กระบี่จงมา 236.3-238.2
บทที่ 236.3 ดอกไม้เหลืองของบ้านเกิดเป็นสีเหลืองอร่าม
โดย
ProjectZyphon
ตรอกหนีผิง
ยามดึก เด็กหนุ่มสวมชุดแพรที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความร่ำรวยนั่งเหม่ออยู่ในลานบ้าน
ก่อนหน้าที่ผู้ฝึกลมปราณใหญ่จากสำนักหยินหยางจะถูกซ่งจ่างจิ้งท่านอาของเขาสังหาร อีกฝ่ายเคยมาหาเขาเป็นการส่วนตัว และได้พูดคุยเรื่องที่น่าตะลึงพรึงเพริดร่วมกันครั้งหนึ่ง
ผู้เฒ่าถึงขั้นเปิดเผยแผนการชั่วร้ายใหญ่เทียมฟ้าที่มีต่อฮ่องเต้องค์ปัจจุบันของต้าหลีออกมา การที่เขาบอกให้ฮ่องเต้ฝึกบำเพ็ญตนโดยพลการ ผิดต่อกฎที่อริยะลัทธิขงจื๊อตั้งไว้ ไม่เพียงแต่ใช้สถานะของฮ่องเต้แอบเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตกลาง ยังถึงขั้นฝ่าไปถึงขอบเขตสิบได้อย่างราบรื่นดุจผ่าลำไม้ไผ่ด้วย
ฮ่องเต้ทำไปก็เพราะหวังได้เห็นราชวงศ์ต้าหลีฮุบกลืนทั้งทวีป ส่วนผู้ฝึกตนใหญ่ลัทธิหยินหยางทำไปก็เพื่อหวังว่าจะชักใยฮ่องเต้ต้าหลี หรือก็คือบิดาของซ่งจี๋ซินให้เป็นหุ่นเชิดตัวหนึ่ง เพราะเมื่อใดที่ฮ่องเต้ต้าหลีปิดด่านเพื่อข้ามธรณีประตูของห้าขอบเขตบนอย่างเป็นทางการ ก็คือช่วงเวลาที่เขาจะเสียสติและตกเป็นหุ่นเชิดอย่างสิ้นเชิง
การมาถึงของอาเหลียง การที่เขาทำลายสะพานแห่งความเป็นอมตะของฮ่องเต้ต้าหลีให้แหลกสลายก็อาจเป็นเพราะมองเห็นเบาะแสบางอย่าง และก็มีความเป็นไปได้มากว่ากลไกรวมไปถึงปมเงื่อนต่างๆ ที่ถูกผูกซ่อนเอาไว้ในสะพานแห่งนั้นได้ถูกเปิดเผยออกมาจนหมดสิ้นแล้ว แม้ตอนนั้นฮ่องเต้ที่อยู่บนลานกว้างหน้าหอป๋ายอวี้จะปิดบังอำพรางได้อย่างดีเยี่ยม แต่ฮ่องเต้กลับคิดไม่ถึงเลยว่า ผู้ฝึกลมปราณสำนักหยินหยางก็ได้หันมาเล่นตุกติกกับร่างของซ่งจี๋ซินเช่นกัน
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร หมัดนั้นของอาเหลียงก็สร้างความปั่นป่วนให้กับแผนการอันยาวไกลหลายสิบปีที่รวบรวมทุกวิถีทางซึ่งจะทำให้แผนการสำเร็จของสำนักหยินหยางสายของเขาได้อย่างสิ้นเชิง
เพียงแต่ว่าทุกอย่างนี้ยังอยู่ไกลเกินกว่าจะสิ้นสุดมากนัก
ซ่งจี๋ซินในเวลานี้ย้อนนึกถึงคำพูดเหล่านั้นก็ให้หนักใจอย่างถึงที่สุด
สาวใช้จื้อกุยสวมเสื้อคลุมเดินออกมา ถามว่า “คุณชาย มีเรื่องในใจหรือ?”
ซ่งจี๋ซินหันมายิ้มให้ “ก็แค่นอนไม่หลับเท่านั้น”
จื้อกุยร้องอ้อหนึ่งที แล้วไปยกม้านั่งตัวเล็กมานั่งข้างซ่งจี๋ซิน
จู่ๆ ซ่งจี๋ซินก็เสนอความเห็นขึ้นมาว่า “แสงจันทร์บางเบา ทิวทัศน์งดงาม ไม่อย่างนั้นพวกเราไปเดินเล่นกันดีไหม?”
จื้อกุยกล่าวอย่างเกียจคร้าน “ได้สิ เอาตามที่คุณชายต้องการเลย”
ยังคงเป็นนายบ่าวสองคนที่เดินผ่านตรอกซอกซอยต่างๆ ของเมืองเล็กไปด้วยกัน เมื่อเดินไปถึงโรงเรียนเดิมทีฉีจิ้งชุนเคยสอนหนังสือ ผ่านโต๊ะหินในเรือนหลังที่เคยนั่งเล่นหมากล้อม ซ่งจี๋ซินก็ยื่นมือไปลูบผิวโต๊ะที่เยียบเย็น ทุกครั้งเขาจะนั่งอยู่ทางทิศเหนือ จ้าวเหยานั่งอยู่ทางทิศใต้ ตอนนั้นไม่รู้ว่าทำไมอาจารย์ฉีถึงทำเช่นนั้น ตอนนี้เมื่อน้ำลดหินผุด ถึงได้รู้ว่าที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ซ่งจี๋ซินเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไม่รู้ว่าจ้าวเหยามีชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง”
มาถึงที่นี่ จื้อกุยพูดน้อยลงกว่าเดิม
หลังจากนั้นคนทั้งสองก็สาวเท้าเดินเล่นไปอย่างไร้จุดหมาย เดินไปตามที่ใจปรารถนา
บ่อโซ่เหล็ก โซ่เหล็กถูกบุรุษต่างถิ่นผู้หนึ่งเอาออกไปแล้ว นี่ก็คือโควาสนาของตระกูลเซียน
แมวดำตัวนั้นของตรอกซิ่งฮวา ดูเหมือนว่าจะออกจากเมืองเล็กไปพร้อมกับหม่าขู่เสวียนคนโง่ที่เงียบขรึมดุจน้ำเต้าตัน
สะพานหินโค้งที่กลับคืนสู่สภาพเดิมเพราะสะพานแบบคานถูกรื้อถอนทิ้งไป กระบี่โบราณใต้สะพานหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ได้ยินว่าอีกไม่นานอริยะหร่วนฉงจะตั้งพรรคเปิดสำนักที่ภูเขาใหญ่บางลูก ถึงเวลานั้นย่อมต้องเป็นเรื่องที่ได้รับความสำคัญมากอย่างแน่นอน กรมพิธีการของต้าหลีมองเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่อันดับหนึ่งที่ต้องตั้งใจจัดการให้ดีของปีนี้
ร้านยาสุ้ยกับร้านฉ่าวโถวที่อยู่ติดกันในตรอกฉีหลงต่างก็เปลี่ยนเป็นของคนแซ่เฉิน นี่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างหาได้ยาก เพราะคนแซ่เฉินในเมืองเล็กแทบจะกลายเป็นบ่าวของสี่แซ่สิบตระกูลหมดแล้ว
สองศาลบุ๋นบู๊ที่สร้างขึ้นใหม่ในสุสานเทพเซียนกับภูเขากระเบื้องเคลือบเริ่มทำการก่อสร้างแล้ว แต่ละศาลแยกเป็นสถานที่ตั้งบูชาบรรพบุรุษของตระกูลหยวนและเฉาที่ในอดีตเคยเป็นหยกคู่แห่งราชสำนักต้าหลี ตอนนี้จึงถือว่าพวกเขาคือใบไม้ที่ร่วงกลับสู่ราก
กลอนคู่ที่มาจากลายมือของบุคคลผู้มีชื่อเสียงหลายแผ่น แม้แต่คนในวงการวรรณกรรมที่มีชื่อเสียงของแคว้นหนันเจี้ยนก็ยังส่งกลอนคู่ที่เขียนด้วยลายมือตัวเองมาให้ ลายมือที่เขียนมีทั้งแข็งแกร่งและนุ่มนวล เปี่ยมไปด้วยท่วงทำนองอันมีชีวิตชีวา
ซ่งจี๋ซินยืนอยู่นอกศาลที่ตั้งบูชาอริยะ กระตุกมุมปากขึ้นสูง “เฮอะ ท่วงทำนองอันมีชีวิตชีวา”
สุดท้ายเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์ที่เกิดในตระกูลซ่งต้าหลีก็หันไปมองทางภูเขาใหญ่ทิศตะวันตกที่อยู่ห่างไปไกล ดูเหมือนจะเป็นทิศที่ตั้งของภูเขาลั่วพั่ว
ที่นั่นมีศาลเทพภูเขาที่ควันธูปน้อยนิดอย่างถึงที่สุดอยู่แห่งหนึ่ง
เด็กหนุ่มที่มองไกลไปยังภูเขาลั่วพั่วสีหน้าหม่นหมอง และเขาเองก็อกสั่นขวัญผวาเช่นกัน (อกสั่นขวัญผวาคือแปลจากภาษาจีนว่าซือหุนลั่วพั่ว ลั่วพั่วซึ่งเป็นคำเดียวกันกับชื่อภูเขาลั่วพั่ว)
……
หากไม่กล่าวถึง ‘ศาลใหญ่’ ที่เป็นของทวยเทพขุนเขาเหนือบนภูเขาพีอวิ๋น ในภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตกยังมีศาลเทพภูเขาทั่วไปอยู่อีกหลายแห่ง ศาลที่ควันธูปรุ่งเรืองมากที่สุดก็คือภูเขาเฟิงเหลียง (ลมเย็น) ที่อยู่ทางทิศเหนือสุด เพราะว่าอยู่ใกล้กับเขตการปกครองหลงเฉวียนมากที่สุด ถนนหนทางถูกบุกเบิกได้อย่างกว้างขวางราบเรียบ ขึ้นเขาสะดวก ระหว่างทางมีร้านน้ำชาและร้านอาหาร รวามไปถึงโรงเตี๊ยมขนาดเล็กใหญ่ที่มีไว้ให้ชายหญิงผู้มีจิตศรัทธาหยุดพักค้างแรมระหว่างทางผุดขึ้นเป็นหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิหลังฝน
ตรงตีนเขามีตลาดอยู่แห่งหนึ่งที่ขายของสารพัดอย่างไม่ว่าจะเป็นชา สุรา บะหมี่ ดอกไม้ นก ปลาหรือแม้แต่แมลง เป็นเหตุให้เด็กๆ ของเมืองเล็กที่พอได้ยินว่าพ่อแม่จะไปจุดธูปไหว้พระที่นั่นก็ดีใจกันสุดๆ แทบไม่ต่างจากเวลาฉลองวันปีใหม่ เพราะว่าที่นั่นมีแผ่นแป้งเนื้อย่างที่เพิ่งออกจากเตาใหม่ๆ ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายวางขาย และยังมีผู้เฒ่าปั้นน้ำตาล เด็กหลายคนที่พอได้เงินอั่งเปามาตอนวันปีใหม่ก็มักจะแอบจับกลุ่มกันไปเล่นสนุกที่นั่น ผลกลับกลายเป็นว่าพอกลับไปถึงบ้าน เด็กส่วนใหญ่ล้วนถูกพ่อแม่จัดการซะอ่วม
เด็กหนุ่มที่ชื่อว่าต่งสุ่ยจิ่งก็วางแผงขายเกี๊ยวน้ำอยู่ที่นั่น
ไส้กุ้ง หน่อไม้ เต้าหู้ ล้วนมีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ สุดท้ายโรยต้นหอมซอยลงไปหนึ่งกำมือ กินคู่กับน้ำพริกจานเล็กๆ ที่เด็กหนุ่มทำเอง รสชาตินั้นเรียกได้ว่าล้ำเลิศ
เดิมทีเด็กหนุ่มเรียนหนังสืออยู่ในโรงเรียนแห่งใหม่ที่สกุลเฉินแห่งลำธารหลงเหว่ยสร้างขึ้นใหม่ แต่ไม่รู้ว่าทำไม ต่อให้ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงิน เด็กหนุ่มก็ยังออกมาจากโรงเรียน เขาขายบ้านเก่าในเมืองเล็กหนึ่งหลังจากที่มีอยู่สองหลัง ซื้อบ้านหลังใหม่เอี่ยมที่เขตการปกครองแห่งใหม่ อยู่ห่างจากภูเขาเฟิงเหลียงไปแค่สิบกว่าลี้เท่านั้น
ร้านเกี๊ยวน้ำเปิดตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงยามสนธยา ไม่มีเวลาที่แน่นอน ขอแค่ยังมีลูกค้า ต่อให้ฟ้าจะมืดแค่ไหน เด็กหนุ่มก็จะรอจนกว่าลูกค้าจะค่อยๆ กินเสร็จ ถึงจะเก็บร้าน แล้วเข็นรถกลับบ้านไป ตอนนี้เขตการปกครองยังไม่มีเวลาห้ามออกจากเคหะสถานยามวิกาล ทั่วทุกหนแห่งล้วนมีแต่ภาพบรรยากาศของความคึกคักที่ฝุ่นตลบอบอวลไปทั่ว หากยืนมองภาพบรรยากาศของเมืองยามค่ำคืนมาจากศาลเทพภูเขาบนยอดเขาเฟิงเหลียง จะเห็นเป็นเหมือนโคมไฟดวงใหญ่ดวงหนึ่งที่ถูกวางไว้บนพื้นดิน
ม่านรัตติกาลของคืนนี้เยื้องกรายมาถึง ต่งสุ่ยจิ่งเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่เริ่มเก็บร้านเกี๊ยวน้ำ เตรียมกลับบ้านของตัวเอง
คิดไม่ถึงว่าจะมีบุรุษท่าทางประหลาดคนหนึ่งเดินมาแต่ไกล เขาทั้งไม่ห้อยกระบี่แล้วก็ไม่สะพายกระบี่ แต่วางพาดเป็นแนวขวางไว้ด้านหลังตัวเอง พอเดินมาถึงข้างแผงก็ถามยิ้มๆ ว่า “พ่อค้า ยังขายเกี๊ยวน้ำอยู่ไหม?”
