กระบี่จงมา 235.1-236.2
บทที่ 235.1 วัดโบราณที่แวะค้างแรมมีปราณปีศาจ
โดย
ProjectZyphon
พวกเฉินผิงอันสามคนถูกเจ้าเมืองหลิวรั้งตัวไว้ที่จวนอีกสามวัน
หลังจากผ่านมรสุมในครั้งนี้ก็ดูเหมือนว่าหลิวเกาหวาจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ เขาไม่มีท่าทางห่อเหี่ยวทอดอาลัยเหมือนเมื่อตอนที่พบกันแรกๆ อีกแล้ว เวลานี้เขามักจะไปขอความรู้จากบิดาบ่อยๆ มีทั้งความรู้ด้านบทความคุณธรรม แล้วก็มีทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีพื้นบ้าน นึกถึงอะไรก็ถามถึงสิ่งนั้น เจ้าเมืองหลิวยังคงไม่ชอบใจในตัวบุตรชายคนนี้สักเท่าไหร่ แต่หลิวเกาหวากลับไม่รู้สึกร้อนตัว หรือคิดถอดใจถอยหนีเพียงเพราะบิดาแสดงความไม่สบอารมณ์ให้เห็นอีกแล้ว สองวันมานี้จึงทำให้เจ้าเมืองหลิวรำคาญใจไม่น้อย
เวลาที่มากกว่านั้น หลิวเกาหวายังคงตามติดชายฉกรรจ์เคราดกและนักพรตจางซานเฟิง นอกจากนี้ก็คอยจับตามองหลิ่วชื่อเฉิงบัณฑิตยากจนราวกับคอยป้องกันขโมยอย่างไรอย่างนั้น เขาไม่ถือสาหากปัญญาชนตกยากจากแคว้นไป๋สุ่ยผู้นี้จะมาสู่ขอพี่สาวใหญ่ของเขา แต่ก่อนหน้าที่อีกฝ่ายจะยกเกี้ยวแปดคนหามแต่งพี่สาวของเขาเข้าบ้าน หากคิดจะใช้มือหมูเค็ม (เป็นคำแสลงของจีนหมายถึงการลวนลาม) มาเอาเปรียบพี่สาวของเขา หลิวเกาหวาไม่มีทางยอมแน่นอน
ในเมื่อเป็นสหายที่ร่วมทุกข์ด้วยกันมา หลิวเกาหวาจึงไม่ได้พิถีพิถันเรื่องข้อห้ามอะไรมากนัก เรื่องในราชสำนัก ในวงการขุนนางของแคว้นไฉ่อีจึงถูกเขานำมาเล่าสู่พวกเฉินผิงอันฟังเป็นการส่วนตัวเหมือนอาหารเรียกน้ำย่อย
ภัยพิบัติที่ลุกลามสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านนับพันนับหมื่นตระกูลครั้งนี้ แม้ว่าปีศาจใหญ่จะพากับหลบเร้นกายหายเข้ากลีบเมฆ บ้างก็ถูกกำราบสังหาร บ้างก็หนีไปไกล แต่ผลกระทบที่มอบให้แก่ชาวบ้านเมืองแยนจือกลับยาวนานและลึกล้ำ จิตใจของผู้คนหวาดหวั่นพรั่นพรึง ตระกูลเศรษฐีจำนวนมากก็เริ่มเตรียมตัวย้ายออกจากเมือง ไปอยู่เมืองอื่น ต่อให้เป็นในเมืองหลวงของแคว้นไฉ่อีที่แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นย้ายบ้านย้ายถิ่นฐาน แต่คนมีเงินมีอำนาจเหล่านี้ก็คิดแล้วว่าไม่ควรนำไข่ทั้งหมดมาวางไว้ในตะกร้าใบเดียวกัน นี่ก็คือหลักการทั่วไปของเรื่องทางโลก
ว่ากันว่าหลังจากที่ราชสำนักของแคว้นไฉ่อีทราบข่าวก็ได้ส่งคนของกรมพิธีการและกรมกลาโหม ซึ่งก็คือคนประเภทที่ตำแหน่งขุนนางไม่สูงให้เดินทางออกจากที่ว่าการในเมืองหลวง มุ่งหน้าลงใต้มายังเมืองแยนจืออย่างเชื่องช้า แม้จะบอกว่ามาตรวจสอบคดีและปลอบใจผู้คน แต่เจ้าเมืองหลิวที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่ในวงการขุนนางมาครึ่งชีวิตกลับรู้ดีว่านี่เป็นแค่การทำให้ดูพอเป็นพิธีของฮ่องเต้ท่านนั้นเท่านั้น เงินในกรมการคลังเพื่อบรรเทาสาธารณภัยก็ยิ่งไม่ต้องคาดหวัง สำหรับเมืองแยนจือที่เละเทะแห่งนี้ เงินเก็บของที่ว่าการมีแค่สองสามในสิบส่วนเท่านั้น และเขาก็ไม่ใช่ขุนนางไร้มโนธรรมประเภทที่ชอบเก็บภาษีรีดนาทาเร้นชาวบ้าน ดังนั้นจึงจำต้องอาศัยศักดิ์ศรีของเจ้าเมือง อาศัยใบหน้าแก่ๆ นี้ไปขอร้องคนอื่น อาศัยข้ออ้างว่าจะได้รับการบันทึกชื่อเสียงที่ดีงามลงในอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ ได้ตั้งป้ายเกียรติยศเพื่อให้คนรุ่นหลังเคารพบูชา ไปขอเงินจากตระกูลของเศรษฐีผู้ร่ำรวยทั้งหลายที่อยู่ในเมือง อีกทั้งยังจำเป็นต้องจัดการเรื่องเงินนี้ให้เสร็จสิ้นก่อนที่ใต้เท้าผู้แทนพระองค์จากสองกรมใหญ่ในเมืองหลวงจะเดินทางมาถึงเมือง จะสร้างความรำคาญพระทัยให้แก่ฮ่องเต้เพิ่มไม่ได้เด็ดขาด และยิ่งไม่ควรเพิ่มความยุ่งยากให้แก่กรมการคลังที่เดิมทีก็มีชีวิตยากลำบากอยู่แล้ว มีเพียงทำแบบนี้เท่านั้นถึงจะรักษาหมวกขุนนางเจ้าเมืองของเขาเอาไว้ได้
ชีวิตคนมีขึ้นมีลง วงการขุนนาง วงการการค้า รวมไปถึงบนเส้นทางการฝึกตน ขณะที่ชีวิตของบางคนตกลง บางทีชีวิตของอีกคนก็อาจจะสูงขึ้น
ยกตัวอย่างเช่นการลงมือของพวกเฉินผิงอันสามคนในครั้งนี้ ไม่ว่าจะทำไปด้วยความโกรธแค้นหรือมีเจตนาที่ซ่อนเร้น แต่คงเป็นเพราะคนทำได้จึงได้ดี มือดาบเคราดกและนักพรตจางซานเฟิงที่ร่วมมือกัน สุดท้ายแล้วต่างคนจึงต่างได้ผลเก็บเกี่ยว
อาวุธเทพชิ้นใหม่ที่สวีหย่วนเสียได้มาคือดาบเล่มเล็กที่ลูกศิษย์ใหญ่ของมารเฒ่าหมี่ทิ้งไว้ เจ้าของคนเดิมคือคนบนวิถีมารตัวจริงเสียงจริง แต่คาดไม่ถึงว่าเมื่อดาบสั้นเล่มนี้ถูกชักออกจากฝัก ประกายดาบกลับยังส่องแสงเจิดจ้าสว่างไสว ไม่มีกลิ่นอายของความชั่วร้ายปะปนเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว นอกจากนี้ก็ยังมีของที่ได้จากรองแม่ทัพของแม่ทัพหม่า พอชาวบู๊สวมเสื้อเกราะคนนั้นได้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับสวีหย่วนเสียสองครั้ง เขาก็รู้สึกเหมือนอีกฝ่ายเป็นสหายที่รู้จักกันมานาน จึงแจ้ง ‘รายงานของหาย’ แล้วแอบเอาธนูแข็งแกร่งอันดับหนึ่งในกองทัพ หนึ่งในธนูพิเศษห้าคันที่สำนักโม่สร้างขึ้นซึ่งถูกเก็บไว้ในคลังที่ว่าการของหลวงมามอบให้กับสวีหย่วนเสีย
ทีแรกสวีหย่วนเสียไม่เต็มใจจะรับไว้ คำว่ากฎของกองทัพยิ่งใหญ่ดุจขุนเขานั้น หากเป็นสถานที่แห่งอื่นของแคว้นไฉ่อีอาจจะบอกได้ยาก แต่ดูจากการปกครองกองทัพของแม่ทัพหม่าแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เลอะเลือนแม้แต่น้อย ทว่าหลังจากชายฉกรรจ์ที่เป็นรองแม่ทัพรู้ถึงความกังวลของเขาก็หัวเราะฮ่าๆ รู้สึกว่านิสัยของเขากับจอมยุทธ์เคราดกเหมือนกันมากจริงๆ จึงยอมเปิดเผยความลับให้อีกฝ่ายรู้ บอกว่าเดิมทีแม่ทัพหม่าก็อนุญาตแล้ว ตอนแรกตนกล้าขอแค่ลูกธนูหนึ่งดอกเท่านั้น เป็นแม่ทัพหม่าที่มาพูดคุยกับเจ้าเมืองหลิวอย่างลับๆ ภายหลังจึงมีการแก้ไขรายงานความเสียหายทางการทหารที่ต้องส่งมอบให้แก่กรมกลาโหมของราชสำนัก หัวข้อธนูที่เดิมทีเขียนว่าลูกธนูเสียหายไปสิบหกดอกก็เปลี่ยนมาเป็นยี่สิบเอ็ดดอก
จางซานเฟิงได้รับวัตถุวิเศษที่รูปลักษณ์ไม่ดีนักสองชิ้น ชิ้นแรกเสียหายอย่างรุนแรง คือจอกเหล้าหยกขาวที่เหมือนแผ่นกระเบื้องบางๆ แผ่นหนึ่ง ซึ่งสามารถดูดซับปราณวิญญาณฟ้าดินมาได้ด้วยตัวเอง และทุกๆ ห้าวันจะก่อตัวกันกลายเป็นหยดน้ำค้างหยดหนึ่งที่เปี่ยมล้นไปด้วยปราณวิญญาณ ตอนที่จางซานเฟิงได้มันมา บนจอกเหล้ามีรูเล็กๆ ที่บิ่นแตก คาดว่าต้องส่งผลกระทบต่อความเร็วในการรวบรวมลมปราณอย่างแน่นอน
และยังมีตะเกียบไม้ไผ่ภูเขาชิงเสินในตำนานคู่หนึ่ง เพราะว่าบนตะเกียบด้ามหนึ่งสลักคำว่า ‘ภูเขาชิงเสิน’ ส่วนอีกด้ามหนึ่งสลักคำว่า ‘ไม้ไผ่เสินเซียว’ อย่างน้อยแค่มองก็รู้ว่าเป็นของเก่าแก่โบราณ แต่จะมาจากภูเขาชิงเสินจริงๆ หรือไม่นั้น ตอนนี้ยังไม่อาจรู้ได้ แต่ตะเกียบไม้ไผ่คู่นี้มีปราณวิญญาณเต็มเปี่ยมอย่างแท้จริง
ไม่ว่าอย่างไร พวกมันก็ถือว่าเป็นวัตถุวิเศษที่ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างทุกคนปรารถนาอยากครอบครองแม้ในยามหลับฝัน
เฉินผิงอันไม่ได้หยิบกล่องไม้สีเขียวและเศษชิ้นส่วนร่างทองที่มีทั้งสีทองและสีเงินออกมา เรื่องนี้สำคัญเกินไป โชควาสนามักจะมาพร้อมกับหายนะเสมอ สิ่งของเหล่านี้ไม่ใช่เต่าภูเขาหรืออินทรีล่างูที่เคยจับได้ในบ้านเกิดซึ่งสามารถเอาออกมาอวดสหายอย่างหลิวเสี้ยนหยางเพื่อความสนุกสนานได้ เฉินผิงอันจึงแค่หยิบท่อนไม้ที่ดำเหมือนถ่านและถ้วยสีขาวที่วาดลายแผนที่ห้าขุนเขาออกมา
สวีหย่วนเสียมองความเป็นมาของถ้วยสีขาวไม่ออก แต่กลับจุ๊ปากชื่นชมท่อนไม้หนักอึ้งชิ้นนั้นไม่หยุด บอกว่านี่คือไม้อสนีบาต ไม่ใช่ว่าแค่ต้นไม้ถูกสายฟ้าทั่วไปฟาดใส่แล้วจะถือกำเนิดขึ้นได้ จำเป็นต้องเป็นสายฟ้าพิเศษประเภทห้าอสนีที่แฝงเร้นพลานุภาพแห่งสวรรค์เท่านั้น อีกอย่างต้นไม้ที่ถูกฟ้าผ่าก็ต้องมีชีวิตรอดต่อไปได้ ไม่ใช่ตายไป เพราะต้นไม้ที่ตายไปแล้วจะไม่สามารถกักเก็บพลานุภาพสวรรค์ของเวทอสนีที่ลี้ลับเอาไว้ได้ สวีหย่วนเสียชั่งน้ำหนักไม้ดำที่มองดูเหมือนถ่านในมือแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เฉินผิงอัน เจ้าเชื่อหรือไม่ว่า ขอแค่มอบมันให้กับผู้ฝึกลมปราณสำนักกสิกรรม พวกเขาจะสามารถช่วยเจ้าเปลี่ยนมันให้เป็นต้นกล้าอ่อนที่มีชีวิตชีวาได้ต้นหนึ่ง?”
