้าลูกธนูที่เป็นม้าตีนปลายซึ่งเหลือเพียงปลายลูกศรแหลมคมไว้แล้วขว้างกลับไปส่งๆ ลูกศรแหลมพุ่งกลับไปแทงทะลุฝ่ามือข้างหนึ่งของชายฉกรรจ์ที่ถือคันธนู ชายฉกรรจ์เองก็มีความหาญกล้าเต็มเปี่ยม เขายังคงไม่ปล่อยธนูเขาวัวทิ้ง แขนข้างที่ฝ่ามือโชกไปด้วยเลือดถูกปล่อยลงข้างกาย ถือธนูด้วยมือข้างเดียว ถลึงตากว้างจ้องมองแขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้นั้นอย่างดุดัน


ผู้เฒ่าชุดดำสีหน้าเฉยชา “ท่องอยู่ในยุทธภพ เป็นตายต้องรับผิดชอบเอง! ไม่มีผู้อาวุโสคนไหนสอนหลักการข้อนี้ให้พวกเจ้าหรือ? อยู่ในยุทธภพแห่งอื่นของแคว้นซูสุ่ย ไม่ต้องทำตามกฎเกณฑ์อะไรทั้งนั้น เอาแค่ที่พวกเจ้าสบายใจก็พอ แต่เมื่ออยู่ในหมู่บ้านวารีกระบี่ของข้า จะทำอย่างนั้นไม่ได้”


สตรียังสาวลุกขึ้นยืน ยอบตัวคารวะอย่างดงาม เอ่ยเรียกอีกฝ่ายด้วยความนอบน้อม “ท่านบรรพบุรุษ”


หวังอี้หรานหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย รีบกุมหมัดคารวะ ก้มหน้าลงนิดๆ “หวังอี้หรานผู้นำหมู่บ้านเหิงเตา คารวะอริยะกระบี่ซ่ง!”


บัณฑิตรีบลุกขึ้นตามมาติดๆ หันไปตบศีรษะของเด็กสาวเบาๆ เพื่อให้นางลุกขึ้นต้อนรับอีกฝ่าย จากนั้นบัณฑิตก็วางมือทับซ้อนกันทำท่าคารวะของลัทธิขงจื๊อ เอ่ยเสียงดังกังวาน “หานหยวนซ่านลูกหลานสกุลหานจากภูเขาเสี่ยวฉงคารวะอดีตท่านผู้นำหมู่บ้าน”


เด็กสาวมีนิสัยร่าเริง ไม่เคยหวั่นกลัวเรื่องใด นางทำท่าคารวะเลียนแบบพี่ชาย แม้จะสอดมือประสาน แต่กลับไม่ก้มหัว เอาแต่จ้องเป๋งไปยังเทพเซียนผู้เฒ่าที่ชื่อเสียงระบือก้องไปทั่วยุทธภพผู้นั้นพลางพูดด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา “หานหยวนเสวียลูกหลานสกุลหานจากภูเขาเสี่ยวฉง คารวะอดีตท่านผู้นำหมู่บ้าน”


ซ่งอวี่เซาอริยะกระบี่เฒ่าปรากฏกาย ในฐานะหลานชายคนโตของผู้เฒ่า ซ่งเฟิ่งซานกลับเป็นคนสุดท้ายที่ลุกขึ้นยืน เขาเอ่ยเนิบช้าด้วยน้ำเสียงที่ไร้คลื่นอารมณ์ “ท่านปู่ออกจากบ้านคราวนี้กลับมาค่อนข้างเร็ว เดิมทีหลานนึกว่าต้องรอให้เรื่องของทางหมู่บ้านเงียบสงบลง ไม่มีแขกเหลืออยู่แล้ว ท่านปู่ถึงจะยอมกลับมา”


ผู้เฒ่ากวาดตามองไปรอบด้าน ทิ้งประโยคที่มีความหมายลึกล้ำไว้ว่า “บรรยากาศเลวร้าย” แล้วหมุนกายเดินจากไปพร้อมกับเฉินผิงอัน จะสกุลหานแห่งภูเขาเสี่ยวฉงเสาเอกของราชสำนักแคว้นซูสุ่ยหรือหมู่บ้านเหิงเตาอะไร เขาล้วนไม่สนใจ ราวกับว่าไม่มีใครเข้าตาเขาได้สักคน เป็นเหตุให้อดีตผู้นำหมู่บ้านไม่แม้แต่จะชายตามามอง


ซ่งอวี๋เซาเดินเคียงบ่าไปกับเฉินผิงอัน พอหันหลังให้ทุกคนแล้ว สีหน้าของเขาถึงได้แสดงความหงอยเหงาออกมาเล็กน้อย หลังจากเดินมาได้ระยะหนึ่งจึงเอ่ยเยาะเย้ยตัวเองว่า “หลักคุณธรรมในครอบครัวบิดเบี้ยวไม่เป็นท่า ยังสู้น้ำตกสายหนึ่งไม่ได้ ขายหน้าเจ้าแล้ว”


เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะรับคำต่ออย่างไร จึงได้แต่เอ่ยคำพูดตามมารยาทที่ไม่สร้างความระคายใจให้อีกฝ่าย “อันที่จริงคนในหมู่บ้านก็ดีมาก ไม่ได้เกินทนอย่างที่ท่านผู้อาวุโสพูด”


