ข้ามกาลบันดาลรัก 238.2-244.1
ตอนที่ 238-2 ผู้บงการน่าสะพรึง
กัวเฟยส่งเสียงร้องจิ๊ๆ หัวเราะเหอะๆ พูดว่า “ไม่ได้พบกันสิบกว่าปี หัวหน้าใหญ่ฉีกลายเป็นคนอ่อนไหวไปแล้ว แค่ลูกกระจ๊อกตายไปคนหนึ่งถึงกับปวดใจทนดูไม่ได้”
ชายหัวหน้าลืมตาขึ้น กลับคืนความสงบนิ่ง ถามว่า “กัวเฟย เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกเราจะมา เจ้าคิดจะทำอะไร?”
กัวเฟยยิ้มหวานพูดว่า “ไม่ใช่ข้าคิดจะทำอย่างไร แต่ท่านแม่ทัพของพวกเรามีเรื่องจะถามพวกเจ้า”
ชายหัวหน้าถลึงตาหวาดผวาอีกครั้ง “ฉู่เหวินเจี๋ย ก็มาตำบลชิงซี?”
กัวเฟยพยักหน้า แย้มยิ้มตอบ “มาถึงเมื่อวาน ตั้งใจรอให้พวกเจ้าเข้ามาติดกับ”
ชายหัวหน้าใบหน้าเสียขวัญ เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
กัวเฟยสั่งการองครักษ์หลวงนายหนึ่ง “ไปรายงานท่านแม่ทัพ บอกว่าพวกเราทำสำเร็จแล้ว”
องครักษ์หลวงรับคำออกไปจากเรือน ลอยตัวออกไปพร้อมความมืด อึดใจเดียวก็มาถึงหน้าร้านยาเต๋อเหริน
ฉู่เหวินเจี๋ยรู้ว่าคืนนี้พวกเขามีปฏิบัติการ มิได้พักผ่อน นั่งรออยู่ในโถงด้านหน้ากับสองพ่อลูกเปาชิงเหอรวมถึงเหวินซื่อและเมิ่งเชี่ยนโยว
เห็นองครักษ์หลวงเข้ามา ไม่รอให้เจ้าหน้าที่รายงาน ลุกขึ้นเดินออกมา สั่งองครักษ์หลวง “นำทางไป”
องครักษ์หลวงน้อมรับคำ หันหลังเดินนำไปอีกด้าน
เปาชิงเหอสั่งเจ้าหน้าเฝ้ายามให้เฝ้าร้านยาเต๋อเหรินให้ดี แล้วรีบเดินตามหลังไป
เปาอีฝาน เหวินซื่อและเมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามหลังไปเงียบๆ
คนทั้งหมดมาถึงเรือนฝั่งตะวันออก ฉู่เหวินเจี๋ยเดินข้าไปในห้อง คนที่เหลือรอดชีวิตถูกจับอยู่ในลานเรือน
ชายหัวหน้าเห็นว่าเป็นฉู่เหวินเจี๋ยจริงๆ สีหน้ายิ่งให้สิ้นหวังไร้เรี่ยวแรง
ฉู่เหวินเจี๋ยกวาดตามองคนทั้งหมดแวบหนึ่ง สายตาหยุดที่ชายหัวหน้า ร้องถามเสียงเข้ม “เฮ่อเหลี่ยนยอมจ่ายหนักเช่นนี้เชียว กระทั่งเจ้าก็ถูกส่งตัวมา ดูท่าการแต่งตั้งองค์ชายสิ้นปีนี้จะกระตุ้นเร้าเขา ให้เขายอมทำทุกวิถีทางเพื่อขุดรากถอนโคนคนที่ข้าทิ้งไว้ในตำบลชิงซี”
ชายหัวหน้าไม่ตอบ ทำท่าทีจะฆ่าจะแกงก็เชิญ
ฉู่เหวินเจี๋ยก็ไม่พูดอีก แววตาพุ่งเป้าไปยังคนที่นอนอยู่บนเตียงทั้งสามคน นัยน์ตาสะท้อนแววขุ่นมัว เปล่งเสียงตะโกนเรียก “เหวินซื่อ!”
เหวินซื่อก้าวเท้าเดินเข้ามา มองไปตามสายตาของฉู่เหวินเจี๋ยไปที่คนทั้งสามที่นอนอยู่บนเตียง ดวงตาฉายแววเคียดแค้นชิงชัง
น้ำเสียงเย็นเยียบของฉู่เหวินเจี๋ยดังก้องภายในห้อง “พวกเขาทั้งหมดเป็นของเจ้า จัดการได้ตามใจ”
เหวินซื่อชักดาบชายหัวหน้าออกมา เดินไปข้างเตียง ไม่พูดพร่ำทำเพลง แทงใส่หน้าอกชายคนหนึ่ง เสียงร้องโหยหวนเพิ่งจะดังออกมา เหวินซื่อก็ชักดาบออก พลิกมือตวัดตัดลำคอของเขา คนผู้นั้นสิ้นลมหายใจฉับพลัน
อีกสองคนบนเตียงตกใจได้แต่ถอยหนี ชายหัวหน้าหลุบนัยน์ตาลงอย่างปวดร้าว
เหวินซื่อดวงตาแดงกล่ำ ถือดาบที่มีคราบเลือดจ่อเข้าหาพวกเขา
ทั้งสองยิ่งให้หวาดผวา ริมฝีปากสั่นระริกคิดจะร้องขอชีวิต เสียงชายหัวหน้าดังขึ้น “อย่าได้ลืมสถานะของพวกเจ้า กระทำเรื่องอัปยศเสื่อมเสียเกียรตินายท่าน”
ทั้งสองคนกลืนคำร้องขอชีวิตที่ปลายลิ้นกลับลงไป แสดงท่าทีไม่กลัวตาย
เหวินซื่อแสยะยิ้ม ราวกับการปลิดชีวิตเป็นเรื่องปกติ ยกดาบฟันฉับแขนหนึ่งคนในนั้น
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังระงมไปทั้งห้อง
เหวินซื่อราวกับไม่ได้ยิน พูดเสียงเย็นเยียบ “ข้าสาบานต่อหน้าเหล่าอวี๋ว่า จะต้องสับพวกเจ้าเป็นพันเป็นหมื่นชิ้น แก้แค้นให้เขา” พูดจบ ฟันฉับไปที่ขาชายอีกคน
ทั้งสองกรีดร้องโหยหวน เสียงดังล่องลอยออกไปในราตรีกาลอันมืดมิด
ฉู่เหวินเจี๋ยขมวดคิ้ว ตวาดเขา “เหวินซื่อ รีบลงมือจัดการ อย่าให้เสียการใหญ่”
เหวินซื่อดวงตาแดงกล่ำ ตวัดมือสองครั้ง สิ้นเสียงกรีดร้องของทั้งสองคนพลัน “พลั่ก!” “พลั่ก!” เสียงล้มแน่นิ่งไปบนเตียงดังขึ้น
ทุกคนในห้องต่างเห็นจนชินตาแล้ว แม้หัวใจจะกระตุกไหวบ้าง แต่ก็มิได้แสดงออกทางใบหน้า มีเพียงหวังจิ่ว ตกใจจนขาอ่อน นั่งตัวแข็งทื่อไปบนพื้น
เสียงเย็นเยียบของฉู่เหวินเจี๋ยดังขึ้นอีกครั้ง ทิ่มแทงโสตประสาทของชายหัวหน้า “อยากตายอย่างไม่ทรมาน ก็จงบอกสิ่งที่เจ้ารู้ออกมาทั้งหมด!”
ชายหัวหน้าที่หลุบนัยน์ตาลง ลืมตาขึ้นอีกครั้ง นัยน์ตาไร้แววหวาดกลัว เหลือเพียงความสงบนิ่ง “ข้าไม่มีสิ่งใดจะพูด จะฆ่าจะแกง ก็เชิญตามสบาย”
ฉู่เหวินเจี๋ยลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอก ทิ้งไว้เพียงน้ำเสียงเ**้ยมเกรียม “กัวเฟย มอบให้เจ้าแล้ว ชั่วเวลาหนึ่งก้านธูป ข้าจะต้องได้คำตอบ”
กัวเฟยรับคำสั่ง หันมองเหวินซื่อ
เหวินซื่อโยนดาบทิ้งลงพื้น เดินออกไปนอกห้อง
ทุกคนในลานเรือนไม่มีใครได้ยินเสียงใดๆ ไม่รู้ว่ากัวเฟยใช้วิธีอะไร ไม่ถึงครึ่งก้านธูป ก็มีเสียงขวัญผวาร้องลั่น “ข้าพูด ข้าพูดแล้ว”
ราวกับถูกเขาแพร่เชื้อใส่ คนที่เหลือก็ส่งเสียงหวีดร้องลั่นตามไปด้วย
กัวเฟยตวาดพวกเขา “หุบปาก!”
คนพวกนั้นต่างขวัญผวาเบิกตาโพลง ไม่กล้าเปล่งเสียงใดๆ อีก
ส่วนชายหัวหน้าไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาอีก
หลังเวลาครึ่งก้านธูป ชายหัวหน้าทนต่อไปไม่ไหว แค่นเสียงหึ พูดอย่างอ่อนแรง “ข้าพูด ข้าพูดแล้ว”
กัวเฟยลากเขาออกมา เปาอีฝานและเมิ่งเชี่ยนโยวที่เห็นภาพการสังหารมาจนชินตายังอดสูดลมหายใจเย็นเข้าปากไม่ได้ ส่วนเหวินซื่อและเปาชิงเหอต่างตกใจจนร่างสั่นเทิ้ม
เอ็นข้อต่อทุกส่วนของชายหัวหน้าถูกตัดขาด บิดม้วนเป็นเกลียวไปทั้งตัว
“ฉีอี” ฉู่เหวินเจี๋ยเรียกเขา “ไม่เคยมีใครฝืนทนวิธีการขององครักษ์หลวงได้ยาวนานเช่นนี้ เจ้าเป็นคนแรก ข้าขอยกย่องว่าเจ้าเป็นชายห้าวหาญ ขอเพียงเจ้าบอกข้ามาตามจริง ข้าจะให้เจ้าได้ตายอย่างไม่ทรมาน”
ฉีอีนอนร่างอ่อนยวบแน่นิ่งอยู่บนพื้น ไม่มีส่วนไหนในร่างกายที่ออกแรงได้อีก จ้องฉู่เหวินเจี๋ยอย่างมีใจแต่ไร้แรงกำลัง พูดว่า “ข้าเป็นเพียงองครักษ์ลับ รู้อะไรไม่มาก เกรงจะบอกท่านไม่ได้ทั้งหมด”
“ไม่เป็นไร เจ้าเพียงพูดสิ่งที่เจ้ารู้ออกมาทั้งหมดก็พอ” ฉู่เหวินเจี๋ยกล่าว
“เช่นนั้นท่านต้องการทราบสิ่งใด?” ฉีอีถาม
“พวกเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเหวินซื่อเป็นคนของข้า?” ฉู่เหวินเจี๋ยถาม
ฉีอีตอบความ “อู๋เหวินจวินเป็นหูเป็นตาในตำบลชิงซีให้นายท่าน ทั้งหมดนี้เขาเป็นบอกคุณชายใหญ่”
ฉู่เหวินเจี๋ยหรี่นัยน์ตา “เจ้าบัดซบเฮ่อจางเอาตัวเขามาแฝงตัวอยู่ในตำบลชิงซีตั้งแต่เมื่อใด?”
ฉีอีคิดจะส่ายหน้า กลับพบว่าแม้แต่ท่วงท่านี้ก็ทำไม่ได้ ทำได้เพียงแสยะยิ้มสังเวช ตอบว่า “อู๋เหวินจวินเป็นคนท้องที่นี้ ยี่สิบกว่าปีก่อนบังเอิญมีโอกาสได้ประจบนายท่านของพวกเรา ทั้งจ่ายเงินมหาศาลขอให้นายท่านของพวกเรานำหัวข้อการสอบขุนนางมาให้เขา…”
เมิ่งเชี่ยนโยวปลายเท้ากระตุกเล็กน้อย
ฉีอีไม่เห็นปฏิกิริยาของนาง พูดต่อว่า “สิบปีก่อนหลังภัยพิบัติใหญ่ครั้งนั้น นายท่านของพวกเราได้ยินว่าบุตรชายองค์โตของอ๋องฉีหายสาบสูญไปในอำเภอชิงเหอ จึงส่งข้ามาบอกความ ถามเขาว่ายินดีจะรับใช้นายท่านของพวกเราหรือไม่ อู๋เหวินจวินรับปากเต็มคำ นับแต่นั้นมา นายท่านของพวกเราก็คอยลอบช่วยให้เขาได้เป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งของตำบลชิงซี เงื่อนไขคือเขาจะต้องช่วยตามหาบุตรชายองค์โตของอ๋องฉีในอำเภอชิงเหอ หลายปีผ่านไป เขาไม่มีความคืบหน้าเลย กระทั่งก่อนปีใหม่ จู่ๆ เขาก็ให้คนส่งข่าวมาถึงนายท่าน บอกว่าสืบรู้ว่านายท่านร้านยาเต๋อเหรินเป็นสายของท่านที่แฝงตัวอยู่ในตำบลชิงซี เป้าหมายก็เพื่อช่วยท่านตามหาบุตรชายองค์โตของอ๋องฉี ทั้งย้ำชัดด้วยว่า บุตรชายองค์โตของอ๋องฉีจะต้องอยู่ในตำบลชิงซี”
ฉีอีสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วพูดต่อว่า “นายท่านของพวกเรายินดีปรีดา ส่งข้ามาซักถามเรื่องราว ที่แท้เมื่อปีที่แล้วมีเด็กสาวนามว่าเมิ่งเชี่ยนโยวล่วงเกินบ่าวของอู๋เหวินจวิน เขาทำใจรับความเจ็บแค้นนี้ไม่ได้ ร่วมมือกับผู้ว่าการตำบลหลอกเงินนังตัวแสบนั่น ไม่คิดว่าคืนวันนั้นนังตัวแสบจะลอบเข้ามาในจวนอู๋พร้อมคนปิดหน้าอีกคน โกนศีรษะพวกเขาทั้งครอบครัว อู๋เหวินจวินวางแผนแก้แค้นนางหลายครั้งล้วนแต่ไม่สำเร็จ จึงเบนเป้าหมายมายังคนที่ปิดหน้า หลังการสะกดรอยตามสืบหามายาวนาน จนจำได้ว่านายท่านร้านยาเต๋อเหรินก็คือคนปิดหน้าคนนั้น อู๋เหวินจวินไม่รู้เบื้องหลังของร้านยาเต๋อเหริน ไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือ ด้านหนึ่งเขียนจดหมายสืบถามความจากนายท่านของพวกเรา ด้านหนึ่งให้ลูกน้องมาสืบหาข่าวจากพนักงานร้านยาเต๋อเหริน สุดท้ายกลับสืบได้ข่าวใหญ่น่าตกตะลึงหนึ่ง ก็คือทุกปีท่านจะเข้ามาตำบลชิงซี และทุกครั้งจะอาศัยอยู่ร้านยาเต๋อเหริน หลังจากนายท่านของพวกเรารับทราบข่าวนี้ วิเคราะห์ว่าบุตรชายองค์โตของอ๋องฉีจะต้องหายสาบสูญไปที่ตำบลชิงซี และนายท่านร้านยาเต๋อเหรินก็คือสายที่ท่านวางไว้ที่นี่ เป้าหมายก็เพื่อช่วยท่านตามหาบุตรชายองค์โตของอ๋องฉี รับเขากลับเมืองหลวง…”
ฟังมาถึงตรงนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้ว่าตอนนี้ภายในใจมีความรู้สึกเช่นใด ไม่คิดว่าความวู่วามของตนเองในครั้งนั้น จะซ่อนรากแห่งหายนะครั้งใหญ่ไว้ ส่วนเหวินซื่อกลับมึนงงไปหมด ที่แท้ต้นเหตุแห่งหายนะทั้งหมด ล้วนเกิดขึ้นจากตนเอง บัดนี้ไม่เพียงทำให้ท่านพี่ฉู่เสียงานใหญ่ ยังทำให้เหล่าอวี๋ต้องมาจบชีวิตลงด้วย
ฉู่เหวินเจี๋ยก็ไม่คิดว่าจะได้บทสรุปเช่นนี้ ยืนตะลึงค้างงงงัน
ฉีอีสูดหายใจแรงพูดต่อ “หลังจากนายท่านของพวกเราวิเคราะห์ได้เช่นนี้ ก็ให้คนบรรทุกน้ำมันดิบมาตำบลชิงซี หลังจากที่พวกเขาฆ่าคนทั้งหมดแล้ว ให้เผาร้านยาเต๋อเหรินอย่าได้หลงเหลือหลักฐานใดๆ ให้คนสืบมาถึงพวกเขาได้ จากนั้นค่อยหาโอกาสจัดการสกุลเมิ่งทั้งสกุล แต่นายท่านของพวกเราไม่คิดเลยว่าเศษสวะพวกนี้แม้แต่นายท่านร้านยาเต๋อเหรินยังจัดการไม่ได้ ซ้ำยังถูกทำลายบาดเจ็บสามคน หลังจากนายท่านของพวกเราได้รับจดหมายก็เดือดดาล ให้ข้านำคนเร่งรุดเดินทาง ไม่คิดว่าพวกเราเพิ่งจะก้าวพ้นประตูเข้ามา ก็ถูกองครักษ์หลวงจับกุม”
พูดถึงตรงนี้ คล้ายว่าฉีอีจะไร้เรี่ยวแรงแล้ว ฝืนพูดว่า “ที่ข้ารู้ก็บอกไปแล้ว รีบปลิดชีวิตข้าเถอะ การได้ตายด้วยน้ำมือองครักษ์หลวงที่เพียงได้ยินชื่อก็ขยาดกลัว นับว่าข้าไม่ตายอย่างไร้ค่าแล้ว”
ฉู่เหวินเจี๋ยโบกมือ
ดาบในมือกัวเฟยสะท้อนแสงวาบ ฉีอีหมดลมหายใจพลัน
ฉู่เหวินเจี๋ยกวาดตามองเข้าไปในห้องแวบหนึ่ง กัวเฟยเข้าใจทันที ส่งสัญญาณมือให้องครักษ์หลวงภายในห้อง เกิดลำแสงสะท้อนวาบหลายครั้ง องครักษ์ลับทั้งหมดร่างอ่อนยวบล้มหงายไปกับพื้น
หวังจิ่วตกใจกลัวจนหมดสติไป
พวกองครักษ์หลวงไม่มีใครสนใจเขา ต่างเดินออกมาด้านนอก ยืนอย่างนอบน้อมในลานเรือน รอฟังคำสั่งจากฉู่เหวินเจี๋ย
ตอนที่ 239 อย่าให้เหลือซาก
ฉู่เหวินเจี๋ยเปล่งวาจาเ**้ยมเกรียมไม่กี่คำท่ามกลางรัตติกาลที่มืดมิด ทำเอาคนที่ได้ยินขนลุกชูชัน “อย่าให้เหลือซาก!”
เหล่าองครักษ์หลวงโน้มตัวประสานเสียงขานรับ
ฉู่เหวินเจี๋ยก้าวอาดๆ ออกไปด้านนอก
เปาชิงเหอ เปาอีฝาน เหวินซื่อ เมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามหลัง
กระทั่งพวกเขาเดินพ้นประตูใหญ่ไปแล้ว กัวเฟยถึงเงยหน้าขึ้น เอามือล้วงเข้าไปในปากเปล่งเสียงเล็กแหลมหนึ่งออกมา ไม่นานก็มีองครักษ์หลวงหลายสิบนายบังคับรถม้าหลายคันเข้ามา ที่กีบม้าถูกบางสิ่งห่อหุ้ม ไม่ให้มีใครได้ยินเสียงใดๆ ท่ามกลางราตรีที่เงียบสงัดนี้
องครักษ์หลวงในลานเรือนร่วมแรงลงมือ ย้ายศพองครักษ์ลับทั้งหมดไปไว้บนรถม้า ตอนที่หาบมาถึงหวังจิ่ว พบว่าเขายังมีลมหายใจ องครักษ์หลวงที่มีหน้าที่รับชอบนี้ยกแขนขึ้นเล็กน้อย คมดาบสะท้อนแสงวาบ หวังจิ่วตายโดยที่ยังหมดสติ
หลังจากแบกคนทั้งหมดเสร็จ กัวเฟยโบกมือออกคำสั่ง “ไปจวนอู๋!”