เฉินผิงอันเข้าใจในทันที
นี่เป็นของมีค่า!
นอกจากนี้จวนเจ้าเมืองยังมอบเงินห้าร้อยตำลึงเงินให้เป็นรางวัลตอบแทนความเหนื่อยยากแก่ ‘จอมยุทธ์ผู้ผดุงคุณธรรม’ อย่างพวกเขาตามหลักมารยาท
ชายฉกรรจ์เคราดกไม่เต็มใจรับไว้ นักพรตจางซานเฟิงก็ไม่รับ มีเพียงเฉินผิงอันเท่านั้นที่รับเอาไว้ ด้วยเรื่องนี้จางซานเฟิงยังสัพยอกเฉินผิงอันว่าเขาเป็นคนบ้าเงินจริงๆ เฉินผิงอันเพียงยิ้มรับ
เด็กชายตระกูลจ้าวคนนั้นชื่อว่าจ้าวซู่เซี่ย เด็กหญิงชื่อหลวนหลวน ตอนนี้ได้รับโชคเพราะหายนะ ทั้งคู่ต่างก็หลุดพ้นจากสัญญาทาส ติดตามผู้เฒ่าที่มีฉายาว่า ‘อวี๋เวิงเซียนเซิง’ (ผู้เฒ่าตกปลา) และเด็กหญิงหลวนหลวนก็ยิ่งได้เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของผู้เฒ่า
ทุกเช้าตรู่ที่เฉินผิงอันฝึกเดินนิ่งอยู่ในลานบ้านที่ตัวเองพักผ่อน เด็กชายจะมานั่งอยู่ตรงหน้าประตูเรือน เท้าคางตั้งใจมอง
เฉินผิงอันได้แค่ทำเป็นลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่ง สิ่งที่อยู่ในตำราเขย่าขุนเขานี้ เขาไม่เคยมองว่าเป็นของตัวเอง แล้วก็ยิ่งไม่สะดวกที่จะถ่ายทอดให้คนอื่นส่งเดช
แต่การที่เด็กชายจ้าวซู่เซี่ยมีใจอยาก ‘ขโมยเรียน’ อันที่จริงเฉินผิงอันไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องร้ายอะไร
เด็กคนนี้มีจิตใจที่ดีมาก
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงจงใจชะลอความเร็วในการเดินนิ่งหกก้าว ทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายครั้ง
วันสุดท้าย ดวงตะวันสาดส่องเหนือศีรษะ วันแรกของฤดูร้อนมาถึง หมื่นสรรพสิ่งเจริญเติบโต
ยามพลบค่ำของวัน เฉินผิงอันเอ่ยกับเด็กชายว่า “จ้าวซู่เซี่ย เจ้าสามารถตั้งใจฝึกฝนท่าหมัดเดินนิ่งนั้นให้ครบหนึ่ง…”
เฉินผิงอันรีบแก้คำใหม่ “ฝึกให้ครบหนึ่งแสนรอบได้หรือไม่?”
เด็กชายพยักหน้ารับอย่างแรง
เฉินผิงอันกำชับว่า “ไม่เน้นที่ความเร็ว แต่เน้นที่ความมั่นคง อีกทั้งทุกครั้งต้องไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด จากนั้นทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ภายในเวลาสามถึงห้าปี ฝึกหนึ่งแสนหมัด เดินครบหกก้าวถือเป็นกระบวนท่าเดียวเท่านั้น จำไว้ว่าหากก้าวใดเดินผิดพลาดจะต้องทำใหม่ซ้ำอีกรอบ ห้ามเหยาะแหยะเด็ดขาด”
เฉินผิงอันหากไม่พูดอะไรเลยก็จะกลายเป็นว่าจู้จี้จุกจิกแบบนี้ ข้อนี้เด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูที่ตอนนี้อยู่บนภูเขาลั่วพั่วคุ้นเคยดีอย่างถึงที่สุด
เฉินผิงอันครุ่นคิดอย่างละเอียดรอบหนึ่งก็เอ่ยต่อว่า “การฝึกวิชาหมัดคือ…เรื่องที่โง่มาก จ้าวซู่เซี่ย เจ้าจะเป็นคนฉลาดก็ได้ ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าฉลาดมากจริงๆ ฉลาดกว่าข้าเยอะ แต่เรื่องการฝึกวิชาหมัดยิ่งโง่ก็ยิ่งดี เข้าใจไหม?”
สายตาของเด็กชายเด็ดเดี่ยว กำมือสองข้างเป็นหมัด “เข้าใจแล้ว! ทนกับความยากลำบากในความยากลำบาก ก็จะได้เป็นคนเหนือคน!”
เด็กชายผู้ฉลาดเฉลียวที่มีชีวิตยากลำบากคนนี้เข้าใจจริงๆ
เฉินผิงอันรู้สึกขำคำพูดอีกฝ่าย จึงถามว่า “เป็นคนเหนือคนแล้ว เจ้าอยากจะทำอะไรล่ะ?”
เด็กชายตอบโดยที่แทบจะไม่ต้องคิด “ข้าจะซื้อเสื้อผ้าดีๆ ให้หลวนหลวนไว้สวมตอนหน้าหนาวหลายๆ ตัว นางจะได้อบอุ่น!”
เฉินผิงอันถามอีก “แล้วตัวเจ้าเองล่ะ?”
เด็กชายเช็ดปาก พูดสีหน้าเคลิบเคลิ้ม “กินข้าวอิ่มทุกมื้อ!”
เฉินผิงอันหุบยิ้ม ขมวดคิ้วน้อยๆ “แค่นี้เองหรือ?”
เด็กชายมีชาติกำเนิดยากจนเป็นคนระดับล่างสุด จึงถนัดสังเกตสีหน้าท่าทางของคนอื่นมากที่สุด เวลานี้รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย กลัวว่าผู้มีพระคุณจะรู้สึกว่าตนไม่เอาไหน แต่เขาไม่มีความปรารถนาอะไรมากมายจริงๆ สุดท้ายเด็กชายที่ไม่อยากโกหกเฉินผิงอันจึงทำไหล่ลู่คอตก กล่าวอย่างละอายใจ “ไม่มีแล้วจริงๆ”
“แค่กินข้าวอิ่มจะพอได้อย่างไร?”
สีหน้าเคร่งเครียดที่เฉินผิงอันแสร้งทำเปลี่ยนมาเป็นอ่อนโยนในทันที เขาลูบศีรษะของเด็กชายเบาๆ เอ่ยหยอกเย้าว่า “ต้องมีเนื้อให้กินทุกมื้อด้วย!”
