หมอดูยอดอัจฉริยะ 238-240

ตอนที่ 238

 

 พลังอำมหิต

โดย

Ink Stone_Fantasy

พอได้ยินว่าฝั่งพ่อตาจะเป็นคนออกเงินให้ เยี่ยเทียนจึงรู้สึกสดชื่นขึ้นมาหน่อย เขาเคยให้คำแนะนำเรื่องธุรกิจแก่อวี๋เฮ่าหรานมากมาย ถ้าคิดค่าจ้างตามอัตราปกติของเยี่ยเทียนแล้ว ค่าคำปรึกษาเหล่านั้นคงเป็นเงินหลายล้านอยู่ ซื้อเสื้อผ้าให้เยี่ยเทียนแค่นี้ยังถือว่าน้อยไป


คนที่สามารถเปิดร้านในที่แบบนี้ได้ วิสัยทัศน์ต้องดีกว่ายามเฝ้าประตูคนนั้นไม่รู้กี่เท่า แม้ว่าเยี่ยเทียนแต่งตัวเชยๆ แต่เจ้าของร้านที่เป็นชาวต่างชาติยังให้การต้อนรับเขาอย่างยิ้มแย้ม พูดภาษาจีนอย่างคล่องแคล่วว่า “คุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายท่านนี้ ต้องการดูเสื้อผ้าแบบไหนครับ?”


อวี๋ชิงหย่าชี้ไปที่เยี่ยเทียนตอบว่า “ชุดสูทสีดำ ที่เย็บด้วยมือ แล้วก็เนคไทสีแดง ใช่แล้ว เยี่ยเทียน ตัดชุดเจ้าบ่าวแบบจีนให้เธออีกชุดดีกว่า ฝีมือการตัดเย็บของช่างที่นี่ดีมากเลยนะ…”


“ได้สิ ฉันชอบชุดแบบจีน!” เยี่ยเทียนพยักหน้า เอาเป็นว่าพ่อตามอบให้ จะปฏิเสธไม่ได้


“นี่เป็นบัตรสมาชิก คุณช่วยวัดตัวให้เขาเร็วหน่อย ให้เสร็จทันในอีกสามวัน ตอนเช้าของวันนั้นฉันจะมารับชุด!” อวี๋ชิงหย่ายื่นบัตรสมาชิกให้ผู้จัดการร้านชาวต่างชาติ


ฟังอวี๋ชิงหย่าพูดจบ คนต่างชาติถลึงตาทีหนึ่ง แล้วสั่นหัว “คุณผู้หญิงครับ คือ…มันเร่งเกินไป โดยปกติร้านของเราต้องใช้เวลาจองตัดชุดก่อนหนึ่งเดือน อีกอย่างกระบวนการตัดชุดก็ต้องตัดที่ต่างประเทศ ถ้าภายในสามวันมันเป็นไปไม่ได้!”


อวี๋ชิงหย่าหัวเราะออกมา “ร้านดังขนาดนี้สามารถเร่งงานได้ ฉันคิดว่าคุณควรจะดูประเภทของบัตรสมาชิกใบนี้ซะก่อน…”


อวี๋ชิงหย่าเคยฟังบิดาเล่าว่า ร้านนี้ที่บอกว่าตัดเย็บที่ต่างประเทศนั้นเป็นแค่การยกระดับแบรนด์ร้านให้ดูดีเท่านั้น อวี๋เฮ่าหรานยังเคยสั่งตัดชุดเสร็จภายในสองวันเลย


“แน่นอนว่า ทุกอย่างต้องมีข้อยกเว้น”


ผู้จัดการร้านก้มมองดูชนิดและข้อมูลบนบัตรแล้วจึงยิ้มออกมา พูดกับอวี๋ชิงหย่าว่า “ความปรารถนาของลูกค้าเป็นหน้าที่ของพวกเรา ผมคิดว่าเราทำตามที่คุณลูกค้าต้องการได้ครับ  แต่ว่าคุณผู้หญิงการเร่งตัดชุดภายในสามวันนั้นต้องจ่ายถึงหนึ่งแสนเชียวนะครับ!”


“ไม่มีปัญหา ต้องเร่งให้เสร็จทั้งสองชุด รีบวัดตัวให้เขาเถอะ!”


อวี๋ชิงหย่าตกลง ไม่ว่าจะหมั้นหรือแต่ง หญิงสาวก็หวังว่าจะมีเพียงแค่ครั้งเดียวในชีวิต ต่อให้ต้องจ่ายมากกว่านี้ เธอก็ไม่ปฏิเสธ


ได้ยินราคาจากปากของผู้จัดการ เยี่ยเทียนอดอุทานออกมาไม่ได้ “จ้างพระต่างชาติมาสวดมนต์นี่ดีจริง วันหลังฉันต้องไปเที่ยวต่างประเทศบ้างแล้ว!”


ถ้าไม่ต้องคำนึงถึงความรู้สึกของชิงหย่ากับหน้าตาของพ่อฝ่ายหญิง เยี่ยเทียนคงจะไปแถววัดเฉิงหวงเพื่อหาซื้อชุดสูทราคาไม่กี่ร้อยก็พอ ราคาแพงขนาดนี้ จะกินเลือดกินเนื้อกันหรือยังไง!”


ผู้จัดการชาวต่างชาติที่วัดตัวให้เยี่ยเทียนอยู่นั้นไม่เข้าใจความหมายของเขา ตีหน้าสงสัยถามว่า”พระ อ๋อ คุณผู้ชาย ร้านเราไม่ได้ตัดชุดพระนะครับ ความปรารถนาข้อนี้ของลูกค้า กระผมคงทำให้ไม่ได้!”


“รู้แล้ว คุณช่วยรีบหน่อยได้ไหม เรายังต้องไปซื้อของอีกมาก!” เยี่ยเทียนได้แต่ยิ้มแห้ง อวี๋ชิงหยาที่รออยู่ข้างๆแอบขำออกมา


สั่งชุดเสร็จแล้ว อวี๋ชิงหย่าพาเยี่ยเทียนไปที่ศูนย์การค้าใหญ่ ที่ร้านรองเท้าหนังเธอซื้อรองเท้าหนังให้เยี่ยเทียนคู่หนึ่ง แล้วก็เสื้อเชิ้ตสีขาวที่ใส่ไว้ด้านใน กว่าจะกลับไปถึงบ้าน ทั้งรถก็เต็มไปด้วยของที่ซื้อให้เยี่ยเทียนทั้งนั้น


บ่ายวันถัดมา เยี่ยตงผิงมาถึงเซี่ยงไฮ้ เขายังสงสัยในการตัดสินใจของเพื่อนเก่าอยู่ไม่คลาย เมื่อได้คุยกับเพื่อนเก่าเป็นการส่วนตัวแล้ว ก็ไม่พูดอะไรอีก


อิทธิพลของตระกูลซ่ง เยี่ยตงผิงรู้ซึ้งดีกว่าอวี๋เฮ่าหราน ตอนนั้นมักดูในโทรทัศน์ว่าคนจับนกเป็ดน้ำคู่รักแยกออกยังไง ไม่อย่างนั้นป่านนี้ครอบครัวของเขาอาจจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข


ดังนั้นเยี่ยตงผิงรู้สึกไม่พอใจคนตระกูลซ่ง แต่ก็ไม่อยากจะไปหาเรื่องด้วย เขาหวังเพียงว่า ลูกชายหมั้นหมายแล้วไปจากเซี่ยงไฮ้ เรื่องพวกนี้ก็จะจบลง


คืนนั้นอวี๋เฮ่าหรานจัดงานเลี้ยงต้อนรับเพื่อนเก่าและผู้ที่กำลังจะดองญาติไปพร้อมกัน แต่เขาคออ่อนเหมือนเดิม รวมทั้งลูกสาวที่กำลังจะแต่งออกไป จึงอารมณ์ไม่ดีนัก ดื่มเพียงไม่กี่แก้วก็ล้มตัวลงบนเตียงหลับไป


