ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 234-250

ตอนที่ 234 แกะตัวอ้วนพี

 

ตอนนั้นที่จีเฉวียนอยู่ในแคว้นเหยียน ก็สนิทสนมกับราชครูของต้าโจวผู้นั้นเช่นนี้ 


 


 


ต่อมาเมื่อเขาครองราชย์แล้ว ในแคว้นต้าโจวก็มีแต่ข่าวลือเต็มไปหมดว่าเขาชอบบุรุษเพศ 


 


 


ข่าวลือนี้ที่จริงสะพัดไปไกลถึงต้าเหยียนแล้ว ตอนนั้นเหยียนหยุนถึงได้เข้าใจว่าสาเหตุที่จีเฉวียนรีๆ รอๆ ไม่ยอมรับปากเหยียนเฉียวหลัวก็เพราะว่าเขาชื่นชอบบุรุษนั่นเอง 


 


 


ตอนนี้พอเห็นสายตาของเขาที่จดจ้องมายังตนเอง ในใจของเหยียนหยุนก็เกิดความหวาดหวั่นขึ้นมา ก่อนหน้านี้ตนเองเคยกลั่นแกล้งจีเฉวียน เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาอาจจะอยากแก้แค้นตนเองจึงบังเกิดความคิดที่ไม่สมควรจะมีกับตนขึ้นมา 


 


 


อย่างเช่นกักขังเอาไว้ แล้วก็กระทำ…..กับเขาอย่างโหดๆ 


 


 


เพียงแค่คิด เหยียนหยุนก็รู้สึกขนลุกไปทั่วร่างแล้ว 


 


 


ดวงพักตร์ของเขายิ่งทียิ่งมีสีหน้าไม่น่าดู 


 


 


คำพูดที่พึ่งจะกล่าวออกไปเมื่อครู่ ก็พาลอยากจะเก็บคืนมาให้หมด 


 


 


เหยียนหยุนไม่คิดจะเจรจาท้าทายจีเฉวียนในตำหนักจิ่นซิ่วกงต่อไป เนื่องเพราะข้างกายก็ยังมีคนที่ปากมากอย่างตู๋กูเจวี๋ยอยู่อีกคน ต่อให้เขามีสิบปากก็คงไม่อาจเถียงสู้คนพวกนี้ได้ 


 


 


คิดได้ดังนั้นแล้ว เขาก็ยกมือขึ้นมาถวายคำนับจีเฉวียนอีกครั้งหนึ่ง 


 


 


“ขอฝ่าบาททรงโปรดพิจารณาให้ถี่ถ้วน อย่าได้ให้เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ทำลายมิตรภาพของสองแคว้น” 


 


 


ตรัสแล้ว เหยียนหยุนก็อำลาอย่างลวกๆ นำเหล่าผู้ติดตามออกไปจากตำหนักจิ่นซิ่วกง 


 


 


พอออกจากตำหนักจิ่นซิ่วกงมาได้เรียบร้อย เขาก็ค่อยรู้สึกว่าความกดดันคลายออกไป พอสูดลมหายใจเข้าไปใหม่อีกหลายๆ ครั้งจึงค่อยรู้สึกว่าสบายขึ้นมาก 


 


 


แม้จะเสด็จออกจากตำหนักจิ่นซิ่วกงไปได้ไกลหลายก้าวแล้ว เหยียนหยุนก็ยังกำหัตถ์เอาไว้แน่น 


 


 


“ฝ่าบาท” คนข้างกายเรียกอยู่หลายครั้งเหยียนหยุนก็ยังมิได้สนใจเขา 


 


 


เหยียนหยุนมองดูตำหนักจิ่นซิ่วกง แม้เป็นการมองเห็นเพียงประตูหน้าที่หนักและหนา แต่ว่าในความรู้สึกของเขาคล้ายกับว่ายังสามารถมองเห็นจีเฉวียนนั่งอยู่บนบัลลังค์อยู่เลย 


 


 


เขาหรี่เนตรลง ที่จริงแล้วนับตั้งแต่ที่จีเฉวียนกลับมายังแคว้นต้าโจว ตนก็คาดการณ์เอาไว้แล้วว่าหากในภายหน้าเขาคิดจะรวบรวมแผ่นดินเป็นผืนเดียวกัน จีเฉวียนย่อมต่อเป็นหินขวางเท้าก้อนใหญ่อย่างแน่นอน 


 


 


ที่ตอนนั้นมิได้จัดการเขาให้จบสิ้นไป นับว่าเป็นความผิดพลาดที่สุดของตนจริงๆ 


 


 


ตอนนี้พระบิดาพระชนมายุมากแล้ว ฝ่ายต่างๆ ในแคว้นเหยียนต่างก็ไม่ยอมสงบเสงี่ยมอีกต่อไป หลายปีมานี้ พระบิดาทรงโปรดปรานองค์ชายน้อย ฐานะรัชทายาทของตนจึงไม่ค่อยมั่นคงสักเท่าไร 


 


 


หากว่าบุตรสาวคนเล็กที่พระบิดาทรงโปรดปรานมากที่สุดต้องมาตายในน้ำมือของจีเฉวียน 


 


 


เช่นนั้น…….ด้วยอุปนิสัยของพระบิดาจะต้องไม่ยอมเลิกราเป็นแน่ 


 


 


ถึงตอนนั้น เขาก็จะเสนอให้ไอ้เด็กอ่อนนั่นนำทัพมาด้วยตนเอง ส่วนตัวเขาก็จะนั่งดูอยู่ที่ต้าเหยียน คอยจับปลาที่เข้าอวนมา 


 


 


ส่วนจีเฉวียน รับรองว่าไม่มีทางได้อยู่สบายแน่ 


 


 


แผนนี้ช่างยอดเยี่ยม 


 


 


…………………… 


 


 


ภายในพระตำหนักจิ่นซิ่ว ดวงเนตรของฮ่องเต้มีแต่ความเย็นชา 


 


 


ริมพระโอษฐ์โค้งขึ้นมา แย้มสรวลออกมาชนิดที่ผู้คนต้องหวาดกลัว 


 


 


กระทั่งตู๋กูเจวี๋ยเองก็ยังอดไม่ได้ที่จะหวาดหวั่นไปด้วย 


 


 


หลี่กงกงที่ยืนอยู่ด้านข้าง ยิ่งรู้สึกขนลุกขนชันไปหมด ทุกครั้งที่ฝ่าบาททรงแย้มสรวลเช่นนี้ รับรองได้เลยว่าไม่มีทางเป็นเรื่องดีแน่นอน 


 


 


“ฝ่าบาทพะยะค่ะ สายพระเนตรที่ทรงทอดดูองค์รัชทายาทแคว้นเหยียนทำให้ผู้คนต้องรู้สึกขนลุก” ตู๋กูเจวี๋ยที่ไม่เคยกลัวตาย ก็มักจะหันตัวเข้าหาปากกระบอกปืนอยู่เสมอ 


 


 


จีเฉวียนกวาดพระเนตรมาทางเขาอย่างเย็นชาครั้งหนึ่ง “เวลาเห็นแกะตัวอ้วนพี เจ้าไม่รู้สึกถูกใจหรือไร?” 


 


 


ตู๋กูเจวี๋ยรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งตัว ในสมองก็ครุ่นคิดขึ้นมาว่าจะต้องหาโอกาสบอกให้น้องเล็กไปให้ไกลจากเจ้าฮ่องเต้สุนัขผู้นี้ให้จงได้ 


 


 


ในท้องของเขามีแต่น้ำครำ ไม่ว่าผู้ใดก็เห็นเป็นแกะอ้วนไปเสียหมด 


 


 


ไม่แน่ว่าสักวันหนึ่งก็อาจถูกเขากลืนลงไปโดยไม่คายกระดูกออกมา 


 


 


……………………………. 


 


 


ในตำหนักเย็น 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวพำนักอยู่ที่นี่มาระยะหนึ่ง ยามนี้ซิวส่งข่าวเข้ามาแล้วว่า รัชทายาทเหยียนหยุนเสด็จมาขอไถ่ตัวนางด้วยพระองค์เอง 


 


 


เส้นผมของนางถูกเผาจนหงิกงอ ใบหน้าก็มีร่องรอยบาดแผลอยู่บ้าง ประกอบกับเรื่องที่ถูกขังอยู่แต่ในตำหนักเย็น ทำให้จิตใจของนางอ่อนล้าอย่างยิ่ง 


 


 


ใครจะไปรู้ว่าในตำหนักเย็นนี้ยังมีคนบ้าอยู่อีกคนหนึ่ง 


 


 


คล้ายกับว่าเมื่อก่อนนางก็คือเต๋อเฟย ตอนนี้นางผ่ายผอมจนดูไม่เป็นผู้เป็นคน ไม่รู้ว่านางไปกินอะไรเข้าไป ฟันในปากกลายเป็นสีดำไปหมด ทั้งยังหลุดร่วงไปไม่น้อย 


 


 


ทั้งๆ ที่อายุก็ยังน้อยดังบุปผาดอกหนึ่ง แต่กลับมีเส้นผมขาวมากมายงอกขึ้นมา ดูราวกับเป็นคนที่ถูกสาปอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


คนบ้าคนหนึ่งวันๆ เป็นต้องเข้ามาก่อกวนนางอยู่หลายรอบ เหยียนเฉียวหลัวชักจะกลัวว่าตนเองจะถูกนางรังควาญจนเป็นบ้าขึ้นมาบ้าง 


 


 


ยังดีที่ในที่สุดแคว้นเหยียนก็ส่งคนมาช่วยเหลือนางแล้ว นางเกรงว่าตนเองจะอดทนไม่ไหวเปิดเผยฐานะอีกด้านหนึ่งของตนเองออกไป เช่นนั้นก็คงจะยุ่งยากมากแล้ว 


 


 


ยังดีที่ อย่างไรเสียนางก็คือธิดาคนโปรดของพระบิดา จึงได้มีรับสั่งให้รัชทายาทเสด็จมาไถ่ตัวนางด้วยพระองค์เอง 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวนั่งอยู่บนระเบียงด้วยจิตใจที่ผ่อนคลายขึ้นมาก 


 


 


“องค์หญิงพะยะค่ะ รัชทายาทและพระองค์มิได้มีพระมารดาร่วมกัน เกรงว่าที่เสด็จมาไถ่ตัวพระองค์ในคราวนี้ก็คงจะไม่เรียบง่ายอย่างแน่นอน” ในมือของนางมีเศษกระดาษชิ้นเล็กๆ แผ่นหนึ่ง นี่เป็นข่าวที่ซิวส่งเข้ามา 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวฉีกทิ้งในทันที แล้วโยนทิ้งไปข้างต้นไม้ที่เ**่ยวตายต้นหนึ่ง 


 


 


นางไม่เคยสนอกสนใจเหยียนหยุนสักเท่าไร ในสายตาและหัวใจของนางจะมีก็แต่จีเฉวียนเท่านั้น 


 


 


นางจะต้องทำให้จีเฉวียนสำนึกเสียใจที่ทำกับนางเช่นนี้ นางจะต้องกระชากโฉมหน้าที่แท้จริงของตู๋กูซิงหลันออกมาให้ได้! 


 


 


ในชาตินี้ มิว่าจะต้องใช้ฝีมือเช่นไร นางก็จะต้องได้ตัวจีเฉวียนมาครอง! 


 


 


ตั้งแต่เล็กจนโต สิ่งที่คนอย่างนางเหยียนเฉียวหลัวต้องการไม่มีคำว่าไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ หรือคนก็ตาม! 


 


 


นางเงยหน้าขึ้นมา มองดูท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มีแต่ดาววิบวับอยู่ไม่กี่ดวง 


 


 


รอให้นางได้ตัวจีเฉวียนมาแล้ว จะต้องกำราบเขาให้อยู่หมัด ให้เขาต้องวิงวอนร้องขอความเมตตาอย่างเชื่องๆ อยู่ข้างกายนางอย่างเชื่อฟังไปตลอดกาล 


 


 


คิดถึงตรงนี้ นางก็กลับเข้าไปในเรือนในตำหนักเย็นอีกครั้ง 


 


 


นางนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงที่ว่างเปล่า กัดปลายนิ้วจนเป็นแผล ใจกลางฝ่ามือก็ปรากฎไอสีดำออกมา 


 


 


ผ่านไปครู่หนึ่ง หยดเลือดบนปลายนิ้วกับไอสีดำนั้นก็ผสมเข้าด้วยกัน หลอมรวมจนกลายเป็นไข่มุกสีดำเม็ดหนึ่ง 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวกำเอาไว้ในกลางฝ่ามือ ดวงตาของนางฉายประกายโหดเ**้ยม 


 


 


นางไม่เคยงอมือนั่งรอความตายมาก่อน ไข่มุกที่เกิดจากไอดำและหยดเลือดของนางนี้ เฮอะ…. 


 


 


ขณะที่เหยียนเฉียวหลัวพึ่งจะเก็บมุกดำเข้าไป ก็ได้ยินเสียงกระเบื้องหลังคาแตก 


 


 


นางตื่นตัวจนลุกขึ้นยืน 


 


 


ทันใดนั้นเอง ก็เห็นเงาของคนผู้หนึ่งพลิกตัวผ่านหน้าต่างเข้ามา 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวยืนหลบอยู่ด้านหนึ่ง ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความตื่นตัว 


 


 


รอจนมองเห็นเงาร่างของคนผู้นั้นได้อย่างชัดเจน ดวงเนตรของนางถึงได้สว่างวาบขึ้นมา “เด็จพี่รัชทายาท?” 


 


 


“เฉียวหลัว” เหยียนหยุนเรียกนางครั้งหนึ่ง เขากวาดเนตรมองดูนางอย่างละเอียดรอบหนึ่ง “เจ้ามาถึงต้าโจวได้เพียงสิบกว่าวัน ก็กลายเป็นสถาพเช่นนี้เสียแล้ว?” 


 


 


แม้ว่าเหยียนเฉียวหลัวมิได้สนิทสนมกับเขาสักเท่าไร แต่จะอย่างไรก็มีความผูกพันทางสายเลือดอยู่ เมื่อได้ยินเขากล่าวอย่างห่วงใยในใจก็เกิดความซาบซึ้งขึ้นมาไม่น้อย 


 


 


“เด็จพี่รัชทายาทเพคะ เมื่อไหร่จะทรงพาข้าไปจากที่นี่?” 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวเดินไปที่ข้างกายเขา ดวงตาเป็นประกาย “ข้าอยู่ที่นี่ลำบากเหลือเกิน ท่านก็รู้ ตั้งแต่เล็กจนโตข้าก็ไม่เคยได้รับความอยุติธรรมเช่นนี้มาก่อนเลย” 


 


 


เหยียนหยุนยกมือขึ้นมาตบบ่าของนาง “ข้ารู้ ช่วงนี้เจ้าต้องลำบากแล้ว” 


 


 


“หากว่ามิใช่เพราะจีเฉวียน เจ้าคงไม่ตกระกำลำบากเช่นนี้” 


 


 


“วันนี้ข้าได้พูดคุยกับเขาแล้ว ที่จริงพระบิดาทรงยินยอมยกดินแดนสามเหลี่ยมเหยียนตงให้เขาเพื่อไถ่ตัวเจ้าแล้ว แต่ว่าเขากลับเปลี่ยนแปลงข้อแม้ในทันที ไม่เพียงต้องการดินแดนสามเหลี่ยมจุดนั้น แต่ต้องการเขตแดนเหยียนตง (ชายแดนนทิศตะวันออก) ทั้งหมดของพวกเราจึงจะยอมปล่อยเจ้าไป” 


 


 


“ความทะเยอทะยานของจีเฉวียนช่างโจ่งแจ้งนัก น่าเสียดายที่เจ้าทำเพื่อเขาไปตั้งมากมาย แต่พอถึงตอนสุดท้ายเขากลับเห็นเจ้าเป็นแค่เพียงตัวหมากที่เอาไว้ต่อรองกับพระบิดาเท่านั้น บุรุษเช่นนี้ เจ้ายังจะไม่ชิงชังอีกหรือ?” 


 


 


เหยียนหยุนกล่าวแล้วก็ตบบ่านางอีกครั้ง “เฮ่อ เมื่อวานข้ายังได้ยินข่าวมาอีกว่า เขาพึ่งรับคนโปรดคนใหม่ ถึงขนาดให้อยู่ในตำหนักตี้หัวกงทั้งวันทั้งคืน ฟังว่าแม้แต่อาหารการกินก็ยังให้ส่งเข้าไปปรนเปรอด้วยตนเอง เฉียวหลัว เจ้าทำเพื่อเขามากมายเขากลับไม่ได้คำนึงถึงเจ้าเลยแม้สักนิด แต่กลับปฎิบัติต่อคนใหม่เช่นนี้ พี่ชายปวดใจแทนเจ้านัก” 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


คุยกันนิดนึง: 


 


 


เหยียนหยุน: ที่ผ่านมาเคยเห็นแต่บ่าวช่างยุ งานที่เฉียวหลัวเจอเด็จพี่หยุนยุให้รำ ตำให้แหลกแน่ๆ จ้า  

 

 


ตอนที่ 235 รอเดี๋ยวกลับมาแล้วเราจะให้...

 

“ตัวโปรดคนใหม่?” เหยียนเฉียวหลัวขมวดคิ้ว ในสมองก็บังเกิดเงาของคนผู้หนึ่งขึ้นมา 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน? 


 


 


คืนนั้นเขาไม่เพียงแต่ช่วยนางเอาไว้ แต่ยังพานางกลับไปตำหนักตี้หัวกงด้วย? 


 


 


ปิดบังผู้คนทั้งหมด โปรดปรานกันทั้งคืน! 


 


 


“เฉียวหลัว บอกพี่ชายมาเถอะ เจ้าไม่จำเป็นจะต้องได้ตัวจีเฉวียนได้หรือไม่?” เหยียนหยุนเห็นนางท่าทางใจลอยออกไปเช่นนั้น ก็ถามไถ่ด้วยความห่วงใย 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวเงยหน้ามองดูเขาครั้งหนึ่ง “ตั้งแต่ตอนที่ข้าอายุสิบสามก็ชอบจีเฉวียนเข้าแล้ว ตลอดหลายปีมานี้ไม่เคยแปรเปลี่ยน นอกจากเขาแล้วข้ายังจะต้องการใครอีก?” 


 


 


เหยียนหยุนเห็นนางแสดงออกอย่างจริงใจ แววตาก็ปรากฎ ‘ความเห็นใจ’ ออกมา “ในเมื่อเจ้ายืนยันเช่นนี้ พี่ชายไม่เพียงแต่จะเห็นใจ แต่ว่าสิ่งใดที่สามารถจะช่วยเหลือเจ้าได้ก็จะสนับสนุนอย่างเต็มที่” 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวได้ยินแล้วดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมา “เด็จพี่รัชทายาท ตั้งแต่เด็กท่านก็เอ็นดูข้ามาตลอด ตอนนี้ในเมื่อท่านกล่าวเช่นนี้ ใช่ว่ามีวิธีดีๆ ใดบ้างหรือไม่เพคะ?” 


 


 


“พี่ชายย่อมต้องสนับสนุนเจ้าอยู่แล้ว” 


 


 


………………….. 


 


 


ตกดึก ในพระตำหนักตี้หัว ณ ห้องพระอักษร 


 


 


นับตั้งแต่ที่ตู๋กูซิงหลันได้รับบาดเจ็บ ห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้ก็ถูกย้ายมายังห้องข้างห้องบรรทมแล้ว 


 


 


ทั้งยังเจาะช่องบนกำแพงที่ตรงกับพระแท่นบรรทมขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อให้ฝ่าบาททรงสามารถสอดส่องความเคลื่อนไหวในห้องบรรทมได้อย่างสะดวกทุกเมื่อ 


 


 


นับตั้งแต่ได้รับบาดเจ็บ ทุกวันนี้ไทเฮาน้อยก็เปลี่ยนเป็นว่าง่ายขึ้นมา ภายใต้สายพระเนตรของฝ่าบาท ทุกวันนางตื่นยามอาทิตย์ขึ้น พักผ่อนเข้านอนยามดวงอาทิตย์ตก 


 


 


ยามนี้ ฮ่องเต้พึ่งจะทรงชำระฏีกาทั้งหลายเสร็จสิ้น จากช่องเล็กๆ บนกำแพงมองเข้าไปก็สามารถเห็นว่าตู๋กูซิงหลันกำลังนอนอยู่บนเตียง ดวงตาปิดสนิท ขนตางอนยาวถูกแสงเทียนสีส้มฉาบย้อมจนกลายเป็นสีแดงส้มจางๆ 


 


 


เขาเฝ้าดูนางหลับติดต่อกันมาห้าวัน ทุกวันหลังเลิกประชุมเช้าก็จะตรงกลับมายังพระตำหนักตี้หัวกง พอได้เห็นนาง ในพระทัยก็บังเกิดความพึงพอใจเปี่ยมล้น 


 


 


ที่ผ่านมาพระองค์ทรงบรรทมได้ไม่สนิทนัก แต่พูดไปแล้วก็แปลก นับตั้งแต่ที่ไทเฮาน้อยหลับอยู่ด้านข้าง พระองค์ก็สามารถหลับได้สนิทกว่าเดิม 


 


 


มุมพระโอษฐ์ของจีเฉวียนยกยิ้มขึ้นมา ดวงเนตรหงส์เปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน 


 


 


สักวันหนึ่งในไม่ช้าก็เร็ว นางจะต้องยอมรับเขา 


 


 


“ครืน เปรี๊ยง เปรี๊ยงงง!” ขณะที่กำลังคิดอยู่ อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฟ้าผ่าดังกึกก้องขึ้นมา สายฟ้าฟาดท่ามกลางคืนที่มืดมิด ดูแล้วน่าหวาดกลัว 


 


 


ห้องพระอักษรไม่ได้ปิดหน้าต่าง สายฟ้านั่นพาดผ่านหน้าไป ทำให้ต้นดอกกุ้ยในพระตำหนักติดไฟขึ้นมาในทันที 


 


 


ผู้คนในตำหนักแตกตื่นขึ้นมารีบเข้าไปดับไฟกันใหญ่ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันลืมตาขึ้นมา นางหันศีรษะอออกไปมอง พอเห็นสายฟ้าฟาดที่พาดผ่านอยู่นอกห้อง ดวงตาดอกท้อก็หรี่ลง 


 


 


ฟ้าผ่าท่ามกลางท้องฟ้าที่กระจ่างใส นี่ไม่นับว่าเป็นเรื่องดีสักเท่าไร 


 


 


“ในวังยังมีตัวประหลาดอันใดอีกหรือไม่?” วิญญาณทมิฬหมอบอยู่ข้างกายนาง “น่าเสียดายครั้งก่อนเจ้าได้สูญเสียพลังของหยกสรรพชีวิตไปแล้ว ต้องสูญเสียเศษของหยกสรรพชีวิตไปแม้จะนับว่าน่าเสียดาย 


 


 


แต่หากว่าเปรียบเทียบกับปล่อยให้จิตวิญญาณได้รับบาดเจ็บ นี่ก็ไม่นับว่าเป็นอะไร 


 


 


นั่นเป็นเพียงแค่เศษชิ้นหนึ่ง ในแผ่นดินของโลกใบนี้ยังจะต้องมีเศษเสี้ยวชิ้นอื่นๆ ของหยกอีกเป็นแน่ ชาติก่อนของนางคือเจ้าของหยกสรรพชีวิต หากว่าอีกหน่อยได้มีโอกาสพบเจออีก ก็ยังสามารถรวบรวมกลับมาได้ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันนั่งพิงอยู่บนเบาะนุ่ม ถึงแม้ว่าในร่างของจีเฉวียนจะเปี่ยมไปด้วยไอหยิน แต่ว่าในตำหนักตี้หัวกลับมีไอมังกรเข้มข้นอยู่ตลอด นางรักษาตนอยู่ที่นี่จึงนับว่าเหมาะสมอย่างที่สุด ประกอบกับก่อนหน้านี้เขาได้ให้นางกินยาไปเม็ดหนึ่ง ตลอดหลายวันนี้ก็คอยบำรุงอยู่มิได้ขาด ร่างกายจึงฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว 


 


 


ไม่เพียงแต่ฟื้นฟู แต่ว่ายังอ้วนขึ้นด้วย 


 


 


บางทีอาจเป็นเพราะดวงจิตที่ได้รับความเสียหาย ทำให้กลายเป็นว่านางมีโรคภัยติดตัว อ้วนขึ้นง่ายมาก 


 


 


เพียงแค่ไม่กี่วันเท่านั้น ขอบเอวก็หนาขึ้นมารอบหนึ่ง คางแทบจะกลายเป็นสองชั้นไปแล้ว 


 


 


แม้ว่าตู๋กูซิงหลันจะมิได้ส่องกระจกมาหลายวัน ก็ยังคงรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของตนเอง 


 


 


นางมองไปที่นอกหน้าต่าง ไม่ทันรอให้สายฟ้าฟาดลงมาเป็นรอบที่สอง ก็เห็นฮ่องเต้วิ่งเข้ามาจากห้องอักษรด้านข้างด้วยความเร็วประหนึ่งสายฟ้า 


 


 


พระองค์เสด็จมาถึงข้างเตียง ยื่นพระหัตถ์คว้าตัวตู๋กูซิงหลันเข้าไปไว้ในอ้อมพระอุระทันที 


 


 


จากนั้นค่อยตบหลังให้นางเบาๆ ราวกับว่ากำลังโอ๋เด็กน้อย ตรัสอย่างอ่อนโยนว่า “ไม่ต้องกลัวไม่ต้องกลัว” 


 


 


จนผ่านไปอีกพักใหญ่ถึงได้ปล่อยตัวนาง เห็นนางยังอยู่ในความมึนงงก็เคาะเบาๆ ที่หน้าผากของนางอีกครั้ง “ต่อไปเวลากลัวฟ้าผ่า เจ้าก็หลบเข้ามาในอกเรา” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันงงงันเป็นรอบสอง ขอถามหน่อยที่ว่านางกลัวฟ้าผ่านี่เขาไปเอามาจากไหน? 