เด็กชายหัวเราะร่าอย่างโง่งม
นักพรตจางซานเฟิง หลิวเกาหวา หลิ่วชื่อเฉิง คนทั้งสามนั่งยองเคียงไหล่กันอยู่บนระเบียง
หลวนหลวนถูกพี่สาวของหลิวเกาหวากอดไว้ในอ้อมอก อยู่ห่างจากชายทั้งสามคนมาเล็กน้อย
พอเห็นภาพนี้นางก็คลี่ยิ้มอย่างอดไม่ได้
การพบกันในครั้งนี้ แม้ว่าจะมีอุปสรรคเข้ามาขัดขวาง แต่ก็เป็นการพบกันที่ดีและจากลาที่ดี นับว่าไม่ง่ายเลยทีเดียว
—–
บทที่ 235.2 วัดโบราณที่แวะค้างแรมมีปราณปีศาจ
โดย
ProjectZyphon
ตอนเที่ยงของวันนี้ บัณฑิตหลิ่วชื่อเฉิงติดตามพวกเฉินผิงอันเดินทางออกนอกเมือง หลิวเกาหวาและพี่สาวใหญ่ของเขา รวมไปถึงจ้าวซู่เซี่ย หลวนหลวนและอวี๋เวิงเซียนเซิงที่มีชาติกำเนิดเป็นปัญญาชนลัทธิขงจื๊อต่างก็พากันเดินทางมาส่ง ส่งถึงศาลาข้างทางที่อยู่ห่างจากเมืองมาห้าลี้ถึงได้หยุดบอกลากันอย่างอาลัยอาวรณ์
หลิ่วชื่อเฉิงบอกลากับแม่นางหลิวอยู่ใต้ร่มไม้ ไม่รู้ว่าพูดคำรักหวานหูอะไร เพราะถึงแม้สตรีจะมีท่าทางเสียใจ แต่กลับมีรอยยิ้ม สายตามีความคิดถึงและคาดหวังปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน
เฉินผิงอันเดินไปหาอวิ๋เวิงเซียนเซิงเพียงลำพัง มอบตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงให้กับอีกฝ่าย รวมไปถึงกระดาษยันต์สีทองหนึ่งแผ่น บอกว่านี่คือของขวัญกราบอาจารย์ที่เขาช่วยมอบให้แทนจ้าวซู่เซี่ยและหลวนหลวน ขอร้องให้ผู้เฒ่าโปรดรับเอาไว้ ผู้เฒ่าเองก็มีนิสัยตรงไปตรงมา รับของทั้งหมดไว้อย่างไม่อิดออด พูดยิ้มๆ บอกให้เฉินผิงอันวางใจ เขาจะต้องปฏิบัติต่อจ้าวซู่เซี่ยและหลวนหลวนให้เหมือนเป็นบุตรในอุทรของตนเอง จะไม่ทำให้พวกเขาต้องน้อยเนื้อต่ำใจเป็นอันขาด สุดท้ายเฉินผิงอันจึงกุมหมัดคารวะ “คุณธรรมของท่าน สูงยิ่งกว่าขุนเขา ยาวไกลยิ่งกว่าแม่น้ำ”
นี่คือถ้อยคำที่ออกมาจากใจจริงของเฉินผิงอัน
ดังนั้นแม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันพูดจาสุภาพไพเราะดั่งปัญญาชน แต่เขากลับไม่รู้สึกลำบากใจแม้แต่น้อย
ผู้เฒ่าจูงมือเด็กน้อยไว้คนละข้าง มองส่งคนทั้งสี่เดินจากไปไกล แล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “มีมาดแห่งเซียนควบคู่กับคุณธรรมในยุทธภพ ประเทศชาติจึงมีบุคคลที่ยอดเยี่ยม”
หลิวเกาหวาใช้ข้อศอกกระทุ้งแขนของพี่สาวเบาๆ ถามด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านพี่ หลิ่วชื่อเฉิงกรอกยาเสน่ห์อะไรให้ท่าน ถึงทำให้ท่านกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้?”
สตรียิ้มบางๆ ตอบรับ “หลิ่วหลางบอกว่ารอเขาประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงเมื่อไหร่ จะต้องกลับมาสู่ขอข้า ถึงเวลานั้นจะต้องนั่งดื่มสุรากับพ่อตา ให้ท่านพ่อของพวกเราเรียกเขาว่าลูกเขยทุกคำให้จงได้”
หลิวเกาหวายิ้มกว้าง “คำพูดผายลมของบัณฑิต ท่านก็เชื่ออย่างนั้นหรือ?”
สตรีสาวยกสองมือกุมไว้ตรงหัวใจ เหม่อมองแผ่นหลังของบัณฑิตที่บนศีรษะสวมมงกุฎกิ่งหลิว (ธรรมเนียมชาวจีนมักจะหักกิ่งหลิวส่งให้คนที่ต้องเดินทางเพื่อแสดงถึงการอำลา) แล้วพึมพำว่า “ในตำราก็กล่าวไว้แบบนี้นี่นา”
หลิวเกาหวาระอาใจอย่างยิ่ง “เป็นบุรุษเต็มตัว แถมอายุก็ตั้งมากขนาดนี้แล้วยังสวมมงกุฎกิ่งหลิวได้ไม่รู้จักอาย ซิ่วไฉยากจนแบบนี้จะมีโอกาสลืมตาอ้าปากได้อย่างไร?”
หญิงสาวกระทืบหลังเท้าของน้องชายหนึ่งที กล่าวอย่างขุ่นเคือง “ห้ามพูดถึงว่าที่พี่เขยของเจ้าแบบนี้”
หลิวเกาหวาเจ็บจึงรีบหดเท้าหนี ขยับไปยืนห่างอีกหน่อย สอดสองมือรองไว้ตรงท้ายทอยด้วยท่าทางสบายอารมณ์
ผลคือถูกคนตบหัวหนักๆ ดังป้าบ
หลิวเกาหวาหันขวับกลับไปหมายจะด่าให้ลั่น ทว่ากลับเหมือนถูกคนบีบคอไว้ ให้ตายก็เปิดปากไม่ได้ กลั้นเอาไว้จนหน้าแดงก่ำ ครู่ใหญ่ถึงพูดเสียงหงอ “ท่านพ่อ”
หญิงสาวยิ่งตื่นตระหนก
เจ้าเมืองหลิวที่ถอดชุดขุนนางเปลี่ยนมาสวมชุดเขียวของปัญญาชนยืนอยู่ตรงกลางระหว่างบุตรชายหญิง “เจ้าเป็นเพื่อนกับเฉินผิงอันงั้นรึ?”
หลิวเกาหวาเดาไม่ถูกว่าบิดาอยู่ในอารมณ์ไหน แล้วคำพูดของเขานี้มีนัยยะลึกซึ้งหรือไม่ จึงตอบอย่างระมัดระวังว่า “ถือว่าใช่กระมัง”
เจ้าเมืองหลิวชำเลืองตามามอง หัวเราะหึหึ แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก เขาหมุนตัวเดินไปหาอวี๋เวิงเซียนเซิง พูดคุยกับผู้เฒ่าเรื่องบทความคุณธรรม
หญิงสาวแอบตบอกตัวเองเบาๆ รู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก
หลิวเกาหวาถามเบาๆ “ท่านพี่ ข้าพูดอะไรผิดอีกงั้นหรือ?”
นางกล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “นี่แหละที่เขาบอกว่าอย่าก่อหนี้ท่วมตัว เจ้าจะกลัวอะไรล่ะ”
หลิวเกาหวาร้องคร่ำครวญ
สองพี่น้องไม่กล้าขยับเข้าไปใกล้บิดา กลัวว่าจะโดนเขม่นใส่ ยิ่งกลัวว่าจะพาตัวเองโยนเข้าไปในแห จึงเดินตามมาด้านหลังไม่ห่างและไม่ใกล้เกินไปนัก
เด็กชายจ้าวซู่เซี่ยแอบชะลอฝีเท้าเดินไปหยุดอยู่ข้างกายหลิวเกาหวา เอ่ยเบาๆ ว่า “พี่ใหญ่หลิว อาจารย์ข้ากำลังชมท่านอยู่แน่ะ บอกว่าท่านมีใจกตัญญู นิสัยเดิมดีงาม บิดาท่านบอกว่าที่ไหนกันๆ ก็แค่ไม่สร้างความอัปยศให้กับวงศ์ตระกูลเท่านั้น”
ผลกลับกลายเป็นว่าบุรุษตัวโตๆ อย่างหลิวเกาหวาที่เพิ่งค่อนแคะว่าที่พี่เขยไปหยกๆ ว่าไม่เอาไหน ตอนนี้ตัวเองกลับวิ่งเร็วๆ ไปล้างหน้าที่ริมลำธารซะแล้ว
หาได้ยากที่คนทั้งกลุ่มจะมีเวลาว่างแบบนี้ พวกเขาจึงเดินตามถนนทางหลวงกลับไปยังเมืองอย่างไม่รีบไม่ร้อน ทยอยกันเดินสวนไหล่กับเด็กหนุ่มหน้าตางดงามคนหนึ่ง
ในมือของเด็กหนุ่มถือกิ่งหลิวกำใหญ่ กลางหว่างคิ้วมีตราประทับสีแดงพุทราอยู่หนึ่งจุด
หน้าตาของเขางดงามมากจริงๆ
……
ค่ำคืนหนึ่งหลังผ่านมาได้สามวัน ระหว่างเส้นทางภูเขาเงียบสงัดที่มุ่งหน้าไปยังแคว้นซูสุ่ย เฉินผิงอันสี่คนพักค้างแรมอยู่ในวัดโบราณรกร้างแห่งหนึ่ง ก่อนหน้านี้เจ้าเมืองหลิวพูดถึงเรื่องหนึ่ง บอกว่าภูเขาตี้หลงของแคว้นซูสุ่ยมี ‘ท่าเรือ’ ประหลาดที่ไม่ได้รับการบันทึกอย่างเป็นทางการ ซึ่งมีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นสถานที่ที่เฉินผิงอันต้องการตามหา หรือก็คือจุดออกเดินทางที่เหล่าเทพเซียนบนภูเขาใช้โดยสารเรือทะยานลมไปท่ามกลางทะเลเมฆ
ถึงเวลานั้นสวีหย่วนเสียจะบอกลากับคนทั้งสองที่นั่น เพื่อเดินทางไปยังแคว้นชิงหลวนทางตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีปเพียงลำพัง นำเถ้ากระดูกของสหายกลับคืนสู่บ้านเกิด
สวีหย่วนเสียชอบเดินเท้าท่องเที่ยวระหว่างแม่น้ำและขุนเขา อีกทั้งยังชอบเขียนบันทึกการเดินทาง บันทึกทัศนียภาพและลักษณะภูมิศาสตร์ที่แปลกประหลาดอันตราย ดังนั้นจึงไม่ชอบโดยสารเรือข้ามทวีปของตระกูลเซียน ส่วนหลิ่วชื่อเฉิงจะเดินทางไปแถบทิศตะวันตกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป ไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่ไม่ว่าใครก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน แม้แต่สวีหย่วนเสียที่มีความรู้และมากประสบการณ์ก็ไม่เคยได้ยิน
