ข้ามกาลบันดาลรัก 237.2-238.1
ตอนที่ 237-2 เคลื่อนย้ายองครักษ์หลวง
ตกดึก ตามที่เปลี่ยวรกร้างในเมืองมีเงาร่างดำจำนวนหนึ่งลอยเข้ามา ตรวจสอบทุกพื้นที่อย่างละเอียด ไม่มองข้ามเบาะแสใดๆ หลังจากสืบค้นมาถึงกลางดึก ในที่สุดก็พบร่องรอยน้ำมันดิบในเรือนซอมซ่อแห่งหนึ่งฝั่งตะวันออกของเมือง
คนทั้งหมดสบตากัน ใช้มือแตะคราบสองสามหยดบนพื้น นำมาดมที่ปลายจมูก มั่นใจว่าเป็นน้ำมันดิบไม่ผิด แล้วลุกขึ้นพร้อมกัน เดินวนรอบเรือนหนึ่งรอบ ไม่พบเบาะแสใดๆ อีก จึงกระโดดออกไปนอกกำแพง หายไปพร้อมกับความมืด
วันถัดมา หลังจากฟ้าสว่างแจ้งแล้ว มีคนในเมืองออกมาไม่น้อย คนยากคนจนเพื่อหาเงินเลี้ยงปากท้อง ใช้โอกาสช่วงปีใหม่ออกมาขายผักบ้าง ขายขนมน้ำตาลปั้นบ้าง มีเดินจับกลุ่มไปบ้านญาติบ้าง ยังมีบางคนออกมาเดินเตร็ดเตร่ ทักทายคนรู้จักอย่างเป็นกันเอง
คนที่อาศัยอยู่ในเมืองมานานต่างประหลาดใจ ในอดีต หากไม่พ้นวันที่สิบห้า บนถนนแทบจะไม่มีคนเลย ปีนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น? แค่วันที่สี่ก็เริ่มคึกคักเช่นนี้แล้ว
แม้จะประหลาดใจ แต่กลับไม่มีใครสงสัย
พวกคนที่ลอยชายอยู่บนถนน ฉวยจังหวะที่ไม่มีใครสนใจ ค่อยๆ รวมศูนย์ไปในทิศทางเดียวกัน
ชายฉกรรจ์ขายผักแบกหาบผักกาดขาวเดินไปร้องตะโกนไป ไม่คิดว่าจะมีหญิงคนหนึ่งเปิดประตูออกมาร้องเรียกเขา “คนขายผัก มาทางนี้หน่อย”
คนขายผักรับคำ แบกคานหาบเดินมาหน้าประตูบ้านนาง แย้มยิ้มตอบกลับ “ท่านป้า จะซื้อผักหรือขอรับ?”
หญิงนางนั้นมองดูผักในหาบของเขา ดูเข้าท่าเข้าทางดี เอ่ยปากถาม “ผักกาดขาวนี้ขายอย่างไร?”
คนขายผักตอบอย่างกระตืนรือร้น “ปกติผักกาดขาวราคาสามจินหนึ่งเหวิน ตอนนี้เป็นช่วงปีใหม่ ผักน้อย ราคาสูงขึ้นเล็กน้อย ห้าจินสองเหวินขอรับ”
หญิงนางนั้นได้ยินแล้วถือว่าไม่โก่งราคาเกินไป พูดว่า “ขอข้าสักสองหัวเถอะ วันนี้จะมีญาติจากชนบทเข้ามาสวัสดีปีใหม่ ข้าจะทำผัดผักให้พวกเขากิน”
คนขายผักขานรับคำ เลือกผักกาดขาวสองหัวออกมา ถามว่า “ท่านป้า ทั้งว่าสองหัวนี้เป็นอย่างไร?”
