ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 239-246
ตอนที่ 239 สาวงามมักอาภัพ
ครอบครัวสยงตอนนี้ก็ไม่ว่าง สยงมู่มู่พอกลับถึงบ้านก็ถามจ้าวอิงหนาน ถามเธอว่ายังจำป้าสะใภ้เล็กได้ไหม จ้าวอิงหนานอันที่จริงแล้วก็ไม่ค่อยคุ้นเคยกับพี่สะใภ้มากนัก เพราะว่าเวลานั้นเป็นอะไรที่วุ่นวายจริงๆ ครอบครัวของพวกเขาทุกคนแตกกระจายไปทั่ว ต่างคนต่างเดินในทิศทางของตัวเอง หลายปีมานี้ก็ยังไม่สามารถเห็นหน้ากันได้
ตอนพี่ชายคนเล็กของพวกเขากลับมาเมืองหลวง ขณะที่ตัวเธออยู่ที่เมืองจินก็ไม่ว่างเลยเหมือนกัน แต่ตอนที่เธอกับสามีกลับไปนั้น ครอบครัวของพี่ชายคนเล็กก็อยู่ต่างถิ่น นับรวมๆ แล้วก็ได้พบเจอกันแค่สองสามครั้ง อีกทั้งยังเจอแบบรีบเร่งทุกครั้งอีก ถามถึงหน้าตาก็จำได้ไม่ค่อยชัดเจนแล้ว แต่ภาพที่ติดอยู่ในความทรงจำที่ลึกที่สุดก็คือไฝเม็ดนั้น
เพียงแต่ว่าจ้าวอิงหนานเคยดูรูปของพี่สะใภ้เล็กอยู่หลายครั้ง เป็นคนที่สวยมากจริงๆ แต่ไหนแต่ไรมาจ้าวอิงหนานรู้สึกว่าตัวเองหน้าตาสวยมาตลอด แต่พอเธออยู่ต่อหน้าพี่สะใภ้เล็กกลับรู้สึกว่าสู้ไม่ได้จริงๆ เธอสวยจนมีบางคนโมโห พี่สะใภ้เล็กคนนี้สวยจนคนธรรมดาจับต้องไม่ได้ คล้ายกับว่าเป่าลมหายใจใส่ก็สามารถขึ้นสวรรค์ได้เลย
“มู่มู่พูดขึ้นมาอย่างนี้ ฉันก็คิดขึ้นมาได้ เหมยเหมยกับพี่สะใภ้ของฉันอันที่จริงแล้วเหมือนกันเลย ที่เหมือนที่สุดก็คือไฝเม็ดนั้น เพียงแค่ไฝของพี่สะใภ้เอียงนิดหน่อย” จ้าวอิงหนานพูด
“แม่ ผมก็ว่าเหมือนป้าสะใภ้เล็กใช่ไหม? อีกทั้งครอบครัวเราก็มีแค่ผมที่อยู่กับป้าสะใภ้เล็กนานที่สุด ป้าสะใภ้เล็กดีกับผมมากๆ ทุกวันมักจะพาผมออกไปซื้อของอร่อยกิน” สยงมู่มู่พูดอย่างอิ่มอกอิ่มใจ
จ้าวอิงหนานหัวเราะพูดว่า “จริงด้วย พอพูดขึ้นมาก็นึกออกแล้วว่า ป้าสะใภ้เล็กของลูกเวลานั้นร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง เลยกลับเมืองหลวงเพื่อดูแลสุขภาพ บังเอิญลูกก็อยู่บ้านคุณตาพอดี นิสัยของลูกก็แปลกๆ ไม่ว่าใครก็ไม่สนใจ สนใจแค่ป้าสะใภ้เล็กของลูกเท่านั้น”
ในหัวปรากฏภาพร่างกายอ่อนแอเปราะบางขึ้นมาแวบหนึ่ง สยงมู่มู่ขมวดคิ้วไม่หยุด ถามว่า “แม่ ป้าสะใภ้เล็กของผมสุขภาพดีขึ้นบ้างหรือยัง? ผมจำได้ว่าสุขภาพของเธอแย่มาก พูดแค่ไม่กี่คำก็หายใจหอบแล้ว”
จ้าวอิงหนานเก็บรอยยิ้ม ถอนหายใจเบาๆ “โรคที่ป้าสะใภ้เล็กของเธอป่วยก็คือความเจ็บปวดจากในใจ คุณหมอรักษาร่างกายได้ แต่รักษาใจไม่ได้นะ!”
พี่สะใภ้เล็กของเธอก็เป็นคนที่ชีวิตอาภัพคนหนึ่ง!
สยงมู่มู่ถามอย่างแปลกใจ “ป้าสะใภ้เล็กเป็นโรคอะไรเกี่ยวกับใจ? น้าเล็กก็เชื่อฟังคล้อยตามเธอทุกอย่าง พี่เสวียหลินก็ไม่ดื้อ ป้าสะใภ้เล็กมีอะไรที่ไม่ได้ดั่งใจอีก?
จ้าวอิงหนานไม่มีความสนใจที่จะพูดคุยเล่นต่ออีก หยิบซี่โครงให้สยงมู่มู่ พูดอย่างไม่อดทนว่า “เป็นเด็กเป็นเล็กถามเยอะแยะไปทำไม? รีบๆ กินข้าว กินเสร็จแล้วก็ไปทำการบ้าน ครั้งนี้สอบได้ที่หนึ่ง ครั้งต่อไปก็ควรรักษาอันดับไว้ถึงจะถูก แม่ของลูกขี้โม้ต่อหน้าแม่ของเหมยเหมยไว้ ถ้าลูกไม่ดิ้นรนเพื่อหน้าแม่ แม่ก็จะหักค่าขนมลูก!
สยงมู่มู่หน้าคว่ำทันที เขารู้อยู่แล้วว่าแม่ของเขาต้องพูดอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเขาถึงไม่อยากสอบได้ที่หนึ่ง สอบได้ที่หนึ่งทุกครั้งยุ่งยากจะตาย!
เฮ้อ! เพื่อเด็กบื้อคนนั้น ครั้งนี้ทำเขาขาดทุนอย่างมาก คราวหลังต้องให้ยัยเด็กบื้อเลี้ยงซาลาเปาไข่ปูเขาหลายๆ ครั้งแน่นอน ถึงอย่างไรยัยเด็กบื้อตอนนี้ก็มีเงินเยอะกว่าเขา
เพิ่งจะกินข้าวเสร็จ พ่อสยงดึงจ้าวอิงหนานเข้าห้องนอนด้วยท่าทีลับๆ ล่อๆ จ้าวอิงหนานเขินหน้าแดง พูดอย่างไม่พอใจว่า ”ไอ้หยา มู่มู่อยู่บ้านนะ!”
พ่อสยงยิ้มเหมือนจะไม่ยิ้มมองภรรยาตัวเอง พูดหยอกล้อว่า “เรื่องนั้นพวกเราไม่ต้องรีบ เธอพูดเรื่องเมื่อสักครู่ให้จบก่อน อย่ามาทำให้อยากแล้วจากไปสิ”
จ้าวอิงหนานโมโหจ้องเขม็งอย่างเกรี้ยวกราด ผู้ชายเลวความรู้สึกตายด้าน ไม่โรแมนติกเอาซะเลย แต่ว่าอารมณ์โมโหของเธอมาไว ไปก็ไว แค่ข่มกลั้นเอาไว้ไม่ถึงนาที ตัวเองก็กลั้นไม่ไหว พูดออกมาเอง
“จริงๆ พี่คนเล็กของฉันยังมีลูกสาวคนหนึ่ง ถ้ายังมีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้ก็น่าจะมีอายุสิบสองขวบได้แล้ว” จ้าวอิงหนานถอนหายใจลึกๆ
ความเจ็บที่ต้องสูญเสียเลือดเนื้อเชื้อไขไป ผู้หญิงคนไหนจะสามารถรับไหว?
ถ้าเปลี่ยนมาเป็นเธอ กลัวว่าจะต้องเจ็บปวดใจไปทั้งชาติ!
…………………………………………….
ตอนที่ 240 ลูกตายตั้งแต่ยังเด็ก
พ่อสยงตกใจมาก “เด็กคนนั้นตายตั้งแต่เด็กเลยเหรอ?”