องครักษ์หลวงหลายสิบนายรับคำสั่ง ทะยานตัวลอยไปจวนอู๋อย่างเงียบเชียบ
เหลือเพียงองครักษ์หลวงไม่กี่นาย บังคับรถม้าค่อยๆ ตามหลังไปจวนอู๋
หลังเที่ยงคืน เป็นช่วงเวลาที่ทุกคนง่วงงุน ทุกคนในจวนอู๋ต่างหลับสนิท ภายในจวนเงียบสงัด
องครักษ์หลวงหลายสิบนายลอยเข้ามาในจวนอู๋ กัวเฟยทำสัญญาณมือหลายท่า ทุกคนต่างแยกย้ายกัน ไปคนละทิศละทาง
หลังเวลาหนึ่งก้านธูป ทั้งจวนอู๋ก็เงียบราวป่าช้า
องครักษ์หลวงนายหนึ่งเดินเข้าใกล้ประตูห้อง ค่อยแง้มบานประตูออก คมดาบสะท้อนแสงวาบ คนสุดท้ายที่ยังหายใจในจวนอู๋หมดสิ้นลมหายใจ
องครักษ์หลวงนายนี้เปิดประตูใหญ่ รถม้าหลายคันเคลื่อนตัวเข้ามา
องครักษ์หลวงทั้งหมดแบกศพทั้งหมดในจวนอู๋ขึ้นรถม้า กัวเฟยนำคนตรวจสอบทุกห้องอีกครั้ง แน่ใจว่าไม่หลงเหลือใครแล้ว ถึงโบกมือลง เหล่าองครักษ์หลวงถอยออกไปอย่างเป็นระเบียบ เหลือองครักษ์หลวงไม่กี่นายบังคับรถม้าออกมาจากประตูใหญ่จวนอู๋ มุ่งหน้าออกไปนอกตำบล
กัวเฟยออกมาเป็นคนสุดท้าย บรรจงปิดประตูแนบสนิท ปิดเหมือนกับทุกครั้ง ไม่ให้ใครดูออกว่าภายในจวนอู๋ไม่เหลือใครแล้ว
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จ กัวเฟยทำสัญญาณมือ องครักษ์หลวงทั้งหมดแยกย้ายไปคนละทิศละทางอย่างว่องไว อึดใจเดียวก็หายวับไปท่ามกลางรัตติกาลอันมืดมิด
กัวเฟยอาศัยความมืดมาถึงร้านยาเต๋อเหริน
เจ้าหน้าที่เฝ้ายามหน้าประตูจำเขาได้แล้ว ปล่อยเขาเข้าไปด้านหลังทันที
ฉู่เหวินเจี๋ยยืนรอกลางลานเรือน
กัวเฟยโน้มตัวคำนับอย่างอ่อนน้อม พูดเสียงเบาว่า “ท่านแม่ทัพ จัดการเรียบร้อยแล้วขอรับ”
ฉู่เหวินเจี๋ยพยักหน้า พูดว่า “วันพรุ่งข้าจะกลับเมืองหลวง พวกเจ้าอยู่รับผิดชอบที่นี่ต่อ ปิดบังตัวตน ไม่มีคำสั่งข้า ห้ามกระทำการโดยพลการ สำหรับเรื่องตามหาคน ข้าจะจัดการเอง พวกเจ้าไม่ต้องแทรกแซง”
กัวเฟยน้อมรับคำ หันหลังออกไปจากร้านยาเต๋อเหริน เลือนหายไปท่ามกลางราตรีกาลอันมืดมิด
ฉู่เหวินเจี๋ยมองดูท้องฟ้า กลับเข้ามาในห้องเหวินซื่อ สั่งกำชับทุกคน “ฟ้าใกล้จะสางแล้ว พวกเจ้าไปพักสักหน่อยเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องบรรจุศพเหล่าอวี๋ลงโลง พาเขากลับเมืองหลวง”
เปาชิงเหอและเปาอีฝานน้อมรับคำ เดินออกไป มาถึงห้องที่พวกเขาพักอาศัยสองวันที่ผ่านมา
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ขยับ พูดกับเหวินซื่อด้วยจิตใจที่ยุ่งเหยิง “ขอโทษ ข้าทำให้เจ้าต้องเดือดร้อน”
เหวินซื่อเสียใจมาตลอดทาง ได้ฟังก็โบกมือ พูดปลอบใจนาง “ไม่เกี่ยวกับเจ้า ต่อให้ไม่มีเรื่องนี้ ภัยพิบัตินี้ช้าเร็วก็ต้องมาถึง”
เมิ่งเชี่ยนโยวอ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดี
ฉู่เหวินเจี๋ยเอ่ยปาก “พวกเจ้าทั้งสองไม่ต้องโทษตัวเอง ต้นตอของเรื่องนี้มาจากข้า ยังดีที่ตอนนี้คนจวนอู๋ถูกกำจัดไปแล้ว เจ้าบัดซบเฮ่อจางไม่มีสายคอยเป็นหูเป็นตาให้แล้ว ไม่อาจรู้ชัดถึงความเป็นไปในตำบลชิงซี ในระยะเวลาอันสั้นจักไม่กล้าส่งคนเข้ามา ฉะนั้นสกุลเมิ่งจะยังไม่มีภัยอันตราย”
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ “ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”
ฉู่เหวินเจี๋ยโบกมือ “ไยต้องกล่าววาจาเกรงใจกันอีก หลายวันนี้เจ้าก็เหนื่อยมามาก พรุ่งนี้ยังมีเรื่องอีกมากต้องทำ กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า หันหลังกลับไปห้องตัวเอง
ฉู่เหวินเจี๋ยมองเหวินซื่อ แล้วพูดว่า “นอนเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องเดินทางกลับเมืองหลวง” พูดจบ เป่าดับตะเกียงภายในห้อง เอนตัวลงบนเตียงทั้งชุด ไม่นานก็เข้าสู่ห้วงนิทรา
เหวินซื่อได้ฆ่าคนแก้แค้นให้เหล่าอวี๋กับมือ ขจัดติ่งเนื้อในใจไปได้ ไม่เบิกตาโพลงมองเพดานเหมือนเมื่อหลายวันก่อน หลับตาได้อย่างสนิท นอนหลับไป
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาที่ห้อง เอนตัวลงบนเตียง พลิกตัวไปมานอนไม่หลับ บุตรชายองค์โตของอ๋องฉีคำนี้คอยวนเวียนอยู่ในสมอง กระทั่งฟ้าเริ่มสางถึงผล็อยหลับไป
หลายวันนี้ผู้ว่าการตำบลส่งเจ้าหน้าที่ออกสืบค้นโดยทั่ว ยังคงไม่พบเบาะแสที่มีประโยชน์ เข้ามาขอพบเปาชิงเหอ เปาชิงเหอให้เหตุผลต่างๆ ไม่ให้เข้าพบ ผู้ว่าการตำบลตื่นกลัวยิ่งนัก วันนี้จึงมาถึงหน้าประตูร้านยาเต๋อเหรินแต่เช้าตรู่ เพื่อของพบเปาชิงเหอ
เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูได้รับคำสั่งแล้ว ห้ามไม่ให้ผู้ว่าการตำบลรู้เรื่องที่ฉู่เหวินเจี๋ยมาตำบลชิงซี ดังนั้นทุกครั้งจะใช้เหตุผลต่างๆ นาๆ ไล่เขากลับไป วันนี้ก็ไม่ยกเว้น เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูนายหนึ่งพูดกับเขาอย่างสุภาพ “หลายวันมานี้นายท่านของพวกเรายุ่งเรื่องคดีความ มิได้พักผ่อน เมื่อคืนวานฝืนทนต่อไม่ไหว บอกว่าจะพักผ่อนให้เต็มที่ สั่งพวกเราไม่ให้ใครรบกวนเด็ดขาด เชิญท่านกลับไปเถอะ”
วันนี้ผู้ว่าการตำบลตั้งใจจะต้องพบเปาชิงเหอให้ได้ ได้ฟังดังนั้นพูดว่า “ไม่เป็นไร ข้าจะรออยู่ที่นี่ ท่านใต้เท้าตื่นเมื่อใด ข้าค่อยเข้าไป”
เจ้าหน้าที่จนใจ หันหน้ามองกัน จำต้องปล่อยตามใจเขา
ฆ่าล้างองครักษ์ลับ ทั้งกำจัดเสี้ยนหนามไปได้ ฉู่เหวินเจี๋ยผ่อนคลายความรู้สึกลงไปมาก ดังนั้นพอได้หลับก็หลับลึกมาก กระทั่งฟ้าสว่างแจ้ง ถึงลืมตาตื่น ลุกพรวดขึ้นมา
ปฏิกิริยาของเขาทำเหวินซื่อสะดุ้งตื่น ขยี้ตางัวเงีย มองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นเวลาสายโด่งแล้ว จึงลุกขึ้นนั่ง
ฉู่เหวินเจี๋ยลุกขึ้น กวักน้ำสะอาดในกะละมังล้างใบหน้าตนเองอย่างง่ายๆ แล้วหยิบผ้าขนหนูเช็ดไปพลางพูดว่า “รีบลุกขึ้น หลังจากบรรจุศพเหล่าอวี๋แล้ว พวกเราจะไปจากเมืองหลวงทันที ข้าออกมาหลายวันแล้ว หากยังไม่กลับไป จะมีคนสงสัยเอาได้”
เหวินซื่อลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง เปิดประตูห้อง ร้องบอกพนักงานในเรือน “ตักน้ำสะอาดเข้ามาใหม่”
พนักงานขานรับคำ เดินเข้ามาในห้อง ยกน้ำในกะละมังออกไปเททิ้ง แล้วตักน้ำเข้ามาใหม่
เหวินซื่อก็ล้างหน้าล้างตาอย่างผ่านๆ
เปาชิงเหอและเปาอีฝานตื่นแต่เช้าแล้ว ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว เดินเข้ามากล่าวทักทาย “ท่านแม่ทัพ”
ฉู่เหวินเจี๋ยผงกศีรษะ
เมิ่งเชี่ยนโยวที่ไม่ได้หลับเต็มที่เดินเข้ามาทักทาย
ฉู่เหวินเจี๋ยเห็นขอบตาดำคล้ำของนาง ขมวดคิ้วถาม “เมื่อคืนวานแม่นางเมิ่งไม่ค่อยได้นอนหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอ่อนพูดว่า “คงเพราะออกจากบ้านมานาน เมื่อคืนจู่ๆ ก็คิดถึงบ้านมาก จึงนอนไม่หลับเลย”
ฉู่เหวินเจี๋ยเชื่อว่าเป็นความจริง พูดว่า “บัดนี้ไม่มีเรื่องแล้ว ตอนนี้แม่นางเมิ่งจะกลับบ้านเลยก็ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ข้ารู้จักกับหมอชรามานาน อย่างไรก็ต้องอยู่ส่งเขาเป็นครั้งสุดท้าย”
ฉู่เหวินเจี๋ยพยักหน้า “ประเดี๋ยวจะให้เหวินซื่อสั่งพนักงานไปซื้อโลงศพ หลังจากบรรจุเหล่าอวี๋แล้ว พวกเราก็จะเดินทางกลับเมืองหวง อย่างช้าช่วงบ่าย เจ้าก็จะได้กลับบ้าน”
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปาก ลังเลอึดใจใหญ่ ถึงหยั่งเชิงถาม “ท่านแม่ทัพไม่ไปพบพระอาจารย์หรือ?”
ฉู่เหวินเจี๋ยส่ายหน้า “ข้าออกมาหลายวันแล้ว หากยังไม่กลับไป เกรงว่าพวกคนคิดร้ายจะสงสัยเอาได้ อีกทั้งสถานะของพระอาจารย์ยิ่งคนรู้น้อยยิ่งดี จะได้ไม่นำพาความยุ่งยากมาให้พวกเจ้า ดังนั้นข้าจึงไม่เข้าไปแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องบอกเขาเรื่องที่ข้าเข้ามา”
เมิ่งเชี่ยนโยวลอบถอนใจโล่งอก พูดว่า “ทราบแล้ว ข้าจะไม่เอ่ยถึงกับเขาเจ้าค่ะ”
คนทั้งหมดกินข้าวเช้าพอเป็นพิธี เหวินซื่อสั่งพนักงานไปซื้อโลงศพ
ผู้ว่าการตำบลที่ยังยืนอยู่หน้าประตูเห็นพนักงานออกมา รู้ว่าเปาชิงเหอตื่นแล้ว หันไปพูดกับเจ้าหน้าที่เวรยาม “รบกวนพวกเจ้าเข้าไปเรียนรายงาน บอกว่าข้าขอเข้าพบท่านใต้เท้า”
เจ้าหน้าที่เห็นเขาดื้อดึง ไม่มีทางเลือก เข้ามารายงานเปาชิงเหอ
เปาชิงเหอหันมองฉู่เหวินเจี๋ย
ฉู่เหวินเจี๋ยพูดว่า “เจ้าไปพบเขาในลานเรือน บอกเขาว่าที่อำเภอมีงานราชการมากมาย เรื่องนี้ก็ยังไม่มีความคืบหน้า เจ้าจะอยู่เช่นนี้ต่อไปไม่ได้ วันนี้จะกลับอำเภอชิงเหอแล้ว สำหรับคดีนี้ หากยินดีจะสืบก็ให้เขาสืบต่อไป หากเขาไม่ยินดี เจ้ากลับไปจะเขียนหนังสือราชการส่งขึ้นไป เบื้องบนจะส่งคนมาสืบเอง ยังมี วันนี้เหวินซื่อจะพาคนทั้งหมดกลับเมืองหลวง ต่อไปในตำบลจะไม่มีร้านยาเต๋อเหรินอีก”
เปาชิงเหอน้อมรับคำสั่ง สั่งเจ้าหน้าที่ให้ปล่อยเขาเข้ามา ส่วนตนเองรออยู่ในลานเรือน
ผู้ว่าการตำบลได้ยินว่าเปาชิงเหอให้เขาเข้าไป รีบจัดแจงเครื่องแต่งกาย หลังจากรู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดไม่เหมาะสมแล้วถึงเดินเข้ามาในเรือน เห็นเปาชิงเหอยืนรอกลางเรือนก็ให้ดีใจเนื้อเต้น เร่งฝีเท้าเข้ามาคำนับตรงหน้าเขา
เปาชิงเหอพูดว่า “ที่นี่ไม่มีคนอื่น ตามสบายเถอะ”
ผู้ว่าการตำบลยิ่งให้ตื้นตันใจ พูดว่า “ข้าเข้ามาแต่เช้าแล้ว ยืนรออยู่ด้านนอกอย่างสั่นผวา กลัวใต้เท้าจะโทษว่าข้ากระทำเรื่องไม่ดี ผ่านมาหลายวันแล้ว กลับยังหาเบาะแสที่เป็นประโยชน์ไม่ได้เลย”
เปาชิงเหอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “นี่เป็นคดีใหญ่ หาเบาะแสไม่พบเป็นเรื่องปกติ”
ผู้ว่าการตำบลริมฝีปากสั่นระริกอย่างตื้นตันใจ “ขอบคุณใต้เท้าที่เข้าใจ”
เปาชิงเหอโบกมือ นำคำพูดเมื่อครู่ของฉู่เหวินเจี๋ยบอกเขาอีกครั้ง
ผู้ว่าการตำบลได้ฟังลนลานพูด “ความสามารถข้ามีจำกัด กระทำคดีใหญ่ไม่สำเร็จ ต้องขอให้ใต้เท้าเขียนหนังสือราชการ ให้เบื้องบนส่งคนมาสืบเถิดขอรับ”
เปาชิงเหอรับคำ “ได้ ข้ากลับไปแล้วจะเขียนส่งไป หากเจ้าไม่มีเรื่องอันใดแล้วก็กลับไปเถอะ พวกเรายังต้องบรรจุศพให้หมอชรา ให้เขาได้ไปอย่างสงบ”
ผู้ว่าการตำบลพูดสอพลอ “วันนี้เป็นวันหยุดวันสุดท้าย ข้าอยู่ช่วยเหลือได้ขอรับ”
เปาชิงเหอปฏิเสธ “ไม่ต้องแล้ว หลายวันมานี้เจ้าลำบากพอแล้ว วันนี้กลับไปพักผ่อนเถอะ”
เปาชิงเหอพูดมีเหตุมีผล ผู้ว่าการตำบลไม่ระแวงสงสัย หลังจากกล่าวขอบคุณก็จากไปอย่างเบิกบาน
พนักงานไปซื้อโลงศพเคาะประตูร้านขายโลงศพ บอกว่าตนเองเป็นพนักงานร้านยาเต๋อเหริน ต้องการจะซื้อโลงศพชั้นดีไปบรรจุหมอชรา
ร้านยาเต๋อเหรินเป็นโรงหมออันดับต้นๆ ของตำบล ค่ารักษาก็เป็นธรรม คนกว่าครึ่งของตำบลต่างไปเข้ารับการรักษา หมอชราเป็นคนสุภาพอ่อนโยน ไม่เคยเอ็ดว่าคนไข้ มีแต่ภาพที่ดีประทับตราตรึงใจทุกคน หลังจากได้ยินว่าเขาถูกฆ่าตาย ทุกคนต่างเจ็บปวดใจ เถ้าแก่ร้านโลงศพก็ไม่ยกเว้น พอได้ยินว่าจะซื้อโลงศพไปให้หมอชรา ก็พาเขาไปด้านหลังเรือน ชี้โลงศพหนาชั้นดีหนึ่งใบพูดว่า “นี่เป็นโลงศพที่ดีที่สุดของที่นี่ ปกติจะขายราคาห้าสิบตำลึง เมื่อเจ้าจะซื้อไปให้หมอชรา ข้าจะให้ราคาทุน คิดเพียงสามสิบห้าตำลึง”
พนักงานมองดู พยักหน้าพอใจ จ่ายเงินแล้วให้เถ้าแก่นำส่งไปหน้าประตูร้านยาเต๋อเหรินทันที”
เจ้าหน้าที่ร่วมแรงกัน แบกโลงศพเข้าไปด้านหลังเรือน
เถ้าแก่ร้านโลงศพตระเตรียมสิ่งของภายในไว้อย่างครบถ้วน
เดินเข้ามาในห้อง เหวินซื่อตาแดงกล่ำอีกครั้ง ยกร่างแข็งทื่อของหมอชราออกมาด้วยตัวเอง ค่อยๆ วางไว้ในโลงศพ สั่งพนักงานปิดฝาโลง ยกขึ้นรถม้า
พนักงานเก็บข้าวของทุกอย่างหมดแล้ว จัดสรรวางไว้บนรถม้าหลายคัน
เหวินซื่อเดินตาแดงกล่ำมาตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว พูดว่า “ตำบลชิงซีห่างจากเมืองหลวงไม่ไกลมาก หากเจ้ามีเรื่องอันใด ก็ให้คนส่งข่าวมา ข้าควบม้าเร็วหนึ่งคืนหนึ่งวันก็มาถึง”
เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มรู้สึกอาวรณ์ พูดว่า “เจ้าก็รักษาตัวให้ดี หวังว่าตอนที่พวกเราพบกันอีกครั้ง เจ้าจะได้เป็นนายท่านร้านยาเต๋อเหรินอย่างแท้จริง อีกอย่าง ข้าจะส่งยาที่ปรุงเสร็จไปให้เจ้าตรงตามเวลา”
เหวินซื่อพยักหน้า เดินไปข้างรถม้าที่วางโลงศพ รับบังเ**ยนจากมือพนักงาน ลอยตัวขึ้นบนคานรถ บังคับรถม้ากลับเมืองหลวงด้วยตัวเอง
ฉู่เหวินเจี๋ยนั่งในรถม้า หลังจากบอกลาทุกคนแล้ว ก็ตามหลังรถม้าออกไป
พนักงานด้านหลังตามติดไป กลุ่มคนขบวนใหญ่ออกไปจากตำบลชิงซี
เปาชิงเหอเห็นพวกเขาไปไกลแล้ว ก็ขึ้นนั่งรถม้าของตัวเอง กล่าวลาเมิ่งเชี่ยนโยว นำเจ้าหน้าที่จากไป
เหวินเปียวจูงม้าสามตัวรอด้านหลัง
เปาอีฝานหันหลังคิดจะขี่ม้าของตัวเองกลับไป กลับพบว่าม้าสามตัวที่เหวินเปียวจูงมาไม่มีม้าของตัวเอง กำลังจะเอ่ยปากถาม เหวินเปียวก็กล่าวว่า “คุณชายเปา หลังจากข้าไปถึงเมืองหลวง ม้าของท่านเหนื่อยล้ามาก ท่านแม่ทัพฉู่ จึงให้คนเปลี่ยนม้าของเขาให้ข้าขี่กลับมาขอรับ”
เปาอีฝานได้ฟังร้องยินดี “ม้าของท่านแม่ทัพฉู่หรือ? เป็นสิ่งที่ใครต่างก็เฝ้าปรารถนาเทียว” พูดจบ รับบังเ**ยนมาจากมือเหวินเปียว ตบบ่าเขาพูดว่า “ขอบใจนะ”
ไม่รอเหวินเปียวตั้งสติได้ว่าเรื่องอันใด ก็กระโดดขึ้นหลังม้า กล่าวลาเมิ่งเชี่ยนโยวแล้วควบม้าตามรถม้าเปาชิงเหอจากไป
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทางดีใจของเขา ยกยิ้มส่ายหน้า รับบังเ**ยนมาจากมือเหวินเปียว พลิกตัวขึ้นหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว ขี่ม้ากลับมาถึงบ้านพร้อมเหวินเปียว
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบร้อนลงจากหลังม้า โยนบังเ**ยนทิ้ง วิ่งเข้ามาในลานเรือนร้องตะโกน “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ากลับแล้วเจ้าค่ะ!”
ตอนที่ 240-1 ซักถามพระอาจารย์
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้กลับมาหลายวัน แม้เหวินหู่จะกลับมาส่งข่าว บอกว่านางไม่เป็นอะไร แต่หลังจากทราบเรื่องที่หมอชราถูกฆ่าตายจากปากเหวินหู่ ครอบครัวเมิ่งเอ้ออิ๋นต่างจิตใจระส่ำระส่าย ตอนไปสวัสดีปีใหม่บ้านฝ่ายแม่ เมิ่งชื่อก็เอาแต่ใจลอย หลังจากกินอาหารเช้าง่ายๆ เสร็จ ก็รีบร้อนกลับมาบ้าน เกรงเมิ่งเชี่ยนโยวจัดการเรื่องเสร็จกลับมาจะไม่มีใครอยู่บ้าน ไม่คิดว่านางก็ยังไม่กลับมา ความวิตกกังวลของเมิ่งชื่อกลายเป็นความหวาดกลัว จะให้เมิ่งเสียนเข้าไปดูในเมือง
เมิ่งเสียนจำคำสั่งเมิ่งเชี่ยนโยวไว้ขึ้นใจ ให้คอยเฝ้าระวังในครอบครัว ได้ฟังคำพูดเมิ่งชื่อจึงพูดเกลี้ยกล่อมนาง “ท่านแม่ ท่านนายอำเภอและคุณชายเปาก็มาตำบลชิงซีแล้ว มีพวกเขาอยู่ จะต้องไม่เกิดเรื่องอันใดกับน้องสาว พวกเราวางใจรออยู่ที่บ้านเถิด เมื่อสืบพบความจริงแล้ว น้องสาวก็จะกลับมาเอง”
เมิ่งชื่อรู้ว่าที่เขาพูดเป็นความจริง ความหวาดกลัวในใจค่อยบรรเทาลง แต่ก็ยังไปยืนชะเง้อคอที่หน้าประตู เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวจนป่านนี้ยังไม่กลับมา เพิ่งจะเดินสิ้นหวังเข้ามานั่งในบ้าน พลันได้ยินเสียงร้องของบุตรสาว กระเด้งตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก้าวเท้าฉับๆ ออกมานอกบ้านพลัน
นางยังไม่ทันปริปาก เมิ่งเชี่ยนโยวก็ถลาเข้ามา กอดนางไว้แน่น พูดกระเง้ากระงอด “ท่านแม่ หลายวันมานี้ ข้าคิดถึงท่านที่สุดเลยเจ้าค่ะ”
เมิ่งชื่อน้ำตารื้นขอบตา ตบแผ่นหลังนางเบาๆ พูดเสียงแผ่ว “แม่ก็คิดถึงเจ้า”
เพราะการกระทำของตนเอง ทำให้ร้านยาเต๋อเหรินโดนหางเลขไปด้วย ทำให้หมอชราต้องมาจบชีวิต ทั้งเกือบจะทำลายครอบครัวเมิ่งทั้งสกุล จนถึงตอนนี้เมิ่งเชี่ยนโยวยังหวาดผวาไม่คลาย ดังนั้นแรงมือที่กอดเมิ่งชื่อจึงกระชับแน่นขึ้น
เมิ่งชื่อนึกว่านางกลัว ตบหลังปลอบใจนางเบาๆ “ไม่ต้องกลัวแล้ว ไม่ว่าเรื่องอันใดก็จะมีพ่อกับแม่อยู่ด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกดวงตาเอ่อชื้น กลบเกลื่อนด้วยการฟุบหน้าลงบนไหล่เมิ่งชื่อ ไม่เงยหน้าขึ้น
เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งเสียนกับภรรยารวมถึงเมิ่งฉี เมิ่งอี้เซวียน เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงทยอยออกมาจากในบ้าน เห็นท่าทางของเมิ่งเชี่ยนโยว ให้สะท้อนหัวใจแปลบ มีเพียงเมิ่งเจี๋ยที่ยังไม่รู้ความยกมือกระจิริดขึ้น ถูแก้มของตัวเอง พูดอย่างไร้เดียงสา “กิ๊วๆๆ ท่านพี่โตขนาดนี้แล้วยังต้องให้ท่านแม่กอดอีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพรืดออกมา ความรู้สึกประหลาดสลายไปแล้ว คลายเมิ่งชื่อออก เดินไปตรงหน้าเมิ่งเจี๋ย ลูบศีรษะเขา แย้มยิ้มพูดว่า “เจ้าเด็กทะเล้น”
เมิ่งเจ๋ยหัวเราะ “ฮี่ๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้ามองคนในครอบครัว คลี่ยิ้มพูดว่า “ท่านพ่อ พี่ใหญ่พี่สะใภ้ พี่รอง อี้เซวียน เจี๋ยเอ๋อร์ ชิงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”
เมิ่งเอ้ออิ๋นเกิดอาการตื้นตันใจ พยักหน้ายิ้ม ข่มอารมณ์พูดว่า “กลับมาก็ดีแล้ว หลายวันมานี้ท่านแม่เป็นห่วงเจ้าแทบแย่แล้ว”
เมิ่งชื่อเถียงเขา “มีแต่ข้าเป็นห่วงคนเดียวหรือไร? ตอนกลางคืนเจ้าเองก็กลัดกลุ้มจนนอนไม่หลับเช่นกัน”
เมิ่งเอ้ออิ๋นหัวเราะตาใส
เมิ่งเสียนยิ้มถามต่อ “จัดการเรื่องเสร็จแล้วรึ? ตามหาคนร้ายที่ฆ่าหมอชราได้หรือไม่?”