 


 


ก็เพียงแค่รู้สึกสังหรณ์ใจว่ามีอะไรไม่ดีสักหน่อยเท่านั้น 


 


 


ฮ่องเต้ทรงเข้าพระทัยเสียว่าท่าทางงุนงงของนางนี้ก็คือความตื่นกลัว เขาเข้าใจมาตลอดว่าตู๋กูซิงหลันไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นนางกลัวบางสิ่ง 


 


 


หากมิใช่ว่านางกลัวสายฟ้า ก็คงจะไม่ตกใจตื่นขึ้นมา ยิ่งไม่มีทางนิ่งงันไม่ขยับเป็นท่อนไม้เช่นนี้ 


 


 


ซุนต้มยาเคยบอกไว้ พวกสตรีหวาดกลัวฟ้าผ่า นับว่าไม่ได้หลอกลวงพระองค์จริงๆ 


 


 


“หากว่าเจ้าไม่ยินดีเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ถ้าเช่นนั้นเราจะยอมเป็นฝ่ายเสียเปรียบเข้าไปให้เจ้ากอดก่อนก็ได้” จีเฉวียนทรงยอมทิ้งทิฐิ 


 


 


ตรัสแล้ว พระองค์ก็ยื่นพระหัตถ์ขึ้นมาลูบใบหน้าของตู๋กูซิงหลันเบาๆ 


 


 


อืม ตอนนี้ค่อยมีเนื้อมีหนังขึ้นมาบ้าง นุ่มจริง ให้สัมผัสในมือที่ดีมาก 


 


 


ฮ่องเต้ทรงรู้สึกว่าที่แท้พระองค์ทรงเลี้ยงดูคนได้ดีไม่เลวเลย ดูสิก่อนหน้านี้นางผ่ายผอมขนาดไหนกัน ลมพัดมาก็คงถูกหอบจนปลิวไปแล้ว 


 


 


ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว มีเนื้อสักหน่อยจึงจะน่ารัก 


 


 


เห็นใบหน้าขาวๆ นุ่มๆ ของนางพระองค์ก็อดไม่ได้อยากจะจูบลงไปในทันที 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเห็นลูกกระเดือกของเขาเคลื่อนไหวไม่หยุด ราวกับว่ากำลังดื่มน้ำอยู่ 


 


 


“เอาละโว้ย คงไม่ใช่ว่าเขาคิดจะเลี้ยงดูเจ้าจนอ้วน แล้วค่อยต้มกินละมั้ง?” วิญญาณทมิฬกระตือรือร้นขึ้นมาในทันที ข้าเคยได้ยินมาว่า สมัยก่อนมีฮ่องเต้วิปริตผู้หนึ่ง ชอบกินเนื้อสาวงาม” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “…….” เจ้าวิญญาณทมิฬนี่มันสมองระเบิดกระจายขึ้นฟ้าไปแล้วหรือยังไง 


 


 


ช่วงนี้นางก็แค่บำรุงให้กลับไปเป็นอย่างเดิมเท่านั้นเอง 


 


 


จีเฉวียนจดจ้องมองดูนาง หักห้ามความพลุ่งพล่านเอาไว้ เปลี่ยนเป็นใช้สองพระหัตถ์จับใบหน้าของนางเอาไว้ แล้วหยิกลงไปแรงๆ ครั้งหนึ่ง 


 


 


ใบหน้าซาลาเปาที่อยู่ในมือให้ความรู้สึกดีเยี่ยมไปเลย 


 


 


ทันใดนั้นพระองค์ก็ตัดสินพระทัยได้ จะต้องเลี้ยงดูนางให้มีเนื้อสักหน่อย อย่างนี้ต่อไปเวลากอดนอนจะได้นุ่มมือ 


 


 


“ครืน เปรี้ยง เปรี้ยง!” ความคิดสกปรกของฝ่าบาทพึ่งจะก่อตัวขึ้นในสมอง ในท้องฟ้าก็ปรากฎสายฟ้าฟาดขึ้นมาอีกครั้ง 


 


 


ครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงของหลี่กงกงวิ่งเข้ามากราบทูลอย่างรีบร้อนปานไฟลน “ฝ่าบาท แย่แล้วพะยะค่ะ รัชทายาทแคว้นเหยียน……เกิดเรื่องแล้ว!” 


 


 


“รัชทายาทแคว้นเหยียน?” สีพระพักตร์จีเฉวียนยังคงเย็นชา ดวงเนตรหงส์คู่นั้นสาดประกายเย็นยะเยือกออกมา 


 


 


อ้อ สองหัตถ์ที่ประคองใบหน้าของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ยังคงไม่ยอมปล่อย 


 


 


“ตำ….ตำหนักเย็น……รัชทายาทแคว้นเหยียนถูกธนู ปักเข้ากลางอก!” น้ำเสียงของหลี่กงกงถึงกับสั่นสะท้าน 


 


 


ถึงแม้ว่าฝ่าบาทจะทรงยอดเยี่ยม แต่ถึงอย่างไรฝ่ายตรงข้ามก็เป็นถึงรัชทายาทแคว้นเหยียน พึ่งจะมาถึงวังหลวงของต้าโจวก็กลายเป็นเช่นนี้เสียแล้ว……. 


 


 


พวกเขากักตัวองค์หญิงแคว้นเหยียนเอาไว้แล้วคนหนึ่ง หากว่ารัชทายาทแคว้นเหยียนเกิดเป็นอะไรขึ้นมาอีกคน? 


 


 


หลี่กงกงเพียงคิดอย่างคร่าวๆ ในสมองก็เห็นผลที่ย่ำแย่ออกมา 


 


 


จีเฉวียนมิได้แตกตื่น ผ่านไปพักหนึ่งพระองค์ถึงได้ทรงปล่อยใบหน้าของตู๋กูซิงหลัน ประทับยืนขึ้นมา 


 


 


ตู๋กูซิงหลันคิดจะลุกขึ้น กลับถูกจีเฉวียนกดลงไป “เจ้ารออยู่ที่นี่ อีกประเดี๋ยวเราจะกลับมา” 


 


 


หลังจับนางซุกกลับลงไปในเตียง ช่วยเก็บมุมผ้าห่มให้นางจนเรียบร้อย “หากว่ายังกลัวฟ้าผ่าอยู่ ก็ซุกอยู่ในผ้าห่มเสีย คลุมให้มิดชิด รอเรากลับมาให้เจ้ากอด” 


 


 


ว่าแล้ว พระองค์ก็ไม่ลืมใช้ฝ่าพระหัตถ์ใหญ่โตลูบศีรษะนาง “เด็กดี~”   

 

 


ตอนที่ 236 ฝ่าบาทฆ่าคน

 

ตู๋กูซิงหลัน “……” ในสายตาของจีเฉวียนเห็นนางเป็นเด็กโง่? 


 


 


“เอาเถอะ ข้าเชื่อฟังออกจะตาย” ตู๋กูซิงหลันพยักหน้า คลี่ยิ้มให้กับเขา “ฝ่าบาทรีบเสด็จไปจัดการเรื่องยุ่ง ไม่ต้องทรงห่วงหม่อมฉันหรอกเพคะ” 


 


 


ใบหน้าถูกหยิกจนแก้มแดง เวลายิ้มออกมาก็ยิ่งน่าดูใหญ่แล้ว 


 


 


ชั่วขณะนั้นเอง จีเฉวียนทรงรู้สึกว่าพระทัยกำลังละลายแล้ว 


 


 


ในตอนนั้น คนทั้งคนคล้ายดั่งภูเขาน้ำแข็งที่ละลายลงมา กลายเป็นสายน้ำอบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิ หวานจนเลี่ยน 


 


 


………………….. 


 


 


 


 


 


ตำหนักเย็น 


 


 


ตอนนี้มีคนมาจำนวนไม่น้อยแล้ว 


 


 


ทั้งหัวหน้าราชองครักษ์ ขุนนางอวี้ซื่อประจำเมืองหลวงตู๋กูเจวี๋ย และยังมีผู้คนในวังอีกจำนวนหนึ่ง 


 


 


ลานหน้าตำหนักเย็นเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด 


 


 


ในอากาศยามค่ำคืนยังคงมีเสียงฟ้าร้อง แต่กลับไม่มีทีท่าว่าจะมีฝนตกเลยสักนิด 


 


 


“อ้ายย่าห์ มีคนตายแล้ว มีคนตายแล้ว…..” ท่ามกลางเสียงฟ้าร้อง มีเสียงสตรีหวีดร้องเสียงแหลม 


 


 


พอผู้คนทั้งหลายมองตามไปถึงได้เห็นว่าเป็นเต๋อเฟยที่ผ่ายผอมเสียจนไม่เป็นผู้เป็นคน นางโบกสองมือไปมา ด้วยท่าทางประหนึ่งคนบ้ากระโดดโลดเต้นไปทั้วทั่งตำหนัก 


 


 


ประตูหน้าต่างในเรือนของเหยียนเฉียวหลัวไหวตามแรงลม ภายในห้องเหยียนเฉียวหลัวกอดเหยียนหยุนเอาไว้ร่ำไห้เสียงดัง 


 


 


“เสด็จพี่รัชทายาท ท่านอย่าได้ทำให้ข้าตกใจเช่นนี้….” 


 


 


เมื่อจีเฉวียนเสด็จมาถึง สถานการณ์ก็เป็นเช่นนี้แล้ว 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวคุกเข่าอยู่บนพื้น กอดเหยียนหยุนที่ใบหน้าซีดขาวเอาไว้ในอ้อมแขน 


 


 


บนอกของเหยียนหยุน มีธนูอยู่ดอกหนึ่ง 


 


 


หัวธนูปักเข้าไปในเนื้อจนมิด ริมโอษฐ์ของเหยียนหยุนมีเลือดสีดำไหลออกมา สถานการณ์ดูแล้วน่ากลัวอย่างยิ่ง 


 


 


โต๊ะเก้าอี้ภายในห้องถูกพลิกกระจัดกระจาย บนพื้นยังมีหยดเลือกกระเซ็น ดูไปเหมือนดั่งผ่านการต่อสู้มาอย่างรุนแรง 


 


 


ทันทีที่เห็นจีเฉวียน เหยียนเฉียวหลัวก็ยิ่งโศกเศร้ากว่าเดิม “ฝ่าบาท เสด็จพี่รัชทายาททรงนำความจริงใจมาขอไถ่ตัวข้ากลับแคว้น แต่ฝ่าบาทกลับทรงทำกับพวกเราพี่น้องเช่นนี้?” 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวทางหนึ่งกล่าวอย่างชิงชัง ทางหนึ่งก็น้ำตาไหลอย่างคลุ้มคลั่ง “ตั้งแต่อายุสิบสามข้าก็หลงรักท่าน ต่อให้ท่านไม่ชอบข้า ไม่ยอมรับข้า แค่ไล่ข้ากลับออกไปก็พอแล้ว ไยจึงต้องลงมือสังหารเสด็จพี่รัชทายาทของข้าด้วย?” 


 


 


“เสด็จพี่รัชทายาทช่างน่าสงสาร เขากำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์ ต่อไปก็จะได้เป็นฮ่องเต้ที่เก่งกาจที่สุดของแคว้นเหยียนกลับต้องมาตายใต้น้ำมือของท่าน ความรุ่งเรืองในชีวิตของเขายังไม่ทันจะได้เริ่มขึ้นเลยเสียด้วยซ้ำ” 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวเจ็บปวดชอกช้ำ ทุกถ้อยคำที่กล่าวออกไปล้วนเปล่งเสียงดังราวกับเกรงว่าจะไม่มีคนได้ยิน” 


 


 


“ฝ่าบาทฆ่าคนแล้ว ฝ่าบาทฆ่าคนแล้ว ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ ฝ่าบาทฆ่าคนอีกแล้ว…..” ภายในสวน เต๋อเฟยที่ได้ยินเสียงของเหยียนเฉียวหลัวชูมือขึ้นวิ่งพล่านไปทั่ว 


 


 


หากมิใช่เพราะว่าเหล่าองครักษ์จับตัวนางเอาไว้เกรงว่านางก็คงจะหนีออกไปนอกตำหนักเย็น ทำให้คนทั่วทั้งเมืองได้รู้เรื่องเสียแล้ว 


 


 


“ฮิ ฮิ ฝ่าบาททรงฆ่าคนแล้ว ฝ่าบาททรงฆ่าคนแล้ว” เต๋อเฟยถูกจับตัวเอาไว้ก็ยังไม่วายเงยหน้าขึ้นมาหัวเราะอย่างโง่งม ท่าทางดั่งเป็นคนบ้าจริงๆ 


 


 


“ฝ่าบาท ทรงฟังสิเพคะ ขนาดคนบ้าก็ยังรู้ ว่าพระองค์ลงมือกับเสด็จพี่รัชทายาท” ภายในห้องเหยียนเฉียวหลัวโอบกอด ‘ร่าง’ เหยียนหยุนเอาไว้ มุมปากมีรอยยิ้มเย็นผุดขึ้นมา 


 


 


นางพึ่งจะพูดจบ จีเฉวียนก็เสด็จเข้าไปภายในห้อง หลี่กงกงรีบยกเก้าอี้มาตัวหนึ่ง ฮ่องเต้ทรงประทับนั่งลงแล้วก็กวาดพระเนตรมองไปทางเหยียนเฉียวหลัวครั้งหนึ่ง 


 


 


“ว่ามาเถอะ ว่าเจ้าต้องการอะไรกันแน่?” 


 


 


“ฝ่าบาท เสด็จพี่รัชทายาทของข้าสิ้นแล้ว พระองค์ก็ยังทรงเย็นชาเช่นนี้ได้อยู่อีกหรือเพคะ?” เดิมทีเหยียนเฉียนหลัวคิดว่าจีเฉวียนจะต้องตกตะลึงอยู่บ้าง หรือไม่ก็กล่าวคำพูดอื่นกับนาง คิดไม่ถึงว่าพอเอ่ยพระโอษฐ์ก็ตรัสถามนางเช่นนี้ 


 


 


“เราไม่ใช่หมอหลวง เขาตายแล้ว เรายังจะรักษาเขาจนฟื้นขึ้นมาได้อีกหรือ?” จีเฉวียนพระสรวลเสียงเย็น “ปากเจ้าร้องบอกว่าเราฆ่าเขา ตนเองกลับเตรียมการเอาไว้อย่างพรักพร้อม แล้วเรื่องอะไรเราจึงจะต้องเสียเวลาไปยื้อยุดกับเจ้าด้วย?” 


 


 


“ฝ่าบาทยังทรงเป็นเช่นดั่งกาลก่อน แม้แต่การจะแสดงสีพระพักตร์ใดๆ ออกมาก็ยังเกียจคร้านที่จะทำถึงเพียงนี้” เหยียนเฉียวหลัวยังคงโอบเหยียนหยุนเอาไว้ เพียงแต่ยามเมื่อมองดูจีเฉวียนก็เพิ่มพูนความประทับใจขึ้นมาอีก 


 


 


ที่นางชื่นชอบที่สุดก็คืออุปนิสัยที่แม้ว่าภูเขาถล่มลงมาก็ยังไม่เปลี่ยนสีหน้าของเขา 


 


 


ราวกับว่าในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถสั่นคลอนเขาได้ทั้งนั้น 


 


 


ความสงบเงียบ ความอดกลั้น ความเจ้าเล่ห์มากแผนการ ทั้งหมดเขาสามารถใช้พวกมันได้อย่างหมดจดเยี่ยมยอด 


 


 


ที่จริงแล้วแม้กระทั่งลูกไม้ต่างๆ ที่นางใช้ออกมา เขาก็สามารถดูออกได้ในแวบเดียว 


 


 


“องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียนเสด็จมายังต้าโจวเพื่อไถ่ตัวองค์หญิง ขณะที่เสด็จมาเยี่ยมเยือนองค์หญิงในตำหนักเย็นก็ถูกมือสังหารที่เตรียมตัวเอาไว้ตั้งแต่แรกฆ่าทิ้ง” เหยียนเฉียวหลัวพูดพลาง ก็มองดูจีเฉวียนที่สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปด้วย “ฮ่องเต้แห่งต้าโจวสังหารองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน ท่านว่า เรื่องนี้พอแพร่กลับไปที่แคว้นเหยียน กระจายไปจนทั่วทั้งแผ่นดิน ท่านยังจะได้รับผลดีอีกหรือ?” 


 


 


“แต่ว่าฝ่าบาททรงวางพระทัยได้ เนื่องเพราะพระองค์ทรงมีโชคอย่างยิ่ง มีองค์หญิงแคว้นเหยียนที่รักท่านอย่างลึกล้ำเช่นนี้อยู่คนหนึ่ง ข้าย่อมต้องไม่ยอมให้ท่านบอบช้ำเสียหายเป็นแน่” 


 


 


“ยังคงเป็นประโยคเดิม ข้าต้องการเป็นฮองเฮาของท่าน ขอเพียงท่านยอมรับปาก การตายของรัชทายาทต้าเหยียนก็จะเป็นเพียงแค่อุบัติเหตุ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับท่านเลยสักนิด” 


 


 


น้ำเสียงของเหยียนเฉียวหลัวเย็นชา นางลูบลงไปบนร่างกายที่เย็นชืดของเหยียนหยุน หัวเราะเสียงเย็นอยู่ในใจ 


 


 


เหยียนหยุนคือไอ้โง่ที่คิดว่าตนเองฉลาด ปากก็บอกว่าจะช่วยเหลือนาง แต่ที่จริงกลับคิดจะฆ่านาง ใช้ความตายของนางมากระตุ้นให้เกิดสงครามระหว่างสองแคว้น ทำตนเป็นผู้เฒ่าหาปลา 


 


 


ในเมื่อเขาไม่มีน้ำใจระหว่างพี่น้องก่อน ก็อย่าได้มาโทษที่นางลงมือเ**้ยมโหดชิงฆ่าเขาบ้างแล้วกัน 


 


 


นี่เป็นอุบายในอุบาย ใช้หนึ่งชีวิตของเขามาแลกกับตำแหน่งฮองเฮาแห่งต้าโจวของนาง ก็นับว่าคุ้มอยู่ 


 


 


ต่อให้จีเฉวียนเก่งกาจเพียงไร แต่เมื่อต้องแบกรับชีวิตของคนที่สูงส่งเช่นนี้ คิดๆ ดูแล้วเขาคงจะต้องหมดหนทางเป็นแน่ 


 


 


ประเด็นสำคัญคือการลงมือครั้งนี้เขาไม่ทันได้ตั้งตัว พอคิดจะรับมือก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว 


 


 


“ฝ่าบาท เฉียวหลัวหลงรักท่านมานานหลายปีแล้ว ทั้งยังไม่เคยเปลี่ยนใจมาก่อน ความจริงใจของข้าพระองค์ไยจะต้องทรงผลักไสออกไปจนไกลลิบอีก?” เหยียนเฉียวหลัวเริ่มจากใช้การข่มขู่ ยามนี้ค่อยเปลี่ยนเป็นไม่อ่อนบ้างแล้ว 


 


 


นางไม่กลัวว่าจีเฉวียนจะไม่รับปาก เพราะอย่างไรเสียเหยียนหยุนก็ตายไปแล้ว สำหรับนางแล้วนี่จึงเป็นไม้ตายสำคัญ 


 


 


จีเฉวียนมองดูรอยยิ้มที่เย็นชาของนาง จนเกือบจะลืมไปแล้วว่าตอนที่อยู่ในแคว้นต้าเหยียนนั้น องค์หญิงน้อยผู้นี้หน้าตาเป็นเช่นไรกันแน่ 


 


 


โลกนี้ก็มีแต่ความไร้น้ำใจเช่นนี้แหละ เพื่อเป้าหมายแล้ว แม้แต่การฆ่าพี่ชายของตนเองก็ยังถือเป็นเรื่องธรรมดาจนไม่อาจจะธรรมดาไปกว่านี้อีก 


 


 


หลังจากที่จีเฉวียนเสด็จออกมาแล้ว ตู๋กูซิงหลันก็แอบตามออกมาอย่างเงียบๆ 


 


 


นางเปลี่ยนเป็นชุดของนางกำนัล หมอบอยู่ตรงมุมกำแพง 


 


 


เจาะรูตรงหน้าต่างขึ้นมารูหนึ่ง ก็สามารถมองเห็นเหตุการณ์ภายในได้ทั้งหมด 


 


 


ธนูบนอกของเหยียนหยุนปักลงไปลึกมาก บนลำคอของเขายังมีร่อยรอยเล็บขูดข่วน ราวกับว่าถูกบางสิ่งครูดผ่าน 


 


 


ดูจากนรลักษณ์ของเขาแล้ว ใบหน้าอิ่มเอิบ จมูกโด่งเป็นสัน เป็นลักษณะของคนที่อายุยืนยาว 


 


 


เส้นอายุของเขายังไม่ทันขาด อายุยังน้อยก็ต้องมาจากไปเช่นนี้ ช่างน่าเสียดายจริงๆ 


 


 


ยามนี้ ดวงวิญญาณกึ่งโปร่งใสของเขากำลังล่องลอยอยู่เหนือ ‘ร่าง’ ของตนเอง จดจ้องไปยังเหยียนเฉียวหลัวและก็หันมาจ้องจีเฉวียนอีกด้วย 


 


 


สุดท้ายแล้วสายตาของดวงวิญญาณนั้นก็มาหยุดอยู่บนร่างของเหยียนเฉียวหลัว นัยของของเขาเปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้น 


 


 


เขาอ้าปากกัดฟันกรอดคิดจะเข้าไปจัดการเหยียนเฉียวหลัว แต่กลับเห็นเหยียนเฉียวหลัวหันมาทางวิญญาณของเขาแวบนึง นางขยับปลายนิ้วน้อยๆ ก็เห็นเส้นใยสีดำสามเส้นจากปลายนิ้วของนางพุ่งเข้าไปพันลำคอ เอวและขาของดวงวิญญาณเหยียนหยุนเอาไว้ 


 


 


ทันทีที่เส้นใยสีดำนั้นกระตุก ท่อนขาของวิญญาณเหยียนหยุนก็ขาดออกมาเกือบครึ่ง  

 

 


ตอนที่ 237 นางน่ารักมากเลย

 

“อ๊ากอ๊ากอ๊าก….” ดวงวิญญาณของเหยียนหยุนกัดฟันร่ำร้อง 


 


 


ยิ่งเขาดิ้นรน เส้นใยสีดำของเหยียนเฉียวหลัวก็ยิ่งรัดแน่น เส้นใยสีดำนั่นยังคมกริบยิ่งกว่ามีด แทบจะตัดท่อนขาของเขาขาดออกมา 


 


 


เพียงแค่ครู่เดียว เขาก็ต้องยอมจำนน 


 


 


จากนั้นเหยียนเฉียวหลัวก็หันกลับมามองดูจีเฉวียน เห็นเขายังคงเงียบงันไม่กล่าววาจา ก็พูดขึ้นมาว่า “ฝ่าบาท เสด็จพี่รัชทายาทของข้าก่อนที่จะสิ้นไปได้เขียนหนังสือโลหิตเอาไว้ฉบับหนึ่ง พระองค์โปรดจะทอดพระเนตรดูหรือไม่เพคะ?” 