จ้าวอิงหนานพยักหน้า “ส่วนเหตุการณ์โดยละเอียดนั้นฉันเองก็ยังไม่ค่อยชัดแจ้ง เวลานั้นพวกเรายังอยู่ที่ภาคเหนืออยู่เลย พี่ชายเล็กกับพี่สะใภ้เล็กอยู่ที่ภาคใต้ เวลานั้นวุ่นวายมาก ทุกหนทุกแห่งมีแต่ความวุ่นวาย พี่ชายเล็กของฉันเหมือนจะไปก่อเรื่องไว้กับใคร ก็เลยเอาพี่สะใภ้เล็กที่กำลังตั้งท้องอยู่ส่งกลับไปอยู่บ้านแม่ของพี่สะใภ้เล็ก พี่สะใภ้เล็กของฉันก็คลอดลูกที่บ้านแม่ แต่ว่าเพราะพี่สะใภ้เล็กบำรุงร่างกายได้ไม่ค่อยดี บวกกับทุกหนทุกแห่งกำลังวุ่นๆ กันอยู่ เด็กคนนั้นพอคลอดออกมาถึงรู้ว่าตายตั้งแต่ในครรภ์แล้ว พอการคลอดครั้งนั้นของพี่สะใภ้เล็กผ่านไปร่างกายก็แย่ลง จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ดีขึ้นเลย”
พ่อสยงนึกไม่ถึงว่าพี่เขยที่เจริญรุ่งเรืองยิ่งใหญ่อย่างจ้าวจื้อหยวน ในปีนั้นก็มีเวลาตกอยู่ในที่นั่งลำบากด้วย เพียงแต่น่าสลดใจแทนเด็กคนนั้น!
“โชคดีที่เสวียหลินเป็นเด็กดี ผมดูแล้วหลานๆ คุณเยอะขนาดนั้น แต่เสวียหลินเหมือนพ่อตาผมที่สุด” พ่อสยงพูดยิ้มๆ
จ้าวอิงหนานก็ปลื้มอกปลื้มใจมาก จ้าวเสวียหลินหลานชายเธอคนนี้ ถึงแม้ว่าจะยังไม่เคยพบหน้า แต่ก็ได้ยินพ่อแม่พูดชมบ่อยๆ ตอนคุยโทรศัพท์กัน แต่แค่คิดก็รู้แล้วว่าคุณพ่อรักหลานชายคนนี้มากขนาดไหน
“ครั้งก่อนแม่ฉันพูดในโทรศัพท์ว่า เสวียหลินจะกลับเมืองหลวงเพื่อเรียนหนังสือ หลังจากนี้ต่อไปก็จะอยู่เรียนหนังสือที่นั่น รอช่วงปิดเทอมฤดูหนาวฉันควรจะกลับไปสักครั้ง ปีนี้ฉันไม่ไปฉลองปีใหม่ที่บ้านคุณแล้วนะ!”
พ่อสยงยกมือสองมือสนับสนุนเห็นด้วย หัวเราะพูดว่า “ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วคุณภรรยา คุณแค่อย่าทิ้งผมกับลูกไว้ก็พอแล้ว”
“พูดมาก!”
จ้าวอิงหนานมองค้อนประหลับประเหลือกอย่างน่ารักให้ ตัวเธอเองกลับกลั้นยิ้มไว้ไม่ได้ มองจนในใจของพ่อสยงคันยุบยิบไปหมด แต่พอนึกถึงไอ้ลูกเวรที่อยู่ข้างห้องแล้ว จึงต้องระงับอารมณ์ที่กำลังก่อหวอดลง เดี๋ยวค่อยให้มันออกมาก่อกวนความสงบสุขตอนกลางคืน
“คุณภรรยา บ้านแม่ของพี่สะใภ้เล็กอยู่แถวไหนเหรอ? ดูรูปร่างหน้าตาเธอแล้วคงเป็นคนใต้ใช่ไหม?” พ่อสยงไม่มีอะไรจะพูดก็หาเรื่องมาพูดไปเรื่อย เพื่อกระจายจุดสนใจของตัวเอง
จ้าวอิงหนานกะพริบตาปริบๆ ผงกหัวอย่างไม่แน่ใจ “อันนี้ฉันก็ไม่รู้จริงๆ พี่สะใภ้เล็กไม่เคยพูดเรื่องที่บ้านของเธอเลย เหมือนว่าจะฐานะไม่ค่อยดี พ่อแม่ทนความทุกข์ยากไม่ไหว จึงเหลือแค่เพียงเธอคนเดียว”
พ่อสยงเองได้ฟังดังนั้นก็ถอนหายใจ ช่วงเวลานั้นมีคนอาภัพเยอะมากจริงๆ!
เขากับจ้าวอิงหนานอยู่ที่เป่ยต้าฮว่างอย่างหนาวสั่น ถ้าไม่ใช่เพราะว่ามีโชคล่ะก็ เพียงแค่ประคองซึ่งกันและกัน ลำพังก็กลัวว่าจะทนความทุกข์ไม่ไหวเหมือนกัน!
บ้านอู่ตอนกลางวันมีเรื่องชวนหัวไม่ถึงชั่วโมง วุ่นวายจนทั้งโรงเรียนรู้กันหมด จากตึกใหม่ส่งไปถึงตึกเก่า ทุกคนต่างก็หัวเราะน้อยๆ บ้างก็ไม่อยากจะยุ่งกับเรื่องของชาวบ้านมากนัก แต่มีบางพวกคือคนสอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่นหรือบางพวกก็คือพวกริษยา สุมหัวนินทาอยู่ด้วยกัน โดยรวมก็คือหัวเราะเยาะเรื่องตลกขบขันของบ้านอู่
ใครให้อู่เจิ้งซือได้รางวัลบุคคลตัวอย่างอยู่ทุกปีกันล่ะ!
ใครให้เหอปี้อวิ๋นพูดโม้โอ้อวดเรื่องที่ลูกสาวคนโตได้ที่หนึ่งอยู่ทุกเดือนกันล่ะ!
บ่ายนี้ความขี้โม้โอ้อวดคงแตกละเอียดแล้วล่ะสิ วันหลังถ้าเจอเหอปี้อวิ๋นคงจะต้องให้ความสนใจกับคะแนนของอู่เยวี่ยมากขึ้นแล้ว ก็เหมือนกับเหอปี้อวิ๋นแต่ก่อน พบเห็นใครก็ยกเรื่องคะแนนสอบขึ้นมาพูด กลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้ว่าอู่เยวี่ยได้ที่หนึ่ง
เชอะ! ถึงแม้ว่าลูกๆ ของพวกเขาจะไม่ได้ที่หนึ่ง แต่คะแนนก็คงที่นะ หลังจากนี้ใครจะมีอนาคตกว่ากันก็ยังไม่แน่ อีกอย่าง ลูกๆ ของพวกเขาก็ไม่มีกลิ่นเต่าอะไรนั่น!
คะแนนดีแค่ไหน หน้าตาดีมากขนาดไหนก็จะเป็นคำพูดที่ไร้สาระ ร่างกายเหม็นกว่าส้วมหลุม ใครคนไหนที่จะซวยยินยอมแต่งผู้หญิงแบบนี้เข้าบ้าน?
พวกเขาได้ยินมาว่ากลิ่นตัวของอู่เยวี่ยไม่ได้เหม็นธรรมดานะ!
ห่างกันร้อยเมตรยังสามารถสำลักตายได้ จิ้งจอกตอนที่เต็มไปด้วยราคะยังไม่เหม็นเท่าเธอเลย!
อันที่จริงคนเราต่างก็มีใจที่อิจฉาริษยา อย่าเห็นแค่ว่าภายนอกนั้นพวกเขาประจบเอาใจคุณ แต่ในใจยังไม่รู้เลยว่าอยากเห็นคุณซวยขนาดไหน เพื่อนบ้านพวกนี้ก็เป็นเช่นนั้น ต่อหน้าก็เกรงใจ แต่ไม่ว่าใครต่างก็รอหัวเราะเยาะเรื่องตลกของบ้านอู่ ยิ่งมีเรื่องวุ่นวายมากเท่าไร ในใจพวกเขาก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น
…………………………………………….