ต่งสุ่ยจิ่งยิ้มกว้าง “ขายสิ! ทำไมจะไม่ขายล่ะ! แค่ต้องต้มน้ำ ลูกค้าโปรดรอสักครู่”
บุรุษคลี่ยิ้มทรุดตัวนั่งลงข้างโต๊ะที่ถูกเช็ดจนสะอาดเอี่ยม ไม่มีคราบมันหรือคราบสกปรกแม้แต่น้อย บนโต๊ะวางกระบอกไม้ไผ่ที่ทำขึ้นเอง ด้านในเสียบตะเกียบไม้ไผ่สีเขียวเรียวยาวไว้จนเต็มแน่น เถ้าแก่น้อยคนนี้ช่างประดิษฐ์ประดอยไม่เบา
บุรุษรอจนได้รับเกี๊ยวน้ำชามโตที่ไอร้อนลอยกรุ่น หอมซอยที่ลอยอยู่เหนือน้ำต้มสีแดงเข้มข้นมองดูน่ารับประทาน ต่งสุ่ยจิ่งถามเขาว่ากินเผ็ดได้หรือไม่ บุรุษบอกว่ายิ่งเผ็ดก็ยิ่งดี เด็กหนุ่มจึงส่งน้ำพริกหนึ่งจานเต็มไปให้เขา บุรุษหยิบตะเกียบขึ้นมาคู่หนึ่ง ไม่รีบร้อนกิน เขาก้มหน้าลง หลับตาลงดมกลิ่นหอม แล้วจุ๊ปากชื่นชม “กลิ่นนี้ ถูกใจ!”
บุรุษถามชวนคุย “รู้จักสำนักโม่หรือไม่?”
ต่งสุ่ยจิงที่นั่งห่างไปไม่ไกลพยักหน้ารับ “แน่นอน เมื่อก่อนอาจารย์เคยบอกว่าสำนักโม่เคยเป็นหนึ่งในสี่สำนักแห่งความรู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ความรู้ที่พวกเขาสรรเสริญนั้นร้ายกาจอย่างมาก เป็นความรู้ประเภทที่รู้หลักการได้ง่าย แต่ลงมือปฏิบัติจริงกลับยากมาก ชอบทดสอบจิตใจของลูกศิษย์ในพรรค นอกจากนี้คือค่อนข้างจะเคร่งครัดตายตัว อาจารย์บอกว่าค่อนข้างจะ…น่ารัก”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ต่งสุ่ยจิ่งก็ยกมือเกาหัว ยิ้มซื่อๆ “อาจารย์ของข้าเป็นคนพูด”
บุรุษเคี้ยวเกี๊ยวชิ้นหนึ่งพลางพยักหน้ารับแรงๆ “พูดได้ดีจริงๆ”
เขาถามอีกว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยได้ยินชื่อคนเชื่อดาบในบรรดาจอมยุทธ์พเนจรของสำนักโม่หรือไม่? เชื่อจากเชื่อหนี้ ดาบก็คือดาบที่เป็นอาวุธ”
ต่งสุ่ยจิ่งส่ายหน้าเบาๆ ด้วยสีหน้าฉงนสนเท่ห์
เรื่องนี้อาจารย์ฉีไม่เคยพูดถึงมาก่อนจริงๆ
บุรุษวางตะเกียบลง ตบหน้าท้อง ถอนหายใจหนักๆ หนึ่งทีอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าอยากเป็นคนเชื่อดาบหรือไม่?”
สีหน้าของต่งสุ่ยจิ่งนิ่งขรึม แต่เพียงไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ ส่ายหน้าพูดยิ้มๆ ว่า “ขายเกี๊ยวน้ำก็ดีมากแล้ว ได้เงินแถมยังมีชีวิตที่สงบสุขด้วย”
ตอนแรกเขา หลี่เป่าผิง หลินโส่วอี หลี่ไหว สือชุนเจีย นักเรียนห้าคนในโรงเรียนช่วยกันหลอกสารถีซึ่งตัวตนที่แท้จริงคือนักรบเดนตายของต้าหลีจนหัวหมุน แม้ว่าคนที่วางแผนและคอยแก้ไขช่องโหว่คือหลี่เป่าผิงกับหลินโส่วอี แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ว่าใครก็ตามที่ขอแค่เผยพิรุธออกมา ทุกสิ่งที่ทำลงไปก่อนหน้านี้ก็จะสูญเปล่า ดังนั้นสุดท้ายแล้วเด็กห้าคนที่ได้เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของฉีจิ้งชุนอย่างเป็นทางการ ล้วนไม่มีใครที่เป็นตะเกียงประหยัดน้ำมัน
ก็เหมือนต่งสุ่ยจิ่ง อายุเพียงแค่นี้ก็รู้จักไปหาแม่นางหร่วนซิ่ว ให้นางช่วยขายบ้านเก่าในเมืองเล็กราคาสูงเทียมฟ้าให้ จากนั้นก็ไปซื้อบ้านหลังใหญ่ที่เขตการปกครองอย่างรวดเร็ว แถมไม่ได้ซื้อแค่หลังเดียว แต่ซื้อทั้งถนน!
เงินก้อนใหญ่ที่หล่นลงมาจากท้องฟ้าก็มีวิธีใช้เงินของมัน เงินสามารถต่อเงินได้
เงินเล็กๆ น้อยๆ ที่พอให้ประทังชีวิตก็ควรจะมีวิธีหามา ไม่ใช้เงินก็เท่ากับกำลังหาเงิน สองอย่างนี้ไม่ขัดแย้งกันเอง
“ไม่ต้องรีบร้อนตอบข้า”
บุรุษโบกมือ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ส่วนข้อที่ว่าทำไมถึงเลือกเจ้า ต่งสุ่ยจิ่ง ข้าสังเกตเจ้ามานานมากแล้ว ทุกด้านของเจ้า อาจพูดไม่ได้ว่าล้วนดีที่สุด แต่ที่แน่นอนเลยก็คือไม่มีปัญหาสักด้าน แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”
ต่งสุ่ยจิ่งกล่าวอย่างจนใจ “เจ้าคือ?”
บุรุษกล่าวตามตรงอย่างไม่มีปิดบัง “ข้าชื่อสวี่รั่ว ลูกศิษย์สำนักโม่ มาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง แน่นอนว่าข้าไม่ใช่คนเชื่อดาบ แต่ข้ามีเพื่อนรักอยู่คนหนึ่ง ก่อนตายเขาขอให้ข้ารับปากว่าจะช่วยเขาหาลูกศิษย์ที่เหมาะสมซึ่งจะมาเป็นผู้สืบทอดของเขา เขาคืออาจารย์ปู่ของคนเชื่อดาบรุ่นก่อนของสำนักโม่ เป็นคนที่ร้ายกาจมากคนหนึ่ง เคยดื่มเหล้ากับอาเหลียงมาหลายครั้ง เขาล้วนเป็นคนออกเงินค่าเหล้า ตอนที่อาเหลียงเดินทางท่องเที่ยวหาประสบการณ์ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางได้ติดหนี้คนเขาไปทั่ว และเขาก็เป็นคนจ่ายหนี้ให้ทั้งหมด”
“แล้วอาเหลียงคือใคร?”
“บุตรชายของศัตรูคู่แค้นของอาจารย์ของอาจารย์เจ้า”
“อะไรนะ?!”
ต่งสุ่ยจิ่งมึนงงไปหมดแล้ว คืออะไรของใครของใครนะ?
บุรุษลุกขึ้นยืน “ครั้งหน้าข้าจะมาใหม่ เจ้าใคร่ครวญดูให้ดี”
ต่งสุ่ยจิ่งพลันตะโกนเรียก “รอเดี๋ยว!”
บุรุษยิ้มบางๆ “เงินค่าเกี๊ยวน้ำชามนี้ติดไว้ก่อน ไม่แน่ว่าวันหน้าเจ้ารับปากจะเป็นคนเชื่อดาบ…”
ต่งสุ่ยจิ่งยืนกราน “แบบนี้ได้ที่ไหน ขอแค่ทำการค้า ต่อให้เป็นพี่น้องแท้ๆ ก็ต้องคิดบัญชีกันให้ชัดเจน”
บุรุษพยักหน้า ควักเหรียญทองแดงสองสามเหรียญออกมา “ฮ่าๆ มีมาดเหมือนคนเชื่อดาบจริงๆ”
ภายใต้แสงสนธยา สวี่รั่วจากไปอย่างสง่างาม
ต่งสุ่ยจิ่งนั่งอยู่ที่เดิม มองส่งจอมยุทธ์พเนจรสำนักโม่จากไป ยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก
การที่เขาปลุกความกล้าทวงเงินเหรียญทองแดงไม่กี่เหรียญนั้น ไม่ใช่เพราะเขาต่งสุ่ยจิ่งดื้อด้านหัวแข็ง เป็นคนซื่อบื้อที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ แต่เป็นเพราะเขาอยากจะลองใจคนด้วยวิธีบ้านๆ
ต่งสุ่ยจิ่งนั่งเหม่อเงียบๆ อยู่ข้างโต๊ะ ไม่มีอารมณ์ปิติยินดีอย่างบ้าคลั่งที่มีขนมเปี๊ยะชิ้นโตหล่นลงมาจากฟ้า กลับกันคือค่อนข้างจะมึนงงด้วยซ้ำ
อันที่จริงเด็กหนุ่มไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้
เพราะแท้จริงแล้วเขาไม่มีใจทะเยอทะยานเท่าไหร่นัก แค่คิดว่าวันหน้าจะทำงานหาเงิน มีอยู่มีกินไม่เดือดร้อน ขอแค่บ้านที่เขาพักอาศัยอยู่ตอนนี้มีบ่อน้ำบ่อหนึ่งที่มีน้ำให้ตัก ข้างบ่อน้ำปลูกต้นหลิ่ว (หรือต้นหลิว) ไว้หนึ่งต้น ฤดูใบไม้ผลิของทุกๆ ปีมียอดอ่อนแตกหน่อขึ้นมา เมื่อลมโชยผ่าน กิ่งหลิ่วก็ส่ายไหวไปตามสายลม น่ารัก…อย่างมาก
—–
บทที่ 237 หนึ่งภูเขายังมีหนึ่งภูเขาที่สูงกว่า
โดย
ProjectZyphon
ชายป่าเปลี่ยวร้าง คืนเดือนดับลมราตรีพัดกระโชกแรง เหมาะกับการสังหารคนปล้นทรัพย์ แล้วก็เหมาะกับการกำจัดปีศาจปราบมาร แค่ต้องดูที่ว่าธรรมะสูงหนึ่งฉื่อ หรืออธรรมสูงหนึ่งจั้ง
นอกวัดโบราณที่ทรุดโทรมของแคว้นซูสุ่ยมีเสียงหัวเราะคิกคักพลิ้วหวานดังแว่วมา สุดท้ายเป็นเสียงเคาะประตูที่ดังเป็นระลอก ชายฉกรรจ์เคราดกหันมามองเฉินผิงอันแวบหนึ่ง ก่อนมองไปยังจางซานเฟิง เอ่ยสัพยอกว่า “พวกเจ้าสองคนใครจะไปรับแขก? หากข้าไปเปิดประตูคงทำให้ปีศาจเพศเมียพวกนี้ตกใจเป็นแน่ ถึงเวลานั้นอีกฝ่ายไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เผ่นหนีไปก่อน จะทำอย่างไร?”
นักพรตจางซานเฟิงตบอกตัวเอง “ข้านักพรตน้อยหน้าตาหล่อเหลากว่าเฉินผิงอันนิดหน่อย…”
หลิ่วชื่อเฉิงสะดุ้งตื่นสะลึมสะลือเพราะเสียงกระดิ่งสดับปีศาจ พอได้ยินว่ามีปีศาจเพศเมียก็นึกถึงปีศาจจิ้งจอกที่งดงามในนิทานเทพเซียนและเรื่องประหลาดทันที ความกล้าพลันบังเกิด รีบลุกขึ้นมาจากผ้าปูรองนอน โหวกเหวกเสียงดังว่า “ข้าไปเองๆ พวกภูตผีปีศาจที่ถูกพูดถึงในตำราชอบบัณฑิตผู้อ่อนแอมากที่สุด พวกเจ้าสามคนถ้าไม่พกดาบก็สะพายกระบี่ ข้านี่แหละเหมาะสมที่สุด แต่บอกไว้ก่อนว่า หากเจอกับปีศาจที่ดี พวกเรามีอะไรก็พูดกันดีๆ หากนางยอมใช้ราตรีวสันต์ร่วมกับข้าหนึ่งเค่อ พวกเจ้าก็อย่าขัดขวาง แต่หากเจอผีร้ายที่กินคน พวกเจ้าก็ต้องช่วยข้าด้วย!”