ทุกครอบครัวล้วนมีคัมภีร์ที่อ่านยาก ต่อให้ผู้เฒ่าจะเป็นคนใจกว้างตรงไปตรงมาแค่ไหนก็ไม่ยินดีเอาเรื่องน่าอายในบ้านมาป่าวประกาศแก่คนนอก จึงเปลี่ยนหัวข้อไปพูดเรื่องอื่นแทนว่า “หมัดที่ปล่อยไปนอกศาลาริมน้ำ เหตุใดถึงเปลี่ยนใจกะทันหัน ใช้พลังแค่สามสี่ส่วนจากในสิบส่วน? ว่าที่ผู้นำหมู่บ้านเหิงเตาคนนั้นหัวแข็งถือทิฐิ ไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน วันนี้เจ้าออมมือให้ ก็ไม่แน่เสมอไปว่านางจะรับน้ำใจ และก็เป็นไปได้ว่าจะกวนใจเจ้าไม่เลิกรา พวกหนุ่มสาวในยุทธภพสมัยนี้มักจะทำอะไรตามอำเภอใจตัวเองเสมอ ข้าผู้อาวุโสไม่ชอบอย่างยิ่ง แต่คนอย่างเจ้าที่ไม่ลงมือให้สาแก่ใจ ข้าผู้อาวุโสก็ชื่นชมไม่ลงเหมือนกัน”


เฉินผิงอันดื่มเหล้า ใช้หลังมือเช็ดปาก เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เพียงแค่ตัวเองไม่สบอารมณ์ก็จะต่อยให้คนอื่นตายด้วยหมัดเดียว แบบนั้นก็เผด็จการเกินไป แล้วนับประสาอะไรกับที่อีกไม่นานข้าก็จะไปจากแคว้นซูสุ่ยแล้ว หมู่บ้านเหิงเตาคิดจะหาเรื่องข้าย่อมไม่ง่าย อย่างมากสุดก็แค่ถูกผู้หญิงคนนั้นด่าลับหลังเท่านั้น ข้าไม่ได้ยินด้วยซ้ำ”


ซ่งอวี่เซาหันมามองเด็กหนุ่มที่มีสีหน้าจริงใจ ทั้งรู้สึกแปลกใจ แล้วก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผลไปในคราวเดียวกัน จึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “คำพูดแบบนี้ หากคนแก่อายุเท่าข้าผู้อาวุโสเป็นคนพูดยังพอเข้าใจได้ เพราะตอนนี้ก็ถือว่าร่างของข้าลงไปอยู่ในดินครึ่งหนึ่งแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็เคยผ่านมาหมด ยังจะเป็นอย่างไรได้อีก? แต่เด็กน้อยอายุสิบห้าสิบหกอย่างเจ้า พูดจาเป็นคนแก่แบบนี้ไม่น่าเบื่อไปหน่อยหรือ”


เฉินผิงอันไม่ได้ตอบโต้อะไร พอได้ปล่อยไปหนึ่งหมัด อารมณ์อึมครึมที่ล้อมวนอยู่ในใจก็ลดไปได้มาก แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว


เขานึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงเอ่ยเตือนเสียงเบา “หมัวมัวในวัดร้างที่บอกว่าตัวเองคือสี่พิฆาตแคว้นซูสุ่ยเข้ามาในหมู่บ้านของพวกท่านพร้อมกับชายร่างกำยำคนหนึ่ง ท่านผู้อาวุโสต้องระวังตัวไว้บ้าง”


ซ่งอวี่เซาหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “นี่จะนับเป็นอะไรได้ หากรวมคุณชายสกุลหานในศาลาผู้นั้นเข้าไปด้วย สี่พิฆาตที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่เลื่องลือไปทั้งแคว้นซูสุ่ยก็ถือว่ามารวมตัวกันครบแล้ว”


เฉินผิงอันสงสัย “แล้วมารอีกคนคือใคร?”


ซ่งอวี่เซาส่ายหน้ายิ้มขื่น “อย่าพูดถึงเลย”


เฉินผิงอันดื่มเหล้าพลางครุ่นคิดไปด้วย


ผู้เฒ่ารู้ว่าเฉินผิงอันคิดอะไร จึงพูดกับเขาอย่างตรงไปตรงมา “เชิญพวกเจ้ามาเป็นแขกในครั้งนี้ ไม่ได้มีแผนการใดๆ เพียงแค่หวังว่าหมู่บ้านแห่งนี้จะไม่ได้มีแต่พวกคนระยำต่ำช้าที่ร่างเป็นคนใจเป็นสุนัข ถึงอย่างไรข้าผู้อาวุโสก็เป็นคนสร้างหมู่บ้านวารีกระบี่แห่งนี้ขึ้นมากับมือตัวเอง ไม่อยากเห็นขี้หมากองอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ตรงนี้หนึ่งกอง ตรงนั้นอีกกอง จนแม้แต่ข้าผู้อาวุโสที่เดินอยู่ในบ้านตัวเองยังรู้สึกขยะแขยง มีพวกเจ้ามาเป็นแขกที่บ้าน ข้าผู้อาวุโสเห็นแล้วก็สบายตาขึ้นมาก”


เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ผู้อาวุโสคนนี้พูดจาเหมือนขวานผ่าซากเกินไปแล้ว