หญิงนางนั้นแหวกดูเล็กน้อย พยักหน้าพอใจ “สองหัวนี้ก็แล้วกัน”
“ได้ขอรับ ข้าจะชั่งให้เดี๋ยวนี้” คนขายผักรับคำแล้วหยิบตาชั่งในหาบออกมา ชั่งน้ำหนักไปพลางกล่าวชมหญิงนางนั้น “ท่านป้า ท่านจิตใจดีนัก จะทำผัดผักให้ญาติยากจนจากชนบทกินด้วย ไม่เหมือนบางบ้าน ทำวอโถวไม่กี่ชิ้น ก็มาบอกว่าเป็นอาหารคาวแล้ว”
หญิงนางนั้นถูกชมเชย ดีใจหน้าบาน พูดว่า “แน่นอนอยู่แล้ว เพื่อนบ้านแถวนี้มีใครไม่รู้บ้างว่าข้าจิตใจดี จะทำผัดผักใส่หมูให้ญาติยากจนที่มาสวัสดีปีใหม่กินทุกปี”
คนขายผักต่อบทสนทนาอย่างแนบเนียน “เช่นนั้น ท่านป้าก็อาศัยอยู่ที่นี่มานานแล้ว?”
หญิงนางนั้นไม่นึกระแวง พูดตอบเขา “ข้าอาศัยอยู่ที่นี่มาหลายสิบปีแล้ว รู้จักคนละแวกนี้ทั้งหมด”
คนขายผักได้ฟัง ชี้เรือนหลังใหญ่ด้านข้างพูดว่า “เช่นนั้นท่านคงจะคุ้นเคยกับบ้านเศรษฐีข้างๆ นี้ดี ท่านพอจะช่วยข้าแนะนำบ้างได้หรือไม่ ให้แม่ครัวของบ้านพวกเขามาซื้อผักกาดของข้า ปีใหม่แบบนี้ ข้าอยากรีบขายรีบกลับบ้าน” พูดจบพูดสมทบอีกประโยค “ข้าจะไม่ให้ท่านช่วยเปล่า ผักกาดขาวสองหัวนี้ถือว่ามอบให้ท่านเป็นสินน้ำใจ”
หญิงนางนั้นได้ฟัง แม้จะหวั่นไหว แต่กลับโบกมือพูดว่า “เรื่องนี้ข้าคงจะช่วยเจ้าไม่ได้ นี่เป็นบ้านเศรษฐีอู๋ ก่อนปีใหม่พวกเขาก็เตรียมข้าวของไว้หมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องซื้อผักเพิ่มอีก”
คนขายผักพูดด้วยน้ำเสียงเจือความเว้าวอน “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาเตรียมสิ่งของไว้พร้อมหมดแล้ว หากไม่มีเล่า รบกวนท่านช่วยไปถามให้ข้าหน่อยเถิด”
“ปัดโธ่ หากว่าช่วยได้ ไยข้าจะไม่ช่วยเล่า? แต่เพราะก่อนปีใหม่ข้าเห็นกับตาว่ามีรถม้าหลายคันมาจอดหน้าประตูบ้านพวกเขา บรรทุกผักมาเต็มคันรถ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า จะต้องเป็นสิ่งของที่นำมาฉลองปีใหม่” หญิงนางนั้นกล่าว
คนขายผักได้ฟังเบิกตาโพลง ถามอย่างตกใจ “สุดยอดเลย ครอบครัวพวกเขามีกันกี่คนหรือ? ต้องเตรียมผักมากมายเช่นนั้น? พวกเขาจะเตรียมข้าวของมากมายไว้ก่อนเช่นนี้ทุกปีหรือ?”
