ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 238-241

 ตอนที่ 238 หลิ่วหมิงคนที่สอง

โดย

Ink Stone_Fantasy

กาลเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ผ่านไปสามปีแล้ว


เสวียนจิงในตอนนี้ไม่แตกต่างจากสามปีก่อนมากนัก ถ้าจะบอกว่ามีการเปลี่ยนแปลง ก็มีเพียงหนึ่งเดียวก็คือ ขณะนี้ มีผู้ฝึกฝนจากแคว้นไห่เยวี่ยมาปรากฏตัวในเสวียนจิงไม่ใช่น้อย หนึ่งในนั้นส่วนมากเป็นผู้ฝึกฝนอิสระ แต่ก็มีส่วนน้อยที่เป็นศิษย์นิกายในแคว้นไห่เยวี่ย


นิกายใหญ่ๆ ในแคว้นไห่เยวี่ย และแคว้นอื่นๆ ต่างก็ถูกเผ่าเจ้าสมุทรโจมตีจนย่อยยับและล่มสลายจนหมดสิ้น


ศิษย์นิกายที่หลุดรอดหนีมาแคว้นต้าเสวียนเหล่านี้ ส่วนมากเข้าร่วมนิกายจันทราสวรรค์และนิกายใหญ่ทั้งห้าเป็นต้น บางส่วนก็ไม่อยากถูกควบคุมอีก จึงกลายเป็นผู้ฝึกฝนอิสระที่แท้จริง


การปรากฏตัวของผู้ฝึกฝนแคว้นอื่น มันช่วยชดเชยผู้ฝึกฝนอิสระที่หนีไปจากเสวียนจิงเกือบหมดได้พอดี หลังจากการต่อสู้อย่างดุเดือดรุนแรง ก็มีกลุ่มอิทธิพลเกิดใหม่สองสามกลุ่ม ดูเหมือนว่าจะแข็งแกร่งกว่ากลุ่มอิทธิพลเมื่อสามปีก่อนเล็กน้อย


แต่ว่าทั้งหมดนี้ย่อมไม่ค่อยมีส่วนเกี่ยวข้องกับหลิ่วหมิงมากนัก


ในระหว่างสามปีที่เขาอยู่ที่นี่ ศิษย์นิกายทั้งห้าจำนวนมาก ต่างก็ตั้งมั่นอยู่ที่ชายแดนระหว่างแคว้นไห่เยวี่ย ไม่นานก็ได้ปะทะกับเผ่าเจ้าสมุทรที่รุกรานเข้ามา


ตามข่าวที่หลิ่วหมิงได้รับจากทางนิกาย กับข่าวกรองที่ตนเองรวบรวมมาส่วนหนึ่ง ตอนนั้นแม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะมีผู้ฝึกฝนระดับผลึกออกโรงกันหลายคน แต่นอกจากศึกการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่สั่นสะเทือนไปทั่วฟ้าและปฐพีในตอนแรกแล้ว ผู้ฝึกฝนระดับผลึกเหล่านั้นก็ไม่ได้มีการต่อสู้กันโดยตรงแต่อย่างใด


แต่ความเข้าใจโดยนัยก็คือ อาจารย์จิตวิญญาณกับศิษย์จิตวิญญาณทั้งสองฝ่ายต่างก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือด และถี่มากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งอาจารย์จิตวิญญาณทั้งสองฝ่ายเสียชีวิตรวมๆ กันยี่สิบถึงสามสิบกว่าคนแล้ว


ส่วนศิษย์จิตวิญญาณที่มีการฝึกฝนระดับต่ำกว่ายิ่งไม่ต้องพูดถึง


ที่ทำให้หลิ่วหมิงแปลกใจเล็กน้อยก็คือ หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายเปิดศึกได้ไม่นาน ต่างฝ่ายต่างก็สร้างเมืองใหญ่ที่ชายแดนขึ้นมาแห่งหนึ่ง ราวกับว่ากะจะทำศึกกันยาวๆ


และในสามปีนี้ นิกายปีศาจก็มีอาจารย์จิตวิญญาณเสียชีวิตเจ็ดแปดคน และศิษย์จิตวิญญาณอีกเป็นจำนวนมาก แม้กระทั่งบางคนก็เป็นคนที่หลิ่วหมิงรู้จัก


ดีว่าเขาเก้าทารกมีอิทธิพลค่อนข้างอ่อนแอ จึงมีคนเสียชีวิตน้อยมาก นักพรตแซ่จงกับอาจารย์จิตวิญญาณอีกสองท่านก็ปลอดภัยดี พวกเขาตั้งมั่นอยู่ในนิกายไม่ได้ไปปรากฏตัวที่ชายแดน


เดิมทีสถานะศิษย์แกนนำอย่างหลิ่วหมิง ต่างก็ต้องถูกสั่งให้ไปร่วมศึกในครั้งนี้ แต่เสียดายที่มีเผ่าเจ้าสมุทรปรากฏตัวในเสวียนจิงก่อน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องให้ศิษย์ที่ความสามารถคอยตรวจตราและควบคุมอยู่ในเสวียนจิง ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ถูกเรียกตัวกลับนิกายเลยซักครั้ง


แน่นอนว่าภายในสามปีนี้ก็มีเรื่องที่ทำให้หลิ่วหมิงกลัดกลุ้มเล็กน้อย


นั่นก็คือ ในสองปีก่อนเกาชงก้าวสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณอย่างราบรื่น ทั้งยังไปต่อสู้กับเผ่าเจ้าสมุทรที่ชายแดนด้วยฝีมืออันโดดเด่น


ได้ยินว่า เขาเคยสังหารอาจารย์จิตวิญญาณระดับต้นของเผ่าเจ้าสมุทรด้วยตัวคนเดียว และศิษย์จิตวิญญาณของเผ่าเจ้าสมุทรที่ตายในเงื้อมมือเขาก็มีไม่น้อย


ดูเหมือนว่าพอเกาชงผู้นี้กลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว พลังของเขาไม่ใช่สิ่งที่อาจารย์จิตวิญญาณระดับต้นทั่วไปจะสามารถเทียบได้ มิเช่นนั้นคงไม่สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน


แต่เรื่องแบบนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องดีสำหรับหลิ่วหมิง


ระยะเวลาสามปีที่อยู่ที่นี่ หลิ่วหมิงยกระดับความบริสุทธิ์ของพลังเวทย์กับบ่มเพาะจิตวิญญาณกระบี่ตัวอ่อนในจุดตันเถียนอยู่ตลอด และยังไปเรียนวิชาปรุงโอสถกับฝานไป๋จื่อด้วย


สองสิ่งแรกพัฒนาไปแบบธรรมดามาก พลังเวทย์ของเขาบริสุทธิ์กว่าก่อนหน้านั้นเพียงเล็กน้อย และจิตวิญญาณกระบี่ตัวอ่อนก็เติบใหญ่ขึ้นเล็กน้อย แต่การปรุงโอสถของเขากลับทำให้ฝานไป๋จื่อรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก


ไม่รู้ว่าเขามีพรสวรรค์ทางด้านการปรุงโอสถ หรือว่าเป็นเพราะเหตุผลอื่นใด เขาใช้เวลาเรียนสั้นๆ แค่สามปี ไม่คิดว่าจะเรียนวิชาปรุงโอสถสำเร็จในเบื้องต้นแล้ว ตอนนี้เขาสามารถปรุงโอสถระดับศิษย์จิตวิญญาณด้วยตนเองได้หลายชนิด และโอกาสในการปรุงสำเร็จก็ไม่ค่อยต่ำมาก


แม้ว่าพรสวรรค์การปรุงโอสถของเขาจะทำให้ฝานไป๋จื่อต้องร้องออกมาด้วยความแปลกใจ แต่เมื่อเวลาสามปีผ่านไป ฝานไป๋จื่อก็ไม่ลังเลที่จะบอกเขาไม่ต้องไปหาอีก


หลิ่วหมิงในตอนนี้ ได้เข้าสู่ประตูการปรุงโอสถแล้ว ถ้าอยากยกระดับวิชาการปรุงโอสถต่อล่ะก็ ต้องฝึกฝนในเส้นทางสายนี้ให้มากๆ


เพราะประสบการณ์การปรุงโอสถระดับกลางถึงสูง ฝานไป๋จื่อไม่ถ่ายทอดให้คนนอกอย่างเขาแน่นอน


วันนี้ ขณะที่หลิ่วหมิงเดินออกจากตรอกตรงร้านขายโรงศพในเมืองเสวียนจิงอีกครั้ง สีหน้าเขาก็อึมครึมเป็นอย่างมาก


แม้ว่าข่าวที่นิกายส่งมาจะเป็นข่าวธรรมดา ซึ่งเป็นเรื่องกระจอกงอกง่อยเท่านั้น แต่หลิ่วหมิงยังคงรู้สึกว่าการปะทะระหว่างแต่ละนิกายกับเผ่าเจ้าสมุทรดูเหมือนจะไม่ค่อยราบรื่นมากนัก คงจะตกเป็นเบี้ยล่างแล้ว


นี่เป็นเพราะว่า เผ่าเจ้าสมุทรแบ่งกำลังออกไปหลายที่ ขณะเดียวกันได้รับชัยชนะมาพร้อมกัน


ที่เห็นในตอนนี้ เผ่าเจ้าสมุทรแข็งแกร่งกว่ามาก


แน่นอน หนึ่งในนั้นเป็นเพราะเผ่าเจ้าสมุทรเริ่มส่งคนมาเป็นไส้ศึกในแต่ละแคว้นมาหลายสิบปีแล้ว และวางกับดักจำนวนมากเพื่อให้มนุษย์อ่อนกำลังลง และเริ่มลงมือก่อนทำการบุกรุกล่วงล้ำดินแดน


แต่สำหรับหลิ่วหมิงแล้ว ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ไกลสำหรับเขาไปหน่อย


ตอนนี้เขากลับถึงห้องลับภายในถ้ำ พอนั่งลงไปเพื่อจะเตรียมฝึกฝนต่อนั้น พลันรู้สึกถึงพลังเวทย์ในร่างปะทุขึ้นมา จากนั้นก็พุ่งไปยังจุดตันเถียนอย่างบ้าคลั่ง


“เริ่มแล้ว!”