อวี๋เฮ่าหรานดื่มจนเมา งานเลี้ยงจึงสิ้นสุดลง เยี่ยเทียนกับพ่อชงน้ำชา นั่งอยู่ในสวนวิลล่า เทศกาลปีใหม่เพิ่งผ่านไป ยังได้ยินเสียงพลุดอกไม้ไฟดังอยู่ภายนอก


“พ่อ ตอนบ่ายพ่อคุยอะไรกับลุงอวี๋น่ะ?” เยี่ยเทียนถามตามตรง เขาดูออกว่าทั้งลุงอวี๋และพ่อพอคุยกันแล้วอารมณ์กลับไม่ค่อยดีทั้งคู่


“ไม่มีอะไร แค่เรื่องธุรกิจเอง…”


เยี่ยตงผิงโบกมือ ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าหยิบเอากล่องเครื่องประดับออกมาสองกล่อง “กำไลอันนั้นเป็นสมบัติตกทอดของตระกูลเรา แม่ของแกไม่มีวาสนาจะได้ใส่มัน เอาไว้เมื่อถึงเวลา แกมอบให้ชิงหย่าด้วย…”


เยี่ยเทียนรับเครื่องประดับไว้ แล้วชี้ไปที่ของอีกชิ้น “พ่อ แล้วนั่นอะไร?”


“นั่นเป็นแหวนเพชรคู่ ตอนนี้วัยรุ่นฮิตใส่แหวนกัน พ่อลงจากเครื่องบินแล้วไปซื้อที่ร้านเหล่าเฟิ่งเสียงมาโดยเฉพาะ…”


ปกติแล้วเยี่ยตงผิงยุ่งแต่กับการค้า ไม่ค่อยได้ใส่ใจเรื่องของลูกชายมากนัก การหมั้นของลูกชายครั้งนี้ เขาตั้งใจว่าถึงต่อให้ขุดสมบัติครอบครัวออกมาทั้งหมดก็จะทำ แหวนเพชรคู่นี้เขาซื้อมาด้วยราคาสองแสนกว่า การเงินในบ้านที่เพิ่งจะเริ่มดีขึ้น ตอนนี้กลับมาตึงเครียดอีกครั้ง


“แหวน? ขอบคุณมากครับพ่อ…”


เยี่ยเทียนเคยพาอวี๋ชิงหย่าไปที่ร้านเหล่าเฟิ่งเสียงแล้วครั้งหนึ่ง แม้แหวนเพชรเม็ดเท่าขี้ตายังราคาตั้งหลายหมื่น เงินในกระเป๋ามีไม่ถึง เขาจึงได้แต่สัญญากับชิงหย่าว่า วันหน้าจะต้องซื้อเพชรเม็ดเท่าไข่นกกระทาให้อวี๋ชิงหย่าสวมได้แน่นอน


แต่เยี่ยเทียนคิดไม่ถึงเลยว่าพ่อของเขาจะเตรียมไว้ให้แล้ว แหวนเพชรคู่นี้ดูราคาไม่น่าจะต่ำกว่าสองแสน


เยี่ยเทียนพอจะรู้ว่าช่วงนี้การเงินของพ่อค่อนข้างจะตึงเครียด มองดูพ่อที่จอนผมเปลี่ยนเป็นสีขาวแล้วยังต้องมาลำบากเพื่อลูกอีก ในใจรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก


เยี่ยตงผิงหัวเราะแล้วลูบหัวลูกชายเบาๆ “เอาเถอะ เก็บไว้ให้ดี บ้านอวี๋เป็นคนมีหน้ามีตาในเซี่ยงไฮ้  เราจะขี้เหนียวไม่ได้!”


“พ่อ วางใจเถอะ บ้านเยี่ยของเราถึงจะเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรได้ง่ายๆหรอก!”


เยี่ยเทียนรับปาก เก็บเครื่องประดับใส่กระเป๋า แล้วเปลี่ยนเรื่องคุย “พ่อ พ่อว่าคนที่ชื่อซ่งเสี่ยวเจ๋อนั่นมีเจตนาอะไรหรือเปล่า?หรือว่าเขาชอบชิงหย่าจริง?”


“แกว่าอะไรนะ?!”


เยี่ยตงผิงที่กำลังยกชาขึ้นดื่ม พอได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนก็มือสั่นทำน้ำชาหกใส่หน้าอกตัวเอง “เยี่ยเทียน แก… แกรู้เรื่องนี้ได้ยังไง?เหล่าอวี๋บอกว่าไม่ได้เล่าให้แกฟังหนิ!”


เยี่ยตงผิงรู้จักลูกชายดี โดยเฉพาะวิธีการบางอย่างของผู้เป็นลูก ถ้าหากเยี่ยเทียนอยากได้อะไรสักอย่าง ในโลกนี้คงไม่มีใครห้ามเขาได้


แต่สิ่งที่เยี่ยตงผิงกลัวก็คือสิ่งนี้เช่นกัน ความสามารถของคนมีขีดจำกัด ถ้าเยี่ยเทียนทำเกินเหตุจนทำให้เป็นจุดสนใจของทางการ ต่อให้เขามีสิบกรอย่างทศกัณฑ์ก็ช่วยไม่ได้


“พ่อ เรื่องที่ผมอยากรู้น่ะ ใครจะปิดบังผมได้?”


เยี่ยเทียนหัวเราะแล้วพูดต่อ “เรื่องนี้ถ้าเป็นเหตุบังเอิญก็แล้วไป แต่ถ้ามีคนวางแผนทำลายบ้านเราล่ะก็ ผมจะทำให้มันรู้สึกเสียใจที่เกิดมาบนโลกนี้ แค่พวกตระกูลซ่ง รุ่งเรืองมาเป็นร้อยปี คงถึงเวลาพินาศของพวกเขาแล้ว!”


เมื่อได้รับรู้เรื่องราวความบาดหมางในอดีตของตระกูลเยี่ยกับตระกูลซ่ง เยี่ยเทียนรู้สึกคับแค้นใจ แต่ก็ไม่ได้ไปตัดสินว่าตอนนั้นใครผิดใครถูก เพราะมันเป็นบุญคุณความแค้นของคนรุ่นก่อน จนถึงสองพ่อลูกตอนนี้ก็สมควรจะยุติลงได้แล้ว


แต่วันนี้เยี่ยเทียนทำนายชะตาตัวเองแล้วพบว่ามีอันตรายบางอย่างกำลังย่างกรายมาสู่ตัวเขา ถึงจะบอกว่าหมอดูห้ามดูดวงตัวเอง แต่ด้วยพลังวิชาของเขาก็สามารถรับรู้ได้ถึงภยันตรายที่กำลังมาเยือน


จุดเริ่มต้นของภัยร้ายก็คือจากคนที่ชื่อซ่งเสี่ยวเจ๋อคนนั้น เยี่ยเทียนเดาออกว่าที่ซ่งเสี่ยวเจ๋อมาตามจีบชิงหย่านั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เพราะมีเป้าหมายคือตัวเยี่ยเทียน


แต่โบราณมา หมอดูฮวงจุ้ยส่วนใหญ่จะไม่ค่อยสุงสิงกับใคร และมีความคิดอ่านต่างจากคนทั่วไป ส่วนใหญ่ไม่ยอมให้ใครเอาเปรียบมีแต่จะเอาเปรียบคนอื่น นักพรตเฒ่าเมื่อก่อนก็เป็นแบบนี้ แล้วยังเคยฆ่าคนมาไม่น้อย


แต่ตอนนั้นเป็นกลียุค เลยไม่มีใครไปตามเอาผิดนักพรตเฒ่า หลี่ซ่านหยวนรู้ถึงความอำมหิตในใจของเยี่ยเทียน กลัวว่าอนาคตจะฆ่าคนเป็นผักปลา จึงนำพาเยี่ยเทียนเข้าสู่วิถีเต๋า เพื่อดัดนิสัยฝึกจิตใจให้อ่อนลง