รอยยิ้มบนใบหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวจางหาย พูดด้วยสีหน้าเจ็บปวดว่า “หาพบแล้ว ท่านนายอำเภอจัดการเสร็จสิ้น นายท่านเหวินก็นำโลงศพเขาและพนักงานทั้งหมดกลับเมืองหลวง ต่อไปในเมืองจะไม่มีร้านยาเต๋อเหรินอีก”
เมิ่งเสียนตกใจผงะ รับรู้ได้ว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา กำลังจะเอ่ยปาก ซุนเชี่ยนก็พูดห้ามปราบเขา “ท่านดูใต้ตาดำคล้ำของโยวเอ๋อร์เถิด หลายวันมานี้จะต้องไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ มีเรื่องอะไรค่อยพูดกันวันหลัง ให้นางกลับไปพักผ่อนในห้องให้สบายก่อนเถอะ”
ทุกคนถึงสังเกตเห็นความเหนื่อยล้าอ่อนเพลียของเมิ่งเชี่ยนโยว บนตัวยังคงสวมเสื้อผ้าชุดที่จากไปวันนั้น เมิ่งชื่อรีบพูดขึ้นทันที “โยวเอ๋อร์ แม่จะไปต้มน้ำเดี๋ยวนี้ หลังจากเจ้าอาบน้ำอาบท่าแล้ว กลับเข้าไปนอนในห้องให้สบายนะ”
พูดจบ หันหลังเดินไปห้องครัว
“ท่านแม่” ซุนเชี่ยนร้องเรียกนาง ส่งสายตาเรียกสาวใช้ “ให้พวกนางทำเถิด หลายวันมานี้ท่านเอาแต่เป็นกังวลน้องสาว ไม่ค่อยได้พักผ่อนเลยเช่นกัน รีบกลับเข้าไปพักผ่อนในห้องบ้างเถิดเจ้าค่ะ”
สองสาวใช้ขานรับคำ เข้ามาต้มน้ำในห้องครัว
เมิ่งชื่อบอกให้ทุกคนแยกย้าย ดึงเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาในห้องนาง ตรวจดูอย่างถี่ถ้วน เห็นนางเหมือนจะผอมลงไป ก็ยิ่งให้ปวดใจ
สาวใช้ต้มน้ำเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวอาบน้ำอาบท่า เปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาด ล้มตัวนอนลงบนเตียงเตา หลับตาเข้าสู่ห้วงนิทรา
เป็นการนอนหลับที่ลึกและยาวนานมาถึงช่วงค่ำ แต่ความตื่นระวังของร่างกายยังคงแจ้งเตือนนางเมื่อมีคนเข้ามายืนจ้องนางภายในห้อง นางตกใจสะดุ้งลืมตา เห็นร่างเงามืดยืนอยู่เบื้องหน้าตนเอง ครั้นรับรู้ได้ถึงลมหายใจคุ้นเคย เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่ขยับ
เมิ่งอี้เซวียนรู้ว่านางตื่นแล้ว ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าทำเจ้าตกใจตื่นหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาในความมืด ไม่พูดอะไร
เมิ่งอี้เซวียนเข้ามายืนอยู่ในห้องได้ครู่หนึ่ง ปรับตัวเข้ากับความมืดในห้องแล้ว เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเอาแต่จับจ้องเขาไม่พูดไม่จา หัวใจกระวนกระวาย ยื่นมือออกไปหมายจะจับหน้าผาก ดูว่านางไม่สบายหรือไม่
เมิ่งเชี่ยนโยวเบี่ยงศีรษะ หลบพ้นมือเขา ถามขึ้น “นี่กี่โมงกี่ยามแล้ว? คนในครอบครัวเล่า?”
เห็นนางหลบตนเอง สีหน้าเมิ่งอี้เซวียนหมองเศร้าฉับพลัน ตอบว่า “เพิ่งจะยามซวี[1] ท่านแม่เห็นเจ้าหลับสนิท จึงไม่ปลุกเจ้าขึ้นมากินข้าว แบ่งอาหารเก็บไว้ในกระทะให้เจ้า หากเจ้าหิวแล้ว ข้าจะไปยกมาให้เจ้าเดี๋ยวนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวปฏิเสธ “ไม่ต้อง ตอนนี้ข้าไม่หิว”
เมิ่งอี้เซวียนไม่พูดอีก จ้องมองนางไม่วางตา
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปาก พูดว่า “มีอะไรก็พูดมาเถอะ”
“บอกข้าได้หรือไม่ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?” เมิ่งอี้เซวียนถามเสียงเบา
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างเปิดเผย “เป็นเรื่องความแค้นส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้าไม่ต้องถามความแล้ว”
“โยวเอ๋อร์” เมิ่งอี้เซวียนร้องเรียกนางด้วยน้ำเสียงน่าฟัง “ตอนที่เจ้ากลับมา สีหน้าระทมทุกข์ อ่อนระโหยโรยแรง จะต้องเกิดเรื่องราวใหญ่โต ไม่เช่นนั้นเจ้าไม่แสดงอาการเช่นนั้นแน่”
เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจเล็กน้อย แต่มิได้แสดงออกมา พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าออกไปหลายวันหลายคืน ช่วยนายท่านเหวินสืบหาคนร้าย ไม่ได้พักผ่อน ย่อมต้องเหนื่อยล้าเป็นธรรมดา ไยต้องตื่นตกใจเช่นนี้”
เมิ่งอี้เซวียนส่ายหน้า “เจ้าหลอกข้าไม่ได้หรอก จะต้องไม่ใช่เพียงเพราะเหนื่อยล้า จักต้องเกิดเรื่องใหญ่บางอย่างขึ้น” พูดจบหยั่งเชิงถาม “หรือว่าเกี่ยวข้องกับข้า?”
เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาใส่เขา พูดว่า “ร้านยาเต๋อเหรินเกิดเรื่อง จะเกี่ยวกับเจ้าได้อย่างไร?”
เมิ่งอี้เซวียนปักใจพูด “เช่นนั้นก็ต้องเกี่ยวข้องกับคนในครอบครัว ไม่เช่นนั้นเจ้าไม่มีทางมีปฏิกิริยาเช่นนั้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวตื่นตระหนกอย่างบอกไม่ถูก รีบเอ็ดเขากลบเกลื่อน “ไม่ว่าเกี่ยวข้องกับใคร ตอนนี้เจ้าจงไสหัวออกไปจากห้องข้าได้แล้ว ไม่เช่นนั้น ข้าจะตีเจ้าให้ลงจากเตียงไม่ไหวจนกว่าจะถึงวันเปิดเรียน”
เมิ่งอี้เซวียนหวาดกลัวตัวสั่น พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ทุกครั้งจะต้องใช้วิธีนี้มาข่มขู่ข้า…”
เมิ่งเชี่ยนโยวตัดบทเขา “วิธีนี้ก็เพียงพอแล้ว แน่จริงเจ้าตั้งใจฝึกวรยุทธ์ มาเอาชนะข้าเล่า เช่นนั้นข้าก็จะข่มขู่เจ้าไม่ได้อีก”
เมิ่งอี้เซวียนพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “แน่นอน”
พูดจบหันหลังเดินออกไป พูดว่า “เจ้าลุกขึ้นมาก่อนเถอะ ข้าจะไปยกอาหารเข้ามาให้”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองร่างเขาเดินออกไป จู่ๆ ก็รู้สึกว่าเขาสูงขึ้นมากอย่างไม่รู้ตัว
แล้วส่ายหน้า สะบัดความคิดทั้งหมด สวมใส่เสื้อผ้าอย่างว่องไว ลุกขึ้นมาจุดไฟ
เมิ่งอี้เซวียนยกอาหารเข้ามา วางไว้บนโต๊ะ
เมิ่งชื่อได้ยินเสียงภายในห้อง เดินออกมาจากห้องตัวเอง เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวตื่นแล้ว เมิ่งอี้เซวียนก็ยกอาหารที่ตนเองเก็บไว้ให้ในกระทะมาให้นาง แสดงสีหน้าดีใจ พูดว่า “พอกินข้าวเสร็จ ก็เอาไปวางไว้ในกระทะ ไม่ต้องเก็บล้าง พรุ่งนี้เช้าแม่จะตื่นมาเก็บล้างเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำ “ทราบแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่”
เมิ่งชื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวตื่นขึ้นมาด้วยสีหน้าแดงเรื่อ ดูมีชีวิตชีวา ก็ให้วางใจ กำชับอีกสองสามคำ ทั้งไม่ได้บอกให้เมิ่งอี้เซวียนกลับไปที่ห้อง ก็กลับเข้าไปพักผ่อนในห้องตัวเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวกินอาหารค่ำเงียบๆ จนหมด เมิ่งอี้เซวียนช่วยเก็บถ้วยชามออกไป ยังคิดจะกลับเข้ามาในห้องเมิ่งเชี่ยนโยว แต่ถูกสายตาพิฆาตของเมิ่งเชี่ยนโยวจ้องเขม็ง ทำปากขมุบขมิบ กลับเข้าห้องตัวเองอย่างไม่เต็มใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวมองแผ่นหลังเขา นั่งขบคิดบนเก้าอี้เป็นนาน
กระทั่งความง่วงโจมตี ถึงถอดเสื้อผ้าเอนตัวนอนลงบนเตียงเตา หลับสนิทไปอีกครั้ง
[1] ยามซวี คือเวลา 19.00-21.00 น.
ตอนที่ 240-2 ซักถามพระอาจารย์
ครั้งนี้หลังจากหลับเต็มที่ เมื่อลืมตาขึ้น ฟ้าด้านนอกก็สางแล้ว เสียงทำอาหารอยู่ในครัวของเมิ่งชื่อดังแว่วมา
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้รีบลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน กลับนอนขดตัวในผ้านวม ตั้งใจฟังสรรพเสียงในลานเรือน รู้สึกเต็มอิ่มอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เมิ่งชื่อทำอาหารเสร็จ เข้ามาเรียกเมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นไปกินข้าว เห็นนางลืมตานอนอยู่บนเตียง ยกยิ้มพูดว่า “รีบลุกขึ้นได้แล้ว หลายวันมานี้เจ้าไม่อยู่บ้าน ไม่ได้ไปสวัสดีปีใหม่ท่านปู่ท่านย่า พวกเขาเป็นห่วงเจ้ามาก พอกินข้าวเสร็จจะได้รีบไปสวัสดีปีใหม่พวกเขา”
เมิ่งเชี่ยนโยวขานรับคำ ลุกขึ้นสวมเสื้อผ้า ล้างหน้าล้างตา เดินเข้ามาในครัว คนในครอบครัวต่างเข้ามารอกันหมดแล้ว
เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งเสียนเห็นนางดูกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวาเหมือนก่อนแล้ว ก็ให้วางใจลง
กินข้าวเช้าเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาสวัสดีปีใหม่ที่เรือนใหม่คนเดียว สองผู้เฒ่าเมิ่งย่อมต้องซักไซ้ไล่เลียงชุดใหญ่
เมิ่งเชี่ยนโยวยกยิ้มตอบพวกเขาทีละข้อ
สองผู้เฒ่าเมิ่งเห็นนางไม่เป็นอะไร ก็ให้วางใจ หยิบอั่งเปาที่เตรียมเอาไว้นานแล้วให้นาง
เมิ่งเชี่ยนโยวรับมาอย่างดีอกดีใจ กระหยิ่มยิ้มย่องใจไม่น้อย
เมิ่งต้าจินกับภรรยา เมิ่งเหรินกับภรรยาและเมิ่งอี้กับภรรยาต่างก็ให้อั่งเปานางด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวรับมาอย่างไม่เกรงใจ ถือซองอั่งเปาใบหนากลับบ้านอย่างอิ่มอกอิ่มใจ
พอพ้นประตูบ้านเข้ามา ก็ตรงไปที่ห้องสองสามีภรรยาเมิ่งทันที ยื่นมือให้สองสามีภรรยาเมิ่งที่กำลังพูดคุยกัน “ท่านพ่อ ท่านแม่ อั่งเปาของข้าเล่า?”
เมิ่งชื่อผงะเล็กน้อย ยิ้มแล้วหันหลังไปหยิบอั่งเปาใน**บออกมาวางใส่มือนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวรับมาแล้วกอดเมิ่งชื่ออย่างเบิกบาน “ท่านแม่ ท่านดีที่สุด ข้ารักท่านที่สุดในโลกเลย”
เมิ่งชื่อคุ้นชินกับคำพูดแปลกประหลาดเหล่านี้ ที่บุตรสาวมักจะโพล่งพูดออกมาแล้ว ยิ้มสรวลพูดหยอกล้อเมิ่งเอ้ออิ๋น “เจ้าดูบุตรสาวที่เจ้าเลี้ยงมาเถอะ ต้องให้อั่งเปาถึงจะคิดว่าแม่คนนี้ดีที่สุด”
เมิ่งเอ้ออิ๋นหัวเราะร่วน มิได้โต้แย้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่โต้เถียง หันหลังเดินออกมาจากห้องพวกเขา เดินเบิกบานเข้ามาในลานเรือนของเมิ่งเสียน ไม่รอให้สาวใช้ร้องบอกก็เดินเข้ามา ยื่นมือให้ซุนเชี่ยนอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง “พี่สะใภ้ อั่งเปา!”
ซุนเชี่ยนผงะอึ้ง แล้วปิดปากขำ แหย่เย้านาง “วันนั้นเจ้ามิได้อยู่บ้าน ข้าจึงหยิบอั่งเปาที่เกินออกมาให้เจี๋ยเอ๋อร์ไปแล้ว เจ้าไปเอากับเขาสิ”
เมิ่งเชี่ยนโยวบุ้ยปากทำแก้มป่อง กระทืบเท้ารัว
ซุนเชี่ยนไม่เคยเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวทำนิสัยเด็กเช่นนี้มาก่อน ทั้งตกใจและขบขันไปพร้อมกัน
เมิ่งเสียนนั่งขบขันนางอยู่อีกด้านพูดว่า “น้องสาวมีความยึดมั่นกับอั่งเปาเป็นพิเศษ เจ้าเลิกแกล้งนางได้แล้ว รีบเอามาให้นาง ประเดี๋ยวได้งอนเจ้าหนักกว่านี้ไม่รู้ด้วย”
ซุนเชี่ยนยิ้มแล้วหยิบอั่งเปาใน**บของตนเองออกมาวางใส่มือนาง “เก็บไว้ให้เจ้าแล้ว รอเจ้ากลับมาจะได้มอบให้”
เมิ่งเชี่ยนโยวดวงตาเปล่งประกายระยิบระยับ คว้าอั่งเปาไว้หมับ ไม่สนใจดูว่าข้างในมีเงินเท่าใด เก็บรวมไว้กับอั่งเปาที่ได้มาวันนี้ โอ้อวดซุนเชี่ยน “เจ้าดูเถิด แปปเดียวข้าก็ได้อั่งเปามากขนาดนี้เลย”
ซุนเชี่ยนขบขันในพฤติกรรมเยี่ยงเด็กน้อยของนางอีกครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวถืออั่งเปากลับมาที่ห้องตัวเอง เปิด**บออก หยิบอั่งเปาที่ได้เมื่อปีที่แล้วออกมา วางรวมกับที่ได้มาวันนี้บนโต๊ะ เพ่งมองอย่างมีความสุขครู่หนึ่ง ถึงเก็บไว้ก้น**บอย่างอาวรณ์ ครั้นพอเห็นชุดทารกของเมิ่งอี้เซวียนก็ยิ้มไม่ออก ยื่นมือล้วงเข้าไปใต้ผ้า หยิบป้ายหยกสองชิ้นออกมา วางบนมือข้างละชิ้น พินิจมองอย่างละเอียดครู่หนึ่ง เกิดการคาดเดาบางอย่างขึ้นในสมอง เก็บป้ายหยกวางกลับไปที่ก้น**บ ลงกลอน**บ ลุกขึ้นเดินออกมาถึงหน้าประตูเรือนพระอาจารย์ พูดกับคนเฝ้าประตูอย่างสุภาพ “รบกวนเจ้าเข้าไปเรียนรายงาน บอกว่าข้ามาสวัสดีปีใหม่พระอาจารย์”
“เชิญแม่นางเข้าไปเถิด นายท่านกล่าวไว้แล้ว หากท่านเข้ามาสวัสดีปีใหม่ เชิญท่านเข้าไปได้เลย” คนเฝ้าประตูพูด
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ตามเขามาถึงลานเรือนพระอาจารย์
หลังจากบ่าวรายงานอย่างอ่อนน้อมในลานเรือน ฮูหยินโจวก็เปิดม่านประตูยกยิ้มเดินออกมา จับมือเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างสนิทสนมพาเข้ามาในเรือน
พระอาจารย์โจวก็ลุกขึ้นยืนรออยู่ในเรือนแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดกับทั้งสองคน “ปีนี้เข้ามาสวัสดีปีใหม่ช้า ขอพระอาจารย์และฮูหยินอย่าได้ตำหนิ”
ฮูหยินโจวยังคงจับมือนางอย่างเป็นกันเอง ให้นางนั่งบนเก้าอี้ ถึงยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ไม่ต้องใส่ใจพิธีรีตองพวกนั้น เจ้าเข้ามาพวกเราก็ดีใจแล้ว”
พระอาจารย์โจวก็นั่งบนเก้าอี้แล้ว ถามขึ้น “ได้ยินคนในครอบครัวเจ้าบอกว่าเกิดเรื่องกับเพื่อนของเจ้าในเมือง เจ้าเข้าไปช่วยเหลือ บัดนี้คิดว่าจัดการเรื่องราวเสร็จสิ้นแล้ว เจ้าถึงได้กลับมา”
ระหว่างทางที่มาเมิ่งเชี่ยนโยวคิดเอาไว้แล้ว เรื่องร้านยาเต๋อเหรินถูกคนล้อมสังหารและการตายของหมอชรา คนในเมืองต่างรับรู้ ไม่นานคนในหมู่บ้านก็จะต้องรู้ และพระอาจารย์ก็จะต้องรู้ หากถึงตอนนั้นต้องให้เขามาถามความตนเอง สู้บอกความจริงกับเขาไปตอนนี้เลยดีกว่า ดังนั้น พอพระอาจารย์โจวเอ่ยความ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงตอบว่า “เพื่อนในเมืองของข้าคนนี้ พระอาจารย์ก็รู้จักเจ้าค่ะ”
พระอาจารย์โจวอุทาน “ข้าก็รู้จัก?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
พระอาจารย์โจวไม่เคยมาตำบลชิงซีมาก่อน ย่อมไม่มีเพื่อนอยู่ที่นี่ บุคคลเดียวที่เคยติดต่อก็คือนายท่านเหวินร้านยาเต๋อเหริน ดังนั้นพอเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ พระอาจารย์โจวก็เดาได้ทันที รีบร้อนถาม “นายท่านเหวินแห่งร้านยาเต๋อเหรินรึ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าอีกครั้ง พูดว่า “ก็คือเขาเจ้าค่ะ”
พระอาจารย์โจวได้ฟังยิ่งให้ตกใจ ถามขึ้น “เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มมองไปทางฮูหยินโจวแวบหนึ่ง
พระอาจารย์โจวเข้าใจทันที สั่งการฮูหยินโจว “เจ้าไปเตรียมชาและขนมเข้ามาหน่อยเถิด”
ในอดีตเมื่อพระอาจารย์จะคุยเรื่องสำคัญ จะแยกนางออกมา ฮูหยินโจวรู้ว่าพวกเขามีเรื่องสำคัญต้องพูดคุย จึงลุกขึ้นยิ้มอ่อนหวาน พูดว่า “แม่นางโยวเอ๋อร์รอสักครู่ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มสรวลกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณฮูหยินเจ้าค่ะ”
ฮูหยินโจวแย้มยิ้มพยักหน้า นำสาวใช้เดินออกไป
ฮูหยินโจวออกไปถึงกลางลานเรือนแล้ว พระอาจารย์โจวรีบร้อนถาม “เกิดอะไรขึ้นกับนายท่านเหวิน?”