หลิ่วชื่อเฉิงวิ่งตุปัดตุเป๋ไปเปิดประตู ลมหอบใหญ่พัดกระโชกเข้ามาจนบัณฑิตยากจนลืมตาไม่ขึ้น จากนั้นก็รู้สึกเพียงว่ามีลมหอมๆ พัดผ่าน ข้างกายแว่วเสียงหวานดุจกระดิ่งเงินของคนสองคน และยังมีชายแขนเสื้อที่ทำจากผ้าแพรต่วนอ่อนนุ่มนิ่มละเอียดลูบไล้ผ่านใบหน้าของเขาไป ทำเอาหลิ่วชื่อเฉิงรู้สึกเคลิบเคลิ้ม ก่อนจะรีบปิดประตูลง รอจนลมหยุดพัดแล้ว เขาหันตัวกลับไปเพ่งตามองถึงเห็นหญิงสาวหน้าตางดงามสามคน สองคนในนั้นยิ้มหวานหยาดเยิ้มพุ่งเข้าไปยังกองไฟที่พวกชายฉกรรจ์เคราดกสามคนนั่งอยู่ เรือนกายของพวกนางอวบอิ่ม แค่มองแผ่นหลังก็ทำเอาจิตใจของหลิ่วชื่อเฉิงวูบไหว และยังมีดรุณีน้อยที่อายุอ่อนกว่าอีกคนหนึ่ง นางสวมกระโปรงยาวสีชมพูอ่อน สวมรองเท้าปักลายบุปผา ยืนอยู่ตรงหน้าห่างจากหลิ่วชื่อเฉิงไม่ไกลด้วยท่าทางขลาดเขิน นิ้วมือของนางที่ขยุ้มกระโปรงบิดเกร็ง เมื่อเทียบกับพี่สาวคนงามที่มีนิสัยเปิดกว้างสองคนนั้นแล้ว นางที่อยู่ในสายตาของหลิ่วชื่อเฉิงเป็นดั่งหยกงามในตระกูลเล็ก มองแล้วน่าประทับใจมากกว่า
ชายฉกรรจ์กำลังนั่งขัดสมาธิดื่มเหล้า ตรงหน้าอกของหญิงสาวสองคนที่สวมอาภรณ์อย่าง ‘ใจกว้าง’ เผยภาพทิวทัศน์โค้งนูนขาวละลานตา นักพรตหนุ่มที่หน้าบางมองเห็นแล้วก็หน้าแดงก่ำ ส่วนเฉินผิงอันกำลังโยนกิ่งไม้แห้งเข้าไปในกองไฟ เสียงกิ่งไม้ปริแตกลั่นดังเปรี๊ยะๆ อย่างต่อเนื่อง
สาวงามที่ ‘หน้าอกมีร่องลึก’ สองคนนี้มีริ้วน้ำวูบผ่านนัยน์ตา เพียงไม่นานก็เลือกคนที่ถูกใจตัวเองได้ คนหนึ่งนั่งลงข้างกายนักพรตหนุ่ม อีกคนหนึ่งนั่งลงข้างกายเฉินผิงอัน เดิมทีชายฉกรรจ์กางแขนสองข้างออกกว้างแล้ว ผลกลับกลายเป็นว่าต้องแข็งค้างอยู่ในท่านั้น อึ้งไปครู่หนึ่งก็ได้แต่หยิบเหล้าขึ้นมาดื่มบดบังสภาพอันน่ากระอักกระอ่วนของตัวเอง
หญิงสาวงามหยาดเยิ้มที่นั่งอยู่ข้างกายจางซานเฟิงใช้มือหนึ่งวางทาบลงบนตำแหน่งคอเสื้อ มองดูคล้ายต้องการปกปิดทิวทัศน์งดงามอย่างคนสำรวมกิริยา แต่แท้จริงแล้วกลับออกแรงกดคอเสื้อลงเบื้องล่าง กลายเป็นว่าอาทิตย์ขึ้นตะวันออกฝนตกตะวันตก สาบเสื้อยิ่งรัดรึงอวดส่วนโค้งนูน แค่นางหายใจ สิ่งที่อยู่ด้านใต้ก็อาจจะปริทะลุเสื้อออกมา นางใช้ไหล่ของตัวเองถูไหล่นักพรตหนุ่มเบาๆ พลางถามด้วยน้ำเสียงหวานหยด “โอ้โห นักพรตน้อย สะพายกระบี่ไม้ด้วยหรือนี่ ใช่กระบี่ไม้ท้อในตำนานหรือไม่? ไม่สู้ชักกระบี่ออกจากฝัก ให้พี่สาวดูหน่อยว่าสั้นหรือยาว?”
นักพรตจางซานเฟิงหัวหูแดงก่ำ ไม่กล้าต่อปากต่อคำ
หญิงสาวที่นั่งแพะพิงเฉินผิงอันมีใบหน้ารูปผลแตง คิ้วตาเปล่งประกายสดใส มือทั้งคู่เรียวบางเหมือนต้นหอมฤดูใบไม้ผลิ น้ำเสียงนุ่มนวล “คุณชายท่านนี้ ข้าน้อยกับเหล่าพี่น้องออกเดินทางคืนนี้ลมภูเขาพัดแรงยิ่งนัก ทำเอามือน้อยๆ ของข้าเย็นเฉียบไปหมด ไม่เชื่อคุณชายลองจับดูสิ”
เฉินผิงอันชี้ไปที่กองไฟ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “แม่นางมือเย็นก็อังไฟ อีกเดี๋ยวมือก็จะอุ่นขึ้นได้เอง”
เด็กสาวชุดกระโปรงชมพูรองเท้าปักลายดอกไม้ผู้นั้นไม่ได้เข้ามาร่วมวงด้วย นางนั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของกองไฟเพียงลำพัง ก้มหน้ายื่นมือออกไป หลิ่วชื่อเฉิงนั่งลงข้างกายนาง เป็นฝ่ายชวนคุยด้วยรอยยิ้มก่อน “แม่นางน้อย พวกเจ้าใช่คนของแคว้นซูสุ่ยหรือไม่?”
เด็กสาวพยักหน้ารับเบาๆ เงยหน้าขึ้น ขนตาขยับกระพือเล็กน้อย ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
ชายฉกรรจ์เคราดกชำเลืองตามองไปยังริมขอบรองเท้าปักลายของเด็กสาว จากนั้นก็มองไปยังหญิงสาวรูปร่างอวบอิ่มงดงามทั้งสอง พูดยิ้มๆ ว่า “นอกจากแม่นางน้อยคนนี้ที่รองเท้าเปื้อนดินโคลน เหตุใดพี่สาวสองคนนี้เดินทางมาตั้งไกล แต่รองเท้ากลับสะอาดเอี่ยมไม่มีฝุ่นเกาะสักเม็ด? คงไม่ใช่ภูตผีที่ถือกำเนิดขึ้นมาในภูเขาหรอกนะ? ถ้าอย่างนั้นพวกเราสี่คนก็ซวยแล้ว ถึงเวลานั้นคงต้องขอร้องพี่สาวทั้งสองให้ช่วยจัดการพวกเราโดยเร็ว ตายเป็นผีอยู่ใต้ดอกโบตั๋นก็นับเป็นวาสนา หึหึ ไม่ทราบว่าพี่สาวทั้งหลายมีความเห็นอย่างไร?”
หลิ่วชื่อเฉิงหัวเราะร่า “พี่สาวสองคนนี้หน้าตางามล้ำที่สุดในแผ่นดินขนาดนี้ จะเป็นภูตผีปีศาจไปได้อย่างไร หน้าตาสะท้อนมาจากจิตใจ เป็นไปไม่ได้ๆ ถอยไปพูดหนึ่งหมื่นก้าว ต่อให้เป็นภูตผีปีศาจจริงๆ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นผีดีที่มือสะอาด คืนนี้พวกเราดื่มสุรามองบุปผา แม้ว่าจะอยู่กันคนละโลก แต่ในเมื่อผีกับคนได้พบกันก็สามารถดื่มเหล้าเคล้าลมวสันต์ร่วมกันสักจอก นั่นต่างหากถึงจะเป็นเรื่องสง่างามอย่างแท้จริง พี่สาวทั้งหลายว่าถูกไหม? อีกเดี๋ยวอย่าได้ดื่มเหล้าจนเมามายเด็ดขาด ถ้าไม่ระวังเผยร่างผีที่น่ากลัวออกมา คงไม่สวยแน่ๆ”
สตรีงดงามสองคนหันมามองหน้าและยิ้มให้กัน สร้างหายนะให้ผู้คนอยู่ที่นี่มาร้อยกว่าปี นี่เป็นครั้งแรกที่เจอคนที่ไม่ยี่หระกับสิ่งใดได้ถึงขนาดนี้ พวกเขาเป็นยอดฝีมือถนัดศาสตร์และศิลป์ที่ใจกล้า หรือเป็นลูกนกที่เพิ่งออกจากรัง ถึงได้ไม่รู้ความร้ายกาจของภูตผีในภูเขาและแม่น้ำ? พวกนางคนหนึ่งปิดปากหัวเราะคิกคัก อีกคนหนึ่งถึงกับกุมท้องหัวเราะก๊าก เดี๋ยวโน้มร่างไปข้างหน้าเดี๋ยวเอนหงายไปข้างหลัง หน้าอกขาวผ่องกระเพื่อมระรัวจนหลิ่วชื่อเฉิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกลืนน้ำลาย
เด็กสาวคนนั้นพลันเงยหน้าขึ้นมา เผยให้เห็นสีหน้าซีดขาว กรีดร้องเสียงแหลม “พวกเจ้ารีบหนีไปเร็ว! พวกนางคือ…”
สาวงามฝั่งตรงข้ามที่ปิดปากหัวเราะสีหน้าตึงเครียดขึ้นมาในบัดดล ชายแขนเสื้อยาวข้างหนึ่งพุ่งออกไป โจมตีเข้าที่หน้าผากของเด็กสาวจนเด็กสาวผงะหงายล้มผลึ่งไปด้านหลัง กลางหว่างคิ้วปูดบวมแดงเป็นแถบ
หลิ่วชื่อเฉิงที่นั่งอยู่ข้างกายเด็กสาวตกใจสะดุ้งโหยง
แทบจะเวลาเดียวกันนั้น นักพรตจางซานเฟิงก็ประกบสองนิ้วเข้าด้วยกันแล้วทำมุทราคาถากระบี่ กระบี่ไม้ท้อที่อยู่ด้านหลังพุ่งพรวดออกมา ตวัดเป็นเส้นโค้งเส้นหนึ่งอยู่กลางอากาศอย่างรวดเร็ว แล้วพุ่งเข้าแทงแผ่นหลังของหญิงสาวที่ลงมือโดยตรง หญิงสาวถูกกระบี่ไม้แทงทะลุร่างจึงล้มฟุบหน้าคว่ำลงไปบนพื้น ไม่มีภาพที่เลือดสดพุ่งทะลัก กระบี่ไม้ที่ประกายแสงวิเศษไหลเวียนวนเหมือนปักตรึงเข้าไปในอาภรณ์ที่ว่างเปล่าชิ้นหนึ่งเท่านั้น
ใบหน้าและเรือนกายของหญิงสาวบิดเบือนรุนแรง เห็นได้ชัดว่านางไม่ใช่ปีศาจที่ฝึกตนจนจำแลงร่างกลายเป็นคนได้ แต่เป็นพวกภูตผีที่ไม่มีร่างแท้จริงให้สิงสู่ เห็นเพียงว่าทั้งร่างของผีสาวกลายเป็นควันดำซัดตลบอบอวล ดิ้นรนอย่างต่อเนื่อง พยายามจะหนีไปให้ห่างกองไฟ แต่กลับไม่สามารถสลัดหลุดพ้นพันธนาการของกระบี่ไม้ท้อที่ปักเอียงอยู่บนพื้นดิน เหมือนสัตว์ป่าตัวหนึ่งที่ถูกโซ่ตรวนพันไว้อย่างแน่นหนา
นักพรตจางซานเฟิงท่องคาถากระบี่ ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์บนตัวกระบี่ไม้ท้อยิ่งเจิดจ้า จนผีสาวไม่อาจรักษาร่างคนเอาไว้ได้อีก
พายุดาบระเบิดขึ้นมาในฉับพลัน ที่แท้ชายฉกรรจ์เคราดกก็ชักดาบออกมาอย่างรวดเร็ว ดาบยาวเล่มนั้นลากให้เกิดประกายเปลวเพลิง ประหนึ่งอาวุธเทพที่ถูกเซียนชุบหลอม เปลวเพลิงจึงขยายลามออกไปอย่างต่อเนื่องเหมือนมีมังกรเพลิงขดตัวอยู่บนตัวดาบ จากนั้นก็ถูกสวีหย่วนเสียฟันฉับลงมา ผีสาวที่ถูกกระบี่ไม้ท้อปักตรึงวิญญาณถูกหนึ่งดาบฟาดฟันควันดำทั้งหมดจนแหลกเละ ควันดำที่เมื่อเจอกับอาวุธเทพที่อบอวลไปด้วยประกายแสงศักดิ์สิทธิ์และพายุลมกรดก็แหลกสลายไปในทันที เสียงโหยหวนดังบาดแก้วหูของผีสาวดังก้องไปทั่วทั้งวัดโบราณ
สวีหย่วนเสียหันหน้าไปมอง เหงื่อก็แตกออกเล็กน้อยด้วยความละอายใจ
เฉินผิงอันกำลังอยู่ในท่าคว้าจับคอคน มือข้างหนึ่งออกหมัดต่อยรัวลงบนหัวใจของผีสาวเร็วดั่งพายุฝนกระหน่ำ ตอนนี้ควันดำถูกเขาต่อยจนบางเบาแทบไม่เหลืออยู่แล้ว
ต่อยให้ควันดำของผีสาวแหลกสลายไปเหมือนกัน แต่เฉินผิงอันกลับลงมืออย่างเงียบเชียบ ทำลายบุปผางามอย่างโหดร้ายก็เป็นเช่นนี้เอง
