ยอดหญิงสกุลเสิ่น 235.2-237.1
ตอนที่ 235-2 หาเรื่องตำหนิอีกแล้ว
“เจ้าพูดดีๆ ไม่เป็นหรือไร เย้ยหยันถากถางวางอำนาจอะไรกัน ยังจะมาเรียกจิ้นอ๋องอยู่อีก เจ้าจะแข่งวางอำนาจต่อหน้าข้างั้นหรือ” จิ้นอ๋องตำหนิอย่างไม่พอใจ
สวีโย่วขมวดคิ้วมุ่น กล่าวโต้แย้งอย่างตั้งใจ “ที่ลูกพูดล้วนแต่เป็นความจริง หรือว่าลูกไม่ใช่ผิงจวิ้นอ๋องที่ฝ่าบาทพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้ด้วยตัวพระองค์เอง ส่วนข้ออ้างว่าแข่งวางอำนาจอะไร เป็นเสด็จพ่อที่คิดมากไปเองทั้งสิ้น ท่านคือชินอ๋อง ลูกเป็นเพียงจวิ้นอ๋อง อยู่ต่ำกว่าท่านหนึ่งขั้น มีเพียงท่านที่วางอำนาจต่อหน้าลูก ลูกไหนเลยจะมีอำนาจอะไรมาแข่งต่อหน้าท่านได้” ปากพูดอย่างจริงจัง แต่คนที่นั่งอยู่ล้วนฟังคำเสียดสีในคำพูดของเขาออก
ชั่วขณะจิ้นอ๋องก็โมโหแล้ว ชี้สวีโย่วก่นด่า “เจ้าลูกอกตัญญู วันๆ ไม่ยั่วโมโหข้าเจ้าจะไม่สบายใจหรือไร ข้าว่าเจ้าหนึ่งประโยค เจ้ากลับมีสิบประโยคแปดประโยครอข้าอยู่ใช่หรือไม่ ข้า ข้าให้กำเนิดลูกอกตัญญูเช่นเจ้าได้อย่างไร!”
“เสด็จพ่อพูดผิดแล้ว เห็นชัดๆ ว่าเสด็จแม่ให้กำเนิดลูก ไม่ได้คลานออกมาจากท้องของท่าน” สวีโย่วกล่าวอย่างเย็นชา เสิ่นเวยที่ก้มหน้าอยู่แทบจะหัวเราะออกมา คุณชายใหญ่เอ๋ย เหตุใดท่านถึงพูดความจริงเล่า หากท่านสามารถคลานออกมาจากท้องพ่อท่านได้จริงๆ หึๆ คาดว่าพ่อท่านก็คงจะถูกฝ่าบาทฆ่าด้วยตัวเอง!
“หากพวกท่านเพียงต้องการตำหนิลูก เช่นนั้นด่าก็ด่าแล้ว ลูกขอพาเสิ่นซื่อกลับไปก่อน เดินเล่นมาทั้งวัน ร่างกายของลูกยังคงอ่อนเพลียจริงๆ กลับไปพักก่อนดีกว่า เลี่ยงไม่ให้ป่วยจนต้องกินยาทำลายงานมงคลของน้องสี่ ประเดี๋ยวพระชายาจะหาว่าลูกเป็นเสนียดจังไรอีก” สวีโย่วลุกขึ้นยืนทำท่าทีจะไป
ฉากสำคัญยังไม่ทันได้แสดง พระชายาจิ้นอ๋องจะยอมให้คนไปเช่นนี้ได้อย่างไร รีบกล่าวเรียก “โย่วเอ๋อร์กับภรรยาโย่วเอ๋อร์ช้าก่อน”
สายตาของสวีโย่วมองเข้ามาอย่างรวดเร็ว “พระชายายังมีอะไรกำชับอีก” เสียงเกียจคร้าน ราวกับไม่เห็นนางอยู่ในสายตาเลยแม้แต่นิดเดียว
พระชายาจิ้นอ๋องโมโหอย่างถึงที่สุด แต่กลับยังพยายามข่มไว้ “เช้าวันนี้ภรรยาเหยียนเอ๋อร์แพ้ท้อง แม้แต่หมอหลวงในวังก็ยังตกใจ สั่งคนไปเชิญคนที่เรือนของพวกเจ้า บ่าวรับใช้บอกว่าพวกเจ้าออกจากจวนไปแล้ว รอจนถึงตอนนี้กว่าพวกเจ้าจะกลับมา” ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยการกล่าวโทษ
เสิ่นเวยประหลาดใจแล้ว “พระชายา น้องสะใภ้สามแพ้ท้องเชิญหมอเชิญหมอหลวงก็ถูกแล้ว ลูกกับจวิ้นอ๋องไม่รู้การแพทย์ ช่วยอะไรไม่ได้เช่นกัน! หรือพระชายาคิดว่าน้องสะใภ้สามแพ้ท้องเป็นฝีมือของพวกข้าหรือ”
ไม่รอให้พระชายาจิ้นอ๋องโต้แย้ง เสิ่นเวยก็ร้องทุกข์ขึ้นมา “พระชายาทนเห็นลูกใช้ชีวิตอย่างสงบสุขสองวันนี้ไม่ได้หรือ สาดน้ำสกปรกแต่ละอ่างๆ นี้ ไม่คิดจะให้ร่างของลูกสะอาดบ้างหรือไร ลูกเติบโตในชนบท ไหนเลยจะรู้จักอุบายเหล่านี้ของเรือนหลังตระกูลใหญ่ตระกูลโต ยิ่งไปกว่านั้นลูกกับน้องสะใภ้สามก็ไม่ได้มีความแค้นต่อกัน ซ้ำยังลงมือกับทารกในครรภ์ มีเพียงคนที่โหดเ**้ยมอำมหิตเท่านั้นที่จะทำได้ลงคอ! พระชายาโปรดอย่าเอ่ยวาจาว่าร้าย ให้ทางหนีทีไล่แก่ลูกบ้างเถิด”
“ไปๆๆ รีบไป สถานที่เน่าเฟะเช่นนี้ อยู่ต่อไปไม่ได้แม้แต่ชั่วขณะเดียว” สายตาที่สวีโย่วมองท่านจิ้นอ๋องอึมครึมขึ้นมา “เสด็จพ่อยังจะห้ามไม่ให้ลูกย้ายไปจวนจวิ้นอ๋อง ดูสิว่าเขาซาบซึ้งในบุญคุณท่านหรือไม่ ในเมื่อพระชายารังเกียจพวกข้าเพียงนั้น เช่นนั้นพวกข้าก็ไปเสียดีกว่า รังเงินรังทองก็ยังสู้รังหญ้าของตัวเองไม่ได้ บรรพบุรุษไม่เคยโกหกข้า”
สวีโย่วจูงเสิ่นเวยเดินออกไปข้างนอกด้วยความเดือดดาล คราวนี้ทำให้จิ้นอ๋องโกรธจนหน้าหงายแล้ว “เจ้าลูกทรพีเจ้ากลับมาเดี๋ยวนี้ ย้ายอะไรกัน ยังไม่ครบหนึ่งเดือนข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะกล้าย้ายหรือไม่”
สวีโย่วไม่ถูกพ่อเขาคุกคามอย่างสิ้นเชิง “เสด็จพ่อคำสัญญาของท่านยังทำไม่ได้ เหตุใดลูกจะไม่กล้าย้าย เสด็จพ่อท่านอย่าบังคับลูก หากบังคับจนร้อนใจลูกจะป่าวประกาศเรื่องข้างนอกของท่านออกมาทั้งหมด”
จิ้นอ๋องร้องตะโกนอย่างเดือดดาลทันที “คาดไม่ถึงว่าเจ้ากล้าขู่ข้างั้นหรือ ข้าจะมีเรื่องอะไรได้ จะมีเรื่องอะไรได้”
สวีโย่วสบตาเขาอย่างน่าสะพรึงกลัว มุมปากเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม “มีเรื่องหรือไม่เสด็จพ่อท่านรู้ดีอยู่แก่ใจมิใช่หรือ อยากให้ลูกพูดออกมาตอนนี้หรือไม่”
จิ้นอ๋องสบสายตากับลูกชายอยู่พักหนึ่ง ยอมแพ้อย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ละสายตาอย่างไม่มั่นใจเล็กน้อย “เจ้าลูกอกตัญญู เจ้าลูกอกตัญญู”
ไม่ว่าใครก็ดูออกว่าตอนนี้เขาแข็งนอกอ่อนใน สวีโย่วยกยิ้มอย่างเย็นชา
พระชายาจิ้นอ๋องใจเต้น ในใจเกิดความระแวง ท่านอ๋องมีเรื่องข้างนอกปิดบังนางอยู่! สายตาที่สงสัยมองไปยังจิ้นอ๋องอย่างอดไม่ได้
คราวนี้จิ้นอ๋องก็ยิ่งโมโหแล้ว กระทืบเท้ากล่าว “มองอะไร ข้าบอกแล้วว่าไม่มีอะไร เจ้ายังไม่เชื่อข้าอีกหรือ” สายตาหรี่ลงวางมาดโกรธทันที
สวีโย่วหัวเราะเยาะต่อ ไม่ใช่รักซ่งซื่อผู้นี้ยิ่งกว่าทองจนไม่เสียดายแม้จะยั่วโมโหเสด็จแม่เขาจนตายก็ต้องพาซ่งซื่อเข้าจวนให้ได้หรอกหรือ ท่านก็อย่าเลี้ยงภรรยาน้อยข้างนอกสิ! ใบหน้านี้ตบจนดังเพี๊ยะๆ จริงๆ!