หญิงนางนั้นตอบ “ครอบครัวพวกเขามีคนไม่มาก ปีก่อนก็เตรียมการเช่นนี้ แต่ไม่ได้มากเท่านี้ มีรถม้าเพียงคันเดียวเท่านั้น”
พูดจบ ก็พูดต่อว่า “ทว่า ต่อมา ข้าเห็นพวกเขาบังคับรถม้าสองคันไปที่อื่น คาดว่าคงจะเอาส่งไปให้บ้านเครือญาติ”
คนขายผักเต็มไปด้วยความอิจฉา “เศรษฐีอู๋คนนี้ช่างเป็นคนดีนัก แม้แต่ผักฉลองปีใหม่ก็เตรียมไว้ให้ญาติมิตรด้วย”
หญิงนางนั้นเบ้ปาก พูดว่า “เจ้าพูดผิดแล้ว คนในจวนอู๋ทุกคนต่างดูแคลนคนอื่น เวลาเห็นคนจนอย่างพวกเรายังไม่แม้แต่จะสนใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงญาติห่างๆ พวกนั้นเลย อย่างมากพวกเขาก็แค่ส่งไปให้บ้านพี่สาวเศรษฐีอู๋เท่านั้น”
คนขายผักพูดต่อ “เช่นนี้ก็ไม่เลวแล้ว เศรษฐีบางคนญาติสนิทยังไม่นับเลย ข้าแบกของหาบเร่มาหลายปี ได้ยินเรื่องเช่นนี้มาไม่น้อย”
หญิงนางนั้นยิ่งเบ้ปากหนักกว่าเดิม “เมื่อก่อนบ้านพี่สาวเขาก็เป็นครอบครัวเศรษฐี ภายหลังครอบครัวล้มละลาย ถูกบีบให้ขายสมบัติบรรพบุรุษมาอาศัยอยู่กับเขา ไม่คิดว่าเขากลับจัดให้ครอบครัวพวกนางไปอยู่เรือนซอมซ่อฝั่งตะวันออกของเมือง หากไม่เพราะเห็นแก่ที่หลานชายพอมีความสามารถ หวังพึ่งใบบุญในอนาคต เศรษฐีอู๋ไม่มีทางสนใจพวกเขาแล้ว”
คนขายผักก็เบะปากด้วย “กล่าวเช่นนี้ คนขายผักคนนี้ก็ไม่ใช่คนดีเด่อะไร พี่สาวที่อาศัยในเรือนซอมซ่อนั้นไม่รู้จะเสียใจเพียงใด?”
หญิงนางนั้นโบกมือ พูดว่า “นั่นเป็นเรื่องเมื่ออดีต นับตั้งแต่ที่หลานชายของเขาได้เป็นขุนนางในหัวเมือง ก็ได้ซื้อเรือนขนาดย่อมหลังหนึ่งทางฝั่งตะวันออกให้บิดามารดาตนเอง บัดนี้สองสามีภรรยานั้นอาศัยอยู่อย่างสุขสบายแล้ว”
คนขายผักชั่งผักเสร็จแล้ว พูดว่า “ท่านป้า ผักสองหัวนี้ราคาสิบเอ็ดจิน ท่านซื้อข้าเป็นคนแรก ข้าจะไม่เอากำไรมาก ท่านให้ข้ามาสี่อีแปะก็พอ”
ได้กำไรหนึ่งจิน หญิงนางนั้นดีใจหน้าบาน รับผักกาดขาวมา มอบเงินสี่เหวินให้ แล้วเดินกลับเข้าบ้านอย่างชื่นบาน
คนขายผักแบกหาบร้องตะโกนไปพลาง ลอบส่งสัญญาณมือชี้ไปฝั่งตะวันออกให้กับคนที่ออกมาสวัสดีปีใหม่อย่างเบิกบาน ที่เดินผ่านตัวเข้าไป
คนทั้งหมดเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น พูดหัวร่อต่อกระซิบมุ่งหน้าไปฝั่งตะวันออก
คนขายผักก็ไม่ร้องตะโกนแล้ว แบกหาบเร่งฝีเท้าตามหลังไป