เมื่อต้องมาอยู่ในวัดเก่าแก่ที่ถูกปล่อยร้างมานานแห่งนี้ยามค่ำคืนก็ค่อนข้างจะน่าขนลุก เทวรูปท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ของลัทธิพุทธล้มกองอยู่บนพื้น อีกอย่างพื้นที่ของวัดโบราณก็กว้างขวางมาก มองไปทางใดก็ว่างโล่งไปหมด ลมเย็นยะเยือกพัดโชยมาเป็นระลอก ทั้งลมที่พัดผ่านมาทางห้องโถง ทั้งลมที่พัดลอดระเบียง บวกกับนกกลางคืนในผืนป่าที่ส่งเสียงร้องเป็นระยะ ทำเอาหลิ่วชื่อเฉิงหวาดผวาจนปากสั่น ต่อให้จะจุดไฟกองใหญ่ เขาก็ยังพยายามทำตัวแนบชิดติดกับชายฉกรรจ์เคราดก เพราะเขามักรู้สึกว่าพี่ชายท่านนี้หน้าตาดุร้ายที่สุด ต้องสามารถสยบภูตผีหรือสิ่งชั่วร้ายได้แน่นอน เด็กหนุ่มอย่างเฉินผิงอันและจางซานเฟิงน่าจะเอาไม่อยู่
ส่วน ‘ผีเฒ่าเจ้าสำอาง’ ที่มาพักพิงอยู่ในร่างของเขาชั่วคราว หลิ่วชื่อเฉิงไม่เคยรู้สึกว่าอีกฝ่ายร้ายกาจสักเท่าไหร่ แม้แต่เทพเซียนขอบเขตโอสถทองก็ยังไม่ใช่ ดีแต่คุยโวโอ้อวดอยู่เบื้องหลัง หากร้ายกาจจริงจะถูกคนกำราบมานานหลายปีขนาดนั้นหรือ ยังต้องให้เขาหลิ่วชื่อเฉิงไปช่วยอีกหรือไง? ดังนั้นจะแข็งแกร่งได้สักเท่าไหร่กันเชียว? อีกอย่างหากเป็นเทพเซียนตัวจริง ใครบ้างที่ไม่มีมาดของเซียน มีสง่าราศีอันโดดเด่น ใครแม่งจะสวมชุดเต๋าสีชมพูหวานแหววเดินกรีดกรายไปตามตลาด? เขาหลิ่วชื่อเฉิงคนหนึ่งล่ะที่จะรู้สึกอับอายขายหน้าหากต้องทำอย่างนั้น
ทุกสิ่งที่หลิ่วชื่อเฉิงพบเห็นหรือได้ยิน เจ้าคนที่มีฉายาว่า ‘ผีเฒ่าเจ้าสำอาง’ ซึ่งถูกเขาเก็บมาผู้นั้นล้วนเห็นและได้ยินอย่างชัดเจนตามไปด้วย
แต่หลังจากที่ผีเฒ่าสวมชุดชมพูปรากฏกายแทนที่เขา มีหลายครั้งที่หลิ่วชื่อเฉิงเหมือนจะเสียความทรงจำไปอย่างสิ้นเชิง จนกระทั่งผีเฒ่ายินดีคืนร่างให้เขา อาการเหล่านั้นถึงจะหายไป
นี่ทำให้หลิ่วชื่อเฉิงกัดฟันกรอดๆ ด้วยความเจ็บแค้น วันหน้าหากเขาแต่งภรรยาที่งามล่มเมือง มีอนุภรรยางดงามปานบุปผาปานหยกสลักหลายต่อหลายบ้าน เพิ่มด้วยสาวใช้ห้องข้างอวบอิ่มเพรียวบางคอยห้อมล้อม แล้วถ้าตนขึ้นเตียง เพิ่งจะลูบคลำมือน้อย อยู่ดีๆ หน้ามืดสติดับวูบ ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น พอลืมตาขึ้นมาอีกทีเป็นตอนกลางวันสว่างจ้า ตัวเองสวมเสื้อผ้าลงจากเตียงมาเรียบร้อยแล้ว นั่นจะเป็นเรื่องเฮงซวยถึงเพียงใด? ประเด็นสำคัญคือความขมขื่นที่เป็นเรื่องส่วนตัวขนาดนี้ เขาหลิ่วชื่อเฉิงจะระบายให้ใครฟังก็ไม่มีประโยชน์
หลิ่วชื่อเฉิงยกก้นขึ้นมานั่งยอง ยื่นมือไปอังไฟหาความอบอุ่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม เขากลุ้มใจจริงๆ นะ
ภายใต้ม่านรัตติกาลในวัดร้าง หลิ่วชื่อเฉิงเงยหน้ามองซ้ายมองขวาก็ยิ่งกลัวมากกว่าเดิม ยังดีที่สวีหย่วนเสียกำลังดื่มเหล้า นักพรตจางน้อยที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งชักกระบี่ไม้ท้อออกจากฝัก กำลังฝึกวิชากระบี่ จึงพอจะทำให้หลิ่วชื่อเฉิงวางใจได้บ้างเล็กน้อย ส่วนเฉินผิงอันกำลังไปหากิ่งไม้แห้งมาก่อไฟหุงข้าวจึงอยู่ห่างไปไกล หลิ่วชื่อเฉิงรู้สึกนับถือเด็กหนุ่มแซ่เฉินคนนี้จากใจจริง ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรง แถมยังเป็นคนหัวดื้อมากคนหนึ่ง ทุกวันจะต้องฝึกวิชาหมัดสองท่านั้นซ้ำไปซ้ำมา ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือน หลิ่วชื่อเฉิงรู้สึกว่าหากตัวเองตั้งใจเรียนหนังสือได้สักครึ่งหนึ่งของการฝึกหมัดเฉินผิงอัน เขาแม่งก็คงได้เป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิตในสำนักศึกษากวานหูไปนานแล้ว
เพียงไม่นานหลิ่วชื่อเฉิงก็เห็นว่าเฉินผิงอันวิ่งเหยาะๆ กลับมา นอกจากหอบกิ่งไม้แห้งหอบใหญ่มาด้วยแล้ว ยังถือวัตถุโบราณเก่าแก่สูงประมาณสี่ห้าฉื่อมาอีกชิ้นหนึ่ง สอบถามว่ามันคืออะไรกันแน่ มีค่าหรือไม่ หลิ่วชื่อเฉิงเห็นแล้วก็เหลือกตา กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “นั่นมันแท่นตะเกียงแบบยาว เอาไว้วางตะเกียงน้ำมัน ครอบครัวยากจนจะใช้แต่แบบสั้น ไม่ได้พิถีพิถันอะไรมากนัก ตามบันทึกในเกร็ดพงศาวดาร อดีตเมื่อนานมากมาแล้ว วัดวาอารามที่มีมากมายดุจผืนป่าของลัทธิพุทธเคยมีเงินมากที่สุดในหลายๆ ราชวงศ์ของแจกันสมบัติทวีป มีเงินยิ่งกว่าฮ่องเต้เสียอีก นี่ไม่ถือว่าขัดต่อสวรรค์หรอกหรือ ดังนั้นจึงมีการพยายามโค่นล้มพระพุทธศาสนาอยู่หลายครั้ง แท่นวางตะเกียงแบบยาวในมือเจ้าชิ้นนี้ หากยังใหม่เอี่ยมก็ถือว่าพอจะมีค่า แต่ตอนนี้เป็นเพียงแค่โลหะผุๆ ชิ้นหนึ่ง มีค่าแค่ไม่กี่อีแปะ”
เฉินผิงอันรู้สึกเสียดายเล็กน้อย หลังวางกิ่งไม้แห้งลงแล้วก็วิ่งเอาแท่นวางตะเกียงกลับไปวางไว้ที่เดิม
หลิ่วชื่อเฉิงกุมขมับ รู้สึกว่าการที่ตัวเองต้องมาเดินทางในยุทธภพร่วมกับเด็กบ้านนอกแบบนี้ช่างเป็นเรื่องที่น่าอายนัก
หลังจากหุงข้าวและทำกับข้าวเสร็จแล้ว หลิ่วชื่อเฉิงผู้เลือกกินและมากเรื่องที่กินอาหารค่ำเสร็จแล้วก็เตรียมเอาผ้ามาปูนอนหลับฝันหวาน
ชายฉกรรจ์เคราดกดื่มเหล้าจนพอใจแล้วก็ทิ้งตัวไปด้านหลัง เริ่มส่งเสียงกรนดังสนั่นราวฟ้าผ่า
วันนี้นักพรตจางซานเฟิงรับผิดชอบเฝ้ายามครึ่งคืนแรก เฉินผิงอันเฝ้าครึ่งคืนหลัง
เฉินผิงอันช่วยเก็บเศษซากเทวรูปของราชาแห่งสวรรค์ทั้งหลายที่ผุพังมารวมกัน แล้วแยกนำไปกองไว้ในมุมที่สามารถบังลมบังฝนได้ ทำเรื่องพวกนี้เสร็จก็เริ่มฝึกเดินนิ่งบนพื้นที่เป็นหลุมเป็นบ่อ
ตอนนี้หมัดของเฉินผิงอัน หากกล่าวตามคำพูดของหลิ่วชื่อเฉิงก็คือออกหมัดครั้งหนึ่งช้าจนเขานอนหลับเต็มอิ่มไปงีบหนึ่ง
คืนนี้ช่วงหลังของการฝึกหมัด อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็เริ่มเพิ่มความเร็ว สุดท้ายก็เร็วราวสายฟ้าแลบ รอบกายเหมือนมีพายุเกิดขึ้น ครู่หนึ่งต่อมาเฉินผิงอันถึงชะลอความเร็วลง
จางซานเฟิงขยับมามองใกล้ๆ ครู่หนึ่งก็ถามขึ้นยิ้มๆ “ทำไม มีเรื่องหงุดหงิดใจหรือ?”
เฉินผิงอันยืนนิ่งเก็บหมัด กล่าวอย่างจนใจ “สัมผัสโดนธรณีประตูได้เล็กน้อย แต่กลับข้ามมันไปไม่ได้ ไม่ขึ้นไม่ลง ก็เลยรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง”
จางซานเฟิงยิ้มพูดว่า “นี่หมายความว่าเจ้าจะฝ่าทะลุขอบเขตแล้วน่ะสิ ปรมาจารย์น้อยขอบเขตสี่วิถีวรยุทธ์ ต่อให้เป็นในยุทธภพอุตรกุรุทวีปของพวกเราก็เรียกว่าแกร่งกร้าวมากแล้ว”
เฉินผิงอันถอนหายใจ “ก่อนจะออกจากบ้านมีคนบอกกับข้าว่า ก่อนที่จะถึงนครมังกรเฒ่า ทางที่ดีที่สุดคือสามารถเลื่อนสู่ขั้นขอบเขตหลอมลมปราณของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวให้ได้”
แล้วทันใดนั้น
กระดิ่งสดับปีศาจที่จางซานเฟิงวางไว้บนห่อสัมภาระก็พลันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เสียงกระดิ่งดังลั่น
จางซานเฟิงหัวใจหดรัดตัวแน่น “มีปราณปีศาจขยับเข้ามาใกล้วัด!”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เจ้าเก็บกระดิ่งสดับปีศาจลงไปก่อน จะได้ไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น”
ชายฉกรรจ์เคราดกลุกขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็ว หัวเราะร่าเสียงดัง “กิจการของพวกเราสามคนช่างรุ่งเรืองซะจริง โชคลาภมาเยือนแล้ว จะขวางก็ขวางไม่อยู่!”
หลังจากเสียงหัวเราะผ่านพ้นไป สวีหย่วนเสียก็ลูบเคราครุ่นคิด มือสองข้างวางไว้บนด้ามดาบสั้นยาวตรงเอว กล่าวเสียงหนัก “แต่จำไว้ว่า กำจัดปีศาจปราบมารก็จริง ทว่ารักษาชีวิตต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง”
เฉินผิงอันกับจางซานเฟิงหันมายิ้มให้กัน นักพรตหนุ่มหัวเราะหึหึ “ข้ายังมียันต์เทพเดินทางอีกแผ่นหนึ่ง”
เฉินผิงอันเงียบไปครู่หนึ่งก็กล่าวเสียงอัดอั้น “แต่ข้าวิ่งได้เร็ว!”