ตอนแรกหลิ่วหมิงก็รู้สึกตกตะลึง แต่ก็เผยสีหน้าดีใจออกมาในทันที


เขาตบถุงหนังบนเอวทั้งสองใบ ทันใดนั้นไอสีดำสองกลุ่มพุ่งออกมาหลายเป็นแมงป่องกระดูกขาวกับหัวบินตนนั้น


“ขวับ!” “ขวับ!”


หลิ่วหมิงคว้าหางตะขอของแมงป่องกระดูกขาวอย่างไม่เกรงใจ มืออีกข้างก็คว้าผมของหัวบินไว้แน่น จากนั้นไอสีดำก็พวยพุ่งออกจากร่าง เขาพยายามควบคุมความเร็วของพลังเวทย์ภายในร่าง


เวลาค่อยๆ ผ่านไป ไอดำบนร่างเขาก็เบาบางลงเรื่อยๆ


เมื่อหลิ่วหมิงรู้สึกว่าพลังเวทย์ในร่างเหลือแค่หนึ่งในสิบส่วนเท่านั้น แรงดึงดูดในจุดตันเถียนถึงได้หยุดลงในทันที


ในขณะเดียวกัน หูของเขาก็ได้ยินเสียงดัง “หวึ่ง!” หลังจากดวงตาดำมืดลง เขาก็มาปรากฏตัวในห้องมืดครึ้ม


หลังจากผ่านมานานหลายปี ในที่สุดเขาก็เข้ามาในห้องว่างเปล่าลึกลับอีกครั้ง หัวบินกับแมงป่องกระดูกขาวก็ตามติดอยู่ข้างกายเขา


แต่พอหลิ่วหมิงเห็นทุกสิ่งตรงหน้าอย่างชัดเจน สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก


ห้องที่ควรจะว่างเปล่า กลับมีเงาคนผู้หนึ่งนั่งอยู่บนพื้น ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า การแต่งตัว หรือว่าใบหน้า ล้วนเหมือนกับเขาไม่มีผิด


หลิ่วหมิงตะลึงงันอย่างสุดขีด


ขณะนั้นเอง หัวบินพลันลอยออกไปจากข้างกายเขาไปอยู่ต่อหน้า ‘หลิ่วหมิง’ ที่อยู่ตรงหน้า และก้มหน้าซบลงไปกับพื้นไม่ขยับเขยื้อน


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ใจเต้น “ตึกตัก!” ขึ้นมา แม้ว่าจะตื่นตระหนกตกใจ แต่ก็รีบทำท่ามือเพื่อสื่อสารกับจิตของหัวบินในทันที


ผลลัพธ์ก็คือ ทางด้านหัวบินได้แต่ส่งคำพูดมาว่า “นายท่าน นายท่านที่แข็งแกร่งอีกคน”


สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงยิ่งจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ในใจก็พอจะรู้ลางๆ ว่า ที่หัวบินถูกเขาสยบได้อย่างง่ายดายในตอนแรกนั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับ ‘ตัวเอง’ ที่อยู่ตรงหน้าแปดถึงเก้าส่วน


เมื่อเขาคิดได้เช่นนี้ ก็ไม่กล้าเมินเฉยอีกต่อไป แต่พอสังเกตดู ‘หลิ่วหมิง’ ตรงหน้าอย่างละเอียดไม่กี่ที สีหน้าเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป


ดูเหมือนว่า ‘ตนเอง’ ที่อยู่ตรงหน้ายังคงไม่มีการเคลื่อนไหวมาโดยตลอด บนร่างของเขาไม่มีลมหายใจใดๆ เล็ดลอดออกมา หรือจะเป็นแค่สิ่งที่ไร้ชีวิตเท่านั้น?


หลิ่วหมิงที่เกิดความสงสัย เขาไม่สนใจหัวบินอีกต่อไป แต่กลับค่อยๆ เดินวน ‘หลิ่วหมิง’ ตรงหน้าสองสามรอบ จากนั้นก็แตะนิ้วไปยังหน้าผากตนเอง และส่งพลังจิตไปตรวจสอบร่างของฝ่ายตรงข้าม


พอพลังจิตเขาสัมผัสโดน ‘หลิ่วหมิง’ ตรงหน้า ก็ถูกพลังไร้รูปบางอย่างผลักกระเด็นออกมา ไม่ว่าเขาจะกระตุ้นแค่ไหนก็ไม่อาจเข้าใกล้ร่างตรงหน้าได้เลยแม้แต่น้อย


สิ่งนี้ทำให้ใจหลิ่วหมิงร่วงหล่นลงไป


แต่หลังจากที่เขาลังเลเล็กน้อยแล้ว ก็กุมมือคารวะ ‘หลิ่วหมิง’ ตรงหน้า และกล่าวออกมา


“ไม่ทราบผู้อาวุโสมีนามว่าเยี่ยงไร? ทำไมถึงปลอมเป็นข้าน้อยแล้วมาอยู่ที่นี่”


‘หลิ่วหมิง’ ตรงหน้ายังคงหลับตาสนิท นั่งนิ่งอยู่ที่เดิม


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา หลังจากยืดตัวตรงแล้ว ก็สังเกตดูฝ่ายตรงข้ามอย่างถี่ถ้วน


รอยแผลจางๆ ยาวชุ่นกว่าๆ ตรงหน้าผาก คือแผลที่เขาถูกคนโหดเหี้ยมบางคน ใช้หินแหลมคมกรีดตอนอยู่บนเกาะมฤตยู มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย นี่คือความเคยชินในขณะที่เขาทำการครุ่นคิดในขณะพักผ่อน


รอยเลือดจางๆ ตรงนิ้วโป้งข้างหนึ่ง เกิดจากการที่เมื่อวานเขาฝึกวิชาคมวายุด้วยเทคนิคใหม่ และไม่ทันระวังจึงโดนตัวเองเข้า


หลิ่วหมิงยิ่งดูละเอียด ก็ยิ่งรู้สึกว่าฝ่ายตรงข้ามคือ ‘ตนเอง’ คนที่สอง และเขาก็รู้สึกเย็นวาบในใจ


“ในเมื่อท่านไม่ยอมพูด ข้าคงต้องล่วงเกินแล้ว” หลิ่วหมิงกัดฟันกล่าว


จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อ แสงสีเงินเปล่งประกายออกมา โซ่สีเงินหวดไปยังฝั่งตรงข้าม


หลังจากมีเสียงเต๊งตั๊งดังขึ้น โซ่เงินก็สามารถรัดพัน ‘หลิ่วหมิง’ ตรงหน้าได้อย่างราบรื่น และแน่นหนา ซึ่งไม่เห็นเขามีท่าทีขัดขืนเลยแม้แต่น้อย


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็มีสีหน้าโล่งใจขึ้นมา จากนั้นเขาพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมาทันที ยันต์ปึกหนึ่งปรากฏออกมา เขายกแขนทั้งสองขึ้นแล้วพุ่งยิงมันออกไปทั้งหมด จากนั้นมันก็ค่อยๆ ไปแปะอยู่บนตัว ‘หลิ่วหมิง’


ด้วยเหตุนี้ เมื่อหลิ่วหมิงเห็น ‘ตนเอง’ ตรงหน้าถูกโซ่สยบปีศาจกับยันต์จำนวนมากกักขังไว้ เขาถึงได้วางใจแล้วเดินเข้าใกล้


เขาเดินวน ‘ตนเอง’ อยู่สองรอบ แล้วถึงยกแขนขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และลูบไปยังไหล่ของฝ่ายตรงข้ามอย่างระมัดระวัง


ในระหว่างนั้น หลิ่วหมิงจ้องมอง ‘ตนเอง’ ตรงหน้าอยู่ไม่ปล่อย แต่ก็ไม่เห็นเขาลืมตาขึ้นมาเลย


ผลลัพธ์คือ ‘หลิ่วหมิง’ คนนี้ยังคงนั่งอยู่บนพื้นไม่ขยับเขยื้อน และเมื่อฝ่ามือเขาวางลงบนไหล่ของฝ่ายตรงข้าม เขาก็ต้องสะดุ้งโหยงในทันที พลังเย็นประหลาดบางอย่างพุ่งออกจากไหล่ของฝ่ายตรงข้าม และพุ่งเข้าไปในแขนเขา


หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจจนขยับออกไปไกลหลายจั้ง หลังจากนั้นก็จ้องมองฝ่ายตรงข้ามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


ผลลัพธ์คือ ‘หลิ่วหมิง’ ตรงหน้าไม่มีความผิดปกติใดๆ เลย ราวกับว่าพลังเย็นประหลาดเมื่อครู่ เป็นแค่สิ่งที่เขามโนขึ้นมาเท่านั้น


แต่พอหลิ่วหมิงปราดสายตามองดูแขนข้างที่ไปสัมผัสหัวไหล่ฝ่ายตรงข้ามในเมื่อครู่ เขาก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปมา


แขนข้างนั้นไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ และถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง


หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือเดียว ทันใดนั้นไอสีดำก็พวยพุ่งออกจากร่าง ขณะเดียวกันมันก็พุ่งไปยังแขนที่ด้านชา


ผ่านไปไม่นาน น้ำแข็งสีดำบนแขนก็ลอกออกอย่างรวดเร็ว แขนของเขากลับมามีความรู้สึกอีกครั้ง


แต่ตอนนี้หลิ่วหมิงยิ่งรู้สึกว่า ‘ตนเอง’ ตรงหน้ายิ่งลึกลับมากขึ้นกว่าเดิม


……………………………………….