ตอนที่ 241 ความเสแสร้งของแม่เลี้ยง
คุณย่าหยางเป็นคนที่ชอบความคึกครื้น ตอนที่เธอออกไปเดินเล่นหนึ่งรอบ ก็ได้รู้เรื่องขบขันของตระกูลอู่มาไม่น้อย วันเสาร์นี้บ้านตระกูลเหยียนคึกครื้นมาก เพราะเหยียนโฮ่วเต๋อกับภรรยาของเขา ถานซูฟางจะมากินข้าวเย็น เมื่อกี้คุณย่าหยางก็เพิ่งจะออกไปจ่ายตลาดจึงถือโอกาสฟังเรื่องซุบซิบ
เหยียนโฮ่วเต๋อรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาเรียบๆ ดูซื่อๆ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม เพราะว่าเป็นข้าราชการมาเป็นเวลานาน ดูแล้วก็ไม่กล้าพูดเล่นด้วย เหยียนหมิงซุ่นไม่ค่อยเหมือนเขา เขาเหมือนแม่ของเขา ผู้หญิงที่สวยและน่าสงสารคนนั้น ที่ถึงแก่กรรมไปแล้วมากกว่า แต่เหยียนหมิงต๋ากลับเหมือนเหยียนโฮ่วเต๋ออย่างกับใช้แม่พิมพ์เดียวกันพิมพ์ออกมา เพียงแต่เหยียนหมิงต๋ามองดูแล้วออกจะซื่อบื้อหน่อยๆ ไม่เหมือนเหยียนโฮ่วเต๋อที่ฉลาดและมีความสามารถ
ถานซูฟางใส่แว่นตาขอบทอง รูปร่างอวบเล็กน้อย ไม่สูงมาก ผิวพรรณขาวผ่อง หน้าตาไม่ค่อยโดดเด่นอะไร แต่แต่งตัวดูดี มีเสน่ห์ ดูสง่างาม มองแค่แวบเดียวก็รู้ว่าเป็นผู้หญิงที่มีวัฒนาธรรมและมีความรู้ เพียงแต่โหนกแก้มสูงๆ นั้นแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ผู้หญิงนิสัยประเภทเมตตาอ่อนโยนน่ารัก
พอเหยียนหมิงต๋าได้เจอพ่อแม่ตัวเอง เขาก็มีความสุขเป็นอย่างมาก ราวกับมีหางสะบัดไปสะบัดมา ตอนนี้ก็กำลังออดอ้อนถานซูฟางขอค่าขนม ถานซูฟางมองเขาอย่างเอ็นดู ไม่พูดอะไรสักคำ หยิบเงินห้าหยวนหนึ่งใบออกมาจากกระเป๋า
“ซูฟางไม่ต้องให้เงินเขา เขาอยู่กับพ่อแม่ที่นี่ก็มีกินมีดื่ม ทุกๆ เดือนก็มีกำหนดเงินค่าขนมให้ เธอจะให้เงินเขามากขนาดนี้ไปทำอะไร?” เหยียนโฮ่วเต๋อมองกลับมาอย่างไม่พอใจ น้ำเสียงเข้มงวดเด็ดขาด
ถานซูฟางทำได้แค่เก็บเงินขึ้นมา อยู่ข้างนอกเธอจะให้เกียรติสามีเสมอ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยโต้แย้งเหยียนโฮ่วเต๋อเลยแม้แต่ประโยคเดียว เหยียนหมิงต๋าทำหน้าผิดหวัง ทำหน้ามุ่ยส่งเสียงบ่น ถานซูฟางกระซิบข้างหูเขาเสียงเบาว่า “เดี๋ยวพอตอนพ่อไม่อยู่ แม่ค่อยให้เงินนะ!”
เหยียนหมิงต๋าสายตาวาววับ กอดคอถานซูฟางแน่นหอมไปอีกหนึ่งที พูดเสียงเบาว่า “แม่ ไม่อย่างนั้นแม่ก็ให้ผมอีกสิบกว่าหยวนไม่ได้เหรอ? แค่ห้าหยวนผมใช้ไม่พอ”
“ลูกจะเอาเงินเยอะขนาดนั้นไปทำอะไร?” ถานซูฟางขมวดคิ้ว
“ผมก็ซื้อของกินไง ตอนพักเรียนท้องหิวจนร้องโครกคราก เงินค่าขนมของผมอุทิศให้กับร้านอาหารหมดแล้ว” เหยียนหมิงต๋าทำท่าตบท้องตัวเองอยู่หลายที
ถานซูฟางมองพินิจลูกชายที่ตัวใหญ่อย่างกับวัวขึ้นๆ ลงๆ ก็รู้สึกปลื้มอกปลื้มใจเป็นอย่างมาก ลูกชายของเธอเติบโตมาเหนือกว่าลูกที่นังสารเลวคลอดออกมาตั้งเยอะ นังสารเลวคนนั้นได้รับความชื่นชอบจากตาเฒ่าแล้วยังไง แต่โฮ่วเต๋อไม่ชอบเธอคนนั้น และตอนนี้ตำแหน่งคุณนายเหยียนก็คือเธอ มีชีวิตที่ดีและมีเกียรติยศ นังสารเลวนั่นไม่รู้ว่าล่องลอยไปดินแดนผีตรงไหนแล้ว!
“ได้ อีกเดี๋ยวแม่จะให้ลูกสิบหยวนนะ”
ลำพองใจจนถึงขีดสุด ถานซูฟางก็อารมณ์ดีไม่น้อย พอจะควักเงินทีหนึ่งก็ใจกว้างเลย เงินเดือนของเธอกับเหยียนโฮ่วเต๋อรวมกันขึ้นมาแล้วมีถึงสองสามร้อย มีเงินแล้วไม่ให้ใช้กับลูกชาย จะให้ใช้กับลูกของนังสารเลวนั่นหรืออย่างไร?
เหยียนโฮ่วเต๋อกำลังพูดคุยกับผู้เฒ่าเหยียนด้วยความเคารพนบน้อบอยู่ ไม่ได้สนใจความเคลื่อนไหวของถานซูฟาง แต่เหยียนหมิงซุ่นได้ยินอย่างชัดเจน นัยน์ตาปรากฏรอยเยาะหยันแวบหนึ่ง แม่เลี้ยงของเขาคนนี้ถนัดนักเรื่องหน้าไหว้หลังหลอก ต่อหน้าอีกอย่าง ลับหลังก็อีกอย่าง หลอกเหยียนโฮ่วเต๋อจนหัวหมุนไปหมด
“หมิงซุ่น ช่วงนี้เรียนเป็นยังไงบ้าง? มีสอบไหม? ได้อันดับที่เท่าไร?”