—–
บทที่ 236.1 ดอกไม้เหลืองของบ้านเกิดเป็นสีเหลืองอร่าม
โดย
ProjectZyphon
เขตการปกครองหลงเฉวียน ตระกูลเซี่ยในเมืองเล็ก
เด็กหนุ่มคิ้วยาวที่ในมือถือตำราไว้หลายเล่มวิ่งเข้ามาในลานบ้าน กล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า “ท่านบรรพบุรุษ วันนี้ข้าเรียนวิชาดาบอย่างใหม่มาจากอาจารย์ด้วย”
เทียนจวินเซี่ยสือพยักหน้ารับ วางตำราในมือลง
เวลาที่พูดคุยกับคนอื่น ต่อให้เป็นเด็กรุ่นหลังที่มีอายุห่างกันหลายชั่วคนอย่างเด็กหนุ่มคนนี้ เซี่ยสือก็ยังคงมีท่าทางจริงจังเคร่งขรึม ไม่มีทางที่จะเหลียวซ้ายแลขวา จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ตอนนี้เด็กหนุ่มยังไม่รู้ถึงความหมายของท่าทางเช่นนี้ สิ่งที่เขาคิดถึงยังคงเป็นยศเทียนจวินแห่งลัทธิเต๋าของท่านบรรพบุรุษ คิดถึงกิจการยิ่งใหญ่จากการเดินทางลงใต้ของเขาในครั้งนี้ รวมไปถึงจมจ่อมอยู่ในความปิติยินดีอันมากล้นที่ตระกูลเซี่ยจะได้ลุกผงาดขึ้นมา สำหรับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ถึงอย่างไรเขาก็อายุยังน้อย จึงไม่ได้มีความรู้สึกอะไรมากนัก
เซี่ยสือรับหนังสือเหล่านั้นมาวางลงบนโต๊ะหิน แล้วทำมือบอกเป็นนัยให้เด็กหนุ่มนั่งลง
เด็กหนุ่มนั่งลงเบาๆ แล้วก็ถามว่า “ท่านบรรพบุรุษ เข้าตาท่านบ้างหรือไม่?”
เซี่ยสือตบที่ตำราเหล่านั้นเบาๆ ตอบด้วยรอยยิ้ม “จะไม่เข้าตาได้อย่างไร หากไปสอบเพื่อเอาตำแหน่ง ข้าก็มีคุณสมบัติให้สอบระดับมณฑลได้อย่างไม่มีปัญหา”
แม้ว่ารูปลักษณ์ของเซี่ยสือจะบ้านๆ ไม่ต่างจากชาวไร่ชาวนาในเมืองเล็ก แต่อันที่จริงแล้วเขากลับอ่านตำรามาแล้วนับไม่ถ้วน มีความรู้ครอบคลุมสามลัทธิ ช่วงเวลาที่อยู่ในบ้านเก่าตระกูลเซี่ยนี้ เขาก็เอาแต่อ่านตำราอยู่ในลานบ้านขนาดเล็ก ทุกวันที่เด็กหนุ่มคิ้วยาวกลับมาจากการหลอมกระบี่ ตีเหล็กที่ร้านตระกูลหร่วน จะต้องเอาตำราสองสามเล่มที่วางขายในร้านหนังสือร้านใหม่ของเมืองเล็กติดมือกลับมาด้วย เซี่ยสือบอกกับเด็กหนุ่มคิ้วยาวไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า ไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่ที่ตำราของลัทธิเต๋าเท่านั้น ไม่ว่าหนังสือแบบไหนก็ซื้อมาได้ทั้งหมด
เซี่ยสือพลันลุกขึ้นยืน เด็กหนุ่มคิ้วยาวจึงลุกตามโดยอัตโนมัติ หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่ยืนเฉยๆ กันอยู่อย่างนี้ประมาณครึ่งก้านธูป
เด็กหนุ่มถึงได้สังเกตเห็นด้วยความตกตะลึงพรึงเพริดว่า มารดาของตนที่ยิ้มแย้มอ่อนหวานพา ‘นักพรตหนุ่ม’ คนหนึ่งมาที่ลานบ้าน
รอจนสตรีแต่งงานแล้วจากไป เซี่ยสือกำลังจะพูดอะไรบางอย่างก็ถูกนักพรตสวมกวานดอกบัวที่มาเยือนถึงบ้านทำมือบอกให้นั่งลง
ลู่เฉินนั่งแปะลงไปบนเก้าอี้หิน ใช้ฝ่ามือเป็นพัด โบกให้ลมเย็นโชยมาเป็นระลอกพลางเอ่ยสั่งความเซี่ยสือเหมือนพูดคุยเรื่องปกติทั่วไป “รอจนเรื่องในแจกันสมบัติทวีปเสร็จสิ้นแล้ว หกสิบปีหลังจากที่เจ้ากลับไปยังกุรุทวีป จงช่วยดูแลเฮ้อเสี่ยวเหลียงให้มากหน่อย เจ้าไม่จำเป็นต้องให้ความช่วยเหลืออะไรนาง แค่รับรองว่านางจะไม่ตายก็พอ รอจนนางหยัดยืนได้มั่นคง เปิดสำนักตั้งพรรคเป็นของตัวเองได้แล้ว ถึงเวลานั้นเจ้าสามารถเพิ่มบุปผาบนผ้าแพร จะคนก็ดี จะเงินก็ช่าง หรือจะเป็นสมบัติอาคมอะไรก็ได้ แสดงความเป็นมิตรต่อนางให้มาก พวกเจ้าสองคนก็ถือว่าผูกบุญสัมพันธ์ต่อกันแล้ว”
เซี่ยสือลุกขึ้นยืนอีกครั้ง กุมมือคารวะ “น้อมรับคำบัญชาของเจ้าลัทธิ!”
“นิสัยเคร่งขรึมตายตัวของเจ้านี่ไม่น่าอภิรมย์เอาซะเลย”
ลู่เฉินเอ่ยเย้าหนึ่งคำก็หันไปยิ้มตาหยีให้เด็กหนุ่ม “เจ้าเด็กคิ้วยาว มาๆๆ ข้ามีของขวัญก่อนจากจะมอบให้เจ้าชิ้นหนึ่ง”
เด็กหนุ่มคิ้วยาวตัวสั่น ทั้งดีใจและทั้งกริ่งเกรง รีบหันไปมองบรรพบุรุษเซี่ยสือ
เซี่ยสือพยักหน้าบอกเป็นนัยให้เขารับของขวัญมาอย่างสบายใจ
ในความเป็นจริงแล้วผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบของห้าขอบเขตบนจะไม่ค่อยกล้าประทานโชควาสนาให้ใครส่งเดช
แต่ของที่เจ้าลัทธิลู่เฉินจะมอบให้คนอื่นจะดีหรือเลว ล้วนมีจำนวนที่กำหนดไว้แน่ชัดอยู่แล้ว จะขาดหรือเกินไม่ได้เด็ดขาด
ต่อหน้าเขาเซี่ยสือ ของที่มอบให้เด็กหนุ่มคิ้วยาวจะยังเป็นของที่เลวร้ายได้อีกหรือ?
ย่อมต้องถูกกำหนดมาแล้วว่า เป็นเรื่องดีอันดับหนึ่งในใต้หล้าแน่นอน!
และนี่ก็ถือเป็นโชควาสนาของตัวเด็กหนุ่มเอง
ลู่เฉินพลิกข้อมือ เพียงไม่นานก็มีเจดีย์วิเศษเจ็ดสีที่ใสแวววาวโผล่มาหนึ่งชิ้น ประกายแสงบนตัวเจดีย์ไหลเวียนวนระยิบระยับ มหัศจรรย์จนมิอาจพรรณนา
หากมองอย่างละเอียดจะสังเกตเห็นว่าเจดีย์เล็กๆ ที่สูงแค่ครึ่งฉื่อชิ้นนี้ ลำพังเพียงแค่กรอบป้ายที่แขวนตามจุดต่างๆ ด้านนอกก็มีมากถึงสามสิบหกป้าย
เซี่ยสือที่เพิ่งจะนั่งลงลุกพรวดขึ้นอีกครั้ง เอ่ยกับเด็กหนุ่มเสียงหนัก “ยังไม่คุกเข่าขอบคุณอีก!”
ครั้งนี้ลู่เฉินไม่ได้ห้ามปราม ปล่อยให้เด็กหนุ่มที่ประคองเจดีย์ไว้ในมือคุกเข่าอย่างมึนงง ก่อนจะโขกหัวคำนับดังปั่กๆๆ สามครั้ง
ลู่เฉินยิ้มบางๆ กล่าวว่า “รู้ว่าเจ้ามีนิสัยอ่อนโยน ไม่ต้องกังวลว่าเจ้าจะใช้อำนาจรังแกคนอื่น เจดีย์เล็กชิ้นนี้สามารถสยบปีศาจและสิ่งชั่วร้ายทั้งหมดในโลกที่มีระดับต่ำกว่าห้าขอบเขตบนลงมาได้ พอจะถือว่าเป็นอาวุธเซียนได้ครึ่งหนึ่งกระมัง เพียงแต่จงจำไว้ข้อหนึ่งว่า ภูตผีวัตถุหยินและสิ่งชั่วร้ายที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ไม่แน่เสมอไปว่าจะเลวร้ายที่สุด จุดที่เกิดริ้วคลื่นกระเพื่อมในใจคนต่างหากที่มีความเป็นไปได้มากว่าจะมีจิตมารปรากฎขึ้น”
เด็กหนุ่มหน้าแดงหูแดง ตอบรับเสียงดังกังวาน “ผู้น้อยจะจดจำไว้ให้ขึ้นใจ!”
ลู่เฉินยังคงพูดยิ้มๆ ด้วยท่าทางเกียจคร้านดังเดิม “วันหน้าเมื่อเจ้าเรียนวิชากระบี่กับหร่วนฉงจนประสบความสำเร็จ ในเมื่อเป็นผู้ฝึกกระบี่ก็ควรเดินทางไปให้ทั่วสารทิศ ถึงเวลานั้นก็หัดสังเกตใจคนให้มาก การที่มอบเจดีย์ชิ้นนี้ให้กับเจ้าก็เพื่อที่เจ้าจะไม่ต้องกังวลกับเรื่องนอกตัวมากเกินไป ใคร่ครวญถึงเรื่องของตัวเองให้มาก ลัทธิพุทธมีคำเรียกอย่างหนึ่งว่าจื้อเหลี่ยวฮั่น หมายถึงผู้ที่สนใจแต่ตน ไม่สนใจสถานการณ์ส่วนรวม น่าสนใจมากเลยล่ะ ใช่แล้ว เซี่ยสือ จำไว้ว่าช่วยหาวัตถุจื่อชื่อที่ดีๆ ให้เด็กคนนี้ชิ้นหนึ่งด้วย ไม่ช่วยดึงต้นหญ้าให้เติบโตเป็นเรื่องที่ดี แต่ในฐานะผู้อาวุโส ตระหนี่ถี่เหนียวเกินไปก็ไม่ดี”
เซี่ยสือเตรียมจะลุกขึ้นยืนรับคำสั่งอีกครั้ง
ลู่เฉินฉุนจัดจนกลายเป็นขำ “เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะตบเจ้าให้ตายด้วยฝ่ามือเดียว ไม่จบไม่สิ้นสักทีนะ!”
เซี่ยสือจึงนั่งลงที่เดิมแต่โดยดี
ลู่เฉินครุ่นคิด เงียบไปครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นยืน เขาไม่เหลือรอยยิ้มอีกต่อไป แต่กล่าวอย่างจริงจังว่า “จำไว้ให้ดีว่าวันหน้าต้องปกป้องหลี่ซีเซิ่งให้ดี หากเกิดปัญหา ต่อให้ข้าผู้เป็นนักพรตต้องทำผิดกฎของทั้งสองฝ่ายก็จะต้องลงจากป๋ายอวี้จิงย้อนกลับมายังใต้หล้าไพศาลแห่งนี้เพื่อเอาคำอธิบายจากเจ้าเซี่ยสือ!”