ตอนที่ 239 แท่งวารีขั้นสูง

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากที่คิดๆ ดูแล้ว เขาก็ตัดสินใจเสี่ยงดูสักครั้ง


ดังนั้นหลิ่วหมิงจึงถอนหายใจ และยกมือปล่อยคมวายุออกไปด้วยเสียงอันดัง


แสงสีเขียวกระพริบผ่านไป คมวายุปาดผ่านแขนของ ‘ตนเอง’


“ฟิ้ว!” ปากแผลขนาดยาวหลายชุ่นปรากฏออกมา โลหิตสีทองพุ่งออกมาจากในนั้น


หลิ่วหมิงยังไม่ทันรู้สึกตกใจ ก็พลันรู้สึกถึงความเจ็บปวดบนแขนจนต้องตกตะลึงเป็นอย่างมาก เขาม้วนแขนเสื้อขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากจ้องมองอย่างละเอียดแล้ว รูม่านตาก็หดลงในทันที


บนแขนของเขา มีแผลเล็กๆ ยาวหลายชุ่น โลหิตสีแดงไหลออกมาจากในนั้น


สีหน้าหลิ่วหมิงซีดขาวเล็กน้อย เขามองดูบาดแผลบนแขนของ ‘หลิ่วหมิง’ ตรงหน้า แล้วมองกลับมาที่บาดแผลของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งหรือลักษณะล้วนไม่แตกต่างกันเลย


สมองเขาสับสนไปหมดแล้ว


แม้เขาจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็เข้าใจว่า ‘หลิ่วหมิง’ ตรงหน้าไม่ใช่ปีศาจแปลงกายมาแต่อย่างใด แต่กลับมีความสัมพันธ์กับเขาเป็นอย่างมาก


หลิ่วหมิงไม่เหมือนกับคนทั่วไป หลังจากตัดสินใจแล้ว ก็ควักยันต์ออกมาผืนหนึ่งแล้วนำมาแปะไว้บนปากแผล


จุดแสงสีขาวเปล่งประกายออกมา บาดแผลสมานเข้าหากันอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ทิ้งไว้แค่แผลเป็นจางๆ เท่านั้น


หลิ่วหมิงมองไปยัง ‘หลิ่วหมิง’ ตรงหน้า ด้วยตาที่เป็นประกาย


บาดแผลของฝ่ายตรงข้ามก็สมานเข้าหากัน และทิ้งรอยแผลเป็นจางๆ ไว้เช่นกัน


หลิ่วหมิงเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ก็รู้สึกตะลึงงันอย่างสุดขีด


ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ เขาถึงได้หัวเราะอย่างขมขื่น ในที่สุดก็ละสายตาออกจากฝ่ายตรงข้าม และสังเกตดูห้องว่างเปล่าอีกรอบ


เห็นได้ชัดว่าห้องว่างเปล่าลึกลับในตอนนี้กว้างกว่าครั้งก่อนมาก


ดูท่ามันคงจะมีความเกี่ยวข้องกับพลังเวทย์ที่เพิ่มขึ้นของเขาแปดถึงเก้าส่วน


แต่นอกจากขนาดห้องว่างเปล่าที่เพิ่มขึ้นกับ ‘ตนเอง’ คนที่สองที่ปรากฏตัวในห้องว่างเปล่าแล้ว อย่างอื่นยังคงหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง


หลิ่วหมิงคิดอยู่ในใจครู่หนึ่ง จากนั้นก็หาสถานที่ที่ค่อนข้างห่างจาก ‘ตนเอง’ คนที่สองแล้วนั่งขัดสมาธิลงไป และทำการคิดไตร่ตรองอย่างเงียบๆ


เวลาค่อยๆ ผ่านไปอย่างช้าๆ พริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งวัน


หลิ่วหมิงสูดหายใจเข้าลึกๆ ในที่สุดก็ออกจากภวังค์ จากนั้นก็มองไปยัง ‘ตนเอง’ อย่างไม่มีทางเลี่ยง


ก่อนหน้านั้นไม่นาน หลังจากที่เขาคิดแทบจะล้มประดาตาย ในที่สุดก็แน่ใจว่าของสิ่งนี้ จะต้องเกี่ยวข้องกับตอนที่เขาสลบไสลอยู่ในแดนลึกลับอย่างแน่นอน


เขาจำได้อย่างแม่นยำ ในความฝันอันแปลกประหลาดที่อยู่ในแดนลึกลับ เขาเคยเห็น ‘ตนเอง’ อีกคนหนึ่งที่มีกลิ่นไอน่าตกใจเป็นอย่างมาก


และสาเหตุที่เขาสลบไสลในครั้งก่อน เขาก็เคยมาวิเคราะห์แยกแยะมาแล้ว คิดว่าคงมีส่วนเกี่ยวข้องกับ ‘มือปีศาจค้ำฟ้า’ ที่หายไปในแดนลึกลับอย่างแปลกประหลาดนั้น


เพราะหลังจากที่มือปีศาจค้ำฟ้าปรากฏออกมา ฟองอากาศลึกลับในร่างเขาถึงปรากฏตัวออกมาอย่างแปลกประหลาด และผิดปกติเป็นอย่างมาก


ไม่แน่ การหายตัวของมือปีศาจค้ำฟ้าอาจเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็ได้


หลังจากพิจารณา ‘ตนเอง’ ตรงหน้าอย่างครอบคลุมแล้ว คิดว่าคงเกิดจากมือปีศาจค้ำฟ้า แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเขา ถึงขนาดที่ถ้าฝ่ายตรงข้ามถูกทำร้าย ตัวเองก็จะถูกทำร้ายไปด้วยอย่างน่าประหลาดใจ


แม้ว่าหลิ่วหมิงไม่อาจรู้ได้อย่างชัดเจน แต่สาเหตุคงไม่พ้นไปจากที่คิดไว้


แม้จะหาสาเหตุได้ แต่เมื่อเผชิญกับเรื่องแบบนี้ ย่อมทำให้เขารู้สึกปวดหัวเป็นอย่างมาก ‘ตนเอง’ ตรงหน้าเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่ เขาก็ไม่อาจชี้ชัดได้


แต่สิ่งที่หลิ่วหมิงเลี่ยงไม่ได้ก็คือ เขาไม่อาจใช้วิธีการอะไรรุนแรงกับฝ่ายตรงข้ามได้


มิเช่นนั้นด้วยลักษณะนิสัยของเขา ย่อมจัดการกับอันตรายที่ไม่อาจรู้ได้ให้หมดสิ้นไป เขาถึงจะวางใจได้


หลิ่วหมิงคิดวกไปมาอย่างรวดเร็ว แล้วก็ได้แต่ใช้วิธีปิดล้อม ‘ตนเอง’ ตรงหน้าไว้ก่อน


ดังนั้นเขาจึงส่ายศีรษะแล้วหยิบธงค่ายกลออกมาปึกหนึ่ง และปักล้อมรอบ ‘หลิ่วหมิง” คนที่สองไว้


เมื่อหลิ่วหมิงปักธงทั้งหมดเรียบร้อย ก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว พอชี้นิ้วออกไป ค่ายกลเล็กๆ ตรงหน้าก็ส่งเสียงดังหวึ่งๆ ม่านแสงสีขาวแผ่ออกมาปกคลุมร่างของ ‘หลิ่วหมิง’ ไว้


หลิ่วหมิงมองม่านแสงสีขาว และโซ่สีเงินกับยันต์ที่อยู่บนตัวของ ‘ตนเอง’ ตอนนี้สีหน้าเขาถึงได้ผ่อนคลายลงเล็กน้อย


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ถ้า ‘ตนเอง’ ตรงหน้ามีความเคลื่อนไหวใดๆ ล่ะก็ เขาคงสามารถรู้ได้ในทันที


หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองเช่นนี้อยู่ในใจ ในที่สุดก็ตัดสินใจเก็บเรื่องนี้ไว้ก่อน และเริ่มฝึกฝนตนเอง


แต่ในระหว่างนี้ เขาใช้จิตสื่อสารกับหัวบินก่อน


ภายใต้คำสั่งอันน่าเกรงขามของเขา หัวบินยังคงลอยมาข้างเขาด้วยความเคารพและยำเกรง


ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงได้รู้สึกโล่งใจขึ้นมา จากนั้นก็สั่งให้หัวบินกับแมงป่องกระดูกขาวไปฝึกวิธีการต่อสู้ของตนเองตรงมุมอื่นๆ