แต่ตอนนี้เยี่ยเทียนไม่สามารถควบคุมพลังความโหดร้ายในใจของตัวเองได้


การที่เขาสูญเสียมารดาไปตั้งแต่เล็ก เป็นฝีมือคนตระกูลซ่ง เพราะตระกูลซ่งทำให้พ่อของเขาต้องโดดเดี่ยวมาตลอดยี่สิบกว่าปี!แล้วก็เป็นตระกูลซ่งอีกเช่นกัน ที่ตอนนี้จะกลับมาจัดการกับเขา เยี่ยเทียนพยายามกดข่มความเคียดแค้นในใจ แต่ควบคุมไม่ไหวจนระเบิดออกมา


ปลายราชวงศ์ชิง มีหมอดูที่มีวิชาอาคมกลุ่มหนึ่งในยุทธภพใช้วิธีเปลี่ยนแปลงทางมังกรเพื่อเปลี่ยนดวงเมือง ตอนนี้วิชาของเยี่ยเทียนไม่ได้ด้อยกว่าคนพวกนั้น ถ้าเขาอยากจะให้ตระกูลซ่งพังพินาศ ก็จะไม่เพียงพูดแต่ลมปาก เพียงแต่อาจมีสิ่งแลกเปลี่ยนบ้าง เยี่ยเทียนจะต้องทำให้สำเร็จ


เห็นลูกชายยิ้มเย็นแบบนั้น เยี่ยตงผิงหวั่นใจ รีบเตือนลูกชายว่า “เยี่ยเทียน แก…แกใจเย็นก่อน อย่าทำเรื่องโง่ๆเป็นอันขาด คนๆนั้น อาจจะไม่ได้พุ่งเป้ามาที่แกก็ได้!”


“พ่อ จะใช่หรือไม่ผมรู้ดีอยู่แก่ใจ พ่อวางใจเถอะ นักปราชญ์ไม่ยืนอยู่บนคมหอกแห่งอันตราย ผมจะไม่ยอมถูกเอาเปรียบอยู่ฝ่ายเดียวแน่…”


เยี่ยเทียนรู้ว่าตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อร้อยปีก่อน ยุคสมัยของจอมยุทธเจ้าสำราญหมดไปแล้ว เยี่ยเทียนเองก็ไม่ใช่คนชอบใช้กำลัง ในโลกของหมอดูฮวงจุ้ย คนธรรมดานั้นไม่อาจเข้าถึง


“แก…แกเจ้าเด็กบ้า แกไม่ได้ฟังที่ฉันพูดเหรอ?!”


เห็นท่าทางใจลอยของลูกชาย เยี่ยตงผิงพอจะรู้ว่าคำพูดของเขาไม่ได้เข้าหูของลูกชายสักประโยค ตอนนี้คงกำลังคิดวิธีเล่นงานฝ่ายตรงข้ามอยู่


“ได้ พ่อบอกแกก็ได้!”


เมื่อเห็นว่าห้ามลูกชายไม่ได้แล้ว เยี่ยตงผิงถอนใจออกมา เล่าให้ลูกชายฟังต่อ “แม่ของแกน่ะสองปีมานี้ก็ติดต่อฉันอยู่ตลอด เขากำลังพยายามให้ครอบครัวของเราได้อยู่ร่วมกันอีกครั้ง แกอย่าทำให้เสียเรื่องเชียว!”

ตอนที่ 239

 

หมั้นหมาย (3)

โดย

Ink Stone_Fantasy

“แม่ผม?”


เมื่อได้ยินเยี่ยตงผิงเปล่งคำนั้นออกมาจากปาก เยี่ยเทียนก็ตะลึงจังงัง จิตสังหารตลอดร่างอันตรธานไปหมดทันที ตั้งแต่โตมาจนป่านนี้ พ่อก็เพิ่งจะเคยเอ่ยถึงเรื่องแม่กับเขาเป็นครั้งแรกนี่แหละ


เยี่ยเทียนยื่นมือออกไปแตะหน้าผากพ่อ แล้วถามว่า “พ่อ นี่พ่อ…ดื่มเหล้าเยอะไป จนหัวมึนคิดถึงแม่ผมขึ้นมารึเปล่าเนี่ย?”


ในความคิดของเยี่ยเทียน พ่อของเขาเป็นคนที่ยึดมั่นในความรักอย่างลึกซึ้ง ทั้งที่มีชีวิตอยู่ตามลำพังมาตั้งหลายปีแล้ว แต่เยี่ยเทียนก็ยังไม่เคยเห็นพ่อมีความคิดที่จะหาแม่ใหม่ให้เขาเลย มีแต่เฝ้ารอผู้หญิงคนนั้นอย่างเงียบๆ มาตลอด


ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าพ่อมีความสามารถมากแค่ไหน ลำพังเฉพาะประเด็นนี้ ก็ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกยกย่องนับถือบิดาอย่างสุดใจแล้ว จะว่าไปแล้วในสังคมปัจจุบันนี้ ไม่ว่าใครๆ พอมีเงินเข้าหน่อยก็ต้องไปหาอีหนูมาเลี้ยงกันทั้งนั้น ความแน่วแน่มั่นคงของเยี่ยตงผิงนั้น ทำให้คุณธรรมประจำใจของบิดาได้เป็นที่ประจักษ์แก่เยี่ยเทียนแล้ว


เยี่ยตงผิงปัดมือของลูกชายออก แล้วตอบอย่างขุ่นเคือง “ไปไกลๆ เลยไป พ่อแกดื่มเหล้าแค่นี้เองจะนับเป็นอะไรได้ แกอยากจะฟังเรื่องเกี่ยวกับแม่แกไหมหา?”


“พ่อ นี่พูดจริงหรือครับ?” เยี่ยเทียนได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไป พยายามปกปิดรอยยิ้มกรุ้มกริ่มของตัวเอง พลางมองไปที่บิดาอย่างจริงจังเต็มที่


“ก็ต้องจริงน่ะสิ เมื่อสองปีก่อนแม่แแกมาเจอกับพ่อแล้ว ก็คือช่วงที่แกขึ้นไปอยู่บนเขาเป็นเพื่อนอาจารย์นั่นแหละ…”


ที่แท้ ตอนที่เยี่ยตงผิงกลับไปที่ปักกิ่งเมื่อสองปีก่อน จู่ๆ เขาก็ได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง ซึ่งทำให้เยี่ยตงผิงในขณะนั้นตะลึงอึ้งไปเลย เพราะลายมือบนซองจดหมายนั้น เป็นลายมือที่เขาไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต


ในจดหมายที่เขียนไว้เต็มกระดาษสิบกว่าหน้านี้ ซ่งเวยหลันได้เล่าประสบการณ์ที่เธอต้องบากบั่นอยู่ต่างประเทศตลอดสิบกว่าปีมานี้ และเปิดเผยว่า เธอเฝ้าติดตามดูชีวิตของเยี่ยเทียนกับพ่อมาตลอด ความรักและคิดถึงที่เธอมีต่อลูกชายนั้นเอ่อล้นออกมาเป็นถ้อยคำในจดหมาย


ตอนท้ายของจดหมาย ซ่งเวยหลันบอกเยี่ยตงผิงว่า เธอครองสถานะเป็นโสดมาตลอด และเยี่ยตงผิงก็เป็นสามีเพียงคนเดียวของเธอ เพื่อที่จะได้มาอยู่พร้อมหน้ากับพวกเขาสองพ่อลูก ซ่งเวยหลันเองก็กำลังดำเนินการตระเตรียมอยู่


ในสองปีที่ผ่านมานี้ เยี่ยตงผิงยังใช้ช่องทางเร้นลับบางอย่างเพืื่อรับการติดต่อจากภรรยาอีกหลายครั้ง จึงรู้ว่าเธอเริ่มย้ายศูนย์กลางธุรกิจมาไว้ในประเทศแล้ว เพื่อให้เยี่ยเทียนสามารถรับสืบทอดอาณาจักรธุรกิจอันยิ่งใหญ่นั้นในอนาคตได้ ที่ผ่านมาเธอจึงได้ทุ่มเทความพยายามลงไปมาก


หลังจากเล่าเรื่องเหล่านี้ให้เยี่ยเทียนฟังจนจบ เยี่ยตงผิงก็ถอนหายใจ “แม่แกน่ะทั้งเก่งกาจ ทั้งชอบเอาชนะ แล้วก็รักแกเอามากๆ ด้วย ไม่ยอมให้แกต้องรับความลำบากในอนาคตเลยแม้แต่นิดเดียว!”