พระชายาจิ้นอ๋องมั่นใจยิ่งขึ้นว่าเขามีเรื่องปิดบังตนอยู่แน่นอน ทว่าบนใบหน้ากลับไม่แสดงอารมณ์ “เชื่อสิ ข้าใช้ชีวิตอยู่กับท่านอ๋องมายี่สิบกว่าปีแล้ว ไหนเลยจะไม่เชื่อท่านอ๋อง”
จากนั้นจึงละสายตาไปยังสวีโย่ว กล่าวอย่างเป็นมิตร “โย่วเอ๋อร์สองสามีภรรยาอย่าเพิ่งร้อนใจไป ข้าบอกเมื่อไรว่าน้องสะใภ้สามของพวกเจ้าแพ้ท้องเป็นฝีมือของพวกเจ้า ความหมายของข้าคือภรรยาเหยียนเอ๋อร์แพ้ท้องทำข้ากลัวแทบแย่ หากพวกเจ้าอยู่ในจวน จิตใจข้าก็มีที่พึ่งมิใช่หรือ พวกเจ้าไม่อยู่ จิตใจดวงนี้ของข้าก็ว่างเปล่า”
พูดจาไพเราะยิ่งกว่าร้องเพลงเสียอีก ราวกับว่าพวกเขาสำคัญมาก
เสิ่นเวยหัวเราะเยาะในใจหนึ่งครา กล่าวขยายความให้นางทันที “ดูพระชายาพูดเข้า เสด็จพ่อก็ยังอยู่ในจวนมิใช่หรือ ไม่พอจะเป็นที่พึ่งให้ท่านหรือ ไม่ใช่ยังมีน้องรองน้องสามน้องสี่น้องห้าอยู่หรือ ก่อนหน้านี้ท่านจวิ้นอ๋องของพวกเราก็อยู่ในจวนน้อยอย่างยิ่ง พระชายามีปัญหาแล้วจัดการอย่างไร กว่าท่านจวิ้นอ๋องจะกลับมาจากเขาก็สายไปแล้วกระมัง อีกทั้งน้องสะใภ้แพ้ท้อง เขาผู้เป็นลุงใหญ่คนหนึ่งไปเยี่ยมนับเป็นเหตุผลด้านใด”
“ดูภรรยาโย่วเอ๋อร์พูดเข้า พูดจาเก่งเสียจริงๆ” พระชายาจิ้นอ๋องไม่โมโห กลับยิ้มแย้ม นางกำลังจะพูดอะไร ก็ถูกสวีโย่วตัดบทแล้ว “เรื่องแค่นี้หรือ ได้ อีกประเดี๋ยวเสิ่นซื่อให้คนเตรียมของขวัญไปเยี่ยมน้องสะใภ้สาม”
รอยยิ้มบนใบหน้าพระชายาจิ้นอ๋องแข็งทื่อในชั่วขณะ กำหมัดแล้วจึงยกยิ้มอีกครั้ง “ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ ที่เชิญพวกเจ้ามาเพราะมีเรื่องอยากขอให้พวกเจ้าช่วย”
สวีโย่วกับเสิ่นเวยต่างก็ไม่ได้พูดต่อ พระชายาจิ้นอ๋องจนใจ ทำได้เพียงกล่าวต่อไป “เป็นเช่นนี้ ภรรยาเหยียนเอ๋อร์แพ้ท้องใช่หรือไม่ ครั้งนี้นับได้ว่าเป็นครั้งที่สี่แล้ว หมอหลวงก็บอกว่าครรภ์นี้ของนางไม่ค่อยดีนัก เว้นเสียแต่หมอเทวดาจะช่วยบำรุงครรภ์ได้ มิเช่นนั้นก็ยากยิ่งที่จะปลอดภัย”
พูดถึงตรงนี้นางก็เหลือบมองสวีโย่วปราดหนึ่ง เห็นเขาไม่แยแส ก็กล่าวต่อ “พูดถึงหมอเทวดาข้าก็ใคร่ครวญได้แล้ว โย่วเอ๋อร์รักษาตัวอยู่ที่เขาหลงหู่มิใช่มีหมอเทวดาดูแลร่างกายหรอกหรือ ข้าอยากรู้ว่าโย่วเอ๋อร์จะช่วยเชิญหมอเทวดาลงจากเขามาดูแลครรภ์น้องสะใภ้สามของพวกเจ้าได้หรือไม่ ไม่ว่าจะมีข้อแม้อะไรพวกข้าล้วนยินดี”
อ้อ ที่แท้แล้วก็มีเจตนาเช่นนี้! เสิ่นเวยเข้าใจแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าสวีโย่วจะรับปากหรือไม่รับปาก นางมองสวีโย่วอย่างอดไม่ได้
“เรื่องแค่นี้หรือ” สวีโย่วเลิกคิ้ว ไม่ออกความคิดเห็น สบสายตาของเสิ่นเวย เขาส่งแววตาปลอบโยนกลับไป จากนั้นก็มองพ่อเขา “เสด็จพ่อเองก็มีเจตนาเช่นนี้หรือ”
จิ้นอ๋องลังเลครู่หนึ่ง ยังคงพยักหน้ากล่าว “เจ้าช่วยได้ก็ช่วยหน่อยเถิด อย่างไรเสียก็เป็นลูกคนแรกของน้องสามเจ้า”
สวีโย่วมองจิ้นอ๋องนิ่งๆ มองจนพ่อเขาอึดอัดไปทั่วทั้งร่าง จากนั้นสวีโย่วจึงละสายตา มุมปากปรากฏรอยยิ้มแฝงความนัย “เสด็จพ่อ พระชายา พวกท่านช่างกล้าเสียจริงๆ!”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ เสิ่นเวยก็อดไม่ได้อีกครั้ง หลุดหัวเราะออกมา เพื่อที่จะปกปิด จึงทำได้เพียงพยายามแสร้งไอ
สวีโย่วชายตามองนางปราดหนึ่งอย่างไม่พอใจ กล่าวต่อ “แม้แต่ฝ่าบาทยังเชิญคนลงมาไม่ได้ คาดไม่ถึงว่าพวกท่านให้ลูกไปเชิญ ทะนงตนยิ่งนัก! ตอนแรกที่ลูกป่วยเหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้าย ก็ทำเพียงถูกทหารองครักษ์แบกขึ้นเขา ตอนนั้นเสด็จปู่ยังอยู่ เขารับปากเงื่อนไขของหมอเทวดานับไม่ถ้วน หมอเทวดาจึงออกมือรักษาลูกอย่างเสียไม่ได้ หรือว่าน้องสะใภ้สามสำคัญกว่าลูกงั้นหรือ หมอเทวดาละทางโลกนานแล้ว ต่อให้น้องสะใภ้สามขึ้นเขาไปด้วยตัวเองเขาก็อาจจะไม่ออกมือด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับลงเขา”
“พูดเช่นนี้โย่วเอ๋อร์จะไม่ยอมช่วยใช่หรือไม่” ใบหน้าของพระชายาจิ้นอ๋องเคร่งขรึม “นั่นคือน้องชายของเจ้า เจ้าจะทนมองน้องชายเจ้าเสียลูกไปเฉยๆ งั้นหรือ เหตุใดจิตใจเจ้าถึงได้เ**้ยมโหดเพียงนั้น”
“ต่อให้เป็นพ่อข้าก็ไม่มีประโยชน์” สวีโย่วเสมือนมองไม่เห็นความดุร้ายบนใบหน้าของพระชายาจิ้นอ๋อง “พระราชโองการยังสั่งให้คนลงมาไม่ได้ เสด็จพ่อพวกท่านให้ลูกไปเชิญ นี่ไม่ใช่เป็นการฝืนใจคนหรือไร”
เสิ่นเวยเองก็ถือโทษโกรธศัตรูเดียวกัน กล่วคล้อยตาม “ใช่แล้วๆ พระชายามิใช่ขืนใจท่านจวิ้นอ๋องของพวกข้าหรือ หรือว่าเกียรติของเขาสูงส่งยิ่งกว่าฝ่าบาทงั้นหรือ แทนที่จะบีบบังคับท่านจวิ้นอ๋องของพวกข้า ไม่สู้ไปจุดธูปไหว้พระในวัด ขอพระโพธิสัตว์คุ้มครองเสียยังดีกว่า มนุษย์ทำกรรม สวรรค์คอยมอง เหนือศีรษะยังมีเทพเทวดา ท่านทำดีสร้างบุญกุศล พระพุทธเจ้าย่อมมองเห็น กลับกัน หากท่านทำชั่วสร้างบาปกรรม เช่นนั้นก็ต้องชดใช้ผลกรรม กรรมไม่ตามสนองตนเองก็ต้องตามสนองที่ลูกหลานชนรุ่นหลัง ส่งผลให้เห็นแน่นอน”
เสิ่นเวยกล่าวตามอำเภอใจ ใครจะรู้ว่าคำพูดจะกลายเป็นจริงหรือไม่ แน่นอน นั่นย่อมเป็นเรื่องในภายหลัง
ตอนที่ 236-1 ท่านพูดความจริง ข้ารับปา...