เหยียนโฮ่วเต๋อรายงานกับผู้เฒ่าเหยียนเสร็จ ก็หันมาสนใจลูกชายคนโตที่ไม่ส่งเสียงอะไรมาตลอดอยู่ด้านข้าง หาได้ยากที่เขาจะมาสนใจการเรียนของเหยียนหมิงซุ่น แต่น้ำเสียงแข็งกระด้างอย่างมาก เหมือนกับพูดคุยอยู่กับผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่เหมือนก่อนหน้าที่พูดกับเหยียนหมิงต๋าอย่างเมตตาและผ่อนคลายเลยแม้แต่นิด
เหยียนหมิงซุ่นปากกระตุกเล็กน้อย ตอบอย่างเคารพนบน้อมว่า “เหมือนเดิมครับ ไม่ก้าวหน้าแต่ก็ไม่ถอยหลัง”
ผู้เฒ่าเหยียนพูดขึ้นมาอย่างพอใจว่า “คะแนนของหมิงซุ่นค่อนข้างคงที่ รักษา 20 อันดับแรกของทั้งโรงเรียนไว้ได้เสมอ ขอเพียงแค่รักษาอันดับไว้ได้แบบนี้ตลอด ก็คงเข้ามหาวิทยาลัยดังๆ มีชื่อเสียงได้ ไม่น่ามีปัญหา”
…………………………………………………………………
ตอนที่ 242 มีคนถามแน่นอน
เหยียนโฮ่วเต๋อได้ฟังก็หัวเราะอย่างพึงพอใจ พูดอย่างเคารพนับถือว่า “ต่างเป็นเพราะคำแนะนำสั่งสอนของพ่อและแม่ ช่วยลดปัญหาของผมกับถานซูฟางได้เยอะเลย”
ผู้เฒ่าเหยียนส่งเสียงลำพองใจเบาๆ หันไปมองทางเหยียนหมิงต๋าแวบหนึ่ง พลันอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาเล็กน้อย “ส่วนสำคัญคือตัวหมิงซุ่นเองมีจิตใจที่จะแสวงหาความก้าวหน้า ถ้าตัวเขาเองไม่อยากก้าวหน้า ฉันกับแม่แกใช้วัวสิบตัวมาดึงก็ไม่มีประโยชน์”
สำหรับหลานคนโตแล้ว ไม่มีอะไรให้เขาต้องเป็นกังวลเลย เพราะตัวของเหยียนหมิงซุ่นเองสามารถจัดการชีวิตได้เป็นระเบียบเรียบร้อยดี แต่หลานคนเล็กกลับตรงกันข้าม เขาเป็นกังวลจนภายในใจแทบจะแตกละเอียดไปแล้ว ลูกของหญิงเลวนั่นคะแนนก็ห่วยแตก ทำให้เขาขายขี้หน้ามากจริงๆ
เหยียนหมิงต๋าได้ยินคำว่าเรียนก็ปวดหัวและหวาดกลัวจนหัวหด ไม่กล้าส่งเสียง
เหยียนโฮ่วเต๋อก็ปวดหัวกับเศษคะแนนของลูกชายคนเล็กเหมือนกัน ออกไปข้างนอกเขาไม่กล้าที่จะพูดถึงลูกชายคนเล็กเลยด้วยซ้ำ แต่ไหนแต่ไรมาก็พูดถึงแต่เหยียนหมิงซุ่นทั้งหมด คนเล็กนั้นเขาไม่มีหน้าจะไปพูดให้คนเขาหัวเราะหรอก
เขาเป็นถึงข้าราชการบริหารกระทรวงการศึกษา แต่ลูกของเขาคะแนนกลับแย่ขนาดนี้ น่าขายขี้หน้าจริงๆ!
เหยียนหมิงซุ่นยิ้มเยาะ ต่อให้หมิงต๋าไม่เอาไหนแค่ไหน แต่ก็เป็นลูกที่คุณรักที่สุดไม่ใช่หรือ?
ถานซูฟางไม่พอใจท่าทีรังเกียจของผู้เฒ่าเหยียนที่มีต่อเหยียนหมิงต๋าเป็นอย่างมากจนทนไม่ไหวเลยพูดว่า “หมิงต๋านั้นมีใจที่คิดจะเล่นจนเกินไป ถ้าเขาตั้งใจละก็ รับรองว่าต้องสอบได้ที่หนึ่งทุกๆ ปีแน่”
เหอะ! ลูกของเธอจะแย่กว่านังสารเลวนั่นได้อย่างไร?
ถ้าอยากจะดูคนว่าใครเหนือกว่าหรือเด่นกว่า เอาคะแนนมาวัดกันคงไม่ได้ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ลูกๆ จากครอบครัวยากจนไม่มีภูมิหลังหลุดพ้นจากสภาพเลวร้ายยากแค่ไหน และยังสามารถอดทนผ่านพ้นมาได้นั้นมีเพียงเล็กน้อยจนไม่มีค่าพอต่อการเอ่ยถึง ถ้าเหยียนหมิงซุ่นไม่มีคนปูทางให้ อาศัยแค่ตัวเขา ต่อให้ดีเด่นแค่ไหน มากที่สุดก็คงเป็นได้แค่พนักงานบริษัทธรรมดาไม่เหมือนลูกชายของเธอ คะแนนแย่หน่อยแล้วจะทำไม?
ประกาศนียบัตรแน่นอนว่าปลอมได้ อีกทั้งมีเธอ แม่ที่ดีที่จะใส่ใจวางแผนให้ อนาคตของหมิงต๋าจะต้องเหนือกว่าไอ้เด็กสารเลวนั่นร้อยเท่า!
ผู้เฒ่าเหยียนมองลูกสะใภ้อย่างไม่พอใจ พูดเสียงเย็นชาว่า “ความหมายของเธอก็คือพวกฉันคนแก่สองคนไม่ใส่ใจหมิงต๋าเหรอ ในเมื่อเป็นแบบนี้พวกเธอก็เอาหมิงต๋ากลับไป ดูสิว่าจะสามารถสอบได้ที่หนึ่งไหม?”
ถานซูฟางสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ร้อนรนที่จะพูดจาดีๆ แต่ผู้เฒ่าเหยียนไม่สนใจเธอ เอาแต่พูดกับเหยียนหมิงซุ่น ไม่ให้ความสำคัญกับลูกสะใภ้ที่ตัวเองเกลียดคนนี้อยู่ในสายตา ถานซูฟางโกรธแค้นขึ้นเรื่อยแต่ก็ยังต้องคอยเอาอกเอาใจผู้เฒ่าเหยียน
เหยียนโฮ่วเต๋อจ้องเขม็งที่ภรรยา แต่ก็ยังพูดด้วยดีๆ สีหน้าของผู่เฒ่าเหยียนถึงได้ดูอบอุ่นขึ้นมาหน่อย ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังรักลูกชาย ต้องรักษาน้ำใจกันเข้าไว้
คุณย่าหยางหิ้วตะกร้าผักเดินเข้ามา บังเอิญได้ยินพวกเขากำลังเถียงกันเรื่อง’ที่หนึ่ง’ อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องซุบซิบที่เพิ่งจะได้ยินมา เธอเป็นคนนิสัยใจร้อน มีอะไรก็พูดออกมา เพราะหากกลั้นเอาไว้แล้วรู้สึกไม่สบายใจ
“ตอนกลางวันบ้านอู่วุ่นวายวายมาก เฮ้อ! ฉันเคยบอกแต่แรกแล้วว่าบ้านนี้วันใดวันหนึ่งจะต้องไม่สงบ เสี่ยวเหอคนนี้เป็นแม่ที่ใจลำเอียงยิ่งกว่ามหาสมุทรอีก เหมยเหมยเด็กคนนี้ก็ไม่ใช่ขอนไม้ แน่นอนว่าต้องโวยวาย พวกคุณดูสิ เหมือนที่ฉันพูดไม่มีผิด!”
คุณย่าหยางแบมืออก ทำท่าเหมือนกับว่า’รู้ตั้งนานแล้ว’ เหยียนหมิงซุ่นพอได้ฟังว่าเกี่ยวข้องกับอู่เหมย ก็ใจเต้นแล้วเต้นอีก แต่เขาไม่ได้ถามออกมา ไม่สนว่าเวลาใดที่ไหน เขาก็ไม่สามารถให้คนอื่นรู้ได้ว่าใจของเขากำลังคิดอะไรอยู่ นี่เป็นทักษะแรกที่ลุงหมิงสอนเขา
อีกทั้งเขาไม่จำเป็นต้องรีบไปถาม ยังไงก็มีคนไป…
“คุณยาย บ้านอู่เกิดอะไรขึ้น? เยวี่ยเยวี่ยเธอไม่เป็นไรใช่ไหม?”
ไม่ทันไรเหยียนหมิงต๋าที่กำลังกลัวมาก รีบกระโดดตัวออกถามทันทีอย่างกระตือรือร้นกว่าใคร ถานซูฟางอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ชื่อเยวี่ยเยวี่ยนี่แค่ฟังก็เหมือนจะเป็นชื่อผู้หญิง หมิงต๋าดูเหมือนจะใส่ใจเธอมาก!