 


 


พูดแล้วนางก็ล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าที่มีแต่เลือดผืนหนึ่งออกมา คลี่ออกเบาๆ เปิดให้เห็นมุมด้านหนึ่ง “หากว่าพระบิดาได้เห็นหนังสือโลหิตฉบับนี้ ไม่รู้ว่าจะทรงเสียพระทัยถึงเพียงไหน” 


 


 


พูดไปนางก็ค่อยๆ คลี่จดหมายเลือดฉบับนั้นออกอ่าน “ข้ารัชทายาทแคว้นเหยียน เหยียนหยุน….” 


 


 


อ่านไปเพียงไม่กี่คำนางก็หยุดลง มองดูจีเฉวียน นัยตาเต็มไปด้วยความกระหาย “ฝ่าบาท ที่ด้านนอกมีคนมากมายคอยฟังอยู่ พระองค์อยากจะปล่อยให้ข้าอ่านจนจบจริงๆ หรือเพคะ? เสด็จพี่รัชทายาทสิ้นไปอย่างน่าสงสาร แต่ก็ยังสู้อุตส่าห์ใช้แรงเฮือกสุดท้านเขียนหนังสือโลหิตเอาไว้…. 


 


 


อย่าว่าแต่แคว้นเหยียนของเราจะต้องไม่มีวันยินยอมเลิกรา หากแคว้นอื่นๆ ได้รับรู้เรื่องนี้ เกรงว่าคงจะต้องร่วมมือกันมาจัดการแคว้นต้าโจวเป็นแน่?” 


 


 


“พระองค์ปรารถนาจะได้มาซึ่งแผ่นดิน ไหนเลยจะทรงยอมเป็นศัตรูกับคนทั้งมวลเพราะเรื่องนี้ได้ นี่ไม่ใช่หนทางที่พระองค์จะสมควรเลือก” 


 


 


ว่าแล้ว เหยียนเฉียวหลัวก็วางร่างของเหยียนหยุนลง นางลุกขึ้นยืน เส้นผมที่เคยถูกไฟลนถูกสางจนเรียบร้อย ใบหน้ารูปไข่ผุดรอยยิ้มที่ชั่วร้ายขึ้นมา 


 


 


ท่อนแขนทั้งสองของนางเผยออกมา จนมองเห็นรอยขีดข่วนหลายรอย หยดเลือดที่กระจายอยู่บนพื้นล้วนมาจากร่างของนาง นางเดินเข้าไปหาจีเฉวียนช้าๆ ดวงตาคู่นั้นจับจ้องอยู่ที่จีเฉวียนอย่างไม่ยอมวางตา “ฝ่าบาท ท่านก็รู้หลายปีมานี้เฉียวหลัวรักแต่ท่านมาโดยตลอด ไม่เคยเปลี่ยนใจมาก่อน ตอนนั้น ข้าไม่ใส่ใจฐานะที่เป็นตัวประกันของท่าน คิดแต่อยากจะอยู่กับท่านเท่านั้น เห็นหรือไม่ว่าข้ามิใช่ผู้ที่ยิดติดอยู่กับยศถาบรรดาศักดิ์” 


 


 


“ข้ารู้ดี ในใจของพระองค์ปรารถนาแผ่นดิน ทะเยอทะยานอยากจะครอบครองดินแดนทั้งหมด ข้าช่วยท่านได้! จริงๆ นะ! มีแต่ข้าเท่านั้นที่มีคุณสมบัติจะยืนอยู่เคียงข้างท่าน กลายเป็นผู้สนับสนุนจากภายในที่มีกำลังมากที่สุด ท่านต้องการรวบรวมแผ่นดิน ข้าก็จะช่วยท่านชิงมันมา เหยียบเอาไว้ที่ใต้เท้า!” 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น จีเฉวียนประทับนั่ง ส่วนนางยืนอยู่ข้างหน้า ดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นคลั่งไคล้ขึ้นมา “ฝ่าบาท ท่านรู้หรือไม่ว่า นับตั้งแต่การประลองกับสัตว์ร้ายในต้าเหยียนปีนั้น ท่านยืนอยู่เหนือภูเขาซากสัตว์ร้ายนับร้อบนับพัน ตลอดทั้งร่างมีแต่เลือด ดวงตาเปี่ยมไปด้วยไอสังหาร ข้าก็ถูกใจท่านเข้าแล้ว” 


 


 


“ข้ารู้ว่า จะช้าหรือเร็วสักวันหนึ่ง ท่านจะกลายเป็นประมุขผู้ครองแผ่นดินทั้งหมด ข้าก็รู้ว่า องค์หญิงแคว้นเหยียนที่อ่อนแอนั้นไม่เหมาะสมกับท่าน ดังนั้นตลอดหลายปีมานี้ข้าถึงได้มีความพยายาม พยายามจะเปลี่ยนเป็นเข็มแข็ง พยายามเพื่อจะได้มีคุณสมบัติที่จะเคียงบ่าเคียงไหล่กับท่าน ยังมี….ข้าไม่เสียใจว่าจะต้องขโมยแผนที่ขุมทรัพย์ของพระบิดาออกมา เพียงเพราะว่าอยากจะเป็นกำลังให้กับท่าน แล้วไยจึงทำกับข้าเช่นนี้? 


 


 


“ตอบรับข้ามันยากนักหรืออย่างไร?” 


 


 


นางยิ่งทียิ่งเขยิบเข้ามาใกล้ จนแทบจะนั่งลงไปบนตักของจีเฉวียนอยู่แล้ว 


 


 


นางยกสองมือขึ้นมา คิดจะสัมผัสใบหน้าที่งดงามไร้ที่ตินั้น 


 


 


จีเฉวียนคือความใฝ่ฝันของนาง เพียงแวบแรกที่เห็นก็ตัดสินใจไปชั่วชีวิต 


 


 


มิว่าจะต้องสละสิ่งใดไปก็ตาม นางก็จะต้องได้เขามาให้ได้! 


 


 


ต่อให้ต้องสังหารพี่ชายของตนเอง ขอเพียงได้กลายเป็นสตรีของเขา ไม่ว่าอะไรนางก็ทำได้ทั้งนั้น! 


 


 


“พี่ชายเฉวียน หัวใจของท่านทำจากหินผาหรืออย่างไร? ท่านมิได้ชอบข้าบ้างสักนิดเลยหรือ?” ปลายนิ้วของเหยียนเฉียวหลัวเกือบจะสัมผัสลงไปบนใบหน้าของจีเฉวียน 


 


 


เขายังทรงประทับอยู่เช่นเดิม มิได้ขยับแขนขาเลยสักนิด 


 


 


สายตาของเขามองไปยังด้านหลังของเหยียนเฉียวหลัว ‘ร่าง’ ของเหยียนหยุน 


 


 


………………….. 


 


 


ที่ด้านนอกห้อง ตู๋กูซิงหลันแอบฟังคำสารภาพรักของเหยียนเฉียวหลัวจบไปแล้วรอบหนึ่ง ไม่รู้ว่าเจ้าฮ่องเต้สุนัขตอนอยู่ที่แคว้นเหยียนไปทำอะไรเอาไว้ ถึงได้ทำให้คนหลงใหลจนถึงเพียงนี้ ขนาดพี่ชายของตนเองก็ยังกล้าฆ่าตาย จะเป็นจะตายก็ขอแต่งกับเขาให้ได้ 


 


 


ในโลกก่อนนางเคยได้บังเอิญเจอกับแฟนคลับที่สติไม่ดีคนหนึ่ง การสะกดรอยตามในทุกรูปแบบของเขาทำเอานางต้องปวดหัวอย่างหนัก ยามนี้เมื่อนางมองไปยังเหยียนเฉียวหลัวก็คล้ายกับว่าได้เห็นแฟนคลับผู้นั้นอีกครั้ง 


 


 


ตู๋กูซิงหลันได้แต่ส่ายศีรษะ นางหันไปมองดูดวงวิญญาณของเหยียนหยุน 


 


 


องค์รัชทายาทแคว้นเหยียนผู้นี้มีเคราะห์หนัก ต่อให้หลับฝันเขาก็คงจะนึกไม่ถึงว่า ตนขโมยไก่ไม่สำเร็จซ้ำยังต้องเสียข้าวสารไปกำมือ เอาตนเองไปแขวนคอแท้ๆ 


 


 


ยังดีที่ชะตาของเขายังไม่ถึงฆาต ธนูดอกนั้นจึงเบนออกไปเล็กน้อย หากว่าพยายามช่วยก็คงจะยังทันอยู่ 


 


 


ร่างกายของตู๋กูซิงหลันพึ่งจะฟื้นฟูขึ้นมาบ้าง ตอนนี้ในมือของนางมียันต์สีเหลืองแผ่นหนึ่ง นางปิดตาลง อาศัยช่องว่างขณะที่เหยียนเฉียวหลัวกำลังสารภาพรัก ผนึกยันต์แผ่นนั้นลงไปบนวิญญาณของเหยียนหยุน 


 


 


ได้ยินเสียงพรึ่บเบาๆ เส้นใยสีดำที่รัดรึงดวงวิญญาณของเขาเอาไว้ก็มอดไหม้จนขาดสิ้น 


 


 


วิญญาณของเหยียนหยุนกลายเป็นอิสระ เขารีบหันไปมองทางหน้าต่างโดยทันที จึงได้เห็นใบหน้ากลมๆ ที่งดงามอยู่ภายใต้บานหน้าต่าง เพียงแค่สบตาครั้งเดียว หัวใจของเหยียนหยุนก็เต้นตึกตักอย่างแรง 


 


 


น่ารักมากๆ! 


 


 


ในแคว้นต้าโจวแม้แต่นางกำนัลก็ยังน่าหลงใหลขนาดนี้เลยหรือ? 


 


 


ตู๋กูซิงหลันมัดผมจุกสองข้างอย่างนางกำนัล ตัวก็อวบอ้วนขึ้นมากกว่าเดิม ตอนนี้นางหยิบเอายันต์ขึ้นมาอีกแผ่นหนึ่ง พลางท่องคาถาเบาๆ ก็เห็นยันต์ในมือเกิดเป็นดวงไฟสีน้ำเงิน 


 


 


“รัชทายาทแคว้นเหยียน หากว่าเซียนอย่างข้าช่วยชีวิตท่าน ท่านจะตอบแทนเช่นไร?” ตู๋กูซิงหลันถามออกไป 


 


 


นี่เป็นการสื่อสารผ่านทางวิญญาณ ไม่ได้เปิดปากเอ่ยออกไป ยันต์แผ่นนี้ก็ถ่ายทอดความคิดของนางไปยังเหยียนหยุน 


 


 


เหยียนหยุนตกตะลึงไปเล็กน้อย ตอบกลับมาอย่างโง่งมว่า “ข้ายังมีทางช่วยได้อีกหรือ?” 


 


 


“หากว่าเจ้าอยากจะตายๆ ให้จบสิ้นไป เซียนอย่างข้าก็ไม่มีความเห็นอื่น” 


 


 


“ข้ายังไม่อยากตาย ท่านเซียนช่วยข้าด้วย เจ้าต้องการอะไร ข้าจะให้ทุกอย่าง!” รัชทายาทเหยียนรีบตอบอย่างรวดเร็ว “ขอเพียงเป็นสิ่งที่ข้าให้ได้ ก็จะไม่ขอขมวดคิ้วเลยสักนิด!” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันยกมุมปาก คลี่ยิ้มออกมาดุจดอกทานตะวันอยู่นอกหน้าต่าง “ย่อมต้องมีสิ่งที่จะขอให้ท่านยกให้” 


 


 


พูดแล้ว ก็เห็นนางส่งยันต์ในมือเข้าไปใน ‘ร่าง’ ของเหยียนหยุน 


 


 


……………………. 


 


 


ภายในห้อง 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวยังคงมองดูจีเฉวียนอย่างหลงใหล 


 


 


คำพูดมากมายกล่าวออกไปจนหมดแล้ว ก็ยังไม่เห็นฮ่องเต้จะทรงมีปฏิกริยาใดๆ หากมิใช่เพราะว่าเขายังคงหายใจอยู่ นางคงนึกว่าเขาเป็นร่างปลอมไปเสียแล้ว 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวเปิดปาก คิดจะกล่าวต่อไป ก็พลันเห็นฮ่องเต้เอ่ยขึ้นมา “เขายังไม่ตาย” 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวหัวเราะเสียงเย็นชา “ฝ่าบาท พี่ชายรัชทายาทของข้าตายจนตัวแข็งไปแล้ว หรือท่านมีอำนาจเหนือแผ่นฟ้า สามารถจะชุบชีวิตของเขาได้?” 


 


 


“เขายังไม่ตาย” ฮ่องเต้ยังทรงตรัสอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเช่นเดิม 


 


 


เหยียนเฉียวหลัว “……..” เขายังจะดื้อดึงเพื่ออะไร? เหยียนหยุนตายแล้วแน่นอน 


 


 


“ฝ่าบาท หรือว่าพระองค์คิดจะเสาะหาคนมาปลอมเป็นเสด็จพี่รัชทายาท เพื่อกลบเกลื่อน?” เหยียนเฉียวหลัวคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆ นางไม่มีทางประมาทจีเฉวียน เขาไม่ใช่คนที่จะนั่งรอความตายมาก่อน 


 


 


เพียงแค่ครู่เดียว เขาก็หาหนทางได้แล้ว? 


 


 


“พระองค์ทรงคิดว่า การปลอมเป็นเสด็จพี่รัชทายาทของข้าเป็นเรื่องง่ายๆ หรือเพคะ?” 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวพูดพึ่งจบไป ก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังมาจากทางด้านหลัง “เช่นนั้นก็คงต้องขออภัยด้วย ที่ข้าไม่ได้ตายแข็งทื่อตามความตั้งใจของเจ้า” 


 


 


ประโยคนี้ ทำเอาเหยียนเฉียวหลัวขนลุกขึ้นมาในทันที 


 


 


เป็นไปได้อย่างไร? 


 


 


นางชะงักไปครู่หนึ่ง จึงค่อยๆ หันหน้ากลับไป 


 


 


 


 


 


——


 


 


คุยกันนิดนึง:


 


 


เฉียวหลัว: ยกธงให้นางเลย มีความเป็นโจโฉมาก ‘ยอมทรยศผู้อื่น แต่ไม่ขอให้โลกทรยศ’ 


 


 


นางถือคติลงมือก่อนได้เปรียบสินะ แต่ว่าวิชามืดระดับขี้ผงของหนู ยังไม่ถือว่าเข้าขั้นนะคะ


 


 


เหยียนหยุน: รับปากอะไรไว้จ๊ะ รับปากมั่วๆ ระวังโดนถลกหนังนะคะคุณ 


 


 


ไรท์: เจอตัวละครโรคจิตอย่างเฉียวหลัว ทำให้ไรท์คิดถึงประสบการณ์ที่เคยเจอคนขับแท็กซี่โรคจิตคนหนึ่ง ตอนนั้นไรท์ท้องลูกชายคนโตได้หกเดือนมั้ง ขึ้นแท็กซี่กลับบ้านช่วงเกือบๆ ทุ่มนึง พอปิดประตูรถ แท็กซี่ก็เริ่มดราม่าชีวิตเศร้าของเขาออกมา บอกว่ามีเมียกี่คนๆ เมียก็ทิ้ง ใครๆ ก็หาว่าผมบ้า บลาๆๆๆ เขาขับรถฉวัดเฉวียนมากๆๆๆๆ และถ้าไม่มองเราผ่านกระจกหลัง ก็คือหันมาคุยกันเลย (ในใจนี้ พี่ได้โปรดๆๆ มองถนน!) โชคดีที่บ้านใกล้ แค่15นาทีถึงแต่มันเป็น15นาทีที่น่ากลัวสุดในชีวิตของไรท์ มือซ้ายจับประตูพร้อมออกตลอดเวลา มือขวาจับท้องห่วงลูก ปากก็พูดว่า ‘พี่ไม่บ้าหรอกคะ พี่เป็นคนดี เป็นคนดีมากๆ รับคนท้องขึ้นรถ ขอบคุณนะคะที่พามาส่งบ้านอย่างปลอดภัย ไม่งั้นลำบากแย่เลย’ แต่จริงๆ ไรท์ให้เขาส่งอพาร์ทเม้นท์หน้าซอยบ้าน เพราะกลัวจัด ขอลงที่ๆ มีคน น้ำใสไฟสว่างไว้ก่อน (เดี๋ยวเดินเองอีกหน่อยก็ได้ ลงก่อนนั้นก็ไม่ได้ มืดและดูผิดสังเกตเกินไป) ที่ไรท์จะบอกคือ สังคมปัจจุบันอันตราย สิ่งสำคัญคือมีสติ กลัวได้แต่ต้องรู้จักสะกดตัวเองให้นิ่ง (ไม่ต้องบอกก็คงเดาได้ว่า ไรท์เดินเข้าอพาร์ทเม้นท์ไปนั่งขาสั่นอีก15นาที)  

 

 


ตอนที่ 238 ยัยอ้วนทั้งหลายคือตือโป้ยก่าย

 

นางพึ่งจะหันศีรษะมาได้ครึ่งหนึ่ง ก็เห็นเหยียนหยุนที่เดิมทีควรจะนอนอยู่บนพื้น กำลังค่อยๆ ลุกขึ้นมา 


 


 


ดวงพักตร์ของเขาซีดขาว แม้แต่ริมโอษฐ์ก็ไม่มีแม้แต่สีเลือด 


 


 


เขานั่งอยู่บนพื้น มองดูเหยียนเฉียวหลัวด้วยความงุนงงอยู่บ้าง ค่อยส่งยิ้มน่าเกลียดและเสียงหัวเราะอย่างลึกลับออกมา “องค์หญิงต้าเหยียน ข้ายังมิได้ถึงคราวต้องตายจริงๆ” 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปในทันที นางขยับนิ้วมือ ถึงได้พบว่าเส้นใยสีดำของตนถูกเผาจนหมดสิ้นแล้ว 


 


 


เมื่อครู่นางทุ่มเทสมาธิทั้งหมดไปกับการสารภาพรักจีเฉวียน จึงได้ละเลยเหยียนหยุนไป 


 


 


แม้แต่เส้นใยสีดำที่ตรึงดวงวิญญาณของเขาเอาไว้ก็ไม่รู้ว่าถูกเผาไปตั้งแต่เมื่อไหร่ 


 


 


ในที่นี้ นอกจากตัวนางแล้ว ยังมีใครที่สามารถควบคุมดวงวิญญาณได้อีก? 