เมิ่งเชี่ยนโยวเล่าเรื่องที่ร้านยาเต๋อเหรินถูกล้อมสังหาร และหมอชราถูกฆ่าตายให้เขาฟังอย่างละเอียด บอกว่าเพราะตนเองรู้วิชาการแพทย์บ้าง เหวินซื่อถึงมาเชิญไปรักษาอาการหมอชรา ทว่าหมอชราได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนที่นางไปถึงก็ไม่อาจยื้อชีวิตกลับคืนมาได้แล้ว
พระอาจารย์โจวได้ฟังได้แต่ทอดถอนใจ พูดว่า “ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดถึงโหดเ**้ยมอำมหิตเช่นนี้ กระทั่งชายชราคนหนึ่งก็ไม่ละเว้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ไม่ทราบเจ้าค่ะ นอกจากผู้ว่าการตำบล แม้แต่ท่านนายอำเภอก็เข้ามาตรวจสอบหลายวัน แต่ก็ไม่พบเบาะแสใด”
“เช่นนั้นตอนนี้นายท่านเหวินเป็นอย่างไรบ้าง?” พระอาจารย์โจวถาม
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบว่า “พนักงานในร้านยาเต๋อเหรินต่างได้รับบาดเจ็บ ทั้งสืบหาผู้กระทำผิดไม่ได้ นายท่านเหวินไม่กล้าอยู่ในตำบลชิงซีต่อไป เมื่อวานจึงพาโลงศพหมอชราและพนักงานทั้งหมดกลับไปเมืองหลวง”
พระอาจารย์โจวพยักหน้า “นายท่านเหวินทำถูกต้องแล้ว เมื่อหาตัวผู้บงการเบื้องหลังไม่ได้ การจะอยู่เป็นเป้าให้คนร้าย สู้หลบลี้ไปจากพวกเขาก่อนดีกว่า รอวันใดที่สืบหาความจริงได้ ค่อยวางแผนเรื่องในภายหน้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปาก พูดว่า “วันนี้นอกจากมาสวัสดีปีใหม่พระอาจารย์แล้ว ข้ายังมีเรื่องหนึ่งอยากถามท่านเจ้าค่ะ?”
“พูดมาเถอะ ขอเพียงข้ารู้ จะต้องตอบแม่นาง” พระอาจารย์กล่าว
“ข้าอยากถามพระอาจารย์ว่า ท่านแม่ทัพฉู่และท่านอ๋องฉีมีความสัมพันธ์ใดต่อกัน?”
ตอนที่ 241-1 สอนสัญญาณลับ
พระอาจารย์ตกตะลึงเล็กน้อย ถามด้วยความกังขา “เหตุใดแม่นางคิดจะถามเรื่องนี้?”
เมิ่งเชี่ยนโยวคิดเหตุผลหนึ่ง “วันนั้นข้าคลับคล้ายจะได้ยินนายท่านเหวินเอ่ยถึงเรื่องนี้กับท่านใต้เท้าเปา ให้รู้สึกกังขา แต่ก็ไม่กล้าซักถามความ จึงต้องมาถามพระอาจารย์เจ้าค่ะ”
พระอาจารย์โจวลูบเคราตนเอง เงียบไปครู่หนึ่ง พูดว่า “ความสัมพันธ์ของท่านแม่ทัพฉู่และท่านอ๋องฉี คนในเมืองหลวงต่างรู้ดี จะบอกเจ้าก็ไม่เป็นอะไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างรอคอย
พระอาจารย์โจวพูดต่อว่า “พระชายาอ๋องฉีเป็นพี่สาวของท่านแม่ทัพฉู่”
สิ่งที่คาดเดาภายในใจได้รับการยืนยัน เมิ่งเชี่ยนโยวหัวใจกระตุกวูบ หยั่งเชิงถาม “เมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดในตอนนั้นอี้เซวียนถึงถูกนำมาทิ้งในป่าลึกได้?”
มือที่ลูบเคราของพระอาจารย์โจวชะงักกึก พิจารณาว่าควรพูดกับนางหรือไม่
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “พระอาจารย์มิต้องลำบากใจ ข้าเพียงสงสัยว่าพระชายาอ๋องฉีมีเบื้องหลังยิ่งใหญ่เพียงนี้ เหตุใดถึงทำบุตรสูญหายได้?”
พระอาจารย์พิจารณาถ้อยคำ “เหตุใดอี้เซวียนถึงถูกทิ้งไว้ในป่า ข้าก็ไม่รู้ ข้าบอกแม่นางได้เพียงว่า สิบปีก่อนตอนที่อี้เซวียนหายสาบสูญไป เกิดมหันตภัยขึ้นในราชสำนัก ในตอนนั้นฮ่องเต้องค์ก่อนเพิ่งจะเสด็จสวรรคต เส้นทางการขึ้นครองราชย์ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันได้รับการข่มขู่ ในฐานะน้องชายร่วมมารดา ในตอนนั้นท่านอ๋องฉีคอยสนับสนุนพี่ชายตนเองอย่างสุดความสามารถ แน่นอนว่าท่านแม่ทัพฉู่ก็ยืนข้างท่านอ๋องฉี ทว่าในตอนนั้นเหตุการณ์คับขัน พระชายาอ๋องฉีก็ใกล้จะมีพระประสูติกาล เพื่อให้นางให้กำเนิดเด็กออกมาได้อย่างปลอดภัย ท่านอ๋องฉีและท่านแม่ทัพฉู่จึงหาสถานที่เหมาะสมแห่งหนึ่งให้นางรอมีพระประสูติกาล ต่อมาพระชายาอ๋องฉีประสูติพระโอรสออกมาได้สมดังหมาย ทว่าไม่รู้ข่าวเล็ดลอดทางไหน จึงถูกคนตามฆ่า เรื่องราวหลังจากนั้นข้าก็ไม่รู้แล้ว กระทั่งฮ่องเต้สงบศึกภายในได้ ตอนที่ท่านอ๋องฉีกลับไปรับพวกเขาแม่ลูก เด็กก็หายไปแล้ว และด้วยเหตุนี้พระชายาอ๋องฉีก็ล้มหมอนนอนเสื่อ ป่วยกระเสาะกระแสะ ไม่มีบุตรอีก”
แม้จะไม่ได้คำตอบทั้งหมด แต่ก็พอรู้เรื่องราวโดยรวมแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวฟังจบไม่พูดอะไร
ภายในห้องเงียบสงัด
ฮูหยินโจวให้สาวใช้ยกชาและขนมเข้ามา คลี่ยิ้มวางขนมแป้งข้าวไว้เบื้องหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยตัวเอง พูดว่า “นี่เป็นขนมแป้งข้าวที่ข้าทำเอง เจ้าลองชิมดู ว่ารสชาติเป็นอย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บคืนความรู้สึกหนักอึ้งในใจ แย้มยิ้มพูดเสียงหวาน “ขอบคุณฮูหยินเจ้าค่ะ”
พูดจบ หยิบขนมแป้งข้าวชิ้นหนึ่งมากัด กลืนและเอ่ยชม “ขนมแป้งข้าวที่ท่านทำอร่อยยิ่งนัก ข้าไม่เคยกินขนมแป้งข้าวอร่อยเช่นนี้มาก่อนเลยเจ้าค่ะ”
ได้รับคำชม ฮูหยินโจวแย้มยิ้มเบิกบาน “หากเจ้าชอบกิน ข้าจะให้สาวใช้บรรจุใส่กล่อง ประเดี๋ยวขากลับเจ้าจะได้เอากลับไปค่อยๆ กินเล่น”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ปฏิเสธ “ขอบคุณฮูหยินเจ้าค่ะ”
ฮูหยินโจวกำชับสาวใช้ให้บรรจุขนมแป้งข้าวแต่ละแบบให้เมิ่งเชี่ยนโยวนำกลับไป
สาวใช้รับคำ บรรจุเสร็จกลับมาโดยไว
ที่ควรถามก็ถามหมดแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบขนม แล้วลุกขึ้นบอกลา
ฮูหยินโจวออกมาส่งนางถึงด้านนอกประตูใหญ่ด้วยตัวเอง มองนางเดินไปไกล ถึงหันหลังกลับเข้าบ้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินบนถนน จิตใจหนักอึ้งอย่างบอกไม่ถูก เอาแต่ขมวดคิ้วมุ่นไปตลอดทาง กระทั่งมาถึงหน้าประตู ถึงเก็บคืนความรู้สึก ถือกล่องขนมเดินพ้นประตูเข้าไป
เมิ่งชื่อเห็นนางเข้ามาจากด้านนอก ในมือยังถือสิ่งของมาด้วย นึกสงสัยถาม “โยวเอ๋อร์ เจ้าไปทำอะไรมารึ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “เมื่อครู่ข้าไปสวัสดีปีใหม่พระอาจารย์มาเจ้าค่ะ นี่เป็นขนมแป้งข้าวที่ฮูหยินโจวทำเองกับมือ ข้าชิมแล้วอร่อย นางจึงให้มาเพิ่มเจ้าค่ะ”
คนชนบทมีข้าวกินอิ่มท้องก็ไม่เลวแล้ว ไหนเลยจะทำขนมแป้งข้าวเป็น ได้ยินนางพูดเช่นนี้ เมิ่งชื่อประหลาดใจถาม “ฮูหยินโจวทำขนมแป้งข้าวเป็นด้วย?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า วางตะกร้าสานไว้เบื้องหน้านาง เปิดฝาออก หยิบชิ้นหนึ่งส่งให้เมิ่งชื่อ “ท่านลองชิมเถิด อร่อยมากเทียว”
เมิ่งชื่อรับมา กินคำเล็ก “อืม อร่อยนุ่มลิ้น หวานหอมแต่ไม่เลี่ยน ฮูหยินโจวช่างมีฝีมือนัก”
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งบนเก้าอี้ พูดว่า “ข้าชิมแล้วก็รู้สึกว่าอร่อย พอฮูหยินโจวบอกจะให้ข้าเพิ่ม ข้าจึงไม่ปฏิเสธ”
เมิ่งชื่อกลืนขนมแป้งข้าว พูดว่า “ฮูหยินคุณนายในเมืองหลวงต่างมีทักษะดี แม้แต่ขนมแป้งข้าวก็ทำเป็น ไม่เหมือนผู้หญิงบ้านนาอย่างพวกเรา ก็แค่นึ่งวอโถว ปั้นหมั่นโถวเป็นเท่านั้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ “ท่านแม่ พวกฮูหยินในเมืองหลวงวันๆ ไม่ต้องทำงาน ถึงต้องทำขนมเพื่อฆ่าเวลา ไฉนเลยจะเหมือนผู้หญิงชนบท วันๆ ต้องปรนนิบัติผู้อาวุโส ดูแลลูกๆ ยังต้องตามไปทำไร่ทำนา”
เมิ่งชื่อพยักหน้า “ก็จริงนะ ผู้หญิงบ้านนาอย่างพวกเราแค่ให้ท้องอิ่มยังเป็นเรื่องยาก ไหนเลยจะมีว่างมาคิดทำเรื่องพวกนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดแนะนำ “ทว่า ต่อไปท่านแม่ขอไปเรียนวิชาจากฮูหยินโจวได้นะเจ้าค่ะ”
เมิ่งชื่อโบกมือพัลวัน “ช่างเถอะ งานละเอียดอ่อนพวกนี้แม่ทำไม่ได้ดอก หากมีเวลาเอาไปเย็บกระเป๋านักเรียนที่โรงงานดีกว่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำอีกครั้ง
กินหมดหนึ่งชิ้น เมิ่งชื่อปัดๆ มือ กำชับเมิ่งเชี่ยนโยว “ฮูหยินโจวให้มาไม่น้อย พวกพี่รองและอี้เซวียนต่างอยู่ในห้อง เจ้าเอาไปให้พวกเขาบ้างเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำ หยิบจำนวนหนึ่งออกมาวางบนโต๊ะ “พวกนี้ให้พี่ใหญ่พี่สะใภ้ ที่เหลือจะเอาไปให้พวกพี่รองเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องแล้ว” เมิ่งชื่อพูด “หลายวันมานี้เจ้าไม่อยู่บ้าน พี่ใหญ่เจ้าไม่วางใจภายในบ้าน จึงไม่ได้ไปสวัสดีปีใหม่บ้านพี่สะใภ้ เมื่อครู่แม่เพิ่งจะเก็บของให้พวกเขาเสร็จ ให้พวกเขาเข้าเมืองไปแล้ว อีกทั้งกำชับพี่ใหญ่เจ้าให้อยู่กับเชี่ยนเอ๋อร์ที่บ้านนางหลายๆ วัน ขนมแป้งข้าวพวกนี้สดใหม่ เก็บได้ไม่นาน เจ้าเอาไปให้พวกเขากินกันเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังหยิบขนมแป้งข้าววางกลับเข้าไปในกล่อง ถือกล่องเดินมาห้องฝั่งตะวันออก
เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงออกไปเล่นซุกซน มีเพียงเมิ่งฉีและเมิ่งอี้เซวียนสองคนอยู่ในห้อง
ทั้งสองนั่งหน้าโต๊ะ ด้านหน้าเมิ่งฉีมีสมุดบัญชีวางเปิดอ้าอยู่ ส่วนด้านหน้าเมิ่งอี้เซวียนมีหนังสือเล่มหนึ่งวางอยู่
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามาในห้อง ทั้งสองมองตรงมาที่นางพร้อมกัน
เมิ่งเชี่ยนโยววางขนมแป้งข้าวลงบนโต๊ะ พูดว่า “นี่เป็นขนมแป้งข้าวที่ฮูหยินโจวทำ อร่อยมากๆ พวกท่านกินกันเถอะ”
เมิ่งฉีรับมา ใส่เข้าปากเคี้ยวหมุบหมับ ส่วนเมิ่งอี้เซวียนกลับกัดคำเล็กเคี้ยวช้าๆ
มองดูกิริยาการกินอย่างละมุนละไมของเขา คำกล่าวของพระอาจารย์ดังก้องข้างหูอีกครั้ง เมิ่งเชี่ยนโยวถามขึ้น “อี้เซวียน พระอาจารย์โจวบอกว่าจะเปิดเรียนเมื่อใด?”
เมิ่งอี้เซวียนกลืนขนมแป้งข้าวในปาก แล้วตอบว่า “พระอาจารย์บอกว่าเปิดเรียนวันที่ยี่สิบ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ยังเหลือสิบกว่าวัน เจ้าเองว่างงานพอดี ข้าจะสอนบางอย่างให้เจ้าแล้วกัน”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า
ครั้งก่อนเมิ่งเชี่ยนโยวสอนให้เมิ่งอี้เซวียนจำแนกสมุนไพร เมิ่งอี้เซวียนจำไม่ได้ เรื่องที่ถูกตีทุกวันยังติดตาตรึงใจ เมิ่งฉีตั้งใจกินขนมแป้งข้าวในมือตนเอง แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทีเขาให้รู้สึกขบขัน แสร้งพูดว่า “พี่รอง ไหนๆ ท่านก็ว่างงาน มาเรียนด้วยกันเป็นอย่างไร”
เมิ่งฉีเกือบจะสำลักขนมแป้งข้าวในปาก โบกมือเป็นพัลวัน “ไม่ได้ ช่วงนี้ข้ายังต้องตรวจบัญชีให้ละเอียด ไม่มีเวลาว่างเช่นนั้นดอก” พูดจบ รีบยัดขนมแป้งข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก กินไปพลางหยิบสมุดบัญชีมาวางย้ำๆ เบื้องหน้าตนเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวคลี่ยิ้มส่ายหน้า วางกล่องขนมไว้บนโต๊ะ “ในนี้ยังมีอีกจำนวนหนึ่ง วางไว้ตรงนี้ พอเจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์กลับมาค่อยให้พวกเขากิน”
เมิ่งฉีพยักหน้าหงึก “ข้ารู้แล้ว ข้าจะเอาให้พวกเขากิน”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเดินออกไป กลับมายังห้องตนเอง
เมิ่งอี้เซวียนกินขนมแป้งข้าวคำสุดท้ายหมด ปัดมือ ปิดหนังสือ วางเข้าที่ ถึงมาที่ห้องเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งบนเก้าอี้รอเขา
เมิ่งอี้เซวียนเข้ามา นั่งบนเก้าอี้เช่นกัน
ทั้งสองไม่มีใครเอ่ยปาก
ภายในห้องเงียบสงัด
ตอนที่ 241-2 สอนสัญญาณลับ
ครู่ใหญ่จู่ๆ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ถามขึ้น “เจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าตัวเองเป็นใคร?”
เมิ่งอี้เซวียนผงะอึ้ง ส่ายหน้าพลัน “ไม่อยาก”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างแปลกใจ
เมิ่งอี้เซวียนมองนาง พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ข้าแซ่เมิ่ง ชื่อเมิ่งอี้เซวียน ที่นี่ก็คือบ้านของข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวใจกระตุกไหว เผยอปากค้าง คิดจะพูดบางอย่าง สุดท้ายกลับไม่ได้พูดออกมา
เมิ่งอี้เซวียนนั่งบนเก้าอี้มองนางเงียบๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกพรวดขึ้น เดินมาตรงหน้าเขา
เมิ่งอี้เซวียนตกใจสะดุ้ง ร่างถอยร่นไปพิงพนักเก้าอี้โดยอัตโนมัติ
เมิ่งเชี่ยนโยวยืนนิ่งเบื้องหน้าเขา พูดอย่างดุดัน “เจ้าเป็นคนพูดเองนะ หากภายหน้าเจ้ากล้าผิดคำพูด ไม่ว่าเจ้าอยู่ที่ใด ข้าจะจับเจ้ามาอัดให้สาสม”
คล้ายว่าเมิ่งอี้เซวียนจะตกใจในท่าทีดุดันเ**้ยมเกรียมของนาง พยักหน้าเงอะงะอย่างเลื่อนลอย
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงจ้องเขาอย่างดุดันกราดเกรี้ยวอีกครู่หนึ่ง ถึงหันกลับไปนั่งบนเก้าอี้ ชี้สิ่งของที่วางระเกะระกะบนโต๊ะ พูดว่า “นับจากวันนี้ไป ข้าจะสอนเจ้าใช้สิ่งของไม่เป็นจุดสนใจพวกนี้ ยามเมื่อเจ้าพบอันตรายหรือเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ทิ้งสัญญาณลับไม่เป็นจุดสนใจนี้ไว้ ให้คนที่ตามหาเจ้าอาศัยสัญญาณลับเหล่านี้ตามหาเจ้าพบโดยไว”
เมิ่งอี้เซวียนมองดูเศษกระดาษ เศษก้อนหิน เศษกิ่งไม้แล้วพยักหน้า
สิ่งของพวกนี้เป็นเพียงสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง เทียบกับสมุนไพรแล้วง่ายกว่ามาก ดังนั้นเมิ่งฉีที่เอาแต่เงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวในครั้งนี้จึงไม่ได้ยินเสียงร้องโหยหวนใดๆ
ช่วงเวลานับจากนั้นมา ทุกวันเมื่อมีเวลา เมิ่งเชี่ยนโยวจะสอนวิธีการใช้เศษสิ่งของรอบกายมาทำเป็นสัญญาณลับ ทั้งยังคอยพาเขาไปทำการทดลอง บางครั้งทำในบ้าน บางครั้งขึ้นไปบนเขา หลังจากตนเองทำสัญลักษณ์ในที่ต่างๆ แล้ว จะให้เมิ่งอี้เซวียนตามหานางในเวลาที่กำหนด
บางครั้งนางทำสัญลักษณ์ไม่ชัดเจน เมิ่งอี้เซวียนตามหานางเจอช้ากว่าเวลาที่นางกำหนด เมิ่งเชี่ยนโยวก็จะสั่งสอนเขาอย่างไม่รักษาน้ำใจ ทุกครั้งเมื่อถึงเวลานี้ ซุนเหลียงไฉที่กลับมาเรียนหนังสือลอบกระหยิ่มยินดี โชคดีที่ตนเองกลับบ้านไปตอนปีใหม่ ไม่ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวจับมาเรียนวิชาพวกนี้ ไม่เช่นนั้นคงเป็นตนเองที่ถูกสั่งสอน
วันเวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือนกว่า จำนวนครั้งที่เมิ่งอี้เซวียนถูกลงไม้ลงมือลดน้อยลง เมิ่งชื่อทั้งรู้สึกปลาบปลื้มใจและให้คลางแคลงใจ ก่อนหน้านี้บุตรสาวบอกว่าจะไม่บังคับอี้เซวียนเล่าเรียนแล้วมิใช่หรือ? เหตุใดตอนนี้ถึงเริ่มใหม่อีก?
ทว่าไม่นานเมิ่งชื่อก็ลืมข้อกังขาเหล่านี้ไปสิ้น เพราะซุนเชี่ยนตั้งครรภ์แล้ว
หลังปีใหม่ ซุนเชี่ยนว่างงาน เมิ่งเสียนจึงมอบโรงงานน้ำมันพริกและโรงงานมันฝรั่งแผ่นทอดให้นาง
ซุนเชี่ยนเรียนรู้การทำการค้ากับซุนซ่านเหรินมาหลายปี หลังจากเริ่มต้นอย่างทุลักทุเล ก็ค่อยๆ คล่องมือ ทุกวันจะพาสาวใช้สองนางมาทำงานในโรงงาน มีเพียงตอนกินข้าว ถึงกลับมาพร้อมเมิ่งเสียน
วันนี้เมิ่งชื่อทำเหมือนกับทุกวัน กลับมาทำอาหารให้คนทั้งครอบครัวก่อน รอพวกเขากลับมากินข้าว
ซุนเหลียงไฉและเมิ่งเจี๋ย เมิ่งชิงกลับมาด้วยกัน เมิ่งอี้เซวียนกลับมาช้าหน่อย เมิ่งเสียนและซุนเชี่ยนรอคนงานในโรงงานหยุดพักก่อนถึงกลับมา พอกลับมาซุนเชี่ยนก็ตรงเข้ามาในครัว เตรียมล้างมือล้างไม้จัดสำรับอาหารให้คนในครอบครัวพร้อมเมิ่งชื่อ ไม่คิดว่าพอเข้ามาในครัว มีกลิ่นประหลาดลอยกระทบจมูก พลันรู้สึกสะอิดสะเอือนอยากจะอาเจียน รีบปิดปากตัวเอง ฝืนข่มกลั้นอึดใจหนึ่งถึงรู้สึกดีขึ้น
เมิ่งชื่อไม่ทันสังเกตเห็นปฏิกิริยาผิดปกติของนาง ยกมันฝรั่งตุ๋นเนื้อเดินผ่านนาง เดินไปพลางพูดอย่างมีความสุข “วันนี้แม่ทำของอร่อยให้พวกเจ้ากิน…”
พูดยังไม่ทันจบ ซุนเชี่ยนก็ทนไม่ไหว รีบวิ่งออกไปอาเจียนนอกครัว
สองสาวใช้ตกใจขวัญเสีย รีบเดินเข้ามาถามอย่างร้อนใจ “คุณหนู ท่านเป็นอะไรเจ้าคะ?”
เมิ่งเสียนก็ตกใจตัวโยน ลุกขึ้นสาวเท้าเดินมาข้างกายนาง ค่อยๆ ลูบหลังให้นาง ถามด้วยน้ำเสียงละมุน “เป็นอะไร? ไม่สบายตัวตรงไหน?”
ซุนเชี่ยนอาเจียนแห้งไม่กี่คำ รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับมุมปาก พูดว่า “คงเพราะเมื่อคืนตากลม ไม่เป็นอะไรดอก”
เมิ่งเสียนวางใจลง ประคองนางกลับมาที่ครัว พอหันหลัง กลับเห็นเมิ่งชื่อยืนยิ้มระรื่นอยู่หน้าประตู
ทั้งสองงุนงง เมิ่งเสียนถามพลัน “ท่านแม่ ท่านเป็นอะไร?”