ทั้งสองแยกไปทางผนังสีเทา หางตะขอตรงหลังเริ่มเคลื่อนไหวกลายเป็นเงาพุ่งโจมตีไปยังด้านหน้า ทางด้านเส้นผมของหัวบินกลับตั้งตรงขึ้นมา และกลายเป็นไหมดำพุ่งทะลุออกไปด้านหน้า


และหลิ่วหมิงก็เริ่มฝึกวิชาแท่งวารีอย่างเงียบๆ


เวลาในแต่ละวันค่อยๆ ผ่านไป


ตอนแรกที่หลิ่วหมิงระมัดระวัง ‘ตนเอง’ คนที่สอง เพราะกลัวว่าเขาจะมีความผิดปกติอันใด


แต่พอผ่านไปหนึ่งเดือน สองเดือน สามเดือน ฝ่ายตรงข้ามก็ยังนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน เขาถึงรู้สึกวางใจลงไปมาก


ตอนนี้เขาคิดว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นสิ่งไม่มีชีวิตจริงๆ แล้ว และเขาก็เริ่มใช้สมาธิทั้งหมดไปกับการฝึกฝน


แม้แท่งวารีจะเป็นวิชาระดับกลางที่ฝึกฝนค่อนข้างยาก แต่หลิ่วหมิงในตอนนี้มีพลังเวทย์มากกว่าตอนที่เข้ามาห้องลึกลับในครั้งก่อน แต่ละวันเขาสามารถปล่อยวิชาแท่งวารีได้มากกว่าแต่ก่อนหลายเท่า


ด้วยเหตุนี้ระดับการฝึกฝนของเขาถึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว


สองปีต่อมา หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือทั้งสอง และร่ายคาถาออกมา จุดแสงสีฟ้าเล็กๆ รวมตัวเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียว แท่งวารีที่ดูธรรมดาก็ก่อตัวขึ้นมา และสีของมันก็เข้มขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเปล่งแสงแพรวพราวออกมาอย่างน่าแปลกใจ


พอสะบัดข้อมือ แท่งวารีก็พุ่งยิงออกไปด้วยเสียงอันดัง หลังจากเคลื่อนไหวไม่กี่ทีก็มาอยู่ห่างจากผนังสีเทาสิบกว่าจั้ง และระเบิดตัวออกมาเป็นลำแสงสีน้ำเงิน


“เพล้ง!” ไอเย็นแปลกประหลาดม้วนตัวออกมา ผนังในระยะหลายจั้งถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งเย็นยะเยือก และพริบตาเดียวมันก็หนาขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นผนังน้ำแข็งหนาชุ่นกว่าๆ


หลิ่วหมิงเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ก็เลิกคิ้วขึ้นมา เขาเปลี่ยนท่ามือแล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้น คมวายุเส้นหนึ่งพุ่งไปยังผนังน้ำแข็งตรงหน้า


“เพล้ง!”


คมวายุฟันน้ำแข็งอย่างรุนแรง แต่กลับเหลือทิ้งไว้แค่รอยลึกไม่กี่ชุ่นเท่านั้น จากนั้นก็สลายตัวไปเอง


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจมาก พอเขาวาดแขนไปด้านหน้า จุดแสงสีแดงก็ปรากฏออกมา และรวมกันเป็นลูกเปลวไฟหนึ่งลูก


“ไป!”


หลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อไปยังฝั่งตรงข้ามก่อนที่ลูกเปลวไฟจะพุ่งยิงออกไป


“ตู๊ม!” ลูกเปลวไฟระเบิดตัวบนผนังน้ำแข็ง แล้วกลายเป็นเปลวไฟอันคุโชนกระจายไปทั่วทิศ


แต่พอเปลวไฟทั้งหมดดับลง ผนังน้ำแข็งก็แค่ละลายไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


รอยยิ้มบนใบหน้าหลิ่วหมิง เพิ่มขึ้นมามากกว่าเดิม


วิชาแท่งวารีขึ้นสมบูรณ์แบบนี้ มีอานุภาพเกินกว่าที่วิชาชากระสุนไฟกับวิชาคมวายุจะเปรียบเทียบได้


มีข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือ ใช้เวลาในการปล่อยค่อนข้างช้า


เวลาต่อมา ภายใต้สถานการณ์ที่หลิ่วหมิงไม่มีวิชาอื่นให้ฝึกฝน เขาก็เริ่มทำความเข้าใจ ‘เคล็ดกระบี่ปราณแกร่ง’ อย่างเงียบๆ


ก่อนหน้านี้ เขาได้ทำความเข้าใจเคล็ดวิชาการบ่มเพาะตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่งไปแล้ว และต่อไปจะดูว่าสามารถเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมได้บ้าง


แต่พอเขาทำความเข้าใจติดต่อกันสิบกว่าวัน ก็จำต้องละทิ้งเรื่องนี้ไป


เห็นได้ชัดว่าส่วนที่เหลือของเคล็ดวิชานี้ พุ่งเป้าไปยังระดับการฝึกฝนของอาจารย์จิตวิญญาณ เคล็ดวิชาในนั้นค่อนข้างล้ำลึกเป็นอย่างมาก ระดับการฝึกฝนของเขายังไม่ถึง จึงไม่อาจทำความเข้าใจได้


เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬก็เช่นกัน


แต่ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ หลิ่วหมิงก็ไม่รู้จะทำอะไรแล้ว


เวลาในหลายวันต่อมา เขาก็พิจารณาดู ‘ตนเอง’ คนที่สองอย่างตรงไปมาตรงมา


ผลลัพธ์คือ เขาหาจุดที่แปลกประหลาดของ ‘หลิ่วหมิง’ คนที่สองได้มาบ้างเล็กน้อย


ประการแรก หลังจากที่เขาไปเข้าใกล้ ‘หลิ่วหมิง’ คนนี้อย่างระมัดระวังเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียด ก็ค้นพบว่าฝ่ายตรงข้ามไม่เพียงแต่จะไม่มีการหายใจ แม้แต่สัญญาณชีพอย่างจังหวะการเต้นของหัวใจก็ไม่มี ดูเหมือนจะไม่ใช่คนที่มีชีวิตจริงๆ


นอกจากนี้ ไม่เพียงแต่เขาได้รับบาดเจ็บแล้ว ‘หลิ่วหมิง’ คนนี้จะได้รับบาดเจ็บด้วยเท่านั้น ถ้าเขามีความเสียหายตรงส่วนไหน ‘หลิ่วหมิง’ คนนี้ก็ดูเหมือนจะได้รับความเสียหายไปด้วย ราวกับว่าเป็นสองร่างในชีวิตเดียว


เขาเคยอ่านเจอในคัมภีร์บางเล่ม มีคาถานอกรีตบางอย่างสามารถดึงจิตวิญญาณส่วนหนึ่งไปไว้ในร่างของหุ่นมนุษย์ได้ จากนั้นเพียงแค่หักแขนขาหุ่นมนุษย์ตัวนั้น เจ้าของหุ่นที่แยกจิตส่วนหนึ่งไปก็ได้รับความเสียหายด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงถูกคนอื่นควบคุมมาโดยตลอด


แต่เรื่องที่ปรากฏตรงหน้านี้ หลิ่วหมิงไม่เคยได้ยินมาก่อน


สิ่งนี้ทำให้เขามืดไปแปดด้าน คิดอะไรไม่ออก


แต่เขาได้ตัดสินใจแล้วว่า พอไปจากห้องว่างเปล่านี้ จะรีบหาคัมภีร์กับสอบถามเรื่องที่เกี่ยวข้อง เพื่อดูว่าจะสามารถหาเส้นสนกลในได้หรือไม่


หลิ่วหมิงใช้เวลาไปหลายวัน ก็ยังไม่อาจค้นหาอะไรจาก ‘ตนเอง’ คนที่สองไปมากกว่านี้ได้ จึงได้แต่เก็บเรื่องนี้ไปก่อน


เวลาต่อมา เขาก็หยิบเตาหลอมโอสถ กับโอสถจิตวิญญาณธรรมดากองหนึ่งออกมา และเริ่มทำการปรุงโอสถ


แม้ว่าโอสถเหล่านี้จะเป็นแค่โอสถระดับศิษย์จิตวิญญาณธรรมดา และหลิ่วหมิงก็ฝึกฝนไปร้อยกว่าครั้งแล้ว แต่โอกาสในการสำเร็จกลับมีแค่สองถึงสามในสิบครั้งเท่านั้น ความบริสุทธิ์ของโอสถ ก็แค่พอที่จะผ่านเกณฑ์ได้เท่านั้น


ฝานไป๋จื่อได้กล่าวชมเชยโอกาสในการปรุงโอสถสำเร็จนี้แล้ว และคิดว่าหลิ่วหมิงใช้เวลาสั้นๆ มาถึงระดับนี้ได้ นับเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ง่าย แต่หลิ่วหมิงกลับยังไม่พอใจมากนัก


สำหรับเขาแล้ว ตอนนี้ปรุงโอสถระดับศิษย์จิตวิญญาณสำเร็จเพียงแค่นี้ ต่อไปถ้าปรุงโอสถอาจารย์จิตวิญญาณ ย่อมไม่มีวัตถุดิบจำนวนมากเช่นนี้ในการฝึกฝน พอถึงตอนนั้นโอกาสในการปรุงโอสถได้สำเร็จคงต่ำจนยากจะรู้ได้


……………………………………….