กระทั่งมาถึงที่เปลี่ยว คนพวกนั้นยืนรออยู่แล้ว
คนขายผักบอกข่าวที่สืบได้เมื่อครู่กับพวกเขา
คนทั้งหมดพยักหน้า หนึ่งคนในนั้นเอามือเข้าปาก เป่าสัญญาณลับหนึ่ง คนจำนวนหนึ่งล้อมรวมเข้ามาฉับพลัน
หนึ่งคนในนั้นพูดกำชับกับทุกคน “พวกเราแบ่งเป็นสองกลุ่ม ส่วนหนึ่งคอยจับตาดูจวนอู๋อยู่ที่นี่ ดูว่าพวกเขามีอะไรผิดปกติหรือไม่ อีกส่วนตามข้าไปฝั่งตะวันออก สืบดูว่าเศรษฐีอู๋เป็นผู้ซื้อเรือนหลังนั้นไว้หรือไม่”
คนทั้งหมดพยักหน้า แยกย้ายปฏิบัติการ
มีเพียงคนขายผักที่แบกหาบเดินวนเวียนละแวกบ้านเศรษฐีอู๋ ร้องตะโกนเร่ขาย
เวลาผ่านไปช่วงหนึ่งก้านธูป ประตูใหญ่จวนอู๋ที่ปิดสนิทแน่นถึงเปิดออกจากด้านใน คนที่แต่งกายคล้ายบ่าวคนหนึ่งเดินออกมา กวาดตามองไปโดยรอบ เห็นผู้คนบนถนนมากกว่าในอดีตมาก ให้ยกคิ้วยู่ย่น
คนขายผักแบกหาบเดินไปตรงหน้าเขา โน้มคำนับถาม “คุณชายท่านนี้ จวนของพวกท่านต้องการผักกาดขาวหรือไม่ ผักของข้าสดๆ ใหม่เลยขอรับ”
บ่าวขับไล่เขา “ไปๆๆ เข้ามาขายของแต่เช้าตรู่ หากเอาเสนียดมาติดจวนอู๋ของพวกเรา ระวังนายท่านของข้าจะให้คนมาถลกหนังเจ้าแน่”
คนขายผักไม่ยอมแพ้ ยังคงวิงวอน “ผักกาดขาวของข้าปอกมาเนื้อขาวสะอาด ไม่มีส่วนไหนต้องตัดทิ้งเลย ทั้งยังถูกมาก พวกท่านไม่ต้องการจริงๆ หรือ?” พูดจบยังเหล่มองเข้าไปในจวนอู๋อย่างใคร่รู้
บ่าวยกเท้าถีบเขา “ไปซะ มองหาพระแสงอะไร มองอีกข้าควักลูกตาเจ้าออกมาแน่”
คนขายผักหลบมาได้อย่างแนบเนียน พูดอย่างตื่นกลัว “ข้าไป ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
พูดจบชายตามองเข้าไปในจวนอู๋อย่างอิจฉา แบกหาบเดินขึ้นหน้า
บ่าวเห็นเขาเป็นเพียงคนบ้านนอก อิจฉาในความร่ำรวยของจวนอู๋ อยากมองให้มากหน่อย จึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ มองไปโดยรอบอีกครั้ง ไม่พบสิ่งผิดปกติ จึงหันหลังมาด้านในประตู นั่งเอ้อระเหยอยู่ด้านใน
กระทั่งตอนเที่ยง ผู้คนที่สัญจรไปมาบนถนนลงน้อยลง เสียงร้องตะโกนของคนขายผักก็หายไปนานแล้ว ถึงมีคนแบกตะกร้าเดินออกมาจากจวนอู๋
บ่าวเฝ้าประตูเห็นดังนั้น รีบลุกขึ้น โน้มตัวอ่อนน้อมพูดว่า “พี่หวังจิ่ว ท่านจะไปส่งข้าวอีกแล้วหรือ?”
ตอนที่ 238-1 ผู้บงการน่าสะพรึง
หวังจิ่วพยักหน้าเล็กน้อย ถามว่า “วันนี้ไม่มีอะไรผิดปกตินะ?”