เซี่ยสือที่เคยถูกเตือนไปก่อนแล้ว คราวนี้ไม่รู้ว่าจะนั่งหรือจะลุกขึ้นยืนดี
ลู่เฉินตบหน้าผากตัวเอง “มีศิษย์ลูกศิษย์หลานที่ซื่อบื้ออย่างเจ้า มิน่าเล่าควันธูปสายของข้าผู้เป็นนักพรตถึงได้ไม่โชติช่วงเอาซะเลย”
ลู่เฉินเงยหน้า ยกมือขึ้นดีดนิ้วลงบนกวานดอกบัวเบาๆ พูดเสียงค่อยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “นี่ๆๆ ชีสือ อยู่หรือไม่ ถ้าอยู่ก็รบกวนเจ้าช่วยเปิดประตูส่งแขกหน่อย!”
เซี่ยสือหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย รีบเงยหน้ามองไปตามเส้นสายตาของนายท่านเจ้าลัทธิ
ด้วยมรรคาถาอันยิ่งใหญ่ไพศาลของผู้นำลัทธิเต๋าหนึ่งแคว้นของเขา พยายามมองไปสุดสายตาแล้วก็ยังได้แค่มองทะลุทะเลเมฆหนาชั้นไปเห็นริ้วคลื่นกระเพื่อมเล็กน้อยตรงมุมหนึ่งของม่านฟ้าเท่านั้น
ร่างของลู่เฉินวูบหายไป
พริบตาเดียว ‘ประตูบานเล็ก’ ที่เปิดอ้าอยู่บนม่านฟ้าก็ปิดตามไปด้วย
และลู่เฉินหนึ่งในลูกศิษย์สามคนของมรรคาจารย์เต๋าก็ไปจากใต้หล้าไพศาล กลับคืนสู่ใต้หล้ามืดสลัวอย่างเงียบเชียบเช่นนี้
ลู่เฉินไปจากใต้หล้าไพศาล แทบจะไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ แต่เมื่อไปอยู่ที่ใต้หล้ามืดสลัว นายท่านเจ้าลัทธิที่สวมกวานดอกบัวผู้นี้กลับสร้างความอึกทึกครึกโครมอย่างยิ่งใหญ่
บนม่านฟ้าเช่นเดียวกัน เพียงแต่เปลี่ยนมาเป็นใต้หล้ามืดสลัวซึ่งเป็นใต้หล้าที่ลัทธิเต๋าเป็นผู้บัญชาการณ์ ม่านฟ้านั้นถูกแหวกออกเป็นโพรงใหญ่เท่าภูเขาอยู่กลางทะเลเมฆสีทอง แสงสีทองเส้นหนึ่งที่ใหญ่เท่าภูเขากระแทกตูมลงบนยอดหอเรือนสูงแห่งหนึ่งที่สูงถึงหนึ่งจั้ง
ปัญญาชนวัยชราผู้หนึ่งที่มือหนึ่งถือไม้เท้า บนหลังสะพายหีบหนังสือเดินอยู่บนทางภูเขาที่ทอดยาวของใต้หล้ามืดสลัว ข้างกายคือเด็กหนุ่มที่เป็นเด็กรับใช้คนใหม่ซึ่งเขาเพิ่งรับตัวมา ผู้เฒ่าร่างผอมบางคนนี้ยกมือขึ้นบังหน้าผาก แหงนหน้ามองไปแล้วคลี่ยิ้ม “ดูท่าจะทำให้ฉีจิ้งชุนโมโหไม่เบา”
เด็กหนุ่มถามด้วยความประหลาดใจ “อาจารย์ ฉีจิ้งชุนคือใครหรือ?”
ผู้เฒ่าผอมบางตอบยิ้มๆ “คือบัณฑิตคนหนึ่งที่อยู่ในบ้านเกิดของข้า อายุไม่มาก แต่ความรู้สูงมาก”
คำถามถัดมาของเด็กหนุ่มค่อนข้างไร้เดียงสา “สูงแค่ไหนหรือ?”
ผู้เฒ่าผอมบางคิดแล้วก็ตอบอย่างขอไปที “บ้านเกิดของเจ้ามีสุภาษิตคำหนึ่งบอกว่า น้ำท่วมหลังเป็ดไม่ได้ใช่ไหม”
เด็กหนุ่มพึมพำ “ดูท่าจะไม่สูงเท่าไหร่”
ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดังก้อง “บัณฑิตที่แท้จริงจะมีความเพียรพยายามแค่ในด้านการแสวงหาความรู้ที่สูงส่งยาวไกลอย่างเดียวไม่ได้ ทุกสิ่งที่ได้เรียนรู้มายังต้องมากพอให้พาชาวบ้านเดินขึ้นเขาลงห้วยไปพร้อมกันด้วย นอกจากจะทำให้ตัวเองมีสถานที่ที่สงบใจได้แล้ว บัณฑิตยังต้องทำให้ชาวบ้านมีสถานที่ที่สุขกายด้วย หาไม่แล้วต่อให้ความรู้จะสูงแค่ไหน เขียนบทความได้งดงามเท่าไหร่ก็มีประโยชน์แค่กับตัวเอง ไม่ได้ช่วยอะไรคนอื่นได้เลย”
เด็กหนุ่มกล่าวอย่างจนใจ “อาจารย์ ข้าว่าหลักการของท่านก็สูงมากเหมือนกัน”
ผู้เฒ่าร่างผอมบางยื่นมือมาเขกศีรษะของเด็กหนุ่ม จากนั้นก็ถอนหายใจอยู่กับตัวเอง
ผู้เฒ่านึกถึงฤดูกาลที่บ้านเกิดของตัวเอง ตอนนี้ทุกพื้นที่คงมีแต่ดอกไม้สีเหลืองบานสะพรั่งแล้ว
……
หลังจากที่ลู่เฉินไปจากใต้หล้าแห่งนี้ เซี่ยสือก็จำต้องยอมรับว่า ถึงแม้จะผิดหวังอย่างมาก แต่สภาพจิตใจของเขากลับผ่อนคลายกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
ก่อนหน้านี้ตอนที่ลู่เฉินยังอยู่ในเมืองเล็ก อันที่จริงเซี่ยสือกระวนกระวายไม่น้อย กลัวว่าจะทำอะไรผิดพลาด ไม่ทันระวังถูกนายท่านเจ้าลัทธิผู้นั้นมาเห็นเข้าแล้วจดจำไว้ขึ้นใจ
เซี่ยสือพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ พลังอำนาจทั่วร่างของเขาพลันแปรเปลี่ยน เขายืนอยู่ในลานบ้าน ทอดสายตามองไกลไปยังท่าเรือภูเขาอู่ถงที่อยู่ในภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตก แล้วไม่นานตรงนั้นก็มีเรือข้ามทวีปขนาดใหญ่มหึมาอันดับหนึ่งของอุตรกุรุทวีปปรากฎขึ้น บนเรือมีบุคคลยิ่งใหญ่ที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทวีปอยู่หลายท่าน การที่เรือคุนของภูเขาต่าเจี้ยวถูกโจมตีตรงพื้นที่ตอนกลางของแจกันสมบัติทวีปในครั้งนี้ นอกจากบุรพาจารย์หลายท่านของภูเขาต่าเจี้ยวที่ถูกระดมพลแล้ว ยังมีกองกำลังใหญ่อีกหลายฝ่ายที่พร้อมใจกันเดินทางลงใต้ ภายนอกบอกว่าเดินทางมาเพื่อตรวจสอบเรื่องเรือจม แต่ความจริงนั้นเป็นอย่างไร นอกจากภูเขาต่าเจี้ยวที่มีกองกำลังเล็กสุดซึ่งถูกปิดหูปิดตามาตั้งแต่ต้นจนจบแล้ว เซี่ยสือรู้ดี ชุยฉานราชครูต้าหลีรู้ดี ผู้อาวุโสสองท่านที่เพิ่งขึ้นเรือมาใหม่ก็รู้ดีอยู่แก่ใจ
ผู้เฒ่าเจี้ยนเวิ่งก็คือหมากที่สำคัญที่สุด คือทหารที่ต้องพลีชีพ
ต่อให้เป็นที่อุตรกุรุทวีปก็มีคนน้อยมากที่รู้ว่า ผู้ฝึกตนอิสระสวมหมวกขนเตียวคนนั้น แท้จริงแล้วก็คือ ‘เหยือกกระบี่’ (เจี้ยนเวิ่ง) ที่เป็นสมบัติอาคม ในขณะเดียวกันกับที่ช่วยคนอื่นหลอมกระบี่ ก็ได้บ่มเพาะปราณกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้ สั่งสมมานานหลายร้อยปี ปราณกระบี่ที่อยู่ในเหยือกกระบี่ถูกรวบรวมไว้จนแน่นขนัดมานานแล้ว ดังนั้นการโจมตีอย่างเต็มกำลังจากผู้เฒ่าเจี้ยนเวิ่งโดยจ่ายค่าตอบแทนด้วยการที่ ‘เหยือกกระบี่’ พังทลายลงอย่างสิ้นเชิง ก็แทบจะเทียบเท่าได้กับการโจมตีอย่างเต็มกำลังของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง
มากพอจะโจมตีให้เรือคุนของภูเขาต่าเจี้ยวลำนั้นจมลง
ทั้งหมดนี้ล้วนเพียงเพื่อให้เซี่ยสือเดินก้าวที่สองได้อย่างสมเหตุสมผล ให้เทียนจวินลัทธิเต๋าจากอุตรกุรุทวีปท่านนี้ได้ไปเยือนพื้นที่แถบเหนือของสำนักศึกษากวานหู นั่งบัญชาการณ์ที่แห่งนั้นด้วยตัวเอง ตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างเหนือใต้ของแจกันสมบัติทวีปลงอย่างสิ้นเชิง ไม่ให้ ‘แนวโน้มของสถานการณ์’ ที่ต้าหลีจะฮุบเอาทิศเหนือทั้งแถบของแจกันสมบัติทวีปเกิดข้อผิดพลาดใดๆ
—–
บทที่ 236.2 ดอกไม้เหลืองของบ้านเกิดเป็นสีเหลืองอร่าม
โดย
ProjectZyphon
เซี่ยสือตบไหล่เด็กหนุ่ม “ไปที่แห่งหนึ่งเป็นเพื่อนข้าหน่อย”
เด็กหนุ่มคิ้วยาวติดตามบรรพบุรุษของตัวเองไปที่ร้านตระกูลหยาง ตอนที่เดินออกมาบนร่างของเขาก็มี ‘วัตถุจื่อชื่อ’ เพิ่มขึ้นมาหนึ่งชิ้น รวมไปถึงคำสัญญาข้อหนึ่งที่หยางเหล่าโถวมอบให้
และค่าตอบแทนที่ต้องจ่าย ก็คือคำสัญญาข้อหนึ่งอย่างเท่าเทียมกันจากเทียนจวินเซี่ยสือ
กลับมาถึงลานบ้านขนาดเล็ก เซี่ยสือก็เล่าให้เด็กหนุ่มคิ้วยาวฟังเกี่ยวกับต้นสายปลายเหตุที่เรือคุนเกิดเรื่อง
เด็กหนุ่มเห็นว่าบรรพบุรุษมีสีหน้าเคร่งเครียดจึงถามด้วยความใคร่รู้ “ท่านบรรพบุรุษ ในเมื่อแจกันสมบัติทวีปของพวกเราคือทวีปที่เล็กที่สุดของใต้หล้าไพศาล อีกอย่างท่านบรรพบุรุษเองก็เป็นผู้นำแห่งลัทธิเต๋าของทวีปที่ใหญ่โตอย่างอุตรกุรุทวีป แล้วยังมีสิ่งใดให้ท่านต้องเป็นกังวลอีก?”