เมิ่งชื่อไม่ได้ตอบเขา ถามซุนเชี่ยนอย่างยินดี “เชี่ยนเอ๋อร์ หรือเจ้าจะตั้งครรภ์แล้ว?”
ซุนเชี่ยนตกตะลึง เมิ่งเสียนหันกลับมามองนางอย่างปลาบปลื้มยินดี
“ปัดโธ่ เสียนเอ๋อร์ เจ้าประคองเชี่ยนเอ๋อร์เข้ามานั่งก่อน แม่จะรีบไปตามหมอมาตรวจชีพจรนางเดี๋ยวนี้” เมิ่งชื่อกระวีกระวาดพูดกับเมิ่งเสียน
เมิ่งเสียนได้สติกลับมา ประคองซุนเชี่ยนค่อยๆ เดินเข้ามาในครัว
คนทั้งครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า ซุนเชี่ยนรู้สึกประดักประเดิด พยายามแกะมือเมิ่งเสียนออก พูดว่า “ข้าไม่เป็นไร…” พูดยังไม่ทันขาดคำ ได้กลิ่นเนื้อหมู อาการสะอิดสะเอียนปะทุขึ้นมาอีกครั้ง รีบวิ่งออกไปอาเจียนนอกประตู
เมิ่งชื่อตบหน้าขาฉาดใหญ่ “ไม่ต้องไปตามหมอแล้ว จะต้องตั้งครรภ์แล้วเป็นแน่”
คนในห้องได้ยินคำพูดเมิ่งชื่อ ต่างดีใจยกใหญ่ เมิ่งเจี๋ยผู้ไม่รู้เรื่องราว แหงนหน้ากะจิริดถามอย่างไร้เดียงสา “ท่านพี่ อะไรคือตั้งครรภ์หรือขอรับ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวลูบศีรษะเขาด้วยอารามดีใจ ยิ้มพูดว่า “ตั้งครรภ์ก็คือในท้องของพี่สะใภ้มีเด็กน้อย อีกไม่กี่เดือนเจ้าก็จะได้เป็นท่านอาแล้ว”
เมิ่งเจี๋ยดีใจกระโดดโลดเต้น
เสียงเบิกบานของเมิ่งชื่อดังลอยมา “เสียนเอ๋อร์ เจ้าประคองเชี่ยนเอ๋อร์เข้าไปในบ้านก่อนเถอะ แม่จะทำอาหารอ่อนๆ ให้นางกินเดี๋ยวนี้”
ซุนเชี่ยนรีบร้องห้าม “ไม่ต้องเจ้าค่ะ ท่านแม่ ไม่แน่ว่าเป็นเพราะเมื่อวานตากลมเย็นจนเป็นหวัด ท่านอย่าได้ยุ่งยากเลย”
“แม่อาบน้ำร้อนมาก่อน จะแยกแยะไม่ถูกว่าตั้งครรภ์หรือเป็นหวัดได้อย่างไร เชื่อแม่เถอะ เจ้าเข้าไปพักในบ้านก่อน แม่จะรีบทำไปให้เจ้ากินเดี๋ยวนี้”
ยังไม่ได้รับการยืนยัน จะให้เมิ่งชื่อปรนนิบัติตนเองได้อย่างไร ไม่ว่าอย่างไรซุนเชี่ยนก็ไม่ยินยอม
เมิ่งเสียนเกลี้ยกล่อมนาง “เชื่อท่านแม่เถอะ ข้าจะประคองเจ้าเข้าไปในบ้านก่อน แล้วข้าจะไปเชิญท่านหมอมา”
เสียงเมิ่งเชี่ยนโยวดังขึ้น “เชิญท่านหมอทำไม พี่ใหญ่ลืมว่าข้ารู้วิชาแพทย์แล้วหรือ? ข้าจะจับชีพจรให้พี่สะใภ้เอง”
เมิ่งชื่อดีใจจนเลอะเลือน “ใช่ๆๆ เหตุใดแม่ถึงลืมได้ เจ้าก็รู้วิชาแพทย์ เร็วๆๆ รีบเข้ามาจับชีพจรให้พี่สะใภ้เจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ลุกขึ้นเดินมาหน้าประตู “ท่านแม่ อย่างน้อยท่านก็ควรหาที่ให้พี่สะใภ้ใหญ่นั่งก่อน ข้าถึงจะจับชีพจรให้นางได้”
เมิ่งชื่อเดินเข้าไปประคองซุนเชี่ยน “ไป เข้าไปนอนในห้องเจ้า แม่นางเมิ่งจะได้จับชีพจรให้เจ้า”
ซุนเชี่ยนไม่มีทางเลือก จำต้องให้เมิ่งชื่อประคองตนเองกลับเข้าห้อง
จากนั้นนอกจากเมิ่งเอ้ออิ๋นแล้ว ทั้งครอบครัวต่างตามเข้ามา
ซุนเชี่ยนเอนตัวนอนลงบนเตียง เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งบนม้านั่งข้างเตียง จับมือนางวางราบ ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางของมือขวากดจุดชีพจรนาง จับชีพจรให้นางอย่างตั้งอกตั้งใจ
เมิ่งชื่อและเมิ่งเสียนกลั้นหายใจมองนาง
ครู่หนึ่งเมิ่งเชี่ยนโยวถึงคลายมือออก วางมือซุนเชี่ยนกลับเข้าที่
เมิ่งชื่อกระวีกระวาดถาม “เป็นอย่างไร โยวเอ๋อร์ พี่สะใภ้ใหญ่เจ้าตั้งครรภ์แล้วใช่หรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร หันไปมองนางช้าๆ
เมิ่งชื่อเห็นสีหน้านาง หัวใจหล่นวูบ หยั่งเชิงถาม “ไม่มี?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงไม่พูด
รอยยิ้มบนใบหน้าเมิ่งเสียนจางหาย
ซุนเชี่ยนลุกขึ้นมานั่งพูดว่า “ข้าบอกแล้วว่าข้าเป็นหวัด โชคยังดีไม่ได้ตามท่านหมอเข้ามาจับชีพจร ไม่เช่นนั้นได้ขายหน้าแย่”
เมิ่งเชี่ยนโยวผุดลุกขึ้นยืน คว้าแขนเมิ่งชื่อแน่น พูดกับนางอย่างกระดี๊กระด๊า “ท่านแม่ ข้ากำลังจะได้เป็นท่านน้าจริงๆ แล้ว!”
เมิ่งชื่อชะงักอึ้ง แล้วได้สติคืนกลับมา ตีนางเบาๆ “เจ้าเด็กคนนี้ แกล้งคนไม่รู้จักเวล่ำเวลา เมื่อครู่แม่ผิดหวังแทบแย่”
เมิ่งเชี่ยนโยวคลายมือหัวเราะคิกคัก หันกลับไปถามซุนเชี่ยนที่นิ่งอึ้งไปแล้ว “พี่สะใภ้ ดีใจจนมึนแล้วหรือ?”
ซุนเชี่ยนใช้มือลูบท้องน้อยตัวเอง ถามอย่างไม่เชื่อ “ข้าตั้งครรภ์แล้วจริงๆ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวเลิกคิ้ว แกล้งย้อนถาม “พี่สะใภ้ไม่เชื่อวิชาการแพทย์ของข้าหรือ?”
“ไม่ใช่ ข้าเพียงไม่เชื่อว่าตัวเองจะตั้งครรภ์เร็วเช่นนี้” ซุนเชี่ยนรีบร้อนพูด
เมิ่งเชี่ยนโยวก็วางมือบนท้องซุนเชี่ยน พูดว่า “ช่างอัศจรรย์นัก ภายในนี้มีทารกน้อยคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เขาจะโต ออกมาเจอหน้าพวกเราได้”
เมิ่งชื่อพูดอย่างเบิกบาน “เร็วทีเดียวล่ะ พอครบสี่เดือน เห็นครรภ์ชัด ท้องของพี่สะใภ้ใหญ่เจ้าก็จะโตๆๆ อย่างเร็วเทียว”
เป็นจริงดังว่า หกเดือนต่อมา ท้องของซุนเชี่ยนก็โตใหญ่ยิ่งกว่าลูกโป่ง
ตอนที่เมิ่งชื่อกำลังเป็นกังวลว่านางจะคลอดก่อนกำหนดหรือไม่นั้น วันสอบซิ่วไฉของเมิ่งอี้เซวียนก็มาถึง
ตอนที่ 242-1 ลางสังหรณ์
เมิ่งจงจวี่ได้แต่รอคอยให้วันนี้มาถึง ดังนั้นจึงเตรียมจดหมายแนะนำให้เมิ่งเหรินและเมิ่งอี้เซวียนไว้นานแล้ว
ด้วยเพราะไม่เคยไปหัวเมือง เมิ่งเชี่ยนโยวตัดสินใจเข้าไปก่อนห้าวัน หนึ่งเพราะไม่รู้ว่าระยะทางไปหัวเมืองไกลแค่ไหน หากล่าช้ากลัวจะไม่ทันการ อีกอย่างก็คิดว่าพอทั้งสองคนถึงหัวเมืองแล้ว จะให้พักผ่อนสองวัน เพื่อให้มีสภาพร่างกายที่ดีที่สุดสำหรับเข้าร่วมการสอบ
เมิ่งชื่อไม่เห็นด้วย บอกว่าหากจะเข้าไปก่อนห้าวัน รวมเวลาเดินทางไปและกลับ บวกกับเวลาสอบ จะต้องใช้เวลาประมาณสิบวัน เวลายาวนานเกินไปนางไม่อาจวางใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดปลอบใจนาง “ท่านแม่เจ้าค่ะ พวกเราไปถึงหัวเมืองยังต้องหาโรงเตี๊ยม หาสนามสอบ เวลาสามวันน้อยเกินไป หากระหว่างทางเกิดเรื่องเล็กน้อยทำให้ล่าช้า เป็นไปได้ว่าจะทำให้พี่เมิ่งเหรินและอี้เซวียนพลาดการสอบได้ ถึงตอนนั้นพวกเราเสียใจก็คงไม่ทันแล้ว ท่านแม่วางใจเถอะ พอพวกเราถึงหัวเมือง นอกจากเข้าร่วมการสอบ จะไม่ไปไหนทั้งนั้น จะทำตัวดีๆ อยู่แต่ในโรงเตี๊ยม รอพวกเขาสองคนสอบเสร็จ พวกเขาก็จะกลับมา”
เมิ่งชื่อก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ระยะนี้จิตใจกระสับกระส่ายรุนแรง อย่างไรก็ไม่ยอมให้ทั้งสองคนเข้าไปก่อน ทว่านางก็รู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวพูดถูก ไปถึงหัวเมืองแต่เนิ่นๆ ตระเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อย พอถึงเวลาสอบจะได้ไม่ลุกลนฉุกละหุก หลังจากกำชับแล้วกำชับอีก ถึงฝืนใจยอมให้ไป
เมิ่งเสียนเห็นเมิ่งชื่ออย่างไรก็วางใจไม่ลง จึงบอกว่าตนเองจะตามไปด้วย เมิ่งชื่อไม่ยอม พูดว่า “ตอนนี้เชี่ยนเอ๋อร์อายุครรภ์มากแล้ว ไม่แน่ว่าจะคลอดวันไหน เจ้าจงอยู่แต่ในบ้าน ห้ามไปไหนทั้งนั้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ห้ามเขา พูดว่า “พี่ใหญ่วางใจเถอะ ข้าพาเหวินเปียวและเหวินหู่ไปด้วย พวกเขามีวรยุทธ์เก่งกล้า คุ้มครองพวกเราได้สบาย”
เมิ่งเสียนมองท้องกลมใหญ่ของซุนเชี่ยน จำต้องล้มเลิกความคิดที่จะตามไปด้วย
เมื่อได้ข้อยุติแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวเมิ่งอี้เซวียนและเมิ่งเหรินเก็บห่อสัมภาระ เตรียมออกเดินทางวันรุ่งขึ้น พระอาจารย์โจวกลับให้คนมาตามนางเข้าพบ บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะปรึกษากับนาง
พระอาจารย์โจวมาเชิญนางเข้าพบตอนนี้ จักต้องมีเรื่องสำคัญจะบอกตนเอง เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รอช้า หันไปบอกเมิ่งชื่อ แล้วตรงมาบ้านพระอาจารย์โจวทันที หลังจากบ่าวเรียนรายงาน น้ำเสียงน่ายำเกรงของพระอาจารย์โจวก็ดังลอยออกมา “เชิญแม่นางเมิ่งเข้ามาได้!”
บ่าวเปิดม่านประตู หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา ก็เห็นพระอาจารย์โจวนั่งรอนางอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้าขึงขัง
เมิ่งเชี่ยนโยวแสดงการคำนับพระอาจารย์โจว
พระอาจารย์โจวให้นางนั่ง แล้วพูดอย่างเคร่งขรึม “ข้าได้ยินว่าพรุ่งนี้แม่นางจะพาอี้เซวียนเดินทางไปหัวเมือง ข้ามีเรื่องหนึ่งจะกำชับแม่นาง”
“เชิญท่านพูดเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวอย่างอ่อนน้อม
พระอาจารย์โจวพูดตามตรง “แม่นางอาจจะยังไม่รู้ การสอบในระดับภูมิภาคนี้จะมีผู้คุมสอบจากหลายๆ ท้องที่ และผู้คุมสอบนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นศิษย์ร่วมสำนักของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ต่างๆ จากในเมืองหลวง”
เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องมองเขา รอคำกล่าวต่อมาของเขา
พระอาจารย์โจวเห็นนางทำหน้าฉงน จึงพูดตามตรง “หรือก็คือ อี้เซวียนอาจจะถูกจับได้จากการสอบระดับภูมิภาคครั้งนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปาก พูดว่า “ข้าทราบเจ้าค่ะ”
พระอาจารย์โจวร้องอุทาน “เจ้ารู้?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
พระอาจารย์โจวไม่เข้าใจ “เช่นนั้นเจ้ายังจะให้เขาไปเข้าสอบระดับภูมิภาค?”
เมิ่งเชี่ยนโยวนิ่งเงียบครู่หนึ่ง พูดว่า “ครอบครัวพวกเราเลี้ยงดูเขามา การได้เป็นซิ่วไฉสร้างชื่อเสียงให้วงศ์สกุลพวกเรา เป็นความปรารถนาของอี้เซวียนมาตลอด ข้าจะต้องให้เขาได้สมปรารถนา อีกอย่างก็คือ…” พูดมาถึงตรงนี้ ก็หยุดชะงัก
พระอาจารย์โจวก็ไม่เร่งเร้านาง รอให้นางเอื้อนเอ่ยเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “อีกอย่างก็คือ ภายใต้การเคี่ยวสอนอย่างเข้มงวดของท่าน ถือว่าอี้เซวียนร่ำเรียนประสบผลสำเร็จ ซึ่งก็ถึงเวลาให้เขาได้กลับคืนฐานันดรแล้ว การเข้าสอบระดับภูมิภาคถือเป็นโอกาสที่ดี”
พระอาจารย์โจวได้ฟังก็นิ่งเงียบ ครู่หนึ่งถึงพูดว่า “แม่นางไม่กลัวว่าจะทำเกินกว่าเหตุ กลายเป็นนำพาปัญหามาสู่เจ้าและอี้เซวียนแทนหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจเสียงแผ่ว “ข้าคิดจะบอกชาติกำเนิดกับอี้เซวียนมานานแล้ว แต่เขาไม่ยินยอม หากข้าส่งจดหมายถึงท่านแม่ทัพฉู่ ฝืนใจส่งเขากลับไป เกรงว่าเขาจะต้องเกลียดข้าไปตลอดชีวิต เช่นนี้กำลังดี หากชาติกำเนิดของเขาถูกเปิดเผย จะอยู่หรือไปแล้วแต่เขาเลือกเอง”
พระอาจารย์โจวส่ายหน้า “หากชาติกำเนิดของเขาถูกเปิดเผย เขาไม่มีทางมีโอกาสเลือก ท่านอ๋องฉีดูภายนอกเป็นคนอ่อนโยน ความเป็นจริงเป็นคนดุดันเด็ดขาด ในตอนนั้นหลังจากอี้เซวียนหายสาบสูญไป สาวใช้ บ่าวรวมถึงทหารองครักษ์ข้างกายพระชายาอ๋องฉี ถูกสั่งลงดาบตายทั้งเป็น ว่ากันว่าเสียงร้องโหยหวนหน้าประตูจวนอ๋องฉีดังต่อเนื่องยาวนานตลอดหนึ่งวันถึงจางหายไป ขุนนางน้อยใหญ่ที่พักอาศัยละแวกใกล้เคียง ต่างหวาดกลัวไม่กล้าเดินผ่านหน้าจวนเขาเป็นเวลานาน ต้องเดินอ้อมไปเข้าเฝ้า”
“ข้าก็หวังให้เขาไม่มีทางเลือก” ฟังคำพระอาจารย์โจวจบ เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “เดิมอี้เซวียนก็ไม่ควรมาตกระกำอยู่ในชนบทนี้ เขาควรจะกลับไปยังที่ที่เป็นของเขา ที่ข้าไม่ยอมส่งข่าวแจ้งไปทางเมืองหลวง เพราะข้ากลัวหลังจากเขากลับไปแล้วจะทนรับสภาพแวดล้อมเช่นนั้นไม่ได้ ถึงเห็นแก่ตัวปิดบังมายาวนาน บัดนี้เขามีความสามารถเอาตัวเองรอดได้ สมควรให้เขากลับไปได้แล้ว”
พระอาจารย์โจวได้ฟังนิ่งเงียบอึดใจหนึ่ง แล้วพูดว่า “แม่นางทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อเมิ่งอีเซวียนไปไม่น้อยเลยจริงๆ หวังว่าเขาจะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวัง ใช้ชีวิตในจวนท่านอ๋องได้อย่างอยู่รอดปลอดภัย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ดังนั้นพระอาจารย์ก็เก็บข้าวของเตรียมตัวให้พร้อมเถิด หากข้าคาดไม่ผิด หลังจากอี้เซวียนถูกค้นพบ อย่างมากสิบวัน อย่างน้อยห้าวัน ท่านอ๋องฉีจะต้องส่งคนมารับท่านเข้าเมืองหลวง ให้ไปเป็นอาจารย์ของเขาต่อ”
พระอาจารย์โจวได้ฟังส่ายหน้า ทอดถอนใจ “แม่นางคิดในแง่ดีเกินไปแล้ว ข้าปิดบังเรื่องสำคัญเช่นนี้ ท่านอ๋องฉีไม่คาดโทษข้าฐานปิดบังก็ขอบคุณฟ้าขอบคุณดินแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับประกันกับเขา “ไม่หรอกเจ้าค่ะ ข้ามีบุญคุณช่วยชีวิตท่านแม่ทัพฉู่ ถึงตอนนั้นข้าจะขอร้องให้เขาไว้ชีวิตท่าน ท่านวางใจเถิด ทว่าความปรารถนาที่จะเกษียณตัวเองกลับไปใช้ชีวิตอย่างสงบที่บ้านเกิดของท่าน เกรงว่าจะเป็นจริงไม่ได้แล้ว”
พระอาจารย์โจวถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เรื่องนี้ นับแต่วินาทีที่ข้าเห็นอี้เซวียน ข้าก็รู้แล้วว่า ชีวิตข้าไม่มีวันได้กลับบ้านเกิดอีกแล้ว”
“ก็ไม่แน่หรอกเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “อย่างมากห้าปี รอให้อี้เซวียนตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง รับประกันความปลอดภัยให้ท่านได้ หากท่านยังคิดจะกลับไปใช้ชีวิตยามแก่ที่บ้านเกิด ท่านก็บอกเขา เขาจะต้องรับปากท่าน”
พระอาจารย์โจวกล่าวโดยไม่คาดหวังใดๆ “หวังว่าข้าจะยังมีชีวิตถึงตอนนั้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวแย้มยิ้มพูดว่า “ไยพระอาจารย์ถึงคิดแต่แง่ร้ายเล่า กลับเมืองหลวงมิใช่จะเลวร้ายเสียทีเดียว ท่านอาจารย์โจวเสี้ยวและโจวหลี่ล้วนมีความสามารถล้นเหลือ ไม่ควรจะถูกเก็บซ่อนไว้ในชนบท เมืองหลวงถึงจะเป็นสถานที่เหมาะสมของพวกเขา”
พระอาจารย์โจวส่ายหน้า “ข้าเป็นตี้ซือมาหลายปี เข้าใจดีว่าเคียงข้างเจ้าดั่งเคียงข้างราชสีห์ ถึงคิดอยากจะพาพวกเขากลับบ้านเกิด กลับไปใช้ชีวิตสุขสราญ ไม่คิดว่าอย่างไรก็หลบไม่พ้น”
“ท่านอาจารย์ทั้งสองเพื่อแสดงความกตัญญู ถึงยอมไปจากเมืองหลวงที่ใหญ่โตคึกคัก กลับชนบทกับท่าน นี่อาจจะไม่ใช่ความปรารถของพวกเขาก็เป็นได้ ตอนนี้ได้ใช้โอกาสนี้ ให้พวกเขากลับไปความสามารถของตัวเองที่เมืองหลวง มิใช่เป็นเรื่องดีหรอกหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
พระอาจารย์โจวถอนหายใจแผ่ว “เรื่องมาถึงตอนนี้ ก็คงต้องคิดเช่นนี้แล้ว หวังท่านอ๋องฉีจะเห็นแก่ที่ข้าสอนสั่งอี้เซวียน ช่วยรักษาชีวิตครอบครัวพวกเราเอาไว้ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่น “ความหมายของท่านคือท่านประสบปัญหาร้ายแรงในเมืองหลวงหรือ?”
พระอาจารย์โจวโบกมือ “เจ้ารู้เรื่องของข้าไปก็ไม่มีประโยชน์ แม่นางอย่าได้สืบถามเลย หวังว่าพวกเจ้าไปหัวเมืองครั้งนี้จะสำเร็จราบรื่นทุกอย่าง”
พระอาจารย์โจวแสดงว่าไม่พูดเรื่องของตัวเองอย่างชัดแจ้ง เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่ถามอีก หลังจากกล่าวขอบคุณ ก็บอกลากลับไปบ้าน
หลังจากนางกลับไปแล้ว พระอาจารย์โจวนั่งนิ่งอยู่ในห้องหนึ่งชั่วยาม ถึงสั่งการบ่าวให้ไปตามโจวเสี้ยวและโจวหลี่เข้ามา
พระอาจารย์กันบ่าวออกไปให้ไกล พูดเสียงเบากับทั้งสองคนอยู่เป็นนาน
หลังจากโจวเสี้ยวและโจวหลี่ออกมา หันหน้ามองกัน ไม่มีใครพูดจาตรงกลับไปที่เรือนของตนเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาถึงบ้าน เมิ่งชื่อกำลังเย็บเสื้อผ้าเด็กในลานเรือน เห็นนางกลับมา ก็ถามขึ้น “เหตุใดพระอาจารย์ถึงเรียกเจ้าไปปัจจุบันทันด่วนเช่นนี้?”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้บอกความจริงกับนาง ยิ้มพูดโป้ปด “พระอาจารย์โจวได้ยินว่าพรุ่งนี้พวกเราจะออกเดินทาง ตั้งใจเรียกข้าไปเพื่อกำชับข้าเรื่องที่ต้องระวังสำหรับการสอบระดับภูมิภาคนี้”
เมิ่งชื่อแคลงใจ “เรื่องพวกนี้เขาน่าจะกำชับอี้เซวียนไม่ใช่หรือ? เหตุใดกลับเรียกเจ้าเข้าไปอีก?”
