ยอดหญิงสกุลเสิ่น 237.2-238.1

ตอนที่ 237-2 กองทหารเด็กมาหาแล้ว

 

เช้าวันนี้ตื่นขึ้นมาเสิ่นเวยอารมณ์ดีอย่างถึงที่สุด เหตุใดน่ะหรือ ก็เพราะว่าเป็นวันใหม่แล้ว วันที่พวกเขาจะย้ายไปจวนจวิ้นอ๋องใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้ว อืม ยังเหลืออีกสี่วัน อีกสี่วันพวกเขาก็สามารถย้ายออกจากสถานที่ที่ทำให้คนไม่สบายใจแห่งนี้ได้แล้ว เสิ่นเวยนับนิ้วรอวันแล้ว


 


 


ทานอาหารเช้าเสร็จ เสิ่นเวยก็พาเหล่าสาวใช้ไปตรวจดูสินเดิม สินเดิมของนางเยอะเกินไป หากย้ายภายในวันเดียวการเคลื่อนไหวจะใหญ่เกินไป แบ่งประเภทส่งไปจวนจวิ้นอ๋องจะดีกว่า นางวางแผนว่าจะเริ่มขนตั้งแต่วันนี้


 


 


ขนกลุ่มของที่ใหญ่และหนักเหล่านั้นไปก่อน เสิ่นเวยสั่งพ่อบ้านเจี่ยงปั๋วทีละอย่างๆ ขณะที่กำลังพูด สวีโย่วก็ส่งคนมาตามนาง บอกว่าน้องเจวี๋ยมาหา


 


 


ในขณะที่เสิ่นเวยดีใจก็ประหลาดใจเล็กน้อย น้องเจวี๋ยไม่เคยมาเยี่ยมที่บ้านเลยสักครั้ง หรือว่าจวนโหวเกินเรื่องแล้ว เป็นท่านปู่หรือว่าท่านพ่อโง่เขลาผู้นั้นของนาง เมื่อคิดถึงตรงนี้เสิ่นเวยก็นั่งไม่ติดแล้ว ก้าวเท้าเดินไปยังเรือนหลัก


 


 


“ท่านพี่” เสิ่นเจวี๋ยเห็นพี่สาวของเขาก็ดีใจมากเป็นพิเศษ ลุกขึ้นวิ่งเข้ามาหานาง


 


 


“น้องเจวี๋ยมาได้อย่างไร ในจวนเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ” ไม่ผิดที่เสิ่นเวยจะกังวล ตอนที่กลับไปคราวก่อนนางบอกปู่นางแล้ว อยู่ที่จวนจิ้นอ๋องจนครบเดือนแต่งงานพวกเขาก็จะย้ายไปยังจวนจวิ้นอ๋อง คนในครอบครัวไปเยี่ยมนางที่จวนจวิ้นอ๋องจะสะดวกกว่ามาที่จวนจิ้นอ๋องมาก เหลืออีกไม่กี่วันก็ครบเดือนแต่งงานแล้ว ไม่มีเรื่องสำคัญน้องเจวี๋ยไม่มาถึงบ้านตอนนี้หรอก


 


 


“ไม่มีอะไรๆ ในจวนเรียบร้อยดี” เสิ่นเจวี๋ยรีบส่ายหน้าปฏิเสธ สำหรับเรื่องที่พี่ห้าของเขาโมโหกลับบ้านฝั่งมารดาไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อย่างสิ้นเชิง “ข้าก็แค่อยากมาเยี่ยมท่านพี่”


 


 


แม้ท่านพี่จะออกเรือนได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน แต่เขาก็รู้สึกว่าท่านพี่คล้ายจากไปนานอย่างยิ่งแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่ท่านพี่ยังอยู่ในจวนโหว บางครั้งก็เป็นเวลาหลายวันกว่าพวกเขาพี่น้องจะพบหน้ากันหนึ่งครั้ง แต่ตอนนั้นจิตใจเขาก็สงบ เมื่อคิดว่าท่านพี่อยู่ในเรือนเฟิงหวาเรือนในรอเขาอยู่ เขาก็รู้สึกสบายใจอย่างถึงที่สุด ทว่าตอนนี้ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็มักจะรู้สึกว่าจิตใจว่างเปล่า


 


 


เสิ่นเวยวางใจลง จับมือของเสิ่นเจวี๋ยเดินเข้าห้องด้วยกัน “น้องเจวี๋ยยังไม่ได้เคารพพระชายาใช่หรือไม่ ให้พี่เขยเจ้าพาเจ้าไปคารวะนางสักหน่อย เลี่ยงไม่ให้คนอื่นบอกว่าจวนโหวของพวกเราไร้มารยาท” ชนรุ่นหลังมาเยี่ยมจวนต้องเคารพผู้อาวุโส นี่คือธรรมเนียม เสิ่นเวยไม่อยากทิ้งจุดอ่อนให้คนนินทา วันนี้นางอารมณ์ดี ไม่อยากไปเจอนังมารเฒ่าที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจผู้นั้นจริงๆ ให้สวีโย่วพาน้องเจวี๋ยไปดีกว่า


 


 


เดิมสวีโย่วมองเห็นภรรยาที่รักของเขาจูงมือน้องชายคนเล็กก็ไม่พอใจเล็กน้อย แต่หลังจากที่ได้ยินน้องชายคนเล็กของภรรยาเรียกเขาว่าพี่เขยอย่างสนิทสนม สีหน้าก็ดีขึ้นมาอีกครั้ง พาน้องชายคนเล็กของภรรยาไปคารวะพระชายาสักหน่อยตามคำพูดของภรรยาด้วยความสบายใจอย่างยิ่ง


 


 