“บอกมาเร็ว พ่อท่านทำเรื่องอะไรไว้ข้างนอกกันแน่” เมื่อกลับไปถึงเขตแดนของตนเองเสิ่นเวยก็ดึงแขนเสื้อของสวีโย่ว ในดวงตาเต็มไปด้วยประกายความอยากนินทา “บอกมาเร็ว บอกมาเร็ว” ระหว่างทางนี้นางอึดอัดจะแย่อยู่แล้ว
สวีโย่วมองตาคู่โตที่เป็นประกายแวววับคู่นั้นของเสิ่นเวย อดยื่นมือไปบีบแก้มเล็กๆ ของนางคราหนึ่งไม่ได้ เหตุใดน้องสี่ของเขาถึงได้น่ารักเพียงนี้
หัวเราะเสร็จแล้ว มุมปากของสวีโย่วก็ยกสูง กล่าวด้วยความเหยียดหยันอย่างถึงที่สุด “บุรุษจะยังมีเรื่องอะไรที่ไม่อาจให้พระชายารู้ได้อีกเล่า”
ดวงตาของเสิ่นเวยเบิกโต ไม่ใช่หรอกกระมัง ไม่ใช่อย่างที่นางคิดหรอกกระมัง พระชายาจิ้นอ๋องไม่ใช่รักแท้ของจิ้นอ๋องหรือ
สบสายตาที่สงสัยของเสิ่นเวยสวีโย่วก็พยักหน้าอย่างมั่นใจ “ถูกต้อง เขาเลี้ยงภรรยาน้อยอยู่ข้างนอก ให้กำเนิดบุตรสาวอายุสามปีแล้ว ในท้องสตรีผู้นั้นก็อุ้มครรภ์อยู่อีกหนึ่งคน เกือบห้าเดือนแล้ว”
ดวงตาของเสิ่นเวยเบิกโตยิ่งขึ้น ว่าไงนะ นางไม่ได้ฟังผิดใช่หรือไม่ จิ้นอ๋องไม่เพียงแต่เลี้ยงภรรยาน้อยไว้ข้างนอก แต่ยังมีบุตรด้วยกันอีกหรือ หากพระชายาจิ้นอ๋องรู้เข้า นี่จะทำให้นางทนรับได้อย่างไร ฮ่าๆ เช่นนั้นก็สนุกแล้วสิ เสิ่นเวยนึกสภาพพระชายาจิ้นอ๋องหลังจากรู้เรื่อง หัวเราะคิกคักขึ้นมา
สวีโย่วเองก็นึกถึงจุดนี้เช่นกัน แววตาปรากฏความเหยียดหยาม เขายังคิดว่าพ่อเขารักใคร่ลึกซึ้งกับพระชายามากมาย ที่แท้แล้วก็เป็นเช่นนี้ สตรีข้างนอกผู้นั้นเขาเคยเห็นภาพวาด เยาว์วัยกลับเยาว์วัยอย่างยิ่ง ตอนที่อยู่กับเสด็จพ่อของเขาเพิ่งจะอายุสิบสี่ปี ตอนนี้ก็เพิ่งจะอายุสิบแปดปี อายุมากกว่าน้องสาวลูกอนุภรรยาผู้นั้นของเขาเพียงแค่สองสามปี ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนั้นเสด็จพ่อของเขาลงมือทำได้อย่างไร
เสิ่นเวยจ้องมองสวีโย่ว กลอกดวงตาจากนั้นสีหน้าก็เคร่งขรึมลง “ท่านเพิ่งจะบอกว่าบุรุษยังจะมีเรื่องอะไรได้อีก เช่นนั้นท่านที่เป็นบุรุษใช่แอบเลี้ยงหวานใจอะไรคนรู้ใจอะไรไว้ข้างนอกลับหลังข้าหรือไม่ หืมม์” มือทั้งคู่เท้าเอว คิ้วงามตั้งขึ้น ท่าทางเหมือนกาน้ำชา
สวีโย่วตกใจ ทันใดนั้นในดวงตาก็มปรากฏแววตาที่แปลกออกไป “เรื่องนี้ไม่มีจริงๆ ข้าเป็นคนเช่นไรเวยเวยยังไม่รู้อีกหรือ” มือที่เรียวยาวอดลูบแก้มของเสิ่นเวยอีกครั้งไม่ได้
เสิ่นเวยแสยะปากปัดมือของเขาออก เขย่งปลายเท้าชี้จมูกเขากล่าว “ท่านพูดความจริงมา ข้ารับปากว่าจะไม่ตีท่านตาย!” ท่าทางโหดเ**้ยมทำให้สวีโย่วอยากจะกดนางจมอกแล้วกอดรัดฟัดเหวี่ยงเสียจริงๆ อืม ดีที่สุดก็คือสามารถกดไว้ใต้ร่างแล้วปู้ยี่ปู้ยำสักหนึ่งรอบ
“เวยเวยต่อให้เจ้าตีข้าตายจริงๆ ข้าก็ไม่มี!” ท่าทีของสวีโย่วไร้ความผิด “เจ้าไม่รู้หรือไร ข้ากลัวภรรยา ไหนเลยจะกล้าเลี้ยงหวานใจหญิงรู้ใจอะไรลับหลังเวยเวย เจ้าจะไม่แทงข้าพันรอบหมื่นรอบเลยหรือ” เขาทำท่าทีหวาดกลัว
เสิ่นเวยแทบจะหมดแรง กลัวภรรยางั้นหรือ มารตนนี้ยังกล้าพูดจริงๆ ซ้ำยังพูดด้วยความมั่นอกมั่นใจเช่นนั้น แต่ว่าการพูดเช่นนี้เหตุใดนางถึงได้ชอบเพียงนั้นเล่า แววตาของเสิ่นเวยปรากฏรอยยิ้ม วางท่าทางว่าเจ้ารู้ไว้ก็ดีแล้ว “หึๆ เชื่อท่านชั่วคราวก็ได้”
ท่าทีพอใจนั้นทำให้มุมปากสวีโย่วกระดกขึ้น ชั่วขณะก็ดึงเสิ่นเวยเข้ามาในอ้อมอก ลูบไล้อย่างออกแรง กลิ่นหอมรัญจวนที่ฟุ้งกระจายทั่วปลายจมูกทำลายหมอกดำในใจเขา เวยเวย แม่นางที่เข้าอกเข้าใจเขา! เวยเวยของเขาจะต้องดูออกว่าเข้าไม่พอใจ จึงพูดติดตลกทำให้เขามีความสุขเช่นนี้
หลังสวีโย่วกับเสิ่นเวยไปแล้ว พระชายาจิ้นอ๋องก็เช็ดน้ำตาร้องทุกข์กับจิ้นอ๋อง “ท่านอ๋อง ท่านเห็นกับตาแล้ว ไม่ใช่ข้าที่ปฏิบัติต่อโย่วเอ๋อร์สองสามีภรรยาไม่ดี แต่เห็นชัดๆ ว่าพวกเขาไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาแม้แต่นิดเดียว อย่างไรเสียข้าก็เป็นแม่เลี้ยงของพวกเขา ข้าจะเอาหน้าไปวางไว้ที่ไหน!”
จิ้นอ๋องเองก็เคร่งขรึมไม่พอใจ “พอแล้ว โย่วเอ๋อร์สองสามีภรรยาอายุยังน้อย เจ้าก็ให้อภัยหน่อยเถิด” จุดอ่อนของตนอยู่ในกำมือลูกชาย เขาไหนเลยจะมีความกล้าไปหนุนหลังพระชายา “รอพวกเขามีลูกของตัวเองแล้วก็จะรู้ถึงความลำบากของผู้เป็นพ่อแม่” เขาปลอบพระชายาจิ้นอ๋องเช่นนี้
ทว่าในใจกลับคิดเงียบๆ โย่วเอ๋อร์รู้ได้อย่างไรว่าเขาเลี้ยงภรรยาน้อยไว้ข้างนอก รู้เยอะเพียงใด ไม่ได้ ตรอกอวี๋ซู่ไม่อาจอยู่ได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องเปลี่ยนเรือนให้มั่นเอ๋อร์
เสียงร้องไห้ของพระชายาจิ้นอ๋องดังไม่ขาดสาย ฟันกรามด้านในบดกระทบกัน “ข้ายังให้อภัยไม่มากพออีกหรือ พวกเขาบอกว่าไม่เคารพ ข้าก็ยกเว้นการเคารพของพวกเขา พวกเขาบอกว่าไม่ให้ข้ายุ่งเรื่องในเรือนพวกเขา ข้าก็ตามใจพวกเขา ต้องให้ข้าทำเช่นไรอีก ใช่ข้าต้องคว้านหัวใจออกมายกให้พวกเขาตรงหน้าพวกเขาถึงจะพอใจหรือไม่”
“พูดจาโทสะอันใด ข้ารู้ว่าเจ้าลำบาก แต่ข้าก็ยืนอยู่ฝั่งเจ้ามิใช่หรือ กับลูกของเรามีอะไรให้คิดเล็กคิดน้อย กลับไปข้าจะไปพูดกับโย่วเอ๋อร์ให้” จิ้นอ๋องตบบ่าพระชายาอย่างขอไปที
ทว่าพระชายาจิ้นอ๋องกลับยิ่งถูกกระตุ้น ดึงแขนเสื้อของจิ้นอ๋อง “จากเรื่องในวันนี้ แม้เสิ่นซื่อจะเพิ่งเข้าจวน แต่นางก็เป็นสะใภ้คนโต น้องสะใภ้แพ้ท้องนางก็ควรช่วยดูแลมิใช่หรือ นางกลับไม่ทำ ตนออกจากจวนไปเดินเล่น ยังมีโย่วเอ๋อร์ ข้าคิดว่าเขาอยู่บนเขาหลงหู่หลายปีเพียงนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องสนิทกับผู้เฒ่าหมอเทวดาหลายส่วนมิใช่หรือ ยังไม่สามารถเชิญหมอเทวดาลงเขามาช่วยได้อีกหรือ เพียงแค่เรื่องที่เอ่ยไปตามใจปาก เหตุใดถึงหลายเป็นการฝืนใจเขาแล้วเล่า เขาไม่ยอมช่วย ซ้ำยังหาข้ออ้างมากมาย นั่นคือลูกคนแรกของน้องชายเขา ข้าคิดแล้วก็รู้สึกเจ็บปวด เหตุใดจิตใจของโย่วเอ๋อร์สองสามีภรรยาถึงได้เ**้ยมโหดเพียงนั้น ไร้เมตตาเพียงนั้น” นางกุมหน้าสะอึกสะอื้นไห้
จิ้นอ๋องจนปัญญาอย่างมาก ซ้ำยังถูกพระชายาจิ้นอ๋องร้องไห้ใส่จนหงุดหงิดหลายส่วน “พอแล้ว นิสัยของโย่วเอ๋อร์ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่รู้ เป็นคนแปลกประหลาดที่สุด พรุ่งนี้ข้าจะเข้าวังไปขอให้เสด็จพี่ส่งหมอหลวงที่ชำนาญด้านนี้มาดูแลที่จวน คราวนี้เจ้าก็วางใจได้แล้วใช่หรือไม่” เขาคาดหวังต่อทารกในครรภ์นี้ของลูกสะใภ้สามเป็นอย่างมาก
กว่าจะปลอบพระชายาให้สงบลงได้ จิ้นอ๋องก็กลับไปยังเรือนนอกประหนึ่งวิ่งหนี คิดแล้วคิดอีกก็ยังคงไม่วางใจ เรียกบ่าวรับใช้เข้ามา สั่งให้เขาไปหาเรือนที่เหมาะสมแห่งใหม่พรุ่งนี้เช้า มั่นเอ๋อร์อยู่ที่ตรอกอวี้ซู่เขาไม่วางใจจริงๆ!