หมิงต๋าตอนนี้เป็นเด็กที่เพิ่งแตกเนื้อหนุ่ม จะมีปฏิกิริยาสับสนมึนงงก็เป็นเรื่องปกติ ในใจจะมีผู้หญิงที่ชอบก็ยิ่งปกติ แต่อย่างไรแล้วเธอควรตรวจสอบฐานะทางบ้าน หน้าตา ผลการศึกษา ลักษณะนิสัยการอบรมต่างๆ ของเยวี่ยเยวี่ยคนนี้ให้ดีๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือเรื่องฐานะทางบ้าน ผู้หญิงที่มาจากครอบครัวธรรมดานั้นไม่คู่ควรกับหมิงต๋าของเธอ เธอไม่อาจให้พวกผู้หญิงที่มีเจตนาแอบแฝงเข้ามาในใจของหมิงต๋า เรื่องนี้เธอจะต้องเริ่มเข้มงวดเสียแล้ว!
…………………………………………………………………
ตอนที่ 243 เป็นห่วงอู่เหมย
ถานซูฟางฟังคุณย่าหยางพูดเรื่องซุบซิบของบ้านอู่อย่างเงียบๆ ทว่า ยิ่งฟังถึงตอนท้ายคิ้วก็ยิ่งขมวดมากขึ้น แม้บ้านอู่จะเพียงแค่เป็นครอบครัวธรรมดา แต่ก็คงมีอิทธิพลในแวดวงการศึกษาไม่น้อย แต่จะมีมากกว่าเหยียนโฮ่วเต๋อหรืออย่างไร?
สิ่งที่เธอตัองการคือช่องทางอื่นๆ เช่น วงการการเมือง วงการทหาร วงการการค้า วงการรักษาพยาบาล เป็นต้น ไม่ว่าจะเป็นอันไหนได้หมด แต่ไม่ต้องการแวดวงการศึกษา ต่อให้สอนหนังสือเก่งแค่ไหน แต่ก็ทำใจไม่ได้หากจะให้ลูกชายไปลำบากยากจนแบบนั้น
พอกันที เธอไม่ต้องการฟังอีกแล้ว แค่ฐานะทางบ้านก็ไม่เหมาะสมกันเลยสักนิด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในบ้านยังไม่สงบแบบนั้น เหอปี้อวิ๋นคนนั้น แค่ฟังก็รู้ว่าเป็นผู้หญิงหยาบคายโง่เง่าคนหนึ่ง ผู้หญิงแบบนี้จะสั่งสอนลูกสาวออกมาให้ดีได้อย่างไร?
ถานซูฟางหันไปมองเหยียนหมิงต๋าที่ยื่นหูออกมาฟังแวบหนึ่ง ตอนนี้เธอยังไม่รู้สึกห่วงเขามากนัก หมิงต๋าแค่สิบสี่ขวบ ไหนเลยจะเข้าใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ แม้ความรู้สึกในตอนนี้จะมีความหมายในเชิงนั้นนิดหน่อย แต่หากต่อไปภายหลังเมื่อขึ้นมัธยมปลายหรือขึ้นมหาวิทยาลัย ต่างคนต่างก็เดินตามทางของตัวเอง ยังไม่รู้เลยว่าจะสามารถเจอหน้ากันได้ไหม ยังไงก็ยังเป็นปัญหาอยู่ดี!
“เล่ากันว่าอู่เยวี่ยสอบประจำเดือนครั้งนี้ทำได้ไม่ดี แต่เหมยเหมยกลับทำได้ดี วิชาภาษาสอบได้ 74 คะแนน แต่เสี่ยวเหอไม่เพียงแต่ไม่ชมเชย ยังตบหน้าเธออีก จุ๊ๆ ตอนตบนั้นก็ตบได้รุนแรงมาก เด็กน้อยหน้าบวมเป่งเลย น่าสงสารจริงๆ”
คุณย่าหยางถอนหายใจอย่างเห็นอกเห็นใจอู่เหมยและดูถูกเหอปี้อวิ๋นจากใจจริง การเรียนมีความก้าวหน้ายังโดนตี กลัวคนอื่นไม่รู้ว่าเธอลำเอียงหรือไง!
อันที่จริงแล้วเหยียนโฮ่วเต๋อกับอู่เจิ้งซือก็รู้จักกัน อู่เจิ้งซือถือได้ว่าเป็นอาจารย์ตัวอย่าง ทุกๆ ปีต้องไปประชุมที่กรมการศึกษา ไปๆ มาๆ ก็เลยรู้จักกัน พอได้ยินเรื่องซุบซิบของบ้านอู่เจิ้งซือ เขาก็เลยสนใจ ถามว่า “หรือว่าลูกสาวคนเล็กไม่ใช่ลูกที่ตัวเองคลอดเอง?”
ถานซูฟางสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ยิ้มอย่างสุขุมพูดว่า “โฮ่วเต๋อที่คุณพูดมาก็ไม่ถูกต้องนะ จะใช่ลูกที่ตัวเองคลอดเองหรือไม่นั้นไม่สำคัญ สิ่งสำคัญที่ต้องดูคือคุณลักษณะเฉพาะตัวของแม่ ดูสิ แม่เลี้ยงบางคนยังดีกว่าแม่แท้ๆ อีก”
เหยียนโฮ่วเต๋อรู้ตัวว่าพลั้งปากพูด รีบผงกหัวเห็นด้วย จะขาดก็แค่ไม่ได้พูดยกยอถานซูฟางเสียจนสูงส่งถึงฟ้า
คุณย่าหยางเบะปาก พูดอย่างมีเจตนาแฝงว่า “ไม่ได้คลอดออกมาจากท้องตัวเอง ยังไงก็ต้องต่างกันอยู่หนึ่งชั้น จะเอาใจใส่ใกล้ชิดสนิทสนมเหมือนลูกตัวเองได้ยังไง? แม่เลี้ยงสิบคนใจดำแล้วเก้าคน คนที่ดีก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหนแล้ว”
สมัยแรกนั้นตอนหลานชายคนโตกลับมา ภาพของเด็กน้อยที่น่าสงสารคนนั้น ยายแก่อย่างเธอตอนนี้ก็ยังจำได้ชัดเจน ยัยถานซูฟางคนนี้ยังมีหน้ามาพูดตัวเองดีที่สุด ถุย! คนอะไรหน้าไม่อาย!
ยังโชคดีที่หมิงต๋าไม่ได้ปฎิบัติตามเธอ ถึงแม้ว่าจะเซ่อไปบ้าง แต่ยังถือว่าจิตใจดี และที่ทำให้คนแก่อย่างพวกเขาสองคนปลื้มอกปลื้มใจก็คือ หมิงต๋ากับหมิงซุ่น พี่น้องสองคนนี้รักใคร่กันดี ไม่เหมือนลูกที่เกิดจากคนละแม่ของบ้านอื่นๆ
รอยยิ้มบนใบหน้าถานซูฟางค่อยๆ หุบลงในทันที คุณย่าหยางไม่ไว้หน้าเธอเลยแม้แต่น้อย ยัยแก่หนังเหนียว สิบกว่าปีมานี้เธอยอมหมอบต่ำทำตัวเล็ก กล้ำกลืนความเจ็บช้ำน้ำใจเท่าไร ก็ยังไม่สามารถประทับอยู่ในใจของพวกคนแก่หนังเหนียวสองคนนี้ได้ โมโหจะตายอยู่แล้ว!
เหยียนหมิงต๋าพอไดยินว่าอู่เยวี่ยไม่ได้โดนตี ก็วางใจในทันที แน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้เห็นใจอู่เหมยเช่นกัน แค่รู้สึกว่าครั้งเหอปี้อวิ๋นทำไม่ถูกต้องมากจริงๆ แต่ก็แค่คิดเท่านั้น เขาไม่สามารถทำอะไรได้ อีกทั้งเขากับอู่เหมยก็ไม่ใช่เพื่อนกันอีก!
พอคุณย่าหยางพูดเรื่องซุบซิบจบ ก็อารมณ์ดีขึ้นมา เข้าห้องครัวไปเตรียมทำอาหารเย็นอย่างมีความสุข เหยียนหมิงซุ่นฉวยโอกาสตอนไม่มีคนสนใจ กระโดดออกทางหน้าต่าง หยิบยาขี้ผึ้งติดมืออกมาด้วยอย่างง่ายดาย
หากไม่เห็นแผลของเด็กน้อยกับตาตัวเอง ใจของเขาก็จะไม่สงบ
พอเพิ่งจะออกมาจากประตูใหญ่ เขาก็ชนเข้ากับอู่เจิ้งซือ เขาเดินผ่านอย่างเคารพนบน้อม แต่การเคารพนบนอบนี้ไม่ได้ออกมาจากใจจริง อู่เหมยต้องได้รับความไม่เป็นธรรมครั้งแล้วครั้งเล่า ความเคารพที่เขามีให้อาจารย์ประจำชั้นคนนี้อันตรธานหายไปตั้งนานแล้ว
………………………………………………………….