“พ่อ แม่คอยเฝ้าดูเรามาตลอดเลยหรือครับ?” พอฟังพ่อเล่าจบ เยี่ยเทียนก็นิ่งอึ้งไป


เขาไม่นึกเลยว่า มารดาที่ตนครุ่นคิดถึงมาสิบกว่าปีนั้น จะคอยเฝ้าดูการเติบโตของเขามาโดยตลอด เรื่องนี้ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกอัดอั้นตันใจขึ้นมาว่า อุปสรรคอะไรกันแน่ ที่ทำให้แม่ลูกไม่อาจได้พบกัน สามีภรรยาไม่อาจได้อยู่ร่วม?


เยี่ยตงผิงพยักหน้าแล้วตอบว่า “ใช่แล้ว เพราะฉะนั้นเวลาแกจะทำอะไรก็อย่าวู่วาม อย่าให้กระทบไปถึงการงานของแม่แกเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นแม่เขาต้องตกเป็นเป้าโจมตีแน่…”


เยี่ยตงผิงก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ของภรรยาอยู่เหมือนกัน เขารู้ว่า ซ่งเวยหลันมีทรัพย์สินอยู่ในครอบครองอยู่มากมายมหาศาล ดังนั้นการตัดสินใจแต่ละอย่างของเธอจึงกลายเป็นที่จับตาของผู้คนมากมาย


ภาษิตว่า ทรัพย์สินสั่นคลอนใจคนได้ โดยเฉพาะในครอบครัวตระกูลใหญ่ๆ มักจะมีเหตุพ่อลูกบาดหมางกัน รึไม่ก็พี่น้องกลายเป็นคู่แค้นเกิดขึ้นอยู่ถมเถไป ถ้าเรื่องที่ซ่งเวยหลันมีลูกชายเผยแพร่ออกไป ผ่านไปไม่นานอาจจะมีข่าวการตายของเยี่ยเทียนเกิดขึ้นมาก็เป็นได้


เพื่อความปลอดภัยของลูกชาย เยี่ยตงผิงจึงเห็นด้วยกับความคิดของภรรยาอย่างยิ่ง ว่าควรจะรอให้สถานการณ์มีความมั่นคงก่อน แล้วถึงจะให้เยี่ยเทียนปรากฏตัวได้ เยี่ยตงผิงถึงได้บอกให้ลูกชายใจเย็นๆ ไว้ อย่าเปิดเผยสถานะของตัวเองเร็วเกินไป


“ยุ่งเพราะเรื่องเงินอีกแล้ว…”


เมื่อได้ฟังพ่ออธิบาย เยี่ยเทียนก็ชักจะซึมเซาลงไป แล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “พ่อ ถ้าแม่ยอมตัดใจละทิ้งเงินพวกนั้นไปได้ แม่ก็จะมาอยู่กับพวกเราได้แล้วใช่ไหมครับ?”


ความใฝ่ฝันอันสูงสุดตั้งแต่เยี่ยเทียนยังเด็กก็คือ การได้อยู่กันพร้อมหน้ากับพ่อแม่ ความปรารถนานี้ต่อให้มีเงินมากมายแค่ไหนก็ซื้อมาไม่ได้ ถึงเยี่ยเทียนจะไม่รู้ว่ามารดามีเงินอยู่เท่าไร แต่เขายอมที่จะไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว แลกกับการให้มารดากลับมาอยู่กับตน


เยี่ยตงผิงหัวเราะอย่างขมขื่น “ตอนนี้ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ว่าแม่แกจะยอมหรือไม่ยอมแล้วล่ะ เพราะมีทรัพย์สินตั้งมากมายปานนั้นอยู่ในครอบครอง แม่เขาก็เลยไม่มีอิสระในหลายๆ เรื่องอยู่เหมือนกัน”


“ก็ได้ครับพ่อ ผมรู้แล้วครับ ผมจะไม่วู่วาม หลังจากเสร็จงานหมั้นกับชิงหย่าแล้ว เราก็กลับปักกิ่งกันเลยนะ!”


เยี่ยเทียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบไป แต่เขาก็ไม่ได้บอกพ่อเรื่องที่เขาทำนายได้ว่าจะมีคนปองร้าย เพราะถึงจะบอกเยี่ยตงผิงไป ก็มีแต่จะเพิ่มเรื่องเครียดให้พ่อไปเปล่าๆ


แต่ในใจเยี่ยเทียนก็มีความระแวงตื่นตัวมากขึ้น ดูท่าคงจะมีใครบางคนรู้เกี่ยวกับตัวตนของเขามานานแล้ว และก็เหมือนจะเริ่มเคลื่อนไหวแล้วด้วย


“จะเป็นใครกันนะ?” เยี่ยเทียนเอนกายพิงพนักเก้าอี้ แล้วหลับตาลงเบาๆ แต่สมองกำลังโลดแล่นอย่างรวดเร็วราวกับคอมพิวเตอร์


“ซ่งอิงหลัน ตอนที่เราถูกคนอื่นพบ จะต้องเป็นตอนที่เกิดเรื่องในสโมสรอิงหลันแน่ๆ!”


เยี่ยเทียนลืมตาโพลงขึ้นมาในฉับพลัน ที่จริงแล้วตั้งแต่เกิดเรื่องที่สโมสรอิงหลันเมื่อครั้งนั้น เยี่ยเทียนก็รู้สึกเหมือนถูกคนจับตาดูอยู่มาเป็นเวลานานได้ระยะหนึ่งแล้ว


แต่เมื่อเขาออกจากปักกิ่ง ความรู้สึกนี้ก็หายไป เยี่ยเทียนจึงไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย แต่ตอนนี้เมื่อลองคิดเชื่อมโยงดูแล้ว เยี่ยเทียนก็ได้คำตอบในทันที


“เป็นคนตระกูลซ่งเหมือนกัน แม่คงจะจัดการกับพวกนั้นไม่ลงหรอกมั้ง?เอาเถอะ…ถ้าจะมาหาเรื่องกับเราจริงๆ ละก็ ไม่แน่นี่อาจเป็นโอกาสที่จะได้ช่วยแม่ขจัดขวากหนามก็ได้นะ!”


หลังจากครุ่นคิดจนกระจ่างแล้ว รอยยิ้มเย็นเยียบก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเยี่ยเทียน อาศัยพลังฝีมือทางศาสตร์พยากรณ์ของเขาในตอนนี้ และความสามารถในการรับมือกับภัยอันตรายแล้ว ขอเพียงฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ยกพลทั้งกองทัพมาล้อมจับเขา เยี่ยเทียนก็มั่นใจว่าตนจะต้องรอดพ้นไปได้โดยปลอดภัยอย่างแน่นอน


……………………


“เยี่ยเทียน ทำไมฉันไม่เห็นเคยรู้มาก่อนเลยล่ะว่านายหล่อขนาดนี้?ไม่ได้การ นายถอดชุดสูทฝรั่งออกซิ แล้วเปลี่ยนเป็นชุดจีนให้ฉันดูหน่อย…”


ชุดจากร้านเสื้อผ้าแนวตะวันตกส่งมาถึงบ้านของอวี๋เฮ่าหรานในตอนเช้าวันมะรืน และขณะนี้อวี๋ชิงหย่าก็กำลังบังคับให้เยี่ยเทียนลองชุดอยู่พอดี ปกติเห็นเยี่ยเทียนนุ่งแต่เสื้อผ้าสบายๆ มาจนชินตา ตอนนี้พอเปลี่ยนมาใส่ชุดที่เป็นทางการ ก็ทำให้เห็นแล้วรู้สึกแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง


เดิมทีเยี่ยเทียนก็หน้าตาหล่อเหลาเอาการอยู่แล้ว แต่คนที่ทำอาชีพอย่างเขาไม่ควรจะทำตัวโอ่อ่าเกินไป ดังนั้นเยี่ยเทียนก็เลยต้องสำรวมกิริยาท่าที ปกติจึงดูเป็นคนประเภทที่เห็นแล้วไม่สะดุดตาเลย แต่ก็ไม่ได้ดูน่ารังเกียจอะไร


ภาษิตว่า พระต้องปิดทอง คนต้องนุ่งอาภรณ์ ร้านเสื้อผ้าแนวตะวันตกร้านนี้ถึงจะคิดราคาแพงน่าดู แต่ฝีมือตัดเย็บนั้นถือว่าไม่เลวเลย เมื่อได้สวมใส่ชุดสูทที่ตัดมาพอดีทรง รูปร่างและบุคลิกของเยี่ยเทียนก็ดูโดดเด่นขึ้นมาทันที ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยก็ไม่ปาน


ปกติเยี่ยเทียนไม่พิถีพิถันเรื่องการแต่งกายเลย เคยโดนจู้จี้จุกจิกแบบนี้ที่ไหนกัน?จึงตอบไปอย่างหน้านิ่วคิ้วขมวด “จะเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ต้องถอดออกก่อนน่ะสิ เธอคงไม่มาคอยยืนดูอยู่ข้างๆ หรอกนะ?”


“ใครจะไปดูกันยะ?รีบไปเปลี่ยนเร็วเข้า ฉันอยากเห็นว่าใส่ชุดจีนแล้วจะเป็นแบบไหน!” อวี๋ชิงหย่าทำจมูกย่น ยื่นกำปั้นเล็กๆ ใส่หน้าเยี่ยเทียน แล้วก็ผลุบหายออกไปจากห้อง


“ชุดนี้ไม่เลวเลยนี่นา!” พอเปลี่ยนเป็นชุดสูทคอจีนแล้วส่องกระจกดู เยี่ยเทียนเองก็รู้สึกพึงพอใจมาก ชุดสูทแบบจีนทรงตรงนั้นขับเน้นรูปร่างสูงโปร่งของเขาออกมาได้เป็นอย่างดี เห็นแล้วดูสูงสง่าอย่างยิ่ง


พอเขานุ่งชุดสูทจีนเดินออกมาที่ห้องรับแขก อวี๋เฮ่าหรานและคนอื่นๆ ก็ตะลึงอึ้งกันหมด ไม่นึกเลยว่า พอเยี่ยเทียนเปลี่ยนชุดแล้วจะดูเหมือนกับเปลี่ยนเป็นคนละคนแบบนี้ สุดท้ายจึงลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ให้เยี่ยเทียนใส่ชุดสูทแบบจีนไปเข้าพิธีหมั้น


ตระกูลอวี๋แม้จะไม่ได้เป็นตระกูลที่มีอิทธิพลอันดับต้นๆ ของเมืองเซี่ยงไฮ้ แต่ก็เป็นตระกูลผู้ดีที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงมาตั้งแต่สมัยก่อนสถาปนาประเทศแล้ว การหมั้นหมายของลูกสาวตระกูลอวี๋นี้ จึงกลายเป็นข่าวดังขึ้นมาในบางแวดวง


และนี่ก็ทำให้ผู้คนมากมายคาดเดากันใหญ่ว่าฝ่ายชายนั้นเป็นใคร แต่ที่น่าเสียดายคือ ตระกูลอวี๋เชิญแขกเฉพาะในหมู่ญาติมิตรกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น ส่วนบรรดาคู่ค้าธุรกิจและคนรู้จักในวงสังคมกลับไม่ได้เชื้อเชิญมาเลยสักคน


“เยี่ยเทียน นี่ป้าใหญ่ของฉันเอง”


“เยี่ยเทียน นี่คุณปู่รองนะ ท่านเอ็นดูฉันที่สุดเลยละ”


“เยี่ยเทียน นี่อาสามของฉันนะ หยิบของขวัญมาซิ!”


เวลาหกโมงเย็นในวันเทศกาลแห่งความรักนี้ เยี่ยเทียนและอวี๋ชิงหย่าติดตามอวี๋เฮ่าหรานมายืนอยู่ที่หน้าประตูห้องอาหารของสโมสรแห่งหนึ่งซึ่งได้จองไว้แล้ว เพื่อต้อนรับญาติมิตรที่เดินทางมาถึง


แม้จะเชื้อเชิญมาเพียงส่วนน้อย แต่แม้กระนั้นผู้ที่มาร่วมงานก็ยังมีถึงหนึ่งร้อยกว่าคน เคราะห์ดีที่เยี่ยเทียนมีความจำดี จึงสามารถจดจำญาติโกโหติกาทั้งจากฝั่งพ่อและฝั่งแม่ของอวี๋ชิงหย่าได้หมดทุกคน


“ตอนแต่งงานคงต้องจัดที่ปักกิ่งแล้วละ ไม่อย่างนั้นถ้าเจอแบบนี้อีกรอบนึงละก็ ได้ตายจริงๆ แน่คราวนี้…”


เยี่ยเทียนยิ้มจนหน้าค้างไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นว่าทั้งชีวิตจะมีงานนี้อยู่แค่ครั้งเดียว ด้วยนิสัยที่ไม่ชอบการถูกจำกัดของเขา ป่านนี้ก็คงคิดที่จะแอบหนีไปแล้ว


เมื่อถึงเวลาหกโมงครึ่ง แขกเหรื่อก็มากันเกือบครบแล้ว ขณะที่อวี๋เฮ่าหรานกำลังจะพาเยี่ยเทียนกลับไปที่ห้องอาหาร เสียงหนึ่งก็พูดขึ้นมาว่า “ลุงอวี๋ครับ พิธีหมั้นหมายของน้องสาวบ้านอวี๋นี่ กระผมมาโดยไม่ได้รับเชิญ คุณลุงคงไม่ถือสาหรอกนะครับ?”


พร้อมกับเสียงนั้น ชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปีคนหนึ่งเดินมาถึงหน้าประตูด้วยใบหน้ายิ้มระรื่น พร้อมทั้งหอบช่อดอกไม้ใหญ่เท่าครึ่งตัวคนมาด้วย


เมื่อเห็นว่าผู้ที่มาเป็นใคร ถึงในใจอวี๋เฮ่าหรานจะรู้สึกเซ็งสุดขีด แต่ใบหน้าก็ยังคงยิ้มแย้ม กล่าวทักทายว่า “ผมจะไปกล้ารบกวนประธานซ่งให้มางานหมั้นของลูกสาวได้ยังไงกันล่ะครับ มาครับ เชิญนั่งด้านในเลย!”


“ฮ่ะๆ น้องชิงหย่ากับคุณคนนี้ ยินดีด้วย ยินดีด้วยนะครับ!”


ซ่งเสี่ยวเจ๋อวางช่อดอกไม้ไว้ตรงทางเข้าห้องอาหาร รอยยิ้มบนใบหน้านั้นแลดูจริงใจเป็นที่สุด จนดูไม่ออกเลยว่า ช่วงก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน เขายังเพิ่งจะส่งช่อดอกไม้มาจีบอวี๋ชิงหย่าวันละช่ออยู่เลย


“ขอบคุณครับ คุณคือคุณซ่งสินะ?เชิญด้านในเลยครับ…” เยี่ยเทียนเองก็มีใบหน้ายิ้มแย้มเช่นกัน หลังจากจับมือทักทายฝ่ายตรงข้ามแล้ว ก็มีคนมาพาซ่งเสี่ยวเจ๋อไปนั่งตรงที่นั่งด้านใน


“ไม่รู้จักเจียมตัวเลยนะแก ยังจะกล้ามาโผล่หน้าอีกรึ?” เยี่ยเทียนยิ้มแฉ่งยิ่งกว่าเดิมอีก เขากำลังคิดอยู่พอดีเลยว่า ต้องทำอย่างไรถึงจะไปหาคุณชายซ่งคนนี้ได้ ไม่นึกเลยว่าวันนี้ฝ่ายนั้นจะมาหาเองถึงที่