หลังจากที่เสิ่นเวยกับสวีโย่วออกจากจวนจงอู่โหว เสิ่นเสวี่ยก็มาถึงทันที ก้มหน้างุด ดูท่าแล้วน่าจะทะเลาะกลับบ้านฝั่งมารดา
เมื่อเสิ่นเสวี่ยเข้าประตูใหญ่จวนจงอู่โหวแล้วก็วิ่งตรงไปยังเรือนซงเฮ่อของย่านางทันที นายหญิงผู้เฒ่าเห็นหลายสาวกลับมาเวลานี้ ก็ตกใจสะดุ้งโหยง “เสวี่ยเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้น สามีเจ้าไม่ได้กลับมาพร้อมเจ้าหรือ”
นายหญิงผู้เฒ่าเพิ่งจะพูดจบ น้ำตาของเสิ่นเสวี่ยก็หยดลงมา
“เป็นอะไรไปเสวี่ยเอ๋อร์ ทะเลาะกับสามีเจ้ามาหรือ” คราวนี้นายหญิงผู้เฒ่าก็ยิ่งลนลาน
เสิ่นเสวี่ยเพียงแค่ส่ายหน้า ไม่พูดแม้แต่ประโยคเดียว นายหญิงผู้เฒ่าร้อนใจแทบแย่แล้ว ชี้สาวใช้อี่ชุ่ยที่กลับมาพร้อมเสิ่นเสวี่ยแล้วกล่าว “เจ้าพูดมา แท้จริงแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ นายเจ้าถูกใครรังแกมา”
อี๋ชุ่ยโถมตัวคุกเข่า กล่าวด้วยความโมโห “นายหญิงผู้เฒ่า อันที่จริงแล้วเป็นฮูหยินหย่งหนิงโหวที่รังแกคนเกินไปแล้ว นาง…นางไม่แยกแยะผิดถูกก็ตบหน้าคุณหนูของพวกเราแล้วเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ ตบหน้าเสวี่ยเอ๋อร์งั้นหรือ” นายหญิงผู้เฒ่าตกใจจนลุกพรวดขึ้นมา ดึงหลานสาวเข้ามาดูหน้านางอย่างละเอียด มองเห็นรอยฝ่ามือสีจางจริงๆ นี่ต้องใช้แรงมากเพียงใด! เรื่องที่รับไม่ได้เช่นนี้ มิน่าเล่าเสวี่ยเอ๋อร์ถึงไม่ยอมพูด
นายหญิงผู้เฒ่าทั้งตกใจทั้งโมโห ฮูหยินหย่งหนิงโหว นี่ไหนเลยจะตบหน้าเสวี่ยเอ๋อร์ เห็นชัดๆ ว่าตบหน้าจวนจงอู่โหวต่างหาก “ไป เชิญฮูหยินใหญ่มา” นางสั่งด้วยมาดขรึม เรื่องเช่นการออกหน้าหนุนหลังหลานสาวเช่นนี้ย่อมต้องตกเป็นหน้าที่ของโหวฮูหยินสวี่ซื่อ
“ท่านย่า หลานไม่มีหน้าจะอยู่ต่อไปแล้ว” เสิ่นเสวี่ยโผเข้ามาในอ้อมอกนายหญิงผู้เฒ่าโหว ร่ำไห้อย่างเสียอกเสียใจ นางเสียใจจริงๆ แม่สามีปกป้องหญิงชั่วผู้นั้นยังไม่เท่าไร ทว่าแม้แต่สามีก็ไม่เรียกร้องความยุติธรรมให้นางเลยสักคำเดียว นี่จะไม่ทำให้นางเสียใจได้อย่างไร
“เด็กโง่ พูดจาเหลวไหลอะไร เจ้าวางใจ มีย่าอยู่ช่วยเจ้า ไม่อาจทำให้เจ้าได้รับความไม่เป็นธรรมใดได้” นายหญิงผู้เฒ่าลูบหลานสาวในอ้อมอกปลอบขวัญ
เสิ่นเสวี่ยสะอื้นพูดจาออกมาไม่เป็นประโยค เพียงแค่ซุกหน้าลงในอ้อมอกนายหญิงผู้เฒ่า น้ำตาไหลเป็นสาย
ช่วงนี้สวี่ซื่อยุ่งจริงๆ เพิ่งจะส่งหลานสี่ออกจากเรือน ก็จัดการเรื่องสมรสให้ลูกชายของตนแล้ว ปีนี้ลูกชายอายุสิบเก้าปีแล้ว คนที่อายุเท่าเขาในเมืองหลวงแทบจะเป็นพ่อคนกันหมดแล้ว ลูกก็วิ่งออกข้างนอกได้แล้ว แต่เขายังอยู่ตัวคนเดียว จะไม่ทำให้สวี่ซื่อทุกข์ใจได้อย่างไร
นางวางแผนไว้ดีแล้ว แม้เชียนเอ๋อร์จะอยู่ไกลถึงซีเจียง ทว่าตั้งแต่โบราณกาลเรื่องมงคลสมรสก็เป็นคำสั่งของพ่อแม่เป็นวาจาของแม่สื่อ นางเห็นสมควรแล้วก็เป็นคนกำหนด จากนั้นก็เชิญพ่อสามีหรือสามียื่นสาส์นกราบทูลต่อฝ่าบาท ลูกชายเพียงแค่กลับมาสิบวันครึ่งเดือนก็สามารถจัดงานสมรสให้เสร็จสรรพได้ แต่งงานแล้วนางก็ไม่ต้องให้ลูกสะใภ้อยู่รับใช้ข้างกาย สองสามีภรรยากลับซีเจียงด้วยกันจึงจะถูกต้อง นางไม่ใช่แม่สามีที่ไม่มีความรู้เหล่านั้น เก็บลูกสะใภ้ไว้รับใช้ข้างกายจะให้กำเนิดบุตรได้อย่างไร ลูกชายแต่งงานก็ช้าแล้ว ทายาทจะช้าอีกไม่ได้ สองสามีภรรยารักใคร่ปรองดองกันเป็นเรื่องดียิ่งกว่าอะไรมิใช่หรือ
ตอนที่หู่พั่วเข้ามาเชิญนางนางกำลังหารือถึงบุตรสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานของจวนต่างๆ ในเมืองหลวงกับแม่นมคนสนิท แม้นางจะไม่ค่อยชอบหลานห้าผู้นี้นัก แต่ก็โมโหตกใจอย่างถึงที่สุดเช่นกัน เหนือสิ่งอื่นใดก็คือศักดิ์ศรี! ต่อให้เสวี่ยเอ๋อร์จะไม่ดี นั่นก็คือคุณหนูที่ออกจากจวนจงอู่โหว จวนหย่งหนิงโหวของเจ้าหมายความว่าอย่างไร ไม่เห็นจวนจงอู่โหวอยู่ในสายตาหรือ
อีกอย่าง ผู้เป็นแม่สามีสามารถสั่งสอนลูกสะใภ้ได้ แต่ทั่วเมืองหลวงก็ไม่เคยได้ยินว่ามีแม่สามีตระกูลใดตบหน้าลูกสะใภ้ อย่าว่าแต่ตระกูลสูงศักดิ์ แม้แต่ชาวบ้านธรรมดาที่มีเหตุมีผลก็ทำเรื่องเช่นนี้ไม่ได้ ในใจสวี่ซื่อเต็มไปด้วยความเหยียดหยามฮูหยินหยงหนิงโหวอวี้ซื่อ
ตอนที่ 236-2 ท่านพูดความจริง ข้ารับปา...