เฉินผิงอันไม่รู้ว่า ซ่งอวี่เซาที่อยู่ในยุทธภพ นอกจากตำแหน่งอริยะกระบี่ที่ยิ่งนานก็ยิ่งโด่งดังแล้ว เขายังได้รับฉายาว่า ‘ก้อนเหล็ก’ จากคนวัยเดียวกันด้วย ที่เรียกเขาอย่างนี้ก็เพราะซ่งอวี่เซาไม่ชอบยิ้มแย้มพูดคุยกับใคร อยู่ในบ้านเป็นเช่นนี้ อยู่ในยุทธภพนอกบ้านก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ หากจะบอกว่าซ่งเฟิ่งซานนิสัยไม่เหมือนซ่งอวี่เซาเลยสักนิดก็คงไม่ยุติธรรมกับเซียนกระบี่น้อยเท่าใดนัก เพียงเพราะว่าบนร่างของซ่งอวี่เซามีกลิ่นอายของคนในยุทธภพรุ่นเก่า คร่ำครึตายตัวเกินไป ทำอะไรได้ไม่เต็มที่เหมือนถูกมัดมือมัดเท้า ซ่งเฟิ่งซานที่แสวงหาจุดสูงสุดแห่งวิถีกระบี่จึงดูแคลนที่จะปฏิบัติตามเขาก็เท่านั้น


ผู้เฒ่าวัยเจ็ดสิบปีอย่างซ่งอวี่เซาเห็นความชั่วร้ายของจิตใจคนและมรสุมในยุทธภพมามากมาย เขาจึงยิ่งมั่นใจในเรื่องหนึ่ง นั่นคือเหตุผลพูดให้กับคนที่มีเหตุผลฟังได้เท่านั้น หาไม่แล้วกระบี่เหล็กโบราณสนิมเขรอะที่ห้อยอยู่ตรงเอวก็จะกลายมาเป็นเหตุผลของเขาซ่งอวี่เซา ซ่งอวี่เซาชอบพกกระบี่ท่องไปในยุทธภพเพียงลำพัง หลายปีมานี้ได้พบเจอคนรุ่นหลังที่มีความสามารถและฉายประกายเฉียบคมมามากมาย พรสวรรค์ของพวกเขาเหล่านั้นดีมากจริงๆ แต่คุณธรรมกลับไม่ได้เรื่อง ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังมีชีวิตที่เจริญรุ่งเรืองดี คนในยุทธภพที่ชื่นชมพวกเขามีมากประดุจปลาที่แหวกว่ายในแม่น้ำ ซ่งอวี่เซาไม่ค่อยเข้าใจนัก หากอีกสามสิบปีหรือห้าสิบปีให้หลังต้องมอบยุทธภพให้กับมือของคนเหล่านี้ จะยังเหลืออะไรให้คาดหวังได้อีก?


เพียงแต่ว่าต่อให้วิชากระบี่ของซ่งอวี่เซาจะสูงส่งแค่ไหน เขาก็มีแค่ตัวคนเดียวเท่านั้น คนวัยเดียวกันพากันล้มหายตายจาก แล้วก็พากฎเกณฑ์เก่าๆ คำพูดเก่าๆ ที่เด็กรุ่นหลังไม่ชอบฟังฝังกลบลงดินตามไปด้วย ตอนนี้ขนาดเทพกระบี่แคว้นไฉ่อีที่เป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งศัตรู และยิ่งเป็นผู้อาวุโสก็ยังตายไปแล้ว ซ่งอวี่เซาจึงแทบไม่เหลือความสนใจให้กับเรื่องใดอีก


เขารู้สึกว่ายุทธภพในทุกวันนี้ เหมือนน้ำที่จืดชืด ไม่มีรสชาติของสุราเหลืออีกต่อไป


หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กหนุ่มเดินเล่นอย่างไม่มีอะไรทำ แล้วจู่ๆ ซ่งอวี่เซาก็เอ่ยขึ้นว่า “คนกลุ่มนั้นที่อยู่ในศาลาริมน้ำตกสายตาต่ำ มองไม่ออกถึงความสูงต่ำของปณิธานหมัดเจ้า แต่ข้าผู้อาวุโสกลับเห็นอย่างชัดเจน ดังนั้นก็ขอปากมากพูดสักประโยค ตอนนี้สภาพจิตใจของเจ้ามีปัญหา ขอบเขตสามฝ่าทะลุสู่ขอบเขตสี่คือธรณีประตูใหญ่แห่งแรกของผู้ฝึกยุทธ์อย่างเราๆ เจ้าปูรากฐานมาแน่นหนามากเท่าไหร่ ยิ่งพาปมในใจพยายามฝ่าขอบเขตก็ยิ่งเกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย เสียงที่ภูเขาหิมะถล่มลงมาย่อมดังกว่า น่ากลัวว่าหินและดินโคลนที่กลิ้งลงมาจากภูเขาลูกเล็กนับร้อยนับพันเท่า ไอ้หนู เจ้าต้องระวังให้มาก!”