หลิ่วชื่อเฉิงไม่ใช่คนโง่ เขาไม่มีเวลามารักหยกถนอมบุปผาอะไรอีกแล้ว รีบตะเกียกตะกายวิ่งหนีออกห่างจากเด็กสาวที่นอนกองอยู่กับพื้น อ้อมกองไฟไปอยู่ด้านหลังคนทั้งสาม
เด็กสาวดิ้นรนลุกขึ้นมานั่ง พูดเสียงสะอื้น “พวกเจ้ารีบหนีไปเถอะ หมัวมัวของพวกเราใกล้จะมาถึงแล้ว…”
ยังไม่ทันพูดจบ กระดิ่งสดับปีศาจก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ประตูใหญ่ถูกลมกระโชกขุมหนึ่งกระแทกให้เปิดออกโดยตรง ลมภูเขาเย็นเยือกจู่โจมเข้าที่สันหลังของเด็กสาว เด็กสาวกระอักเลือดคำใหญ่ ร่างเล็กๆ ถูกลมพัดจนปลิวข้ามกองไฟ กระเด็นเข้าหานักพรตหนุ่มและชายฉกรรจ์เคราดก สวีหย่วนเสียรีบเก็บดาบยาวในมือเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ทว่าวินาทีนั้นเอง เด็กสาวพลันคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ มือทั้งคู่ยื่นออกมาแตะที่หน้าอกของสวีหย่วนเสียและจางซานเฟิงหลายที แล้วร่างของนางก็ดีดกลับไปด้านหลัง ไปยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางกองไฟ ใช้รองเท้าปักลายบุปผาดันท่อนฟืนที่ติดไฟโหมแรงออกเล็กน้อย ท่อนฟืนร้อนลวกและเปลวเพลิงลุกโชนไม่อาจทำร้ายนางได้แม้แต่ปลายเล็บ
นางไม่สนใจชายฉกรรจ์เคราดกและนักพรตหนุ่มที่ขยับเขยื้อนไม่ได้อีก เพียงแค่เตะกระบี่ไม้ท้อเล่มนั้นกระเด็นไปไกล ตอนที่ปลายรองเท้าปักลายบุปผาสัมผัสเข้ากับกระบี่ รองเท้าก็ไหม้เกรียมเล็กน้อย นางก้มหน้าลงมองเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ซึ่งเป็นคนเดียวที่ยังเหลือพลังการต่อสู้ พูดด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย “หากเจ้าคิดจะหนี ข้าก็เต็มใจปล่อยเจ้าไปสักครั้ง”
ตรงประตูใหญ่มีลมเย็นเยือกพัดกระโชก ครั้นแล้วชายหญิงที่ในมือถือธงสีดำ ทั่วร่างอบอวลไปด้วยกลิ่นอายผีหลายตนก็ปรากฎตัวขึ้นมา สายตาที่พวกเขามองมายังเด็กสาวในวัดร้างเป็นประกายร้อนแรง แต่ละตนพากันตะโกนเสียงดัง “หมัวมัวฝีมือเลิศล้ำไร้ทัดทาน อายุยืนยาวหมื่นปี!”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เอ่ยถาม “เจ้าเป็นคนหรือเป็นผี?”
‘หมัวมัว’ (คำเรียกหญิงที่มีอายุ หรือป้า) ที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กสาวหัวเราะเสียงแปร่งหู “ใจคนดั่งผีร้าย ใจคนอยู่ข้างหน้า ผีร้ายอยู่ข้างหลัง แสดงให้เห็นว่าใจคนของพวกเจ้าน่ากลัวยิ่งกว่า ข้าผู้เป็นเซียนอยู่ในแคว้นซูสุ่ยมาสองร้อยปีแล้ว มีฝีมือทำอาหารจานหนึ่งเป็นเลิศ อาหารจานนั้นชื่อว่าผัดหัวใจไฟแดง จำเป็นต้องใช้หัวใจที่ควักออกมาสดๆ ใหม่ๆ ใส่เครื่องปรุงรสเผ็ดลงไปมากๆ ไม่อย่างนั้นกลิ่นคาวจะฉุนจมูกเกินไปจนคนกินไม่ลง แต่ก็มีข้อยกเว้น เมื่อหลายปีก่อนมีนักพรตเฒ่าคนหนึ่งเดินทางผ่านที่แห่งนี้มา ตบะไม่อ่อนด้อย สังหารสาวใช้ที่ว่าง่ายของข้าผู้เป็นเซียนไปหลายคน ทว่านักพรตคนนั้นกลับมีหัวใจชั้นเยี่ยม รสชาติอร่อยลิ้นอย่างหาได้ยาก เพียงแต่ไม่รู้ว่าคนต่างถิ่นอย่างพวกเจ้าสี่คนที่มีฝีมือไม่ธรรมดานี้ จะมีหัวใจรสชาติเป็นอย่างไร? คิดดูแล้วก็ไม่น่าจะเลวร้ายสักเท่าไหร่ ถึงอย่างไรร่างกายและจิตวิญญาณของคนที่ฝึกตนก็มักจะดีกว่าชาวบ้านธรรมดาทั่วไป…”
ทันใดนั้นกลับมีเสียงแก่ชราที่อยู่ห่างไกลจากนอกวัด แต่กลับชัดเจนอย่างถึงที่สุดดังขึ้น “เหมาะแก่การเรียกกระบี่”
เด็กสาวหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง
แสงกระบี่ผุดสว่างขึ้นมารอบทิศหน้าประตูใหญ่ ศีรษะของผีร้ายที่เป็นวัตถุหยินหลายตนกลิ้งหลุนๆ อีกทั้งเมื่ออยู่ภายใต้แสงกระบี่นี้พวกมันก็อ่อนแอไม่ต่างจากคนมีชีวิต หลังถูกตัดหัวแล้วก็ไม่มีทางที่จะโชคดีรอดชีวิตเด็ดขาด
เพียงไม่นานผู้เฒ่าชุดดำที่สีหน้าเฉยชาคนหนึ่งก็ก้าวยาวๆ ข้ามธรณีประตูเข้ามา ตรงเอวของเขาห้อยฝักกระบี่ ข้างกายมีกระบี่เล่มยาวที่ออกจากฝักตามติด ตัวกระบี่สีทองสัมฤทธิ์เต็มไปด้วยรอยร้าว อีกทั้งยังไม่มีปราณกระบี่หรือแสงวิเศษไหลเวียนวน ทว่ากระบี่ยาวเขรอะไปด้วยสนิมที่ลอยตัวอยู่ข้างกายผู้เฒ่าอย่างนิ่งสงบกลับมีพลังสยบอย่างหนึ่งที่ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้
ปราณกระบี่บริสุทธิ์ เต็มไปด้วยปณิธานกระบี่และเวทกระบี่ที่เฉียบคม
เมื่อท่องอยู่ในยุทธภพ ภูเขาลูกหนึ่งมักจะสูงกว่าภูเขาลูกหนึ่งเสมอ
เห็นได้ชัดว่าเด็กสาวรู้ตัวตนของคนผู้นี้ เล็บมือทั้งสิบของนางยาวเหมือนตะขอเงินสิบชิ้น สันหลังคดงอลง จ้องผู้เฒ่าชุดดำเขม็ง แสร้งพูดข่มขู่ดั่งคนแข็งนอกอ่อนใน “ซ่งอวี่เซา เจ้าเป็นคนในยุทธภพ คิดจะเป็นศัตรูกับสี่พิฆาตซูสุ่ยอย่างพวกเรางั้นหรือ? เชื่อหรือไม่ว่าพวกเราจะร่วมมือกันถอนรากถอนโคนหมู่บ้านวารีกระบี่ของพวกเจ้าให้ราบคาบ?!”
ผู้เฒ่าสีหน้าเรียบเฉย มองยักษ์ใหญ่แห่งวิถีมารของแคว้นซูสุ่ยซึ่งมีชื่อเสียงฉาวโฉ่เลื่องระบือผู้นี้แล้วเอ่ยเนิบช้า “เจ้าโง่หรือไง?”
—–
บทที่ 238.1 ร้อนน้อยผ่านไป ลมวสันต์ยังคงอยู่
โดย
ProjectZyphon
สีหน้าของหัวหน้ามารร้ายที่ลักษณะคล้ายเด็กหญิงเดี๋ยวซีดเดี๋ยวคล้ำ “ซ่งอวี่เซา วันนี้เจ้าตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะแตกหักกับข้าผู้เป็นเซียนแล้วอย่างนั้นรึ?”
ผู้เฒ่าชุดดำหยิบปฏิทินโหราศาสตร์เล่มเก่าออกมาจากสาบเสื้อ พลิกเปิดไปหน้าหนึ่ง จิ้มนิ้ววางไปยังตำแหน่งหนึ่งของหน้า ท่องเบาๆ ว่า “เหมาะให้รักษาศีลทำความดี เหมาะให้แสวงหาโชคลาภ”
ผู้เฒ่าเก็บปฏิทินโหราศาสตร์เล่มเก่าลงไป มือคว้าด้ามกระบี่สีทองสัมฤทธิ์เล่มนั้นสอดไว้ในฝัก ชี้มายังเด็กสาวแล้วกล่าวว่า “อนุญาตให้เจ้าใช้เงินฟาดเคราะห์”
เด็กสาวรู้กฎในยุทธภพของผู้เฒ่าประหลาดที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ดี ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ควักเหรียญหยกเหลืองชิ้นหนึ่งออกจากมาสาบเสื้อ ด้านหลักของเหรียญนี้สลักคำว่า ‘ออกเหมยเข้าร้อนจัด’ ฝั่งตรงข้ามคือ ‘อสนีกัมปนาทฟาดฟ้า’ เงินหยกประเภทนี้ก็เหมือนกับเงินเกล็ดหิมะ ต่างก็เป็นเหรียญที่เทพเซียนบนภูเขาใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยน เงินหยกที่อยู่ในมือของเด็กสาวชิ้นนี้มีชื่อเล่นว่า ‘เงินร้อนน้อย’ (ร้อนน้อยในที่นี้หมายถึงช่วงฤดูกาลของชาวจีน หมายถึงช่วงที่เริ่มร้อน แต่ยังร้อนน้อย จะตรงกับประมาณช่วง 6-8 กค.) เมื่อเทียบกับเงินเกล็ดหิมะแล้ว มูลค่าก็คล้ายกับการเปรียบเทียบระหว่างเหรียญทองแดงกับก้อนตำลึงเงินของชาวบ้านร้านตลาดที่มีความแตกต่างกันสูงมาก
นางโยนเงินร้อนน้อยนี้ไปให้แก่ผู้เฒ่าชุดดำเบาๆ ไม่เพียงแต่ไม่ทิ้งคำอาฆาตไว้ กลับยังแย้มยิ้มให้เขาดุจบุปผาผลิบาน “ไม่ตีกันก็ไม่ได้รู้จักกัน หวังว่าวันหน้าเมื่อข้าผู้เป็นเซียนไปเยือนหมู่บ้านวารีกระบี่ ท่านผู้เฒ่าหัวหน้าหมู่บ้านจะไม่ขับไล่ไสส่ง”
ผู้เฒ่าชุดดำรับเงินร้อนน้อยมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ปล่อยให้เด็กสาวกลายร่างเป็นควันดำเข้มข้นกลุ่มหนึ่งที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปจากวัดโบราณ
ปรมาจารย์วิถีกระบี่ที่มีชื่อว่าซ่งอวี่เซาคนนี้ดีดนิ้วเบาๆ หนึ่งทีก็มีลมเย็นหลายขุมที่เหมือนลูกธนูพุ่งไปสัมผัสตามช่องลมปราณหลายจุดตรงหัวใจของชายฉกรรจ์เคราดกกับนักพรตหนุ่ม เดิมทีคนทั้งสองถูกมารสาวสกัดจุดเล่นงาน ปากพูดไม่ได้ ตัวขยับไม่ได้ เมื่อเวลาผ่านไป ตราผนึกย่อมคลายออกด้วยตัวเอง แต่หากผู้เฒ่าไม่ได้ปรากฏตัว ในเวลาสั้นๆ นี้ก็คงต้องให้เฉินผิงอันรับมือกับศัตรูเพียงลำพังไปก่อน
นี่เป็นครั้งแรกที่จางซานเฟิงได้ลิ้มรสวิชาการสกัดจุดของยอดฝีมือในยุทธภพ หลังจากได้อิสระกลับคืนมาอีกครั้ง เขาก็รีบหอบหายใจเฮือกใหญ่ แต่กระนั้นก็ยังรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวเท่าใดนัก
เดิมทีสวีหย่วนเสียก็เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่มีวรยุทธ์เลิศล้ำอยู่แล้ว คราวนี้ต้องมาเสียท่า ใบหน้าใบหูจึงแดงก่ำด้วยความอับอายอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาหันไปกุมมือคารวะผู้เฒ่า “ขอบคุณอริยะกระบี่ซ่งที่ยึดถือความเป็นธรรมให้ความช่วยเหลือ!”