คาดว่าสวีโย่วคงจะพาน้องเจวี๋ยไปคารวะพระชายาสักหน่อยจริงๆ เพราะว่าพวกเขากลับมาเร็วอย่างยิ่ง อีกทั้งสีหน้าของสวีโย่วก็มีความสุขมาก เสิ่นเวยเดาว่าเขาน่าจะยั่วโมโหพระชายาจิ้นอ๋องอีกแล้ว


 


 


เสิ่นเวยทายถูกจริงๆ สวีโย่วไปยั่วโมโหพระชายาอีกแล้วมิใช่หรือ เขาไปถึงเรือนพระชายาแล้วก็กล่าวอย่างตรงไปตรงมา ‘วันนี้น้องเจวี๋ยมาเยี่ยมพี่สาวเขา ข้าพาเขามาเคารพพระชายา เลี่ยงไม่ให้มีคนเล่นอุบายบอกว่าน้องชายคนเล็กของภรรยาข้าไม่มีมารยาทไม่เคารพผู้อาวุโส’


 


 


จากนั้นก็สั่งเสิ่นเจวี๋ย ‘รีบคารวะพระชายาเสีย พี่เจ้ายังรอพวกเรากลับไปอยู่’


 


 


ท่าทางไม่อยากอยู่นานแม้แต่วินาทีเดียวนั้นประหนึ่งพระชายาจิ้นอ๋องเป็นน้ำเหนือและสัตว์ร้าย เจ้าว่าพระชายาจิ้นอ๋องมีความสุขสิถึงแปลก


 


 


“น้องเจวี๋ยว่ามาเถอะ มีเรื่องอะไรกันแน่” เสิ่นเวยมองเสิ่นเจวี๋ยแล้วพูด หากไม่มีธุระเด็กคนนี้คงไม่กล้าไม่ไปโรงเรียน นางตั้งกฎที่นั่นให้เขานานแล้ว กล้าโดดเรียนหรือ ตีเขาให้ตาย!


 


 


เสิ่นเจวี๋ยลูบจมูกยิ้มกล่าว “ปิดบังท่านพี่ไม่ได้จริงๆ ด้วย” ชั่วขณะเขาก็เหลือบมองสวีโย่วปราดหนึ่ง


 


 


เสิ่นเวยดีดหน้าผากเขาหนึ่งครา “มองเขาทำไม ว่ามา”


 


 


เสิ่นเจวี๋ยลูบบริเวณที่ถูกพี่เขาดีด หัวเราะอย่างซื่อๆ จากนั้นจึงกล่าว “ไม่ใช่เรื่องในจวนโหว เป็นเรื่องที่ซีเจียง เมื่อวานในจวนพวกเรามีคนมาหาสองคน คนหนึ่งชื่อฟังจงหลี่ คนหนึ่งชื่อหลี่จื้อ พูดซ้ำไปซ้ำมาว่ามาหาคุณชายสี่ แต่ท่านพี่ไป่บอกว่าไม่รู้จักพวกเขา สุดท้ายแล้วก็รบกวนไปถึงท่านปู่ ท่านปู่บอกว่าพวกเขาเป็นกองทหารที่ซีเจียง มาหาท่านพี่ เมื่อคืนดึกแล้ว คิดจะให้พวกเขาพักที่จวนหนึ่งคืน เช้าวันนี้ค่อยพาพวกเขามาหาท่านพี่ แต่สองคนนั้นยืนกรานไม่ยินยอม บอกว่ากองทหารเด็กของพวกเขามาเมืองหลวงหมดแล้ว คนที่เหลือต่างก็รออยู่ข้างนอก พวกเขาสองคนมาสืบข่าว”


 


 


เสิ่นเจวี๋ยยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น “ท่านพี่ พวกเขาเป็นกองทหารเก็กที่ท่านตั้งขึ้นกับมือจริงๆ หรือ ข้าเห็นพวกเขาไม่ได้อายุมากกว่าข้าสักเท่าไร! ท่านไม่รู้ว่าตอนที่พวกเขารู้ว่าคุณชายสี่ตระกูลเสิ่นเป็นคุณหนูซ้ำยังออกเรือนแล้ว ก็มึนงงไปทั้งร่าง ทั้งยังถามข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายพวกเขาก็บอกว่า แม้คุณชายสี่ตระกูลเสิ่นจะเป็นคุณหนูสี่ตระกูลเสิ่น พวกเขาก็ยอมรับ ท่านปู่ให้พวกเขามาพักในจวนโหวก่อนพวกเขาก็ไม่ยอม ตัดสินใจติดตามท่านพี่แล้ว ท่านพี่ ท่านเก่งจริงๆ! หากข้าได้สักครึ่งหนึ่งของท่านก็พอแล้ว” เสิ่นเจวี๋ยมองพี่สาวของเขา บนใบหน้าเต็มไปด้วยความเลื่อมใส


 


 


“อะไรนะ เจ้าไม่ได้พูดผิดใช่หรือไม่ เป็นฟังจงหลี่กับหลี่จื้อจริงๆ หรือ แล้วกองทหารเด็กทั้งหมดก็มาเมืองหลวงแล้วหรือ” เสิ่นเวยตกใจอย่างถึงที่สุด เหตุใดเรื่องนี้นางถึงไม่ได้รับข่าวเลยแม้แต่นิดเดียวเล่า จู่ๆ พวกเขาก็ไม่ฝึกฝนอยู่ที่ซีเจียง วิ่งมาทำอะไรที่เมืองหลวง พวกเขามาเมืองหลวง พี่ใหญ่รู้หรือไม่ อนุญาตหรือไม่ หรือว่าพวกเขาแอบหนีออกมา ครูฝึกของกองทหารเด็กล้วนเป็นนางที่สั่งเอง เหตุใดถึงไม่ส่งข่าวให้นางเลยเล่า หรือว่าครูฝึกเองก็ตามพวกเขากลับมาพร้อมกัน


 


 