ตอนที่ 240 สำเร็จวิชาปรุงโอสถขั้นต้น

โดย

Ink Stone_Fantasy

แต่หากโอกาสในการปรุงโอสถระดับศิษย์จิตวิญญาณสำเร็จมีมากล่ะก็ จะมีเป็นผลต่อหลิ่วหมิงในการปรุงโอสถระดับอาจารย์จิตวิญญาณในภายหน้า


เพราะประสบการณ์ในการปรุงโอสถ เป็นที่ใช้โดยทั่วไปสำหรับการปรุงโอสถระดับสูงต่ำ


ดังนั้นภายในระยะเวลาสองวันนี้ หลิ่วหมิงจะเพ่งความสนใจทั้งไปหมดที่การปรุงโอสถ


แม้จะอยู่ในห้องว่างเปล่าลึกลับ แต่ในด้านการปรุงโอสถล้วนเหมือนกับข้างนอกไม่มีผิด โอกาสในการปรุงโอสถได้สำเร็จยังคงเป็นสองถึงสามในสิบครั้ง


พอวันที่สาม ก็มีเสียงดัง “ฟู่” จากเตาหลอมตรงหน้า และมีกลิ่นไหม้ออกมา


หลิ่วหมิงแสยะปาก และหยุดทำท่ามือ เพราะรู้ว่าการปรุงโอสถในครั้งนี้ล้มเหลว แต่พอกวาดสายตาดูข้างเตาหลอม ก็ค้นพบว่าวัตถุดิบก็เหลืออยู่น้อยมาก


เขาถอนหายใจออกมา และล้วงเข้าไปในแขนเสื้อ เพื่อควักยันต์เก็บของแบบง่ายที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบออกมาผืนหนึ่ง


ก่อนหน้านั้นไม่นาน หลิ่วหมิงเพิ่งซื้อวัตถุดิบปรุงโอสถจากตลาดใต้ดินใส่ไว้ในยันต์เก็บของอย่างง่ายมาสิบผืน


สามปีมานี้ เขาใช้หินจิตวิญญาณไปกับการปรุงโอสถเป็นจำนวนมาก แม้ว่าในตอนหลังจะมีโอกาสปรุงโอสถสำเร็จมากขึ้น และนำมันไปขายแลกหินจิตวิญญาณกลับมา แต่หลายปีมานี้ก็สูญเสียไปเกือบหนึ่งแสนหินจิตวิญญาณ


นี่ขนาดเขาใช้เวลาในการปรุงโอสถเพียงแค่สองวันในแต่ละเดือนเท่านั้น มิเช่นนั้นคงต้องสูญเสียต้นทุนในการปรุงโอสถอีกหลายเท่า


โดยทั่วไปวัตถุดิบการปรุงโอสถในยันต์แต่ละผืน มันเพียงพอสำหรับใช้แค่สองวันเท่านั้น ดูจากวัตถุดิบที่เขาพกมา ถ้าปรุงโอสถทุกวันอย่างต่อเนื่องล่ะก็ มันพอใช้แค่ยี่สิบกว่าวันเท่านั้น


และพอมือหลิ่วหมิงยื่นมือออกจากแขนเสื้อ ก็ต้องชะงักเล็กน้อย สีหน้าเขาดูประหลาดใจเป็นอย่างมาก


เขาพลิกมือข้างหนึ่งขึ้นโดยฉับพลัน ยันต์สีเหลืองจางๆ ปึกหนึ่งโผล่ออกมา อักขระสีเงินจำนวนมากประทับอยู่บนนั้น มันคือยันต์เก็บของแบบง่ายนั่นเอง


หลิ่วหมิงกวาดสายตาดูยันต์เก็บของอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเขาดูเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก


“ทำไมยังเป็นสิบผืน ก่อนหน้านี้ใช้ไปหนึ่งผืนแล้วนี่” เขากล่าวพึมพำออกมา จากนั้นก็นับดูยันต์เก็บของอีกรอบ แต่มันยังคงเป็นสิบผืนจริงๆ


สีหน้าหลิ่วหมิงดูซับซ้อนขึ้นมาทันที


ครู่ต่อมา เขาเก็บยันต์เก้าผืนใส่คืนเข้าไปโดยฉับพลัน เหลือไว้เพียงผืนเดียวเท่านั้น จากนั้นก็ขยี้จนแหลกละเอียด แสงสีขาวเปล่งประกายออกมา บนพื้นเต็มไปด้วยวัตถุดิบการปรุงโอสถกองหนึ่ง


หลิ่วหมิงล้วงเข้าไปในแขนเสื้อ เมื่อมั่นใจว่ายันต์ยังเหลือเก้าผืนเช่นเดิม เขาก็ทานโอสถเสริมพลังเวทย์ที่ปรุงขึ้นมาหนึ่งเม็ด หลังจากที่รับรู้ได้ว่าพลังเวทย์ค่อยๆ เพิ่มขึ้น เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมา


เขาลังเลเล็กน้อย แล้วก็ทำท่ามือเพื่อปรุงโอสถต่อ


ทุกครั้งที่ปรุงโอสถเสร็จ หลิ่วหมิงจะตรวจนับยันต์เก็บของในแขนเสื้อหนึ่งครั้ง แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย


แต่หลังจากปรุงโอสถเสร็จหนึ่งครั้งในวันที่สอง เขาก็ใช้พลังจิตกวาดดูสิ่งของในแขนเสื้อ สีหน้าเขาดูตกใจขึ้นมาเป็นอย่างมาก


เขาล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้ออีกครั้ง ทันใดนั้นยันต์เก็บของปึกหนึ่งก็ปรากฏออกมา และมันยังคงมีสิบผืนเช่นเดิม


อย่างที่รู้ว่า หลังจากปรุงโอสถเสร็จเมื่อครั้งก่อน เขาเพิ่งตรวจสอบพบว่ามียันต์เก็บของเหลือแค่เก้าผืนเท่านั้น


หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอย่างเงียบๆ แล้วก็ขยี้ยันต์ผืนหนึ่งราวกับคิดอะไรอยู่ หลังจากปล่อยวัตถุดิบจำนวนมากลงพื้นแล้ว ก็นำอีกเก้าผืนมาวางไว้บนพื้นตรงหน้าเช่นกัน


เวลาต่อมาเขาก็ไม่ได้ปรุงโอสถ แต่กลับจ้องมองยันต์บนพื้นโดยไม่กระพริบสายตา


หนึ่งวัน สองวัน จนเมื่อห้าวันผ่านไป ยันต์เก็บของบนพื้นก็ยังคงมีเก้าผืนเช่นเดิม ไม่มีการเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด


สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงประหลาดใจเป็นอย่างมาก


พอถึงวันที่หก เขาก็ไม่อาจทนรอได้อีกต่อไป เขาเปิดฝาเตาหลอมโดยไม่สนใจยันต์เก็บของบนพื้น และเริ่มทำการปรุงโอสถต่อ


จนเมื่อผ่านไปสองวัน และวัตถุดิบบนพื้นใกล้จะหมดเกลี้ยงนั้น หลิ่วหมิงปรุงโอสถไปด้วย สายตาก็กวาดมองวัตถุดิบบนพื้นไปด้วย สีหน้าเขาดูหนักอึ้งขึ้นมา


ยันต์สิบผืนวางอยู่บนพื้นอย่างเป็นระเบียบ เขาหยุดการปรุงโอสถแล้วหันมามองยันต์เก็บของบนพื้นเหล่านั้น


ด้วยระดับความจำอย่างเขา เขาจำตำแหน่งการวางยันต์เหล่านี้ในก่อนหน้านั้นได้อย่างแม่นยำ ครู่เดียวก็รู้ได้ว่ายันต์ที่ปรากฏขึ้นมาใหม่คือผืนใด


เขาลังเลเล็กน้อย และยื่นมือคว้ายันต์เก็บของมาผืนหนึ่ง หลังจากสังเกตดูอย่างละเอียดแล้ว ก็ไม่ค้นพบความผิดปกติใดๆ จึงขยี้มันจนแหลกอีกครั้ง


“ฟู่!”