ผู้เฒ่าชุดดำเป็นคนมีนิสัยประหลาด ได้ยินแล้วก็ทำเป็นไม่สนใจ เดินดิ่งไปที่ข้างกองไฟแล้วนั่งขัดสมาธิ วางกระบี่พาดไว้บนหัวเข่า เริ่มหลับตาทำสมาธิ
สวีหย่วนเสียจึงกดเสียงลงต่ำเล่าเรื่องราวในยุทธภพให้จางซานเฟิงกับเฉินผิงอันฟังคร่าวๆ
แถบตอนกลางของแจกันสมบัติทวีป โดยเฉพาะสิบกว่าแคว้นที่อยู่ใกล้เคียงกับแคว้นไฉ่อี มีปรมาจารย์วิถีกระบี่อยู่สี่ท่านที่มีชื่อเสียงเลื่องระบือในพื้นที่แถบหนึ่ง แคว้นไฉ่อีมีเทพกระบี่อยู่คนหนึ่งที่ถอนตัวออกจากวรยุทธ ไปใช้ชีวิตอย่างสันโดษในป่าเขาได้สามสิบกว่าปีแล้ว เขาได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเวทกระบี่ กระบี่ที่พกมีชื่อว่าตะวันสว่าง แต่ช่วงที่ผ่านมานี้กลับมีข่าวร้ายน่าพรั่นพรึงอย่างหนึ่งแพร่สะพัด บอกว่าผู้เฒ่าต้องตายเพราะถูกศัตรูตามมาแก้แค้น เป็นเหตุให้ยุทธภพรอบด้านเกิดคลื่นยักษ์โหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง จิตใจผู้คนสั่นคลอนหวาดหวั่น
จากนั้นก็คือผู้เฒ่าชุดดำที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ ในฐานะอดีตหัวหน้าหมู่บ้านของหมู่บ้านวารีกระบี่แคว้นซูสุ่ย ผู้เฒ่ามีนิสัยประหลาด เมื่อเทียบกับเทพกระบี่ของแคว้นไฉ่อีแล้ว อายุของเขาน้อยกว่าถึงหนึ่งรุ่น ได้รับการขนานนามว่าอริยะกระบี่ กระบี่ที่พกมีชื่อว่าวารีเหล็ก เป็นผู้สร้างหมู่บ้านวารีกระบี่ซึ่งเป็นสำนักใหญ่อันดับหนึ่งในยุทธภพของแคว้นซูสุ่ย หัวหน้าหมู่บ้านคนปัจจุบันคือหลานชายคนโตของซ่งอวี่เซา พรสวรรค์ด้านวิชากระบี่ของเขาก็โดดเด่นน่าตะลึงมากดุจเดียวกัน
ส่วนแคว้นกู่อวี๋นั้นมีราชันกระบี่ที่ชื่อเสียงโด่งดังท่านหนึ่ง พลังการสังหารสูงมาก ทว่าคุณธรรมกลับย่ำแย่อย่างถึงที่สุด เป็นเซียนอิสระที่ไม่มีที่อยู่แน่ชัดในยุทธภพ ไม่เคยสร้างสำนักหรือก่อตั้งพรรค ไปไหนมาไหนเพียงลำพัง เล่าลือกันว่ามีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับฮ่องเต้แคว้นกู่อวี๋ กระบี่พกชื่อว่าไข่มุกมรกต
ส่วนแคว้นซงซีก็มีดาวรุ่งที่อายุน้อยที่สุดคนหนึ่งซึ่งแต่งตั้งตัวเองว่าเป็นเซียนกระบี่ไผ่เขียว
ปรมาจารย์วิถีกระบี่ทั้งสี่ท่านนี้คือกลุ่มดาวที่ส่องแสงเจิดจรัส เปล่งประกายพริบพราวเหนือฟากฟ้าของยุทธภพในหลายสิบแคว้นซึ่งรวมแคว้นไฉ่อีไว้ด้วย ต่อให้เป็นตระกูลเซียนบนภูเขาก็ยังไม่กล้าดูแคลน
ผู้เฒ่าชุดดำพลันลืมตาขึ้น หัวเราะหยัน “ทำลับๆ ล่อๆ เผยตัวให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
ผู้เฒ่าที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘อริยะกระบี่’ ท่านนี้ชักกระบี่ออกจากฝักเสียงดังเช้ง ครั้นจึงฟันไปยังทิศทางแท่นบูชาเทวรูปของวัด ปราณกระบี่ส่องประกายเจิดจ้าพร่าตา แท่นบูชาเทวรูปที่เดิมทีก็ผุพังไม่เหลือสภาพดีอยู่แล้วพลันระเบิดแตกดังปัง จากนั้นก็เผยให้เห็นเป็นเด็กสาวผอมบางหน้าตางดงามคนหนึ่ง นางเอามือทั้งสองข้างกุมศีรษะเล็กๆ ไว้อย่างไม่สนใจสิ่งใด ราวกับว่าทำอย่างนี้แล้วจะไม่มีใครเห็นนาง
เมื่อเด็กสาวลักษณะประหลาดอีกคนหนึ่งปรากฏตัว กระดิ่งสดับปีศาจของจางซานเฟิงก็สั่นสะเทือนขึ้นมาเบาๆ
วิชาการฝึกตนของภูตผีปีศาจและวัตถุหยินสิ่งชั่วร้ายบนโลกใบนี้แทบจะผิดหลักทำนองคลองธรรมทั้งหมด ขอแค่ตบะไม่ลึกล้ำมากพอ ขอบเขตไม่สูงมากพอ เมื่อเจอกับกระดิ่งสดับปีศาจก็มักจะไร้ที่ให้หลบเลี่ยง และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้กระดิ่งสดับปีศาจกลายมาเป็นสิ่งของจำเป็นที่ผู้ฝึกลมปราณต้องพกติดตัวรองจากภาพแผนที่ไป๋เจ๋อ ก่อนหน้าที่สวีหย่วนเสียจะเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ก็เคยพกกระดิ่งเงินลักษณะคล้ายคลึงกันนี้ไว้ป้องกันตัว
ความสนใจส่วนใหญ่ของสวีหย่วนเสียกับจางซานเฟิงอยู่ที่เด็กสาวเสียมากกว่า
ส่วนเฉินผิงอันที่อยากจะฝึกกระบี่อย่างเป็นทางการแต่ยังหาวิธีเริ่มต้นเหมาะๆ ไม่เจอกลับตกตะลึงไปกับภาพกระบี่ที่ชักออกจากฝักของผู้เฒ่า ภาพนี้มองดูเหมือนเรียบง่าย เพียงแค่การตวัดมือครั้งหนึ่งเท่านั้น ทว่าปราณกระบี่กลับยิ่งใหญ่งดงามดุจสายรุ้ง ทุกที่ที่ปราณกระบี่พุ่งผ่านเหมือนถูกน้ำตกที่ร่วงดิ่งลงด้านล่างกระแทกเข้าใส่ บุกไปทางไหนก็แหลกราบไปทางนั้น
หลังจากที่มารเด็กสาวลงมือ หลิ่วชื่อเฉิงก็เงียบงันผิดปกติ เขาเอาแต่นั่งอยู่ข้างกองไฟไม่พูดไม่จา ก้มหน้า ยื่นมือสองข้างออกมาอังไฟ
“สถานที่ศักดิ์สิทธิ์บริสุทธ์ของศาสนาพุทธ จะปล่อยให้ปีศาจน้อยอย่างเจ้ามาทำให้แปดเปื้อนได้อย่างไร!”
สีหน้าของผู้เฒ่าชุดดำเย็นชาแข็งกระด้าง บิดข้อมือหนึ่งครั้งก็เห็นเพียงว่าปลายกระบี่ทองสัมฤทธิ์สั่นสะเทือนเบาๆ เพียงชั่วพริบตาก็มีแสงสีขาวบาดตาเส้นหนึ่งพุ่งออกมาจากปลายกระบี่คล้ายเชือกพันธนาการปีศาจของเซียนซือบนภูเขาที่พุ่งออกไปเป็นขดโค้งงอ แต่ไม่นานก็สยายตัวอยู่กลางอากาศกลายเป็นตาข่ายแห่งกฎเกณฑ์ของวิถีสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ซึ่งครอบลงใส่หัวของเด็กสาวขี้ขลาดที่ถูกตัดสินว่าเป็นปีศาจผู้นั้น
เฉินผิงอันเก็บภาพเหตุการณ์นี้ไว้ในคลองจักษุอย่างเงียบเชียบ นี่ช่วยเปิดโลกทัศน์ให้เขาอย่างยิ่ง
ที่แท้คนเราสามารถควบคุมปราณกระบี่ที่เดิมทีเล็กละเอียดได้อย่างเชี่ยวชาญ สร้างการเปลี่ยนแปลงนับพันนับหมื่นได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ?
ผู้เฒ่าถือกระบี่มือเดียว ทำทุกอย่างได้ง่ายดายเพียงตวัดมือ!
โดยเฉพาะมาดสุขุมนิ่งลึกนั้นที่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกชื่นชมเลื่อมใสที่สุด
เด็กสาวถูกปราณกระบี่ที่เดิมทีรวมตัวเป็นกลุ่มเดียวกันแล้วค่อยขยายเป็นตาข่ายใหญ่แผ่ปกคลุมร่าง เสียงลั่นเปรี๊ยะๆ ที่ดังขึ้นทำให้นางเจ็บปวดทรมานถึงขนาดลงไปชักดิ้นชักงออยู่บนพื้น ไฟร้อนแผดเผาที่รวดร้าวไปถึงหัวใจทำร้ายส่วนลึกของจิตวิญญาณปีศาจภูเขาอย่างนาง ขนาดเฉินผิงอันที่อยู่ในหอเรือนไม้ไผ่ยังเจ็บปวดจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ แล้วนับประสาอะไรกับปีศาจน้อยที่ฝึกตนอย่างเฉื่อยชา ไม่แก่งแย่งชิงดีกับคนในโลกมานานหลายร้อยปีตนหนึ่ง?
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเคราะห์กรรมในครั้งนี้ เพียงไม่นานเด็กสาวก็รักษาร่างคนเอาไว้ไม่อยู่ ใบหน้าเกินครึ่งเผยให้เห็นเป็นใบหน้าของจิ้งจอก หลังมือ ลำคอต่างก็มีขนสีขาวหิมะผุดขึ้นเป็นหย่อมๆ กลิ่นสาบจิ้งจอกโชยมาเบาๆ
ปีศาจจิ้งจอกสีขาวหิมะที่ตบะบางเบาตัวนั้นดิ้นรนกระเสือกกระสนอยู่บนพื้นพลางร้องครวญคราง “ข้าไม่เคยทำร้ายคน ข้าไม่เคยทำร้ายใครแม้แต่คนเดียว ข้าแค่แกล้งหลอกให้บัณฑิตที่มาค้างแรมในวัดร้างตกใจกลัวเท่านั้น อย่าข้าฆ่า อย่าข้าฆ่า…”
ดูเหมือนว่าผู้เฒ่าชุดดำจะมีปมบางอย่างในใจ มือกำกระบี่ยาว ปราณกระบี่ส่องแสงเจิดจรัส เอ่ยเสียงเฉียบขาด “ปีศาจก็คือปีศาจ มารก็คือมาร วันนี้ไม่ทำร้ายคนแล้วอย่างไร? รอจนตบะของเจ้าเพิ่มสูงขึ้นก็ย่อมต้องสังหารคนบริสุทธิ์เพื่อความสนุกของตัวเอง!”
เด็กสาวที่ร่างเกินครึ่งเปลี่ยนมาเป็นจิ้งจอกขาวนอนหมอบอยู่กับพื้น ลมหายใจรวยริน “ข้ายังเคยช่วยเหลือบัณฑิตสองคนมาจากมือของหมัวมัว ด้วยเหตุนี้ข้ายังต้องมอบของที่ตัวเองเก็บรักษาไว้อย่างดีให้กับพวกนาง พวกนางถึงได้ยอมปล่อยบัณฑิตทั้งสอง ข้าไม่มีทางทำร้ายคน ข้าไม่มีทางทำเช่นนั้นไปชั่วชีวิต…”
ผู้เฒ่าชุดดำหัวเราะหยันเสียงเย็นชา “แค่ปีศาจจิ้งจอกตัวหนึ่ง ตายไปก็ไม่น่าเสียดาย! ข้าผู้อาวุโสกล้าพูดว่าปีศาจร้อยตนที่ตายด้วยคมกระบี่ของข้า ส่วนที่ตายไปอย่างอยุติธรรม อย่างมากที่สุดก็มีแค่ตนเดียวเท่านั้น!”