บ่าวรีบตอบ “ไม่มีขอรับ ตั้งแต่ข้ามาเปิดประตูก็คอยจับตาดูด้านนอก นอกจากพวกหาบเร่ขายของและคนเดินถนนไปมา ก็ไม่พบบุคคลต้องสงสัยเลยขอรับ”
หวังจิ่วพูดเตือนเขา “ช่วงนี้สถานการณ์คับขัน เจ้าต้องตื่นตัวให้มาก หากพบสิ่งใดผิดสังเกต ให้บอกนายท่านทันที อย่าให้เกิดความผิดพลาด จนเสียงานได้”
“วางใจเถอะขอรับ พี่หวังจิ่ว ขอบคุณที่ท่านช่วยพูดยกยอข้าต่อหน้านายท่าน ข้าถึงได้งานสบายเช่นนี้ ข้าจะไม่ให้เกิดความผิดพลาด ทำให้ท่านต้องลำบากเด็ดขาด” บ่าวกล่าว
หวังจิ่วแบกตะกร้าเดินออกไป “เช่นนี้ก็ดี ไม่เสียแรงที่ข้าสนับสนุนเจ้า”
บ่าวโค้งคำนับส่งเขาออกไปนอกประตู เห็นเขาแบกตะกร้าเดินไปไกลแล้ว ถึงกลับมานั่งเอ้อระเหยด้านในประตูอีกครั้ง
องครักษ์หลวงที่หลบอยู่ด้านนอกเห็นหวังจิ่วเดินออกมา หันสบตากัน แบ่งกลุ่มตามหวังจิ่วไป
หวังจิ่วก็ตื่นตัวเป็นอย่างมาก แบกตะกร้ามุ่งหน้าไปฝั่งตะวันออกไปพลาง คอยมองระวังหลังไปพลาง พอเห็นด้านหลังมีคนก็จะหยุดฝีเท้า รอจนพวกเขาเดินผ่านไป พบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ถึงเดินไปข้างหน้าต่อ
เดินไปหยุดไปเช่นนี้ ใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะมาถึงหน้าเรือนฝั่งตะวันออกของเมือง มองดูโดยรอบ พบว่าไม่มีคน ถึงเคาะห่วงหน้าประตูเบาๆ
เสียงตื่นระวังของชายผู้หนึ่งดังแว่วออกมาจากด้านใน “ใครกัน?”
“ข้าเอง หวังจิ่ว เอาข้าวกลางวันมาให้พวกเจ้า” หวังจิ่วพูดกระชับ
มีเสียงเดินเท้าดังมาจากด้านใน ไม่นานประตูก็เปิดแง้มออก ชายคนหนึ่งโผล่หน้าออกมา เห็นว่าเป็นหวังจิ่วจริงๆ จึงเปิดประตูกว้างขึ้น ปล่อยให้เขาเข้ามา แล้วปิดประตูทันที
หวังจิ่วเดินเข้ามาในบ้าน วางตะกร้าลงบนโต๊ะ พูดว่า “นายท่านให้ข้ามาบอกเจ้า ช่วงสองสามวันนี้สถานการณ์คับขัน ทางที่ดีให้พวกเจ้าหลบอยู่ในนี้ไปก่อน ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น รอให้สถานการณ์นี้ผ่านไปก่อน นายท่านค่อยมาหารือกับพวกเจ้าว่าจะจัดการอย่างไรต่อ”
พูดจบ นำอาหารในตะกร้าออกมา วางเรียงบนโต๊ะ
ชายเปิดประตูร้องเรียกพวกเขาสามคนที่นอนอยู่บนเตียง “ลุกขึ้นมากินข้าวเถอะ อากาศเย็น อาหารจะเย็นเร็ว”
ชายทั้งสามคนตะเกียกตะกายลุกขึ้น นั่งข้างโต๊ะ หยิบตะเกียบเคี้ยวหมับๆ ไม่พูดไม่จา
หวังจิ่วเห็นสภาพพวกเขาให้ขมวดคิ้วมุ่น “นี่ก็หลายวันแล้ว อาการบาดเจ็บของพวกเจ้ายังสาหัสนัก ต่อให้หลายวันนี้สองพ่อลูกเปาชิงเหอสืบอะไรไม่ได้ พาคนกลับอำเภอไป ด้วยสภาพพวกเจ้าในตอนนี้ก็คงต่อกรกับเหวินซื่อและนังเด็กสาวบ้านเมิ่งนั่นไม่ได้กระมัง”