แสงสว่างม้วนตัวออกมา วัตถุดิบการปรุงโอสถโผล่ขึ้นบนพื้น


หลิ่วหมิงกวาดสายตามองวัตถุดิบเหล่านี้ไม่กี่ที ก็มองออกว่าชนิดกับจำนวนของวัตถุดิบล้วนเหมือนกับที่อยู่ในยันต์เก็บของที่ใช้ไปก่อนหน้านั้นไม่มีผิด


ดูเหมือนกับลอกเลียนแบบสิ่งของทุกอย่างที่อยู่ในยันต์เก็บของก่อนหน้านั้น


ตอนนี้ นับว่าหลิ่วหมิงรู้เงื่อนไขที่ของเหล่านี้ถูกทำซ้ำขึ้นมาแล้ว แปดถึงเก้าในสิบส่วนไม่เพียงแต่เกี่ยงข้องกับการกระตุ้นยันต์เก็บของ แต่ยังต้องใช้ของในนั้นใช้ไปพอประมาณด้วย ถึงจะมียันต์เก็บของผืนใหม่ปรากฏขึ้นในห้องว่างเปล่าแห่งนี้


เพื่อความมั่นใจในเรื่องนี้ ในระยะเวลาครึ่งเดือนหลิ่วหมิงก็ทดสอบอีกหลายรอบ ผลลัพธ์เป็นแบบที่เขาคาดไว้ไม่มีผิด


ดูท่าความลึกลับของห้องว่างเปล่าแห่งนี้ จะเหนือความคาดหมายของเขาไปมาก


แต่ที่ทำให้หลิ่วหมิงตกตะลึงมากยิ่งกว่าเดิมก็คือ หลังจากผ่านการปรุงโอสถโดยไม่หยุด ดูเหมือนว่าวิชาการปรุงโอสถเขาจะถูกยกระดับขึ้นมาเล็กน้อย


ดูท่าในห้องว่างเปล่านี้ แม้เขาจะใช้วัตถุดิบที่ทำซ้ำขึ้นมา แต่มันก็ยังมีผลต่อวิชาปรุงโอสถของเขาเช่นกัน


หลังจากหลิ่วหมิงแน่ชัดในเรื่องนี้แล้ว ความกังวลสุดท้ายของเขาก็หายไป และฝึกฝนปรุงโอสถด้วยความดีใจอยู่ไม่หยุด


ภายใต้สถานการณ์ที่ดูเหมือนว่าวัตถุดิบจะไม่มีวันหมดนั้น สามารถยกระดับการปรุงโอสถของหลิ่วหมิงได้อย่างไม่มีข้อจำกัด


เวลาในแต่ละเดือนผ่านพ้นไป ความสำเร็จในการปรุงโอสถระดับอาจารย์จิตวิญญาณหลายชนิดก็เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ


แม้แต่การบ่มเพาะผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถของนิกายปีศาจ ก็ไม่สามารถฝึกฝนการปรุงโอสถได้ตามใจชอบโดยไม่มีข้อจำกัดเช่นนี้ได้


เพราะถ้าคำนวณดูจากหินจิตวิญญาณล่ะก็ วัตถุดิบที่เขาใช้ไปในหนึ่งเดือน มีมูลค่าหนึ่งแสนกว่าหินจิตวิญญาณ


วิธีการบ่มเพาะผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้ นิกายไหนเลยจะสามารถแบกรับได้ไหว


การฝึกฝนอย่างบ้าคลั่งนี้ ภายในระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่เดือน หลิ่วหมิงก็สามารถปรุงโอสถได้สำเร็จห้าถึงหกในสิบครั้งแล้ว


ผ่านไปอีกหนึ่งปี โอกาสในการปรุงโอสถสำเร็จก็คงเพิ่มขึ้นถึงสิบแล้ว


เวลาที่เหลือ หลิ่วหมิงพุ่งสมาธิทั้งหมดไปกับการยกระดับคุณภาพของโอสถ


ในช่วงระหว่างเวลานี้ แมงป่องกระดูกขาวกับหัวบินก็ไม่เคยหยุดการฝึกฝนเลย


ตอนนี้หางตะขอของแมงป่องกระดูกขาวสั่นไหว พริบตาเดียวก็กลายเป็นเส้นสีดำหลายสิบเส้นพุ่งยิงออกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นถึงค่อยมีเสียงดังขึ้นมา


และภายใต้การสะบัดหัวของหัวบิน ก่อให้เกิดแสงสีเขียวเปล่งประกายเต็มฟ้า โดยมองไม่เห็นร่องรอยของเส้นผมยาวใดๆ เลย ความเร็วและพลังของการโจมตีก็มาถึงระดับที่น่าทึ่งเป็นอย่างมาก


ส่วน ‘หลิ่วหมิง’ คนที่สอง ก็ไม่เคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย ทำให้หลิ่วหมิงเห็นเขาเป็นแค่รูปปั้นเท่านั้น


วันหนึ่งในครึ่งปีหลัง หลิ่วหมิงหยิบผลึกโอสถที่มีอักขระสีเงินจางๆ อยู่บนพื้นผิวออกจากเตาหลอมมาเม็ดหนึ่ง ตอนที่เขารู้สึกดีใจเป็นอย่างมากนั้น ก็มีเคลื่อนสั่นไหวรอบด้าน พอมีเสียงดัง “หวึ่ง!” ข้างหู ตาทั้งคู่ก็มืดมิดลง ร่างของหลิ่วหมิงปรากฏตัวในห้องลับที่จากไปอีกครั้ง


หลังจากที่ความรู้สึกวิงเวียนศีรษะหายไป จุดตันเถียนในร่างเขาก็สั่นไหว พลังเวทย์บริสุทธิ์อย่างมากทะลักออกจากในนั้น


หลิ่วหมิงรีบทำท่ามือด้วยความดีใจ และรับพลังเวทย์บริสุทธิ์ที่ฟองอากาศลึกลับสะท้อนกลับมาอย่างเงียบๆ


เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งถ้วยชา เขาถึงถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมกับวางสองมือลง


ฟองอากาศลึกลับในจุดตันเถียนได้หายไปอีกครั้งแล้ว


เขาสัมผัสดูพลังเวทย์เหล่านี้เล็กน้อย ซึ่งมันบริสุทธิ์กว่าก่อนหน้านั้นมาก แต่ระดับการฝึกฝนกลับลดจากศิษย์จิตวิญญาณขั้นสมบูรณ์แบบลงมาอยู่ที่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายธรรมดา


สิ่งนี้ทำให้เขาหัวเราะอย่างขมขื่นอยู่สองที


ดูท่าเขาคงต้องทานโอสถต่อเนื่องอีกแล้ว


ดีว่าระหว่างที่อยู่ในห้องว่างเปล่าลึกลับ เขาได้ยกระดับการปรุงโอสถได้อย่างน่าตกใจ การปรุงโอสถระดับศิษย์จิตวิญญาณก็ฝึกฝนจนชำนาญอย่างเต็มที่ และการปรุงโอสถเพิ่มพลังเวทย์โดยทั่วไปก็ไม่มีปัญหาใดๆ แล้ว


พอหลิ่วหมิงคิดมาถึงจุดนี้ ก็พลันล้วงยันต์เก็บของออกจากแขนเสื้อผืนหนึ่ง และขยี้มันจนแตกละเอียด


แสงสีขาวเปล่งประกายออกมา ข้างในล้วนว่างเปล่า ไม่มีสิ่งของใดๆ หล่นมาเลย


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” พอหลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด แต่กลับกล่าวพึมพำออกมา


สิ่งที่ใส่ไว้ในยันต์เก็บของผืนนี้ ล้วนเป็นโอสถที่เขาปรุงขึ้นมาในห้องว่างเปล่า แต่ดูจากสถานการณ์แล้ว เห็นได้ชัดว่าโอสถเหล่านี้ไม่สามารถนำออกจากห้องว่างเปล่าได้


แม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก แต่เขาก็พอจะคาดเดาล่วงหน้าไว้บ้างแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกท้อแท้แต่อย่างใด


เขาหันไปมองหัวบินกับแมงป่องกระดูกขาวทีหนึ่ง จากนั้นก็ตบถุงหนังทั้งสองบนเอวทันที


แสงสีดำสองกลุ่มม้วนตัวออกมาจากถุงหนังทั้งสองใบ และดูดทั้งสองเข้าไปในนั้น


เขาสังเกตดูห้องลับที่ดูเหมือนจะไม่แตกต่างไปจากสี่ปีก่อนหน้า แล้วลุกขึ้นไปผลักประตูด้วยรอยยิ้ม


เวลาต่อมา หลิ่วหมิงไปซื้อวัตถุดิบปรุงโอสถที่มีมูลค่าสูงถึงหนึ่งแสนกว่าหินจิตวิญญาณที่ตลาด จากนั้นก็กลับมาห้องลับเพื่อฝึกฝน ‘โอสถทมิฬมหัศจรรย์’ ที่ไม่รู้ว่าฝึกฝนในห้องว่างเปล่าลึกลับไปกี่รอบแล้ว


แม้ว่าโอสถชนิดนี้จะมีผลลัพธ์ในการเพิ่มพลังเวทย์ให้กับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายได้ไม่เลว และก็เป็นหนึ่งในวิธีการปรุงโอสถที่เขาเสียหินจิตวิญญาณเพื่อเรียนกับฝานฝานไป๋จื่อโดยเฉพาะ


แต่วิธีการปรุงค่อนข้างยากลำบาก แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถอย่างฝานไป๋จื่อก็มีอัตราในการปรุงสำเร็จไม่ค่อยสูงมากนัก


ดังนั้นพอปรุงโอสถนี้เสร็จหนึ่งเม็ด ก็สามารถขายได้พันกว่าหินจิตวิญญาณขึ้นไป และยังคงมีมูลค่าในตลาดเสมอ


สำหรับหลิ่วหมิงแล้ว โอสถทมิฬมหัศจรรย์นี้ เป็นหนึ่งในโอสถไม่กี่ชนิดที่เขามีโอสกาสในการปรุงสำเร็จต่ำที่สุด


สาเหตุเป็นเพราะว่า ประการแรก โอสถชนิดนี้ปรุงยากจริงๆ ประการที่สอง วัตถุดิบที่เขานำเข้าห้องว่างเปล่าในตอนแรก ก็มีไม่ค่อยมากนัก ด้วยเหตุนี้การฝึกฝนไม่กี่ครั้ง จึงไม่อาจเทียบได้กับการฝึกฝนปรุงโอสถอาจารย์จิตวิญญาณชนิดอื่นๆ


……………………………………….