 


 


คนที่ชะตายังไม่ขาดเช่นเหยียนหยุน หลังจากตายไปแล้วภายในครึ่งชั่วยาม หากว่าดวงวิญญาณสามารถหาทางกลับเข้าร่าง ก็สามารถรอดพ้นจากเคราะห์ได้ 


 


 


ดังนั้นนางถึงได้ใช้ด้ายจูงวิญญาณควบคุมเหยียนหยุนเอาไว้ เพราะเกรงว่าเขาจะหลุดจากการควบคุมของตนเองไป 


 


 


แต่พอจีเฉวียนปรากฏตัวขึ้นมา ความสนใจทั้งหมดของนางก็ไปอยู่บนร่างของจีเฉวียน ประกอบกับนางเป็นคนที่มีความมั่นใจในตนเอง จึงคิดไม่ถึงเลยว่าเหยียนหยุนจะหลุดออกไปจากการควบคุมนี้ได้ 


 


 


ตอนนี้เหยียนเฉียวหลัวถึงกับโง่งมไปแล้วจริงๆ จากนั้นในมือของนางก็ผุดเส้นใยสีดำขึ้นมาอีก นางส่งมันเข้าไปในร่างของเหยียนหยุนคิดจะลากเอาดวงวิญญาณที่ยังไม่ทันได้กลับเข้าไปอย่างมั่นคงออกมาอีกครั้ง 


 


 


มือพึ่งจะขยับ ก็ถูกจีเฉวียนคว้าเอาไว้แน่น 


 


 


หัตถ์ของเขาเย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง ราวกับเหล็กเย็นแท่งหนึ่งที่บีบนางเอาไว้จนขยับไม่ได้อีก 


 


 


พระองค์พึ่งจะจับตัวเหยียนเฉียวหลัว ก็ทอดพระเนตรเห็นตู๋กูซิงหลันพลิกตัวแวบเข้ามาจากทางหน้าต่าง เพียงแค่ไม่กี่ก้าวนางก็ขยับมาอยู่ข้างกายเหยียนหยุน พอดีดนิ้วออกก็ตัดด้ายที่เกาะอยู่บนร่างเหยียนหยุนออกไป 


 


 


จากนั้นก็ส่งดวงไฟสีน้ำเงินไปเผาด้ายจูงวิญญาณทิ้งจนหมด 


 


 


ไฟนั้นไล่ตามเส้นด้ายจูงวิญญาณไปจนถึงใจกลางฝ่ามือของเหยียนเฉียวหลัว ลวกมือของนางจนต้องถอยไปอีกหลายก้าว นางลืมตาโตจ้องมองดู ‘นางกำนัล’ ที่อยู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมา 


 


 


ใบหน้ากลมๆ ป้อมๆ ดวงตากลมโต 


 


 


ดูไปแล้วก็คล้ายจะเป็นตู๋กูซิงหลัน 


 


 


บอกว่าคล้ายก็ไม่คล้าย 


 


 


เพราะในความทรงจำของนางนั้นตู๋กูซิงหลันผอมแห้งจะตายไป ไม่มีทางเป็นยัยอวบนี้ได้แน่ๆ 


 


 


จีเฉวียนมองดูตู๋กูซิงหลันที่พึ่งจะปรากฏตัวขึ้นมา ก็ทรงหรี่พระเนตรมองดูรูปร่างที่กลมไปทุกส่วนของนาง ขาวๆ นุ่มๆ เช่นนี้ ดีมากจริงๆ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันไม่ได้สนใจเขา นางพยุงเหยียนหยุนขึ้นมา กล่าวประโยคหนึ่งว่า “รัชทายาทเหยียน ท่านไม่เป็นไรใช่ไหมเพคะ?” 


 


 


เมื่อครู่ตอนที่เหยียนหยุนยังเป็นวิญญาณอยู่นั้น เขาเพียงแค่ได้เห็นนางแต่ไกลก็รู้สึกว่าน่าประทับใจมากแล้ว 


 


 


ตอนนี้ได้เห็นกันอย่างใกล้ชิด หัวใจดวงน้อยของเขาก็เต้นตึกตักๆ ขึ้นมา 


 


 


ที่ผ่านมาเขาคิดว่ายัยอ้วนก็คือตือโป้ยก่ายมาโดยตลอด! 


 


 


จนกระทั่งได้เจอนางกำนัลผู้นี้ 


 


 


นางไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตของเขาเอาไว้ครั้งหนึ่งเท่านั้น แต่ยังเป็นเซียนที่เกิดมาพร้อมรูปโฉมที่งดงามอีกด้วย เหยียนหยุนมองดูนาง ยิ่งรู้สึกว่าตนเองได้พบกับสมบัติล้ำค่าเข้าแล้ว 


 


 


เขาประคองหัวใจตัวเองเอาไว้ ในดวงตามีแต่เงาของตู๋กูซิงหลัน 


 


 


“ข้าไม่เป็นอะไร” เขาพลิกมือลงมาจับมือของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ อยากจะกล่าวขอบคุณที่นางช่วยชีวิตออกไป แต่พอคิดถึงคำพูดของนางเมื่อครู่ ก็ได้แต่เก็บความพลุ่งพล่านเอาไว้ก่อน 


 


 


แต่กริยาเช่นนี้ ก็เพียงพอที่จะจุดความเดือดทั่วทั้งร่างของฮ่องเต้ขึ้นมาแล้ว 


 


 


พอพระองค์ออกแรงขึ้นมา ฝ่ามือของเหยียนเฉียวหลัวที่ถูกคว้าไว้ก็ถูกบีบหัก 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวพยายามขัดขืน แต่ว่าเมื่อเป็นเรื่องของพละกำลัง นางก็ไม่อาจเป็นคู่มือของจีเฉวียนได้จริงๆ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันไม่ทันได้มองเห็นเลยสักนิด นางเพียงแต่กวาดตามองดูธนูที่อยู่บนอกของเหยียนหยุน แต่ไม่ได้รีบร้อนช่วยเขาดึงออกมา พลางกล่าวว่า “รัชทายาททรงได้รับบาดเจ็บในแคว้นต้าโจว เกือบจะต้องเสด็จสวรรคตเสียแล้ว ที่สามารถรอดกลับมามีชีวิตได้ ก็เพราะได้รับความคุ้มครองจากฮ่องเต้ต้าโจวของพวกเรา รัชทายาทสมควรขอบพระทัยฮ่องเต้จึงจะถูก” 


 


 


เหยียนหยุนอึดอัดอยู่ในใจ ที่เขาอยากจะขอบคุณก็คือท่านเซียนที่แสนจะน่ารัก ไม่ใช่จีเฉวียนสักหน่อย 


 


 


เพียงแต่เมื่อครู่เขาพึ่งจะรับปากนางไป ตอนนี้จึงได้แต่เก็บงำความไม่พอใจนี้เอาไว้ก่อน 


 


 


พลางหันไปทางจีเฉวียน กล่าวว่า “ที่ครั้งนี้ข้ารอดชีวิตมาได้ ต้องขอขอบพระทัยฮ่องเต้แห่งต้าโจว” 


 


 


เหล่าฝูงชนที่อยู่ภายนอกห้อง เห็นเหยียนหยุนฟื้นคืนขึ้นมากับตา ก็พากันประหลาดใจ เดิมคิดว่าเขาคงจะกล่าวหาว่าฝ่าบาทส่งคนมาลอบสังหารเขา คิดไม่ถึงว่าเขากลับเป็นฝ่ายขอบคุณฝ่าบาท? 


 


 


นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมพวกเขาถึงได้รู้สึกว่าไม่เข้าใจไปหมดแล้ว? 


 


 


ใบหน้าของเหยียนเฉียวหลัวเป็นสีเขียวคล้ำ นางมองดูเหยียนหยุนด้วยความขุ่นเคือง “เสด็จพี่รัชทายาท ท่านลืมไปแล้วหรือไร เป็นพวกองครักษ์ลับของต้าโจวสังหารท่านต่างหาก นี่ท่านถูกบีบบังคับอยู่ถึงได้กล่าวออกมาเช่นนี้ใช่หรือไม่?” 


 


 


“อย่าได้ลืมว่า ท่านคือรัชทายาทแห่งต้าเหยียน ทุกคำพูดทุกการกระทำของท่านเท่ากับเป็นตัวแทนของต้าเหยียน แคว้นต้าเหยียนของพวกเราจะละทิ้งเกียรติภูมิได้อย่างไร” 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวยังไม่ยอมถอดใจง่ายๆ นางรู้ดีว่า เหยียนหยุนให้ความสำคัญกับฐานะรัชทายาทของตนเอง ต่อให้นางฆ่าเขา แต่พวกนางอย่างไรเสียก็เป็นพี่น้องกัน เพื่อต้าเหยียนแล้ว เหยียนหยุนไม่สมควรจะทำให้นางไม่มีเวทีจะลง 


 


 


เพราะว่า หากเขาชี้ตัวยืนยันว่าเป็นนาง ผู้ที่ต้องเสียหายมากที่สุดก็คือแคว้นเหยียนเอง 


 


 


เขาไม่ใช่คนโง่ขนาดที่จะเอาแคว้นต้าเหยียนไปเสี่ยงเช่นนั้น 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น คนที่เกิดความคิดฆ่าฟันขึ้นมาก่อน ก็คือเขา! 


 


 


นางก็แค่ ผลักเรือไปตามน้ำ [1] พลิกเป็นฝ่ายสังหารเขาเท่านั้นเขามีสิทธิ์อะไรจะมาต่อว่านางกัน? 


 


 


แต่เพื่อปลอบใจเหยียนหยุน เหยียนเฉียวหลัวจึงกล่าวเสริมอีกว่า “เฉียวหลัวมิได้ปกป้องท่านให้ดี เป็นความผิดของเฉียวหลัวเอง รอให้กลับไปแคว้นเหยียน เฉียวหลัวจะต้องพยายามชดเชยให้เสด็จพี่รัชทายาทอย่างดีที่สุดแน่นอน” 


 


 


คำพูดนี้เรียกว่าชัดเจนจนไม่อาจจะชัดแจ้งไปกว่านี้ได้แล้ว พวกนางเป็นพี่น้องกัน ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาเปิดศึกกันเอง แต่ต้องร่วมมือกันจัดการคนนอกจึงจะถูก รอจนกลับไปแคว้นแล้ว จะจัดการนางอย่างไร ก็แล้วแต่เขา 


 


 


เหยียนหยุนออกจะลังเลอยู่บ้าง เนื่องเพราะเขาคือรัชทายาทของแคว้นเหยียน เมื่อเป็นรัชทายาทของแคว้นหนึ่งย่อมไม่อาจจะคำนึงถึงแต่ตนเอง 


 


 


คำพูดของเหยียนเฉียวหลัวมีเหตุผล เขาต้องคำนึงถึงแคว้นเหยียนให้มากเข้าไว้ 


 


 


พอพึ่งจะคิดได้เช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันก็ยื่นมือออกไปกดลงบนธนูบนอกของเขาเบาๆ 


 


 


เหยียนหยุนเจ็บจนต้องสูดลมหายใจเย็นๆ เข้าไป 


 


 


“องค์รัชทายาท ธนูดอกนี้ปักลึกมาเลยเพคะ ดูท่าคนที่คิดจะฆ่าพระองค์คงจะต้องตั้งใจให้ท่านถึงตายอย่างแน่นอน น่ากลัวจริงๆ นะเพคะ” นางยกมือขึ้นมาจับหน้าตนเองทำท่าทำทางหวาดวิตกออกมา “ใครกันนะที่มีฝีมือชั่วร้ายขนาดนี้ แม้แต่องค์รัชทายาทที่เป็นบุรุษรูปงามเช่นนี้ก็ยังไม่ยอมละเว้น” 


 


 


เหยียนหยุนที่ทางหนึ่งเจ็บปวดจนต้องหอบหายใจ ทางหนึ่งก็ได้ยินเสียงกระซิบเบาๆ ของตู๋กูซิงหลันลอยเข้าหู “รัชทายาทเพคะ หากท่านอยากตายละก็ ข้ายังมีวิธีที่โหดเ**้ยมกว่าน้องสาวของท่านอีกนับร้อยวิธีเลยทีเดียวนะเพคะ” 


 


 


ดวงพักตร์ที่พึ่งจะมีสีเลือดอยู่บ้างของเหยียนหยุนกลับไปซีดขาวอีกครั้งในทันที 


 


 


พึ่งจะกลับมาจากประตูผีรอบหนึ่ง เขาก็มัวแต่ใจเต้นตูมตาม แม้แต่เรื่องธนูก็เกือบจะลืมไปแล้ว 


 


 


เขาไอออกมาเบาๆ ครั้งหนึ่ง ก็กวาดตามองไปที่เหยียนเฉียวหลัว “เจ้าคิดว่าเราจะตกหลุมพรางของเจ้าอีกครั้งหรือไง?” 


 


 


ผู้คนต่างพากันไม่เข้าใจ รัชทายาทที่ฟื้นจากความตายไหงจึงมีท่าทางไม่เป็นมิตรกับน้องสาวของตนเองซะแล้ว 


 


 


“ข้าอุตส่าห์มีน้ำใจมาดูเจ้าที่ตำหนักเย็น แต่เจ้ากลับชั่วช้าวางแผนฆ่าเราที่เป็นพี่ชาย เพื่อจะได้เอามาใช้ข่มขู่ฮ่องเต้ต้าโจว บีบให้ตนได้เป็นฮองเฮาของเขา เจ้าอยากได้บุรุษจนเสียสติไปแล้วหรือ? เป็นถึงองค์หญิงแคว้นเหยียน กลับกล้ากระทำเรื่องนี้ออกมาได้ พระบิดาทรงทราบเข้า คงจะต้องถูกเจ้าทำให้พิโรธจนสิ้นพระทัยแล้ว!” 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] 顺水推舟: กระทำไปตามสถานะการณ์  

 

 


ตอนที่ 239 คนดี เจ้าอยู่ให้ห่างจากเขา...

 

คำพูดนี้ของเหยียนหยุนทุกคนต่างก็ได้ยินกันอย่างชัดเจน 


 


 


ถึงขนาดสังหารพี่น้องภายในวังของแคว้นอื่น องค์หญิงแคว้นเหยียนผู้นี้ช่างร้ายกาจยิ่งนัก! 


 


 


นางฆ่าพี่ชายแล้วยังกล้าโยนความผิดมาให้ฮ่องเต้ของพวกเขา ฝ่าบาทพระองค์ทรงถึงคราวเผชิญเคราะห์หนักแปดชาติจริงๆ ถึงได้ต้องมาประสบเหตุเช่นนี้! 


 


 


คราวนี้ท่านหัวหน้าราชองครักษ์และใต้เท้าอวี้ซื่อต่างก็เข้ามาแล้ว 


 


 


ทั้งสองต่างก็แยกย้ายกันเข้ามายืนอยู่ด้านข้างของจีเฉวียน พอได้รับสัญญาณจากพระเนตรของฮ่องเต้ เหล่าราชองครักษ์ก็เข้ามาจับตัวเหยียนเฉียวหลัว 


 


 


ข้อมือของนางหักไปแล้ว ทั้งยังโดนเหยียนหยุนตวาดไปครั้งหนึ่ง คนตอนนี้จึงมึนงงไปหมดแล้ว 


 


 


พอได้สติขึ้นมานางก็คิดจะขัดขืน แต่กลับเห็นตู๋กูเจวี๋ยเดินมาที่ด้านข้าง “องค์หญิงแคว้นเหยียน ท่านรู้จักคำพูดที่ว่า ทำชั่วได้ชั่ว [1] หรือไม่? ดูท่านสิ ที่เป็นเช่นนี้เพราะอะไร? วันๆ เอาแต่ก่อเรื่องไม่มีเว้น นี่มิใช่ว่าก่อเรื่องจนหาความตายให้ตนเองหรือไง ขนาดฮ่องเต้ของพวกเราก็ยังกล้าใส่ไคล้ บรรพบุรุษของท่านมิต้องโกรธจนกระโดดออกจากหลุมมาเอาชีวิตของท่านหรือไง?” 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวพูดอะไรไม่ออก ไอ้ตัวแสบนี่ เมื่อครู่ตอนที่นางข่มขู่จีเฉวียน ไม่เห็นมันออกมาพูดอะไรสักคำ พอเห็นเรื่องราวคลี่คลายลงเท่านั้นละ ก็รีบโดดเข้ามาเหยียบนางในทันที ไอ้คนไร้ยางอาย 


 


 


นางกัดฟันกรอด ส่งสายตาอาฆาตให้กับตู๋กูเจวี๋ย แล้วหันกลับมามองค้อนเหยียนหยุนอีกครั้ง สุดท้ายค่อยเหลือบไปมองดูนางกำนัลตัวน้อยใบหน้ากลมๆ ที่อยู่ข้างกายเขา 


 


 


นางกับตู๋กูซิงหลันต่างก็มีวิชาอาคมเหมือนกัน 


 


 


ในวังหลวงของแคว้นต้าโจว ถึงกับมีคนที่รู้วิชาอาคมมากขนาดนี้เชียว? 


 


 


หากมิใช่เพราะว่ามีนังนั่นโผล่ออกมาอย่างกระทันหัน วันนี้นางก็คงจะได้เป็นสตรีของจีเฉวียนสมใจไปแล้ว 


 


 


นางขมวดคิ้วมุ่น จดจำนางกำนัลหน้ากลมผู้นั้นเอาไว้ในสมองอย่างแม่นยำ 


 


 


เหล่าราชองครักษ์ควบคุมตัวเหยียนเฉียวหลัวออกไป 


 


 


ภายในตำหนักเย็น ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรมายังเหยียนหยุนและตู๋กูซิงหลันที่ยืนอยู่เคียงข้างกัน 


 


 


ดวงตาหงส์ทั้งคู่แฝงแววอันตรายอย่างเต็มเปี่ยม 


 


 


ไม่รอให้เขาทันได้เอ่ยปาก ก็เห็นเหยียนหยุนหอบเอาสังขารที่เจ็บหนักและปวดร้าวเข้ามาคำนับเขา “ฝ่าบาท เฉียวหลัวก่อเรื่องเช่นนี้ ถือว่ามีโทษสมควรตาย ฝ่าบาทจะตัดสินเช่นไรก็แล้วแต่พระองค์จะเห็นสมควร” 


 


 


ด้านพระบิดาเมื่อทรงทราบเรื่องที่นางก่อขึ้น คิดว่าก็คงจะมิได้ให้อภัยโดยง่ายเช่นกัน 


 


 


อย่าว่าแต่ดินแดนสามเหลี่ยมเหยียนตงเลย เกรงว่าแม้แต่แก้วแหวนเงินทองก็คงไม่เอามาไถ่ถอนบุตรสาวเช่นนี้กลับไปเป็นแน่ 


 


 


จากนั้นก็ได้ยินเหยียนหยุนกล่าวอีกว่า “ชีวิตนี้ของข้าเป็นเพราะได้บารมีของฝ่าบาทคุ้มครองจึงเก็บกลับมาได้ ฝ่าบาททรงต้องการดินแดนสามเหลี่ยมเหยียนตง พวกเราก็จะมอบออกไป” 


 


 


วิธีการยอมถอยก้าวหนึ่งเช่นนี้ ทำให้สายตาของคนทั้งหลายเป็นประกายขึ้นมา 


 


 


ทุกคนต่างรู้ว่า องค์รัชทายาทผู้นี้ยามอยู่ในแคว้นตนเองถือดีขนาดไหน ตอนนี้เขาเก็บชีวิตกลับมาได้ครั้งหนึ่งก็รู้จักผ่อนปรนบ้างแล้ว? 


 


 


ดินแดนสามเหลี่ยมเหยียนตงที่ได้รับมาโดยง่ายดายเช่นนี้ ทำเอาพวกเขารู้สึกว่าคล้ายกับฝันไป 


 


 


ยังคงเป็นฮ่องเต้ที่รักษาความสงบนิ่งเอาไว้ ตั้งแต่ต้นจนจบสีพระพักตร์ก็เย็นชาดุจภูเขาน้ำแข็ง แม้ผู้อื่นยอมถอยให้ก็มิได้แสดงความตื่นเต้นยินดีออกมา 


 


 


โดยเฉพาะยามนี้ สายพระเนตรของฝ่าบาทคล้ายจะทอประกายลึกล้ำกว่าเดิม 


 


 


คงเพราะรัชทายาทเหยียนพึ่งจะคืนชีพขี้นมาหยกๆ สายพระเนตรบอดจึงไม่รู้จักอ่านสีหน้าผู้คน เขาถึงได้กล่าวเสริมขึ้นมาอีกประโยคหนึ่ง “เพียงแต่ว่าข้ามีข้อแม้ข้อหนึ่ง” 


 


 


ว่าแล้ว ก็มองไปยังนางกำนัลตัวน้อยใบหน้ากลมๆ ข้างๆ กาย หัวใจดวงน้อยๆ ของเขาก็เต้นตึกตักๆ ราวกับจะกระโดดขึ้นมาอีกครั้ง “ขอเพียงฝ่าบาทประทานนางกำนัลน้อยผู้นี้ให้กับข้า ดินแดนสามเหลี่ยมเหยียนตงก็จะเป็นของท่าน เรื่องพิพาทระหว่างต้าเหยียนของข้าและต้าโจวของท่านก็ขอให้จบลงเพียงเท่านี้ เป็นอย่างไร?” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “……..” นางไม่ควรจะช่วยชีวิตรัชทายาทสุนัขผู้นี้เลย 


 


 


พอเหยียนหยุนกล่าวออกมา สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ยังไม่ทันเปลี่ยน ก็เห็นตู๋กูเจวี๋ยหน้าถอดสีไปก่อนแล้ว 


 


 


“พูดอีกทีสิ เจ้าต้องการใคร?” เขาร้องเสียงสูง ถามออกไปตรงๆ ทันที ทำเอาเหยียนหยุนงงงันไปเล็กน้อย 


 


 


เขาก็แค่ต้องการนางกำนัลเล็กๆ ผู้หนึ่ง มีปัญหาอะไรหรือ? 


 


 


สามเหลี่ยมเหยียนตงของพวกเขา คงไม่อาจให้เปล่าได้กระมัง? 


 


 


ขอแค่นางกำนัลเล็กๆ ผู้หนึ่งเป็นการแลกเปลี่ยน แคว้นต้าโจวก็ได้กำไรออกจะตายใช่ไหม? 


 


 


หลี่กงกงเหลือบตามองดูรัชทายาทแคว้นเหยียนแวบหนึ่ง ในใจก็จุดประกายไฟใส่คนผู้นี้ขึ้นมา 


 


 


จะเอาใครไม่ว่า เจ้าคิดจะเอาไทเฮาน้อย? 


 


 


ไม่รู้หรือว่านั่นคือชีวิตจิตใจของฮ่องเต้พวกเรา? อย่าว่าแต่เป็นสามเหลี่ยมเหยียนตง ต่อให้เจ้ามอบแผ่นดินแคว้นเหยียนมาครึ่งหนึ่ง ดูสิว่าฮ่องเต้ของพวกเราจะเหลียวแลบ้างหรือไม่? 


 


 


จีเฉวียนที่ประทับนั่งอยู่บนเก้าอี้มาตลอดยามนี้ก็ยืนขึ้นมาแล้ว 


 


 


เพียงสาวพระบาทไม่กี่ครั้งพระองค์ก็ก้าวมาถึงเหยียนหยุนและตู๋กูซิงหลัน พระหัตถ์ข้างหนึ่งคว้าตู๋กูซิงหลันมาไว้ในอ้อมอก ดวงเนตรหงส์คู่นั้นจดจ้องเหยียนหยุนจนวิญญาณแทบจะถอดออกจากร่าง “ตอนที่เจ้าบอกกับเหยียนเฉียวหลัวว่าตำหนักตี้หัวมีคนโปรดคนใหม่ คือใครนั้นในใจเจ้าไม่ได้คิดคำนวณไว้บ้างหรือ?” 