ตอนที่ 244 เรียกคนตัวเป็นๆ ออกมา
อู่เหมยกินข้าวกลางวันเสร็จก็ไปเข้าเรียนที่ห้องเรียนเยาวชน แถมยังพาฉิวฉิวไปด้วย หลังห้องเรียนเยาวชนมีสวนสาธารณะ เดินไม่กี่ก้าวก็ถึง ตอนที่เธอเรียนอยู่ ฉิวฉิวก็จะไปเล่นอยู่แถวนั้นได้
เพราะว่าเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนกว่าๆ ก็จะต้องเข้าร่วมการแข่งขันแล้ว อาจารย์เฮ่อตั้งใจสอนและคอยเอาใจใส่กับการเรียนของอู่เหมยมาก โดยมักจะเพิ่มคลาสเรียนพิเศษให้เป็นประจำ อีกทั้งยังไม่เก็บเงิน ทำให้อู่เหมยซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก เธอจึงยิ่งตั้งใจ หวังแค่เพียงว่าตอนแข่งขันเธอจะสามารถสร้างผลงานที่โดดเด่น จากปกติที่เป็นคนไม่มีอะไรโดดเด่นเลย และในระยะเวลาเพียงนิดเดียวนี้ เธอจะคว้าเอาอันดับดีๆ มาได้
เพื่อมอบให้อาจารย์เฮ่อ และก็เพื่อพิสูจน์ตัวเองด้วย
วันหยุดมีนักเรียนมาเรียนเยอะกว่าวันปกติมาก พออู่เหมยเดินเข้าห้องเรียนก็มีสายตาแสดงความสงสัยส่งมาทางเธอมากมาย ทุกคนต่างกระซิบกระซาบ คาดเดาว่าแผลบนใบหน้าของอู่เหมยนั้นเกิดอะไรขึ้น อู่เหมยเม้มปากแน่น แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดพวกนั้น แต่ในใจไม่สบายใจเลยสักนิด ยิ่งเกลียดเหอปี้อวิ๋นมากขึ้นไปอีก
หลังเลิกเรียน อาจารย์เฮ่อเรียกอู่เหมยให้เขามาที่ห้องทำงาน ถามเธอว่าแผลบนใบหน้านั้นเธอได้มายังไง อู่เหมยก็ไม่ได้ปิดบังเธอ เล่าเรื่องราวคร่าวๆ อาจารย์เฮ่ออดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว พลันโมโหพูดว่า “พ่อเธอล่ะ? ทำไมถึงไม่จัดการแม่เธอ ทำไมปล่อยให้เธอทำแบบนี้!”
อู่เหมยหัวเราะเยาะออกมา ไม่ได้พูดอะไร แล้วก็ไม่มีอะไรน่าพูด อาจารย์เฮ่อมองเธออย่างเห็นใจ โทษตัวเองที่ช่วยอู่เหมยไม่ได้ ครอบครัวที่ชอบใช้ความรุนแรงแบบนี้แม้กระทั่งสำนักงานตำรวจก็ยังเข้าไปยุ่งไม่ได้ เธอทำได้แค่เพียงมองดูอย่างช่วยอะไรไม่ได้เลย
“เหมยเหมย แข่งครั้งนี้เธอจะต้องเอาอันดับดีๆ มาให้ได้ ทำให้คนที่ดูถูกเธอทั้งหมดเปลี่ยนมุมมองใหม่ เธอเข้าใจที่อาจารย์พูดไหม?”
อู่เหมยพยักหน้า “รู้แล้วค่ะ อาจารย์เฮ่อ หนูจะพยายาม!”
อาจารย์ทำสัญลักษณ์มือที่หมายความว่าสู้ๆ สองอาจารย์ศิษย์ต่างหัวเราะออกมา
หลังอู่เหมยออกจากห้องเรียนเยาวชน ก็รีบไปที่สวนสาธารณะ ตอนบ่ายสยงมู่มู่ไม่ได้มาเรียน อาจารย์ของเขาไปต่างจังหวัด จึงมีแต่เธอคนเดียวที่มาเรียน ตอนนี้น่าจะใกล้สี่โมงแล้ว เธอควรจะรีบกลับไปได้แล้ว
“ฉิวฉิวรีบออกมาได้แล้ว กลับบ้านกันเถอะ”
ข้างในสวนสาธารณะนั้นทั้งเงียบสงบและสวยงาม มีคนไม่เยอะแต่ก็ไม่น้อย อู่เหมยเรียกฉิวฉิวเสียงเบา แต่กลับเรียกคนเป็นๆ ออกมาซะอย่างนั้น เหยียนหมิงซุ่นกอดฉิวฉิวไว้ เดินเข้ามาใกล้เธอ
อู่เหมยหน้าแดงเอ่ยเรียกชื่อ “พี่หมิงซุ่น”
ฉิวฉิวเห็นเจ้าของของตัวเอง ก็ดีใจจนอยากจะโผเข้าหา แต่ขาหลังโดนคนบางคนหนีบเอาไว้อยู่ มันขยับตัวไปไหนไม่ได้ ฉิวฉิวต่อสู้ดิ้นรนตั้งหลายรอบจนอ่อนแรง ก็เลยถือโอกาสหาที่พัก นอนหลับไปพักใหญ่ ถึงผู้ชายคนนี้จะไม่มีกลิ่นหอมเหมือนเจ้าของของมัน แต่อันที่จริงอ้อมกอดของเขาก็สบายไม่เลวเลย
เหยียนหมิงซุ่นเห็นแผลบนใบหน้าของเด็กน้อย คิ้วก็ขมวดเล็กน้อย ครึ่งหน้าบวมหมดแล้ว แรงตบนี้ของเหอปี้อวิ๋นโหดเหี้ยมมาก ไปสู้กับถานซูฟางได้เลย ถานซูฟางยังทำใจไม่ลงหากจะต้องลงมือกับลูกแท้ๆ อย่างเหยียนหมิงต๋าแม้แต่ปลายนิ้วหัวแม่มือ ทว่า เหอปี้อวิ๋นกลับทำกับลูกแท้ๆ ของตัวเองแบบนี้ จะอย่างไรเขาก็ไม่เข้าใจ
เขาเก็บความงงงวยเอาไว้ในใจ หันไปทางอู่เหมยแล้วกวักมือ บอกใบ้ให้เธอเดินเข้ามาใกล้ๆ หน่อย “มานี่ พี่จะทายาให้เธอ”
อู่เหมยกำลังอยากจะบอกว่าสยงมู่มู่ทาให้เธอไปแล้ว คำพูดที่ขึ้นมาที่คอแล้วก็กลับกลืนลงไป ไม่ว่าเหยียนหมิงซุ่นนั้นหวังดีหรือไม่ เธอก็ไม่สามารถแยกแยะอะไรได้เลย
เหยียนหมิงซุ่นให้อู่เหมยนั่งบนม้านั่ง เอนหัวมาทางเขา ขณะที่เขาทายาขี้ผึ้งอย่างเบามือ และนุ่มนวลให้อู่เหมย แสงอาทิตย์ยามบ่ายในฤดูใบไม้ร่วงสาดทะลุผ่านใบไม้หนา เปล่งประกายเหมือนเศษเงินโบราณ เปล่งประกายบนใบหน้าสีขาวของอู่เหมย สามารถมองเห็นรายละเอียดของขนอ่อนบนผิวและขนตาที่กระพือเหล่านั้น ทำให้ใจของเขาอ่อนยวบอย่างประหลาด
“เจ็บไหม?” เสียงของเขาอบอุ่นอ่อนโยนจนแม้กระทั่งเหยียนหมิงซุ่นเองก็ยังไม่รู้ตัว
อู่เหมยสั่นหัว “ไม่เจ็บแล้ว”
เหยียนหมิงซุ่นแอบถอนหายใจเบาๆ ตอนที่ทายาเขาไม่ทันได้ระวังจึงเผลอใช้แรงเยอะไปหน่อย จนอู่เหมยทนไม่ไหวร้องออกมาเสียงดัง “โอ๊ย!”