“เขากำชับอี้เซวียนแล้วเจ้าค่ะ แต่กลัวเขาจะเผอเรอจึงตามข้าเข้าไป”
เมิ่งชื่อไม่สงสัยอีก พยักหน้า “พระอาจารย์โจวคิดอ่านรอบคอบนัก สมควรกำชับเจ้าอีกรอบจริงๆ”
“เช่นนั้นข้าจะเข้าไปเก็บของ พรุ่งนี้พวกเราจะออกเดินทางแต่เช้า”
“ไปเถอะ อย่าลืมพกเงินไปมากหน่อย เดินทางไปไกล มีเงินติดตัวมากหน่อยไม่ใช่สิ่งไม่ดี” เมิ่งชื่อกำชับ
“ทราบแล้วเจ้าค่ะท่านแม่” เมิ่งเชี่ยนโยวขานรับคำแล้วเดินเข้าไปในห้องตัวเอง เก็บเสื้อผ้าที่ตัวเองจะต้องใช้เปลี่ยนของหลายวันนี้ จากนั้นเปิด**บออก คิดจะหยิบตั๋วเงินออกมา ครั้นพอเห็นชุดทารกของเมิ่งอี้เซวียนก็หยุดชะงัก มองขบคิดครู่หนึ่ง ถึงนำชุดทารกนั้นออกมา วางรวมกับเสื้อผ้าตัวเอง
แล้วล้วงเข้าไปก้น**บ หยิบป้ายหยกสองชิ้นนั้นออกมา วางเก็บไว้กับตัวอย่างระมัดระวัง สุดท้ายหยิบตั๋วเงินหลายแผ่นออกมา ถึงลงกลอน**บ
ตอนบ่ายทั้งครอบครัวไม่มีใครไปโรงงาน เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อยืนล้อมเมิ่งอี้เซวียนกำชับเขาไม่ขาดปาก บอกเขาว่า “ตอนสอบไม่ต้องตื่นเต้น หากครั้งนี้สอบไม่ได้ พวกเราค่อยสอบใหม่ อย่างไรเจ้าก็อายุยังน้อย ใช้เวลาสอบหลายปีก็ไม่เป็นไร”
เมิ่งอี้เซวียนจดจำขึ้นใจ พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
เมิ่งเชี่ยนโยวมองท่าทีของเมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อ ให้เจ็บหัวใจแปลบ ไม่รู้ว่าหลังจากมีคนจำอี้เซวียนได้ เห็นนางกลับมาคนเดียว ทั้งสองจะทนรับได้หรือไม่
เมิ่งเสียนเห็นสีหน้าผิดปกติของนาง ถามอย่างเป็นห่วง “น้องสาว เจ้าเป็นอะไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบแย้มยิ้ม พูดว่า “เห็นท่านพ่อท่านแม่เป็นห่วงอี้เซวียน ข้าเริ่มจะอิจฉาแล้ว”
เมิ่งชื่อได้ฟังยื่นมือออกมา จิ้มหน้าผากนางเบาๆ ยิ้มพูดว่า “เจ้าจะอิจฉาอะไร? พวกเจ้าช้าเร็วก็ต้องแต่งงานกัน แม่ดีกับอี้เซวียนหรือดีกับเจ้าก็ไม่เห็นจะแตกต่าง?”
เมิ่งเชี่ยนโยวรอยยิ้มแข็งค้าง ไม่พูดอะไร
เมิ่งชื่อนึกว่านางเขิน จึงไม่ได้เอามาใส่ใจ
ตอนที่ 242-2 ลางสังหรณ์
วันรุ่งขึ้นหลังจากกินอาหารเช้าเสร็จแต่เช้า เหวินเปียวและเหวินหู่แยกกันบังคับรถม้า มารอหน้าประตู
คนในสกุลเมิ่งทั้งหมดเดินตามทั้งสองคนมาข้างรถม้า
คล้ายว่าเมิ่งชื่อจะมีลางสังหรณ์ว่าจะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น จับมือเมิ่งอี้เซวียนพูดกำชับซ้ำไปซ้ำมา
เมิ่งเอ้ออิ๋นหัวเราะนาง “อี้เซวียนเพียงเข้าไปสอบซิ่วไฉ อย่างมากหกเจ็ดวันก็กลับมาแล้ว ดูเจ้าเอาแต่พูดพร่ำ ราวกับว่าเขาจะไม่กลับมาแล้วอย่างนั้น”
เมิ่งชื่อถลึงตาโต พูดว่า “ข้าพูดพร่ำแล้วอย่างไร? หากไม่เพราะเชี่ยนเอ๋อร์จะคลอด ต้องมีคนอยู่ด้วย ข้ายังจะตามไปกับพวกเขาด้วยเล่า”
เมิ่งเอ้ออิ๋นเห็นสีหน้ากระสับกระส่ายของนาง ไม่กล้าพูดอะไรอีก
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดว่า “ท่านแม่ พวกเราต้องไปแล้ว หากท่านยังพูดต่อ ฟ้าจะมืดแล้วนะเจ้าค่ะ”
เมิ่งชื่อถูกหยอกจนหัวเราะ โบกมือ “รีบไปเถอะ เดินทางระวังด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบส่งสัญญาณให้เมิ่งอี้เซวียนขึ้นรถม้า เหวินเปียวบังคับรถม้านำหน้า เหวินหู่บังคับรถม้าตามหลัง ไปเรือนใหม่รับเมิ่งเหริน
เมิ่งชื่อมองส่งรถม้าจนลับตา ถึงถอนใจยาวพูดว่า “พ่อเอ๊ย พวกเขาไปครั้งนี้ เหตุใดข้าถึงรู้สึกใจคอไม่ดีเอาเสียเลย? รู้สึกเหมือนจะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น”
เมิ่งเอ้ออิ๋นพูดปลอบนาง “คงเพราะสองวันนี้เจ้าพักผ่อนไม่เต็มที่ คิดฟุ้งซ่านมากเกินไป บัดนี้พวกเขาไปแล้ว เจ้ากลับไปนอนในห้องให้สบาย เมื่อตื่นมาก็จะดีเอง”
เมิ่งชื่อขบคิดเล็กน้อย รู้สึกว่าที่เมิ่งเอ้ออิ๋นพูดก็มีเหตุผล จึงเชื่อคำพูดเขา กลับเข้าห้องไปพักผ่อน
รถม้ามาถึงหน้าเรือนใหม่ สองผู้เฒ่าเมิ่ง เมิ่งต้าจินและภรรยา เมิ่งเหรินเมิ่งอี้และภรรยาต่างยืนรอพวกเขาอยู่หน้าประตูแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนลงจากรถม้า กล่าวทักทายทุกคนเสร็จ ถึงถามเมิ่งจงจวี่ “ท่านปู่ ท่านมีสิ่งใดจะกำชับหรือไม่เจ้าคะ?”
เมิ่งจงจวี่ตอบว่า “พวกเจ้าสามคนอายุยังน้อย เลี่ยงไม่ได้ที่จะสะเพร่าเลินเล่อ ปู่คิดดูแล้ว สมควรให้ลุงใหญ่เจ้าตามพวกเจ้าไปด้วย หากมีอะไรที่ไม่รู้ จะได้ถามเขาได้ทันที”
เมิ่งต้าจินเคยเข้าร่วมสอบระดับภูมิภาคที่หัวเมือง พอจะคุ้นเคยเส้นทางบ้าง เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่ได้คัดค้าน หลังจากบอกลาทุกคนก็ขึ้นรถม้า เมิ่งต้าจินและเมิ่งเหรินขึ้นรถม้าด้านหลัง รถม้าสองคันตามติดกันมุ่งหน้าไปหัวเมือง
หัวเมืองอยู่ห่างจากตำบลชิงซีค่อนข้างไกล ใช้เวลากว่าครึ่งวันเต็มๆ ถึงมาถึง
เหวินเปียวบังคับรถม้าพ้นประตูเมืองเข้ามา ไม่รู้ว่าควรไปทางไหน หันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นาง ท่านรอสักครู่ ข้าจะไปสอบทางว่าพวกเราควรไปทางไหน”
เมิ่งเชี่ยนโยวเลิกม่านรถขึ้น ออกมานั่งข้างหน้า รับบังเ**ยนมาจากมือเขา “ไปเถอะ ถามให้ละเอียด เย็นมากแล้ว พวกเราอย่าได้ไปผิดเส้นทาง”
เหวินเปียวกระโดดลงจากรถม้า เดินไปสอบถามร้านค้าหนึ่งข้างประตูเมือง
พอเถ้าแก่ร้านได้ยินว่าพวกเขามาเข้าสอบระดับภูมิภาค ก็เดินออกมาหน้าร้าน ชี้บอกเส้นทางพวกเราอย่างกระตือรือร้น ทั้งบอกพวกเขาว่า ใกล้สนามสอบมีโรงเตี๊ยมเข้าพักได้ พวกเขามาเร็ว น่าจะได้เข้าพักห้องชั้นดี
หลังจากกล่าวขอบคุณ เหวินเปียวบังคับรถม้ามาตามทางที่เถ้าแก่บอก จนมาเจอกับโรงเตี๊ยมชั้นดีแห่งหนึ่งใกล้สนามสอบ
ลงจากรถม้า เดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม
หลงจู๊ที่เห็นก็รู้ทันทีว่าพวกเขามาเข้าสอบระดับภูมิภาค แย้มยิ้มพูดกับพวกเขา “พวกท่านมาเร็วยิ่งนัก เป็นผู้เข้าสอบท่านแรกที่มาเข้าพักโรงเตี๊ยมของพวกเราในปีนี้เลย ต้องการห้องแบบใดเชิญพวกท่านเลือกได้ตามสบายเลยขอรับ”
“ขอห้องชั้นดีสามห้อง เอาที่เงียบหน่อย อีกอย่างพวกเรายังมีรถม้าสองคัน ท่านช่วยดูแลให้พวกเราด้วย” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
ห้องชั้นดีถูกจับจองในคราเดียวถึงสามห้อง หลงจู๊ปลาบปลื้มยินดียิ่ง สั่งการเสี่ยวเอ้อร์จูงรถม้าไปดูแลด้านหลัง แล้วพาพวกเขาขึ้นชั้นบนด้วยตัวเอง เดินมาจนสุดทางเดินชั้นสอง เปิดประตูห้องทั้งสามออก พูดอย่างเป็นมิตร “นี่เป็นห้องที่ดีที่สุดของโรงเตี๊ยมของพวกเรา สบายและสงบเงียบ พวกท่านเข้าไปดูก่อนว่าพอใจหรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไปในห้อง เห็นด้านในสะอาดสะอ้าน ด้านหน้าติดถนน เปิดหน้าต่างออกไปก็จะมองเห็นทิวทัศน์ด้านนอก พยักหน้าพอใจ “เอาสามห้องนี้ พวกเราจะพักประมาณห้าถึงหกวัน”
หลงจู๊เห็นมีแต่นางเข้าไปตรวจดู ให้กังขาในใจ กำลังแอบคิดว่าเหตุใดการตัดสินใจของครอบครัวนี้ถึงเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง ครั้นได้ยินคำพูดนาง ก็ดีใจยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ โค้งตัวพยักเพยิดพูดว่า “พวกท่านพักสักประเดี๋ยวก่อน ข้าจะให้เสี่ยวเอ้อร์ไปต้มน้ำมาให้พวกท่านเดี๋ยวนี้ขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดว่า “พวกเราเดินทางมาทั้งวัน เหนื่อยล้ามาก ประเดี๋ยวท่านให้เสี่ยวเอ้อร์นำอาหารอย่างดีจำนวนหนึ่งมาให้พวกเราด้วย ค่าอาหารให้คิดรวมตอนจ่ายค่าห้อง”
หลงจู๊ยิ่งให้ดีอกดีใจ ลงไปสั่งการเสี่ยวเอ้อร์อย่างเบิกบาน
หลังจากหลงจู๊ลงไปแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวจึงจัดแจงห้องพัก “ท่านลุงใหญ่และพี่ใหญ่พักห้องตรงกลาง ข้าและอี้เซวียนจะพักด้านในสุด เหวินเปียวเหวินหู่จะพักห้องที่เหลือ” สุดท้ายพูดเสริมอีกว่า “ลุงใหญ่และพี่ใหญ่ไม่รู้วรยุทธ์ พวกเราต้องตื่นตัวตลอดเวลา”
เหวินเปียวและเหวินหู่ได้ฟังตื่นตกใจ พยักหน้ารับคำ “ทราบแล้วขอรับแม่นาง”
เมิ่งต้าจินก็ให้กังขา พวกเขาเพียงมาพักที่โรงเตี๊ยม เกี่ยวอะไรกับรู้วรยุทธ์หรือไม่ด้วย แต่ก็ไม่ได้ถามมาก เดินเข้าไปในห้องพร้อมเมิ่งเหริน
ไม่นานเสี่ยวเอ้อร์ก็ยกน้ำร้อนและสำรับอาหารมาที่ห้องพวกเขา หลังจากล้างเนื้อล้างตัว กินอาหารค่ำเสร็จ รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า จึงล้มตัวนอนพักแต่หัวค่ำ
เช้าวันถัดมาหลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ เมิ่งต้าจินเสนอให้ไปดูสนามสอบก่อน เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดว่า “ไปดูตอนนี้เร็วเกินไปเจ้าค่ะ อีกตั้งสี่วันกว่าจะถึงวันสอบ รอให้ถึงก่อนวันสอบหนึ่งวันค่อยเข้าไปดูก็ยังไม่สาย พวกเราสู้ใช้โอกาสหลายวันนี้ เดินเล่นในหัวเมืองให้เต็มที่ไม่ดีกว่าหรือเจ้าค่ะ ข้าโตมาจนป่านนี้ยังไม่เคยมาสถานที่เจริญคึกคักเช่นนี้มาก่อน รู้สึกแปลกหูแปลกตากับทุกสิ่ง”
เมิ่งเหรินและเมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าอย่างเบิกบานแสดงว่าเห็นด้วย
เมิ่งต้าจินมองสายตากระหายอยากของพวกเขา จำต้องกลืนคำพูดห้ามปรามที่ปลายลิ้นลงไป เปลี่ยนมาพูดแทนว่า “พวกเราออกไปเที่ยวเล่นได้มากที่สุดสองวันเท่านั้น อีกสองวันที่เหลือจะต้องอยู่พักผ่อนในโรงเตี๊ยมให้เต็มที่ ให้ร่างกายสดชื่นมีพลัง เตรียมพร้อมสำหรับการสอบ”
คนทั้งหมดพยักหน้าหงึกๆ
หลังจากบอกลาหลงจู๊ ทั้งหมดก็ออกไปจากโรงเตี๊ยม
เหวินเปียวและเหวินหู่คิดจะไปเอารถม้า เมิ่งเชี่ยนโยวร้องห้ามพวกเขา “นั่งรถม้าจะขาดอรรถรสในการเดินชมเมือง พวกเราเดินไปดูไปตามสบาย หิวก็หาอะไรกินข้างทาง เหนื่อยก็จ้างรถม้านั่งกลับมา”
สิบกว่าปีก่อนเมิ่งต้าจินเคยเข้ามาหัวเมืองเพื่อสอบซิ่วไฉเพียงครั้งเดียว ในตอนนั้นครอบครัวยากจน ต้องเดินเท้ามาพร้อมกับเพื่อนร่วมห้องหลายคน ตอนที่มาถึงก็เป็นวันก่อนวันสอบแล้ว ต่างเข้าพักที่โรงเตี๊ยม เตรียมตัวเข้าสอบวันรุ่งขึ้น ไหนเลยจะมีเวลาว่างออกมาเดินเที่ยวเล่น ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดก็พยักหน้าเห็นด้วย “ดี พวกเราอุตส่าห์มาถึงหัวเมือง ครั้งนี้จะต้องเปิดหูเปิดตาให้เต็มที่”
ท่านผู้นำกล่าวเช่นนี้แล้ว เหวินเปียวและเหวินหู่ย่อมไม่คัดค้าน เมิ่งเหรินและเมิ่งอี้เซวียนเองก็เห็นพ้องด้วย
วันแรกคนทั้งหมดเดินเที่ยวไปทางทิศใต้ พบเห็นสิ่งใดน่าสนใจก็จะหยุดดู โดยเฉพาะเมิ่งอี้เซวียน อย่างไรก็ยังอายุน้อย เห็นอะไรก็แปลกตาไปหมด มองซ้ายทีขวาที พอเห็นของที่ชอบก็จะใช้ดวงตาโตคู่งามจ้องมองเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ตามใจเขา ไม่ว่าจะราคาแพงเท่าใด ก็จะซื้อให้โดยไม่ลังเล
พอเห็นว่าซื้อแต่ของไม่มีประโยชน์ เมิ่งต้าจินคิดจะเอ่ยปากห้ามปราบเมิ่งเชี่ยนโยวหลายครั้ง ครั้นพอเห็นท่าทีโอนอ่อนผ่อนตามเมิ่งอี้เซวียนของนาง คำพูดที่ปลายลิ้นก็ถูกกลืนลงไป
หนึ่งวันผ่านไป สองมือของเหวินเปียวและเหวินหู่เต็มไปด้วยสิ่งของ
คนทั้งหมดก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า จึงจ้างรถม้ากลับมาส่งที่โรงเตี๊ยม
หลงจู๊เห็นพวกเขาซื้อของพะรุงพะรัง ทั้งจ้างรถม้ากลับมา แอบบ่นงึมงำ “แบบนี้ใช่มาเข้าสอบระดับภูมิภาคที่ไหน เห็นชัดๆ ว่ามาเที่ยวเล่น”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงกำชับหลงจู๊ให้นำน้ำร้อนและอาหารส่งมาที่ห้อง จากนั้นพวกเขาก็เดินขึ้นชั้นบน
เหวินเปียวและเหวินหู่นำสิ่งของที่ซื้อมาวันนี้มาวางไว้บนโต๊ะห้องเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วจึงถอยออกมาอย่างนอบน้อม
เมิ่งอี้เซวียนนั่งบนเก้าอี้ข้างโต๊ะ นำสิ่งของออกมาวางเรียงอย่างเบิกบาน
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างเอ็นดู คิดว่าพอเขากลับไปอยู่จวนอ๋องฉี ไม่รู้ว่าจะยังมีรอยยิ้มที่ออกมาจากภายในเช่นนี้ได้อีกหรือไม่
เดินเที่ยวมาทั้งหมดเมื่อยล้าไม่น้อย หลังจากกินอาหารค่ำแล้ว เมิ่งอี้เซวียนล้มตัวนอนบนเตียงหลับไหลไปโดยเร็ว
เมิ่งเชี่ยนโยวนอนบนเตียงอีกด้านมองเขา เวลาผ่านไปก็ข่มตาหลับไม่ลง
หลังกินอาหารเช้าเสร็จ คนทั้งหมดต่างเริงร่าเดินไปทิศตะวันออก
คล้ายว่าทิศตะวันออกจะคึกคักกว่าทิศใต้ สินค้าของร้านค้าริมทางก็มากกว่า คนทั้งหมดเดินไปชมสินค้าไป ตลอดทั้งเช้ายังเดินไปได้ไม่ถึงไหน ทว่าคงเพราะเมื่อวานซื้อของเยอะแล้ว เมิ่งอี้เซวียนรู้สึกเกรงใจ วันนี้ไม่ใช่ว่าเห็นอะไรถูกใจก็ซื้อ แต่จะต้องเลือกแล้วเลือกอีก กระทั่งรู้สึกวางไม่ลงจริงๆ ถึงมองเมิ่งเชี่ยนโยวให้นางซื้อให้
สิ่งของที่ซื้อในวันนี้มีราคาสูงกว่าเมื่อวานมาก ซื้อเพียงไม่กี่ชิ้น ก็ใช้เงินไปหลายสิบตำลึงแล้ว ในที่สุดเมิ่งต้าจินก็อดทนต่อไปไม่ไหว พูดว่า “โยวเอ๋อร์ ของพวกนี้ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้มาก เจ้าใช้เงินฟุ่มเฟือยเช่นนี้ไม่ถูกต้อง”
เมิ่งเชี่ยนโยวยกยิ้มพูดอย่างไม่แยแส “ท่านลุงใหญ่ พวกเราอุตส่าห์ได้มาหัวเมือง อี้เซวียนมีความสุข อยากซื้ออะไรก็ซื้อเถอะ อย่างไรพวกเราก็ไม่เดือนร้อนกับเงินแค่นี้”
เมิ่งต้าจินกำลังจะพูดเตือนอีก เสียงที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้าหนึ่งก็ดังขึ้นข้างตัวเขา “ท่านพี่ต้าจิน ท่านสบายดีนะ!”