 


 


อุ้งมือใหญ่โตของเขาโอบเอวของตู๋กูซิงหลันเอาไว้อย่างแนบแน่น ร่างของคนทั้งสองแทบจะชิดติดกัน 


 


 


เหยียนหยุนตะลึงไปครู่ใหญ่ สักพักหนึ่งเขาถึงได้มีปฏิกริยาขึ้นมา ที่แท้นับตั้งแต่ที่เขาเหยียบเข้ามาในวังหลวง ก็ตกอยู่ภายใต้การจับตาของจีเฉวียนมาโดยตลอด 


 


 


กระทั่งคำที่ตนเองพูดกับเหยียนเฉียวหลัว เขาก็ยังรู้อย่างชัดเจน 


 


 


เขาเป็นเหมือนกับเจ้าของงานเลี้ยง ที่มองดูพวกเขาออกมาแสดง แถมการแสดงที่น่าอดสูของพวกเขาก็ยังทำให้บันเทิงไม่น้อย 


 


 


เพียงแต่จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่า คนโปรดคนใหม่ในตำหนักตี้หัวที่แท้ก็คือ….นางกำนัลตัวน้อยที่ทั้งงดงามและน่ารักผู้นี้? 


 


 


คนอื่นๆ ยิ่งนิ่งตะลึงไป มองดูเผินๆ นางกำนัลตัวน้อยผู้นี้และไทเฮามีหน้าตาคล้ายกันมาก แต่ว่ารูปร่างผิดกันลิบลับเกินไปแล้ว 


 


 


แค่เพียงไม่กี่วันไทเฮาน้อยจะทรงอวบอ้วนขึ้นมาถึงเพียงนี้ได้อย่างไร? 


 


 


จะต้องเป็นเพราะว่าฝ่าบาททรงหาสตรีที่คล้ายคลึงกับไทเฮามาคนหนึ่งเพื่อเป็นคนโปรดคนใหม่ สิ่งเหล่านี้บอกอะไรบ้าง? 


 


 


ซูหวงกุ้ยเฟยพึ่งจะทรงครรภ์ได้ไม่นาน ฝ่าบาทไม่อาจแตะต้องนาง จึงหาคนโปรดคนใหม่เรื่องนี้สามารถเข้าใจได้ 


 


 


แต่ว่าทำไมถึงต้องหาคนที่คล้ายคลึงกับไทเฮาน้อยขนาดนี้ด้วย? 


 


 


หรือว่าที่จริงแล้วเรื่องราวมิได้เป็นไปตามข่าวลือที่ว่าไทเฮาน้อยอกหักจากฝ่าบาทความรักไม่เกิดผล….. 


 


 


ที่จริงแล้วฝ่าบาททรงโปรดไทเฮาน้อยเช่นกัน เพียงแต่ด้วยฐานะที่แตกต่าง จึงไม่อาจอยู่ร่วมกับนางได้ ดังนั้นถึงได้หาตัวแทนขึ้นมา 


 


 


ว่ากันตามจริง ตัวแทนที่ขาวๆ อ้วนๆ นี้ดูแล้วก็น่ารักกว่าไทเฮาน้อยมากมายนัก 


 


 


“เหยียนหยุน เก็บชีวิตกลับมาได้ก็จงสำรวมให้มากหน่อย” จีเฉวียนยังทรงประกบตัวแทนผู้นั้นเอาไว้แนบแน่น ราวกับเป็นเจ้าของอย่างไรอย่างนั้น “คนโปรดคนใหม่ของเรา คือสตรีที่เจ้าไม่อาจแตะต้องได้ไปทั้งชาติ” 


 


 


ตรัสแล้ว พระองค์ก็ไม่ทรงลืมที่จะจุมพิตเบาๆ บนหน้าผากของนาง “คนดี ต่อไปอยู่ให้ห่างจากรัชทายาทผู้นี้สักหน่อย เขาไม่ใช่คนดีอะไร” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันรู้สึกคล้ายกับว่าบนหน้าผากติดไฟได้ขึ้นมา นางอยากจะกระโดดถอยออกไปทีเดียวสามก้าว แต่ติดที่ว่าถูกเขากอดเอาไว้ทั้งตัว จนหมดหนทางจะหลบหนี 


 


 


จีเฉวียนทำเอานางจั๊กจี้ไปทั้งตัวแล้ว ขอตัดคำว่าเด็กดีอะไรนั่นทิ้งจะได้ไหม! 


 


 


ตู๋กูเจวี๋ยมองดูน้องสาวตัวอวบอ้วน หลังจากนั้นก็ต้องทนดูจีเฉวียนเอารัดเอาเปรียบน้องสาวภายใต้หนังตาของเขา ก็รู้สึกว่าคำพูดที่อัดอั้นอยู่ในท้องจะทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว 


 


 


ต่อให้น้องสาวอ้วนขึ้นมาอีกห้าสิบชั่ง เขาก็สามารถดูออกในชั่วพริบตา 


 


 


อย่าว่าแต่พึ่งจะอ้วนขึ้นมาเท่าเดียวเท่านั้น 


 


 


จะว่าอย่างไรตอนนี้นางก็เป็นถึงไทเฮา เพื่อที่จะปิดหูปิดตาผู้อื่นว่าจีเฉวียนมีใจให้น้องเล็ก ก็เลยจับไปขังแล้วขุนรึ! 


 


 


ช่วงก่อนหน้านี้ในวังต่างก็เล่าลือกันไปทั่วแล้ว ว่าตำหนักตี้หัวอาหารทั้งสามมื้อในแต่ละวันล้วนเป็นขาหมู 


 


 


คิดไม่ถึงเลยว่าคนที่ถูกขุนจะเป็นน้องสาวของตนเอง 


 


 


ตู๋กูเจวี๋ยกำลังจะเอ่ยปาก สายพระเนตรประหนึ่งปลายดาบของฮ่องเต้ก็กวาดมาถึง “ขุนนางอวี้ซื่อ รัชทายาทแคว้นเหยียนกับองค์หญิงแคว้นเหยียนร่วมมือกันแสดงงิ้วแกล้งเป็นแกล้งตายฉากหนึ่ง เพื่อใช้ข่มขู่แคว้นต้าโจวของพวกเรา เจ้าคิดว่าสมควรจะจัดการเช่นไร?” 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] 恶有恶报:  

 

 


ตอนที่ 240 ฝ่าบาท พวกเราร่วมมือกันเถอะ

 

เหยียนหยุน “???” นี่เขาไปแสดงละครแกล้งเป็นแกล้งตายมาตั้งแต่เมื่อไหร่? ไปข่มขู่ตั้งแต่ตอนไหนกัน? 


 


 


เมื่อครู่นี้เขาตายไปแล้วจริงๆ นะรู้ไหม? 


 


 


หากไม่ใช่เพราะท่านเซียนช่วยเอาไว้ เขาเกรงว่าตอนนี้ตนเองก็คงจะตายจนตัวแข็งไปแล้ว 


 


 


ตู๋กูเจวี๋ยคิดถึงถ้อยคำของจีเฉวียนอย่างละเอียดลออ จากนั้นก็กล่าวออกมาอย่างจริงจังว่า “ฝ่าบาทพะยะค่ะ สองพี่น้องคู่นี้จิตใจชั่วร้ายสมองก็ร้ายกาจ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าทั้งสองพยายามชักจูงให้สองแคว้นเกิดสงครามขึ้นมา ว่าตามเหตุผล ได้แต่ต้องให้ฮ่องเต้แคว้นเหยียนของพวกเขามาไถ่ตัวคนด้วยตนเองแล้ว ตอนนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่างแค่ดินแดนสามเหลี่ยมเหยียนตงอีกแล้วพะยะค่ะ” 


 


 


ตอนนี้ ตู๋กูเจวี๋ยก็ชักจะเข้าใจแล้วที่จีเฉวียนบอกว่าแกะตัวอ้วนพีนั้นหมายความว่าอย่างไร 


 


 


เดิมทีหากว่าสองพี่น้องชายหญิงคู่นี้อยู่อย่างเรียบๆ ร้อยๆ ก็คงจะไม่มีเรื่องอะไรมาก ตอนนี้กลับก่อเรื่องขึ้นมา นี่มิเท่ากับว่ารีบร้อนส่งของขวัญชิ้นใหญ่มาให้พวกเขาอีกหรือ? 


 


 


ที่สำคัญที่สุดก็คือ รัชทายาทแคว้นเหยียนผู้นี้ถึงกับกล้ากล่าวออกมาอย่างไร้ยางอายว่าเขาต้องการน้องเล็ก? 


 


 


แค่ก แค่ก! 


 


 


เหยียนหยุนแทบจะกระอักเลือดคั่งออกมาแล้วจริงๆ หากมิใช่เพราะในอกของเขายังมีธนูปักอยู่ดอกหนึ่ง เกรงว่าคงจะต้องออกไปลงไม้ลงมือกับตู๋กูเจวี๋ยกันสักรอบแล้ว 


 


 


แคว้นต้าโจวช่างร้ายกาจนัก เบื้องบนมีฮ่องเต้ เบื้องล่างมีเหล่าขุนนาง ทั้งหมดล้วนแต่เป็นปีศาจดูดเลือด หากไม่ได้ถูกสูบเลือดไปครึ่งร่างก็ไม่ยอมเลิกราอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


“เช่นนั้นก็ส่งหนังสือไปถวายฮ่องเต้ต้าเหยียน อธิบายต้นสายปลายเหตุ ทั้งรัชทายาทและองค์หญิง เขายังจะต้องการอยู่อีกหรือไม่ ก็คงจะต้องดูว่าความจริงใจของเขาเป็นเช่นไรแล้ว” 


 


 


ฮ่องเต้ตรัสจบ ก็ไม่คิดจะทรงกล่าวให้มากความอีก ทรงอุ้มตู๋กูซิงหลันก้าวยาวๆ สาวพระบาทจากไป 


 


 


ทิ้งไว้แต่ตู๋กูเจวี๋ย ท่านหัวหน้าราชองครักษ์และพวกราชองครักษ์อีกกลุ่มใหญ่ 


 


 


ยังมีพวกองครักษ์ลับที่จับจ้องอย่างเ**้ยมเกรียมจากด้านนอกอยู่อีกหลายคนด้วยเช่นกัน 


 


 


เหยียนหยุนที่บาดเจ็บอยู่แล้ว ต่อให้คิดจะหลบหนีก็ยังมิกล้าจะคิด 


 


 


……………………….. 


 


 


เพียงแค่ไม่กี่วัน ฮ่องเต้เฒ่าแคว้นเหยียนก็ส่งราชทูตคนสนิทมา นอกจากถวายดินแดนสามเหลี่ยมเหยียนตงแล้ว ยังมีแก้วแหวนเงินทองมากมายอีกหลายคันรถ 


 


 


ตอนนี้เขารู้จักฉลาดขึ้นมาบ้างแล้ว จึงไม่กล้าส่งเหล่าองค์ชายคนไหนมาอีก 


 


 


ไม่งั้นล่ะก็ เสียองค์หญิงและรัชทายาทไปติดๆ กันแล้วยังไม่พอ หากว่ายังส่งคนในราชวงศ์มาอีก เกรงว่าไม่ทันไรมีหวังต้องถูกจีเฉวียนจับขังเอาไว้อีก 


 


 


หากมิใช่ว่าเขาอายุมากแล้ว คงจะต้องเดินทางมาด้วยตนเองเป็นแน่ 


 


 


ฟังว่าแก้วแหวนเงินทองมากมายหลายคันรถนั้น ทั้งหมดถูกฮ่องเต้นำไปเก็บไว้ในตำหนักตี้หัวกง 


 


 


คล้ายว่าคนโปรดคนใหม่ผู้นั้นชอบใจเป็นอย่างยิ่ง? 


 


 


หน้าตาคล้ายคลึงกับไทเฮาก็แล้วไปเถอะ แม้แต่ความชื่นชอบก็ยังเหมือนกันอีก ฝ่าบาทคงจะมีพระทัยให้กับไทเฮาจริงๆ แล้วละมั้ง 


 


 


ก็ไม่รู้ว่าผู้ที่อยู่ในตำหนักเฟิ่งหมิงผู้นั้นจะรู้สึกเช่นไรบ้าง? 


 


 


ต้นไม้ที่ตนเองปลูกขึ้นมาแท้ๆ กลับถูกตัวตายตัวแทนนำไปใช้เสียเฉยๆ คิดๆ แล้วคงจะเจ็บใจน่าดู 


 


 


แต่ว่าคนที่เจ็บใจมากกว่าก็คงต้องเป็นซูหวงกุ้ยเฟยแล้วล่ะ ตนเองท้องโตเลยเป็นโอกาสให้ผู้อื่นใช้สอย ถึงนางจะหลบองค์หญิงต้าเหยียนพ้นไปคนหนึ่ง แต่ก็หนีไม่พ้นตัวตายตัวแทนของไทเฮาน้อยอยู่ดี 


 


 


งิ้วในวังหลังตอนนี้ ยิ่งทียิ่งสนุกสนานใหญ่แล้ว 


 


 


รัชทายาทแคว้นเหยียนรักษาตัวอยู่ในวังหลวงจนดีขึ้นบ้างแล้ว ปากแผลธนูบนอกดีขึ้นมาก 


 


 


หลายวันนี้เขาจึงคิดถึงท่านเซียนนางกำนัลน้อยผู้นั้นอยู่บ่อยๆ 


 


 


ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดใจ 


 


 


คนโปรดคนใหม่ของจีเฉวียน เขาจะสามารถแย่งชิงมาได้อย่างไร? 


 


 


เขาเคยฉวยจังหวะที่ค่ำมืดลมแรง แอบเข้าไปในตำหนักตี้หัวมารอบหนึ่ง แต่กลับถูกองครักษ์ลับของจีเฉวียนพบตัวเข้า จนถูกโยนออกมานอกวัง 


 


 


ท่านราชทูตแคว้นเหยียนเกรงว่าเรื่องราวจะเกิดเหตุเปลี่ยนแปลง จึงหอบเอารัชทายาทหลบหนีไปในคืนนั้น 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวเองก็ถูกพวกเขานำตัวออกจากวังไปตั้งแต่แรก ถึงแม้ว่านางจะกระทำเรื่องสังหารญาติพี่น้องใส่ความฮ่องเต้ต้าโจวขึ้นมา แต่ฮ่องเต้เฒ่าแห่งต้าเหยียนก็ยังคำนึงถึงเลือดเนื้อเชื้อไข ไม่อาจทอดทิ้งนางได้ลงคอ 


 


 


ในที่สุดคลื่นลมที่พัดกระหน่ำก็สงบลง 


 


 


แต่ตู๋กูซิงหลันกลับปวดหัวกว่าเดิม 


 


 


นางถูกจีเฉวียนกักตัวอยู่ในตำหนักตี้หัวเสียแล้ว 


 


 


มีแต่ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าพ่อไก่ขนเหล็กผู้นี้ นำแก้วแหวนเงินทองมากมายมากองต่อหน้านางจนท่วมห้อง 


 


 


จากนั้นก็ทำท่าภาคภูมิประหนึ่งนกยูงอยู่ตรงหน้านาง “หากยอมรับเรา ทั้งหมดนี้ก็จะเป็นของเจ้า” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “…….” แม่เจ้า สวยงามเหลือเกิน! 


 


 


“ฝ่าบาท หม่อมฉันเคยบอกพระองค์มาตั้งนานมาแล้ว ว่าหม่อมฉันเป็นถังปุ๋ย! 


 


 


จีเฉวียน “ไม่อยากได้แก้วแหวนเงินทอง จะเอาปุ๋ยคอกรึไง?” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันอยากจะด่าบรรพบุรุษของเขาทั้งสิบแปดรุ่น! 


 


 


“ว่าแต่ กรุสมบัติของแคว้นเซอปี่ซือ ฝ่าบาทไม่สนพระทัยบ้างหรือ?” ตู๋กูซิงหลันหยิบม้านั่งตัวเล็กขึ้นมา นั่งลงไปบนกองภูเขาเงินภูเขาทองกองเล็กๆ กองนั้น “ข้าฟังมาว่า ในนั้นสะสมสมบัติเอาไว้นับไม่ถ้วน ผู้ที่ได้ไปเท่ากับได้ครอบครองแผ่นดินไปครึ่งหนึ่ง ฝ่าบาทไม่ทรงหวั่นไหวบ้างหรือเพคะ?” 


 


 


พอขลุกอยู่ในกองสมบัติ ร่างของตู๋กูซิงหลันก็เหมือนถูกฉาบด้วยประกายแสงเงินแสงทอง 


 


 


ก่อนหน้านี้ ฮ่องเต้ทรงคิดว่าแสงเงินแสงทองเหล่านั้นคือสิ่งที่งดงามมากที่สุด แต่ว่าตอนนี้ พระองค์ทรงคิดว่าแสงของแก้วแหวนเงินทองที่ฉาบล้อมรอบตัวตู๋กูซิงหลันต่างหาก จึงจะเป็นที่สุดแห่งความงามในโลกหล้า 


 


 


ในตอนนั้นเอง ทรงบังเกิดความคิดที่พลุ่งพล่านขึ้นมาประการหนึ่ง ปรารถนาจะนำสมบัติทั้งหลายทั้งมวลมาวางไว้เบื้องหน้าของนาง ให้นางนั่งอยู่บนนั้น คลี่ยิ้มบางๆ 


 


 


เท่านี้ โลกก็สมบูรณ์พร้อมที่สุดแล้ว 


 


 


คิดแล้ว จีเฉวียนก็ตรัสถามออกมาประโยคหนึ่ง “สมบัติลับของแคว้นเซอปี่ซือ เจ้าชื่นชอบมากหรือ?” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่บนม้านั่งเล็กๆ ในมือมีสายสร้อยไข่มุกทะเลตะวันออกไม่รู้กี่เส้นต่อกี่เส้น ในอ้อมแขนก็ยังมีก้อนทองกองใหญ่กว่าศีรษะตนเอง นางคิดดูอย่างละเอียดลออ “ชอบสิ มีใครไม่รักสมบัติบ้างเล่า” 


 


 


นอกจากสมบัติแล้ว ที่นางต้องการที่สุดก็คือหยกสรรพชีวิต 


 


 


แต่ว่าตอนนี้วันทั้งวันถูกจีเฉวียนกักตัวอยู่ในตำหนักตี้หัวกง รอบด้านก็มีราชองครักษ์ลับคอบจับตาดูอยู่ไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ 


 


 


พอนางยื่นเท้าหน้าออกไปเท้าหลังก็ถูกจีเฉวียนจับกลับมาเรียบร้อยแล้ว ต่อให้คิดจะออกไปวิ่งเล่นก็ยังยากเลย 


 


 


ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็มีแต่ต้องลองกระทุ้งจีเฉวียนดูเท่านั้น 


 


 


“ฝ่าบาท พวกเรามาทำข้อตกลงกันเป็นไง?” ตู๋กูซิงหลันกวาดก้อนทองคำอีกกอบใหญ่เข้าไปในอก สองตาจ้องมองจีเฉวียนด้วยประกายวิบๆ วับๆ 


 


 


ยากนักที่จีเฉวียนจะเกิดความสนใจขึ้นมา “เจ้าว่ามา” 


 


 


“พวกเรามาร่วมมือกันเถอะ” ตู๋กูซิงหลันตบหัวเข่า “อย่างไรเสียพวกเราก็คือคนที่รักสมบัติเหมือนกัน ไยไม่กระทำการให้บรรลือโลกสักครั้ง?” 


 


 


จีเฉวียน “เรามิใช่พวกโจร” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันได้แต่กรอกตาขาวไปมา พูดกันตามจริงนะ ที่ผ่านมาสิ่งที่เขามีอันไหนที่ไม่คล้ายพฤติกรรมของมหาโจรบ้าง?” 


 


 


“ฝ่าบาท ท่านจะมองดูผู้อื่นเอากรุสมบัติไปง่ายๆ ส่วนตนเองก็ยืนมองอยู่ด้านข้างเฉยๆ หรือ?” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันยังคงหลอกล่อต่อไป นางสูญเสียชิ้นส่วนของหยกสรรพชีวิตไปแล้ว ย่อมต้องทรมานใจอย่างมาก 


 


 


ฝ่าบาททอดพระเนตรมองดูใบหน้าที่กลมดั่งซาลาเปาของนาง ทรงดำริอยู่เป็นนานค่อยให้คำตอบออกมา “เจ้ากินให้อ้วนขึ้นมาอีกยี่สิบชั่ง เราก็จะพาเจ้าไป” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “???” ขอถามหน่อยเถอะต้องการแบบนี้เพื่อ? 


 


 


นางยิ่งทียิ่งรู้สึกว่าจีเฉวียนต้องการจะเลี้ยงนางให้อ้วนพีแล้วค่อยฆ่ากินทีเดียว 


 


 


พอคิดย้อนกลับไป ดูเหมือนว่านางจะไม่ได้เห็นท่านราชครูมานานแล้ว 


 


 


ทันใดนั้นนางก็เกิดความคิดที่อุกอาจขึ้นมา สาเหตุที่ท่านราชครูอ้วนมากขนาดนั้น จะต้องเกี่ยวข้องกับจีเฉวียนถึงเก้าในสิบส่วนเป็นแน่ 


 


 


แต่ว่าตอนนี้นางเองก็ถูกเขาขุนจนอ้วนท้วนขึ้นมาเท่าหนึ่งแล้ว 


 


 


น้ำหนักตัวดูท่าทางคงจะเกินร้อยชั่งไปตั้งแรก ใบหน้าตอนนี้กลมดุจซาลาเปา หากยังเพิ่มขึ้นอีกยี่สิบชั่ง? นางถึงกับไม่กล้าคิดภาพจริงๆ 


 


 


“ไม่เต็มใจหรือ?” ฝ่าบาททรงมองดูนางด้วยรอยยิ้ม “เราจะให้โอกาสเจ้าครั้งเดียว หากไม่เต็มใจเช่นนั้นก็ไม่ต้องไปแล้วละมั้ง?” 


 


 


ตรัสแล้ว เขาก็เริ่มนับถอยหลัง “สาม…สอง….” 


 


 


“กิน กิน กิน! “ตู๋กูซิงหลันรีบพยักหน้าติดๆ กัน “อ้วนก็อ้วนโว้ย ต่อให้อ้วนข้าก็ยังเป็นหญิงงาม อย่างมากก็แค่เป็นแม่นางอ้วนคนงาม ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสักหน่อย” 


 


 


พอคิดถึงหยกสรรพชีวิต นางก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว 


 


 


อย่างมากก็แค่ค่อยไปลดความอ้วนทีหลังแล้วกัน 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


คุยกันนิดนึง: ไงล่ะระดับพี่เต้ เล็กๆ ไม่ กินแต่คำใหญ่ๆ เท่านั้นคับ! 