“จริงแท้แน่นอน ไม่ผิดแม้แต่นิดเดียว ท่านพี่ เขาสองคนตามข้ามาด้วยเช่นกัน กำลังรออยู่ข้างนอกจวนอ๋อง” เสิ่นเจวี๋ยตบหน้าอกกล่าว


 


 


“เอ๋ เช่นนั้นเหตุใดเจ้าไม่พาพวกเขาเข้ามาด้วยเล่า” เสิ่นเวยถลึงตามองน้องชายของนางปราดหนึ่งอย่างไม่พอใจเล็กน้อย


 


 


ทว่าเสิ่นเจวี๋ยกลับร้องทุกข์ “ข้าคิดจะพาพวกเขาเข้ามา แต่พวกเขาไม่ยอม! บอกว่าไม่อาจสร้างปัญหาให้ท่านได้ ไม่ว่าอย่างไรก็จะรออยู่นอกจวน”


 


 


เสิ่นเวยจ้องมองสวีโย่วปราดหนึ่ง เจตนานั้นสวีโย่วเข้าใจดี เขาถูกพาลโมโหอีกแล้ว รีบแสดงท่าทีกล่าว “หรือว่า ให้เจียงไป๋ไปเรียกพวกเขาเข้ามาดีหรือไม่” พวกเขากับเจียงไป๋ก็รู้จักกันดี


 


 


เสิ่นเวยพยักหน้ากล่าว “พวกเขาเองก็คิดมากเกินไปแล้ว บอกว่าเป็นพี่น้องในตระกูล ประตูใหญ่ยังกล้าห้ามไม่ให้เข้าอีกหรือ ได้ ให้เสี่ยวไป๋ไปเรียกพวกเขาเข้ามา ถือโอกาสดูคุณชายสี่ของพวกเขาแต่หญิง”


 


 


ฟังจงหลี่กับหลี่จื้อสองคนข้างนอกจวนกำลังนั่งกระซิบกระซาบกันอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ “อาจื้อ แม้นายท่านผู้เฒ่าโหวจะบอกว่าอันที่จริงคุณชายสี่เป็นหลานสาวเขา แต่ข้าก็ยังไม่กล้าเชื่อนัก คุณชายสี่เก่งกาจเพียงนั้น ไม่มีความเป็นสตรีเลยแม้แต่น้อย จะเป็นคุณหนูได้อย่างไร” แม้จะผ่านไปหนึ่งคืนแล้ว แต่ฟังจงหลี่ก็ยังประหนึ่งอยู่ในฝัน


 


 


หลี่จื้อเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน เพียงแต่เขาไม่เหมือนฟังจงหลี่ เขาไม่สนว่าคุณชายสี่จะเป็นชายหรือหญิง คุณชายสี่ช่วยชีวิตน้องชายน้องสาวของเขาไว้นี่ไม่ใช่ความจริงที่ไม่อาจเถียงงั้นหรือ คุณชายสี่เป็นผู้ชายก็ดี เป็นผู้หญิงก็ไม่เป็นไร อย่างไรเสียเขาก็จะต้องติดตามให้จงได้


 


 


“น่าจะเป็นเรื่องจริง นายท่านผู้เฒ่าโหวไม่จำเป็นต้องหลอกพวกเรา” หลี่จื้อจ้องมองประตูใหญ่จวนจิ้นอ๋องแล้วกล่าว


 


 


“เช่นนั้นพวกเราจะทำอย่างไรกันดี” ฟังจงหลี่ร้อนใจเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้


 


 


“ทำอย่างไรอะไร” หลี่จื้อไม่เข้าใจ


 


 


“พวกเราเดินทางไกลมาเมืองหลวงเพื่อขอพึ่งพาคุณชายสี่ แต่ตอนนี้คุณชายสี่เป็นคุณหนู อีกทั้งยังแต่งงานแล้ว ไหนเลยจะดูแลพวกเราได้ พวกเราใช่มาเสียเที่ยวหรือไม่” เสียงของฟังจงหลี่สูงขึ้นหลายส่วนอย่างทนไม่ได้ เขาไม่อยากกลับซีเจียงเลยแม้แต่นิดเดียว แม้ว่าที่อยู่จะเป็นสถานที่นั้น ของกินก็เป็นข้าวเหมือนกัน กระทั่งเนื้อหาในการฝึกซ้อมทุกวันก็เป็นคุณชายสี่ที่เตรียมไว้เรียบร้อยก่อนจะไป แต่เขากับเหล่ากองทหารเด็กยังคงไร้เรี่ยวแรง มักจะรู้สึกว่าขาดอะไรไปบางอย่าง คล้ายตั้งแต่คุณชายสี่กลับเมืองหลวงพวกเขาก็สูญเสียเป้าหมายข้างหน้าไป


 


 


เขากับหลี่จื้อและอีกหลายคนปรึกษากัน ได้ มาเมืองหลวงขอที่พึ่งคุณชายสี่แล้วกัน ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงฉวยโอกาสตอนที่ออกจากเมืองฝึกซ้อมทิ้งหนังสือไว้แล้วจากไป


 


 


คิ้วของหลี่จื้อเองก็ขมวดมุ่น คิดครู่หนึ่งจึงกล่าว “เจ้าเองก็อย่าท้อใจไป ในเมื่อคุณชายสี่สามารถแต่งกายเป็นชายลงสนามรบฆ่าศัตรูปกป้องแว่นแคว้นได้ เช่นนั้นก็ไม่ใช่สตรีตระกูลสูงศักดิ์ทั่วไป พวกเราเป็นนางที่ก่อตั้งขึ้นมากับมือ นางจะต้องไม่ทิ้งพวกเราแน่นอน” หยุดครู่หนึ่งจึงกล่าวต่อ “คุณชายเสิ่นเจวี๋ยบอกไม่ใช่หรือว่านางแต่งงานกับคุณชายใหญ่สวีแล้ว อีกทั้งยังได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นจวิ้นจู่ นางจักต้องมีวิธีช่วยพวกเราแน่นอน เจ้าวางใจเถิด”