เซี่ยสือส่ายหน้าเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าคิดเกี่ยวกับเรื่องทางโลกง่ายเกินไปแล้ว วันหน้าย่อมต้องถูกคนนับไม่ถ้วนตะโกนใส่หน้าว่า ‘กุรุทวีปทำอย่างนี้เพราะคิดรังแกแจกันสมบัติทวีปของเราที่ไม่มีทางสู้หรือ?’ ในบรรดาคนที่พูดแบบนี้ เกินครึ่งดีแต่โบกธงโห่ร้องปลุกระดม ดีแต่นั่งดูไฟชายฝั่ง อีกเกือบครึ่งที่เหลือจะหมายมั่นปั้นมืออยากลงมือกับเจ้า และในบรรดาคนอีกเกือบครึ่งนี้ก็จะมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่กรูกันมาจากสี่ด้านแปดทิศด้วยเหตุผลและเจตจำนงที่แตกต่างกันออกไป ในคนกลุ่มนี้จะต้องมียอดฝีมือที่แท้จริงซุกซ่อนอยู่ ยอดฝีมืออย่าง…คนแบบเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะ อีกทั้งคนเหล่านี้ เมื่อถึงท้ายที่สุดจะยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ว่าตอนนี้เจ้าแค่รอดูอย่างเดียวก็พอ สรุปก็คือไม่ว่าเรื่องนี้จะพัฒนาไปในทิศทางใด ก่อนหน้าที่เจ้าจะกลายเป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนก็อย่าได้ยื่นมือเข้าแทรก แค่ติดตามอยู่ข้างกายหร่วนฉง ฝึกวิชากระบี่ให้สบายใจไปก่อน”
เด็กหนุ่มคิดหนักเหมือนมีเรื่องมากมายให้กังวลใจ เซี่ยสือเห็นเข้าก็หลุดหัวเราะ “ต่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด ก็ไม่มีทางปรากฏภายในปีครึ่งปีนี้ เจ้าจะเป็นกังวลไปทำไม?”
เด็กหนุ่มที่กลัดกลุ้มเป็นทุกข์หมุนกายเดินไปทางประตูเรือน “ท่านบรรพบุรุษ ข้าไปฝึกวิชากระบี่ก่อนล่ะ”
เซี่ยสือนั่งอยู่ข้างโต๊ะหินเพียงลำพัง หลับตาลงคำนวณแนวโน้มของสถานการณ์ในแจกันสมบัติทวีปเงียบๆ
เท้าของเซี่ยสือและเด็กหนุ่มคิ้วยาวก้าวออกจากร้านตระกูลหยางได้ไม่นานเท่าไหร่ เฉาซีก็เดินเข้ามาที่ร้านยา ลูกจ้างในร้านไม่ได้แปลกใจนัก ตอนนี้เมืองเล็กเจริญรุ่งเรือง คนมีเงินมีให้เห็นมากมาย เพิ่มเจ้าอ้วนคนนี้มาสักคนก็ไม่ได้มีอะไรต่างจากเดิม
เฉาซีสอบถามด้วยรอยยิ้มว่าผู้อาวุโสหยางเหล่าอยู่ที่เรือนหลังหรือไม่ ลูกจ้างหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังชั่งน้ำหนักตัวยาอยู่ตรงชั้นวางยาชำเลืองตามามองเศรษฐีร่างอ้วนฉุคนนี้ แล้วพยักเพยิดคางไปยังประตูหลังของห้องโถงใหญ่ที่มีม่านไม้ไผ่ห้อยแขวนอยู่เพราะคร้านจะพูดให้มากความ เฉาซีเอ่ยขอบคุณแล้วเดินไปทางนั้นช้าๆ เลิกผ้าม่านขึ้นก็เห็นเพดานเปิดอ้ารูปทรงสี่เหลี่ยม รวมถึงระเบียงสี่เส้นที่อยู่ใต้ชายคา เมื่อเทียบกับบ้านบรรพบุรุษสกุลเฉาแล้วดูทันสมัยและงดงามมากกว่าเล็กน้อย
ในระเบียงทางเดินที่อยู่ตรงข้ามกับห้องหลักของเรือนด้านหลังมีม้านั่งยาวตัวหนึ่งวางอยู่ ราวกับว่าเตรียมไว้ให้แขกอย่างเฉาซีโดยเฉพาะ
นอกห้องหลักที่อยู่ฝั่งตรงข้าม หยางเหล่าโถวกำลังนั่งสูบยาอยู่บนม้านั่ง กระบอกไม้ไผ่สีเขียวถูกกาลเวลาขัดเกลาให้กลายเป็นสีออกเหลืองนานแล้ว มองผ่านม่านควันยาสูบออกไป ผู้เฒ่ามองเห็นเซียนกระบี่ที่เดินทางข้ามทวีปมาจากทักษินาตยทวีปผู้นั้น แน่นอนว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้จักกัน ตอนที่เฉาซีไปจากเมืองเล็ก เขาเองก็อายุไม่น้อยแล้ว เพียงแต่ว่าเฉาซีกลับมีความทรงจำต่อหยางเหล่าโถวที่หลบซ่อนตัวอยู่ด้านหลังร้านยา นั่งก้นบ่อมองท้องฟ้าปีแล้วปีเล่าผู้นี้เจือจางมาก แต่เชื่อว่าหยางเหล่าโถวต้องไม่รู้สึกว่าเขาเป็นคนแปลกหน้าอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าปีนั้นที่เขาเดินออกจากถ้ำสวรรค์หลีจูไปได้สำเร็จ ก็อาจเป็นฝีมือของผู้เฒ่าคนนี้ที่จัดการอยู่เบื้องหลัง
เฉาซีมาที่นี่แน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อตอบแทนบุญคุณ แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่ใช่คนประเภทที่ว่าบุญคุณน้ำหนึ่งหยดตอบแทนด้วยน้ำพุหนึ่งสายอยู่แล้ว ต่อให้หยางเหล่าโถวไปหาถึงที่ ก็ไม่แน่เสมอไปว่าเฉาซีจะเต็มใจให้ความสนใจ หยางเหล่าโถวที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเขตการปกครองหลงเฉวียน ไม่ว่าใครก็ต้องเห็นแก่หน้าของเขาอยู่หลายส่วน แต่เมื่อเฉาซีทำการค้าครั้งนี้สำเร็จก็จะหวนกลับนาตยทวีป ทำหน้าหนาไปขอค่าตอบแทนจากบุรพาจารย์สกุลเฉินอิ่งอิน ต่อให้ฐานะของหยางเหล่าโถวจะลึกลับสักแค่ไหน ในอนาคตเขาที่อยู่ในแจกันสมบัติทวีปจะร้ายกาจสักเท่าไหร่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเฉาซี
ส่วนสกุลเฉาที่เป็นนายพลเอกเสาหลักค้ำราชวงศ์ต้าหลี ในอนาคตจะโชคดีหรือโชคร้ายก็อยู่ที่บุพเพวาสนาของพวกเขาเอง อย่างมากก่อนจะจากไปเฉาซีก็แค่ช่วยเหลือพอเป็นพิธีเท่านั้น ส่วนข้อที่ว่าฮ่องเต้สกุลซ่งต้าหลีจะรับน้ำใจหรือไม่ก็ไม่สำคัญ เฉาซีมีลูกหลานจำนวนนับไม่ถ้วน แล้วนับประสาอะไรกับที่การฝึกตนไม่ได้ฝึกเพื่อให้มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง คำกล่าวที่ว่าไก่และหมาพากันได้ขึ้นสวรรค์ (มาจากสำนวนคนหนึ่งประสบความสำเร็จ ไก่และหมาพากันขึ้นสวรรค์ เปรียบเปรยว่าเมื่อคนหนึ่งได้ดี ลูกหลานบริวารก็ได้ดีตามไปด้วย) ก็เป็นแค่ของรางวัลที่ได้มาเพิ่มพิเศษเท่านั้น
คำถามแรกของเฉาซีก็คือ “ผู้อาวุโสหยางเหล่า ท่ามกลางกาลเวลาที่ยาวนานหลายพันปี ในถ้ำสวรรค์หลีจูที่มีขนาดเล็กสุดในบรรดาถ้ำสวรรค์ทั้งหลายของใต้หล้าแห่งนี้ คนที่เดินออกไปภายใต้เปลือกตาของเจ้า ใครที่ประสบความสำเร็จสูงสุด?”
หยางเหล่าโถวถามกลับ “เจ้านับเป็นต้นหอมต้นไหน?” (เป็นคำดูหมิ่น คล้ายประโยคว่า คิดว่าตัวเองเป็นใคร?)
เฉาซีชูข้อมือ เผยให้เห็นข้อมือขาวอวบท่อนหนึ่ง ด้านบนรัดเชือกสีเขียวมรกตไว้หนึ่งเส้น พูดพลางหัวเราะฮ่าๆ “ในนี้มี ‘หอมต้นหนึ่ง’ อยู่จริงๆ”
หยางเหล่าโถวกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “มีลมก็รีบผาย”
เฉาซีลดมือลง รีบเปลี่ยนสีหน้าเสียใหม่ กล่าวด้วยน้ำเสียงประจบว่า “ผู้อาวุโสหยางเหล่า ผู้น้อยได้ยินมาว่าท่านมีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่เลิศล้ำ ไม่ทราบว่าท่านรู้หรือไม่ว่าวิญญาณของมารดาข้าอยู่ที่ไหน? สลายไปท่ามกลางฟ้าดิน หรือว่าไปเกิดใหม่แล้ว? หรือว่า…ถูกท่านผู้อาวุโสแอบเก็บเอาไว้ เพื่อรอให้ราคาสูงแล้วค่อยขาย?!”