 


 


น้ำหนัก: 1 ชั่ง (斤jin) = 0.5กิโลกรัม 


 


 


พี่เต้ขอให้อา หลันอ้วนขึ้นอีกยี่สิบชั่ง = 10กิโลเบาๆ   

 

 


ตอนที่ 241 เกศาของฝ่าบาทถูกตะกุย

 

“เจ้ายิ่งทียิ่งรู้จักเชื่อฟังแล้ว” ฝ่าบาททรงอารมณ์ดีขึ้นมาก เสด็จมาถึงข้างกายนาง ค่อยลูบศีรษะของนางเบาๆ 


 


 


เขายิ้มกริ่มออกมา ดูไปแล้วทั้งงดงามทั้งคล้ายกับฆาตกรโรคจิตไปพร้อมๆ กัน 


 


 


ตู๋กูซิงหลันถูกเขาลูบจนรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมา 


 


 


แคว้นเซอปี่ซือ แค่ฟังชื่อก็ดูเหมือนคุกสักแห่งแล้ว นางไม่ขอไปคนเดียวอย่างแน่นอน 


 


 


หากลากจีเฉวียนไปเป็นตัวช่วย สำหรับนางในตอนนี้นับว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว 


 


 


“อะแหะแฮ่ม ตู๋กูซิงหลันกระแอมอีกสองครั้ง “ฝ่าบาท มีบางเรื่องที่พวกเราสมควรจะต้องพูดกันก่อนนะเพคะ จะได้ไม่มีปัญหาในการสะสางบัญชีในภายหลัง” 


 


 


เฮอะ! 


 


 


“เผื่อว่าตอนนั้นประสบโชคหรือได้รับทรัพย์อะไรมา จะได้ไม่กระทบถึงความรู้สึกของพวกเรา” 


 


 


“หืม? ความรู้สึกแบบไหนกัน?” ฝ่าบาททรงคว้าประเด็นสำคัญเอาไว้ในทันที 


 


 


ตู๋กูซิงหลันได้แต่กรอกตาขาว นางยังจะมีความรู้สึกกับเขาแบบไหนได้อีก? วันๆ คิดแต่จะก่อกบฎนับไหมเล่า? 


 


 


ไม่รอให้นางได้ทันตอบ ฝ่าบาทก็ตรัสถามขึ้นมาอีกว่า “ความรู้สึกนี้ลึกล้ำหรือไม่ เป็นน้ำบ่อหรือน้ำทะเล?” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “……” ขอโทษที ที่นางปากมากไป เป็นความผิดของนางเอง! 


 


 


“แต่ว่าเจ้าล้วนวางใจได้ ความรู้สึกที่เรามีให้เจ้าสามารถเข้าสู่การทดสอบได้ ไม่ว่าสิ่งใดล้วนไม่เป็นผล” 


 


 


ตรัสแล้วจีเฉวียนก็ลูบศีรษะของนางอีกครั้ง ดวงเนตรที่มองมาอย่างอ่อนโยนนั้นราวกับว่ากำลังมองดูเด็กน้อยอยู่ มันอ่อนเชื่อมเสียจนตู๋กูซิงหลันหลบหนีไม่พ้นเลยทีเดียว 


 


 


ว่ากันตามจริงแล้ว หากว่าฝ่าบาททรงมีชีวิตอยู่ในโลกปัจจุบัน รับรองได้ว่าจะต้องได้เป็นประธานาธิบดีอย่างแน่นอน 


 


 


ตู๋กูซิงหลันยังคงผูกผมเป็นจุกทั้งสองข้าง พออ้วนก็ยิ่งทำให้ดูเด็กลงกว่าเดิม 


 


 


เมื่ออยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ผู้มากอุบาย ก็ดูคล้ายดั่งเป็นบุตรสาวที่นุ่มนิ่มคนหนึ่ง 


 


 


พระองค์ยื่นพระหัตถ์มาหยิกแก้มซาลาเปาของนาง 


 


 


อืม…..พอมีเนื้อมีหนังสัมผัสแล้วรู้สึกดีจริงๆ 


 


 


………………. 


 


 


แคว้นเซอปี่ซือ ตั้งอยู่ระหว่างบริเวณชายแดนทิศใต้ของต้าโจวที่ติดกับต้าเหยียน 


 


 


พื้นที่แถบนั้นอยู่ใกล้กับแดนหนานเจียง หลายปีก่อนแคว้นเซอปี่ซือได้ล่มสลายลง หลังจากนั้นแคว้นเซอปี่ซือก็กลายเป็นดินแดนต้องห้าม 


 


 


พืชพรรณทั้งหลายล้มตาย สรรพสัตว์ต่างพากันหลบหนี ผืนดินก็เปลี่ยนเป็นผืนทราย ทั่วทั้งวันมีแต่พายุทรายโหมขึ้นฟ้า 


 


 


มีคนมากมายที่เข้าไปตามหาทรัพย์สมบัติ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะไปเยอะกลับมาน้อย 


 


 


เหล่าคนที่กลับมาก็มักจะแขนขาดขาด้วน สติสตางค์ไม่สู้ดี ราวกับว่าถูกดูดวิญญาณไป แต่ละคนกลายเป็นบ้าๆ บอๆ ขึ้นมา 


 


 


แต่อย่างไรเสียก็ยังมีคนที่ไม่กลัวตาย เดินทางเข้าไปอย่างต่อเนื่อง 


 


 


และในตอนนี้ ก็ได้ยินข่าวมาว่า แผนที่ซ่อนขุมทรัพย์ของเซอปี่ซือถูกค้นพบแล้ว แม้กระทั่งฮ่องเต้ต้าฉินก็ยังเกิดความสนใจขึ้นมาบ้าง 


 


 


โจว เหยียน ฉิน 


 


 


ในบรรดาสามแคว้นฮ่องเต้แคว้นฉินนับว่าแก่ชันษามากที่สุด ปีนี้ก็มีพระชนมายุเจ็ดสิบสองเข้าไปแล้ว ตลอดพระชนม์ชีพคล้ายดั่งตำนานเรื่องหนึ่ง อายุสิบสองขึ้นครองราชย์ ปราบปรามขุนนางโฉดในแคว้น ต่อต้านอริศัตรูภายนอก ทำให้แคว้นฉินที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพียงแคว้นเล็กๆ ทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุด 


 


 


ความปรารถนาเดียวในชีวิตของฮ่องเต้แคว้นฉินก็คือรวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง กลายเป็นพระจักรพรรดิเพียงหนึ่งเดียว 


 


 


น่าเสียดายที่กาลเวลาไม่เคยละเว้นผู้ใด ผู้กล้าถดถอยธรรมชาติไม่อาจฝืน 


 


 


ดังนั้นฮ่องเต้แคว้นฉินจึงยิ่งฝากความหวังทั้งหมดเอาไว้ที่ขุมทรัพย์ของแคว้นเซอปี่ซือ 


 


 


ฟังมาว่าในขุมทรัพย์มีโอสถเซียนเม็ดหนึ่งสามารถทำให้คนไม่แก่ไม่ตาย หากได้รับประทานเข้าไปแล้วก็จะมีอายุยืนยาวเสมอฟ้าดิน 


 


 


ฮ่องเต้แคว้นฉินย่อมต้องไม่ยอมปล่อยผ่านไปแน่ 


 


 


…………………………………. 


 


 


ฤดูร้อนแล้ว อากาศในหนานเจียงร้อนอย่างยิ่ง 


 


 


อากาศที่อบอ้าวทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย 


 


 


บนถนนเล็กๆ รถม้าสีดำหลายคันวิ่งกุกกักไปข้างหน้า ทำเอาโคลนกระเซ็นไปตลอดทาง 


 


 


ในอากาศมีกลิ่นของหญ้าและดินโคลนหลังฝนตก พอสูดเข้าไปก็รู้สึกผ่อนคลายสบายใจ 


 


 


หยวนเฟยนั่งอยู่ในรถม้า นางเปิดผ้าม่านออก เพียงยื่นมือออกไปก็คว้าเอาตะขาบตัวใหญ่ได้จากต้นไม้ที่อยู่ด้านนอก ใส่ลงไปในตระกร้าไม้ไผ่ข้างเอวของนาง 


 


 


ที่น่าแปลกก็คือตะขาบตัวโตนั่นมิได้กัดนาง พอมันดิ้นขลุกขลักอยู่ในตระกร้าไม้ไผ่พักหนึ่ง ก็สงบเสงี่ยมลงอย่างเชื่อฟัง 


 


 


หยวนเฟยถอนหายใจ “ยังคงเป็นบ้านเกิดดีที่สุดแล้ว ตะขาบหนอนหนูงูพิษต่างวิ่งอยู่ไปทั่วพื้น เป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์อย่างแท้จริง” 


 


 


“ฝ่าบาทเพคะ ค่ำนี้เสวยตะขาบทอดดีหรือไม่? ตะขาบของพวกเราชาวหนานเจียงแต่ละตัวมีเนื้อมากสดอร่อย รับประกันว่าพระองค์จะต้องทรงพอพระทัยแน่นอนเพคะ” 


 


 


หยวนเฟยเท้าคาง ตะโกนไปยังรถม้าที่อยู่ด้านหน้า 


 


 


ยากนักที่จะได้เดินทางผ่านบ้านเกิด นางย่อมต้องการแสดงน้ำใจไมตรีของท้องถิ่นออกมา 


 


 


ภายในรถม้า ฝ่าบาทกำลังทอดพระเนตรออกไปด้านนอก พอทรงได้ยินเสียงของหยวนเฟย ก็ปิดม่านลงไปในทันที 


 


 


ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา ข้างกายยังมีเจ้าไก่ดำขนฟู 


 


 


เจ้าไก่ขนฟูคอยจับตาดูฮ่องเต้มาตลอดทาง ตอนนี้พอได้ยินคำว่าตะขาบทอด ดวงตาไก่กุ๊กของมันก็เป็นประกายขึ้นมา 


 


 


แล้วมันก็หันไปมองดูตู๋กูซิงหลันที่อยู่ข้างๆ แวบหนึ่ง 


 


 


อืม ช่วงหลายวันนี้พี่สาวตัวน้อยจะต้องได้กินตะขาบทอดทุกมื้อเป็นแน่ ถึงได้เปลี่ยนเป็นตัวกลมป๊อกเช่นนี้ 


 


 


พอมานั่งข้างๆ กันก็คล้ายดั่งเป็นลูกบอลลูกหนึ่ง 


 


 


รูปทรงเดียวกับหยดน้ำข้างบนเล็กข้างล่างใหญ่ 


 


 


หากมิใช่ว่ามันจดจำกลิ่นไอเฉพาะตัวของพี่สาวตัวน้อยได้อย่างแม่นยำ ถ้าเกิดได้เห็นเพียงแค่รูปร่างละก็ ตีให้ตายมันก็คงจะจำไม่ได้อยู่ดี 


 


 


“กุ๊ก กุ๊ก กรู้” มันกระพือปีก ตบลงไปบนท้องที่เป็นดังลูกหนังของตู๋กูซิงหลันเบาๆ 


 


 


ดูเอวเป็นชั้นๆ นี่สิ ราวกับสามชั้นที่กำลังเต้นระบำอย่างไรอย่างนั้น พี่สาวตัวน้อยไม่ใส่ใจรูปร่างเช่นนี้จะดีจริงหรือ? 


 


 


เจ้าไก่ดำขนฟูคิดย้อนกลับไป แต่ก่อนพี่สาวตัวน้อยผ่ายผอมมากๆ ยากนักที่จะมีเนื้อหนังกะเขาบ้าง เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน 


 


 


อย่างน้อยๆ มีร่างกายเช่นนี้ก็ไม่หนาวตายง่ายๆ 


 


 


คิดแล้วมันก็คลายความกังวลลง 


 


 


ตู๋กูซิงหลันก้มหน้าลงมามองดูพุงสามชั้นของตนเอง นางคิดถึงช่วงก่อนหน้าที่บำรุงตนเองอย่างบ้าคลั่ง จริงๆ นะ นางรู้สึกว่าชั่วชีวิตนี้ตนเองไม่อยากจะกินเนื้ออีกแล้ว 


 


 


จีเฉวียนทอดพระเนตรมองดูตู๋กูซิงหลัน แล้วก็หันไปมองเจ้าไก่ดำขนฟูอีกครั้ง จะอย่างไรเสียพระองค์ก็ยังทรงรู้สึกว่า หากสามารถตุ๋นเจ้าไก่ตัวนี้ให้นางกินได้จึงจะดีที่สุด 


 


 


“ฝ่าบาท ข้าไม่กินไก่นะ” ตู๋กูซิงหลันอ่านสายตาของเขาออก ก็รีบส่ายศีรษะ “พวกเราออกมาเพื่อตามหาสมบัติกัน อย่าได้มัวแต่คิดเรื่องอาหารการกินมากเกินไป พระองค์ดูสิเพคะ ทุ่งหญ้าเขียวขจีของหนานเจียงช่างงดงามสดชื่นเพียงไร ต่อให้ฉวยดอกอะไรมากินสักดอกหนึ่งก็หวานหอมนะเพคะ” 


 


 


พูดแล้วนางก็มองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นใกล้ๆ มีใบไม้เขียวพุ่มใหญ่ จึงยื่นมือออกไปดึง 


 


 


มือพึ่งจะยื่นออกไป ก็เห็นฝ่าบาทผุดลุกขึ้นมาในทันที ร่างที่สูงใหญ่บดบังนางเอาไว้ กดตัวนางลงไป 


 


 


ตู๋กูซิงหลันไม่ทันได้เปิดปาก ก็เห็นว่า ใบไม้สีเขียวที่ด้านหลังของจีเฉวียนกลุ่มนั้น ไม่รู้ว่ากลายเป็นมือสีเขียวข้างหนึ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ มือนั้นเหวี่ยงเข้ามาคว้าเส้นเกศาของจีเฉวียนไว้ได้พอดี 


 


 


พอมันออกแรงกระตุกก็หลุดติดไปกำหนึ่ง 


 


 


รถม้าเคลื่อนห่างออกไป จึงได้เห็นว่ามือสีเขียวข้างนั้นเอาเส้นผมของเขายัดใส่ดอกไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่ในร่างของมัน 


 


 


ดอกไม้นั่นขบเคี้ยวอยู่ครู่หนึ่ง ก็พบว่าเส้นผมพวกนั้นไม่อาจเคี้ยวแหลกได้จึงส่งเสียงประหลาดพลางขากถุยออกมา 


 


 


ม้าที่ลากรถอยู่ได้รับความตื่นตระหนก จึงควบตะกุยอย่างคลุ้มคลั่ง ทำเอาหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีและหนึ่งไก่ในรถม้าแทบม้วนรวมเป็นก้อนเดียว 


 


 


ฝ่าบาทสายพระเนตรไวพระหัตถ์ก็คล่องแคล่ว พอขยับยกก็เตะเจ้าไก่ดำขนฟูออกนอกรถม้าไปทันที พระองค์เองก็กอดตู๋กูซิงหลันที่อ้วนกลมเอาไว้อย่างแนบแน่น 


 


 


“ป่าของหนานเจียงอุดมไปด้วยสิ่งประหลาดมากมาย อย่าได้หยิบจับวุ่นวาย” พระองค์ทางหนึ่งกอดเจ้าอ้วนน้อยเอาไว้ ทางหนึ่งก็ตรัสว่า “ต้องการอะไร เราจะเด็ดให้เจ้าเอง” 


 


 


ว่าแล้วก็ไม่ลืมจะแทงใส่หัวใจของตู๋กูซิงหลันไปดาบหนึ่งว่า “เจ้าอวบอ้วนขาวนุ่ม พวกมันได้กินแล้วเป็นต้องติดใจ ไล่ตามมาไม่เลิกเป็นแน่”  

 

 


ตอนที่ 242 เส้นผมสีแดง ดวงตาสีแดง งูเ...

 

“ฝ่าบาท อ้วนขนาดนี้ถือว่าเป็นความผิดของข้าเอง” ตู๋กูซิงหลันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า นางไม่อยากจะก้มลงมามองตัวเองอีกต่อไปแล้ว 


 


 


ไว้จบจากการเดินทางไปแคว้นเซอปี่ซือ นางจะต้องไปหาหมอหลวงซุน ให้เขาทำยาลดความอ้วนออกมา 


 


 


แล้วนำไปแบ่งปันให้กับท่านราชครูผู้เป็นพี่น้องร่วมชะตากรรมเดียวกัน 


 


 


ตอนนี้นางอยากจะไปยืนอยู่เบื้องหน้าท่านราชครูจริงๆ จะได้ปรับทุกข์ในหมู่คนอ้วนด้วยกัน 


 


 


หากมองออกไปทั่ววังหลวงของแคว้นต้าโจว เกรงว่าคงจะมีแต่ท่านราชครูเท่านั้นที่มีเนื้อหนังมากกว่านางแล้ว 


 


 


จีเฉวียนเบียดเข้ามาบนตัวนาง พลางเอื้อมหัตถ์ออกไปปลดม่านหน้าต่างลงมา จากนั้นก็หยิกแก้มนางไปทีหนึ่ง เมื่อสัมผัสได้ถึงเนื้อนุ่มๆ เต็มมือช่างทำให้รู้สึกดียิ่งนัก 


 


 


อืม กลมๆ เช่นนี้ดีจริงๆ 


 


 


ที่ด้านนอกรถม้า เจ้าไก่ดำขนฟูที่ถูกเตะออกมาพึ่งจะร่อนลงไปบนรถม้าของหยวนเฟย 


 


 


กรงเล็บของมันเกาะแน่นลงไปบนหลังคารถม้า ยามเมื่อกรงเล็บที่แหลมคมทะลุลงไปก็เกือบจะกรีดเปิดกะโหลกของหยวนเฟยเช่นกัน 


 


 


ยังดีที่ตู๋กูเจวี๋ยลากนางออกมาในทันที ทำให้หยวนเฟยหลบพ้นได้ทัน 


 


 


ร่างของหยวนเฟยกว่าครึ่งเอนลงไปในอ้อมอกของตู๋กูเจวี๋ย นางรีบผุดลุกขึ้นมานั่งให้ตรง 


 


 


แล้วสะบัดตัวออกจากตู๋กูเจวี๋ยอย่างเร็ว 


 


 


ฮ่องเต้ผู้นั้นสมควรจะโดนเฉือนสักพันดาบ ปล่อยให้พระสนมของตนเองนั่งรถม้าร่วมกับขุนนางมาได้ ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่ 


 


 


ประเด็นสำคัญก็คือขุนนางผู้นี้ถึงกับเป็นคนที่ปากมากเป็นที่สุด เขาพูดคุยฟุ้งมาตลอดทางจนศีรษะนางแทบจะระเบิด 


 


 


จนกระทั่งมาถึงหนานเจียงแล้ว นางถึงได้รู้สึกว่าซาไปบ้างนิดหน่อย 


 


 


“พระสนมหยวนเฟยพะยะค่ะ กระหม่อมเป็นถึงขุนนาง ย่อมมิบังอาจแตะต้องพระองค์อย่างแน่นอน” ตู๋กูเจวี๋ยเห็นนางป้องกันอย่างระมัดระวังขนาดนี้ ก็จัดแจงเสื้อผ้านั่งให้สง่างาม “ท่านดูเอาเถอะ ฝ่าบาททรงไว้วางพระทัยในตัวข้าถึงเพียงไหน? พระองค์มิได้ทรงกังวลว่ากระหม่อมจะคิดอะไรไม่ดีกับท่านเลยสักนิด” 


 


 


“ว่าแต่ก่อนหน้านี้ ได้ยินมาว่าพี่ใหญ่ได้รับบาดเจ็บ ก็เคยรบกวนพระสนมใส่ใจดูแล สุขภาพจึงได้ฟื้นคืนมาโดยเร็ว ว่าไปแล้ว บุญคุณนี้พี่ใหญ่ยังไม่ได้ชดใช้คืนให้กับท่านเลย นี่มิเท่ากับว่าบังเอิญหรอกหรือ? พวกเราได้ออกมาเดินทางร่วมกันพอดี แล้วก็ยังนั่งอยู่ในรถม้าคันเดียวกันด้วย บุญคุณที่พี่ใหญ่ติดค้างท่าน ก็ให้ข้าชดเชยแทนเขาเถอะ ชดเชยได้ส่วนหนึ่งก็นับว่าเป็นส่วนหนึ่ง ท่านว่าใช่หรือไม่?” 


 


 


หยวนเฟยมิได้กล่าวอะไรทั้งนั้น ที่จริงนางยังคิดจะหาเข็มมาเย็บปากของเขาอีกด้วย 


 


 


ครั้งนี้ฝ่าบาททรงนำนางออกมาจากวัง ก็เพราะว่าแคว้นเซอปี่ซือนั้นอยู่ใกล้กับดินแดนหนานเจียง นางคุ้นเคยกับพื้นที่ดี พูดตามตรงแล้วก็คือให้นางมาเป็นคนนำทางนั่นแหละ 


 


 


แต่ที่เอาตัวตู๋กูเจวี๋ยออกมาด้วยนั้นมันหมายความเช่นไรกันแน่? 


 


 


นางได้แต่กรอกตาขาว ตอนนี้คิดอย่างไรก็ยังคิดไม่ออก 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นตู๋กูจุนเคยมีบุญคุณช่วยชีวิตนาง ที่นางดูแลเขาก็นับว่าเป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว นางไม่เคยคิดจะให้เขามาตอบแทนบุญคุณอะไรมาก่อนเลย 


 


 


ต่อให้อยากจะตอบแทน ก็สมควรจะต้องเป็นตู๋กูจุนมาด้วยตนเอง ไหนเลยจะสามารถให้น้องชายของเขามาแทนได้กัน? 


 


 


“พระสนมหยวนเฟยพะยะค่ะ พระองค์กรอกตาขาวเช่นนี้ไม่ดีเลยนะพะยะค่ะ เกิดว่านัยตาเกิดกรอกกลับมาไม่ได้แล้ว พระองค์มิต้องกลายเป็นพระสนมตาขาวไปหรอกหรือพะยะค่ะ? แม้คนจะพูดกันว่าการบริหารนัยตาเสียบ้างนั้นเป็นเรื่องดี แต่หากว่ากรอกขึ้นฟ้าอย่างพระองค์เช่นนี้ ก็ไม่น่าจะดีเท่าไหร่แล้ว” 


 


 


หยวนเฟยไม่เพียงแต่ปวดศีรษะแต่ว่ายังปวดใจด้วย 


 


 


นางปวดใจด้วยความสงสารตนเอง 


 


 


มิน่าเล่าฝ่าบาทถึงได้ไม่อยากจะนั่งรถม้าคันเดียวกันกับเขา ใครมันจะไปทนไหวกัน? 