ชั่วขณะที่จับมือกันเมื่อครู่นี้ เยี่ยเทียนดูจากรอยยิ้มของซ่งเสี่ยวเจ๋อแล้วสัมผัสได้ว่ามีจิตสังหารแฝงอยู่ ทำให้ได้รู้ว่าข้อสันนิษฐานของเขาเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้ผิดไปเลย ฝ่ายตรงข้ามรู้มาก่อนนานแล้วว่าเขาเป็นใคร


“ไว้ฉันเสร็จธุระวันนี้ก่อนเถอะ แล้วจะมาจัดการกับแก…” เยี่ยเทียนเหลือบตามองซ่งเสี่ยวเจ๋อแวบหนึ่ง แล้วเดินตามหลังอวี๋เฮ่าหรานไปยังมุมหนึ่งในห้องอาหารที่มีตัวอักษรมงคลประดับไว้


ซ่งเสี่ยวเจ๋อซึ่งกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะจะต้องคาดไม่ถึงแน่ๆ ว่า คนที่เขาวางอุบายหมายมั่นที่จะจัดการนั้น กลับเห็นเขาเป็นเหมือนคนตายคนหนึ่งตั้งแต่แรกแล้ว

ตอนที่ 240

 

รถชน

โดย

Ink Stone_Fantasy


เทียบกับตอนที่ยืนรับแขกอยู่หน้าประตูแล้ว ในระหว่างที่พิธีหมั้นกำลังดำเนินไป เยี่ยเทียนกลับรู้สึกผ่อนคลายมากกว่าเดิม


ท่ามกลางการอวยพรของญาติมิตร เยี่ยเทียนกับอวี๋ชิงหย่าแลกแหวนหมั้นกัน จากนั้นก็คารวะน้ำชาให้ผู้ใหญ่ของทั้งสองตระกูล และแล้วพิธีการแบบกึ่งจีนกึ่งฝรั่งนี้ก็เสร็จสมบูรณ์ลง


เมื่อถึงเวลาสามทุ่มกว่าๆ งานเลี้ยงอาหารค่ำก็สิ้นสุดลง หลังจากส่งแขกที่หน้าประตูแล้ว อวี๋เฮ่าหรานและคนอื่นๆ ก็กลับไปที่บ้าน แม้ว่าการปรากฏกายของซ่งเสี่ยวเจ๋อในวันนี้จะทำให้อวี๋เฮ่าหรานตื่นตระหนกไปบ้าง แต่ก็ยังดีที่ไม่ได้เกิดเรื่องวุ่นวายอะไรขึ้นในงาน


หลังจากยุ่งกันมาทั้งวัน ทุกคนต่างก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อย อวี๋เฮ่าหรานมองดูเยี่ยเทียนที่ทั้งตัวมีแต่กลิ่นสุรา แล้วบอกว่า “เยี่ยเทียน ไปอาบน้ำนอนเถอะ เที่ยวบินพรุ่งนี้เช้าน่ะ ชิงหย่าจะกลับไปปักกิ่งกับพวกเธอด้วยนะ!”


“รู้แล้วครับพ่อ ผมจะดูแลชิงหย่าอย่างดีเลย…” ตั้งแต่ในพิธีหมั้นเยี่ยเทียนก็เปลี่ยนมาเรียกเขาว่าพ่อแทน ทำให้อวี๋เฮ่าหรานฟังแล้วรู้สึกปลาบปลื้มใจอย่างยิ่ง ตัวเขาเองไม่มีลูกชาย ลูกเขยอย่างเยี่ยเทียนจึงเหมือนเป็นลูกชายของเขาครึ่งหนึ่ง


“ภรรยาที่รัก คืนนี้มานอนด้วยกันไหมล่ะ?” เยี่ยเทียนเพิ่งจะทำตัวเรียบร้อยได้เดี๋ยวเดียว ก็เริ่มออกลายมาอีกแล้ว พูดจนอวี๋ชิงหย่าหน้าแดงแปร๊ด ทำเสียงถุยใส่เยี่ยเทียนทีหนึ่ง แล้วก็เผ่นกลับไปที่ห้องของตัวเอง


เมื่อเห็นลูกเขยหยอกเอินลูกสาวต่อหน้าตัวเองแบบนี้ อวี๋เฮ่าหรานก็ด่าออกไปอย่างทั้งขำทั้งโมโห “เจ้าบ้านี่ ไว้แต่งงานก่อนเถอะค่อยพูดเรื่องนั้น ถ้ายังพูดจาเหลวไหลอีกเดี๋ยวก็เอาแกไปทิ้งเลยนี่!”


“แหะๆ ผมดื่มหนักไปหน่อยน่ะครับพ่อ ดื่มหนักไปหน่อย ผมจะกลับไปอาบน้ำที่ห้องเดี๋ยวนี้แหละครับ…” เยี่ยเทียนหัวเราะแหะๆ แล้วเดินโซเซขึ้นบันไดไปยังห้องที่อยู่บนชั้นสอง


แต่ทว่าทันทีที่ปิดประตูห้องลง ดวงตาของเยี่ยเทียนที่ตอนแรกยังดูมึนเมาง่วงงุนอยู่นั้น ก็กลับเป็นประกายแจ่มใสขึ้นมาในทันใด ดูเหมือนคนเมาสติเลื่อนลอยอย่างเมื่อครู่นี้ที่ไหนกัน?


“พรุ่งนี้ก็ต้องไปแล้ว คงต้องจัดการให้เสร็จในวันนี้แล้วละ!”


แม้ว่าหลังจากที่ถูกพ่อตักเตือนไป เยี่ยเทียนก็ไม่คิดที่จะทำอะไรกับสุสานตระกูลซ่งอีกแล้ว แต่กับคนที่แสดงท่าทีไม่เป็นมิตรกับเขานั้น เยี่ยเทียนไม่มีทางใจอ่อนรามือให้เด็ดขาด


ตามที่พรตเฒ่าเคยกล่าวไว้ หากให้อภัยได้ก็จงให้อภัยเสีย แต่ถ้ามีสุนัขบ้ามากัดละก็ จะต้องสังหารมันเสีย เพื่อไม่ให้สุนัขบ้าตัวนี้ไปทำร้ายคนอื่นอีก


สายน้ำที่ไหลรินออกมาจากฝักบัวนั้นไม่ใช่น้ำร้อน แต่เป็นน้ำที่เย็นปานน้ำแข็ง น้ำที่เย็นเฉียบไปถึงกระดูกนั้นกระหน่ำลงบนร่างของเยี่ยเทียน ทำให้ขนลุกชันขึ้นมาทันที แต่เยี่ยเทียนกลับมีสีหน้าพึงพอใจอย่างยิ่ง


เยี่ยเทียนหลับตาทั้งคู่ลงเบาๆ แล้วกระตุ้นพลังชี่ดั้งเดิมภายในกาย กลิ่นอายของสุราคละคลุ้งไปทั่วห้องอาบน้ำทันที เพราะสุราที่เขาดื่มไปในวันนี้ถูกขับออกมาจากร่างจนหมด


หลังจากผ่านไปห้าหกนาที เยี่ยเทียนก็เดินออกมาจากห้องน้ำโดยที่ไม่มีกลิ่นสุราหลงเหลืออยู่บนร่างเลย หลังจากหาชุดชั้นในออกมาหนึ่งชุด เยี่ยเทียนก็รื้อเอาเสื้อแจ็กเก็ตสีดำตัวหนึ่งที่ซื้อจากในเมืองออกมา


“คืนเดือนมืด ลมพัดแรง เหมาะเป็นเวลาฆ่าคนพอดี!”