เฉินผิงอันพลันตื่นรู้ เขายื่นมือมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก เงียบคิดไปครู่หนึ่งก็หันหน้ามาเอ่ยว่า “ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่เอ่ยเตือน”


ซ่งอวี่เซาครุ่นคิดอีกเล็กน้อยก็พูดไปอีกเรื่อง “การเก็บหมัดก่อนหน้านี้ เป็นเพราะเจ้ามีคุณธรรมก็จริง แต่กลับไม่ดีต่อการฝ่าทะลุขอบเขตของเจ้า ตามหลักเกณฑ์ทั่วไปในยุทธภพ หากเจ้าปล่อยหมัดนั้นออกไปอย่างเต็มกำลัง ต่อยให้เด็กสาวคนนั้นบาดเจ็บสาหัสหรือถึงขั้นตายไป หลังจากนั้นชักนำให้เกิดความเดือดดาลจากฝูงชน นำมาซึ่งศึกใหญ่ตัดสินเป็นตาย ไม่แน่ว่านั่นจะเป็นโอกาสในการฝ่าทะลุขอบเขตของเจ้า หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าโชควาสนาของเทพเซียนบนภูเขา”


เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม เขาไม่ได้รู้สึกเสียใจภายหลัง ยังคงเอ่ยด้วยประโยคที่เหมือนกับคนแก่อีกครั้ง “ไม่เป็นไร อะไรที่ควรเป็นของข้าย่อมหนีไม่พ้น อะไรที่ไม่ควรเป็นของข้า คว้าไว้ก็คว้าไม่อยู่”


อันที่จริงซ่งอวี่เซาคอยสังเกตการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของเด็กหนุ่มอยู่ตลอดเวลา เห็นว่าสีหน้าของเขาเป็นปกติ ดวงตาใสกระจ่าง ผู้เฒ่าก็แอบพยักหน้ากับตัวเอง


—-


บทที่ 242.2 ดื่มเหล้าของเซียนกระบี่แล้วก็เอาไปคุยอวดได้

โดย

ProjectZyphon

วิถีกระบี่ที่เด็กหนุ่มตรงหน้ากับซ่งเฟิ่งซานหลานชายของตนศรัทธา แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน แม้ตอนนี้จะยังบอกไม่ได้ว่าใครผิดใครถูก ใครจะเดินได้เร็วกว่า ไปได้ไกลกว่า แต่ในความรู้สึกของซ่งอวี่เซาเองนั้น เด็กหนุ่มต่างถิ่นที่สะพายกระบี่ท่องยุทธภพ แต่วิชากระบี่กลับไม่ได้เรื่องผู้นี้ถูกใจเขามากกว่า ในเรื่องการสั่งสอนบุตรหลาน ตระกูลของบัณฑิตผู้มีความรู้มีความสามารถมากกว่าพรรคต่างๆ ในยุทธภพจริง สำหรับเรื่องนี้ซ่งอวี่เซายอมศิโรราบจากใจจริง สำหรับการปลูกฝังวิถีกระบี่ของตระกูลในช่วงต้น ตัวเขาเองมองมันเป็นดั่งเงาใต้โคมไฟ (มองข้ามหรือไม่ให้ความสำคัญ) หรือจะพูดอีกอย่างก็คือไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยว อย่างมากก็แค่ดุด่าเท่านั้น ตอนนี้มาย้อนนึกดูแล้ว ผู้เฒ่าก็มีเพียงความละอายและความเสียดาย


อันที่จริงผู้เฒ่าก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองดีกว่าหวังอี้หรานหัวหน้าหมู่บ้านเหิงเตาสักเท่าไหร่


มารยาทมาจากตระกูล กฎเกณฑ์มาจากสำนัก


มารยาทกฎระเบียบ หากเป็นลูกหลานตระกูลเซียนที่แท้จริงจะต้องได้รับการอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่ยังเด็ก วิชาอาคมของเทพเซียน ตระกูลเซียนบนภูเขาสืบทอดต่อกันมาอย่างมีระบบ


สำหรับเรื่องนี้ซ่งอวี่เซามีประสบการณ์อย่างลึกล้ำ เขาเคยเดินทางไกลไปที่แคว้นหนันเจี้ยน เคยคบค้าสมาคมกับคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังของที่แห่งนั้น ต่อให้จะมีนิสัยแตกต่างกันไป แต่ทุกคนก็มีเอกลักษณ์เฉพาะเป็นของตัวเอง ต่อให้เป็นเพียงบัณฑิตที่ไม่มีแม้แต่แรงมัดไก่ก็ยังทำให้คนรู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้


ข้างทางระหว่างน้ำตกกับหมู่บ้านวารีกระบี่มีศาลาริมทางที่ชายคาตวัดโค้งงอขึ้นอย่างน่ารัก ห้อยกรอบป้ายคำว่า ‘ภูเขาแม่น้ำ’ กลอนคู่ที่ติดเอาไว้คือประโยคว่า ‘หินขาววับแวววาว น้ำใสไหลระริก’ เรียบง่ายแต่มีท่วงทำนองแปลกใหม่


เห็นได้ชัดว่าซ่งอวี่เซาชื่นชอบศาลาแห่งนี้มากเป็นพิเศษ เขาลากเฉินผิงอันไปนั่งลงบนม้านั่งตัวยาวในศาลา คนทั้งสองนั่งอยู่ตรงข้ามกัน ผู้เฒ่าวางกระบี่พาดหัวเข่า เด็กหนุ่มสะพายกระบี่ไว้ด้านหลัง คนหนึ่งมีเวทกระบี่ที่เลื่องลือไปทั้งยุทธภพว่าอยู่ในขอบเขตของอริยะ อีกคนหนึ่งตอนนี้แม้แต่จะออกกระบี่ยังไม่มีความมั่นใจ