 


 


ไก่ดำขนฟูยังคงเกาะอยู่บนหลังคารถ ตอนนี้มันเองก็หนวกหูตู๋กูเจวี๋ยเสียจนปวดหัวเช่นกัน มันกระพือปีกส่งเสียงร้องกะต๊าก กะต๊ากออกมา 


 


 


ที่ด้านหลังยังคงมีเถาวัลย์สีเขียวที่ดูราวกับมือผี ไล่ติดตามมาอยู่ตลอด 


 


 


เจ้าไก่ดำขยับปีกครั้งหนึ่ง ก็หันคอกลับไปพ่นลูกไฟออกมาชุดหนึ่ง เพียงพริบตาเดียวก็แผดเผาเถาวัลย์สีเขียวพวกนั้น 


 


 


เถาวัลย์สีเขียวพอติดไฟ ก็ร้อนลวกเสียจนต้องม้วนตัวกลับไป 


 


 


ในป่าเกิดเสียงกรีดร้องโหยหวนขึ้นมา 


 


 


เปลวไฟจากเจ้าไก่ดำขนฟู ทำให้หมู่สัตว์มีปีกทั้งหลายพากันตระหนกจนโผบินขึ้นมา กลายเป็นเงาสีดำมากมายบินอยู่เหนือศีรษะ 


 


 


ราวกับเมฆสีดำพัดผ่านป่าออกไป 


 


 


“ป่าแห่งนี้ช่างแปลกพิลึกเสียจริงๆ กระทั่งเถาวัลย์เส้นหนึ่งก็คล้ายดั่งจะมีชีวิตขึ้นมา พระสนมหยวนเฟย ท่านว่าอีกสักครู่จะมีปีศาจเถาวัลย์โผล่ออกมาหรือไม่?” ตู๋กูเจวี๋ยพูดพลางก็ล้วงเอาสมุดเล่มเล็กเล่มหนึ่งออกมาจากที่ใดก็ไม่รู้ ทั้งยังถือดินสอถ่านเอาไว้แท่งหนึ่ง เริ่มจดบันทึกลงไป 


 


 


แม้หยวนเฟยจะไม่ได้พูดอะไร แต่ว่าในใจของนางก็อดที่จะประหลาดใจไม่ได้ นางยื่นคอออกไปมองดูสมุดเล่มเล็กๆ เล่มนั้น 


 


 


ก็เห็นในสมุดเล็กๆ ของเขาเล่มนั้นบันทึกเรื่องราวของพวกภูติผีปีศาจเอาไว้มากมาย 


 


 


แต่รูปภาพเหล่านั้นออกจะเป็นแนวศิลปะผสมผสานมากเกินไป ช่วงเวลาสั้นๆ นางจึงมองไปออกว่าเป็นอะไร 


 


 


คล้ายจะเป็นพวกสิ่งมหัศจรรย์พันลึก ภูติผีปีศาจต่างๆ นานา 


 


 


“ดูเหมือนว่าท่านจะสนอกสนใจอะไรที่แปลกประหลาดสินะ?” หยวนเฟยพูดพลางก็ขยับเข้าไปใกล้ตู๋กูเจวี๋ยอีกนิด 


 


 


บุรุษพี่น้องคู่นี้ช่างแตกต่างกันจริงๆ 


 


 


คนหนึ่งดุดันกำยำ ฟาดฟันอยู่แต่ในสนามรบ อีกคนหนึ่งพูดมากจนน่ารำคาญ ทั้งยังสนใจแต่ของพวกนี้ 


 


 


หากเปรียบเทียบกันแล้ว พี่ใหญ่ก็คือคนหนุ่มที่เอางานเอาการ 


 


 


ส่วนน้องรองก็คือคุณชายจอมเสเพล 


 


 


“แผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาลไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้ [1] ดอกไม้ ใบหญ้า พืชพรรณนานา ทั้งนกบนฟ้า ปลาในน้ำและสัตว์ในดินต่างก็สามารถฝึกฝนพลังจิต บำเพ็ญเพียรเพื่อแปลงเป็นปีศาจหรือเทพเซียนได้ทั้งนั้น พระสนมหยวนเฟยไม่ทรงรู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างน่าสนใจหรอกหรือ?” ตู๋กูเจวี๋ยขบปลายดินสอถ่านไว้ พลางเอียงศีรษะถาม 


 


 


หยวนเฟยคิดอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยตอบอย่างจริงจังว่า “คล้ายจะน่าสนใจอยู่บ้างจริงๆ” 


 


 


ตู๋กูเจวี๋ยฟังแล้ว ดวงตาทั้งสองก็เป็นประกายขึ้นมา หันไปจดจ้องมองนางอย่างจริงจัง ค่อยส่งสมุดบันทึกของตนออกไป “พระสนมโปรดทอดพระเนตร นี่คือเหล่าภูติผีปีศาจที่กระหม่อมได้บันทึกเอาไว้ในช่วงหลายปีมานี้ บอกกับท่านก็ได้นะ ในบรรดาทั้งหมดนี้ที่เก่งกาจที่สุดก็คืองูเขียวตัวหนึ่ง” 


 


 


ตู๋กูเจวี๋ยพูดจบ ก็เห็นหวังฉายงูเขียวที่พันอยู่บนข้อมือของหยวนเฟยแลบลิ้นออกมา 


 


 


ตู๋กูเจวี๋ยตบเข่าดังฉาด ชี้ไปที่งูเขียวแล้วกล่าวว่า “ใช่แล้ว หน้าตาคล้ายกับงูเขียวน้อยตัวนี้เลย เพียงแต่ว่างูเขียวตัวนั้นมิได้อ่อนโยนสักเท่าไหร่ กระหม่อมจะบอกให้ท่านรู้ นางมีนิสัยชอบจับคนมาขัง พื้นอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่รูปร่างหน้าตากลับงดงามประหนึ่งเทพธิดา….” 


 


 


ยากนักที่หยวนเฟยจะฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ พลิกดูสมุดเล่มน้อยของเขาไม่หยุดจึงเห็นว่าด้านในมีรูปเหมือนขาวดำอยู่มากมาย ในหน้าสุดท้ายของสมุดเล่มนั้น มีรูปเหมือนที่ละเอียดลอออยู่รูปหนึ่ง 


 


 


ลายเส้นที่อ่อนช้อย เปิดเผยรูปร่างที่งดงามไร้ที่ติ แม้แต่เกล็ดแต่ละชิ้นก็ยังดูแวววาวราวกับว่าสะท้อนแสงได้ 


 


 


ในขณะที่ตู๋กูเจวี๋ยพูดไม่ยอมหยุด หยวนเฟยก็ถามออกมาคำหนึ่ง “เส้นผมสีแดง ดวงตาสีแดง งูเขียวหางยาว?” 


 


 


ตอนนี้ตู๋กูเจวี๋ยถึงได้เห็นว่านางเปิดไปยังหน้าสุดท้าย ใบหน้าของเขาแดงขึ้นมา ดวงตาก็เป็นประกายวิบวับกว่าเดิม “พระสนม สวยงามหรือไม่? ข้าเห็นว่านอกจากน้องเล็กแล้ว งูเขียวตัวนี้สวยงามน่าดูที่สุดเลย” 


 


 


หยวนเฟย “……” นางก็รู้สึกว่าตนเองไม่ใช่คนอัปลักษณ์นะ ขอถามหน่อยนี่ไม่คิดจะชมนางบ้างหรือไง? 


 


 


ภายในป่า งูยักษ์ตัวหนึ่งเคลื่อนไหวอยู่บนหญ้ากินคนที่รายรอบ ราวกับว่ากำลังบิดตัวอย่างเกียจคร้านอยู่บนต้นไม้ที่เขียวครึ้ม 


 


 


มันกำลังแลบลิ้นออกมา ดวงตาสีแดงทั้งสองจดจ้องไปยังรถม้าด้านหน้า 


 


 


มันได้ยินทุกถ้อยคำที่กล่าวออกมา โดยไม่มีคำใดจะหล่นหายไปสักคำเดียว 


 


 


ประเด็นสำคัญก็คือ นางเป็นปีศาจงูหรือ? 


 


 


นางพื้นอารมณ์ไม่ดีที่ไหนกัน? นางมีนิสัยชอบจับคนมาขังตั้งแต่เมื่อไหร่? 


 


 


นางก็แค่จับมัดคนเอาไว้ร้อยกว่าคนเท่านั้นเอง ….ใครใช้ให้คนพวกนั้นชอบใส่ชุดขาวกันเล่า? 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้นางก็กลับเนื้อกลับตัว [2] แล้ว ตอนนี้ก็กำลังพากเพียรบำเพ็ญตนอยู่ไม่ใช่หรือไง? 


 


 


“เฮ่อ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอนางอีกน้า….” ตู๋กูเจวี๋ยพึมพำด้วยความคิดถึง พอคิดถึงเหตุการณ์ตอนที่ก่อนหน้านี้ถูกขังเอาไว้ในคุกใต้ดิน ในสมองก็ผุดใบหน้าของชือหลีขึ้นมา 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] 大千世界 无奇不有 


 


 


[2] 迷途知返 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


คุยกันนิดนึง: 


 


 


ไรท์ : เจวี๋ยน้อย วี๊ด ว้าย! คิดถึงใครหรือพ่อคุณ 


ตอนที่ 243 เด็กน้อยนั่น ช่างโอ๋ง่ายจริงๆ 


 


 


ว่าตามจริงนะ ใบหน้านั้น ไม่รู้ทำไมมองแล้วถึงได้รู้สึกว่าสบายตานัก 


 


 


ตู๋กูเจวี๋ยครุ่นคิดไปพลาง สายตาก็ทอดมองไปยังงูเขียวบนข้อมือของหยวนเฟย 


 


 


งูเขียวตัวน้อยถูกเขาจ้องมองเสียจนตัวแข็งค้าง มันส่ายหางน้อยๆ ก็มุดหัวลงไปในแขนเสื้อของหยวนเฟยอย่างเงียบๆ 


 


 


“หวังฉายของบ้านเรามิใคร่ชอบหน้าท่านสักเท่าไร” หยวนเฟยลูบแขนเสื้อ พลางมองไปทางเขาด้วยสายตาประเมิน 


 


 


หยวนเฟยพึ่งพูดจบ รถม้าก็กระเทือนอย่างแรง 


 


 


สายลมเย็นเฮือกหนึ่งพัดโหมมา งูเขียวตัวน้อยตระหนกจนตัวสั่นสะท้าน มันชะโงกหัวออกไปมองดูนอกหน้าต่างแวบหนึ่ง ทันใดนั้นก็ถึงกับต้องฉี่ราดออกมา 


 


 


ลึกเข้าไปในป่า ดวงตาสีแดงคู่นั้นถึงกับทำให้มันต้องแตกตื่นจนวิญญาณงูแทบจะหลุดลอย 


 


 


งูเขียวน้อยตัวสั่นระริก ไม่ทันพูดทันจาก็คลานออกมาจากอ้อมอกของหยวนเฟย พริบตาเดียวก็เลื้อยขึ้นไปบนข้อมือของตู๋กูเจวี๋ยในทันทีด้วยความนุ่มนวลพินอบพิเทาประหนึ่งสุนัขตัวหนึ่ง 


 


 


ตู๋กูเจวี๋ยตื่นตะลึงไป ในที่สุดเขาก็หัวเราะออกมา ยื่นปลายนิ้วไปลูบหัวมันเบาๆ แล้วหันไปกล่าวกับหยวนเฟยว่า “พระสนมหยวนเฟยพะยะค่ะ กระหม่อมเห็นว่าเจ้าหวังฉายตัวน้อยออกจะชอบกระหม่อมมากๆ เลย” 


 


 


พูดแล้วก็ไม่ลืมที่จะลูบคางของเจ้างูเขียวน้อย พลางทำเสียงอ้อมแอ้มอีกสองสามคำ “เจ้าว่าใช่หรือไม่เล่า เจ้าตัวน้อย?” 


 


 


งูเขียว “……..” 


 


 


หากมิใช่เพราะว่างูยักษ์ที่อยู่ด้านนอกนั่นทั้งข่มขู่และกดดันมัน มันมีหรือจะมาเลื้อยพันอยู่บนคนปากมากเช่นนี้? 


 


 


ประหลาดจริงๆๆๆ นี่พวกเขามองไม่เห็นงูยักษ์ที่อยู่ด้านนอกกันบ้างหรือยังไง? 


 


 


งูเขียวน้อยได้แต่ชอกช้ำ งูเขียวน้อยอยากจะร้องไห้ งูเขียวน้อยไม่กล้าแม้แต่จะหันหัวกลับไป ได้แต่ต้องมาเลื้อยอยู่บนตัวเขาอย่างน่าสงสาร 


 


 


หยวนเฟยประหลาดใจเสียจนตาโตขึ้นมา 


 


 


ถึงแม้นางจะรู้สึกว่าไม่ควรจะไปแหย่คนในตระกูลตู๋กู แต่เจ้าหวังฉายนี่ที่ผ่านมาไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน ไยพอเจอกับคนตระกูลตู๋กูเป็นต้องหงอยราวกับมะเขือที่โดนหิมะไปเสีย 


 


 


หยวนเฟยได้แต่ตัดสินใจอย่างเงียบๆ ว่า ต่อไปมิว่าจะอย่างไรก็อย่าได้ไปผิดใจกับพวกเขาโดยง่าย 


 


 


ที่ด้านนอกหน้าต่าง ชือหลีเลื้อยอยู่บนลำต้นของต้นไม้ที่หยาบใหญ่ต้นหนึ่ง พลางสะบัดหางเบาๆ ขณะมองดูรถม้าที่อยู่ไกลออกไป มุมปากของนางก็ยกยิ้มขึ้นมา 


 


 


เจ้าเด็กน้อยผู้นั้น ช่างโอ๋ง่ายดีแท้ๆ แค่งูน้อยตัวหนึ่งมาออเซาะเข้าหน่อย ก็ดีใจจนถึงขนาดนั้น? 


 


 


ตอนนี้ก็ดีใจเช่นนี้ไปก่อนเถอะ พอถึงแคว้นเซอปี่ซือ ได้เจอะเจอสิ่งที่แปลกประหลาดมากมาย เขาจะเป็นอย่างไรนะ? 


 


 


น้อยนักที่นางจะได้เจอคนที่สนอกสนใจในสิ่งประหลาดเหนือธรรมชาติ 


 


 


อย่าได้เห็นว่าเจ้าเด็กนั่นยังอายุน้อย คนถึงกับเป็นขุนนางใหญ่โต ในหมู่มนุษย์ด้วยกัน เขาถือว่าเป็นคนที่โดดเด่นผู้หนึ่ง 


 


 


…………………. 


 


 


ภายในรถม้า ตู๋กูเจวี๋ยกำลังหลงลำพองที่งูตัวหนึ่งมาหมอบราบคาบแก้วให้ เขาเบิกบานจนแทบจะเป็นบ้าไปแล้ว 


 


 


จึงมิได้ทันสังเกตถึงความเคลื่อนไหวในป่าทึบเลยสักนิด หากมิใช่ว่าเจ้าติ๊งต๊องยังคงคอยกระพือปีกอยู่บนหลังคารถม้า เกรงว่าพวกเขาคงจะพากันลืมจุดมุ่งหมายของการเดินทางไปแล้ว 


 


 


ภายในรถอีกคันหนึ่ง ทันใดนั้นตู๋กูซิงหลันก็พลันลมหายใจสะดุดขึ้นมา นางเพ่งมองไปที่ด้านหลัง พอกวาดตามองไปอีกที ก็เห็นเป็นเพียงสีเขียวขจีทั้งแถบเท่านั้น 


 


 


นางหรี่ตาลงมองดู ทั้งยังคิดจะมองดูด้านนอกให้ละเอียดกว่าเดิม แต่กลับถูกจีเฉวียนจับแก้มเอาไว้ แล้วหันหน้าของนางกลับมา 


 


 


“อย่าได้ไปมองมากวุ่นวาย ที่ด้านนอกมีตัวประหลาดอะไรเยอะแยะไปหมด เราเกรงว่าเจ้าจะตกอกตกใจไป” ฝ่าบาทประทับนั่งตรงๆ ใช้พระองค์บังอยู่ด้านหน้าของนาง 


 


 


“เพราะอะไรเขาถึงได้รู้สึกว่าเจ้าอาจจะตกอกตกใจขึ้นมาได้นะ?” วิญญาณทมิฬอดกลั้นมาตลอดทาง ยามนี้ถึงกับอดทนไม่ไหวอีกแล้ว หากมิใช่ว่าก่อนหน้านี้มันได้เห็นฝีมือการสังหารงูยักษ์ของเจ้าฮ่องเต้สุนัขผู้นี้ ภายในดาบเดียว รับรองเลยว่ามันไม่มีทางยอมสงบนิ่งมาตลอดทางเช่นนี้เป็นแน่ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันมิได้ตอบคำของเขา แก้มของนางถูกฝ่าบาทหยิก สายตาก็ถูกฝ่าบาทคอยจับจ้องอยู่ทุกฝีก้าว จนมิอาจจะเป็นอิสระได้เลย 


 


 


“เมื่อผ่านดินแดงหนานเจียงไป ด้านหน้าก็จะถึงดินแดนที่กว้างใหญ่กว่าอย่างแคว้นเซอปี่ซืออยู่แล้ว เจ้าต้องรับปากเราข้อหนึ่ง หลังจากที่เข้าไปแล้ว จะต้องทำตัวให้ติดกับเราเข้าไว้ ห้ามเคลื่อนไหวเองโดยพละการเด็ดขาด” 


 


 


—— 


 


 


คุยกันนิดนึง: 


 


 


ไรท์: บทที่นี้สั้นมากๆ จนไรท์เองก็ตกใจ สั้นสุดเท่าที่เคยแล้วมา แต่ตรวจต้นฉบับไปสามรอบ พี่ก็มาเท่านี้จริงๆ ไรท์ได้แจ้งเรื่องนี้กับทางธัญแล้วนะคะ เพื่อกันทุกฝ่ายเข้าใจผิดค่ะ 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 244 กลิ่นอายที่คุ้นเคย 


 


 


ตู๋กูซิงหลันรู้สึกเหมือนกับว่าตนเองคือยายอ้วนที่ถูกลักพาตัวมา 


 


 


นางพึ่งจะอ้าปากก็ถูกพระหัตถ์ของจีเฉวียนปิดลงมาบนริมฝีปากเสียก่อน “อย่าได้เอ่ยวาจาไร้สาระ อยู่ข้างๆ เราตลอดเวลาก็พอแล้ว” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันครุ่นคิดอย่างละเอียดลอออยู่ครู่หนึ่ง ตอนนี้นางไม่มีหยกสรรพชีวิตแล้ว ถึงแม้จะไม่ค่อยเข้าใจความหมายลึกๆ ในถ้อยคำของเจ้าฮ่องเต้สุนัขสักเท่าไหร่ แต่ที่แน่ๆ ก็คือเขาเก่งกาจอย่างแน่นอน 


 


 


เมื่อมีขาใหญ่ๆ ยื่นมาให้เกาะ หากไม่เกาะก็เท่ากับว่าเสียเปล่า 


 


 


นางผงกศีรษะอย่างเชื่อฟัง แล้วก็คลี่ยิ้มให้กับเขา 


 


 


เนื่องเพราะใบหน้ามีแต่เนื้ออวบๆ เป็นเหตุ พอยิ้มขึ้นมาก็กลายเป็นก้อนกลมนุ่มๆ เน้นๆ ราวกับซาลาเปาอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


ก่อนหน้านี้จีเฉวียนไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่า ที่แท้แล้วนางน่ารักมากขนาดนี้ 


 


 


ก่อนหน้านี้มีแต่ท่านหญิงน้อยซุ่นเออร์ที่นานๆ ครั้งจะทำให้เขาเกิดความรู้สึกอยากจะหยิกแก้มขึ้นมา ตอนนี้พอข้างกายมีตู๋กูซิงหลันแล้ว เขาก็อยากจะหยิกสองแก้มของนางอยู่ตลอดเวลา 


 


 


พระองค์ได้แต่ทรงพยายามควบคุมความพลุ่งพล่านในพระทัยเอาไว้ พระหัตถ์ก็หยิกแก้มของนางเบาๆ อีกครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยหดกลับมาช้าๆ 


 


 


ดวงตาหงส์คู่นั้นจับจ้องอยู่ที่นาง ก่อนหน้านี้ยามที่พระองค์เคยขอนางแต่งงานไม่เคยรู้สึกเลยว่านางงดงามขนาดไหน 


 


 


ตอนนี้ยิ่งมองยิ่งรู้สึกสบายตา ในวังหลวง ไม่ว่าบุรุษหรือสตรีล้วนแต่พากันครุ่นคิดถึงนาง จีเย่ว์จากไปแล้วคนหนึ่ง ก็มีซูเม่ยมาอีกคนหนึ่ง 


 


 


เขาถึงขนาดปลอมเป็นหญิงเข้ามาเป็นพระสนมในวังเพื่อนาง ก่อนหน้านี้จีเฉวียนนึกไม่ออกเลยว่าจะต้องมีจิตใจเช่นไรถึงจะสามารถทำได้จนถึงขั้นนี้ 


 


 


ตอนนี้เขาพอจะ……เข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว 


 


 


พอเห็นท่านั่งที่หลุกหลิกอยู่ตลอดเวลาของนาง ในพระทัยของเขาก็พลันเกิดความรักใคร่เอื้อเอ็นดูประหนึ่งบิดาขึ้นมา “หนทางขรุขระมาก เจ้าเองก็ได้รับบาดเจ็บมาก่อน ทางที่ดีสมควรจะนั่งให้นิ่งๆ ดีๆ เสียหน่อย” 


 


 


ตรัสแล้ว ฮ่องเต้ก็ตบลงบนที่นั่งข้างพระองค์ “นั่งข้างๆ เรามั่นคงที่สุดแล้ว” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “…….” 


 


 


“หากว่าเจ้าไม่ย้ายไปละก็ ข้าว่าเขาจะต้องตีก้นเจ้าจนแตกลายเป็นแน่” วิญญาณทมิฬหมอบอยู่ด้านข้างราวกับแม่ไก่ตัวหนึ่ง 


 


 


บางทีอาจจะเป็นเพราะช่วงนี้มันคลุกคลีกับเจ้าติ๊งต๊องนานเข้า ไปๆ มาๆ ถึงได้เรียนรู้ท่าหมอบเช่นนี้ขึ้นมาบ้าง 


 


 


……………… 


 


 


ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา ตู๋กูซิงหลันอึดอัดมาก ก่อนหน้านี้นางคุ้นเคยกับจีเฉวียนที่เป็นจิ้งจอกเฒ่าและภูเขาน้ำแข็งพันปี ในการเดินทางครั้งนี้ถึงแม้ว่าเขายังคงวางท่าสูงส่งเสียดฟ้าเหมือนเดิม แต่กลับดูแลนางอย่างเอาใจใส่ 


 


 


กระหายปุ๊บก็มีน้ำให้ดื่ม และถึงกับเป็นน้ำค้างยามเช้าที่เก็บรวบรวมมาจากทะเลสาบหยู่จื่อของในวัง บรรทุกกันมาหลายโอ่งราวกับว่าไม่ต้องเสียเงินซื้อ 


 


 


หิวรึก็มีขาหมูให้กิน ราวกับเกรงว่านางจะอ้วนไม่พอ? 