เขานั่งอยู่ในห้องเงียบๆ ไปหนึ่งชั่วโมงเศษ เมื่อเข็มนาฬิกาชี้ไปที่เวลาเที่ยงคืน เยี่ยเทียนก็ลุกขึ้นมา แล้วเปิดหน้าต่างจากชั้นสอง เงาสีดำร่างหนึ่งโรยตัวลงไปบนพื้นโดยปราศจากสุ้มเสียง


เทศกาลตรุษจีนเพิ่งจะผ่านพ้นไป อากาศยังคงค่อนข้างหนาวเย็น อีกทั้งเป็นเวลากลางดึก ตามถนนในหมู่บ้านจึงไม่มีคนเดินอยู่เลยสักคน แม้แต่ยามรักษาความปลอดภัยก็ยังขดตัวดูโทรทัศน์อยู่ในห้อง


แต่เมื่อออกมาพ้นเขตหมู่บ้าน ความเจริญรุ่งเรืองของเมืองเซี่ยงไฮ้ก็ปรากฏแก่สายตา อากาศอันหนาวเย็นไม่ได้ส่งผลต่อความรื่นเริงของเทศกาลแห่งความรักนี้เลย ตามถนนหนทางยังคงมีคู่รักหนุ่มสาวเดินจูงมือกันอยู่หลายคู่ ใบหน้าเปี่ยมล้นด้วยรอยยิ้มอันสุขใจ


โดยเฉพาะตามผับตามบาร์ ขณะนั้นกำลังเป็นช่วงเวลาที่กิจการคึกคักที่สุด มีคนเดินเข้าเดินออกอยู่อย่างไม่ขาดสาย


ถนนเหิงซานเป็นย่านสถานบันเทิงเริงรมย์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเมืองเซี่ยงไฮ้ ต้นเมเปิลฝรั่งเศสที่ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น ทางเท้าพร้อมรั้วกั้นแบบยุโรป และบ้านหลังเดี่ยวพร้อมสวนดอกไม้นานาพันธุ์แบบยุโรปนั้น สามารถถ่ายทอดความรุ่งเรืองและบรรยากาศของเซี่ยงไฮ้ในอดีตได้อย่างสมบูรณ์แบบ


ขณะนั้นเยี่ยเทียนกำลังนั่งในร้านกาแฟที่มีแสงสลัวๆ ร้านหนึ่งบนถนนเหิงซาน โดยนั่งหันหน้าไปที่ถนน เมื่อมองผ่านกระจกหน้าต่างออกไป จะสามารถมองเห็นบาร์ฝั่งตรงข้ามที่มีป้ายไฟนีออนสว่างวูบวาบอยู่ได้อย่างชัดเจน


………………-


“โอ๊ะ โทษทีนะ เดี๋ยวผมไปรับโทรศัพท์ก่อน!”


ระหว่างที่ซ่งเสี่ยวเจ๋อกำลังควงสาวคนหนึ่งเดินออกมาจากบาร์ โทรศัพท์มือถือที่พกอยู่ก็เสียงดังขึ้นมา ซ่งเสี่ยวเจ๋อยิ้มให้สาวคนนั้นเป็นเชิงขอโทษ แล้วสาวเท้าอย่างเร็วขึ้นไปนั่งบนรถของตัวเอง หลังจากปิดหน้าต่างรถ เสียงอึกทึกจากภายนอกก็ถูกกั้นไว้นอกตัวรถทันที


ซ่งเสี่ยวเจ๋อกดปุ่มรับสาย แล้วนั่งตัวตรง พูดด้วยน้ำเสียงนอบน้อมเกรงใจ “น้องหก พี่เองนะ!”


“พี่รอง ตอนนี้ทางพี่คงจะเป็นกลางดึกอยู่ละสินะ?ขอโทษด้วยจริงๆ นะ ที่มารบกวนตอนดึกๆ แบบนี้” เสียงที่พูดมาจากปลายสายโทรศัพท์นั้นฟังดูอ่อนเยาว์อย่างยิ่ง อีกฝ่ายน่าจะไม่ได้มีอายุมากนัก


“พูดอะไรอย่างนั้นล่ะน้องหก นี่พี่ก็กำลังคิดว่าเดี๋ยวจะโทรไปหาอยู่พอดีเลย…” แม้ปากจะเรียกอีกฝ่ายว่าน้องหก แต่ท่าทีของซ่งเสี่ยวเจ๋อนั้น กลับยังดูนอบน้อมยิ่งกว่าเวลาพูดกับผู้ใหญ่เสียอีก


คนที่อยู่อีกปลายสายโทรศัพท์พยักหน้า แล้วพูดขึ้นว่า “เออนี่พี่รอง ถึงกลุ่มการเงินนี่อาหญิงจะเป็นคนสร้างขึ้นมา แต่มันก็ต้องเป็นของสกุลซ่งอยู่วันยังค่ำ พี่เข้าใจรึเปล่าว่าผมหมายความว่าอะไร?”


“พี่รู้แล้วละน้องหก วันนี้ก็ล่องูออกมาจากโพรงได้แล้วด้วย…”


หลังจากฟังอีกฝ่ายพูดจบ ซ่งเสี่ยวเจ๋อก็หัวเราะขึ้นมาเสียงดัง แล้วพูดต่อ “ในประเทศนี่มีคนตั้งมากมาย แต่ละวันก็เกิดอุบัติเหตุต่างๆ สารพัด ไม่ว่าจะภัยธรรมชาติหรือภัยมนุษย์ บางครั้งมันก็หลีกเลี่ยงกันไม่ได้หรอก น้องหก ถึงตอนนั้นแล้วน้องต้องคอยปลอบใจอาหญิงด้วยล่ะ!”


“เรื่องนั้นเป็นหน้าที่ผมอยู่แล้วละพี่รอง…”


ฝ่ายตรงข้ามก็หัวเราะขึ้นมาเช่นกัน แต่แล้วก็พูดกดเสียงต่ำตามมาทันที “ต้องทำให้รวบรัดหมดจดนะ จะทิ้งร่องรอยเบาะแสอะไรไว้ไม่ได้ทั้งนั้น เรื่องนี้คงไม่ต้องให้ผมอธิบายซ้ำอีกใช่ไหมพี่รอง?”


“วางใจเถอะ ต่อไปผู้สืบทอดกลุ่มการเงินก็จะต้องเป็นน้องหกนี่แหละ”


ซ่งเสี่ยวเจ๋อพูดกับฝ่ายตรงข้ามต่ออีกสองสามคำ หลังจากวางสายโทรศัพท์แล้ว รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า “ซ่งเสี่ยวหลงเอ๋ยซ่งเสี่ยวหลง แกจะมีปัญญาทำอะไรได้?ก็แค่เพราะอาหญิงเขาชอบแกเท่านั้นแหละ ลำพังแกตัวคนเดียว ก็คิดจะมาเป็นผู้สืบทอดกลุ่มการเงินงั้นรึ?เอาเถอะ จัดการภัยใกล้ตัวนี่ก่อน แล้ววันหน้าค่อยมาจัดการกับแก!”


ซ่งเสี่ยวหลงที่ซ่งเสี่ยวเจ๋อกำลังพูดถึงนั้น เป็นลูกพี่ลูกน้องทางฝั่งพ่อของเขาเอง ปีนี้เพิ่งจะอายุครบยี่สิบ และก็ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุอะไร เมื่อสิบกว่าปีก่อน อาหญิงที่ไปอยู่อเมริกาตามลำพังคนเดียวถึงต้องรับซ่งเสี่ยวหลงที่เพิ่งจะอายุไม่กี่ขวบไปเลี้ยงดูด้วย


ส่วนซ่งเสี่ยวหลงเองก็เป็นเด็กที่เฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง ตอนอายุสิบแปดปีก็จบการศึกษาจากโรงเรียนบริหารธุรกิจฮาร์วาร์ดแล้ว จากนั้นก็เข้าไปทำงานในกลุ่มสถาบันการเงินอย่างเต็มตัว และได้แสดงความสามารถอันเป็นเลิศออกมา โดยประสบความสำเร็จในโครงการผนวกรวมธุรกิจตั้งแต่ช่วงแรกที่เข้ามาทำงานในกลุ่มสถาบันการเงิน


ภายในเวลาเพียงสองปี ซ่งเสี่ยวหลงก็ได้นั่งตำแหน่งรองประธานของกลุ่มสถาบันการเงินแล้ว ใครๆ ต่างก็ดูออกกันแทบทั้งนั้นว่า ซ่งเวยหลันตั้งใจอบรมเขาเพื่อให้มาเป็นผู้สืบทอดโดยเฉพาะ