การมองเห็นเปิดกว้าง เทือกเขายาวไกลดุจคิ้วของสาวงาม


ลมภูเขาพัดโชยเย็นสบาย ทำให้จิตใจของคนปลอดโปร่ง


ซ่งอวี่เซานั่งเงียบๆ อยู่อย่างนั้น ไม่ได้คิดจะพูดคุยตามมารยาทกับเด็กหนุ่ม เพียงแค่คิดเรื่องในใจตัวเองไปเรื่อยๆ


ซ่งเฟิ่งซานหลานชายของเขาไม่ถือว่ามีความทะเยอทะยานต่อเรื่องราวในยุทธภพเท่าใดนัก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นหลานสะใภ้คนนั้นที่คอยยุแยงอยู่เบื้องหลัง คอยเป่าหูอยู่ข้างหมอนตั้งแต่เช้าจรดค่ำ เป็นเหตุให้หลานชายของตนรู้สึกว่าการเป็นผู้นำของยุทธภพเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ ที่ถือโอกาสทำไปพร้อมกันได้เลย อีกทั้งไม่ว่าจะขาวหรือดำก็เอาหมด ยังถึงขั้นคิดยื่นมือเข้าไปในราชสำนัก หาไม่แล้วด้วยนิสัยของซ่งเฟิ่งซาน ตอนนั้นไหนเลยจะสนใจองค์หญิงใหญ่ของแคว้นซูสุ่ย ไม่ฟันนางให้ตายด้วยกระบี่เดียวก็ถือว่ามีเมตตามากแล้ว


คำเรียกขานว่าสี่พิฆาตของแคว้นซูสุ่ยเพิ่งจะมีเมื่อสิบปีที่ผ่านมา ไม่ได้เผยแพร่ในยุทธภพอย่างกว้างขวางเท่าใดนัก โดยทั่วไปแล้วมีเพียงปรมาจารย์ที่อยู่ในตำแหน่งอย่างหวังอี้หรานเท่านั้นที่พอจะเคยได้ยินมาบ้าง คนที่เป็นผู้นำก็คือชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่เดินทางมาพร้อมกับ ‘หมัวมัว’ มารผู้นั้น เขามีง้าวเงินที่เป็นสมบัติอาคมของตระกูลเซียนชิ้นหนึ่ง สร้างพรรคมารพรรคหนึ่งขึ้นมาในแคว้นซูสุ่ย ส่วนอันดับที่สองคือหญิงสาวปีศาจในวัดโบราณ จากนั้นก็เป็นลูกหลานสกุลหานแห่งภูเขาเสี่ยวฉงที่วางตัวถ่อมตน มีชาติกำเนิดจากตระกูลที่มีชื่อเสียง แต่กลับฝึกวิชามาร ผูกมัดจิตใจและควบคุมขุนนางใหญ่ตำแหน่งสูงของแคว้นซูสุ่ยไว้มากมาย


คนสุดท้ายของสี่พิฆาต ไกลสุดขอบฟ้า ใกล้แค่ตรงหน้า ก็คือหลานสะใภ้ของซ่งอวี่เซา


มีครั้งหนึ่งที่ซ่งอวี่เซาออกเดินทางไกล นางได้รู้จักกับซ่งเฟิ่งซาน ‘โดยบังเอิญ’ คนทั้งสองจึงแต่งงานเป็นสามีภรรยากันลับหลังซ่งอวี่เซา ป่าวประกาศให้คนทั่วหล้ารับรู้ รอจนซ่งอวี่เซากลับมาถึงหมู่บ้าน ไม้ก็กลายเป็นเรือไปแล้ว ที่น่าจนใจที่สุดเลยก็คือซ่งเฟิ่งซานที่รู้ทั้งรู้ว่าภรรยาเป็นมาร แต่ก็ยังหลงมัวเมา ครั้งนั้นซ่งอวี่เซาออกกระบี่แล้ว หนึ่งกระบี่ฟันให้กระบี่เล่มเดิมที่หลานชายพกติดตัวขาดท่อน แล้วแทงอีกกระบี่ทะลุหน้าท้องของหญิงสาว ซ่งเฟิ่งซานสู้ตายกับปู่ของตัวเองราวกับเสียสติ ด้วยความโมโห ซ่งอวี่เซาจึงจะใช้กระบี่ตัดเส้นเอ็นข้อมือของหลานชายไม่เอาไหนคนนี้ให้ขาด จะได้สะบั้นหนทางแห่งวิถีกระบี่ของเขาลง วันหน้าจะได้ไม่ต้องเป็นภัยแก่คนบนโลก คาดไม่ถึงว่าสตรีผู้นั้นจะเอาตัวมาขวางเบื้องหน้าซ่งเฟิ่งซาน ปล่อยให้ผู้เฒ่าแทงกระบี่ทะลุหัวใจ แม้ว่านางจะไม่ได้ตายคาที่ แต่สะพานแห่งความเป็นอมตะกลับขาดลงอย่างสิ้นเชิง นับแต่นั้นมากลายเป็นเพียงคนขี้โรคที่แม้แต่ลมหนาวของฤดูใบไม้ผลิก็ยังทนรับไม่ไหว


เรื่องราวเละเทะในครอบครัวที่น่าอับอายเหล่านี้ ซ่งอวี่เซารู้ดีว่าหลักการที่ต้องใช้ความรู้สึกทำให้คนซาบซึ้ง ใช้เหตุผลทำให้คนเข้าใจนั้นไม่มีประโยชน์ สุดท้ายเขาถึงขนาดออกกระบี่แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถอธิบายเหตุผลได้อย่างชัดเจน จนมันกลายมาเป็นบัญชีเลอะเลือนที่เกิดขึ้นโดยที่ใครก็ไม่ทันได้ตั้งตัว