 


 


ปากบอกแน่นอน แต่ความจริงแล้วในใจเขาไม่มั่นใจ เขาเตรียมใจไว้แล้ว แม้ว่าคุณชายสี่จะไม่มีวิธีช่วยพวกเขา เขาก็จะอยู่ข้างกายคุณชายสี่อยู่ดี ต่อให้ต้องออกจากกองทหารเด็กเขาเองก็จะอยู่ในเมืองหลวง เป็นมนุษย์ต้องรักษาสัตย์ ไม่ว่าคุณชายสี่จะเป็นใคร ชั่วชีวิตนี้เขาหลี่จื้อก็จะติดตามนาง เป็นดาบที่แหลมคมที่สุดในมือนาง


 


 


เจียงไป๋รีบตามมาถึงหน้าประตูใหญ่ มองซ้ายมองขวาจึงเห็นคนทั้งสองใต้ต้นไม้ใหญ่ กวักมือเรียกพวกเขา “มานี่!”


 


 


จากนั้นก็เห็นเด็กสองคนนั้นเบือนหน้าหนี ไม่สนใจเขาอย่างสิ้นเชิง เจียงไป๋อดโมโหไม่ได้ เดินเข้าไปดีดนิ้วใส่พวกเขาที่ละคน “นี่ วางมาดยิ่งนัก ยังต้องให้ข้ามาเชิญพวกเจ้าด้วยตัวเองหรือ”


 


 


ฟังจงหลี่กับหลี่จื้อหัวเราะอย่างเคอะเขิน ตะโกนอย่างเขินอายหนึ่งครา “พี่ใหญ่เจียงไป๋”


 


 


เจียงไป๋เป็นบ่าวรับใช้คนสนิทและทหารองครักษ์ข้างกายคุณชายใหญ่สวี พวกเขาคบค้าสมาคมกับเขามาไม่น้อย


 


 


“ตามข้าเข้าไปเถอะ คุณชายสี่ยังรอพบพวกเจ้าอยู่” เจียงไป๋ดึงมือแต่ละคน


 


 


ฟังจงหลี่กับหลี่จื้อต่างก็ดีใจ ทว่าเท้ากลับไม่ขยับ กล่าวอย่างลังเล “พี่ใหญ่เจียงไป๋ พวกข้าไม่เข้าไปดีกว่า ประเดี๋ยวจะสร้างปัญหาให้คุณชายสี่”


 


 


เจียงไป๋หันหน้ามอง ชั่วขณะก็เข้าใจความกังวลของเด็กสองคนนี้ อดหัวเราะไม่ได้ กางแขน โอบพวกเขาไว้ กล่าวประหนึ่งเป็นสหายพี่น้อง “เฮ้อ นี่พวกเจ้าคิดไกลไปถึงไหนแล้ว! นิสัยของคุณชายสี่พวกเจ้ายังไม่รู้อีกหรือ แอบบอกพวกเจ้าให้ อย่ามองว่าคุณชายสี่เป็นร่างหญิง ซ้ำยังแต่งงานแล้ว นายของพวกเราเองก็ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นอ๋องเช่นกัน แต่ก็ยังเหมือนตอนอยู่ที่ซีเจียง เขายังคงต้องฟังคุณชายสี่ของพวกเจ้าอยู่ ไปเถอะๆ ไม่มีอะไรหรอก”


 


 


ฟังจงหลี่หับหลี่จื้อสบตากันปราดหนึ่ง จึงถอนหายใจอย่างโล่งอกตามเขาเข้าประตูใหญ่จวนจิ้นอ๋อง 

 

 


ตอนที่ 238-1 เสแสร้งไปเถอะ!

 

ตลอดทางฟังจงหลี่กับหลี่จื้อต่างก็ระมัดระวังอย่างยิ่ง หลังตรงอกตั้ง สายตาจ้องมองไปข้างหน้า ไม่เหลือบมองซ้ายขวา แม้บนใบหน้าจะพยายามแสดงท่าทีสงบนิ่งอย่างสุดชีวิต ทว่าในใจกลับสั่นอย่างถึงที่สุด


 


 


แม้ฟังจงหลี่จะถือได้ว่าเป็นคุณชาย แต่ซีเจียงไหนเลยจะเทียบเมืองหลวงได้ เขาโตเพียงนี้แล้วยังเพิ่งเคยเห็นจวนอ๋องที่งดงามโอ่อ่าเช่นนี้เป็นครั้งแรก ฟังจงหลี่ยังเป็นเช่นนี้ นับประสาอะไรกับหลี่จื้อที่เป็นยาจกเล่า


 


 


ทั้งสองกลัวว่าตนจะทำตัวขายหน้า ทำให้คนรับใช้ในจวนอ๋องดูถูกคุณชายสี่ของพวกเขา อ้อไม่ ต้องเป็นจวิ้นจู่ต่างหาก จึงพยายามควบคุมตัวเอง แสดงสีหน้าเรียบเฉยออกมา


 


 


เจียงไป๋ที่เดินอยู่ข้างๆ เห็นดังนั้น ในใจก็อดพยักหน้าอย่างชื่นชมไม่ได้


 


 


เข้าไปในเรือนแล้ว ฟังจงหลี่กับหลี่จื้อก็เห็นเงาร่างที่คุ้นเคยยืนอยู่บนระเบียงทางเดินไกลๆ แม้จะสวมเครื่องแต่งกายสตรี แต่ใบหน้านั้นพวกเขาก็คุ้นเคย หัวใจอดร้อนรุ่มไม่ได้ เร่งฝีเท้าสองก้าว “คุณชายสี่!” คำเรียกนี้แทบจะพลั้งปากออกไป