มีคนหนึ่งกลืนอาหารแล้วตอบว่า “วางใจเถอะ ข้าส่งข่าวให้คุณชายใหญ่แล้ว อย่างช้าไม่เกินค่ำวันนี้ คนที่คุณชายใหญ่ส่งมาก็จะมาถึง ครั้งนี้มีไม่ต่ำกว่าสิบคน ถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่พวกคนในร้านยาเต๋อเหรินเลย แม้แต่ทั้งสกุลเมิ่ง พวกเราก็จะฆ่าล้างบางไม่ให้เหลือ”
หวังจิ่วพยักหน้า “เป็นเช่นนั้นได้ก็ดี หวังว่าพวกเจ้าจะรีบจัดการเรื่องนี้ กลับเมืองหลวงเร็ววัน นายท่านของพวกเราจะได้วางใจออกตามหาคน”
ชายคนนั้นพยักหน้า “บอกนายท่านของพวกเจ้าด้วยว่า คุณชายใหญ่ของพวกเราช่วยเขากำจัดขวากหนามให้หมดแล้ว หากก่อนปีใหม่เขายังหาคนไม่พบ ก็จงนำศีรษะของเขาไปรับโทษเถอะ”
หวังจิ่วตัวเย็นวาบไปทั้งร่าง ฝืนพูดว่า “นายท่านของพวกเราอยู่ในตำบลชิงซีนี้ แม้จะไม่ถึงกับเรียกฟ้าบันดาลฝนได้ แต่อำนาจบารมีก็ไม่ใช่จะดูแคลนได้ ขอเพียงไม่มีสองคนนี้เป็นอุปสรรค พวกเราจะออกตามหาอย่างโจ่งแจ้ง ไม่เกินสามเดือน จะต้องตามหาเจอ ขอให้คุณชายใหญ่รอฟังข่าวดีจากพวกเราเถอะ”
ชายคนนั้นเคี้ยวข้าวคำโต ไม่ตอบเขา
กระทั่งพวกเขากินเสร็จ หวังจิ่วเก็บกวาดถ้วยชาม ยังคงเป็นชายคนเดิมพาเขามาส่งหน้าประตู แง้มประตูใหญ่ออก มองออกไปด้านนอกไม่มีสิ่งผิดปกติ ส่งสัญญาณให้หวังจิ่วรีบไป
หวังจิ่วสาวเท้าก้าวออกมาด้านนอก ชายคนนั้นปิดประตูใหญ่ทันที แล้วลงกลอนประตู
หวังจิ่วเดินพ้นไปไกลแล้ว ในเรือนก็ไม่มีความเคลื่อนไหว องครักษ์หลวงสองสามนายที่เฝ้าดูอยู่ในมุมมืดถึงปรากฏกาย มองสำรวจรอบตัวเรือนอย่างละเอียด
หลังจากสำรวจพื้นที่ดีแล้ว องครักษ์หลวงนายหนึ่งสั่งการคนอื่นๆ “พวกเจ้าเฝ้าดูต่อไป ข้าจะไปถามท่านแม่ทัพ ว่าจะให้ลงมือตอนนี้ หรือรอให้คนของพวกเขามาถึงแล้วค่อยลงมือ”
องครักษ์หลวงที่เหลือพยักหน้า
องครักษ์หลวงที่พูดจบยกเท้า เหยียบย่างว่องไวดุจบินมาถึงหน้าร้านยาเต๋อเหริน
ประตูร้านยาเต๋อเหรินเพิ่มกำลังรักษาการณ์แน่นหนา มีเจ้าหน้าที่หกนายเฝ้าอยู่ด้านหน้า
องครักษ์หลวงเดินมาตรงหน้าเจ้าหน้าที่พวกนั้น ไม่โยกโย้ พูดไปตามตรง “รบกวนพวกเจ้าไปบอกท่านแม่ทัพ บอกว่าข้ามีเรื่องมารายงาน”
เจ้าหน้าที่สองนายที่ถือดาบจ่อฉู่เหวินเจี๋ยเมื่อวานก็อยู่ในนั้นด้วย เห็นเขาตรงเข้ามาขอพบท่านแม่ทัพ ไม่กล้าตวาดถาม รีบวิ่งเข้าไปรายงานทันที ไม่นานก็วิ่งออกมาพูดกับองครักษ์หลวงอย่างสุภาพ “ท่านแม่ทัพฉู่ให้ท่านเข้าไปได้ขอรับ”
องครักษ์หลวงพยักหน้าเล็กน้อยแสดงความขอบคุณ ก้าวเท้าเดินเข้าไปในหลังร้านยาเต๋อเหริน
ฉู่เหวินเจี๋ยสีหน้าเคร่งขรึม ยืนน่าเกรงขามอยู่ในลานเรือน
องครักษ์หลวงเดินมาตรงหน้าเขา คุกเข่าหนึ่งข้าง ประสานมือทั้งสองขึ้น “กัวเฟยหัวหน้าองครักษ์หลวงตำบลชิงซีคารวะท่านแม่ทัพ”
ฉู่เหวินเจี๋ยพูดอย่างน่ายำเกรง “ลุกขึ้นพูดได้”
“ขอบคุณท่านแม่ทัพ!” กัวเฟยกล่าวขอบคุณแล้วลุกขึ้น
ฉู่เหวินเจี๋ยถามความ “มีเรื่องอะไรจะรายงาน?”