สวี่ซื่อเร่งฝีเท้ามายังเรือนซงเฮ่อ เสิ่นเสวี่ยล้างหน้าล้างตาใหม่อีกรอบแล้ว แต่ร่องรอยการร้องไห้ก็ยังคงเห็นได้ชัดเจน
“ท่านแม่ เกิดเรื่องอะไรขึ้น อวี้ซื่อผู้นั้นก็โหดเ**้ยมจริงๆ” สวี่ซื่อเห็นรอยฝ่ามือบนใบหน้าของเสิ่นเสวี่ย คิ้วก็ขมวดมุ่นขึ้นก่อน
เสิ่นเสวี่ยร้องเรียกท่านป้าสะใภ้ใหญ่หนึ่งคราจากนั้นก็สะอื้นไห้พูดไม่ออกแล้ว นางเบือนหน้าหนี ปล่อยให้น้ำตาไหลลงเงียบๆ
“อี่ชุ่ย เจ้ามาพูด แท้จริงแล้วเป็นเพราะเหตุใดฮูหยินหย่งหนิงโหวผู้นั้นถึงได้เกรี้ยวกราดใส่เสวี่ยเอ๋อร์ เพิ่งแต่งเข้าไปได้ไม่กี่เดือน เสวี่ยเอ๋อร์ก็ผอมลงไปมาก หากอยู่ต่อไปเช่นนี้จะไม่ถูกทรมานจนตายหรือไร” นายหญิงผู้เฒ่าตบพนักเก้าอี้ พูดอย่างเคียดแค้น
อี่ชุ่ยรีบกล่าวตอบ “นายหญิงผู้เฒ่า ฮูหยิน ตั้งแต่คุณหนูแต่งเข้าจวนหย่งหนิงโหว ท่านเขยก็ปฏิบัติต่อคุณหนูดีอย่างยิ่ง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็มาปรึกษาหารือกับคุณหนู แม้ว่าฮูหยินจะเห็นคุณหนูไม่เข้าตานัก แต่เริ่มแรกก็ยังดี เพียงแค่พูดจาไม่เข้าหูเล็กน้อย ทำนองว่าสตรีที่แต่งเข้ามาตระกูลนั้นตระกูลนี้มีสินเดิมเท่าไร คุณหนูล้วนแต่กัดฟันอดทน ไม่กล้าบอกท่านเขย ผ่านไปเรื่อยๆ ฮูหยินน่าจะคิดว่าคุณหนูนิสัยดี จึงกำเริบเสิบสานขึ้นมา วันทั้งวันให้คุณหนูไปยืนปรนนิบัติอยู่ในห้องนาง ตั้งแต่เช้าตรู่จนกลางดึกจึงจะปล่อยคุณหนูกลับเรือน อีกทั้งนางยังแต่งตั้งสาวใช้ใหญ่ข้างกายท่านเขยขึ้นเป็นอี๋เหนียง คุณหนูไม่เห็นด้วย นางก็เอะอะโวยวาย บอกว่าคุณหนูริษยา มิหนำซ้ำยังบอกว่าจวนโหวของพวกเราสั่งสอนมาอย่างไร คุณหนูเพียงแค่พูดสองประโยค นางก็ตำหนิว่าคุณหนูอกตัญญู ทั้งยังใส่ร้ายว่านางเถียงตนต่อหน้าท่านเขย ทำให้ท่านเขยเข้าใจคุณหนูผิด โชคดีที่ภายหลังทำความเข้าใจกันแล้ว ท่านเขยเองก็ขอโทษกับคุณหนูจากใจจริง…
…คุณหนูเห็นแก่หน้าของท่านเขยจึงอดทนทุกอย่าง เพียงแต่ครั้งนี้…” อี่ชุ่ยพูดอึกๆ อักๆ ขึ้นมา คล้ายกับว่าลำบากอย่างถึงที่สุด
“เจ้าพูดความจริงมาก็พอ นี่คือจวนของเรา ยังจะมีใครมาทำอะไรเจ้าได้อีก” สวี่ซื่อเองก็โมโหแล้ว ช่างเปิดโลกจริงๆ โหวฮูหยินงั้นหรือ ความจริงแล้วก็เป็นแค่แม่ยายอำมหิตในชนบทก็เท่านั้นเอง
อี่ชุ่ยรวบรวมความกล้าเล่าต่อไป
ที่แท้แล้วเรื่องในวันนี้ก็เกี่ยวข้องกับจ้าวเฟยเฟยลูกน้องสาวของอวี้ซื่ออย่างไม่น่าเชื่อ
ปีที่แล้ว จ้าวเฟยเฟยวิ่งมาหาที่พึ่ง เพื่อที่จะหาคู่หมั้นคู่หมายที่ดี
อวี้ซื่อปฏิบัติต่อหลานสาวผู้นี้ไม่เลวอย่างยิ่ง ขอเพียงแค่ออกไปเป็นแขกก็จะพานางไปด้วย จ้าวเฟยเฟยอยู่ในช่วงวัยที่ควรหมั้นหมาย คนเองก็หน้าตาดี ดูท่าทางเป็นเด็กดีเชื่อฟัง ย่อมต้องมีฮูหยินตระกูลต่างๆ เข้ามาถามไถ่
เมื่อได้ยินว่าแม่นางผู้นี้เป็นเพียงลูกน้องสาวของอวี้ซื่อ บิดาก็เป็นเพียงขุนนางเล็กๆ ไม่สำคัญ ฮูหยินที่ถามไถ่ส่วนใหญ่ก็ไม่สนใจ ส่วนคนที่สนใจ ไม่เป็นบุตรชายในตระกูลที่ไม่ได้เรื่อง ก็เป็นบุตรอนุภรรยาที่อยากหมั้นหมายแต่ไม่มีอนาคต
จ้าวเฟยเฟยไม่ชอบ อวี้ซื่อก็ยิ่งไม่ชอบ จากมุมมองของนาง ลูกน้องสาวผู้นี้ของนางทั้งฉลาดทั้งปราดเปรียว ซ้ำหน้าตาก็โดดเด่น หน้าที่ของภรรยาก็ทำได้ นางยังหวังว่าลูกน้องสาวผู้นี้จะแต่งเข้าตระกูลสูงเพื่อเป็นแรงสนับสนุนแก่ลูกชายของนางได้
จ้าวเฟยเฟยสตรีผู้นี้อย่าว่าแต่อายุน้อย แต่ยังฉลาดเฉียบแหลม มองเห็นความเป็นจริงยิ่งกว่าป้านางเสียอีก นางรู้ว่าด้วยฐานะในตระกูลของนางคิดอยากจะแต่งสามีสูงศักดิ์เป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง นางจึงจับจ้องลูกผู้พี่ของนาง…ซื่อจื่อจวนหยงหนิงโหวเว่ยจิ่นอวี้
นางวางแผนในใจไว้แล้ว แต่งกับบุตรอนุภรรยาถูกแม่เลี้ยงบีบบังคับทรมานเคียดแค้นไปตลอดชีวิต แต่งงานกับบุตรภรรยาหลวงที่ไม่ได้ความก็ต้องโมโหกับเรื่องไม่เป็นเรื่องไปทั้งชีวิต แทนที่จะเป็นเช่นนี้ไม่สู้เป็นอยุภรรยาของลูกผู้พี่เสีย
ลูกผู้พี่หน้าตาโดดเด่น ซ้ำยังมีความรู้ความสามารถ จวนหย่งหนิงโหวมีเขาเป็นบุตรภรรยาหลวงเพียงคนเดียว ในภายหน้าจวนหย่งหนิงโหวทั้งหมดล้วนต้องตกเป็นของเขา
นางกับญาติผู้พี่เป็นลูกพี่ลูกน้อง มีความสัมพันธ์ขั้นนี้ นางจะต้องเป็นอนุภรรยาศักดิ์สูงได้แน่นอน แม้จะบอกว่าเป็นภรรยาเอกไม่ได้ก็น่าเสียดายเล็กน้อย แต่ฮูหยินหย่งหนิงโหวเป็นป้านาง อีกทั้งท่านป้ายังวางท่าทีชัดเจนว่าไม่ชอบภรรยาลูกผู้พี่ ถึงตอนนั้นก็จะต้องถือหางนางมิใช่หรือ ขอเพียงแค่นางสามารถมีบุตรก่อนภรรยาลูกผู้พี่ได้ อาศัยท่านป้า ไม่แน่ว่าจวนหย่งหนิงโหวแห่งนี้ก็จะตกอยู่ในมือลูกนางได้เช่นกัน
เมื่อคิดเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็คุ้มค่า ด้วยเหตุนี้จ้างเฟยเฟยจึงเริ่มปฏิบัติการ วันนี้ปักผ้าเช็ดหน้าให้ลูกผู้นี้ พรุ่งนี้ส่งน้ำแกงบำรุงร่างกายให้ลูกผู้พี่ วันมะรืนเอาบทกลอนไปให้ลูกผู้พี่สอนที่ห้องหนังสือ
ทำเสิ่นเสวี่ยรังเกียจแทบแย่ นางเป็นภรรยา ไหนเลยจะไม่เข้าใจเจตนาของจ้าวเฟยเฟย แพศยาน้อยผู้นั้นแทบจะแสดงอำนาจในเรือนนางอยู่แล้ว แม่สามีไม่ชอบนางเช่นนั้น ในนั้นก็มีฝีมือของลูกผู้น้องคนนี้ด้วยเช่นกัน
เสิ่นเสวี่ยเอ่ยเรื่องนี้กับสามีสองประโยคอย่างเป็นนัย เว่ยจิ้นอวี้ยังหัวเราะบอกว่านางคิดมากไปแล้ว บอกว่าเฟยเฟยยังเป็นเด็ก บอกว่าแม่เขากำลังดูคู่หมั้นให้นางอยู่
เสิ่นเสวี่ยอดโมโหไม่ได้ ยังเป็นเด็กงั้นหรือ เป็นหญิงสาวอายุสิบสี่แล้ว ในจวนใครบ้างมองเจตนาของญาติผู้น้องคนนี้ไม่ออก มีแค่แม่สามีกับสามีนางต่างหากที่ตาบอดทั้งคู่
บ่ายวันนี้กว่านางจะปลีกตัวออกมาจากเรือนแม่สามีได้ ตั้งใจต้มน้ำแกงบำรุงร่างกาย จากนั้นก็แต่งหน้าแต่งตัว เตรียมจะไปสร้างความประหลาดใจให้สามีที่ห้องหนังสือ
แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่านางเห็นอะไร นางเห็นสามีของนางกำลังจับมือของจ้าวเฟยเฟยลูกผู้น้องคนนี้เขียนหนังสือ รอยยิ้มบนใบหน้านั้นบาดจนดวงตานางเจ็บปวด ในใจบีบแน่น นางอยากจะหันหลังกลับไปจริงๆ อยากจะมองไม่เห็นฉากนี้เสียดีกว่า
แต่เมื่อย้อนคิดดู นางกับสามีจึงจะเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้อง เหตุใดนางจะต้องใจฝ่อถอยออกไป ไม่ใช่จะเป็นการเสียเปรียบนังมารน้อยหน้าไม่อายผู้นี้หรือ
เข้าห้องมาแล้วเสิ่นเสวี่ยย่อมเห็นจ้าวเฟยเฟยไม่เข้าตา เพิ่งจะเสียดสีนางไปสองประโยค นังมารน้อยตนนั้นก็ร้องห่มร้องไห้บอกว่านางเกลียดตน ใส่ร้ายป้ายสีตน ตั้งใจจะทำลายชื่อเสียงของนาง แม้แต่สามีก็ยังใช้สายตาไม่เห็นด้วยมองนาง
ทำให้เสิ่นเสวี่ยโมโหแทบแย่ นางต้องโทษนางหรือ หรือไม่ใช่ว่าลูกผู้น้องหน้าไม่อายผู้นี้วิ่งแจ้นเข้ามาในห้องหนังสือของบุรุษ ใช้ข้ออ้างสอนหนังสือบังหน้า เมื่อครู่ร่างกายนั้นแทรกเข้าไปในอ้อมอกสามีนางแล้ว ยังเป็นคุณหนูสูงศักดิ์อะไรอีก ใจกล้ายิ่งกว่าหญิงขับเพลงเหล่านั้นข้างนอกเสียอีก ขายหน้าคนยิ่งนัก
เสิ่นเสวี่ยโมโหจนพูดไม่ออก จ้าวเฟยเฟยผู้นั้นก็ต้องการให้นางโวยวายขึ้นมา จึงใส่ไฟพูดจายุยงเล็กน้อย ชั่วขณะเสิ่นเสวี่ยก็ลงมือผลักนางหนึ่งคราอย่างทนไม่ได้
คราวนี้ก็แย่แล้ว จ้าวเฟยเฟยร้องไห้วิ่งออกไป ผ่านไปไม่นานสาวใช้ข้างกายอวี้ซื่อแม่สามีผู้นั้นของนางก็มาเชิญนางไปแล้ว ซ้ำยังไม่ถามเหตุผลก็ฟังแต่ความข้างเดียวของจ้าวเฟยเฟย ตินางว่าไร้คุณธรรม แม้แต่ญาติก็ยอมรับไม่ได้ ไม่เห็นผู้เป็นแม่สามีผู้นี้อยู่ในสายตา
เสิ่นเสวี่ยอธิบายสองประโยอย่างอดไม่ได้ อวี้ซื่อผู้นั้นก็ไม่ฟังไม่พูด ซ้ำยังยกมือตบหน้านางคราหนึ่ง นางเองก็ถูกเลี้ยงมาอย่างตามอกตามใจ ไหนเลยจะเคยได้รับความไม่เป็นธรรมเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ได้รับความไม่เป็นธรรมซ้ำยังอัปยศอดสูอีกด้วย ส่วนตัวต้นเรื่องผู้นั้นกลับยืนอยู่หลังคนอื่นส่งสายตายั่วยุมาให้นาง ตอนนั้นสมองของเสิ่นเสวี่ยเกิดเสียงดังซ่าหนึ่งคราจากนั้นก็ขาวโพลน เบื้องหน้าดำมืดไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ก่อนตกอยู่ในความดำมืดนางยังได้ยินเสียงที่ประชดประชันของแม่สามีนาง ‘ทำผิดแล้วคิดว่าแสร้งเป็นลมจะหนีพ้นหรือ อย่าแม้แต่จะคิด’
ยังมีจ้าวเฟยเฟยที่พูดปลอบใจอย่างเสแสร้ง ‘ท่านป้า ลูกผู้พี่ ล้วนเป็นความผิดของเฟยเฟย หากพี่สะใภ้ยอมรับเฟยเฟยไม่ได้ เฟยเฟยกลับบ้านคงดีกว่า’
จากนั้นก็เป็นเสียงพูดจาปลอบขวัญของสามีผู้อ่อนโยนดั่งหยกผู้นั้นของนาง
สิ่งที่ทำให้เสิ่นเสวี่ยผิดหวังก็คือตอนที่นางฟื้นขึ้นมา ในห้องมีเพียงอี่ชุ่ยอี่หงสาวใช้ออกเรือนสองคนที่นางพามาจากบ้านฝั่งมารดา สามีของนางไม่มาดูนางแม้แต่ปราดเดียว นางเอ่ยถาม อี่ชุ่ยจึงกล่าวอย่างอึกๆ อักๆ ‘ท่านซื่อจื่ออยู่ในเรือนฮูหยินเจ้าค่ะ’ นางยังมีอะไรไม่เข้าใจอีก
นางล้มกลับลงไปบนเตียงด้วยร่างทั้งร่างที่อ่อนแรง จ้องมองม่านเตียงด้วยแววตาที่ว่างเปล่า ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่ยินยอม เป็นเพราะจ้าวเฟยเฟยคนเดียว เป็นเพราะนังมารน้อยหน้าไม่อายผู้นี้ที่ล่อลวงสามีของนาง
ด้วยเหตุนี้ภายใต้ความโกรธนางจึงพาอี่ชุ่ยกลับบ้านฝั่งมารดา ส่วนอี่หง ย่อมต้องทิ้งไว้เฝ้าเรือน เลี่ยงไม่ให้ยามที่นางไม่อยู่ ปีศาจป้าหลานคู่นั้นมาขนของในเรือนนางออกไปจนหมด
“มีอย่างนี้ที่ไหนกัน หน้าไม่อายเกินไปแล้วจริงๆ” นายหญิงผู้เฒ่าฟังจนหน้าเขียวจัด ไม่รู้กฎระเบียบจริงๆ ญาติผู้น้องที่ขออาศัยกับญาติเช่นเจ้าไม่สงบเสงี่ยมเจียมตัว ไม่เพียงแต่วางแผนล่อลวงญาติผู้พี่ ซ้ำยังเสี้ยมเขาควายให้ชนกัน สมกับที่เป็นลูกน้องสาวตระกูลตกอับนั่น “เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ต้องกลัว วันนี้เจ้าอยู่ในจวน หากจวนหย่งหนิงโหวไม่มาขอโทษถึงที่ล่ะก็ เหอะ!” ความหมายนั้นไม่พูดก็รู้ หันหน้าตำหนิลูกคนเล็กของตน “พ่อเจ้าก็เหมือนกัน หาคู่สมรสอะไรมาให้เจ้า ไร้กฎระเบียบเกินไปแล้ว”
นางลืมไปอย่างสิ้นเชิงว่าคู่สมรสนี้ไหนเลยจะเป็นเสิ่นหงเซวียนที่หามาให้เสิ่นเสวี่ย เห็นชัดๆ ว่าเป็นเสิ่นเสวี่ยที่ใช้อุบายแย่งชิงมา
บนใบหน้าของเสิ่นเสวี่ยมีความกลืนไม่เข้าคายไม่ออก กัดริมฝีปากไม่พูดจา
แม้ว่าโหวฮูหยินสวี่ซื่อจะรู้สึกว่าไม่อาจฟังความหลานสาวข้างเดียว แต่เบื้องลึกในใจนางก็โมโหเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เรื่องเช่นลูกผู้พี่ลูกผู้น้องนี้ก็ถือเป็นข้อห้ามของนางจริงๆ คิดถึงตอนที่นางเพิ่งจะแต่งเข้ามาในจวนจงอู่โหว บ้านฝั่งมารดาของแม่สามีก็มีลูกผู้น้องมาขอเป็นอนุภรรยาของสามี อุบายนั้นออกมาเรื่อยๆ ทำให้นางอัดอั้นจนมีแม้กระทั่งความคิดจะแขวนคอตาย ท้ายที่สุดแม้จะส่งลูกผู้น้องที่น่ารังเกียจผู้นั้นออกไปได้ แต่ในใจนางก็มีเงาดำทิ้งไว้ ทนเห็นลูกผู้พี่ลูกผู้น้องมีความสัมพันธ์กันไม่ได้ที่สุด
“เสวี่ยเอ๋อร์สงบจิตใจอยู่ในจวนเถิด เรื่องนี้มีย่ากับป้าสะใภ้ใหญ่ช่วยเหลือเจ้า กูไหน่ไนจวนจงอู่โหวของพวกเราเองก็ไม่อาจรังแกได้ง่ายเพียงนั้น” สวี่ซื่อเองก็ลุกขึ้นแสดงจุดยืน “เสวี่ยเอ๋อร์ยังไม่ทานข้าวเย็นใช่หรือไม่ ลั่วสยา รีบไปบอกครัวใหญ่ เตรียมอาหารดีๆ หนึ่งโต๊ะมาต้อนรับกูไหน่ไนห้าของพวกเรา”
เสิ่นเสวี่ยขอบคุณท่านป้าสะใภ้ใหญ่แล้ว กลับไปยังเรือนที่ตนเคยอยู่ก่อนออกเรือนภายใต้การพยุงของสาวใช้ นั่งอยู่ในห้องที่อยู่มาสิบกว่าปี นางกลับรู้สึกว่าของยังอยู่เหมือนเดิมแต่คนกลับไม่อยู่แล้ว จิตใจล่องลอย ตอนนี้นางเพิ่งจะเข้าใจ ไม่ใช่ว่านางแต่งออกไปแล้วจะสามารถตัดความสัมพันธ์กับบ้านฝั่งมารดาได้ หากไม่ใช่ว่ามีบ้านฝั่งมารดาที่มีอำนาจ นางจะต้องไปที่ใด
เพราะว่าในใจนางเข้าใจ นางจึงยิ่งรู้สึกเลื่อนลอย!