ตอนที่ 243 ความรู้สึกปะทุโหม
เมิ่งต้าจินยืนร่างแข็งค้าง
เมิ่งเชี่ยนโยวที่พอเห็นว่าคนตรงหน้าเป็นใคร หรี่หลุบนัยน์ตาลง
อู่เหวินชางพร้อมผู้ติดตามสองคนข้างกาย กำลังสะบัดพัดพลิ้ว มองมาที่เมิ่งต้าจินอย่างยิ้มย่องใจ
เห็นเมิ่งต้าจินไม่มองเขา อู่เหวินชางเก็บพัด เดินมาตรงหน้า มองประเมินเขาขึ้นลงด้วยสายตาเหยียดหยัน พูดอย่างดูแคลน “ได้ยินว่าพี่ต้าจินเป็นผู้ใหญ่บ้านแล้ว ไม่คิดว่าจะยังมัธยัสถ์ไม่เปลี่ยน ออกจากบ้านทั้งทีแม้แต่เสื้อผ้าดีๆ ก็ไม่รู้จักใส่”
วาจานี้ฟังเผินๆ เป็นคำชม แท้จริงแล้วเหยียดหยาม ผู้ติดตามข้างๆ สองคนได้ฟังแล้ว เปล่งเสียงหัวเราะลั่น ดึงดูดสายตาใคร่รู้เข้ามาไม่น้อย
เมิ่งต้าจินไม่พูดอะไร
อู่เหวินชางยิ่งได้ใจใหญ่ แสดงกิริยาเยาะหยัน พูดถากถางเขา “พวกบ้านนอก ยังไงก็เป็นพวกบ้านนอกวันยันค่ำ ไปไหนก็เปลี่ยนสภาพยาจกไม่ได้ เจ้าดูตัวเองเถอะ ใส่อะไรออกมา? แม้แต่ขอทานในหัวเมืองยังแต่งตัวดีกว่าเจ้าเป็นไหนๆ”
คำพูดนี้แรงเกินไปแล้ว พลันมีพวกชอบสอดรู้เดินล้อมเข้ามา อยากฟังว่าเมิ่งต้าจินจะตอบอย่างไร
เมิ่งต้าจินยังคงไม่พูด
อู่เหวินชางยิ่งให้เห่อเหิมใจ กำลังจะพ่นวาจาสะอิดสะเอียน
เมิ่งเชี่ยนโยวเบ้ปาก เปล่งวาจาดูแคลนขึ้นข้างๆ เขา “ต่อให้ลุงใหญ่ข้าจะแต่งกายมอซอเพียงใด ก็เป็นสิ่งที่เขาหามาได้ด้วยตัวเอง ไม่เหมือนคนบางคน ไร้ความสามารถ อาศัยว่าลุงตัวเองมีเงินซื้อตำแหน่งข้าราชการเล็กๆ ให้ แสร้งเป็นจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ”
“เจ้า…” อู่เหวินชางถึงกับสะอึก
คนที่รายล้อมเข้ามาได้ยินเช่นนั้น ชี้มือชี้ไม้ใส่เขา พูดไปต่างๆ นานา
อู่เหวินชางอับอายจนโกรธ พูดอย่างหน้าไม่อาย “ต่อให้เป็นตำแหน่งที่ท่านลุงข้าซื้อให้ ตอนนี้ข้าก็เกษมสำราญ เบิกบานใจดี ไม่เหมือนบางคนต้องอดมื้อกินมื้อ แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่แม้แต่ขอทานยังเทียบไม่ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเหน็บแนมกลับ “ถูกต้อง นั่นเป็นเมื่อก่อน ไม่รู้ว่าพอเจ้าไม่มีท่านลุงแสนประเสริฐแล้ว เจ้าจะยังเหิมเกริมเช่นนี้ได้อีกหรือไม่”
เรื่องที่ครอบครัวเศรษฐีอู๋หายไปอย่างไร้ร่องรอยนี้ อย่าว่าแต่อำเภอชิงเหอ แม้แต่ตัวจังหวัดและในหัวเมืองก็มีคนไม่น้อยที่รู้เรื่องแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอู่เหวินชาง วันที่ข้างบ้านพบว่าคฤหาสน์อู๋ไร้เงาคน เขาก็รู้เรื่องแล้ว ลนลานกลับไปดูด้วยตัวเองทันที พบว่าเป็นดั่งคนแจ้งข่าวบอกจริงๆ คฤหาสน์เศรษฐีอู๋ว่างเปล่า วังเวงเหมือนป่าช้า ราวกับว่าผู้คนสลายหายไปในอากาศ
ผู้ว่าการตำบลที่หลังจากทราบเรื่องก็ตกตะลึง ส่งคนสืบค้นอย่างละเอียด กลับไม่พบร่องรอยการเข่นฆ่า ภายในห้องก็เป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่พบคนในคฤหาสน์อู๋เลย ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่สิ่งมีชีวิตในคฤหาสน์ก็ไม่เหลือ
นี่เป็นข่าวใหญ่ ผู้ว่าการตำบลเขียนรายงานให้คนนำส่งถึงท่านนายอำเภอด่วนที่สุด
เปาชิงเหอส่งคนมาตรวจสอบ สุดท้ายสรุปว่าคนในคฤหาสน์อู๋ต่างอพยพย้ายออกไป ส่วนที่ว่าไปไหน ยังต้องสืบค้นต่อไป
อู่เหวินชางย่อมไม่เชื่อคำชี้แจงนี้ แต่เขาก็หาหลักฐานชี้ชัดไม่ได้ ไม่อาจยื่นเรื่องรายงานได้ ดังนั้นเรื่องนี้จึงต้องจบอย่างคาราคาซัง แต่ค่าใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายในอดีตของเขาล้วนได้มาจากเศรษฐีอู๋ ตอนนี้ไม่มีผู้สนับสนุนหลักนี้แล้ว ด้วยเงินเดือนน้อยนิดนั้น ทำให้การเงินเริ่มจะฝืดเคือง ครั้นมาได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดจาถากถางเช่นนี้ ยิ่งให้โต้ตอบไม่ออก
ผู้ติดตามสองคนของอู่เหวินชางก็รู้ว่าตอนนี้นายท่านของตนเองมีปัญหาการเงินฝืดเคือง ไม่กล้าพูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวแค่นเสียงหึ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเยาะหยัน
อู่เหวินชางถูกเด็กสาวแย้งจนสะอึกพูดไม่ออก ให้รู้สึกอับอายขายหน้า เพลิงโทสะปะทุเดือดปุดๆ ว่ากล่าวด้วยวาจากราดเกรี้ยว “นังตัวดี เจ้าอย่าได้ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ในหัวเมืองนี้เป็นถิ่นของข้า เจ้าเหิมเกริมเช่นนี้ ระวังข้าจะให้คนไล่เจ้าออกไปจากเมือง”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่อ่อนข้อให้ พูดว่า “พวกเราเพียงเข้ามาเที่ยวเล่น มิได้ทำความผิดอันใด ต่อให้ท่านมีอำนาจมากเพียงใด ก็ไล่พวกเราออกไปจากเมืองไม่ได้ อีกทั้งเป็นท่านที่กล่าววาจาเหยียดหยามท่านลุงใหญ่ข้าก่อน กลุ่มคนที่มามุงดูต่างก็เห็นกับตา หากเจ้ากล้าทำเช่นนี้ ดูสิว่าต่อไปเจ้าจะเป็นข้าราชการอย่างไร เกรงว่าแม้แต่ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ต๊อกต๋อย ที่เจ้าได้มาก็คงจะรักษาไว้ไม่ได้”
เดิมทีอู่เหวินชางเพียงต้องการอวดเบ่งบารมี ให้พวกเขาอ่อนน้อมพูดประจบตนเอง หวังกู้หน้าคืนได้บ้าง ไม่คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะกล่าววาจาจี้ใจดำ เพลิงโทสะยิ่งให้ปะทุเดือด สูญสิ้นใจที่สงบนิ่ง ร้องก่นด่า “นังเด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม เจ้าคิดว่าเจ้าพูดเช่นนี้ข้าก็จะไม่กล้าทำอะไรเจ้าใช่หรือไม่? วันนี้ข้าจะไล่พวกเจ้าออกไปจากเมือง พวกเจ้าจะทำอะไรได้?” พูดจบ สั่งการผู้ติดตาม “พวกเจ้าไปจัดการไล่พวกมันออกไปจากเมือง”
ทั้งสองเดินแกว่งไหล่อาดๆ เข้าไป หมายจะขับไล่พวกเขา เหวินเปียวและเหวินหู่ก้าวออกมาข้างหน้า ขวางพวกเขาสองคนไว้
ปกติพวกเขาสองคนก็รู้จักแต่รังแกคนที่อ่อนแอกว่า เห็นพวกเหวินเปียวร่างกายกำยำ เดินเหินหนักแน่น รู้ว่าเป็นคนที่ฝึกวรยุทธ์มา ท่าทีกร่างที่เดินออกมาหดห่อโดยพลัน แสร้งผลักทั้งสองคนเบาๆ
เหวินเปียวและเหวินหู่ยืนนิ่งไม่ขยับ
ทั้งสองหันหน้าสบตากัน ผู้ติดตามหนึ่งคนในนั้นยื่นมือออกไปลองผลักเหวินเปียวเต็มแรง
เหวินเปียวไม่ขยับเขยื้อน และไม่โต้ตอบ
ผู้ติดตามทั้งสองคนเริ่มมีความกล้า ยื่นมือผลักพวกเขาพร้อมกัน ปากร้องคำราม “ไปๆๆ อย่าให้พวกเราต้องลงมือ พวกเจ้าจงรีบไสหัวออกไปแต่โดยดี”
เหวินเปียวและเหวินหู่ยังไม่ได้รับคำสั่งจากเมิ่งเชี่ยนโยว ไม่รู้ว่าควรโต้ตอบหรือไม่ ยังคงยืนนิ่ง
ผู้ติดตามทั้งสองเห็นพวกเขาไม่กล้าโต้ตอบ รู้ว่าพวกเขาพะวักพะวง ยิ่งให้เหิมเกริมหนัก
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว พูดกับเหวินเปียวและเหวินหู่เอื่อยๆ “ปกติข้าสอนสั่งพวกเจ้าเช่นนี้รึ?”
เหวินเปียวและเหวินหู่ได้ฟัง เข้าใจความหายนางทันที แต่ละคนยื่นมือออกไปคนละข้าง คว้ามือที่ผลักตนเองไว้ได้อย่างง่ายดาย ออกแรงเล็กน้อย มือทั้งสองคนก็ถูกพลิกหมุนกลับ
ผู้ติดตามทั้งสองแยกเขี้ยวยิงฟันร้อง “เจ็บๆๆ”
พวกเหวินเปียวไม่สนใจ รอฟังคำสั่งเมิ่งเชี่ยนโยว
อู่เหวินชางเห็นผู้ติดตามทั้งสองถูกกำราบโดยง่าย ให้อับอายขายหน้ากลางท้องถนน ยิ่งให้โมโหโกรธเกรี้ยว แต่ก็ไม่กล้าปะทุออกมาแล้ว เกรงว่าตนเองก็จะเอาตัวเองไม่รอด
เมิ่งเชี่ยนโยวมองอู่เหวินชาง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโอหังจองหอง “ตอนนี้บ้านเมิ่งของพวกเราไม่เหมือนในอดีตแล้ว ไม่ใช่ใครก็จะเหยียดหยามรังแกได้ตามอำเภอใจ หากเจ้ายังจะหาเรื่องพวกเราไม่เลิก ต่อไปข้าจะไม่ใจดีแบบนี้อีก” พูดจบ สั่งการพวกเหวินเปียว “ปล่อยพวกเขา”
พวกเหวินเปียวปล่อยมือตามคำสั่ง
ผู้ติดตามทั้งสองได้รับอิสรภาพ สะบัดมือที่เกือบจะหักของตัวเองไม่หยุด
อู่เหวินชางหน้าดำหน้าแดง นัยน์ตาเต็มไปด้วยแววเคียดแค้น
เมิ่งต้าจินที่ไม่พูดอะไรมาตลอดเอ่ยปากพูดว่า “หลายปีมานี้ ข้าไม่เข้าใจมาตลอด เหตุใดเจ้าถึงเอาแต่หาเรื่องข้า ไม่ว่าที่ไหนเวลาใด ขอเพียงเห็นข้า เจ้าก็จะต้องเหยียดหยาม ข้าถามตัวเองแล้วหาเคยล่วงเกินเจ้าไม่”
อู่เหวินชางเบ้ปาก พูดเยาะหยัน “คนบ้านนอกคอกนาอย่างเจ้าไม่เจียมตัวทำไร่ไถนากับครอบครัว เสนอหน้าเข้ามาเรียนหนังสือในเมือง หนำซ้ำยังเก่งกว่าข้า ข้าก็แค่เห็นเจ้าแล้วรำคาญตา คิดจะสั่งสอนเจ้า ก็แล้วอย่างไร?”
เมิ่งต้าจินที่หาคำอธิบายไม่ได้มานานหลายปี ไม่รู้ว่าตนเองล่วงเกินอู่เหวินชางอย่างไร เขาถึงกลั่นแกล้งตนเองทุกวิถีทาง ตอนนี้ได้ยินเหตุผลที่น่าขบขันนี้ เกิดอาการรับไม่ได้ ยืนตะลึงนิ่งอึ้ง
อู่เหวินชางหัวเราะเยาะเขา “ว่าอย่างไร ถึงกับกระอักเลยสินะ ข้าชอบปฏิกิริยาตะลึงพรึงเพลิดนี้ของเจ้าที่สุด รู้สึกสะใจอย่างบอกไม่ถูก”
เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่หลุบดวงตา นัยน์ตาเต็มไปด้วยความชิงชัง
เมิ่งต้าจินได้สติกลับมา เพลิงโทสะปะทุ ดึงเมิ่งเหรินออกมายืนข้างตนเองด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว พูดว่า “อู่เหวินชาง เจ้าดูให้ดี นี่คือบุตรชายคนโตของข้า เป็นถงเซิงตั้งแต่วัยเยาว์ ข้าพาเขามาเข้าสอบซิ่วไฉ ด้วยความรู้ของเขาในตอนนี้ จะต้องสอบได้อย่างแน่นอน อีกไม่กี่วันข้าจะให้เจ้าได้เห็น ต่อให้เจ้าทำลายข้าได้ บุตรชายจะมาเหยียบย่ำเจ้าแทน”
“เจ้า…?” อู่เหวินชางสะอึกกึกพูดไม่ออกอีกครั้ง
เมิ่งต้าจินไม่สนใจเขา ยืดหลังตรง กล่าวอย่างหยิ่งผยองต่อหน้าอู่เหวินชาง “พวกเราเดินเล่นกันต่อ ชอบอะไรก็ซื้อกลับไป ตอนนี้สกุลเมิ่งของพวกเราที่ไม่ขาดที่สุดก็คือเงินทอง”
ว่าแล้ว ก็ยกเท้าเดินนำหน้าไป
เมิ่งเหรินเดินตามหลังไปติดๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวกลัวจะทิ่มแทงใจอู่เหวินชางไม่พอ เดินตามหลังไปพลาง เจตนาพูดเกินจริง “ของเล่นที่เจ้าเพิ่งซื้อไปเมื่อครู่ รวมทั้งหมดราคาไม่กี่อีแปะ เอาไว้ขากลับพวกเราซื้อกลับไปทั้งหมด ให้น้องๆ มีความสุขกัน”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้ารับ “ดีเลย พวกเราเดินเล่นต่อ ดูว่ายังมีอะไรแปลกใหม่ ตั๋วเงินที่ท่านพ่อท่านแม่ให้มา พวกเรายังใช้ไม่หมดแม้แต่แผ่นเดียวเลย”
คนโดยรอบได้ยินบทสนทนาพวกเขา ต่างอิจฉาตาร้อน ต่างมองพวกเขาเดินไปจนลับตา ถึงแยกย้ายกันไป
อู่เหวินชางโมโหกำพัดในมือแน่นจนเกือบแหลกคามือ กระทั่งคนแยกย้ายไปหมด ถึงยกเท้าเตะผู้ติดตามคนละที พูดอย่างฉุนเฉียว “เศษสวะ กระบวนท่าเดียวก็ถูกกำราบได้ มีพวกเจ้าไปจะมีประโยชน์อะไร?”
ผู้ติดตามทั้งสองคนถูกเตะจนตัวโยน ไม่กล้าปริปาก
อู๋เหวินชางเตะไปพวกเขาไปอีกหลายที กระทั่งพวกเขาล้มพับไปกับพื้น ถึงรู้สึกระบายแค้นไปได้บ้าง ร้องคำราม “พวกเจ้าจงไปสืบมาเดี๋ยวนี้ ดูว่าพวกเขาพักโรงเตี๊ยมไหน หากยังทำเรื่องนี้ไม่สำเร็จ ข้าจะขายพวกเจ้าทิ้งทั้งคู่”
ผู้ติดตามทั้งสองล้มลุกคลุกคลานตามพวกเมิ่งต้าจินออกไป
อู่เหวินชางหรี่หลุบนัยนต์ตา มองตามทางที่พวกเขาจากไปอย่างเ**้ยมเกรียม เปล่งวาจาอำมหิต “เมิ่งต้าจิน ในอดีตข้าขัดขวางเส้นทางเป็นขุนนางของเจ้าได้ ตอนนี้ข้าก็ยังขัดขวางบุตรชายเจ้าได้เช่นกัน ข้าอยากเห็นนักว่า เมื่อหมดสิ้นความหวังนี้แล้ว เจ้ายังจะเหิมเกริมได้อีกหรือไม่!”
แม้เมิ่งต้าจินจะกล่าวเช่นนั้นต่อหน้าอู่เหวินชาง แท้จริงสภาพจิตใจย่ำแย่ เดินไปได้ไม่ไกล ก็ไม่มีอารมณ์เดินเที่ยวต่อ พูดว่า “พวกเจ้าเดินเล่นกันไปเถอะ ข้าจะกลับไปพักที่โรงเตี๊ยมเสียหน่อย”
เมิ่งเหรินเองก็สภาพจิตใจไม่สู้ดี รีบพูดว่า “ข้ากลับไปกับท่านด้วย”
เมิ่งต้าจินมองเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งการเหวินหู่ “เจ้าไปส่งท่านลุงใหญ่และพี่เมิ่งเหรินกลับไป เฝ้าอยู่ที่โรงเตี๊ยมไม่ต้องกลับมาอีก”
เหวินหู่พยักหน้า
เมิ่งต้าจินและเมิ่งเหรินไม่พูดอะไร หันเลี้ยวเดินกลับโรงเตี๊ยม
มองดูทั้งสองคนจากไปไกล เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะหันหลังกลับ ก็เห็นผู้ติดตามอู่เหวินชางสองคนนั้น ทำลับๆ ล่อๆ เดินตามหลังพวกเขาไกลๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว สั่งการเหวินเปียว “เจ้าก็กลับไปด้วย จำไว้ให้ดี หากพวกเขากล้าบุ่มบ่าม ห้ามใจอ่อนเด็ดขาด”
เหวินเปียวไม่ขยับ
เมิ่งเชี่ยนโยวชักสีหน้าเข้ม “เป็นอะไร เจ้าไม่เชื่อฟังคำพูดข้าแล้ว?”
เหวินเปียวกล่าว “แม่นาง ก่อนออกจากบ้านนายท่านและฮูหยินกำชับย้นักย้ำหนา ให้คอยระวังภัยข้างกายท่านไม่ให้คลาดสายตา รับประกันว่าจะต้องไม่เกิดอันตรายใดๆ กับพวกท่าน”
“ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว พวกเราไม่มีใครคิดว่าจะมาเจออู่เหวินชาง ท่านลุงใหญ่และพี่ใหญ่ไม่มีวรยุทธ์ หากเกิดอะไรขึ้น พวกเรากลับไปจะตอบความท่านปู่ท่านย่าอย่างไร เจ้าลอบตามหลังพวกเขากลับไป ดูว่าพวกเขาต้องการจะทำสิ่งใดกันแน่?” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
เหวินเปียวยังคงลังเล ไม่ขยับเขยื้อน
เมิ่งเชี่ยนโยวเน้นหนักน้ำเสียง “ข้าและอี้เซวียนต่างมีวรยุทธ์ ไม่ด้อยไปกว่าเจ้าและเหวินหู่ หากแม้พบเรื่องยุ่งยากก็ยังจัดการได้ เจ้าวางใจกลับไปเฝ้าระวังพวกลุงใหญ่ให้ดีก็พอ”
เหวินเปียวถึงขานรับคำ หันหลังเดินกลับไป
เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูพวกเขาจากไปไกล ถึงหันกลับมา พูดกับเมิ่งอี้เซวียน “ไปเถอะ พวกเราเดินเที่ยวกันต่อ ดูว่าเจ้ายังต้องการซื้อสิ่งใด?”
เมิ่งอี้เซวียนไม่ขยับ
เมิ่งเชี่ยนโยวเลิกคิ้วกังขา
เมิ่งอี้เซวียนเม้มริมฝีปาก “เจ้ามีเรื่องใดปิดบังข้าอยู่ใช่หรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวผงะตกใจเล็กน้อย ถามขึ้น “เหตุใดถึงพูดเช่นนี้?”
“หากเป็นเมื่อก่อน เจ้ากลับไปคุ้มครองพวกลุงใหญ่นานแล้ว ไม่มีอารมณ์พาข้าเดินเล่นหรอก” เมิ่งอี้เซวียนพูด
เมิ่งเชี่ยนโยวเลิกคิ้ว “ดังนั้น เจ้าอยากจะกลับไปด้วย?”
เมิ่งอี้เซวียนส่ายหน้า “ไม่อยาก”
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกมา “ป๊าบ” ตบศีรษะเขาดังฉาด “ไม่อยากกลับไปยังจะพูดเพ้อเจ้อให้มากความทำไม? ท่านลุงใหญ่มีเหวินเปียว เหวินหู่คอยคุ้มครอง ไม่มีทางเกิดเรื่องกับพวกเขา พวกเราอุตส่าได้มาหัวเมือง จะเดินเที่ยวให้หนำใจไม่ได้หรือไร?”