กัวเฟยบอกข่าวที่ได้รับทราบมาเมื่อครู่แก่ฉู่เหวินเจี๋ยอย่างนอบน้อม “ผู้น้อยจะมาเรียนถามว่า พวกเราจะลงมือตอนนี้ หรือรอให้คนมาครบแล้วค่อยลงมือขอรับ”
ฉู่เหวินเจี๋ยออกคำสั่งเขา “เมื่อพวกเขายังมีคนตามมาอีก ก็จงรอไปก่อน จำเอาไว้ว่า ต้องลงมืออย่างไร้ซุ่มเสียง จัดการอย่างรวดเร็วเด็ดขาด อย่าได้สร้างความตื่นกลัวให้ชาวบ้านใกล้เคียง”
“ขอรับ! ผู้น้อยรับทราบ!” กัวเฟยขานรับอย่างอ่อนน้อม
ฉู่เหวินเจี๋ยผงกศีรษะเล็กน้อย “ไปเถอะ จับมาให้หมด อย่าให้หนีรอดไปได้ หากใครต่อต้าน ก็จัดการได้ทันที เหลือจับเป็นมาคนเดียวก็พอ”
กัวเฟยขานรับคำอย่างอ่อนน้อมอีกครั้ง หันหลังเดินพ้นร้านยาเต๋อเหรินออกไป
ทุกคนในห้องได้ยินเสียงด้านนอกแล้ว ไม่มีใครหน้าเปลี่ยนสี แม้แต่เหวินซื่อที่ได้ยินองครักษ์หลวงรายงานตัว ก็มิได้มีปฏิกิริยาใด
พนักงานร้านยาเต๋อเหรินได้รับคำสั่งจากเหวินซื่อก่อนแล้ว หากไม่มีเรื่องอันใดให้อยู่แต่ในห้องห้ามออกมา
ไม่นานกัวเฟยก็กลับมาหน้าเรือนฝั่งตะวันออก นำคำสั่งของฉู่เหวินเจี๋ยบอกกับทุกคน สั่งพวกเขาเรียกระดมพลองครักษ์หลวงที่มาสืบความทุกแห่ง ส่วนตนเองเฝ้าจับตาดูเรือนซอมซ่อในที่เปลี่ยวต่อไป
องครักษ์หลวงทุกนายได้รับคำสั่งแล้ว ต่างทยอยกันเข้ามา มีราวสี่ห้าสิบนายได้ กัวเฟยส่งสัญญาณให้พวกเขาแยกกันไปในแต่ละจุดของเรือน หลบซ่อนตัวให้ดี รอเวลาคนของคุณชายใหญ่มาถึง
ใกล้จะถึงยามจื่อ ก็มีเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังแว่วมา คนสิบกว่าชีวิตเดินตามหลังหวังจิ่วมาถึงหน้าเรือน
หวังจิ่วยังคงเคาะประตูอย่างเบามือ ด้านในมีเสียงตะโกนถามดังออกมา ไม่รอให้หวังจิ่วตอบ คนที่เหมือนหัวหน้าก็เอ่ยปากพูดขึ้น “ข้าเอง รีบเปิดประตู”
เสียงซอยฝีเท้าถี่ดังลอดออกมา จากนั้นประตูใหญ่ก็ถูกเปิดอ้า คนผู้นั้นพูดด้วยความยินดี “พวกท่านมาแล้ว?”