 


 


เสิ่นเวยมองเด็กหนุ่มสองคนเดินเข้ามาหานาง ยิ้มเย้มเบิกบาน “อาหลี่ อาจื้อ ไม่เจอกันนาน”


 


 


คำทักทายที่เรียบง่ายหนึ่งประโยคทำให้เบ้าตาคนทั้งสองร้อนผ่าวอย่างอดไม่ได้ ลำคอประหนึ่งถูกอุดเอาไว้ ทั้งสองคุกเข่าข้างเดียวคารวะอย่างทหาร “คุณชายสี่ ผู้น้อยนำกองทหารเด็กมาขอที่พึ่งท่านขอรับ” จากนั้นก็เห็นคุณชายใหญ่สวีที่ยืนอยู่ข้างกายคุณชายสี่ รีบเสริมหนึ่งประโยค “คารวะคุณชายใหญ่ขอรับ”


 


 


ดูคำเรียกนี้สิ เสิ่นเวยเป็นคุณชายสี่ สวีโย่วเป็นคุณชายใหญ่ คนที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงยังคิดว่านี่คือสองพี่น้องเสียอีก ใครจะรู้ว่าอันที่จริงพวกเขาเป็นสามีภรรยากันเล่า


 


 


สวีโย่วคงจะคิดถึงจุดนี้ มุมปากกระตุกกล่าว “หลังจากนี้เรียกว่าจวิ้นอ๋องกับจวิ้นจู่เถิด คุณชายสี่ของพวกเจ้าได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นจยาฮุ่ยจวิ้นจู่แล้ว”


 


 


ฟังจงหลี่กับหลี่จื้อสบตากันปราดหนึ่ง ตอบรับเสียงดังทันที “ขอรับ ผู้น้อยคารวะจวิ้นจู่ คารวะจวิ้นอ๋อง”


 


 


มุมปากของสวีโย่วกระตุกอีกครั้ง ส่วนเสิ่นเวยก็ปรายตามองเขาอย่างโอ้อวด ได้ยินหรือไม่ จวิ้นจู่อยู่หน้าจวิ้นอ๋องเสียอีก


 


 


เสิ่นเวยเกิดความรู้สึกร้อยแปดพันเก้าในจิตใจ ตอนแรกนางก่อตั้งกองทหารเด็กเพียงเพื่ออยากวางเชื้อเพลิงเล็กๆ ไว้ที่ซีเจียง ตัวนางเองยังไม่คิดว่านางจะได้รับความจงรักภัคดีจากพวกเขา เด็กๆ กลุ่มนี้สามารถเดินทางไกลมาเมืองหลวงเพื่อพบนางได้ นางซาบซึ้งอย่างไม่ต้องสงสัย


 


 


“ลุกขึ้นเถิด ยังรอให้ข้าไปพยุงพวกเจ้าหรือไร” เสิ่นเวยยิ้มด่า เมื่อพวกเขาลุกขึ้นยืน เสิ่นเวยก็ถือโอกาสหักกิ่งไม้หนึ่งกิ่ง “มา ให้ข้าดูสิว่าพวกเจ้าฝึกฝนถึงระดับไหนแล้ว”


 


 


ฟังจงหลี่กับหลี่จื้อสบตากันปราดหนึ่งอีกครั้ง ต่างก็มองเห็นความดีใจและความรู้ใจในแววตาของกันและกัน ยกหมัดขึ้นจู่โจมไปยังเสิ่นเวย เสิ่นเวยหลบได้อย่างรวดเร็ว กิ่งไม้ในมือหวดออกไปเสียงดังขวับ บีบบังคับให้หลี่จื้อข้างหลังทำได้เพียงถอยหลัง


 


 


ฟังจงหลี่กับหลี่จื้อเจ้าโจมตีข้างบน ข้าก็จะโจมตีข้างล่าง เจ้าโจมตีทางซ้าย เช่นนั้นข้าจะโจมตีทางขวา ร่วมมือด้วยความรู้ใจกันอย่างยิ่ง เสิ่นเวยย่อมเห็นการพัฒนาของพวกเขา ในใจดีใจอย่างถึงที่สุด แต่ต่อให้พวกเขาจะร่วมมือกันอย่างรู้ใจเพียงใด ก็ไม่สามารถเอื้อมแตะชายเสื้อของเสิ่นเวยได้ เสิ่นเวยกระทั่งยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ มือเพียงข้างเดียวใช้กิ่งไม้หวดจนพวกเขาสับสนอลหม่าน


 


 


ก่อนที่เสิ่นเวยจะพูดสวีโย่วก็บอกเป็นนัยให้เจียงไป๋เจียงเฮยเก็บกวาดลานแล้ว ด้วยเหตุนี้คนที่เหลืออยู่ในลานบ้านตอนนี้จึงมีแต่คนที่สนิทที่สุด


 


 


เสิ่นเจวี๋ยมองอย่างไม่ละสายตา สองมือกำแน่น ตื่นเต้นยิ่งนัก! ท่านพี่เก่งจริงๆ ไม่เสียชื่อที่เป็นพี่สาวของเขาจริงๆ นึกถึงวิธีการเหล่านั้นที่พี่สาวใช้จัดการตน ขาแข้งเขาก็อดสั่นไม่ได้


 


 


เทียบกับเสิ่นเจวี๋ยที่ตื่นเต้นดีใจ สวีโย่วสบายใจกว่ามาก แทบจะมองระดับของเด็กหนุ่มสองคนนั้นออกในแวบแรก โดดเด่นกว่าคนทั่วไปมากอย่างยิ่ง แต่เทียบกับเสิ่นเวยที่ฝึกฝนมาจากกองกำลังเป็นหมื่นเป็นพันแล้ว ก็เทียบชั้นไม่ได้อย่างสิ้นเชิง


 


 