หยางเหล่าโถวไม่สนใจคำพูดช่วงท้ายที่ซ่อนนัยยะทิ่มแทงของเซียนกระบี่พสุธาผู้นั้น เขากล่าวเข้าประเด็นทันทีว่า “เจ้าเฉาซีคิดจะจ่ายเงินซื้อ? ขอแค่เจ้าให้ราคาที่สูงมากพอ อย่าว่าแต่แม่เจ้าเลย ต่อให้เป็นพ่อเจ้าก็ยังไม่มีปัญหา”
เฉาซีหัวเราะเสียงดัง มือข้างหนึ่งชี้ไปยังผู้เฒ่าที่พ่นควันโขมงอยู่อีกฟากหนึ่ง “ผู้อาวุโสหยางเหล่าเป็นคนตรงไปตรงมาจริงๆ ดีๆๆ! ครั้งนี้นับว่าไม่มาเสียเที่ยว! หึหึ เพียงแต่ไม่รู้ว่าชีวิตของท่านผู้อาวุโสมีค่ามากเท่าไหร่?”
หยางเหล่าโถวพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “คิดจะทำการค้าก็ยินดีต้อนรับ แต่เมื่อมาเยือนถึงบ้าน ได้พบหน้ากันแล้ว ไม่ยอมควักเงิน ก็รีบไสหัวไปให้ไกล”
เฉาซีได้ยินแล้วก็หรี่ตาลง ถูนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เข้าด้วยกันเบาๆ ทั้งสองมือ ท่าทางของเขาจึงดูน่าขันอย่างถึงที่สุด
แต่ปราณสังหารกลับแผ่ออกมาเด่นชัด
หยางเหล่าโถวไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
แล้วจู่ๆ เฉาซีก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดังลั่น “การค้าย่อมทำได้ ตลอดชีวิตที่ผ่านมาข้าเฉาซีชอบทำการค้ากับคนอื่นมากที่สุด เพียงแต่หวังว่าราคาของท่านผู้อาวุโสจะไม่สูงมากเกินไป เพราะข้าคงไม่ซื้อแน่ๆ ข้าเป็นคนอย่างไร ผู้อาวุโสหยางเหล่าอาจจะยังไม่แน่ใจนัก เพื่อการฝึกตนแล้ว บุตรชายและหลานชายแท้ๆ ก็ยังขายแลกเงินได้ เพียงแต่ว่าตอนนี้รวยแล้ว เจริญรุ่งเรืองแล้ว สวมผ้าแพรกลับบ้านเกิด เห็นสิ่งของก็ให้คิดถึงคน ถึงได้เกิดความอาลัยอาวรณ์เล็กๆ น้อยๆ นั่นขึ้นมา”
หยางเหล่าโถวเอ่ยเนิบช้า “มีเด็กคนหนึ่ง ชื่อหลี่หลิ่ว ติดตามพ่อแม่ของนางไปที่กุรุทวีป ดวงวิญญาณของพ่อแม่เจ้าตอนนี้ล้วนอยู่กับนาง หากเจ้าคิดจะทำการค้าอย่างยุติธรรม ข้าก็จะทำกับเจ้า รับรองว่าไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ ถึงเวลานั้นจะมอบคืนให้เจ้าครบทั้งหัวทั้งหาง แน่นอนว่าหากเจ้ากลับคำ คิดจะบังคับแย่งชิงไปก็ได้ ตอนนี้เจ้าสามารถหมุนตัวเดินจากไปได้เลย หลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น เจ้าก็รอรับผลลัพธ์ที่จะตามมาเอาเอง”
เฉาซีหน้ามุ่ย “ครบทั้งหัวทั้งหาง…ผู้อาวุโสหยางเหล่าท่านพูดไม่น่าฟังเอาซะเลย เอาเถอะ ท่านเปิดราคามาได้เลย”
หยางเหล่าโถวใช้กระบอกยาสูบชี้ไปที่ข้อมือของเฉาซี
เฉาซีพลันเดือดดาลอย่างรุนแรง “หมายความว่าไง? จะให้ข้าผู้อาวุโสมอบกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนี้ให้กับเด็กหลี่หลิ่วนั่น?! หยางเหล่าโถว เจ้าเสียสติไปแล้วหรือไง?”
หยางเหล่าโถวชำเลืองตามามอง ก่อนพูดต่อว่า “กระบี่บินเล่มที่เจ้าได้ครอบครองก่อนจะหลอมแม่น้ำสายใหญ่สายนี้ได้ คงยังเก็บเอาไว้ตลอดกระมัง เจ้าสามารถมอบมันให้กับหลี่หลิ่ว จำไว้ว่าแม้แต่คาถากระบี่เจ้าก็ต้องถ่ายทอดให้นางไปพร้อมกันด้วย”
สีหน้าของเฉาซีเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างเอาแน่เอานอนไม่ได้
หยางเหล่าโถวแค่นเสียงเย็น “อย่าได้รู้สึกว่าตัวเองเสียเปรียบ ชั่วชีวิตนี้เจ้าไม่เคยได้รับลูกศิษย์ดีๆ สักคน นี่เท่ากับข้าช่วยหาให้เจ้าคนหนึ่งโดยไม่คิดค่าตอบแทน ไม่แน่ว่าในอนาคตเมื่อทุกคนพูดถึงเจ้าเฉาซี อาจจะกล่าวว่า ‘เฉาซีน่ะหรือ เขาก็คืออาจารย์ของหลี่หลิ่ว’ ก็เป็นได้”
เฉาซีรู้สึกสนใจขึ้นมาเล็กน้อย ถูมือจุ๊ปากพูด “นังหนูนั่นร้ายกาจขนาดนั้นเชียวหรือ?”
หยางเหล่าโถวกระตุกมุมปาก “ทางที่ดีที่สุดเจ้าควรไปหานางด้วยตัวเอง ตอนที่มอบกระบี่บินเล่มนั้นให้นาง เชื่อว่าเจ้าจะยินยอมพร้อมใจอย่างยิ่ง”
“การค้าครั้งนี้ ข้าผู้อาวุโสตกลงทำ! จะเดิมพันก็ต้องเดิมพันให้ใหญ่ นี่ต่างหากถึงจะเหมาะสมกับฐานะเซียนกระบี่ของข้าผู้แซ่เฉา!”
เฉาซีตบเข่าฉาด ลดระดับน้ำเสียงลงเล็กน้อย “นอกจากนี้ล่ะ? เจ้าและข้ายังมีการค้าอะไรที่ทำด้วยกันได้อีกไหม?”
น้ำเสียงของหยางเหล่าโถวราบเรียบ “ดวงวิญญาณของพ่อเจ้า”
เฉาซีตะลึง จากนั้นก็ค้อนตาคว่ำ “เลิกพูดๆ ให้เปล่าข้ายังไม่ต้องการเลย”
หยางเหล่าโถวเริ่มพ่นควันโขมงอีกครั้ง “ในเมื่อไม่เอาก็เปลี่ยนเป็นอันใหม่ เจ้าไปหาหม่าขู่เสวียนที่ภูเขาเจินอู่ ไปเป็นผู้ปกป้องมหามรรคาของเขา ภายในยี่สิบปีนี้ ไม่ต้องคอยจับตามองเขาตลอดเวลา นับรวมๆ กันแล้วแค่เจ้าเฉาซีทำให้ได้ครบสิบปีก็พอ”
เฉาซีหน้ายิ้มใจไม่ยิ้ม “เซียนกระบี่คนหนึ่งที่มีหวังจะเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสอง ต้องไปเป็นผู้ปกป้องมหามรรคาให้เด็กคนหนึ่ง?! ข้าเฉาซีช่างไม่รักศักดิ์ศรี ไม่รักหน้าตาเอาซะเลย แม้ว่าอยู่ที่นาตยทวีปจะมีชื่อเสียงด้านความหน้าด้านไร้ยางอาย แต่ถึงอย่างไรก็ต้องรักษาหน้าตาเอาไว้บ้างสิ!”
หยางเหล่าโถวพูดเสียงหนัก “บอกให้เฉาจวิ้นไปเข้าร่วมกองทัพต้าหลี ฝึกขัดเกลาจิตแห่งกระบี่ที่แตกพังอยู่ในสนามรบ ข้าสามารถให้คนแอบปกป้องเขาอย่างลับๆ ยี่สิบปี จนกระทั่งจิตแห่งกระบี่ของเขาถูกซ่อมแซมจนสมบูรณ์แบบ”
สีหน้าของเฉาซีเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
หยางเหล่าโถวหลุดหัวเราะพรืด “ได้ผลประโยชน์ไปแล้วก็อย่ามาทำเป็นไร้เดียงสา ศักดิ์ศรีน้อยนิดของเจ้าเฉาซี กับเซียนกระบี่พสุธาที่จะเพิ่มมาในตระกูลอีกคนหนึ่ง อะไรที่มีค่ามากกว่ากัน?”
เฉาซีทำสีหน้าลำบากใจ “เจ้าเด็กเฉาจวิ้นผู้นั้น แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นพวกคนเนรคุณ ปล่อยให้เขาได้กลายเป็นเทพเซียนพสุธา เขาจะไม่ก่อกบฏเลยหรือ? ตระกูลเฉาร้ายกาจแล้ว ตระกูลเดียวมีเซียนกระบี่ตั้งสองคน ไม่ว่าไปอยู่ที่ไหนก็สามารถเป็นคนยืนยืดเอวได้ตรง อ้อไม่ถูกสิ ต้องเป็นเทพเซียน แต่บรรพบุรุษอย่างข้าไม่แน่ว่าอาจจะถูกเจ้าเด็กนั่นคิดบัญชีย้อนหลัง…”
หยางเหล่าโถวไม่คิดจะต่อปากต่อคำกับเขาเรื่องนี้ พูดเข้าประเด็นโดยตรงว่า “หลังจากเฉาจวิ้นกลายเป็นเซียนกระบี่พสุธาแล้ว จำเป็นต้องรับปากข้าเรื่องหนึ่ง วางใจเถอะ ไม่ได้ให้เขาไปตายหรอก และสำหรับเฉาจวิ้นในเวลานั้นแล้ว ไม่ถือว่าเป็นเรื่องยากสักเท่าไหร่”
เฉาซีรู้สึกสงสัยเล็กน้อยจึงถามว่า “ผู้อาวุโสหยางเหล่า ทำไมเจ้าถึงไม่ไปหาเฉาจวิ้นโดยตรง? ระหว่างนี้คงไม่ได้มีแผนเล่นงานอะไรหรอกนะ? จะอย่างไรพวกเราสองคนก็ถือว่าเป็นคนบ้านเดียวกันครึ่งตัว คนบ้านเดียวกันเจอคนบ้านเดียวกันก็ไม่ควรซาบซึ้งใจจนน้ำตาคลอหรอกหรือ ไม่ควรจะทำร้ายคนบ้านเดียวกันหรอกกระมัง?”
หยางเหล่าโถวตัดบทตอบตามตรง “ตอนนี้เฉาจวิ้นยังไม่มีคุณสมบัติจะมาคุยเรื่องค้าขายกับข้า แต่เจ้าเฉาซีมี”
เฉาซีพูดไม่ออกเป็นนาน
สุดท้ายตอนที่เดินออกมาจากร้านตระกูลหยาง เฉาซีมายืนอยู่บนถนนเส้นใหญ่ หันหลังกลับไปมองร้านยาแวบหนึ่งแล้วพึมพำกับตัวเอง “เรื่องพวกนี้ คงไม่ได้เป็นแผนการของตาเฒ่าเฉินฉุนอันด้วยหรอกนะ?”
—–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น