ตอนที่ 237-1 กองทหารเด็กมาหาแล้ว
เว่ยจิ่นอวี้กลับมาจากเรือนมารดากลับพบว่าทั่วทั้งเรือนเงียบสงัด เขาเดินวนอยู่ในห้องหนึ่งรอบไม่พบเสิ่นเสวี่ย อดประหลาดใจไม่ได้ “ซื่อจื่อฮูหยินเล่า”
อี่หงที่เป็นกังวลอยู่ก็รีบเข้ามาบอก “เรียนท่านซื่อจื่อ ซื่อจื่อฮูหยิน ฮูหยินกลับบ้านฝั่งมารดาแล้วเจ้าค่ะ” พูดประโยคนี้จบนางก็ก้มหน้าลง ในใจกระวนกระวาย กลัวจะถูกท่านซื่อจื่อพาลโมโหใส่
เป็นดังคาด เว่ยจิ่นอวี้ได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้วมุ่น แต่กลับไม่ได้พาลโมโห เพียงแค่โบกมือให้อี่หงถอยออกไป
เว่ยจิ่นอวี้นั่งลงบนเก้าอี้ รู้สึกว่าทั่วทั้งห้องเงียบอย่างถึงที่สุด ในใจตำหนิเสิ่นเสวี่ยขึ้นมาเงียบๆ เขาทุ่มเทแรงไปมากว่าจะปลอบท่านแม่และญาติผู้น้องได้ ทว่าภรรยากลับกระฟัดกระเฟียดวิ่งกลับบ้านฝั่งมารดา ท่านแม่ตบหน้านางก็เกินไปเล็กน้อย แต่นางเป็นลูกสะใภ้เหตุใดถึงไม่อดทนเสียหน่อยเล่า ไม่คิดบ้างหรือว่าเขาลำบากใจยิ่งนัก ช่างไม่รู้ประสาเกินไปแล้วจริงๆ
ยังมีเรื่องในวันนี้ เป็นภรรยาของเขาที่ก่อเรื่องทั้งสิ้น ญาติผู้น้องเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เพียงแค่ไปขอคำแนะนำจากเขาที่ห้องหนังสือ ตนเห็นอักษรที่นางเขียนดูไร้พลังเล็กน้อย จึงถือโอกาสสอนนางชั่วขณะ พวกเขาบริสุทธิ์ใจ ไหนเลยจะทำตัวน่ารังเกียจเหมือนอย่างที่ภรรยาของเขาพูด
ญาติผู้น้องเป็นเด็กผู้หญิง หน้าบาง ไหนเลยจะทนรับคำสบประมาทเสียดสีของอาเสวี่ยได้ เพียงแค่อธิบายไม่กี่คำ เสิ่นซื่อก็เดือดดาลลงมือผลักคน อย่าว่าแต่ญาติผู้น้องรับไม่ได้ แม้แต่เขาที่เป็นสามีเองก็หน้าร้อนผ่าวเช่นกัน
ภรรยาลูกผู้พี่ลงมือกับญาติผู้น้อง คำพูดนี้พูดง่ายแต่ไม่น่าฟัง! มิน่าเล่าเสด็จแม่ถึงได้โมโหเพียงนั้น แต่เขาจะทำอย่างไรได้ ฝั่งหนึ่งเป็นมารดากับญาติผู้น้อง ฝั่งหนึ่งเป็นคนที่นอนอยู่ข้างเขา เขาทำได้เพียงเลือกที่จะปลอบมารดาก่อน คิดว่าปลอบมารดาเสร็จแล้วค่อยกลับไปปลอบขวัญภรรยา ใครจะรู้เมื่อเขากลับมาภรรยากลับดื้อรั้นวิ่งกลับบ้านฝั่งมารดาแล้ว
เมื่อคิดว่าต้องไปรับคนที่จวนจงอู่โหว เว่ยจิ่นอวี้ก็ปวดหัวอย่างถึงที่สุด พ่อตาผู้นั้นของเขายังดี เป็นมิตรอ่อนโยนต่อเขา ทว่านายท่านผู้เฒ่าโหวกับน้องชายคนเล็กของภรรยาผู้นั้นของเขากลับทำให้รู้สึกอึดอัดอย่างยิ่ง แม้ปากนายท่านผู้เฒ่าโหวจะไม่ได้พูดอะไร ดูคล้ายปฏิบัติต่อเขาเหมือนกับหลานเขยคนอื่นๆ แต่เขาก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่านายท่านผู้เฒ่าโหวไม่ค่อยชอบเขานัก ยังมีน้องชายคนเล็กของภรรยาผู้นั้น สายตาที่มองเขาน่าสะพรึงกลัว ราวกับมองกากเดน ทำให้เขาเกิดความรู้สึกไม่ชอบในใจ
ภรรยาโมโหกลับบ้านฝั่งมารดา นี่ทำให้เว่ยจิ่นอวี้ทั้งโกรธทั้งรู้สึกเสียหน้า แต่เรื่องนี้ก็ไม่อาจปกปิดความจริงได้ เว่ยจิ่นอวี้ลุกขึ้นอีกครั้งไปยังเรือนมารดาของเขา ตลอดทางใคร่ครวญในใจว่าพูดอย่างไรจึงจะเหมาะสม เขายังไม่รู้ว่ามารดาของเขาได้ข่าวเรียบร้อยแล้ว
ในเรือนหลังอวี้ซื่อโกรธจนแทบจะคว่ำโต๊ะ “หญิงตัวซวยหน้าไม่อายผู้นี้ นางยังมีหน้ากลับบ้านฝั่งมารดา ดี ดี ดี นางเก่งนักมิใช่หรือ เช่นนั้นก็อยู่ที่บ้านฝั่งมารดาไปตลอดชีวิตเสีย จวนหย่งหนิงโหวของข้าไม่ต้องการสะใภ้ที่สูงศักดิ์เช่นนี้”
จ้าวเฟยเฟยรู้สึกผิดทั้งใบหน้า “ท่านป้า ข้ากลับบ้านดีกว่าเจ้าค่ะ ข้ารู้ว่าท่านกับลูกผู้พี่ต่างก็รักข้า แต่พี่สะใภ้คล้ายไม่ชอบข้านัก อย่าให้ท่านต้องลำบากใจเพราะข้าเลย พี่สะใภ้เป็นคนดี เฟยเฟยเองที่ไม่ดี ทำให้พี่สะใภ้โมโหตลอด” นางกล่าวด้วยท่าทีน่าสงสาร ราวกับว่าอีกไม่ช้าก็จะร้องไห้ออกมาแล้ว
อวี้ซื่อตบมือลงบนโต๊ะ “จะไปไหน ตระกูลนี้ยังไม่ถึงตานางดูแล ป้าเจ้ายังไม่ตาย เจ้าวางใจเถิด ข้าจะดูสิว่าคนไหนกล้าไล่เจ้าไป” เดิมอวี้ซื่อก็เห็นเสิ่นเสวี่ยไม่เข้าตาอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ยิ่งไม่ชอบนางมากขึ้น ไม่ใช่อาศัยบ้านฝั่งมารดากุมอำนาจหรอกหรือ เหอะ ยังคิดว่าจะเป็นเหมือนเมื่อก่อนหรือ หลิวซื่อเข้าห้องพระเล็กแล้ว ข้าจะดูสิว่าใครจะมาหนุนหลังให้เจ้า
“ท่านป้า ท่านดีกับเฟยเฟยจริงๆ! หลังจากนี้เฟยเฟยจะเชื่อฟังท่านแน่นอน” ใบหน้าเล็กๆ เท่าฝ่ามือของจ้าวเฟยเฟยเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง “แต่เพราะว่าท่านป้าดีต่อเฟยเฟย ในใจเฟยเฟยเลยยิ่งลำบากใจ อย่างไรเสียก็เป็นเพราะเฟยเฟยพี่สะใภ้ถึงได้โมโหกลับบ้านฝั่งมารดา”
อวี้ซื่อจับมือจ้าวเฟยเฟยปลอบโยน “เด็กดี ยังคงเป็นเจ้าที่รู้ประสา หากพี่สะใภ้ผู้นั้นของเจ้ามีเหตุผลได้สักครึ่งหนึ่งของเจ้า ข้าก็คงโมโหน้อยลงได้บ้าง”
ตอนที่เว่ยจิ่นอวี้เข้ามาได้ยินประโยคนี้ของมารดาเขาพอดี อดทำหน้าเหยเกไม่ได้ “ท่านแม่ ท่านทราบแล้ว”
อวี้ซื่อปรายตามองลูกชายปราดหนึ่ง กล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดี “เจ้าเองก็ไม่รู้จักดูแลภรรยา ดูสิทำให้ญาติผู้น้องเจ้าได้รับความไม่เป็นธรรม นางยังมีหน้ากลับบ้านฝั่งมารดาอีก เพ่ย!”