เมิ่งอี้เซวียนถูกตบจนมึน แล้วแย้มยิ้มหวาน พูดด้วยน้ำเสียงเบิกบานน่าฟัง “ได้ ข้าเชื่อเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาใส่เขา ยื่นมือไปคว้ามือข้างหนึ่งของเขามา พูดว่า “คนมาก ต้องระวังให้มาก ถ้าหายไป ข้าไม่ตามหาเจ้านะ”
เมิ่งอี้เซวียนยิ่งให้เบิกบานใจ
ทั้งสองจูงมือกันเดินเที่ยวชม เมิ่งอี้เซวียนเจออะไรที่ชอบก็จะหยุดดู แต่ครั้งนี้ไม่พูดว่าจะซื้อ เพียงหยิบขึ้นมาดูแล้ววางลง
เดินเที่ยวอีกหนึ่งวันเต็มๆ ตอนที่กลับมาโรงเตี๊ยมฟ้าก็มืดสนิทแล้ว
กลับมาถึงชั้นสอง เห็นพวกเหวินเปียวนั่งเฝ้าหน้าประตูห้องเมิ่งต้าจินและเมิ่งเหริน เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสายตาให้เหวินเปียวตามตนเองเข้าไปในห้อง ให้เมิ่งอี้เซวียนปิดประตู แล้วถามขึ้น “เหตุการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”
เหวินเปียวตอบความ “พวกเขาเพียงสะกดรอยตามมาถึงโรงเตี๊ยม ไม่ได้ทำอะไรก็กลับไปขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ดูท่าพวกเขายังไม่ได้คิดให้ดีว่าจะจัดการพวกเราอย่างไร สองวันนี้พวกเราจะไม่ออกไปแล้ว เจ้าและเหวินหู่ตื่นตัวให้มาก หากรู้สึกมีอะไรไม่ชอบมาพากล ให้บอกข้าทันที”
เหวินเปียวขานรับคำแล้วเดินออกไป
อีกสองวันต่อมา ผู้ที่เข้ามาร่วมสอบระดับภูมิภาคในโรงเตี๊ยมค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น คนทั้งหมดเชื่อฟังการเตรียมการของเมิ่งต้าจิน ไม่มีใครออกไปจากโรงเตี๊ยม ต่างเก็บตัวอยู่ในห้องตัวเอง รอวันสอบมาถึง
แต่ที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ ช่วงเวลาสองวันนี้ ข้าราชการทุกหน่วยงานประจำหัวเมือง รวมถึงท่านใต้เท้าคุมสอบ ไม่ว่าจะเป็นศิษย์สำนักไหน ล้วนแต่ได้รับสารหนึ่งฉบับและภาพวาดท่านอ๋องฉีหนึ่งใบส่งมาจากเมืองหลวง แน่นอนว่า เนื้อความในสารแต่ละฉบับให้ความสำคัญแตกต่างกัน วิธีการพูดก็ไม่เหมือนกัน ในสารบอกให้พวกเขาเฝ้าจับตาดูผู้มาเข้าสอบอายุสิบเอ็ดปีจากอำเภอชิงเหอในครั้งนี้ ใบหน้ามีความคล้ายคลึงกับบุคคลในภาพวาด เมื่อพบเห็นแล้วให้รีบส่งม้าเร็วแจ้งข่าวไปที่เมืองหลวงทันที
และภาพวาดนี้ก็บังเอิญถูกบุคคลสองคนเห็นเข้าพอดี คนหนึ่งก็คืออู่เหวินชาง อีกคนกลับเป็นชายที่บากหน้าเข้ามาขออาศัยอยู่กับญาติในหัวเมือง หลิวกุ้ย
ตอนที่ 244-1 หายตัวไปจากสนามสอบ
เดิมตำแหน่งที่เศรษฐีอู๋ซื้อให้อู่เหวินชางเป็นเพียงเจ้าหน้าที่คัดลอกอักษร ต่อมาหลังการติดสินบนให้เจ้านายระดับสูงจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง จึงค่อยๆ ไต่เต้าได้เป็นคนสนิทข้างกายใต้เท้าผู้ตรวจการ ยามปกติจะอยู่รับใช้ข้างกายท่านผู้ตรวจการ วันนี้หลังจากถูกพวกเมิ่งเชี่ยนโยวพูดจาสบประมาท ให้เคียดแค้นเคืองขุ่น เดิมคิดจะหาโอกาสกลั่นแกล้งพวกเขา ให้เมิ่งเหรินเข้าสอบซิ่วไฉไม่ได้ ไม่คิดว่าเพิ่งจะกลับมาที่จวน ท่านผู้ตรวจการก็ให้คนมาตามไปพบ บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะหารือด้วย
อู่เหวินชางไม่กล้ารอช้า กระวีกระวาดเข้ามายังเรือนหลังที่ทำการ
หลังจากท่านผู้ตรวจการโบกมือให้ทุกคนออกไป แล้วกางภาพวาดวางตรงหน้าเขา ให้เขาจดจำบุคคลในภาพนี้ให้ขึ้นใจ
อู่เหวินชางหยิบภาพวาดขึ้นมา มองซ้ายมองขวา รู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหน ขณะที่กำลังขบคิดวิเคราะห์นั้น ท่านผู้ตรวจการก็พูดขึ้นว่า “เหลืออีกสองวันก็จะถึงวันสอบซิ่วไฉแล้ว พรุ่งนี้เจ้าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น พาคนจำนวนหนึ่งออกไปลอบตรวจค้นโรงเตี๊ยมทุกแห่ง ว่ามีผู้สอบที่มาจากอำเภอชิงเหอ ใบหน้าละม้ายคล้ายบุคคลในภาพหรือไม่ จะต้องตรวจค้นอย่างละเอียด สักคนเดียวก็ห้ามให้เล็ดลอดไปได้ เมื่อพบคนผู้นี้ ให้เจ้าส่งคนมารายงานทันที”
อู่เหวินชางถือภาพวาดไว้แน่น พูดว่า “ท่านใต้เท้า ข้าคลับคล้ายว่าจะเคยเห็นบุคคลที่ละม้ายคล้ายภาพวาดนี้ที่ไหน แต่ตอนนี้ยังนึกไม่ออกขอรับ”
ท่านผู้ตรวจการตกใจลุกขึ้น น้ำเสียงเร่งเร้า “เร็วๆ รีบคิด เจ้าเคยเห็นที่ไหน?”
อู่เหวินชางเห็นท่านผู้ตรวจการสนใจเช่นนี้ ลองหยั่งเชิงถาม “ท่านใต้เท้า ผู้เข้าสอบคนนี้เป็นใครหรือขอรับ ท่านถึงให้ความสำคัญเช่นนี้?”
ท่านผู้ตรวจการตวาดเขา “ให้เจ้าคิดก็จงรีบคิด หากเจอคนผู้นี้ได้ ถือว่าเจ้าได้สร้างความชอบครั้งใหญ่ ถึงตอนนั้นข้าจะขอให้เบื้องบนแต่งตั้งตำแหน่งขุนนางให้เจ้า เจ้าจะได้ไม่ต้องตามรับใช้ข้าอีก”
หลายปีมานี้อู่เหวินชางอยากเป็นขุนนางจนแทบคลั่ง ครั้นได้ยินว่าตามหาคนที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายคนในภาพเจอก็จะได้เป็นขุนนาง ดีใจเนื้อเต้น หยิบภาพวาดพินิจดูซ้ำไปซ้ำมา ทบทวนความจำว่าเคยเห็นคนผู้นี้ที่ไหนกันแน่
ในตอนนี้มีบ่าวรายงานจากด้านนอก “ท่านใต้เท้า ท่านข้าหลวงยุติธรรมรออยู่ด้านนอก บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะพบท่านขอรับ”
ท่านผู้ตรวจการส่งสายตาให้อู่เหวินชางเก็บวาดภาพขึ้น นั่งเป็นสง่าอยู่บนเก้าอี้ พูดว่า “ให้เขาเข้ามาได้”
บ่าวรับคำออกไป
อู่เหวินชางถือภาพวาดยืนด้านหลังเขาอย่างนอบน้อม
ไม่นานท่านข้าหลวงยุติธรรมก็รีบร้อนเดินเข้ามา หลังจากน้อมคำนับท่านผู้ตรวจการแล้ว ก็หยิบภาพวาดใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อวางลงบนโต๊ะ ซักถามเสียงเบา “ท่านใต้เท้าก็ได้รับภาพวาดนี้ด้วยใช่หรือไม่?”
ท่านผู้ตรวจการและท่านข้าหลวงยุติธรรมเป็นศิษย์ร่วมเสนาบดีเดียวกัน ปกติก็คอยดูแลซึ่งกันและกัน เห็นเขาหยิบภาพวาดเหมือนกับที่ตัวเองมีออกมา พยักหน้าพลัน “ถูกต้อง ข้าเองก็ได้รับภาพวาดเช่นนี้มา ในนั้นเขียนว่าหากพวกเราหาคนเจอ ให้แจ้งข่าวไปที่เมืองหลวง”
ท่านข้าหลวงยุติธรรมมองอู่เหวินชางแวบหนึ่ง
ท่านผู้ตรวจการพูดว่า “ไม่ต้องเป็นกังวล เขาเป็นคนสนิทข้า ท่านมีอะไรก็พูดมาเถอะ”
ท่านข้าหลวงยุติธรรมชะโงกหน้าเข้าหาท่านผู้ตรวจการ กดเสียงลงต่ำ “ท่านใต้เท้า ข้าพบคนผู้นี้แล้ว!”
ท่านผู้ตรวจการถลึงตัวลุกพรวด จนเก้าอี้เกือบจะพลิกคว่ำ ร้องถามเสียงหลง “คนอยู่ที่ไหน? ท่านหาเขาพบได้อย่างไร?”
ท่านข้าหลวงยุติธรรมไม่คิดว่าท่านผู้ตรวจการจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ ตกใจตัวโยน ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ถึงพูดว่า “ข้ามีญาติคนหนึ่งมาจากตำบลชิงซี เข้ามาทำงานปัดกวาดเช็ดถูภายในเรือน วันนี้หลังจากข้าได้รับภาพวาด วางไว้บนโต๊ะในห้องหนังสือ ตอนที่เขาเข้ามาเก็บกวาดเห็นเข้า ในตอนนั้นเขาถึงกับตื่นตะลึง บอกว่าหมู่บ้านของพวกเขามีเด็กที่ถูกเก็บมามีหน้าตาละม้ายคล้ายคนในภาพวาดหลายส่วน ข้าได้ฟังก็ตกใจ ซักถามเขาอย่างละเอียด รู้สึกว่าที่เขาพูดเหมือนกับคนที่เบื้องบนให้พวกเราตามหา จึงรีบพาเขาเข้ามาพบท่าน ตอนนี้รออยู่ในลานเรือนแล้วขอรับ”
“รีบให้เขาเข้ามา ข้าจะถามเขาด้วยตัวเอง” ท่านผู้ตรวจการเร่งเร้าพูด
ท่านข้าหลวงยุติธรรมขานรับคำ เปิดประตู ตะโกนออกไปด้านนอก “หลิวกุ้ย เข้ามาได้ ท่านผู้ตรวจการมีเรื่องจะถามเจ้า”
หลิวกุ้ยที่รออยู่ในลานเรือนเดินตัวสั่นเข้ามา คุกเข่าลงเสียงดัง“พลั่ก” “ผู้น้อยหลิวกุ้ยคำนับท่านผู้ตรวจการขอรับ”
ท่านผู้ตรวจการไม่ให้เขาลุกขึ้น ถามเขาทันที “ที่เจ้าพูดมาเป็นความจริง? เจ้าเคยเห็นเด็กที่มีหน้าตาละม้ายกับคนในภาพวาดนี้จริงๆ”
หลิวกุ้ยที่คุกเข่าบนพื้น ตอบด้วยความสั่นกลัว “เรียนท่านใต้เท้า ผู้น้อยพูดล้วนเป็นความจริง ข้าเห็นเด็กคนนี้มาตั้งแต่เยาว์วัย ไม่มีทางผิดแน่นอน”
ท่านผู้ตรวจการเกรงจะเป็นความผิดพลาด ซักถามอย่างละเอียด “เช่นนั้นเจ้าจงบอกข้ามาอย่างละเอียด เจ้าเป็นคนที่ไหน เหตุใดเด็กคนนี้ถึงไปอยู่ที่นั่นได้?”
หลิวกุ้ยยืดตัวตรงพูดว่า “เรียนท่านใต้เท้า ข้าเป็นคนหมู่บ้านหวงตำบลชิงซี สิบปีก่อน ตอนที่เมิ่งเอ้ออิ๋นของหมู่บ้านพวกเราขึ้นไปหาสมุนไพรบนเขามาช่วยชีวิตบุตรสาว เก็บทารกเพศชายคนหนึ่งมาได้จากที่หลบซ่อนหนึ่งบนเขา ระหว่างนั้นสกุลเมิ่งเลี้ยงดูไม่ไหว ส่งเขาให้คนอื่นครั้งหนึ่ง ต่อมาผิดคำพูด ทำทุกวิถีทางเอาตัวเขากลับมา เด็กคนนี้ก็มีความมุมานะ ปีที่แล้วสอบได้เป็นถงเซิง กลายเป็นถงเซิงที่อายุน้อยที่สุดในรอบหลายปีของอำเภอชิงเหอ หากข้าเดาไม่ผิด ปีนี้เขาจะต้องมาเข้าสอบซิ่วไฉ”
สิ้นเสียงเขา อู่เหวินชางเกิดแสงสว่างวาบในสมอง เอ่ยปากถามทันที “สกุลเมิ่งที่เจ้าพูดถึงเกี่ยวข้องอะไรกับเมิ่งต้าจิน?”
หลิวกุ้ยตอบความ “พวกเขาเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน เมิ่งเหรินบุตรชายคนโตของเมิ่งต้าจินปีนี้ก็น่าจะเข้ามาสอบซิ่วไฉด้วยเช่นกัน”
อู่เหวินชางตกใจร้องอุทาน “ข้าคิดออกแล้วว่าเจอคนที่หน้าเหมือนกับคนในภาพวาดนี้ที่ไหน!”
ท่านผู้ตรวจการและท่านข้าหลวงยุติธรรมเค้นถามพร้อมกัน “ที่ไหน?”
“วันนี้ตอนเช้า ที่ถนนตะวันออก เมิ่งต้าจินพาพวกเขาออกมาเดินเที่ยว ข้าเห็นเข้าพอดี ในตอนนั้นข้าเอาแต่คุยทักทายกับเมิ่งต้าจิน ส่วนคนอื่นๆ เพียงแค่มองผ่านตา มิได้เก็บมาใส่ใจ ดังนั้นตอนที่เห็นภาพวาด แม้จะรู้สึกคุ้นตา กลับนึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน” อู่เหวินชางตอบ
ท่านผู้ตรวจการและท่านข้าหลวงยุติธรรมหันหน้าสบตากัน สั่งการอู่เหวินชาง “รีบไปสืบว่าพวกเขาพักอยู่โรงเตี๊ยมไหน หาวิธีพบเด็กคนนั้นแล้วเปรียบเทียบอย่างละเอียด หากมีความละม้ายคล้ายกันจริงๆ รีบกลับมารายงานข้าทันที”
อู่เหวินชางลนลานพูด “ท่านใต้เท้า ข้าส่งคนไปสืบมาแล้ว พวกเขาพักที่โรงเตี๊ยมอวิ๋นไหลใกล้สนามสอบขอรับ”
ท่านผู้ตรวจการโบกมือ “พาคนไปเพิ่ม รีบไปตรวจสอบเดี๋ยวนี้”
อู่เหวินชางรับคำ จากนั้นหยิบภาพวาดกระวีกระวาดออกไป
ท่านผู้ตรวจการมองหลิวกุ้ยแวบหนึ่ง กล่าวอย่างน่ายำเกรง “เจ้าก็ออกไปเถอะ จำไว้ให้ดี! ห้ามพูดเรื่องเด็กคนนี้กับใครเด็ดขาด ไม่เช่นนั้น แม้แต่ท่านข้าหลวงยุติธรรมก็รักษาชีวิตเจ้าไว้ไม่ได้”
หลิวกุ้ยตกใจตัวสั่น ก้มหน้าลุกขึ้น ก้าวถอยหลังออกไป
กระทั่งเขาออกไปแล้ว ท่านผู้ตรวจการถึงนั่งบนเก้าอี้ ส่งสายตาให้ท่านข้าหลวงยุติธรรมก็นั่งลง แล้วพูดว่า “ไม่ทราบว่าเด็กคนนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร ท่านเสนาบดีถึงต้องเข้ามาข้องเกี่ยวด้วยตัวเอง ทั้งออกคำสั่งหลังจากพบเขาแล้ว ให้รีบส่งข่าวไปที่เมืองหลวงทันที”
ท่านข้าหลวงยุติธรรมก็ส่ายหน้า “ในสารไม่ได้บอกอะไร ข้าก็ไม่กล้าคาดเดาไปเอง ทว่า ถึงกับทำให้ท่านเสนาบดีสั่งการให้หาคนได้ เด็กคนนี้จะต้องมีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา”
ท่านผู้ตรวจการกล่าวว่า “ไม่ว่าเขาจะมีประวัติอย่างไร หลังจากที่พวกเราแน่ชัดแล้วว่าเป็นเด็กคนนี้ จักต้องรีบส่งข่าวไปที่เมืองหลวงโดยเร็วที่สุด ให้พวกเขาส่งคนมารับไป เรื่องต่อจากนั้นมอบให้ท่านเสนาบดีไปจัดการ”
ท่านข้าหลวงยุติธรรมพยักหน้าเห็นพ้อง
หลังจากที่อู่เหวินชางได้รับคำสั่งจากท่านผู้ตรวจการ ก็พาเจ้าหน้าที่หลายนายมุ่งหน้ามาโรงเตี๊ยมอวิ๋นไหล
หลงจู๊เห็นเจ้าหน้าที่เดินหน้าตาขึงขังเข้ามา ตกใจรีบออกมาจากหลังโต๊ะคิดเงิน สั่นผวาถาม “ท่านเจ้าหน้าที่ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรขอรับ?”
อู่เหวินชางตวาดถาม “หลงจู๊ มีผู้เข้าสอบหลายคนที่มาจากตำบลชิงซีพักอยู่ห้องไหน?”
“เรียนท่านเจ้าหน้าที่ โรงเตี๊ยมของพวกเรามิได้มีการจดบันทึกภูมิลำเนาของบัณฑิต ท่านกำลังพูดถึงใครข้าไม่ทราบจริงๆ ขอรับ” หลงจู๊ตอบกลับตัวสั่นผวา
อู่เหวินชางแค่นเสียงหึ โบกมือให้เจ้าหน้าที่ “ไปสอบถามทุกห้อง ดูว่าพวกเขาพักอยู่ห้องไหน”
เจ้าหน้าที่รับคำ กำลังจะแยกย้ายไป
หลงจู๊เข้ามาขวางพวกเขา “ท่านเจ้าหน้าที่ โรงเตี๊ยมของพวกเรามีแต่บัณฑิตที่มาร่วมสอบเข้าพัก ท่านไปรบกวนพวกเขาเช่นนี้เกรงว่าจะไม่เป็นการดีกระมังขอรับ?”
การที่สามารถเข้าสอบซิ่วไฉได้ล้วนต้องเป็นบัณฑิตหัวกระทิของแต่ละท้องที่ เมื่อสอบซิ่วไฉได้ก็จะมีคุณสมบัติได้เข้าร่วมการสอบขุนนาง ภายหน้าไม่แน่ว่าจะมีท่านไหนได้สลักชื่อบนป้ายทองคำ ดังนั้นเจ้าหน้าที่ทางการทั่วไปจะไม่กล้าล่วงเกินเหล่าบัณฑิตนี้โดยพลการ เหล่าเจ้าหน้าที่ได้ฟังเช่นนั้น หยุดชะงักฝีเท้า หันมามองอู่เหวินชาง
อู่เหวินชางก็ย่อมรู้ผลได้ผลเสียที่แฝงอยู่ ได้ฟังคำพูดของหลงจู๊ ให้ระงับความหุนหันพลันแล่นในใจลง โบกมือบอกเจ้าหน้าที่อย่าเพิ่งดำเนินการ แล้วเปลี่ยนน้ำเสียงหันมาพูดกับหลงจู๊ “ข้าเองก็มาจากตำบลชิงซี เมื่อวานตอนเช้าพบเพื่อนร่วมห้องสมัยเรียนพาบุตรชายเข้ามาสอบซิ่วไฉบนถนนตะวันออก ในตอนนั้นข้ามีงานราชการ ได้คุยกันเพียงไม่กี่คำ วันนี้ตั้งใจจะเข้ามาไต่ถามสารทุกข์สุขดิบกับเขา”
หลงจู๊ได้ฟัง ก็รู้ทันทีว่าเขาพูดถึงพวกเมิ่งเชี่ยนโยว หากเป็นในอดีต คงบอกเขาไปแล้ว แต่เมื่อครู่เห็นเขาพาเจ้าหน้าที่เดินวางอำนาจขึงขังเข้ามา ไม่เหมือนจะเข้ามาไต่ถามทุกข์สุข โรงเตี๊ยมของตนเองก็มีแต่บัณฑิต หากพวกเขาไม่ได้มาดี กระทำเรื่องเป็นภัยต่อบัณฑิต ภายหน้าโรงเตี๊ยมของตนเองก็จะไม่มีบัณฑิตเข้ามาพักอีก คิดถึงตรงนี้ หลงจู๊ทำหน้ารู้สึกผิด “นายท่านทั้งหลาย ต้องขออภัยแล้ว ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าบัณฑิตคนไหนมาจากตำบลชิงซี หากท่านต้องการไต่ถามทุกข์สุข ไม่เช่นนั้นรอพวกบัณฑิตสอบเสร็จค่อยมาซักถามอีกครั้ง”
หลงจู๊แสดงชัดเจนว่าไม่ต้องการบอกเขา อู่เหวินชางให้เคืองขุ่นใจ แต่ก็ไม่กล้าใช้อำนาจเกินกว่าเหตุ หากล่วงเกินเหล่าบัณฑิตเข้า จนพวกเขารวมรายชื่อร้องเรียน อย่าว่าแต่ตนเองเลย แม้แต่ท่านผู้ตรวจการก็อาจจะโดนหางเลขไปด้วย ทว่ายังไม่ยอมแพ้ ยืนนิ่งไม่ขยับไปไหน
หลงจู๊แสดงท่าทีอ่อนน้อม น้ำเสียงกลับแข็งกร้าว “นายท่านทั้งหลาย หากพวกท่านไม่มีธุระอะไรแล้วก็เชิญกลับไปเถอะ โรงเตี๊ยมของข้ามีแต่บัณฑิต ทำพวกเขาตกใจจะแย่เอาได้ หากท่านร้อนใจอยากจะไต่ถามทุกข์สุข เมื่อมีบัณฑิตออกมาจากห้อง ข้าจะช่วยถามให้ท่านเอง”
อู่เหวินชางไฉนเลยจะยอมเลิกรา นอกจากหาตัวผู้เข้าสอบที่มีใบหน้าละม้ายกับภาพวาดแล้ว เขายังคิดจะใช้โอกาสนี้กลั่นแกล้งเมิ่งต้าจินอีกครั้ง กลิ้งกลอกนัยน์ตา แล้วคิดแผนหนึ่งได้ “หลงจู๊ อีกหนึ่งวันก็จะถึงวันสอบแล้ว เพื่อคุ้มกันความปลอดภัยของเหล่าบัณฑิต ป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน ข้าและเจ้าหน้าที่ทั้งหมดนี้จะอยู่ที่โรงเตี๊ยมของพวกท่านไม่ไปไหนแล้ว”
เป็นเหตุผลที่ดูผิวเผินมีความสมเหตุสมผล ต่อให้หลงจู๊ไม่ยินยอมเพียงใดก็ไม่อาจคัดค้านได้ จำต้องประสานมือพูดว่า “เช่นนั้นก็ขอบคุณนายท่านทั้งหลายแล้ว ทว่า เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนเหล่าบัณฑิต เชิญพวกท่านไปเฝ้าที่ด้านนอกเถอะขอรับ”
อู่เหวินชางรับคำ “แน่นอนอยู่แล้ว พวกเราจะไปด้านนอกเดี๋ยวนี้” พูดจบ ยกมือขึ้น เจ้าหน้าที่ทั้งหมดก็เดินออกไป มีแต่เขาที่ยังยืนอยู่ในโรงเตี๊ยม
หลงจู๊ขมวดคิ้วมุ่น กลับไม่พูดอะไรอีก และไม่สนใจเขา กลับเข้าไปในโต๊ะคิดเงิน ก้มหน้าดีดลูกคิด แสร้งทำท่าทางคิดบัญชี
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น