จิ้งจอกอายุน้อยไร้เรี่ยวแรงจะอธิบายแล้ว ร่างของมันชักกระตุก เสื้อผ้าขาดวิ่น ทั่วร่างอาบอยู่ท่ามกลางเลือดสด ดวงตาคลอประกายน้ำที่เดิมทีเป็นสีดำขลับแต่เปล่งประกายแวววาวผิดปกติ บัดนี้หม่นหมองไร้แสง เพียงแต่ว่าก่อนตาย เด็กสาวกลับไม่ด่าทอเคียดแค้นผู้เฒ่าที่ลงมืออย่างโหดเหี้ยม นางเพียงแค่เหม่อมองไปยังประตูใหญ่ของวัดโบราณคล้ายกำลังรอให้ซิ่วไฉ่ยากจนคนหนึ่งมาเยือน นางจะได้กลั่นแกล้งพวกเขาอีกครั้ง หากทำสำเร็จครั้งหนึ่งก็สามารถทำให้นางอารมณ์ดีไปได้หลายเดือน
หลิ่วชื่อเฉิงเงยหน้าขึ้นช้าๆ จุดลึกในดวงตามีแสงสีทองไหลเวียนวน มุมปากยกยิ้มเย็นชา อีกทั้งยังถอนหายใจอย่างจนใจดั่งคนที่ผ่านเรื่องทางโลกมาทุกรูปแบบ รู้สึกเพียงว่าต่อให้มีชีวิตอยู่อีกพันปี ชีวิตคนก็ยังน่าเบื่ออยู่แบบนี้
และในขณะที่หลิ่วชื่อเฉิงเตรียมจะลุกขึ้นนั้นเอง
เฉินผิงอันกลับลุกขึ้นมาก่อนแล้ว เขากระเด้งกล่องกระบี่ที่สะพายอยู่ด้านหลังเบาๆ จู่ๆ ก็เปิดปากถามว่า “ผู้อาวุโสซ่ง หากปีศาจจิ้งจอกตัวนี้เป็นตัวที่ได้รับความอยุติธรรมตัวนั้นพอดี จะทำอย่างไร?”
ผู้เฒ่ากระตุกมุมปาก เอ่ยยิ้มๆ “แบบนั้นก็ดีเลย เพราะสามารถมั่นใจได้ว่าเก้าสิบเก้าตัวก่อนหน้านี้ และเก้าสิบเก้าตัวหลังจากนี้ล้วนเป็นปีศาจที่สร้างเรื่องก่อราวทำร้ายประชาชน ด้วยเหตุนี้ข้าผู้อาวุโสก็จะยิ่งออกกระบี่ได้รวดเร็วมากขึ้น”
เฉินผิงอันชี้ไปยังเด็กสาวที่กลายมาเป็นปีศาจจิ้งจอกเต็มตัวแล้ว “แล้วจะทำอย่างไรกับนาง?”
ผู้เฒ่าตบอก กล่าวอย่างจริงจังว่า “หากเปิดปฏิทินโหราศาสตร์แล้วบอกว่าเหมาะแก่การฝังศพ ข้าผู้อาวุโสก็จะฝังศพให้มัน หากบอกว่าไม่เหมาะก็ปล่อยให้ศพของมันตากแดดจนเหี่ยวแห้ง ให้มันภาวนาว่าชาติหน้าขอไปเกิดในครรภ์ที่ดี อย่าได้กลับมาเป็นปีศาจในภูเขาอีก แน่นอนว่าทางที่ดีที่สุดอย่าให้ข้าผู้อาวุโสได้พบเจอมันอีก”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างดึงดัน “ผู้อาวุโสเจอปีศาจกำจัดปีศาจ เจอมารปราบมาร แน่นอนว่าทำถูกแล้ว แต่ท่านสามารถทำให้ดียิ่งกว่านี้ได้อีก”
ผู้เฒ่าจ้องนิ่งไปยังเด็กหนุ่มสะพายกล่องไม้ แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะออกมา “เจ้าเด็กน้อย เจ้าโง่หรือยังไง? แค่มาค้างแรมที่วัดร้างก็นึกว่าตัวเองเป็นพระโพธิสัตว์ที่ต้องช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากงั้นหรือ?”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนถามว่า “ผู้อาวุโสซ่ง ต้องทำเช่นไรท่านถึงจะยอมปล่อยจิ้งจอกตัวนี้ไป?”
ผู้เฒ่าชุดดำซ่งอวี่เซาลุกขึ้นยืน กล่าวเสียงหนัก “เห็นแก่ที่เด็กน้อยอย่างเจ้าก็เป็นคนในยุทธภพที่ใช้กระบี่เหมือนกัน ข้าผู้อาวุโสก็จะเอากระบี่ที่เดิมทีควรใช้สังหารปีศาจจิ้งจอกมาใช้กับเจ้า หากเจ้าสามารถรับไว้ได้ เรื่องคืนนี้ในวัดร้างก็จะจบลงเพียงเท่านี้ ในอนาคตปีศาจจิ้งจอกตนนี้จะทำชั่วหรือทำดี ทำอย่างไรได้รับผลอย่างนั้น วันหน้าเจ้าก็เป็นคนรับผลกรรมนี้เอง แต่หากเจ้ารับไว้ไม่ได้ ตายอยู่ใต้กระบี่ของข้าผู้อาวุโส ก็ต้องโทษที่เจ้ามีความสามารถไม่มากพอ ตกลงไหม?”
สวีหย่วนเสียและจางซานเฟิงต่างก็ลุกขึ้นยืน ทำท่าเหมือนเผชิญกับศัตรูตัวฉกาจ
ซ่งอวี่เซาหัวเราะร่า “ไม่เป็นไร หากพวกเจ้าสองคนจะลงมือ อย่างมากข้าผู้อาวุโสก็ออกกระบี่เพิ่มอีกสองที โดยใช้กฎเกณฑ์แบบเดียวกันก็เท่านั้น”
เสียงหัวเราะของผู้เฒ่าดังกังวาน เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจที่สะเทือนให้เสาคานทรุดโทรมในวัดร้างสั่นคลอน เศษฝุ่นร่วงกราว
“ตกลง!”
เฉินผิงอันพนักหน้ารับ หลังจากนั้นก็หันไปส่ายหน้าให้กับสวีหย่วนเสียกับจางซานเฟิง บอกเป็นนัยไม่ให้พวกเขาสอดมือเข้าแทรก
“ระวังล่ะ”
ผู้เฒ่าไม่ใช่คนมีนิสัยอืดอาด หลังจากส่งเสียงบอกเตือนแล้วก็โบกตวัดกระบี่ทันที
อยู่ห่างกันแค่หนึ่งจั้ง พายุลมกรดแสงกระบี่จึงพุ่งมาตรงหน้าเฉินผิงอันในเสี้ยววินาที
ยันต์ย่อพื้นที่แผ่นหนึ่งกลิ้งออกมาจากชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันนานแล้ว เป็นยันต์กระดาษสีเหลืองธรรมดา เขานำมันมาคีบไว้ระหว่างสองนิ้ว ชั่วขณะที่ปราณกระบี่เข้ามาประชิดตัว ร่างของเฉินผิงอันก็หายไปจากตำแหน่งเดิม
ผู้เฒ่าชุดดำหลุดหัวเราะพรืด
ที่แท้หลังจากที่ปราณกระบี่เส้นนั้นฟันโดนความว่างเปล่าก็ยังพุ่งไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นทิศทางที่จิ้งจอกขาวตัวนั้นนอนขดอยู่บนพื้นพอดี
ยันต์ย่อพื้นที่ที่มาจาก ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ซึ่งหลี่ซีเซิ่งมอบให้นั้นมีความลี้ลับอัศจรรย์อย่างแท้จริง แต่ถือเป็นวัตถุที่ใช้ครั้งเดียวแล้วต้องทิ้ง หลังจากที่เฉินผิงอันใช้ยันต์นี้ก็มาโผล่ยังพื้นที่ว่างห่างออกไปสองจั้ง แต่หลังจากที่เขาค้นพบว่าปราณกระบี่ยังคงฟันเข้าหาปีศาจจิ้งจอก ก็ไม่ทันได้หยิบยันต์ย่อพื้นที่ออกมาอีกแผ่นหนึ่ง ได้แต่ดีดปลายเท้าทะยานตัวไปข้างหน้า ขณะเดียวกันก็ยื่นมือไปที่ไหล่ คว้าด้ามกระบี่ไม้ไหวที่ชื่อว่า ‘ปราบมาร’ ดึงออกแล้วฟาดใส่ปราณกระบี่เส้นนั้น
แม้จะออกกระบี่ แต่สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว เฉินผิงอันก็ยังฝึกวิชาหมัดเป็นหลัก
ใช้ท่าทางที่ดุดันของกระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบที่ผู้เฒ่าแซ่ชุยถ่ายทอดให้ แต่ออกกระบี่ไม้แทนออกหมัด เฉินผิงอันมีเพียงร่างกายและจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสามเท่านั้น อีกทั้งยังไม่ใช่ปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ที่สามารถผสานรวมวิชาหมัดกับปณิธานกระบี่มาใช้ร่วมกันได้ แน่นอนว่าเมื่ออยู่ในสายตาของผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริง การลงมืออย่างฉุกละหุกในครั้งนี้จึงเป็นท่าทางที่ทุลักทุเลอย่างเห็นได้ชัด
กระบี่ไม้ไหวที่มีปณิธานหมัดไหลเวียนวนฟันลงบนปราณกระบี่เส้นนั้นของผู้เฒ่า ขัดขวางไม่ให้มันพุ่งเข้าสังหารปีศาจจิ้งจอกอายุน้อยตัวนั้นไว้ได้
ทันใดนั้นแสงกระบี่ก็ระเบิดแตก ปราณกระบี่ปลิวว่อนสี่ทิศ
บทที่ 238.2 ร้อนน้อยผ่านไป ลมวสันต์ยังคงอยู่
โดย
ProjectZyphon
เฉินผิงอันถือกระบี่ไม้ไหวไว้ในมือ พอเท้าทั้งสองข้างสัมผัสพื้นก็หมุนตัวโซเซมาขวางอยู่เบื้องหน้าปีศาจจิ้งจอก โบกไม้โบกมือฟาดฟันปราณกระบี่ที่แตกกระจายมั่วซั่วเป็นพัลวัน ท่าโบกตวัดกระบี่ก็คือท่าหมัดหวังปา (หวังปาเป็นคำด่าว่าสารเลว ตัวเงินตัวทอง) ที่ใครบางคนเคยเอ่ยแซวอย่างแท้จริง
นักพรตจางซานเฟิงที่เพิ่งจะถอนหายใจโล่งอกอดตาค้างกับท่านี้ของเขาไม่ได้
ชายฉกรรจ์เคราดกยกมือขึ้นกุมขมับ กล่าวอย่างระอาใจ “เดิมทีนึกว่าไอ้หมอนี่มีวิชาหมัดไม่ธรรมดา แบกกล่องกระบี่มานานขนาดนี้ต้องเป็นจอมยุทธ์น้อยมือกระบี่คนหนึ่งที่เก็บงำฝีมืออย่างลึกล้ำแน่นอน…”
ปราณกระบี่ด้านหน้าแตกกระจายจนหมด เฉินผิงอันทำงานส่วนของตัวเองเรียบร้อยก็รีบมองประเมินความเสียหายของกระบี่ไม้ไหวในมือ แม้ว่าจะเป็นกระบี่ไม้น้ำหนักเบาขนาดกะทัดรัด แต่กลับมีความแข็งแกร่งทนทานอย่างมาก เมื่อปะทะเข้ากับปราณกระบี่ที่ยิ่งใหญ่ไพศาลของปรมาจารย์วิถีกระบี่แคว้นซูสุ่ยผู้นั้นแล้ว ตัวกระบี่กลับไม่มีความเสียหายแม้แต่จุดเดียว เฉินผิงอันจึงพอจะสบายใจได้บ้าง
ผู้เฒ่าชุดดำคลี่ยิ้มสง่างาม เอ่ยเย้ยตัวเองว่า “คิดไม่ถึงว่าบนโลกจะมีคนใช้หมัดหวังปาต้านรับกระบี่ของข้าผู้อาวุโสได้ เอาเถอะ ข้าผู้อาวุโสพูดคำไหนคำนั้น เด็กน้อยเจ้ารับได้แล้วก็คือรับได้แล้ว ข้าผู้อาวุโสจะไม่สร้างความลำบากใจให้ปีศาจจิ้งจอกที่อยู่บนพื้นตัวนั้นอีก พวกเจ้าหนึ่งคนหนึ่งปีศาจจงทำตัวให้ดี ควรรู้ไว้ว่ากรรมตามสนองนั้นไม่ได้สบาย หวังว่าพวกเจ้าจะทะนุถนอมวาสนาที่ยังไม่รู้ว่าดีหรือร้ายครั้งนี้ให้ดี”
ผู้เฒ่าเก็บกระบี่เข้าฝัก เขาที่นั่งขัดสมาธิมาโดยตลอดลุกขึ้นยืน หมุนกายจากไป เดินออกประตูใหญ่ของวัดไปแล้วก็เงยหน้ามองม่านฟ้ามืดทะมึน พลางพึมพำกับตัวเอง “ปีศาจและมารร้ายที่กำจัดไม่หมดสิ้น ภูตผีวิญญาณที่สังหารอย่างไรก็ไม่มีวันลดน้อยลง แล้วเมื่อไหร่จะถึงจุดสิ้นสุดสักที?”