เว่ยจิ่นอวี้รีบปั้นหน้ายิ้ม “เสิ่นซื่อไม่รู้ประสา ท่านแม่โปรดให้อภัย ทั้งหมดลูกจะรับไว้เอง กลับไปลูกจะให้นางมารินน้ำชาขอโทษท่าน”
อวี้ซื่อแค่นเสียงหนึ่งครา “มิบังอาจ คนเป็นถึงสตรีสูงศักดิ์จวนจงอู่โหว ไหนเลยจะเห็นแม่สามีเช่นข้าอยู่ในสายตา อีกอย่าง นางจะขอโทษข้าหรือไม่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ครั้งนี้คนที่นางล่วงเกินก็คือญาติผู้น้องเจ้า ญาติผู้น้องเจ้าเป็นสตรีที่ยังไม่ออกเรือน วาจาเช่นนั้นของเสิ่นซื่อไม่ใช่ทำลายชื่อเสียงของนางหรือ จิตใจอำมหิตเกินไปแล้ว”
สีหน้าของเว่ยจิ่นอวี้ไม่ดียิ่งขึ้น เสิ่นซื่อเอ่ยวาจาเหล่านั้นเขาเองก็ได้ยินแล้ว ยั่วยวนเอย หญิงชั่วเอย นังมารน้อยต่างๆ นานาเอย หยาบคายจนเขาที่เป็นบุรุษอยากจะปิดหูอย่างยิ่ง นับประสาอะไรกับญาติผู้น้องที่อ่อนโยนเล่า
“ญาติผู้น้อง เป็นพี่ที่ผิดเอง พี่ขอโทษแทนเจ้าด้วย เจ้าเป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง ก็ให้อภัยนางครั้งนี้เถิด” เว่ยจิ่นอวี้ก้มศีรษะต่ำให้จ้าวเฟยเฟย ขอโทษจากใจจริง
จ้าวเฟยเฟยรีบเบี่ยงตัวหลบ โบกมือกล่าวอย่างร้อนใจ “มิบังอาจ เฟยเฟยจะให้ท่านพี่ขอโทษแทนได้อย่างไร ไม่โทษพี่สะใภ้ เป็นความผิดของเฟยเฟยเอง เฟยเฟยมีเพียงน้องชาย ไม่มีพี่ชาย ตั้งแต่เล็กก็หวังจะมีพี่ชายที่รักตัวเอง หลังจากมาจวนหย่งหนิงโหว ท่านพี่ก็ดีกับเฟยเฟยเพียงนั้น เฟยเฟยเห็นท่านพี่เป็นพี่ชายแท้ๆ จริงๆ อาจเพราะว่าเป็นเช่นนี้พี่สะใภ้จึงเข้าใจผิด หลังจากนี้เฟยเฟยจะพยายามไม่ไปรบกวนท่านพี่แล้ว”
เสียงของนางลดต่ำ แต่ละประโยคพูดกระทบจิตใจของเว่ยจิ่นอวี้ เขาคิดว่าเทียบกับเสิ่นซื่อแล้ว ญาติผู้น้องรู้ประสากว่ามาก
“ไม่ต้อง ไม่ต้อง เมื่อก่อนเป็นเช่นไร ต่อจากนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น หากมิได้ทำผิดก็มิต้องกลัว ข้าเองก็เห็นญาติผู้น้องเป็นน้องสาวแท้ๆ เช่นกัน” เว่ยจิ่นอวี้กล่าว
คำพูดนี้เขากลับไม่ได้เสแสร้ง จวนหย่งหนิงโหวย่อมมีบุตรสาว แต่ก็เป็นบุตรสาวอนุภรรยา ถูกอวี้ซื่อกลั่นแกล้งราวกับเป็นตุ๊กตาดินเหนียว ไม่มีความรู้สึกของการมีอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว อวี้ซื่อมีเว่ยจิ่นอวี้เพียงคนเดียว ย่อมต้องดูแลอย่างเข้มงวด ไม่อนุญาตให้เขาไปสนิทสนมกับบุตรอนุภรรยาบุตรสาวอนุภรรยาในจวน บุตรอนุภรรยายังเจอหน้าเพียงไม่กี่ครั้ง นับประสาอะไรกับบุตรสาวอนุภรรยาเล่า เว่ยจิ่นอวี้จำไม่ได้แม้แต่หน้าตาของพวกนาง
ตั้งแต่เล็กเว่ยจิ่นอวี้ก็ตัวคนเดียว อิจฉาคนอื่นที่มีพี่น้องมากเป็นพิเศษ ตอนนี้คาดไม่ถึงว่ามีญาติผู้น้องที่อ่อนหวานน่ารักผู้หนึ่งมาที่จวน ทั้งฉลาดทั้งรู้ประสา ซ้ำยังเต็มใจสนิทสนมกับเขา ไม่ใช่เติมเต็มความภาคภูมิใจของการได้เป็นพี่ชายของเขาหรอกหรือ เขารักจ้าวเฟยเฟยเหมือนน้องสาวแท้ๆ จริงๆ
“เจ้าพูดเช่นนี้ก็ถูกต้องจริงๆ” อวี้ซื่อพยักหน้าด้วยความชื่นชม “เฟยเฟยเป็นเด็กรู้ประสา ตั้งแต่ที่นางมา วันๆ ก็กตัญญูหยอกเล่นกับข้า ทุกวันนี้ข้าสบายใจยิ่งกว่าเมื่อก่อนมาก ซ้ำเฟยเฟยยังปลอบใจข้าอยู่บ่อยๆ มิเช่นนั้นด้วยนิสัยความประพฤติของภรรยาเจ้า ข้าก็คงจะโมโหตายไปนานแล้ว” นางต่อว่าอย่างไม่พอใจ
เว่ยจิ่นอวี้เองก็รู้ว่าแม่เขากับภรรยาเขาไม่ลงรอยกัน ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกผิดเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ “ท่านแม่วางใจ ลูกจะสั่งสอนเสิ่นซื่อเอง” ไม่ว่าอย่างไรนี่เองก็เป็นมารดาที่ให้กำเนิดเขาเลี้ยงดูเขาห่วงใยเขา ต่อให้จะมีบางที่ที่ทำไม่ค่อยเหมาะสม แต่พวกเขาที่เป็นชนรุ่นหลังก็ควรจะเคารพ นี่คือหลักกตัญญูที่ผู้เป็นบุตรควรมี
จ้าวเฟยเฟยเห็นป้านางคลายความโมโหลงช้าๆ แล้ว ดวงตาก็เป็นกระกายกล่าว “ท่านป้า ท่านพี่พรุ่งนี้ไปรับพี่สะใภ้ที่จวนจงอู่โหวดีกว่าหรือไม่ ฟังว่านายท่านผู้เฒ่าโหวจวนจงอู่โหวมีความสามารถ หากพวกเขาพาลโมโหใส่ท่านพี่เพราะเรื่องนี้ เช่นนั้นก็ไม่ดีแล้ว อืม หากว่า หากว่าพี่สะใภ้ไม่ยอมกลับมา เฟยเฟยก็ยินดีไปขอโทษที่หน้าประตูพร้อมท่านพี่” นางแสดงท่าทางเข้าอกเข้าใจ
คำพูดหนึ่งประโยคยั่วโมโหอวี้ซื่อได้สำเร็จ “ไม่กลับมาก็ช่าง เดิมนางก็ทำผิดต่อเจ้า จะให้เจ้าไปขอโทษนางได้อย่างไร ข้าว่าอวี้เอ๋อร์พรุ่งนี้เจ้าเองก็ไม่ต้องไปรับ ปล่อยนางไว้สองวันให้นางได้สติ ต่อให้จวนจงอู่โหวจะมีอำนาจมาก ก็คงไม่ไร้เหตุผลหรอกกระมัง ยิ่งไปกว่านั้นจวนหยงหนิงโหวของพวกเราก็เป็นจวนโหวเหมือนกัน ไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลพวกเขา”
คำพูดนี้แม้แต่ตัวนางเองก็ยังรู้สึกไม่มั่นใจ เป็นจวนโหวเหมือกัน แต่จวนหย่งหนิงโหวอยู่ห่างชั้นจากจวนจงอู่โหวมาก จวนจงอู่โหวได้รับความชื่นชมจากฮ่องเต้ นายท่านผู้เฒ่าโหวก็ยิ่งได้รับความเชื่อใจจากฝ่าบาทอย่างยิ่ง ส่วนจวนหย่งหนิงโหวเล่า เริ่มตกต่ำลงนานแล้ว หากไม่ใช่เพราะมีเว่ยจิ่นอวี้ที่มีพรสวรรค์ด้านการเรียนหนังสือ คาดว่าคงจะจมลงไปในฝุ่นนานแล้ว
เห็นชัดๆ ว่าอวี้ซื่อพูดจาด้วยโทสะ ทว่าเว่ยจิ่นอวี้กลับรู้สึกว่ามีเหตุผล เด็กหนุ่มรักศักดิ์ศรี เขาเว่ยจิ่นอวี้เกิดมาก็ทะนงตน เดินไปที่ใดล้วนแต่เป็นบุคคลที่ทุกคนยกย่อง จะให้เขาลดตัวลงไปขอโทษภรรยากับบ้านพ่อตา เขาเสียหน้าเช่นนั้นไม่ได้หรอก
จ้าวเฟยเฟยเห็นท่าที ยังถามด้วยสีหน้าที่เป็นกังวลทั้งใบหน้า “แบบนี้จะดีหรือ พี่สะใภ้ใช่จะยิ่งโกรธหรือไม่” ดวงตาที่หลุบลงกลับมีความดีใจแวบผ่าน นางอยากให้ลูกผู้พี่ไม่ต้องไปรับพี่สะใภ้ตลอดชีวิต ทางที่ดีที่สุดก็คือส่งจดหมายขับภรรยาหนึ่งฉบับขับนางออกไป เช่นนั้นนางก็จะมีโอกาสได้เป็นภรรยาเอกของลูกผู้พี่
อันที่จริงจ้าวเฟยเฟยคิดผิดแล้วจริงๆ แม้ว่าเว่ยจิ่นอวี้จะขับเสิ่นเสวี่ยจริงๆ ตำแหน่งฮูหยินหย่งหนิงโหวซื่อจื่อนั้นก็ไม่ตกมาถึงมือนาง อย่าว่าแต่คนอื่น เพียงแค่ป้าของนางก็ไม่เห็นด้วยแล้ว นางยังคิดจะแต่งภรรยาตระกูลสูงให้ลูกชายเป็นแรงสนับสนุนอยู่เลย จ้าวเฟยเฟยเช่นนางมีอะไรดี ต่อให้อวี้ซื่อจะรักก็หลานสาวก็ไม่อาจฝังลูกชายทั้งเป็นได้!
เก็บความคิดของแต่ละคนในจวนหย่งหนิงโหวไว้ก่อน พวกเราไปดูเสิ่นเวยที่จวนจิ้นอ๋องกันดีกว่า
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น