ดังนั้นถึงซ่งเสี่ยวเจ๋อจะเป็นพี่ชายในตระกูลเดียวกัน แต่เมื่อต้องติดต่อกับน้องหกคนนี้ เขาก็ยังต้องรักษาท่าทีนอบน้อมเกรงใจไว้อยู่ดี ในความเป็นจริงนั้นจะมีคนที่คิดแบบเดียวกับซ่งเสี่ยวเจ๋ออยู่กี่คนก็ไม่อาจทราบได้


แต่ในตอนนี้ ซ่งเสี่ยวเจ๋อและน้องหกกลับมีความคิดตรงกัน นั่นก็คือจะต้องกำจัดเสี้ยนหนามจากภายนอกให้ได้เสียก่อน ซึ่งก็คือลูกชายของอาหญิงที่เล่าลือกันนั่นเอง เมื่อเจ้านั่นไม่อยู่แล้ว ถึงจะกลายมาเป็นตาของพวกเขาที่จะต้องมาแย่งชิงสิทธิ์ในการถือครองกลุ่มสถาบันการเงินกัน


ดังนั้นหลังจากที่ซ่งเสี่ยวเจ๋อกลับประเทศมาเมื่อปีที่แล้ว ก็เริ่มสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับเยี่ยเทียนเป็นการใหญ่ทันที


แต่สิ่งที่ทำให้เขาเซ็งก็คือ เยี่ยเทียนกลับไม่ได้ก้าวขาออกมาจากประตูบ้านเลยสักก้าวนานหลายเดือนติดต่อกัน จึงไม่มีโอกาสที่เขาจะจัดฉากอุบัติเหตุอะไรได้เลย ซ่งเสี่ยวเจ๋อถึงได้จงใจไปจีบอวี๋ชิงหย่า เพื่อที่จะล่อเยี่ยเทียนออกมานี่เอง


บางคนอาจจะบอกว่า เยี่ยเทียนอยู่ในบ้านคนเดียวแบบนี้ ไม่ยิ่งเป็นโอกาสดีที่จะลงมือ ว่าจ้างนักฆ่ามาเก็บเขาหรอกหรือ?


แต่ตราบใดที่ซ่งเวยหลันยังไม่ได้ประกาศชื่อผู้สืบทอดกลุ่มสถาบันการเงินออกมา ลูกหลานตระกูลซ่งเหล่านี้ก็จะยังไม่ใช้อุบายนั้น เพราะพวกเขาต่างรู้กันดีว่า ซ่งเวยหลันมีนิสัยแข็งกร้าว ถ้าหากลูกชายตายอย่างอนาถไปจริงๆ เธออาจจะทำเรื่องบ้าบิ่นอะไรออกมาก็ได้


ดังนั้นการตายของเยี่ยเทียนจะต้องเกิดขึ้นเพราะอุบัติเหตุเท่านั้น และต้องเป็นอุบัติเหตุที่ไม่ว่าใครก็จับพิรุธอะไรไม่ได้เลย ซ่งเสี่ยวเจ๋อเป็นคนที่สุขุมลุ่มลึกที่สุดในบรรดาพี่น้อง ภารกิจนี้จึงตกเป็นหน้าที่ของเขาไปเป็นธรรมดา


“เรื่องพวกนี้ไว้ให้พวกมืออาชีพเขามาจัดการก็แล้วกัน!” วันนี้ดื่มเหล้าไปไม่น้อย ซ่งเสี่ยวเจ๋อนวดๆ ที่ขมับ หลังจากที่ครุ่นคิดจนปวดหัวขึ้นมานิดๆ


อีกสามวันต่อจากนี้ จะมีทีมตรวจสอบธุรกิจจากอเมริกามาที่เซี่ยงไฮ้ แต่ไม่มีใครรู้เลยว่า ในทีมตรวจสอบนี้มีอยู่คนหนึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดฉากอุบัติเหตุโดยเฉพาะ ในโลกใบนี้ คนที่ตายไปในอุบัติเหตุที่เขาจัดฉากขึ้นมานั้น อย่างน้อยๆ ก็มีไม่ต่ำกว่าร้อยคน


“หือ นั่นใครน่ะ?ทำไมดูคุ้นๆ ยังไงชอบกล?”


ขณะที่ซ่งเสี่ยวเจ๋อเปิดหน้าต่างรถ และกำลังจะเชิญหญิงสาวคนนั้นขึ้นรถ ก็พลันสังเกตเห็นคนผู้หนึ่งเดินผ่านไปจากอีกฝั่งหนึ่งของตัวรถ เงาร่างนั้นเหมือนว่าเขาจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน


“นี่พ่อรูปหล่อ กะจะปล่อยให้ฉันยืนตากลมอยู่ตรงนี้น่ะหรือ?” พอซ่งเสี่ยวเจ๋อหันหน้ามองตามหลังคนผู้นั้นไป เสียงผู้หญิงคนนั้นก็พูดขึ้นมาใกล้ๆ


“เปล่าเลยครับ คุณผู้หญิงคนสวย เชิญขึ้นรถครับ!”


ซ่งเสี่ยวเจ๋อยิ้มพลางโบกมือให้แม่สาวคนนั้น แต่ขณะที่เขากำลังจะลงจากรถไปช่วยเปิดประตูให้หญิงสาว สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นใบหน้าของคนผู้หนึ่งจากกระจกมองหลัง


“เอ๊ะ ไม่สิ ทำไม…ทำไมถึงเป็นมันล่ะ?”


เมื่อเห็นเยี่ยเทียนยิ้มยิงฟันขาวให้ตน ซ่งเสี่ยวเจ๋อก็รู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาทันที ดวงตาก็เบิกโพลง แต่เขายังไม่ทันได้คิดว่าจะโต้ตอบอย่างไร ความรู้สึกเจ็บแปลบก็แล่นเข้ามาในสมองของเขาแล้ว


หญิงสาวคนที่กำลังยืนอยู่ข้างรถบีเอ็มดับบลิวคันนั้นด้วยท่าทางหยิ่งๆ พลางเชิดหน้ามองดูผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาขณะที่กำลังรอซ่งเสี่ยวเจ๋อลงรถมาเปิดประตูให้นั้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเร่งเครื่องยนต์ดังสนั่นอยู่ใกล้ๆ แล้วรถสปอร์ตคันนั้นก็โฉบผ่านข้างตัวเธอพุ่งออกไปบนถนน


“เวรเอ๊ย จะขับไปหาแม่รึไงวะ? นึกว่ามีรถแล้วเท่มากเรอะ ไอ้สถุลนี่ เดี๋ยวได้โดนชนดับก่อนไปถึงแยกหน้าแน่!”


หญิงสาวที่ตอนแรกดูท่าทางใสซื่อบริสุทธิ์นั้น พลันกระโดดเหยงๆ ขึ้นมาพร้อมกับแผดเสียงด่าไล่หลังรถบีเอ็มดับบลิวของซ่งเสี่ยวเจ๋อไปทันที แต่จากนั้นเธอก็อ้าปากเหวอเป็นรูปตัวโอ แล้วก็หุบไม่ลงอีกเลย


เพราะระหว่างที่เธอกำลังก่นด่าออกไป รถบีเอ็มดับบลิวคันนั้นก็เร่งความเร็วขึ้นจนถึงขีดสุดอย่างบ้าระห่ำ และขณะที่ยังขับออกไปไม่พ้นสายตาของเธอ รถก็หักเลี้ยวกะทันหัน แล้วพุ่งชนเข้าใส่อาคารสีแดงหลังหนึ่งอย่างรุนแรง


หลังจากเกิดเสียง “โครม” ดังสนั่นหวั่นไหว รถบีเอ็มดับบลิวก็หยุดอยู่กับที่ ผู้คนที่สัญจรอยู่บนถนนเส้นนั้นต่างก็เห็นได้อย่างเลือนรางว่า มีเงาคนร่างหนึ่งปลิวกระเด็นออกไปจากหน้าต่างรถบีเอ็มดับบลิวคันนั้น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)