ตอนที่ 241 การเดินทางครั้งใหม่

โดย

Ink Stone_Fantasy

เวลาต่อมา หลิ่วหมิงฝึกฝนปรุงโอสถทมิฬมหัศจรรย์อยู่ในห้องลับ และทานโอสถเพื่อกลั่นเป็นพลังเวทย์อยู่ไม่หยุด


ภายในระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่เดือน เขาก็ฝึกฝนพลังเวทย์จนถึงขั้นสมบูรณ์แบบได้สำเร็จ


ในขณะนั้นเอง เขาก็ได้รับข่าวที่ส่งมาจากนิกาย ภารกิจสี่ปีของเขาได้สิ้นสุดลงแล้ว ศิษย์ตรวจตราคนใหม่อยู่ในระหว่างการเดินทาง


ตามประเพณีนิยม เมื่อศิษย์ตรวจตราพ้นจากตำแหน่ง ก็จะมีเวลาพักหลายเดือน ด้วยเหตุนี้ เขาเพียงแค่ต้องกลับให้ถึงนิกายภายในครึ่งเดือนก็พอแล้ว


หลิ่วหมิงย่อมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เมื่อได้รับคำสั่งนี้


เขาเขียนจดหมายกล่าวลาไปสองฉบับ แล้วให้คนส่งไปยังจวนเฉียนและถ้ำของฝานไป๋จื่อ จากนั้นก็ออกไปจากเสวียนจิงอย่างเงียบๆ ช่วงเวลาหลายเดือนนี้ไม่มีข่าวใดๆ เกี่ยวกับเขาอีกเลย


……


สามเดือนต่อมา บริเวณรอบๆ เทือกเขาตรงชายแดนระหว่างแคว้นต้าเสวียนกับ ‘แคว้นฉีเยวี่ย’


ชายหนุ่มชุดคลุมสีเขียวยืนอยู่บนเนินเขาที่สูงร้อยจั้ง เขากำลังจ้องมองเทือกเขาที่อยู่ไกลๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก ผ่านไปซักครู่ถึงได้กล่าวพึมพำออกมา


“นี่คือเทือกเขาหมื่นทมิฬสินะ กลิ่นไอถึงได้โหดเหี้ยมเช่นนี้ มิน่าล่ะผ่านมานานขนาดนี้ตระกูลไป๋ก็ยังไม่สามารถรวบรวมไอปีศาจบริสุทธิ์พลังน้ำเงินอันดับเจ็ดได้ และยังบอกตำแหน่งของหลุมปีศาจนี้ให้ข้าโดยตรง”


ชายหนุ่มผู้นี้ย่อมเป็นหลิ่วหมิงไม่มีผิด


พอไปจากเสวียนจิงแล้ว เขาก็มุ่งหน้าไปยังตระกูลไป๋ และผู้อาวุโสตระกูลไป๋ก็บอกที่ตั้งของหลุมให้เขาอย่างง่ายดาย เขาจึงพุ่งมาที่นี่อย่างรวดเร็ว


แต่เมื่อเห็นสภาพจริงของเทือกเขาหมื่นทมิฬในตอนนี้ และได้สัมผัสถึงกลิ่นไออันวุ่นวายที่ลอยมาตามลม เขาก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย


อย่างที่รู้ว่า เทือกเขาหมื่นทมิฬเป็นเทือกเขาอันตรายที่ตั้งอยู่ระหว่างแคว้นทั้งสองแคว้น ซึ่งประกอบด้วนเนินเขานับพันทอดยาวติดต่อกันหลายหมื่นลี้


ว่ากันว่าในนั้นไม่เพียงแต่จะมีแมลงพิษและอสูรดุร้ายเป็นจำนวนมาก แต่ยังมีหมอกพิษที่ทำให้ตายได้ทันที แม้กระทั่งยังมีอสูรปีศาจที่ฝึกฝนอยู่ในระดับต่ำด้วย แต่ว่าอสูรปีศาจเหล่านี้ จะแฝงตัวอยู่ส่วนที่ลึกของเทือกเขามาโดยตลอด ทั่วไปไม่อาจพบได้


เพราะว่าเทือกเขานี้มีโภคทรัพย์ที่สมบูรณ์ และยังมีสมุนไพรจิตวิญญาณที่มีชื่อเสียงเป็นจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้ฝึกฝนของทั้งสองแคว้นมาที่นี่บ่อยๆ แต่เทือกเขาแห่งนี้เต็มไปด้วยอันตราย ผู้ฝึกฝนส่วนใหญ่จะเคลื่อนไหวอยู่รอบนอกเท่านั้น มีน้อยมากที่จะเข้าไปข้างในลึกๆ


ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มักจะมีข่าวที่ผู้ฝึกฝนจำนวนมากเข้าไปในเทือกเขาหมื่นทมิฬแล้วหายไปอยู่บ่อยๆ


ด้วยเหตุนี้ ผู้ฝึกฝนทั้งสองแคว้นจึงค่อนข้างหวาดกลัวที่จะเข้าไปในเทือกเขาลึก


ข่าวกรองเหล่านี้ หลิ่วหมิงสืบก่อนที่จะมาที่นี่แล้ว และตามแผนที่ที่ตระกูลไป๋ให้มา หลุมปีศาจของไอปีศาจพลังน้ำเงินอันดับเจ็ดอยู่ในส่วนลึกของเทือกเขาหมื่นทมิฬพอดี


ตอนนี้หลิ่วหมิงจ้องมองบรรดายอดเขาที่อยู่ไกลๆ และคิดไตร่ตรองไปมาอย่างรวดเร็ว


ถ้ากลับถึงนิกายในครั้งนี้ จะต้องถูกเรียกไปทำศึกกับเผ่าเจ้าสมุทรอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้เขาจำเป็นต้องเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณให้ได้ก่อน มิเช่นนั้นพอเผชิญหน้ากับผู้ฝึกฝนเผ่าเจ้าสมุทร ก็มีโอกาสเสียชีวิตได้ และพลังเวทย์ของเขาในตอนนี้ก็อยู่ในขั้นสมบูรณ์แบบอย่างมั่นคงอีกครั้ง เพียงแค่มีไอปีศาจบริสุทธิ์ที่เหมาะสม ก็สามารถควบแน่นเป็นปราณแกร่งทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณได้ทันที


ในมือเขาตอนนี้มีแค่ไอปีศาจบริสุทธิ์พลังหยินแห้งที่เตรียมไว้เผื่อเท่านั้น ถ้าไม่คับขันจริงๆ เขาจะไม่ใช้ไอปีศาจบริสุทธิ์นี้ควบแน่นเป็นปราณแกร่งโดยเด็ดขาด ด้วยเหตุนี้ไอปีศาจบริสุทธิ์พลังน้ำเงินอันดับเจ็ดตรงหน้า เป็นตัวเลือกเดียวที่เหมาะสมที่สุดสำหรับพลังของเขา ต่อให้เทือกเขาหมื่นทมิฬจะอันตรายแค่ไหน ก็ต้องบุกเข้าไปให้ได้


ด้วยระดับการฝึกฝนของเขาในตอนนี้ เพียงแค่ไม่ต้องเผชิญกับอสูรปีศาจที่มีพลังระดับของเหลว คิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไร และเทือกเขาหมื่นทมิฬจะมีอสูรปีศาจระดับนี้อยู่หรือไม่คงต้องไปดูด้วยตนเอง


หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองเช่นนี้อยู่ในใจ คิ้วที่ขมวดอยู่ก็ค่อยๆ คลายลง จากนั้นเขาก็เหาะไปเทือกเขาที่อยู่ไกลๆ อย่างไม่ลังเล


ว่ากันว่าเทือกเขาหมื่นทมิฬมีวิหคและแมลงดุร้ายซ่อนอยู่เป็นจำนวนมาก เขาจึงไม่อาจเหาะเข้าไปโดยตรง ดังนั้นพอเหาะถึงเทือกเขา เขาก็บังคับเมฆให้ร่อนลงไป และค่อยๆ เดินไปตามพื้น


……


ครึ่งวันต่อมา แมวเสือดาวขนาดยักษ์สองตัวได้กระโดดลงจากต้นไม้ทั้งสองต้น และกระโจนเข้าหาหลิ่วหมิงอย่างโหดเหี้ยม


“ฟู่!” “ฟู่!”


พริบตาที่แมวเสือดาวพุ่งลงจากกิ่งไม้ หลิ่วหมิงก็ยกมือทั้งสองขึ้น และแสงสีเขียวก็กระพริบผ่านไป


แมวเสือดาวร้องออกมาอย่างเวทนา ร่างของมันขาดเป็นสองท่อน โลหิตสาดลงบนพื้น


หลิ่วหมิงขยับตัวหลบศพและโลหิตที่หล่นลงมาได้ จากนั้นก็เดินไปข้างหน้าโดยไม่หันหลังกลับมาดูเลย เขาทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น


……


สองวันต่อมา หลิ่วหมิงยืนอยู่บนยอดไม้ขนาดใหญ่ต้นหนึ่ง ในมือถือแผนที่ค่อนข้างเก่า และกำลังจ้องมองมันอย่างละเอียด


ในขณะนั้นเอง อสรพิษสีเขียวเป็นมันขลับขนาดยาวหลายฉื่อตัวหนึ่ง ปีนขึ้นมาจากรากไม้อย่างเงียบๆ และเลื้อยขึ้นบนยอดไม้อย่างรวดเร็ว


“เพล้ง!”