ซ่งอวี่เซาถอนหายใจยาวเหยียด


ศาลาภูเขาแม่น้ำเอยศาลาภูเขาแม่น้ำ ภูเขาทับซ้อน สายน้ำไหลริน ทัศนียภาพนั้นสวยงาม แต่เรื่องราวบนโลกมนุษย์กลับเป็นดั่งลมมรสุม ไม่เคยง่ายสมใจคนปรารถนา


จู่ๆ เฉินผิงอันก็ถามขึ้นว่า “ผู้อาวุโสซ่ง หลังจากนี้ข้าสามารถไปฝึกวิชาหมัดที่น้ำตกได้หรือไม่?”


ซ่งอวี่เซาตอบรับทันทีโดยไม่ต้องคิด “ทำไมจะไม่ได้เล่า ข้าจะป่าวประกาศออกไปว่า ตั้งแต่ศาลาภูเขาแม่น้ำไปจนถึงน้ำตกแห่งนั้นถือเป็นพื้นที่ต้องห้ามของหมู่บ้านวารีกระบี่ ใครละเมิดเข้ามาต้องตาย”


เฉินผิงอันเกาหัว รู้สึกเกรงใจไม่น้อย “ข้าแค่ไปฝึกวิชาหมัดตอนกลางคืนเวลาที่ไม่มีคนไปชมทัศนียภาพของน้ำตกก็พอแล้ว ตอนกลางวันไม่ต้องปิดทางหรอก ไม่อย่างนั้นจะดูไร้น้ำใจเกินไป”


ซ่งอวี่เซาส่ายหน้าหัวเราะเสียงดัง “เจ้าเด็กน้อย เจ้านี่ใจไม่ถึงเอาซะเลย ข้าผู้อาวุโสคิดจะขีดเส้นแบ่งพื้นที่ไม่ให้ใครมาขี้ในบ้านของตัวเอง ยังจำเป็นต้องอธิบายเหตุผลกับคนนอกอีกหรือ?”


เฉินผิงอันจึงได้แต่กล่าวว่า “หากทางหมู่บ้านต้องการให้ข้าช่วยเหลืออะไร ท่านผู้อาวุโสก็สั่งมาได้เลย”


ผู้เฒ่าตบกระบี่เหล็กบนเข่า กล่าวเสียงขุ่น “กระบี่ของข้าผู้อาวุโส ไม่เหมือนกับกระบี่สองเล่มที่เจ้าสะพายอยู่”


เฉินผิงอันสีหน้ากระอักกระอ่วน ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เอามาดื่มเหล้า ไม่ได้พูดอะไร


ผู้เฒ่ากลั้นยิ้ม เก็บกระบี่แล้วลุกขึ้นพูดว่า “ฝึกวิชาหมัดไปตามสบาย อยากอยู่ในหมู่บ้านนานแค่ไหนก็ได้ ใช่แล้ว ดมจากกลิ่นก็รู้ว่าเหล้าของเจ้าคงไม่อร่อยเท่าไหร่ เดี๋ยวกลับไปข้าผู้อาวุโสจะให้คนนำเหล้าฮวาเตียว (เหล้าเหลืองชนิดหนึ่ง) ที่ฝังไว้ใต้ดินนานถึงยี่สิบปีไปส่งยังที่พักของเจ้าหลายๆ ไห นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าเหล้าที่ดี! ไอ้ที่เจ้าดื่มอยู่ตอนนี้ไม่ได้ดีกว่าน้ำเปล่าเลย ประเด็นสำคัญคือไม่ว่าจะมีคนหรือไม่มีคน มีเรื่องหรือไม่มีเรื่อง เด็กน้อยอย่างเจ้าก็ชอบดื่มอึกสองอึกอยู่เป็นระยะ ข้าผู้อาวุโสล่ะอายแทนเจ้า”


ผู้เฒ่าเตะปลายเท้า ร่างล่องลอยออกไป พริบตาเดียวก็ไปปรากฏตัวอยู่บนกิ่งไม้สูงในป่าที่ห่างไปไกล ทะยานตัวขึ้นๆ ลงๆ อยู่แค่ไม่กี่ครั้งก็หายตัวไปไม่เห็นเงาอีก


เฉินผิงอันนั่งอยู่ในศาลาภูเขาแม่น้ำเพียงลำพัง


ได้เจอกับผู้อาวุโสในยุทธภพท่านนี้สองครั้ง เฉินผิงอันอดนึกไปถึงเสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองของเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อีไม่ได้ แม้ว่าคนหนึ่งจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วยุทธภพ อีกคนคือองค์เทพฝ่ายบุ๋นที่เสวยสุขกับควันธูป อ้อ ใช่แล้ว ยังรวมถึงผู้ฝึกลมปราณคนที่รับหลวนหลวนเป็นลูกศิษย์ด้วย เขามักจะรู้สึกว่าพวกเขาสามคนมีบางอย่างคล้ายกัน แต่คล้ายกันตรงไหน เฉินผิงอันก็บอกไม่ถูกอีกเหมือนกัน แต่สรุปก็คือหลังจากที่เฉินผิงอันได้รู้จักพวกเขาแล้วถึงได้รู้สึกว่าเหล้าในน้ำเต้าของตัวเอง จะซื้อประเภทเหล้าต้มที่ถูกที่สุดอีกไม่ได้แล้วจริงๆ


ฮ่าๆ ไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวเขาก็จะได้ดื่มเหล้าที่ดีที่สุดของหมู่บ้านวารีกระบี่แล้วไม่ใช่หรือ?!