บรรพบุรุษผู้บุกเบิกภูเขา ผู้สถาปนาหมู่บ้านวารีกระบี่ท่านนี้พลันหันหน้ามาเอ่ยยิ้มๆ “หากพวกเจ้าสี่คนสนใจสามารถไปที่หมู่บ้านของข้าผู้อาวุโสได้ ช่วงนี้หมู่บ้านกระบี่กำลังจัดงานรวมตัวผู้นำแห่งยุทธภพของแคว้นซูสุ่ย จะดีจะชั่วก็ถือเป็นงานมงคลของยุทธภพ หากพวกเจ้าไปถึงหมู่บ้านแล้ว บางทีข้าผู้อาวุโสอาจจะไม่อยู่ที่นั่น แต่พวกเจ้าสามารถไปหาผู้ดูแลฉู่ที่อายุมากที่สุดได้โดยตรง บอกกับเขาว่าเป็นสหายที่ข้าเพิ่งได้รู้จักในยุทธภพ ขอเหล้าแค่ไม่กี่จอกดื่มย่อมไม่เป็นปัญหา”
สุดท้ายผู้เฒ่ามองมาทางเฉินผิงอัน “ความอดทนที่คิดจะ ‘ทำเรื่องที่ดีให้ดีและถูกต้องยิ่งกว่าเดิม’ ของเจ้าในคืนนี้ ตอนที่ข้าผู้อาวุโสยังไม่แก่ชรา ช่วงวัยตั้งแต่เป็นเด็กหนุ่มถึงวัยกลางคน ข้าเองก็เป็นอย่างเจ้ามาโดยตลอด และมีแต่จะมากกว่า ไม่มีน้อยกว่า ทว่า…ช่างเถอะ คำพูดไม่เป็นมงคลของคนแก่อย่านำมาพูดให้เด็กหนุ่มฟังจะดีกว่า สรุปก็คือหวังว่าเจ้าจะยังยืนหยัดต่อไปได้”
ผู้เฒ่าวัยชราตบกระบี่ยาวตรงเอว เดินจากไปไกลอย่างเงียบเชียบท่ามกลางม่านราตรี
เฉินผิงอันยืนเหม่อ พอหลุดจากภวังค์ หันหน้ากลับไปมองข้างหลังก็เบิกตากว้าง ไม่รู้ว่าปีศาจจิ้งจอกอายุน้อยตนนั้นหายตัวไปตั้งแต่เมื่อไหร่
ชายฉกรรจ์เคราดกยื่นนิ้วชี้หน้าตัวเอง พูดสัพยอก “เฉินผิงอันเอ๋ยเฉินผิงอัน วีรบุรุษช่วยเหลือสาวงาม หลังจบเรื่องสาวงามจะเอาตัวตอบแทนหรือไม่ ยังต้องดูกันที่ตรงนี้!”
เฉินผิงอันเอากระบี่ไม้ไหวเก็บไว้ในกล่องไม้ที่เว่ยป้อเป็นคนทำให้ วิ่งเหยาะๆ ไปที่กองไฟ ยื่นมือขยับเข้าใกล้กองไฟพลางชำเลืองตามองหลิ่วชื่อเฉิงที่นั่งหาวอยู่ฝั่งตรงข้ามคล้ายไม่ตั้งใจแต่ก็คล้ายมีเจตนา ฝ่ายหลังยิ้มหน้าเป็นส่งมาให้ “มองอะไร คราวนี้เริ่มอิจฉาความหล่อเหลาสง่างามของข้าแล้วสินะ? เฮ้อ อันที่จริงข้าเองก็อิจฉาเจ้าเฉินผิงอันเหมือนกัน หากข้ามีวรยุทธ์ได้สักครึ่งหนึ่งของเจ้า ก็คงกลายเป็นผู้ชายในฝันของจอมยุทธ์และเทพธิดาสาวนับพันนับหมื่นในยุทธภพไปนานแล้ว!”
เฉินผิงอันกลอกตามองสูงใส่อีกฝ่าย ปลดน้ำเต้า แหงนหน้ากรอกเหล้าคำใหญ่เข้าปาก
หลังดื่มเหล้าไปแล้ว เฉินผิงอันก็ถือน้ำเต้าไว้ในมือ ความสั่นสะเทือนในอารมณ์ไม่ได้เบาสบายอย่างที่แสดงออกภายนอก
การที่เขาไม่ได้เชื้อเชิญบรรพบุรุษน้อยทั้งสองท่านออกจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ให้ไปขัดขวางปราณกระบี่ของซ่งอวี่เซาหัวหน้าหมู่บ้านกระบี่ กลับกันยังพาตัวเข้าไปเสี่ยงอันตราย หาใช่เฉินผิงอันใช้อารมณ์ตัดสินปัญหาไม่
เฉินผิงอันถอนหายใจ ลุกขึ้นเดินไปยังพื้นที่ว่าง หลังจากรัดน้ำเต้าบรรจุเหล้าไว้ตรงเอวเรียบร้อยแล้วก็หลับตาลง หวนนึกถึงการออกกระบี่ทั้งสามครั้งของผู้เฒ่าอริยะกระบี่แคว้นซูสุ่ย ครั้งหนึ่งฟันลงไปที่แท่นบูชาเทวรูป บีบให้ปีศาจจิ้งจอกเผยกาย อีกครั้งหนึ่งบิดข้อมือเบาๆ ปราณกระบี่กลายเป็นตาข่าย ครั้งสุดท้ายแน่นอนว่าคือกระบี่ที่พุ่งเข้าแสกหน้าเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันยังคงไม่ลืมตา แต่กลับดึงกระบี่ไม้ไหวออกมาช้าๆ เอากระบี่มาวางพาดขวางไว้ตรงหน้าอกเลียนแบบผู้เฒ่า เหมือนกระบี่ยังอยู่ในฝัก จะเอาออกแต่ไม่เอาออก
ไม่รู้ว่าทำไม เฉินผิงอันคิดไปคิดมาก็ยังรู้สึกว่าต่อให้ตัวเองเลียนแบบจากต้นฉบับ ต่อให้ฝึกเป็นพันเป็นหมื่นครั้งก็ยังทำได้ไม่เหมือน อย่าว่าแต่เหมือนจากความรู้สึกเลย แค่เหมือนจากภายนอกก็ยังยาก
นี่ไม่ค่อยเหมือนกับในปีนั้นที่เขามองดูแม่นางหนิงฝึกเดินนิ่งหกก้าว
ที่แท้การออกกระบี่ก็ไม่เหมือนกับการฝึกหมัด
เฉินผิงอันถอนหายใจ ได้แต่เก็บกระบี่ไม้ไหวที่ติดตามตนออกเดินทางในยุทธภพมาแล้วสองครั้งกลับลงไปอีกครั้ง
มีคนพูดกลั้วหัวเราะขึ้นมา “เฉินผิงอัน กระบี่ไม้ไหวของเจ้าเบาเกินไป ดังนั้นไม่ว่าพยายามทำอย่างไรก็ไม่ถูกต้อง ยกหนักเหมือนเบาคือขอบเขตที่สูงมากของวิถีกระบี่ เจ้าเพิ่งจะเริ่มเรียน แถมยังไม่ใช่คนที่พรสวรรค์เลิศล้ำด้านการฝึกกระบี่ ย่อมรู้สึกว่าจะทำแบบไหนก็ผิดไปซะหมด ไม่พูดถึงเดินขึ้นสู่ยอดสูงสุด เอาแค่ขั้นเริ่มต้นพื้นฐาน หากเป็นเรื่องของการฝึกหมัด แค่มีอาจารย์ที่พอจะมีชื่อเสียงช่วยนำทางให้ก็พอแล้ว แต่การฝึกกระบี่จำเป็นต้องมีพระวิสุทธิ์อาจารย์นำทางให้ถึงจะได้ อันที่จริงเจ้าควรจะสอบถามความรู้ด้านวิถีกระบี่จากซ่งอวี่เซาผู้นั้นด้วยความจริงใจ วิถีวรยุทธ์ของคนผู้นี้ไม่สูง แต่เขาได้เดินไปบนวิถีกระบี่ของตัวเองแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง
คำพูดที่เปิดเผยข้อเท็จจริงออกมาหมดเปลือกนี้ ไม่ได้ออกมาจากปากของชายฉกรรจ์เคราดก แล้วก็ไม่ได้ออกมาจากปากของจางซานเฟิงที่สามารถบังคับกระบี่ไม้ท้อให้บินฉวัดเฉวียนได้ กลับเป็นคำพูดจากหลิ่วชื่อเฉิงบัณฑิตที่ไม่เกี่ยวข้องกับยุทธภพมากที่สุด ตอนที่พูดประโยคนี้ หลิ่วชื่อเฉิงยืนอยู่ข้างกองไฟที่ลุกโชติช่วงเพราะกิ่งไม้แห้งจำนวนมากถูกเพิ่มเข้าไป เปลวเพลิงสาดสะท้อนให้เรือนกายที่สูงเพรียวของเขาส่ายไหวไปตามแสงไฟ
จางซานเฟิงกำลังขอคำแนะนำเรื่องวิชาการสกัดจุดในยุทธภพจากสวีหย่วนเสีย หนึ่งคนถามหนึ่งคนตอบ ตั้งใจคุยกันอย่างมาก จึงไม่มีใครสนใจคำพูดของหลิ่วชื่อเฉิง
หรือควรจะพูดอีกอย่างว่า คนทั้งสองไม่มีใครได้ยินคำพูดของหลิ่วชื่อเฉิง
เพราะตั้งแต่ต้นจนจบ หลิ่วชื่อเฉิงไม่ได้ขยับปากเลยสักครั้ง แต่เฉินผิงอันกลับได้ยินเสียงของหลิ่วชื่อเฉิงจริงๆ
เฉินผิงอันถามคำถามที่ประหลาดมาก “เป็นเจ้า? ตอนที่อยู่เมืองแยนจือ ข้าได้ยินเจ้าเมืองหลิวพูดว่า อันที่จริงเจ้าคือเทพเซียนขอบเขตโอสถทอง เพราะเคยแสดงวิชาอภินิหารครั้งหนึ่งตอนอยู่นอกเมือง”
หลิ่วชื่อเฉิงโบกมือ ค่อยๆ อ้อมผ่านกองไฟ เดินมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน พูดกลั้วหัวเราะว่า “เอาล่ะ พวกเราสองคนอย่ามัววางอุบายหลอกล่อกันเองอยู่เลย เจ้ารู้แล้วว่าข้าคือปีศาจใหญ่ ข้าเองก็รู้ว่ากระบี่ที่เจ้าสะพายอยู่ด้านหลังมีภูมิหลังไม่ธรรมดา หาไม่แล้วเมื่อครู่นี้มันก็คงไม่มีทางสะกดกลั้นอารมณ์ไม่อยู่ หลังจากสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของข้าจึงสั่นสะเทือนส่งเสียงร้องขึ้นมาเอง แม้ว่าเจ้าจะสยบความเคลื่อนไหวของมันได้อย่างรวดเร็ว แต่ข้าก็ไม่ใช่คนหูหนวกตาบอด ดังนั้นตอนนี้เจ้าและข้าต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจ เฉินผิงอัน เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่า เป็นเทพเซียนฝ่ายใดที่สร้างกระบี่เล่มนี้? เจ้าจะเอาไปส่งที่ภูเขาห้อยหัว เอาไปส่งให้ใคร?”
เฉินผิงอันถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เจ้าคิดจะแย่งกระบี่?”