เส้นสีดำเส้นหนึ่งกระพริบออกไป ตะขอสีดำมืดเจาะทะลุหัวของอสรพิษ และฝังมันไว้กับต้นไม้


อสรพิษดิ้นรนอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ไร้ซึ่งลมหายใจ


ขณะนั้นเอง แมงป่องกระดูกขาวถึงกระโจนขึ้นมาจากพุ่มไม้ด้านล่าง ก้ามยักษ์ทั้งสองฉีกศพของอสรพิษจนกลายเป็นชิ้นๆ ก่อนที่จะกลืนกินจนหมดสิ้น


……


ห้าวันต่อมา หลิ่วหมิงยืนอยู่ในหุบเขาตรงระหว่างยอดเขาทั้งสอง เขากำลังจ้องมองไอหมอกสีขาวเทาที่ตลบอบอวลอยู่ไม่ไกล จากนั้นก็สะบัดศีรษะก่อนที่จะเตรียมเดินอ้อมหุบเขานี้ไป


……


ครึ่งเดือนต่อมา ในที่สุดหลิ่วหมิงก็เข้ามาถึงในส่วนลึกของเทือกเขาหมื่นทมิฬ


จากที่สายตาเห็นในตอนนี้ ทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยต้นไม้สีเทาขนาดใหญ่ ใบไม้หนาๆ บดบังแสงอาทิตย์กว่าครึ่งหนึ่งไว้ ทำให้ด้านล่างชื้นและมืดครึ้มเป็นพิเศษ


หลิ่วหมิงถือกระบี่สั้นสีเขียวอยู่ในมือ ด้านหลังมีแมงป่องกระดูกขาวเดินตามมาอยู่ เขากำลังเดินไปยังเขาเล็กๆ ด้านหน้าอย่างไม่รีบร้อน


เขาเล็กๆ ลูกนั้นดูน่ามหัศจรรย์เป็นอย่างมาก ยอดเขาส่วนบนดูคล้ายหญิงสาวที่กำลังกวักมือเรียกอยู่


ตามบรรยายในแผนที่ที่ตระกูลไป๋ให้มาเพียงแค่เขาเดินเข้าถึงเขาลูกนี้ ก็สามารถหาตำแหน่งที่แม่นยำของหลุมปีศาจได้


เพื่อหายอดเขาลูกนี้ ก่อนหน้านั้นเขาต้องข้ามเขาที่ยากลำบากมากมาไม่รู้ตั้งกี่ลูก และทำลายรังอสูรมาไม่รู้เท่าไหร่ ถึงมาถึงที่นี่ได้ในที่สุด


หลิ่วหมิงชะงักเท้าทั้งคู่ลง และหรี่ตามองไปยังต้นไม้ยักษ์สูงเทียมฟ้าที่อยู่ตรงหน้า


หลังจากมีเสียง “สวบสาบ!” ดังขึ้น แมงป่องสีสันแพรวพราว ยาวจั้งกว่าๆ ตัวหนึ่งก็ปีนขึ้นมา ดวงตาทั้งคู่แดงก้ำราวกับเลือด และพ่นหมอกพิษสีแดงสดออกมา หางตะขอตรงหลังก็ส่ายไปมาอยู่ไม่หยุด


มันดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก!


เห็นได้ชัดว่ามันเป็นแมลงที่มีพิษ และเหมือนจะมีพลังไม่ธรรมดาซะด้วย


ตอนแรกหลิ่วหมิงก็รู้สึกตกตะลึง แต่ก็สะบัดข้อมือในทันที ปราณกระบี่สีเขียวม้วนตัวออกไปฟันลงบนตัวแมงป่องยักษ์พอดี


แมงป่องตนนี้ร้องออกมาด้วยเสียงแปลกประหลาด และถอยออกไปสองก้าว มันทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เปลือกตรงหลังของมันมีแค่รอยสีขาวจางๆ เท่านั้น


แต่การโจมตีของหลิ่วหมิงในครั้งนี้มันยั่วโมโหปีศาจแมงป่องตนนี้มาก หลังจากมันส่งเสียงร้องแกว๊กๆ แล้ว ก็กระโจนเข้ามาราวกับพายุบ้าระห่ำ


หลิ่วหมิงเลิกคิ้ว และคิดจะใช้วิธีการขั้นเด็ดขาดเพื่อการจัดการแมลงปีศาจตนนี้ให้สิ้นซาก แต่ขณะนั้นก็มีเสียง “ซู่!” ดังออกมา เงาสีดำตรงหลังพุ่งยิงเข้ามาอย่างรวดเร็ว และกระโจนออกไปรับหน้ากับแมลงปีศาจตรงหน้า


มันคือแมงป่องกระดูกขาวนั่นเอง


ทั้งสองต่อสู้กันอย่างอุตลุด


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็อึ้งไปทันที ขณะที่กำลังจะสะบัดกระบี่สั้นในมือออกไปช่วยนั้น พลันได้ยินจิตที่สื่อมาของแมงป่องกระดูกขาว บอกว่าไม่ต้องเข้าไปช่วย


เขากระพริบตาปริบๆ ถึงแม้จะไม่ค่อยเข้าใจความหมายของแมงป่องกระดูกขาว แต่ก็เก็บกระบี่สั้นเข้าไป และยืนดูการต่อสู้อยู่ข้างๆ


รูปร่างของแมงป่องกระดูกขาวเล็กกว่าฝ่ายตรงข้าม แต่อาศัยที่หางตะขอส่ายไปมาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ จึงทำให้มันได้เปรียบกว่า


เปลือกของแมงป่องยักษ์ดูแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่มันกลับดูเปราะบางเป็นอย่างมากภายใต้การโจมตีของหางตะขอ ไม่นานร่างของมันก็ถูกเจาะทะลุเป็นรูจำนวนมาก หัวของมันถูกก้ามยักษ์ทั้งคู่หนีบไว้แน่น มันทำได้แค่พ่นหมอกสีเลือดออกมาอยู่ไม่หยุด และดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง


……


หนึ่งชั่วยามผ่านไป เมื่อแมงป่องกระดูกขาวกลืนกินศพปีศาจแมงป่องตนนั้นจนหมดสิ้นแล้ว เปลวไฟสีเขียวในตาทั้งคู่ก็มืดลง และดูเหนื่อยหน่ายเป็นอย่างมาก


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รีบตบถุงหนังบนเอวทันที แสงสีดำม้วนตัวออกมาดูดแมงป่องกระดูกขาวเข้าไปในนั้น


แม้แมงป่องกระดูกขาวจะเป็นปีศาจชนิดหนึ่ง แต่ร่างเดิมของมันก็ยังคงเป็นแมงป่องกระดูก ซึ่งต้องดูดเอาปราณหยินจำนวนมากถึงเปลี่ยนมามีลักษณะเช่นนี้ได้ ดังนั้นถ้ากลืนกินปีศาจแมงป่องล่ะก็ นับว่าเป็นวิวัฒนาการของมัน


ตอนนี้แมงป่องกระดูกขาวกลายเป็นเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ามันเตรียมที่จะวิวัฒนาการไปอีกครั้ง


หลิ่วหมิงเรียกหัวบินออกมาแล้วก็ออกเดินทางต่อ


……


หนึ่งวันต่อมา หลิ่วหมิงอยู่หน้าหุบเขาที่ถูกพุ่มไม้สูงใหญ่จำนวนมากขวางทางเข้าไว้


เขากระตุ้นกระบี่จันทราหยกปล่อยปราณกระบี่สีเขียวออกไปสองสายในทันที มันตัดพุ่มไม้เหล่าจนกลายเป็นทางเล็กๆ ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปในหุบเขา


หุบเขาส่วนใหญ่ถูกไอหมอกสีชมพูดบดบังไว้ และมีเสียงดังหวึ่งๆ ออกมาจากไอหมอกแว่วๆ ราวกับว่าแมลงบางอย่างกำลังบินว่อนอยู่ในนั้นไม่หยุด


หลิ่วหมิงตาเป็นประกายอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพลันหยิบลูกกลมๆ สีฟ้าออกมาจากแขนเสื้อและโยนไปด้านหน้า พร้อมกับทำท่ามือและชี้ออกไป


“แคร่ก!” ลูกกลมๆ สีฟ้ากลายเป็นวิหคไม้สีฟ้าสี่ปีก


จากนั้นหลิ่วหมิงก็ทำท่ามือกระตุ้นมัน


วิหคไม้สีฟ้ากระพือปีกทั้งสี่ และกลายเป็นกลุ่มแสงสีฟ้าพุ่งยิงไปยังไอหมอกสีชมพู


“ฟู่!”


วิหคไม้สีฟ้ากระโจนลงไปในหมอกและบินไปเข้าไปลึกๆ


แต่พอวิหคไม้บินไปได้ซักระยะหนึ่ง เสียงกระพือปีกของมันก็เบาลงมาก


หลิ่วหมิงรีบเปลี่ยนท่ามือด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปในทันที


ทันใดนั้นวิหคไม้ก็หมุนตัวบินกลับมา


มันเคลื่อนไหวไม่กี่ทีก็บินพุ่งออกมาจากไอหมอกสีชมพูได้ แต่พอบินมาทางหลิ่วหมิงได้ไม่กี่จั้ง มันก็ต้องดิ่งหัวลงพื้น


ม่านตาของหลิ่วหมิงหดลง เขาไม่ได้รีบเข้าไปในทันที แต่กลับเขม้นตามองร่างของวิหคไม้อย่างละเอียด


……………………………………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)