ประเด็นสำคัญก็คือเฉินผิงอันไม่ต้องจ่ายเงินด้วย!


ดังนั้นตอนที่เฉินผิงอันออกจากศาลาภูเขาแม่น้ำกลับไปยังที่พักจึงอารมณ์ดีสุดขีด


ไปถึงลานบ้าน สวีหย่วนเสียและจางซานเฟิงเห็นเฉินผิงอันที่ใบหน้าแปะคำว่าดีใจเด่นหราก็หันมามองหน้ากันเอง อะไรกัน? ไปดูน้ำตกได้ผลดีขนาดนี้เชียวหรือ?


เฉินผิงอันนั่งลงข้างโต๊ะหินอย่างสุขใจ เอ่ยกับพวกเขายิ้มๆ “ตอนกลางคืนข้าจะไปฝึกวิชาหมัดที่น้ำตก พวกเจ้าใครจะไปเป็นเพื่อนข้าบ้าง?”


ชายฉกรรจ์เคราดกหัวเราะชั่วร้าย “หรือว่าตอนไปน้ำตก เจ้าไปแอบเห็นสาวงามอาบน้ำมา? ถ้ามีทัศนียภาพสวยงามแบบนี้ก็นับข้าไปด้วยอีกคน!”


จางซานเฟิงกะพริบตาปริบๆ “ข้าผู้เป็นนักพรตช่วยดูต้นทางให้พวกเจ้าได้”


เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “ใช่ที่ไหนกัน เมื่อครู่ข้ายังทะเลาะกับคนที่น้ำตกด้วย ต่อยตีกันไปรอบหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะเป็นคนของหมู่บ้านเหิงเตา ยังดีที่ผู้อาวุโสซ่งลงมือช่วยสกัดกั้นลูกธนูจากผู้ติดตามคนหนึ่งให้ข้า ไม่อย่างนั้นคาดว่าข้าคงต้องลงมืออย่างเต็มกำลังแล้ว ถึงเวลานั้นไม่แน่ว่าพวกเจ้าสองคนอาจถูกข้าลากลงน้ำไปด้วย…”


ชายฉกรรจ์เคราดกจุ๊ปากพูด “เฉินผิงอัน ถึงกับลากลงน้ำเลยหรือ ข้าเป็นชายชาตรีร่างกำยำปานนี้ก็ทำให้เจ้าน้ำลายไหลด้วยความปรารถนาได้หรือ? ข้าว่าจางซานเฟิงต่างหากที่พอจะดูมีความงามอยู่หลายส่วน เดี๋ยววันหน้าข้าจะช่วยซื้อชุดผู้หญิงจากเมืองเล็กมาให้เขาใส่ ถึงเวลานั้นให้เขาเดินไปเดินมาอยู่ตรงน้ำตก ไม่แน่ว่าข้าอาจช่วยทำหน้าที่เป็นผู้เฒ่าจันทราโยงด้ายแดงให้พวกเจ้าได้แต่งงานครองคู่กัน…”


เฉินผิงอันกำลังดื่มเหล้าเกือบจะพ่นเหล้าออกมา


จางซานเฟิงทำหน้าพะอืดพะอม รีบลุกขึ้นเดินออกห่างคนทั้งสอง แล้วกล่าวเสียงขุ่น “กระต่ายไม่กินหญ้าใกล้รังตัวเอง พวกเจ้ากลับดีนัก แม้แต่พี่น้องตัวเองก็ยังไม่ยอมละเว้น นี่มันเกินไปแล้วนะ”


ส่วนเฉินผิงอันก็ขยับเปลี่ยนเก้าอี้นั่งให้อยู่ห่างจากสวีหย่วนเสียอีกนิด…


ชายฉกรรจ์เคราดกลูบเครา “ทำไมเล่า ขนาดชีวิตยังสละให้พี่น้องได้ แค่เปลี่ยนมาสวมชุดผู้หญิงทำไม่ได้หรือไง? แบบนี้ก็ไม่มีน้ำใจพอน่ะสิ!”


จางซานเฟิงยกสองมือกุมหมัดวิงวอน เดินถอยหลังห่างออกไป “ข้าผู้เป็นนักพรตจะไปอ่านตำราในห้องแล้ว พวกเจ้ามีน้ำใจพอก็คุยกันไปเถอะนะ”


สวีหย่วนเสียหัวเราะชอบใจเสียงดัง


เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ


และเวลานี้ผู้ดูแลแซ่ฉู่ก็มาเรียกที่นอกลานบ้านพอดี เขานำคนยกไหเหล้ารสเลิศมาด้วยตัวเองถึงสี่ไห พอวางไว้แล้วก็จากไปทันที สีหน้าที่ผู้เฒ่ามีต่อเฉินผิงอันยิ่งมีไมตรีจิตมากขึ้น


อันที่จริงจางซานเฟิงไม่ค่อยชอบดื่มเหล้า เฉินผิงอันจึงคิดจะแบ่งกับสวีหย่วนเสียคนละครึ่ง หนึ่งคนสองไห สวีหย่วนเสียลังเลอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็ส่ายหน้ายิ้มๆ “ข้าเอาแค่ไหเดียวก็พอแล้ว เฉินผิงอัน เจ้าเอาไปสามไห”