ประมาณหนึ่งเค่อ เสิ่นเวยก็หวดกิ่งไม้ลงบนร่างฟังจงหลี่และหลี่จื้อเสียงดังขวับๆ เก็บกระบวนท่า มองพวกเขาด้วยความพอใจแล้วกล่าว “ไม่เลว ฝีมือต่อสู้ไม่ตก”


 


 


ฟังจงหลี่กับหลี่จื้อปาดเหงื่อบนหน้าผาก เทียบกับเสิ่นเวยที่สงบนิ่งไม่มีเหงื่อแม้แต่เม็ดเดียว ก็อดอับอายไม่ได้ “เทียบกับจวิ้นจูแล้ว ผู้น้อยยังอยู่ห่างไกล”


 


 


จวิ้นจู่เพิ่งจะอายุสิบห้าสิบหกปี โตกว่าพวกเขาสองสามปี อีกทั้งพวกเขายังเป็นผู้ชาย สองต่อหนึ่งล้วนถูกจวิ้นจู่บีบบังคับจนถอยพ่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่ทำให้พวกเขาละอายใจอย่างยิ่ง และเลื่อมใสจวิ้นจู่ยิ่งขึ้น พวกเขาต่างก็เป็นบุรุษที่เติบโตในเมืองชายแดนซีเจียง ฝั่งนั้นเดิมทีวิถีชีวิตก็ห้าวหาญอยู่แล้ว ข้อจำกัดของสตรีก็ไม่ได้เข้มงวดเหมือนเหมืองหลวง พวกเขาจึงไม่สนว่าจวิ้นจู่จะเป็นชายหรือหญิง ขอเพียงแค่มีความสามารถ พวกเขาก็เลื่อมใส


 


 


เสิ่นเวยมองสองคนนี้ ในใจนึกขำเล็กน้อย สองคนนี้ยังคิดจะชนะนาง ปณิธานกว้างไกลจริงๆ! นางพูดได้ว่าหากไม่พบเหตุบังเอิญที่ใหญ่อย่างยิ่ง ชั่วชีวิตนี้พวกเขาก็คงไม่มีทางชนะนางได้หรอกกระมัง


 


 


“เจียงไป๋ เจ้าพาเขาสองคนไปล้างหน้าล้างตา กลับมาพวกเราค่อยคุยกัน” เสิ่นเวยออกคำสั่ง คิดครู่หนึ่งก็เสริมอีกหนึ่งประโยค “คิดให้ดีล่ะว่าจะบอกข้าอย่างไร หากข้ารู้ว่าพวกเจ้าเด็กน้อยเหล่านี้เข้าเมืองหลวงโดยพลการ เช่นนั้นผลลัพธ์พวกเจ้าก็รู้ดี” เสิ่นเวยขู่ขวัญด้วยความอ่อนโยนอย่างถึงที่สุด


 


 


ฟังจงหลี่กับหลี่จื้อขนลุกทันที มั่นใจอีกครั้งว่านี่คือคุณชายสี่ของพวกเขา คุณชายสี่ที่ลงมืออำมหิต ฆ่าคนตายไม่ชดใช้ชีวิต จริงแท้แน่นอน! สบสายตาที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของเสิ่นเวย สองคนนี้จึงตระหนักได้ว่าพวกเขาเพียงแค่ใช้ความกล้าของตัวเองมาเมืองหลวง คล้ายมองข้ามนิสัยของคุณชายสี่ไป


 


 


เด็กสองคนนี้ไปล้างหน้าตาอย่างกระวายกระวายใจ เสิ่นเจวี๋ยก็กระโดดเข้ามาทันที ดึงแขนเสื้อของเสิ่นเวยกล่าวอ้อนวอน “ท่านพี่ๆๆ ท่านเก่งเกินไปแล้วจริงๆ ข้าเลื่อมใสท่านยิ่งนัก ท่านเองก็สองข้าบ้างสิ! หากข้าขี้ขลาดเกินไป ไม่ใช่จะเสียหน้าท่านหรือ” เมื่อครู่เขาเห็นชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว แม้ทหารเด็กสองคนนั้นจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่านพี่ แต่เทียบกับเขาแล้วกลับแข็งแกร่งกว่ามากอย่างยิ่ง เป็นเด็กหนุ่มอายุพอๆ กัน นี่จึงกระตุ้นจิตใจที่อยากเอาชนะของเสิ่นเจวี๋ย


 


 


เสิ่นเวยไหนเลยจะไม่เข้าใจความคิดของน้องชาย ยกริมฝีปากกล่าว “ช่วงนี้โอวหยาวไน่ก็ฝึกเจ้าอยู่มิใช่หรือ เขาสองคนก็มีโอวหยางไน่ฝึกออกมาเช่นกัน หากเจ้าเทียบคนอื่นไม่ได้ เช่นนั้นก็ต้องโทษตัวเจ้าเองที่พยายามไม่มากพอ อีกทั้งเจ้าเสียหน้าก็เสียเพียงแค่หน้าเจ้า ข้าหน้าหนา ไม่กลัวหรอก!”