ชายหัวหน้าไม่พูดอะไร ก้าวอาดๆ เข้าไป
หวังจิ่วเดินเข้าไปเป็นคนสุดท้าย แล้วปิดประตูใหญ่
เสียงชายหัวหน้าดังลอยออกมาจากด้านใน “เจ้าพวกเศษสวะไร้ค่า เรื่องเล็กเท่านี้ยังจัดการไม่ได้ คุณชายใหญ่โมโหเดือดดาล พวกเจ้ารอกลับไปรับโทษเถอะ”
คำอธิบายความเสียงอ่อยของพวกเขาดังเลือนๆ ลางๆ แว่วมา
กัวเฟยโบกมือ องครักษ์หลวงทั้งหมดต่างเดินออกมาจากที่ลับ
กัวเฟยทำสัญญาณมือ ส่งสัญญาณให้องครักษ์หลวงทั้งหมดล้อมเผด็จศึกทุกด้านอย่างรวดเร็วเด็ดขาด
เหล่าองครักษ์หลวงพยักหน้า เดินเข้าไปเลือกตำแหน่งเตรียมพร้อม
กัวเฟยร้องคำรามเสียงต่ำ “บุก!”
เหล่าองครักษ์หลวงบุกเข้าเรือนตามวิธีของตัวเอง
ชายหัวหน้ามีวรยุทธ์สูง ได้ยินเสียงผิดปกติภายในเรือน ร้องตวาดถาม “ใคร?”
ไม่ทันได้ถามครั้งที่สอง เหล่าองครักษ์หลวงก็ถีบประตูห้อง บุกทะลวงเข้ามา
ชายหัวหน้าไม่คิดว่าพวกเขาเพิ่งเข้ามา ก็จะมีคนบุกตามไล่หลังมา ตอนที่ลนลานจะชักดาบออกมาก็สายเสียแล้ว ลำแสงเย็นวาบของมีดเล็กสะท้อนปาดเข้าที่ลำคอ คนอื่นๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่ทันได้เคลื่อนไหว ก็ถูกมีดเล็กปาดเข้าที่ลำคอ
ชายหัวหน้ามองมีดเล็กที่เหมือนกันทุกประการในมือพวกเขา ร้องอุทานเสียงหลง “องครักษ์หลวง!”
กัวเฟยเดินเข้ามาในห้องเป็นคนสุดท้าย ได้ยินชายหัวหน้าร้องตะโกนก็พยักหน้า “ถูกต้อง ยังมีคนจำพวกเราได้”
ชายหัวหน้าเห็นเขาเบิกตาโพลงด้วยความหวาดผวา
กัวเฟยเดินมาเบื้องหน้าเขา ยกยิ้มพูดว่า “หัวหน้าใหญ่ฉี ไม่คิดว่าสิบกว่าปีผ่านมา พวกเราจะได้พบกันในรูปแบบนี้”
ชายหัวหน้าร้องถามอย่างไม่เชื่อ “กัวเฟย เจ้าไม่ได้ถูกฆ่าตายจากการไล่ฆ่าเมื่อสิบปีก่อนแล้วเรอะ? เหตุใดถึงมาปรากฏตัวที่ตำบลชิงซีได้?”
กัวเฟยเข้าใจนัยแฝงในคำพูดเขา เก็บคืนรอยยิ้ม ชักสีหน้าถาม “เหตุใดเจ้าถึงรู้ว่าเมื่อสิบปีก่อนข้าถูกไล่ฆ่า?”
ชายหัวหน้าเสียใจที่พลั้งปากพูดออกไป จากนี้ต่อให้กัวเฟยเค้นถามอย่างไรก็จะไม่ปริปากอีก
กัวเฟยทำสัญญาณมือ องครักษ์หลวงที่จับกุมคนไว้ อ้าขากรรไกรล่างของคนในห้องอย่างรวดเร็วแม่นยำ ควานหายาพิษที่ซ่อนอยู่ในปากพวกเขา แล้วปิดปากของพวกเขากลับคืน
ระหว่างนั้นมีคนขัดขืน ถูกมีดที่จี้คออยู่ขององครักษ์หลวงตวัดตัดคอหอย เลือดสดๆ ไหลพุ่งออกมา คนผู้นั้นยังไม่ทันได้ร้องสักแอ๊ะก็สิ้นใจแล้ว
เห็นสภาพน่าสังเวชของเขา คนอื่นๆ ต่างเลิกคิดจะขัดขืน
ชายหัวหน้าทนดูไม่ได้ หลุบนัยน์ตาลง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น