เฉินผิงอันแปลกใจเล็กน้อย


สวีหย่วนเสียกวาดตามองรอบด้าน เมื่อไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติจึงชี้ไปยังน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดที่อยู่ตรงเอวของเฉินผิงอันแล้วเอ่ยเบาๆ ด้วยรอยยิ้มว่า “คิดว่าข้ามองสายสนกลในอะไรไม่ออกเลยจริงๆ น่ะหรือ ถ้าอย่างนั้นเกินครึ่งชีวิตที่ข้าใช้มาในยุทธภพก็เสียเปล่าน่ะสิ ก็แค่ก่อนหน้านี้เกรงใจที่จะพูดเท่านั้น ก็เหมือนกับเรื่องที่จางซานเฟิงเรียกตัวเองว่าจางซานนั่นแหละ ใครบ้างที่ท่องอยู่ในยุทธภพแล้วจะไม่มีความลับเสียเลย? กาเหล้าใบนี้ของเจ้า หากไม่ใช่วัตถุฟางชุ่นของตระกูลเซียนในตำนาน ก็ต้องเป็นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่มีค่ามากยิ่งกว่า ถูกไหม?”


ชายฉกรรจ์เคราดกยื่นนิ้วไปชี้ที่ดวงตาทั้งสองข้างของตัวเอง “ข้าน่ะมีตาทิพย์มาตั้งนานแล้วนา”


เฉินผิงอันไม่ได้ปฏิเสธ เพียงเอ่ยเบาๆ ว่า “ปิดบังมานานขนาดนี้ ต้องขอโทษพวกเจ้าสองคนแล้ว”


สวีหย่วนเสียค้อนปะหลับปะเหลือก “พูดเหมือนผายลม มีอะไรให้ต้องขอโทษกัน คลุกคลีอยู่ในยุทธภพแล้วไม่รู้จักระวังตัวเองต่างหากที่ผิดต่อสหายอย่างแท้จริง”


กล่าวมาถึงตรงนี้ สีหน้าของชายฉกรรจ์เคราดกก็เปลี่ยนมาเป็นเซื่องซึม เขาเปิดจุกไหเหล้ารสเลิศของหมู่บ้านที่ถูกปิดผนึกมานาน เทเหล้ากรอกใส่กาเหล้าธรรมดาของตนใบนั้น เทจนเต็มแล้วก็แกว่งเบาๆ “นี่ไม่ใช่คำพูดที่เอ่ยไปตามมารยาทหรอกนะ แต่เป็นเพราะข้าเคยเสียเปรียบครั้งใหญ่มาก่อนแล้ว”


สวีหย่วนเสียดื่มเหล้าอึกใหญ่ ถึงอย่างไรก็ยังมีเหล้าเหลืออีกเกินครึ่งไห ก่อนจะดื่มจนเมาล้มพับ รับรองว่ามากพอให้ดื่มจนอิ่ม!


เฉินผิงอันเห็นว่าชายฉกรรจ์อารมณ์ไม่แจ่มใสนักก็ไม่ได้เอ่ยอะไร ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนสวีหย่วนเสียไปเงียบๆ เพียงแต่ว่าเขาดื่มช้า ส่วนชายฉกรรจ์นั้นดื่มเหมือนวัวกินน้ำ


สวีหย่วนเสียดื่มเหล้ากาหนึ่งหมดรวดเดียว เคราที่รกครึ้มเต็มใบหน้าเปรอะไปด้วยสุรา เขาเอามือปาดลวกๆ ถามพร้อมรอยยิ้ม “ในกาเหล้าของเจ้าบรรจุเหล้าเหมือนกัน แต่รสชาติจะต่างกันไหม?”


เฉินผิงอันยิ้มพลางโยนน้ำเต้าไปให้ชายฉกรรจ์ “ลองชิมเองเลย”


สวีหย่วนเสียชูน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ขึ้นสูง แหงนหน้ากรอกเข้าปากอึกใหญ่ พอโยนกลับคืนไปให้เฉินผิงอันแล้วก็กล่าวอย่างสาแก่ใจว่า “รสชาติดีกว่าเล็กน้อย!”


เฉินผิงอันหัวเราะชอบใจ “ผายลม! เหล้าที่อยู่ในน้ำเต้าของข้าตอนนี้ยังเป็นเหล้าที่ราคาถูกที่สุดซึ่งซื้อมาจากเมืองเล็ก ยังจะเทียบกับเหล้าฮวาเตียวยี่สิบปีของหมู่บ้านได้หรือ?”


สวีหย่วนเสียเริ่มเมามาย ใบหน้าแดงก่ำ ลุกขึ้นยืนเดินโซเซไปทางห้องตัวเอง กะว่าจะนอนหลับเอาแรงสักงีบ แต่ก็ยังหันหน้ามายิ้มกว้าง พูดว่า “เหล้าของเซียนกระบี่ใหญ่ในอนาคตจะไม่อร่อยได้หรือ? ต้องอร่อยสิ!”


 สวีหย่วนเสียหันหน้ากลับไป เดินเซไปเซมา ส่ายศีรษะโคลงเคลง พึมพำกับตัวเอง “วันหน้าข้าสวีหย่วนเสียก็เอาเรื่องนี้ไปโอ้อวดกับคนได้ทั้งชีวิตแล้ว!”


—–

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)