 


 


แม้ปากจะบอกว่าไม่ถือสา แต่สายตาที่มองประเมิณนั้นทำให้เสิ่นเจวี๋ยขนหัวลุก กล้านักเจ้าก็เสียหน้าให้ข้าดูสิ คิดหรือว่าข้าไม่กล้าจัดการเก็บศพเจ้า


 


 


“ข้าเป็นน้องชายแท้ๆ ของท่าน สอนเป็นพิเศษหน่อยไม่ได้หรือ” เสิ่นเจวี๋ยบ่นพึมพำอย่างไม่ตายใจ


 


 


คราวนี้เสิ่นเวยกลับรับปากง่ายดายอย่างยิ่ง “ได้สิ รอย้ายไปจวนจวิ้นอ๋องก่อน เจ้ามีเวลาว่างก็มา ถือโอกาสประลองฝีมือกับกองทหารเด็กด้วย อย่าคิดว่าตนเรียนไม่กี่กระบวนท่าแล้วจะเก่งเป็นอันดับหนึ่งใต้หล้า เจ้าน่ะ ยังอ่อนหัดอยู่เลย”


 


 


เสิ่นเวยวางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว ในเมืองกองทหารเด็กมาขอที่พึ่งนางทั้งหมด นางก็คงไม่อาจเมินเฉยได้กระมัง จวนจวิ้นอ๋องใหญ่เพียงนั้น สร้างลานประลองยุทธ ถือโอกาสย้ายกองทหารเด็กทั้งหมดไปยังจวนจวิ้นอ๋อง เช่นนี้ก็สามารถลดทหารองค์รักษ์ลงได้ไม่น้อย ส่วนจะให้กองทหารเด็กเปิดเผยงบทั้งหมดที่นางใช้ดูแลพวกเขาอย่างไร นี่ไม่ใช่ปัญหา เบื้องหน้าก็โยนให้สามีผู้เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ เบื้องหลังน่ะหรือ หึหึ ทรัพย์สินจำนวนมากเช่นนี้ของนางจะเลี้ยงทหารเด็กแค่สี่ร้อยคนไม่ได้หรือไร


 


 


ฟังจงหลี่และหลี่จื้อที่ล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วเข้ามาในห้องก็ยอมรับผิดด้วยตนเอง “จวิ้นจู่ พวกข้าผิดไปแล้ว” ทั้งสองปรึกษากันดีแล้ว จวิ้นจู่เป็นใครกัน ครั้นอยู่ที่ซีเจียงนำคนพันคนกวาดล้างซีเหลียงเข้าเมืองหลวง ซ้ำยังจับกษัตริย์ซีเหลียงกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งหมดกลับมาอีกด้วย


 


 


ต่อหน้าจวิ้นจู่ยังคงยอมรับผิดอย่างซื่อสัตย์จริงใจดีกว่า มีอะไรก็พูดจึงจะเป็นแผนที่ดี ต่อให้พวกเขาแต่งเรื่องคุยโวโอ้อวด จวิ้นจู่ก็ไม่เชื่อหรอก!


 


 


เสิ่นเวยแค่นเสียงหนึ่งครา กล่าว “เรื่องนี้ใครเป็นคนนำ ครอบครัวพวกเจ้ารู้หรือไม่ พี่ใหญ่ข้ารู้หรือไม่ อาหลี่แม่ทัพฟังพ่อเจ้ารู้หรือไม่”


 


 


“พวกข้า!” ทั้งสองก้มหน้า เผชิญหน้ากับคำถามยาวเหยียดชุดนี้ พวกเขาทำได้เพียงส่ายหน้าแล้วส่ายหน้าอีก ในใจบ่นพึมพำ ไหนเลยจะกล้าให้พวกเขารู้ หากรู้ พวกเขาจะมาได้หรือ


 


 


“พวกเจ้าสองคนกลับมีความสามารถ พูดมาเถอะ พวกเจ้าคิดอย่างไร อยู่ในจวนโหวซีเจียงก็ดีแล้วมิใช่หรือ เหตุใดถึงคิดจะมาเมืองหลวงเล่า พวกเขาฟังพวกเจ้าสองคนหรือ หรือว่าเจ้าสองคนหลอกล่อทุกคนมา” เสิ่นเวยถามต่อ


 


 


ทั้งสองสบตากันปราดหนึ่ง ฟังจงหลี่กล่าวตามความจริง “จวิ้นจู่ หลังท่านไป แม้ว่าทุกคนจะฝึกฝนเหมือนเมื่อก่อน แต่กลับไม่มีจุดหมายอย่างถึงที่สุด คล้ายสูญเสียเป้าหมายไป ก่อนหน้านี้ยังพูดถึงการลงสนามรบฆ่าศัตรู สร้างคุณูปการได้ ตอนนี้ต้ายงกับซีเหลียงพักรบแล้ว ต่อให้พวกเราฝึกฝนดีกว่านี้แล้วจะมีประโยชน์อันใด ไม่เพียงแต่ข้ากับอาจื้อสองคนที่เลื่อนลอยเช่นนี้ ทุกคนก็รู้สึกเหมือนกัน ดังนั้นเมื่อข้ากับอาจื้อเสนอว่าจะมาเมืองหลวง ทุกคนต่างก็เห็นด้วย”


 


 


“อืม พวกข้ามาเมืองหลวงก็เพราะคิดถึงจวิ้นจู่ท่านด้วยเช่นกัน พวกข้าเป็นท่านที่ก่อตั้งกับมือ ท่านพาพวกข้าไปสั่งสมประสบการณ์ ลงสนามรบฆ่าศัตรู พวกข้ายอมรับท่านเพียงผู้เดียว อีกทั้งโอกาสในเมืองหลวงก็เยอะกว่ามิใช่หรือ อันที่จริงแล้วทุกคนต่างก็คิดว่าจะสามารถสร้างอนาคตได้” หลี่จื้อชิงพูดแก้ตัว


 


 


“ใช่แล้วๆ พวกข้าต่างก็คิดถึงจวิ้นจู่ ช่วงเวลาที่ท่านอยู่ที่ซีเจียงเป็นช่วงเวลาที่พวกข้ามีความสุขที่สุด อย่างไรเสียตอนนี้พวกข้าก็เป็นเพียงลูกเจี๊ยบสำหรับซีเจียง มีพวกเราก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก ขาดพวกเราไปก็ย่อมไม่กระทบภาพรวม ดังนั้นทุกคนจึงช่วยกันวางแผน ถือโอกาสตอนที่ออกเมืองไปฝึกซ้อมเดินทางมายังเมืองหลวง