………………………………………………………….
ตอนที่ 245 ช่างสาแก่ใจจริงๆ
เหยียนหมิงซุ่นรีบเก็บมือกลับมา พูดอย่างไม่พอใจว่า “พี่ก็ระวังแล้ว ยังจะมาพูดอีกว่าไม่เจ็บ”
“ไม่โดนก็ไม่เจ็บ จริงๆ นะ” อู่เหมยสูดหายใจ อยากจะก้มหัวหลบ หน้าเธอตอนนี้น่าเกลียดดูไม่ได้เป็นอย่างมาก รู้สึกเขินเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเหยียนหมิงซุ่น
“เสร็จแล้ว ยาขี้ผึ้งนี่พี่ให้เธอ ก่อนนอนตอนกลางคืนค่อยทาอีกรอบ แป๊บเดียวเดี๋ยวก็หายแล้ว แล้วก็อย่ากินอาหารจำพวกรสจัดเผ็ดฉุน กินอาหารรสอ่อนๆ หน่อย ไม่อย่างนั้นบาดแผลจะหายช้า” เหยียนหมิงซุ่นกำชับอย่างระมัดระวัง แล้วก็เอายาขี้ผึ้งยัดลงไปในกระเป๋าเรียนของอู่เหมย
“อืม ขอบคุณค่ะพี่หมิงซุ่น” อู่เหมยพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ในใจรู้สึกอบอุ่นยิ่งนัก
“เด็กดี!”
เหยียนหมิงซุ่นยิ้มพลางลูบหัวอู่เหมยเบาๆ ผมของเด็กน้อยนี่นุ่มลื่นมาก เวลาลูบขึ้นมาให้ความรู้สึกดีไม่เลว เหยียนหมิงซุ่นอดไม่ไหวลูบแล้วลูบอีก
อู่เหมยอดไม่ได้ที่จะทำปากมุ่ย เธอไม่ใช่หมาสักหน่อย เหยียนหมิงซุ่นก็ไม่เก็บมือสักที ยังคงลูบหัวไปลูบมาไม่จบไม่สิ้น อู่เหมยเองก็ไม่กล้าต่อต้านอนาคตหัวหน้าผู้นำระดับสูงคนนี้ แต่อดทนมาได้สักพักใหญ่ เธอก็มีความคิดดีๆ ผุดขึ้นมา เปลี่ยนเรื่องว่า “พี่หมิงซุ่น สอบวิชาภาษาครั้งนี้ฉันได้ตั้ง 74 คะแนนแน่ะ”
“ก้าวหน้าไปมากเลย ครั้งหน้าพยายามสอบให้ได้แปดสิบคะแนนนะ”
เหยียนหมิงซุ่นชมเชยอย่างจริงใจ พร้อมกับล้วงลูกอมถั่วออกมาจากกระเป๋าหนึ่งเม็ดส่งให้อู่เหมย ครั้งที่แล้วตอนอยู่บนภูเขาเฟิ่งหวง เหมยซูหานให้เด็กน้อยคนนี้กินขนมถั่วตัด พอเห็นว่าอู่เหมยชอบกิน เวลาเขาออกจากบ้านก็ตั้งใจไปซื้อที่ห้าง
“ขอบคุณพี่หมิงซุ่น”
มือที่ลูบอยู่บนหัวก็ละออกมาแล้ว อู่เหมยรับลูกอมถั่วมาอย่างดีใจ แกะกระดาษห่อแล้วเอาลูกอมเข้าปาก พอใจจนตาหยี เหยียนหมิงซุ่นอดไม่ไหวหัวเราะออกมา ไม่รู้จริงๆ ว่าไอ้ลูกอมถั่วนี่มีอะไรน่าอร่อย ยัยเด็กบื้อนี่ถึงได้ทำท่าเหมือนกินผลไม้วิเศษก็ไม่ปาน
“ลูกอมพวกนี้พี่ให้เธอทั้งหมด กินครั้งหนึ่งก็อย่ากินเยอะ ระวังฟันผุล่ะ”
เหยียนหมิงซุ่นหยิบลูกอมที่เพิ่งซื้อเมื่อกี้หยิบออกมาทั้งหมด ยัดให้อู่เหมยไปทั้งหมด คิดซะให้ว่าเด็กบื้อนี่เป็นรางวัลแล้วกัน สอบได้ 74 คะแนนไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นะ!
“อืม วันหนึ่งฉันจะกินแค่สามเม็ด ไม่กินเยอะหรอก”
ใบหน้าของอู่เหมยมีความสุขเหมือนกับดอกไม้บาน แกะเปลือกลูกอมป้อนให้ฉิวฉิวที่ทำตาปริบๆ เจ้าตัวเล็กนี่ชอบกินลูกอมมากกว่าเธออีก ช่วงระยะเวลาสั้นๆ ที่อยู่บ้านสยงมู่มู่นั้นไม่รู้ว่ากินไปเยอะเท่าไรแล้ว ทุกครั้งที่กลับมาจากข้างนอก ในปากก็มีแต่กลิ่นช็อกโกแลต
“พี่หมิงซุ่น เดือนหน้าฉันต้องเข้าร่วมการแข่งวาดภาพระดับมณฑล อาจารย์เฮ่อบอกว่าฉันคงจะสามารถคว้าอันดับดีๆ มาได้แหละ แต่สมมติว่าถ้าฉันสามารถได้สามอันดับแรก ฉันก็จะสามารถเข้าร่วมการแข่งขันระดับประเทศที่เมืองหลวงด้วยล่ะ” อู่เหมยมีความกระตือรือร้นที่จะแบ่งปันข่าวดีให้กับเหยียนหมิงซุ่นฟัง เก็บเอาไว้ในใจแค่คนเดียวรู้สึกอึดอัดจริงๆ
เหยียนหมิงซุ่นแปลกใจจนเลิกคิ้ว เพิ่งจะเรียนวาดรูปก็สามารถเข้าร่วมการแข่งขันแล้ว ดูแล้วพรสวรรค์การวาดรูปของเด็กน้อยคนนี้คงจะสูงมากจริงๆ!
“เหมยเหมยเก่งจริงๆ เธอต้องตั้งใจเรียนศิลปะนะ พยายามให้ได้สามอันดับแรก แบบนี้อาจารย์อู่คงจะไม่คัดค้านเรื่องที่เธอเรียนศิลปะแล้วล่ะ”
อู่เหมยพยักหน้าอย่างแรง ทำปากมุ่ยพูดว่า “อืม ฉันก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน พี่สาวฉันสอบได้ที่หนึ่ง วันหลังฉันก็จะวาดรูปให้ได้ที่หนึ่ง ฉันจะไม่แย่ไปกว่าพี่หรอก”
เหยียนหมิงซุ่นอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ครั้งนี้พี่สาวเธอสอบไม่ได้ที่หนึ่งนะ แต่ว่าได้ที่สิบสอง แย่กว่าปกติที่เคยได้ตั้งเยอะ เหมยเหมยขอเพียงเธอตั้งใจพยายาม วันหลังจะไม่แย่กว่าใครคนไหนแน่นอน”
อันดับที่สิบสอง?
อู่เหมยเบิกตากว้าง ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง เธอคิดมานับไม่ถ้วนเห็นจะได้ คิดว่าอู่เยวี่ยคงจะได้ที่สี่ ที่ห้า หรือที่หก แต่ไม่มีทางออกจากอันดับที่สิบ อย่างไรแล้วพื้นความรู้ของเธอก็เห็นๆ กันอยู่ว่า ต่อให้ท้องเสียยังไง ก็คงไม่ถึงกับหลุดจากอันดับสิบหรอก!
ด้วยความหยิ่งทะนงของอู่เยวี่ยแล้ว สอบได้ที่สิบสองก็เหมือนกับสอบได้ที่โหล่ มิน่าล่ะ ก่อนหน้านี้ถึงได้ร้องไห้เสียใจขนาดนั้น!