‘หลิวชื่อเฉิง’ ยิ้มตาหยีคล้ายได้ยินเรื่องที่ตลกที่สุดในโลก เขาเอาสองมือไพล่หลัง ส่ายหน้ายิ้ม “เป็นกระบี่ดีก็จริง แต่ข้าไม่สนใจ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เชื่อคำพูดประเภทนี้ ไม่เป็นไร ข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้ามากนัก เจ้าแค่รอดูเรื่องที่ข้าจะทำก็พอ ใช่แล้ว เจ้าเคยได้ยินประโยคนี้หรือไม่ที่บอกว่า ของดีบนโลกไม่ทนทาน เมฆหลากสีสลายง่ายดั่งแก้วเปราะบาง?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “เคยอ่านจากบทกลอนในตำรา”
หลิ่วชื่อเฉิงโบกมือหนึ่งครั้ง ไอน้ำก็ผุดขมุกขมัว เมฆหมอกล้อมวนไปตกลงตรงกองไฟ เมื่อคนที่อยู่ตรงนั้นมองมาทางนี้จะไม่เห็นอะไรที่ผิดปกติ จะเห็นเพียงว่า ‘หลิวชื่อเฉิง’ กำลังพูดคุยกับเฉินผิงอันอย่างสนุกสนาน แต่ในความเป็นจริงแล้วภาพของปัญญาชนยากจนจากแคว้นไป๋สุ่ยที่สวมชุดเต๋าสีชมพูยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงนี้กลับแปลกประหลาดอย่างถึงที่สุด
หลิ่วชื่อเฉิงกล่าวต่อว่า “‘เมฆหลากสีสลายง่าย’ พูดถึงชั้นเมฆหลากสีของนครจักรพรรดิขาวที่ก้อนเมฆหลากสีสันมารวมตัวกันและแยกสลายออกจากกันประหนึ่งกลุ่มควันที่ล่องลอย เป็นภาพที่ยิ่งใหญ่งดงามตระการตา”
“‘แก้วเปราะบาง’ นั้นพูดถึงเรื่องในอดีตของปีศาจใหญ่แห่งระบบลัทธิมารซึ่งมีชาติกำเนิดจากในนครจักรพรรดิขาวคนหนึ่ง เรื่องนั้นก็เหมือนกับความขัดแย้งในคืนนี้ เขาเองก็ทำเพื่อปีศาจน้อยที่มองดูเหมือนไม่มีความสำคัญ ยอมทะเลาะกับศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเอง ศิษย์พี่ใหญ่ทำเพื่อแนวโน้มของสถานการณ์ในใต้หล้า ข้าทำเพื่ออารมณ์และเหตุผลเล็กๆ นับแต่นั้นมาศิษย์พี่ศิษย์น้องก็แตกหัก ตอนนี้เมื่อย้อนกลับไปมองดูก็ช่างน่าขันจริงๆ เหมือนเด็กสองคนที่ทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง สรุปก็คือด้วยความโมโห ข้าเลยทุบทำลายหอหลิวหลี (แก้วหลากสี) ทั้งหลังที่อยู่ท่ามกลางเมฆหลากสีของนครจักรพรรดิขาว สุดท้ายหลงเหลือเพียงถ้วยหลิวหลีเล็กๆ ไม่กี่ใบ นับแต่นั้นมาข้าก็ออกจากนครจักรพรรดิขาว ท่องเที่ยวไปทั่วทุกสารทิศ เมื่อไม่มีสำนักคอยปกป้อง สุดท้ายจึงถูกนักพรตพิทักษ์ความเป็นธรรมซึ่งเป็นผู้นำของฝ่ายธรรมะไล่ฆ่าเป็นระยะทางไกลนับพันนับหมื่นลี้ สุดท้ายถูกจับขังเข้าคุกใหญ่ กดกำราบเอาไว้นานนับพันปี และตั้งแต่ต้นจนจบ ศิษย์พี่ใหญ่ท่านนั้นของข้าก็เอาแต่นิ่งดูดาย”
เฉินผิงอันขมวดคิ้วถาม “เจ้าพูดเรื่องพวกนี้กับข้าทำไม?”
หลิ่วชื่อเฉิงยิ้มบางๆ สะบัดชายแขนเสื้อกว้างของเสื้อคลุมนักพรตเต๋าสีชมพู ยกมือทั้งสองข้างทับซ้อนกันบนหน้าท้อง ท่าทางเคร่งขรึมจริงจัง “เพราะช่วงนี้ข้ามีความคิดอยากจะรับลูกศิษย์ รู้สึกว่าเจ้าเฉินผิงอันไม่เลวเลยทีเดียว ข้าสามารถถ่ายทอดวิชากระบี่อันดับสูงสุดในโลกให้แก่เจ้า แม้ว่าข้าจะมีชาติกำเนิดจากเผ่าปีศาจของใต้หล้าไพศาล แต่เมื่อเทียบกับศิษย์พี่ของข้าที่เป็นผู้นำลัทธิมารแล้วกลับเหมือนเทพเซียนยิ่งกว่าเทพเซียน ต่อให้เป็นยอดฝีมือตระกูลเซียนดั้งเดิมหลายคนก็ยังเต็มใจที่จะก้มลงกราบกรานศิษย์พี่ของข้า ดังนั้นวิชากระบี่ที่ข้าจะสอนให้เจ้าจึงมากพอที่จะช่วยให้เจ้าเดินขึ้นสู่ยอดสูงสุดของมหามรรคาแห่งวิถีกระบี่ดั้งเดิมที่ถูกต้อง เมื่อโชควาสนามาถึง เจ้าก็จะมีหวังเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน ต้องรู้ว่าคำว่า ‘ดั้งเดิม’ นี้ ไม่ใช่คำที่จะเอามาใช้กันส่งเดชได้ คนอย่างซ่งอวี่เซาที่ถึงแม้จะคลำเจอปณิธานที่แท้จริงของวิถีกระบี่ตัวเอง แต่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่พรสวรรค์มีจำกัดแบบเขา ต่อให้วรยุทธ์จะสูงแค่ไหน อย่างมากสุดก็ได้แค่ช่วยให้เจ้าเลื่อนสู่ตำแหน่งของเซียนกระบี่ห้าขอบเขตกลางเท่านั้น เฉินผิงอัน เจ้าคิดว่าไง? เจ้ายินดีจะใช้สถานะของลูกศิษย์มาติดตามข้าผู้อาวุโสฝึกตนบนมหามรรคาหรือไม่?”
เฉินผิงอันถามกลับ “เป็นมารรึ?”
หลิ่วชื่อเฉิงยิ้มบางๆ ตอบว่า “ในสายตาของข้า มหามรรคาคดเคี้ยวเดินได้ยากลำบาก มีเพียงคนที่ยืนหยัดไม่ยอมแพ้เท่านั้นถึงจะสามารถเดินไปได้ถึงท้ายที่สุด หรือถึงขั้นมีความหวังว่าจะเดินไปได้สูงกว่าและไกลกว่าพวกลูกรักแห่งสวรรค์ที่มีคุณสมบัติโดดเด่นเลิศล้ำ เจ้าเฉินผิงอันคือคนที่เดินบนเส้นทางเดียวกับข้า ตอนนี้ข้าช่วยเจ้ารับศิษย์พี่ใหญ่ไว้คนหนึ่งแล้ว วางใจเถอะ เจ้าคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้า มากสุดคือหนึ่งร้อยปี รับรองว่าพวกเราสามอาจารย์และศิษย์จะต้องมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้า เมื่อหวนกลับนครจักรพรรดิขาวอีกครั้งจะต้องมีที่ให้พวกเราได้หยัดยืนอย่างแน่นอน”
หลิ่วชื่อเฉิงจ้องนิ่งไปที่ดวงตาของเฉินผิงอัน แล้วคลี่ยิ้ม “สำนักที่ข้ากับศิษย์พี่อยู่ด้วยกันตอนนั้นน่าสนใจอย่างมาก ศิษย์พี่ใหญ่คือคน แต่ฝึกวิชาของลัทธิมาร ข้าเป็นปีศาจ แต่ฝึกวิชาอภินิหารของมนุษย์ อาจารย์ของพวกเราตั้งเจตจำนงของสำนักเอาไว้เพียงสี่คำว่า การศึกษาไม่แบ่งชนชั้น ข้อนี้คล้ายคลึงกับลูกศิษย์คนรองของมรรคาจารย์เต๋าที่ไร้เทียมทานอย่างแท้จริงผู้นั้นมาก นอกจากนครจักรพรรดิขาวแล้ว ลัทธิมารใต้หล้ายังมีระบบใหญ่อีกมากมาย แต่ละฝ่ายมีกองกำลังที่ยิ่งใหญ่จนน่าตกตะลึง ความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องถักทอกัน ต่อให้เป็นตระกูลเซียนดั้งเดิมที่ใช้คำว่าสำนักก็ยังต้องหลบเลี่ยงประกายแหลมคม ดังนั้นขอแค่หมัดของเจ้าแข็งพอ ขอบเขตสูงมากพอ ไม่ว่าจะธรรมะหรืออธรรมก็ล้วนเป็นเพียงเรื่องน่าขัน ไม่มีความสำคัญเลยสักนิด”
เฉินผิงอันยิ้มกว้าง “จะรับเจ้าเป็นอาจารย์หรือไม่ ข้าต้องถามก่อนถึงจะได้”
เหงื่อผุดซึมออกมาจากหน้าผากนานแล้ว แต่เด็กหนุ่มสะพายกล่องไม้ในเวลานี้กลับมีสีหน้าเป็นปกติ ไม่มีความหวั่นเกรงเลยแม้แต่น้อย
“อ้อ?”
ดวงตาของหลิ่วชื่อเฉิงเป็นประกายเจิดจ้า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องมีอาจารย์ผู้สืบทอดวิชาที่ไม่ธรรมดา ไม่เป็นไร ไหนลองว่ามาสิ หากสุดท้ายเจ้าพิจารณาการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์แล้วเลือกกิ่งไม้ที่ดีกว่าเพื่อพักนอน ก็ไม่ใช่เรื่องน่าอาย ข้าเองก็จะไม่บังคับฝืนใจ และยิ่งไม่พูดจาข่มขู่เจ้า ขอแค่อาจารย์ของเจ้ามีฝีมือสูงกว่าข้า ข้าก็จะไม่ดึงดันในวาสนาของอาจารย์และศิษย์ครั้งนี้อีกต่อไป”
เหวินเซิ่ง ซิ่วไฉเฒ่าเดินทางออกจากแจกันสมบัติทวีปตามที่คาดการณ์ไว้นานแล้ว เฉินผิงอันจะไปตามหาเขาจากที่ไหน?
ส่วนอาจารย์ฉีก็จากโลกนี้ไปแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่มีวิธีอีกเช่นกัน
แต่ที่แน่ๆ เลยก็คือเฉินผิงอันไม่เต็มใจจะติดตามคนผู้นี้ฝึกมหามรรคาค้ำฟ้าอะไรทั้งนั้น
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องลองเดิมพันดูสักตั้ง
จะสำเร็จหรือไม่ก็อยู่ที่ครั้งนี้แล้ว
หากไม่ได้จริงๆ อย่างมากก็แค่ลองสู้สุดชีวิตดูสักครั้ง หากยังไม่ได้ก็ทำเหมือนที่อาเหลียงพูด ฟ้าดินกว้างใหญ่ มีชีวิตอยู่ต่างหากที่สำคัญที่สุด รับ ‘หลิ่วชื่อเฉิง’ เป็นอาจารย์เสียก็จบเรื่อง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเอากระบี่ไปส่งที่ภูเขาห้อยหัว ส่งมันให้ถึงมือแม่นางหนิงก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง!
ไม่มีใครรู้ว่าทำไมครั้งแรกที่เฉินผิงอันพาพวกหลี่เป่าผิงเดินทางไกลไปส่งถึงต้าสุย รวมไปถึงติดตามเด็กหนุ่มชุยฉานกลับแคว้นหวงถิง ทุกครั้งที่เขาไปยืนอยู่บนยอดเขาสูงหรือริมแม่น้ำ จะต้องฝึกท่าเจี้ยนหลูยืนนิ่ง อีกทั้งต่อให้ฝึกเสร็จแล้วก็ยังยืนอยู่ที่เดิมเป็นเวลานาน
ต่อให้ครั้งนี้จะเดินทางท่องยุทธภพเพียงลำพัง อย่างเช่นคราวก่อนที่มองส่งหลิวเกาซินออกเดินทางไกลแล้ว เฉินผิงอันก็ยังนั่งอยู่บนหลังคา ดื่มเหล้า พึมพำกับตัวเองท่ามกลางสายลมช่วงสุดท้ายของฤดูใบไม้ผลิ
นั่นก็เพราะในช่วงเวลาที่ไม่มีใครสนใจจะครุ่นคิดให้ลึกซึ้งเหล่านั้น กลับมีสายลมวสันต์ล้อมวนเวียนอยู่ตรงชายแขนเสื้อของเขา
ส่วนลึกในหัวใจของเฉินผิงอันรู้ว่าคนผู้นั้นจากโลกนี้ไปแล้ว แต่คนผู้นั้นก็เคยกล่าวไว้ว่า
หากพบเจอเรื่องใดที่ตัดสินใจไม่ได้ สามารถสอบถามสายลมฤดูใบไม้ผลิ
จากนั้นหลิ่วชื่อเฉิงที่รู้สึกสนุกก็หัวเราะขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
เพราะเขาเห็นว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าก็สะบัดข้อมือ ยกชายแขนเสื้อขึ้นเหมือนที่เขาทำก่อนหน้านี้
แต่ไม่นานหลิ่วชื่อเฉิงก็หัวเราะไม่ออก
เพราะระหว่างมือสองข้างของเด็กหนุ่มที่ชูขึ้นสูงมีลมวสันต์ระลอกแล้วระลอกเล่าล้อมวนชายแขนเสื้อทั้งสองของเขาอย่างเริงร่า คล้ายเจียวหลงสีเขียวหลายตัวที่ว่ายวนอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆ
เฉินผิงอันถามเบาๆ “อาจารย์ฉี?”
หัวใจของหลิ่วชื่อเฉิงสั่นสะท้านรุนแรง นาทีนี้เหมือนเขาได้เผชิญหน้ากับจางเทียนซือที่มือหนึ่งถือกระบี่เซียน อีกมือหนึ่งประคองตราประทับแห่งกฎเกณฑ์ในศึกใหญ่เมื่อหนึ่งพันปีก่อนอีกครั้ง!
น้ำเสียงนุ่มทุ้มอบอุ่นดังขึ้นข้างกายเฉินผิงอัน “ข้าอยู่นี่”
—–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น