 


 


เสิ่นเวยเลิกคิ้ว หลี่จื้อยืนกรานกล่าวต่อ “พวกข้าปิดบังการมาเมืองหลวง หากว่าพูดไป คาดว่าคงจะมาไม่ได้ แต่ว่าพวกข้าก็ทิ้งจดหมายเอาไว้ ส่วนเหล่าครูฝึก เริ่มแรกพวกข้าก็ปิดบังทั้งหมด พวกข้าหนีมาเงียบๆ ถูกพวกเขาจับสังเกตและตามมา พวกข้าจึงทำได้เพียงบอกความจริง พวกเขาถูกพวกข้าพูดจนสนใจ จึงตามมาด้วยกัน”


 


 


“อืม ตลอดทางพวกข้าหมอบซุ่มกลางวันออกเดินทางกลางคืน พยายามไม่ดึงดูดความสนใจผู้อื่น แม้จะมีบางครั้งที่จำใจต้องเดินทางตอนกลางวัน แต่พวกข้าก็ปลอมตัวเป็นสำนักคุ้มภัย ตอนนี้ครูฝึกพาทุกคนตั้งค่ายอยู่ที่เนินเขาเล็กๆ แห่งหนึ่งนอกเมือง พวกข้าสองคนเข้าเมืองมาหาจวิ้นจู่”


 


 


คนทั้งสองผลัดกันเล่าเรื่องทั้งหมด จากนั้นก็ก้มศีรษะต่ำรอคำตัดสินของเสิ่นเวย ในใจทั้งสองเตรียมใจไว้นานแล้ว แม้จะถูกจวิ้นจู่ถลกหนัง พวกเขาก็ไม่เสียดาย


 


 


เสิ่นเวยพยักหน้า กล่าว “ยังรู้ว่าพวกเจ้าคนเยอะเพียงนั้นรวมตัวกันแล้วดึงดูดสายตา ยังรู้จักปลอมตัว กลับไม่คืนสิ่งที่ข้าสอนให้ข้า เอาล่ะ ไม่ต้องก้มหน้าแล้ว มาก็มาแล้ว ข้าจะไล่พวกเจ้ากลับไปอีกหรือไร พวกเจ้าต่างก็วิ่งมาหาข้า ข้าย่อมไม่อาจเมินเฉยพวกเจ้า เอาเช่นนี้แล้วกัน พวกเจ้าไปพักที่จวนจวิ้นอ๋องก่อน นั่นคือจวนของข้ากับจวิ้นอ๋อง แต่ว่าจะเข้าเมืองโดยไม่ดึงดูดความสนใจอย่างไร นั่นก็เป็นเรื่องที่พวกเจ้าต้องคิดเอง อย่างไรเสียก็ให้อาทิตย์ตกดินเป็นตัวกำหนดเวลา ก่อนอาทิตย์ตกดินพวกเจ้าทั้งหมดต้องคิดหาวิธีไปจวนจวิ้นอ๋อง ถึงตอนนั้นข้าจะส่งอาจารย์โอวหยางของพวกเจ้าไปรอนับคนอยู่ที่หน้าประตูจวนจวิ้นอ๋อง หากขาดไปคนหนึ่งล่ะก็ หึหึ!” เสิ่นเวยส่งสายตาว่าพวกเจ้ารู้ดีออกไป


 


 


ฟังจงหลี่กับหลี่จื้อดีใจใหญ่ “จริงหรือ พูดคำไหนคำนั้น!” ระยะทางหลายพันลี้พวกเขาก็เดินมาแล้ว เข้าเมืองหาจวนจวิ้นอ๋องให้เจอไม่ใช่เรื่องเล็กหรอกหรือ บททดสอบสุดท้ายของจวิ้นจู่ไม่ยากเลยแม้แต่นิดเดียว “เหล่าผู้น้อยรับปากว่าจะไม่ขาดตกแม้แต่คนเดียว” พวกเขาทั้งสองตบอกกล่าว


 


 


เสิ่นเวยพยักหน้าอีกครั้ง “ดี เช่นนั้นพวกเจ้าก็ไปเถอะ จำไว้ล่ะ อาจารย์โอวหยางจะรอพวกเจ้าอยู่ถึงอาทิตย์ตกดินเท่านั้น” เสิ่นเวยกล่าวเตือนอีกรอบ เจตนาชั่วร้ายในน้ำเสียงนั้นทำให้ฟังจงหลี่กับหลี่จื้อใจเต้น หรือว่าจวิ้นจู่จะใช้อุบายอะไรมาสร้างความลำบากใจให้พวกเขา


 


 


เสิ่นเวยไม่สนว่าพวกเขาจะเกิดลางสังหรณ์อะไรในใจ หลังสองคนนั้นถูกเจียงไป๋ส่งออกไป นางก็จ้องมองสวีโย่ว เพียงแค่จ้องมอง ไม่พูดแม้แต่ประโยคเดียว


 


 


สวีโย่วถูกนางจ้องจนอึดอัดอย่างยิ่ง ทำได้เพียงกล่าว “รู้แล้ว รู้แล้ว ข้าเข้าใจเจตนาของเวยเวยแล้ว ข้ากำลังจะเข้าวังไม่ได้หรือไร”


 


 


ชั่วขณะเสิ่นเวยก็เผยรอยยิ้ม ดึงแขนเสื้อของสวีโย่วออดอ้อน “ท่านพี่ดีจริงๆ!” หากไม่ใช่เพราะเห็นน้องชายอยู่ในลาน ก็คงจะหอมให้รางวัลไปนานแล้ว


 


 


เพียงเท่านี้ เสิ่นเจวี๋ยก็อิจฉาแล้ว บนใบหน้าแดงซ่าน เขินอายยิ่งกว่าตัวต้นเรื่องที่หน้าหนาสองคนนี้เสียอีก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)