อู่เหมยดีใจจนหันไปจุ๊บฉิวฉิวที่อยู่ในอ้อมกอดของเหยียนหมิงซุ่น จุ๊บแล้วจุ๊บอีก เป็นเพราะคุณงามความดีของเจ้าหนุ่มน้อยทั้งหมด ช่างสาแก่ใจจริงๆ!
………………………………………………………….
ตอนที่ 246 ความไม่แน่ใจในไฝสีแดงชาด
จมูกของเหยียนหมิงซุ่นได้หอมกลิ่นจางๆ อีกทั้งยังมีกลิ่นนม แก้มของเขาร้อนขึ้นเล็กน้อย อีกอย่างนี่เป็นครั้งแรกที่อยู่ใกล้กับผู้หญิงขนาดนี้ แน่นอนว่าอู่เหมยไม่ควรจะนับว่าเป็นผู้หญิง ยังเป็นเด็กน้อยที่ดื่มนมอยู่เลย แต่ก็ยังทำให้เหยียนหมิงซุ่นรู้สึกไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเอง อยู่ดีๆ ภายในใจก็รู้สึกตื่นเต้นสั่นไหวขึ้นมา
พิลึกมากจริงๆ ตัวเขานั้น แม้กระทั่งภูเขาไท่พังทลายลงมาต่อหน้าก็ยังไม่กะพริบตา แต่ทำไมวันนี้ความสุขุมถึงหายไปได้นะ?
อู่เหมยจุ๊บฉิวฉิวไปหลายทีแล้วก็ออกมา เหยียนหมิงซุ่นถึงจะสงบจิตใจลงมาได้ เขาสูดลมหายใจลึกๆ อยู่หลายครั้ง กลิ่นนมก็ไม่มีแล้ว
เหยียนหมิงซุ่นไม่แน่ใจกับความคิดของตัวเองในเวลานี้ เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว จิตใต้สำนึกทำให้เขาส่งฉิวฉิวให้กับอู่เหมย “นี่ก็เย็นแล้ว รีบกลับบ้านเถอะ พรุ่งนี้ตอนเช้าเก้าโมงพี่จะรอเธออยู่ที่ประตูหน้าโรงเรียน พวกเราไปดูบ้านกันแล้วก็ให้เงินด้วย”
“อืม!”
อู่เหมยหัวเราะจนตาโค้งแทบจะปิด ในที่สุดเธอก็จะมีบ้านของตัวเองแล้ว ระยะนี้มีแต่เรื่องที่น่ายินดีติดต่อกันหลายอย่าง ดีจริงๆ เลย!
ระหว่างทางกลับบ้าน อู่เหมยเล่าเรื่องที่จ้าวอิงหนานรับเธอเป็นลูกบุญธรรม เหยียนหมิงซุ่นได้ยินคุณย่าหยางพูดก่อนแล้ว ก็ดีใจแทนอู่เหมยมาก มีจ้าวอิงหนานปกป้องคุ้มครอง เหอปี้อวิ๋นคิดอยากจะตีอู่เหมย ก็ต้องมีกังวลอยู่บ้างล่ะ
แต่ว่าเหยียนหมิงซุ่นรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย ถ้าเป็นแบบนี้ อู่เหมยกับสยงมู่มู่ก็จะเป็นพี่น้องกันมิใช่หรือ แบบนั้นวันหลังพวกเขาก็จะสนิทสนมกันมากขึ้น เหยียนหมิงซุ่นไม่ชอบเห็นสยงมู่มู่กับอู่เหมยอยู่ใกล้กันเลยแม้แต่นิดเดียว รู้สึกขวางหูขวางตาตลอด
“งั้นเธอก็ต้องเรียกสยงมู่มู่ว่าพี่ชายแล้ว” เหยียนหมิงซุ่นพูดยิ้มๆ
อู่เหมยเบะปาก “ฉันไม่เรียกเขาว่าพี่หรอก คนที่ความคิดเหมือนเด็กขนาดนั้น!”
เหยียนหมิงซุ่นยิ้มอย่างพอใจ สยงมู่มู่เจ้านั่นความคิดยังเหมือนเด็กจริงๆ อู่เหมยพูดไม่ผิด
“พี่หมิงซุ่น พี่ว่าฉันหน้าตาเหมือนกับป้าจ้าวไหม? พวกเขาต่างก็บอกว่าฉันหน้าตาคล้ายกับป้าจ้าว แต่ฉันไม่เห็นจะรู้สึกเลย” อู่เหมยถาม
เหยียนหมิงซุ่นมองอู่เหมยอย่างละเอียดอยู่หลายครั้ง ก็หวนนึกถึงหน้าตาของจ้าวอิงหนาน การสังเกตของเขาดีกว่าคนทั่วไปมาก แต่เทียบดูความเหมือนและความต่างของทั้งคู่ เพียงแค่ครู่เดียวก็พบส่วนที่คล้ายกันของอู่เหมยและจ้าวอิงหนาน
“ตากับจมูกก็คล้ายกันอยู่นะ แสดงให้เห็นว่าเธอเหมยเหมยกับอาจารย์จ้าวมีวาสนาต่อกันนะ”
อู่เหมยมีหัวเราะอย่างมีความสุข พูดเองเออเองว่า “แปลกจริงๆ หน้าตาของฉันไม่เหมือนพ่อแม่เลยสักนิด ตรงข้ามกลับเหมือนน้าจ้าวซะงั้น”
เหยียนหมิงซุ่นคิ้วกระตุก เขาถึงนึกขึ้นมาได้ว่าเขามองข้าม ไม่ได้สังเกตข้อเท็จจริงนี้ อู่เหมยและอู่เจิ้งซือสองสามีภรรยานั้นกลับไม่มีส่วนที่คล้ายกันเลยแม้แต่นิดเดียว
ถ้าเป็นโดยทั่วไป ต่อให้ลูกไม่เหมือนพ่อแม่แค่ไหน ก็ยังสามารถหาจุดเล็กๆ น้อยๆ ที่คล้ายกันได้ เช่น ติ่งหู คิ้ว รูปปาก นิ้วมือหรือว่านิ้วเท้า เป็นต้น แม้กระทั่งไฝหนึ่งเม็ดก็สามารถบอกได้ว่าเป็นกรรมพันธุ์ที่ตกทอดมาจากพ่อแม่
“ไฝ?”
เหยียนหมิงซุ่นมองดูไฟสีแดงชาดที่อยู่กึ่งกลางระหว่างคิ้วของอู่เหมย ตามที่เขารู้ พวกตำแหน่งความงามนี่ต่างก็มาจากการสืบทอดพันธุกรรมของพ่อแม่หรือมาจากบรรพบุรุษ อู่เจิ้งซือสองสามีภรรยาคู่นี้ไม่มีไฝสีแดงทั้งคู่
“เหมยเหมย ครอบครัวญาติๆ เธอมีใครมีไฝสีแดงชาดนี่บ้างไหม?” เหยียนหมิงซุ่นถาม
อู่เหมยเอียงหัวคิดแล้วคิดอีกพลางส่ายหัว “น่าจะไม่มีนะ พ่อฉันและแม่ฉันไม่มีใครมีเลย มีแค่ฉันคนเดียว”
เหยียนหมิงซุ่นใจเต้นแรง ทั้งสองฝั่งต่างไม่มีใครมีไฝสีแดงชาดเลย มีแต่อู่เหมยคนเดียวที่มี หรือว่า…
เขารีบปฏิเสธความคิดไร้สาระที่พุ่งขึ้นมาเมื้อกี้ จะเป็นไปได้อย่างไร?
เขาคิดมากเกินไปแล้วแน่นอน!
อู่เหมยเพิ่งจะอายุสิบสองปี คงยังรู้จักญาติๆ ในบ้านไม่หมด เธอคงจำได้ไม่หมดแน่นอน
ถึงแม้เหยียนหมิงซุ่นจะปฏิเสธความคิดของตัวเอง แต่เมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยก็ได้ฝังลงไปแล้ว และซ่อนเอาไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ รอโอกาสที่เมล็ดพวกนี้จะหยั่งรากลึก ใบอ่อนโผล่พ้น แตกกิ่งก้าน และเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาในวันหนึ่ง
………………………………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น