 


 


นั่งจนเมื่อยแล้วก็ยังมีราชองครักษ์ลับที่เป็นสตรีมาคอยบีบนวด ทุบไหล่ 


 


 


หากว่าจำได้ไม่ผิดละก็ องครักษ์ลับของจีเฉวียนแต่ละคนล้วนคัดสรรจากคนนับพันนับหมื่น แต่ละคนนิสัยทรนงเย็นชา องครักษ์หญิงเหล่านั้นยิ่งถือว่าล้ำค่าหายาก แต่เขากลับนำมาเป็นคนรับใช้อย่างไม่เสียดาย 


 


 


พวกนางเดินทางมาเพื่อตามหาสมบัติของแคว้นเซอปี่ซือนะ แต่ว่าตอนนี้ดูไปเหมือนจะเป็นการออกมาท่องเที่ยวชมภูเขาและสายน้ำมากกว่า แถมบริการทั้งหมดยังเป็นระดับห้าดาวเสียด้วย 


 


 


ตอนแรกตู๋กูซิงหลันยังไม่รู้สึกคุ้นเคยสักเท่าไหร่ พอตอนหลังการบริการนี้ถึงกับพิสดารขึ้นเรื่อยๆ ถึงขนาดที่ว่าพอนางคิดจะเข้าห้องน้ำ องครักษ์ก็มีกระโถนมารองรับเลยทีเดียว 


 


 


ผ่านไปไม่กี่วัน นางก็ชักจะคุ้นเคยขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ทุกครั้งที่เห็นฝ่าบาทหรี่พระเนตรมองมา ในใจก็รู้สึกว่าเขากำลังวางแผนไม่ดีอะไรอยู่เป็นแน่ 


 


 


……………………. 


 


 


กลางฤดูร้อน อากาศยามค่ำในหนานเจียงอบอ้าวที่สุด ตกกลางคืนก็จะมีตัวประหลาดไม่น้อยที่พยายามจะเข้ามาซุ่มโจมตี 


 


 


แต่ตลอดทางมานี้ เมื่อมีเปลวเพลิงสีทองของติ๊งต๊องคอยป้องกัน การเดินทางของหลันจึงนับได้ว่าสะดวกราบรื่นอย่างมาก 


 


 


ในค่ำคืนหนึ่งที่มีดวงดาวมากมายบนท้องฟ้า ในที่สุดก็นับได้ว่าเดินทางมาจนถึงทะเลทรายที่กว้างใหญ่ไพศาลแล้ว 


 


 


ทะเลทรายนั้นปรากฏขึ้นมาอย่างกระทันหัน ราวกับตัดขาดเขตแดนกับป่าทึบของหนานเจียงอย่างสิ้นเชิง 


 


 


ราวกับว่ามีเส้นแบ่งปรากฏขึ้นมาเส้นหนึ่ง ฝั่งนี้คือโลกของมนุษย์ และฝั่งนั้นคือแดนนรกภูมิ 


 


 


ตอนที่อยู่กลางป่าทึบของหนานเจียง ตลอดทางมักจะมีเสียงซวบซาบของบางสิ่งเคลื่อนไหวติดตามรถม้าของพวกนางมาตลอดทาง แต่ว่าพอมาถึงทะเลทราย สิ่งเหล่านั้นก็มิได้ติดตามมาอีกแล้ว 


 


 


พวกมันคล้ายกับว่ากำลังหวาดกลัวบางสิ่ง จึงถอยกลับเข้าไปในป่าลึก ซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันแง้มม่านหน้าต่างรถมองกลับไป ในความมืดนั้นมีสิ่งประหลาดมากมายนับไม่ถ้วนที่ได้สะสมพลังเอาไว้จนสามารถสร้างรูปลักษณ์ต่างๆ ขึ้นมา 


 


 


พอมองลอดผ่านใบไม้ ก็สามารถเห็นดวงตาสีแดงคู่หนึ่งที่เปล่งแสงแวววาวน่ากลัวอยู่ในความมืดมิด 


 


 


ตั้งแต่ที่มาถึงดินแดนหนานเจียงนั้น ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติแล้ว 


 


 


ดอกไม้ใบหญ้า พืชพรรณพฤกษา นกปลาแมลงและสัตว์ร้ายทั้งหลายต่างก็สามารถจำแลงกายได้ แต่ละตัวมีตะบะอย่างต่ำๆ ก็ร้อยปี และส่วนมากคือมากกว่าพันปี นี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ง่ายดาย แต่ว่าทำไมในดินแดนหนานเจียง จึงกลายเป็นแหล่งรวมพลของสิ่งประหลาดเหล่านี้? 


 


 


ก่อนหน้านี้มีเถาวัลย์ที่ขยุ้มเส้นผมของจีเฉวียนไป นั่นจะดูอย่างไรก็มิใช่พืชกินคนธรรมดา 


 


 


ยามที่มันไล่กวดติดตามมา อย่างน้อยๆ ก็คงต้องบอกว่ามีร้อยกว่าเส้น บนร่างของพวกมันจะมากจะน้อยต่างก็มีกลิ่นอายที่ทำให้ตู๋กูซิงหลันเกิดความรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก 


 


 


กลิ่นอายนี้ เมื่อนางมาถึงเขตทะเลทรายก็ยิ่งแจ่มชัดขึ้นมา 


 


 


วิญญาณทมิฬที่ทำตัวเป็นแม่ไก่ฟักไข่มาตลอดทางก็ผุดลุดขึ้น มันกระโดดมาอยู่ข้างกายตู๋กูซิงหลัน พูดคุยกับนางผ่านทางกระแสจิตว่า “หลันหลัน เจ้าเองก็รู้สึกได้ใช่หรือไม่?” 


 


 


พอพูดออกมาแล้ว วิญญาณทมิฬก็พึมพำกับตนเองต่อไป “นี่มันคืออะไรกันแน่? ความรู้สึกที่แสนจะคุ้นเคยเช่นนี้ …….ทำไมถึงได้คิดไม่ออกกันนะ?” 


 


 


“คิดไม่ออกก็อย่าได้ไปเสียเวลาคิดแล้ว” สีหน้าของตู๋กูซิงหลันหนักอึ้งกว่าเดิม สองมือของนางล้วงลงไปในแขนเสื้อ แต่ศีรษะกลับมองออกไปที่นอกหน้าต่างรถ 


 


 


หน้าต่างถูกปิดเอาไว้ เมื่อติดกระจกกั้นไว้บนหน้าต่าง คนที่อยู่ด้านในสามารถมองเห็นสภาพภายนอกได้ 


 


 


ถึงแม้จะเป็นกลางฤดูร้อน แต่ว่าทะเลทรายยามกลางคืนเหน็บหนาวอย่างที่สุด ทันทีที่รถม้ามาถึงทะเลทราย ก็เกิดเหตุน่าตระหนกขึ้น 


 


 


ม้าเหงื่อโลหิต [1] ทั้งสองตัวส่งเสียงกรีดร้องขึ้นมา มันกระทืบเท้าอย่างไม่ยอมหยุด ราวกับว่าบนพื้นมีบางสิ่งทำให้กีบเท้าร้อนลวกขึ้นมาอยู่ตลอด 


 


 


“ฝ่าบาท สถานการณ์ไม่ดีพะยะค่ะ” สารภีที่ขับรถม้าคืดหัวหน้าองครักษ์ลับหลงเซียว คนผู้นี้เป็นคนคนละประเภทกับตู๋กูเจวี๋ย หลงเซียวนั้นเป็นดั่งน้ำเต้าปิดจุก ตลอดทางที่ผ่านมานี้ เขาพูดจาไม่ถึงสิบประโยค 


 


 


เขาให้ความรู้สึกถึงการคงอยู่น้อยมากๆ น้อยมากจนเหมือนกับว่าเป็นเพียงแค่ร่างเงาเท่านั้น 


 


 


หลงเซียวกล่าวยังไม่ทันขาดคำ ก็ได้ยินเสียงม้าร่ำร้องด้วยความแตกตื่นกว่าเดิม ม้าสองตัวนี้เป็นสุดยอดม้าล้ำค่า เคยร่วมออกรบในสงครามกับจีเฉวียนมาแล้ว 


 


 


ในสถานการณ์ทั่วไปพวกมันไม่มีทางแตกตื่นง่ายๆ 


 


 


หลงเซียวกระชับบังเ**ยนจนตึง เพื่อควบคุมม้า ตู๋กูซิงหลันยื่นหน้าออกไปดู ก็เห็นว่าพื้นทรายใต้กีบเท้าของม้ามีความเคลื่นไหว ไม่รู้ว่ามีแมงป่องสีดำขนาดเท่าไข่ไก่ผุดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ 


 


 


แมงป่องเหล่านั้นว่องไวอย่างยิ่ง พวกมันรวมกลุ่มกันป่ายปีนขึ้นมาตามขาม้า ทางหนึ่งปีนขึ้นมาทางหนึ่งก็ใช้หางปลายแหลมต่อยลงไปในร่างกายของม้า 


 


 


หลงเซียวพอเห็นสถาการณ์ที่เกิดขึ้นก็ชักดาบออกมาจากหว่างเอวโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า สะบัดดาบออกไปราวกับร่ายรำ เงาดาบรวดเร็วปานโบยบิน เพียงพริบตาเดียวก็กรีดเอาแมงป่องสิบกว่าตัวตกลงไป 


 


 


แต่ว่าเจ้าพวกนี้ยิ่งทีกลับยิ่งมีมาก พวกมันไม่เหมือนกับแมงป่องธรรมดา เปลือกหนาๆ ภายนอกแข็งแกร่งประดุจเหล็ก ดาบที่กรีดผ่านเพียงทำให้เกิดรอยแผลเท่านั้น 


 


 


ยิ่งเขาออกกระบวนท่ารวดเร็ว แมงป่องดำพวกนี้ก็ยิ่งพากันคลุ้มคลั่งกว่าเดิม บุกเข้ามาจนมืดดำทะมึนไปหมด 


 


 


ฮ่องเต้ประทับอยู่ภายในรถม้า แต่สีพระพักตร์ยังคงสงบนิ่ง 


 


 


จากนั้นก็ไม่ลืมที่จะหันมาปลอบประโลมตัวอ้วนน้อยอย่างตู๋กูซิงหลัน “ไม่ต้องกลัว มีเราอยู่” 


 


 


พอทอดพระเนตรเห็นว่าพวกแมงป่องดำยิ่งทียิ่งคืบคลานเข้ามาใกล้ เขาถึงได้ตรัสเรียกด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้นมา “หยวนเฟย” 


 


 


ไม่ต้องให้เขาเรียก หยวนเฟยก็รู้ตัวอยู่ก่อนตั้งแต่ตอนที่งูเขียวน้อยเลื้อยกลับมาจากตู๋กูเจวี๋ยแล้ว ทันใดนั้นนางก็กระโดดออกมาจากรถม้าคันหลัง มองดูกองทัพแมงป่องดำด้วยสองตาเป็นประกาย 


 


 


“กะ กะ กะต๊าก!” เจ้าไก่ดำขนฟูยังปิติยินดียิ่งกว่านางเสียอีก 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] 汗血宝马 


 


 


—— 


 


 


คุยกันนิดนึง: 


 


 


ไรท์ : กองทัพแมงป่องดำ! มา กระทะพร้อม น้ำมันพร้อมเลยจ้า 


 


 


ม้าเหงื่อโลหิต汗血宝马 : ม้าอัคคัลทีค (Akhaltekin) ถือเป็นสุดยอดอาชาระดับMVP แรร์ไอเท็มในตำนาน ม้าชนิดนี้เป็นอาชาคู่ใจของขุนศึกในนิยายจีน เช่น ม้าเซ็กเธาว์ของลิโป้และกวนอูในสามก๊ก ม้าคู่ใจก๊วยเจ๋ง มันสามารถวิ่งได้เร็ว (เดินทางวันละพันลี้) ซื่อสัตย์ อดทนเป็นเลิศ โดยเฉพาะเมื่อต้องข้ามทะเลทราย ที่เหงื่อของมันเป็นสีแดง แต่เดี๋ยวก่อนแม้ว่าม้าพันธุ์นี้เป็นม้าสายพันธุ์เก่าแก่ที่สุดในโลก แต่มันไม่ได้มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน มันสมบัติประจำชาติของประเทศเติร์กเมนิสถานต่างหากจ้า ขนาดกตอนที่ก๋วยเจ๋งได้ม้าตัวนี้มาก็เป็นเพราะว่าตอนนั้นเขาติดตามอาจารย์สามลึกเข้าไปในเขตแดนของพวกมองโล จึงได้พบมันท่ามกลางฝูงม้าป่าด้วยความบังเอิญ ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์วิเคราะห์ว่าเหงื่อสีแดงนั่นเกิดจากรอยกัดของปรสิตที่ชอบอาศัยอยู่กับม้าชนิดนี้ ทำให้มีเลือดปนออกมากับเหงื่อ  

 

 


ตอนที่ 245 มีน้ำจิตน้ำใจ

 

ถึงแม้ว่ามันจะเกาะติดอยู่บนหลังคารถ แต่อย่างน้อยต้องนับว่ามันก็มีน้ำใจที่ไม่ได้ทำรถพัง ทั้งยังช่วยพ่นไฟมาตลอดทาง


 


 


ต้องเผาไอ้พวกตัวประหลาดทิ้งไปมากมาย ตอนนี้ท้องของมันชักจะหิวขึ้นมาแล้ว


 


 


พอได้ยินเจ้าไก่ขนดำส่งเสียงร้อง หยวนเฟยก็เคร่งเครียดขึ้นมา นางกลัวว่าเหยื่อของตนจะถูกแย่งชิงไป


 


 


นางโฉบลงไปข้างกายของหลงเซียว ใช้มือข้างเดียวคว้าสายบังเ**ยนรถม้าเอาไว้ ออกแรงดึงรั้งรถม้าของฝ่าบาท


 


 


นางนั่งลงที่ด้านหน้าของรถม้า เหลือบมองหลงเซียวที่ถือกระบี่ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ก็ตบไหล่ของเขาทีหนึ่ง “หลบไปเถอะ ของเล่นพวกนี้เจ้าจัดการพวกมันไม่ได้หรอก ให้เราลงมือดีกว่า”


 


 


ว่าแล้ว นางก็ล้วงเอาขวดใบเล็กออกมาจากในอกเสื้อ เขย่าเบาๆ ก็เทน้ำยาสีแดงออกมาหลายหยด


 


 


พอน้ำยาหยดลงไปบนพื้นทราย ก็กำจายกลิ่นหอมประหลาดออกมา


 


 


แมงป่องดำที่เดิมทีคึกคักดั่งม้าศึกพอได้กลิ่นหอม ก็รีบหันหัวกลับมาในทันที ต่างทะยานเข้าหาแหล่งที่มาของกลิ่นอย่างคลุ้มคลั่ง


 


 


แมงป่องดำมากมาย กลุ้มรุมเข้ามาจนกลายเป็นลูกบอลสีดำลูกใหญ่


 


 


หยวนเฟยรีบฉวยโอกาสนี้ ล้วงเอาข้องไม้ไผ่ใบย่อมๆ ออกมา ข้องไม้ไผ่นั้นก็มีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เช่นเดียวกัน พอเปิดจุกออก ก็เห็นแมงป่องดำเหล่านั้นพุ่งเข้าไปข้างในราวกับมีวิญญาณ


 


 


กระทั่งข้องไม้ไผ่บรรจุแมงป่องดำลงไปจนล้น หยวนเฟยถึงได้เก็บขึ้นมาด้วยความพอใจ


 


 


นางรู้สึกว่าฝ่าบาททรงดีต่อนางมากจริงๆ ไม่เพียงแต่พานางเดินทางผ่านบ้านเกิด ทั้งยังมอบโอกาสให้นางได้มาจับแมงป่องนรก หยวนเฟยรู้สึกว่าการเดินทางรอบนี้คุ้มค่ามาก


 


 


ดวงตาของนางยังทอประกายไม่ยอมหยุด เก็บข้องไม้ไผ่ไปแล้ว ก็เริ่มกวาดตามองออกไปโดยรอบอีกครั้ง ดูสิว่ายังมีเหยื่อที่เล็ดรอดหว่างแหไปหรือไม่


 


 


นางทางหนึ่งค้นหาทางหนึ่งก็ส่งเสียงกระซิบไปด้วย “ฝ่าบาท แมงป่องนรกพวกนี้ยังตัวไม่ใหญ่เท่าไรนัก หม่อมฉันคิดว่าสมควรจะนำกลับวังหลวงไปเลี้ยงดูอีกสักสามถึงห้าปี รอจนอวบอ้วนแล้ว ฝ่าบาทก็ทรงพระราชทานงานเลี้ยงแมงป่อง ให้พวกขุนนางเหล่านั้นได้บำรุงร่างกาย”


 


 


ขุนนางบุ๋นของแคว้นต้าโจวอ่อนแอเกินไปแล้ว ดูอย่างบิดาของเต๋อเฟย ท่านรองมหาเสนาบดีนั่นสิ ที่จริงพึ่งจะมีอายุแค่หกสิบกว่าปีเท่านั้นเอง หลังจากเกิดเรื่องของเสียนไท่เฟยแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ถึงได้ป่วยไม่ยอมหาย ตอนนี้ดูแล้วเหมือนตะเกียงที่ถูกถอดไส้ทิ้งไป [1]


 


 


นางเห็นยามปกติไทเฮาน้อยมักจะนึกถึง ‘เฒ่าฟู่’ อยู่บ่อยๆ คิดๆ ดูแล้วตอนนี้ไทเฮาน้อยคงจะไม่ได้เกลียดชังรองมหาเสนาบดีผู้นี้สักเท่าไร


 


 


มีตัวตลกเอาไว้ให้นางได้สนุกสนานย่อมดีกว่าปล่อยให้นางอยู่ในวังอย่างเบื่อๆ แล้วก่อปัญหาขึ้นมา


 


 


ภายในรถม้า ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรมองนางเขย่าข้องไม้ไผ่ที่ใส่แมงป่องดำเอาไว้จนเต็ม ก็ทรงคิดแต่ว่าอยากให้นางอยู่ให้ห่างจากพระองค์และตู๋กูซิงหลันเข้าไว้


 


 


“ม้าแสนรักของเราล้ำค่าอย่างที่สุด เจ้าต้องรักษา”


 


 


หยวนเฟยถึงกับมึนตึบ นางใช่หมอรักษาสัตว์ที่ไหนกัน?


 


 


ตู๋กูซิงหลันนั่งพิงอยู่ด้านหนึ่ง ในใจก็คิดขึ้นมาว่า ปีนี้ฐานะของหยวนเฟยชักจะตกต่ำ ถึงขนาดต้องมานั่งรักษาม้าเสียแล้วหรือนี่?


 


 


นางสงสารหยวนเฟยน้อยจนปวดใจอยู่ชั่วแวบหนึ่ง


 


 


นางขยับตัว พอคิดจะออกไป ก็ถูกฮ่องเต้คว้าคอเสื้อเอาไว้ลากกลับมา “เราเคยพูดเอาไว้ว่าอย่างไร?”


 


 


ตู๋กูซิงหลันชะงักไปครู่หนึ่ง ฝ่าบาทสีพระพักตร์เย็นชา ตักเตือนนางอีกครั้งด้วยความอดทน “เมื่อเข้าสู่ที่นี่ เจ้าต้องเชื่อฟังคำเราอย่างดี ติดตามเราตลอดเวลา”


 


 


“ฝ่าบาท หม่อมฉันอยากปลดทุกข์หนัก”


 


 


“ก็ถ่ายมันในรถ”


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “!!!”


 


 


“อย่าคิดว่าเราไม่รู้ เจ้าก็แค่ห่วงใยหยวนเฟย” ขณะที่ตู๋กูซิงหลันมัวแต่ตกตะลึง จีเฉวียนก็จับนางกลับมานั่งลงบนที่เดิม


 


 


“นางเติบโตในแดนหนานเจียงมาตั้งแต่เล็ก พบเจอแมลงพิษมามากกว่าข้าวสารที่เจ้าเคยกินเสียอีก นางไม่มีทางเกิดเรื่องหรอก” ฮ่องเต้ประทับนั่งลงที่ข้างกายนาง โดยมิได้หันไปทอดพระเนตรหยวนเฟยอีกเลย


 


 


ว่าแล้วก็ไม่ลืมตรัสอย่างเสียดแทงใจนางอีกประโยค “นางออกมาเพื่อจับแมลง”


 


 


พูดกับตามตรงแล้ว ก็มิได้มีอะไรต่างจากพวกหลงเซียวเลย


 


 


ยิ่งพระองค์ตรัสเช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันก็ยิ่งเกิดความสงสารหยวนเฟยน้อยยิ่งกว่าเดิม


 


 


ดูเอาเถอะ นี่มันใช่เรื่องที่สมควรจะต้องมาทำหรือ?


 


 


ลากคนร่วมเดินทางมาเป็นพันลี้ เพื่อคอยจับแมลงให้กับเขา?


 


 


แล้วพี่รองล่ะพามาด้วยเพื่ออะไรกัน?


 


 


ใช้ปากพ่นน้ำลายให้เแมลงตายหรือยังไง?


 


 


ขณะที่ตู๋กูซิงหลันคิดมาถึงตรงนี้ ก็เห็นตู๋กูเจวี๋ยลงมาจากรถม้า ในมือของเขายังมีผ้าห่มนอนนุ่มนิ่มผืนหนึ่ง เขาเกรงว่าในทะเลทรายจะมีตัวอะไรโผล่ออกมาอีก จึงรีบวิ่งตรงมายังข้างรถของตู๋กูซิงหลันในทันที


 


 


เขาพยายามเขย่งก้นอยู่ครึ่งค่อนวันก็ยังปีนขึ้นมาไม่ได้ ดวงตาคู่นั่นจึงหันไปจดจ้องหลงเซียงและหยวนเฟยแทน “ต้องรบกวนแล้ว ช่วยดึงข้าขึ้นไปหน่อยเถอะ”


 


 


หลงเซียวยังคงมีสีหน้าเย็นชา ส่วนหยวนเฟยนั่นทำหน้าปวดฟัน


 


 


นางบอกแล้วใช่ไหมว่าขุนนางบุ๋นของต้าโจวนั้นอ่อนแอเกินไป คราวหน้าตอนแบ่งเนื้อแมงป่องไว้ให้เฒ่าฟู่ ยังต้องแบ่งอีกส่วนหนึ่งให้คนปากมากผู้นี้


 


 


เฮ่อ ทำไมอยู่ๆ ถึงต้องคิดถึงตู๋กูจุนที่ขนหน้าอกดกดำผู้นั้นด้วยนะ


 


 


เห็นเขาพยายามเขย่งก้นอยู่หลายรอบแล้ว หลงเซียวก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ยื่นมือลงไปคว้าที่เข็มขัดดึงตัวเขาขึ้นมา


 


 


ตู๋กูเจวี๋ยยิ้มให้กับเขา “หัวหน้าหลง ช่างมีน้ำจิตน้ำใจ ไว้พวกเรามาหาเวลาระลึกความหลัง สนทนากันเป็นไง?”


 


 


หลงเซียว “…….” วิธีที่ดีที่สุดยามเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนปากมาก นั่นก็คืออย่าไปต่อปากต่อคำกับเขา ให้ทำเป็นว่าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น ตนเองจึงจะได้รับการปลดปล่อย


 


 


พอเห็นว่าสถานการณ์มิได้ไปในทางเดียวกัน ตู๋กูเจวี๋ยก็รู้จักแบ่งความสำคัญก่อนหลัง ไม่ได้กล่าวอะไรกับหลงเซียวอีก


 


 


“น้องเล็ก กลางคืนหนาวเย็น พี่รองเอาผ้าห่มนอนมาให้เจ้า ตอนกลางคืนต้องห่มตัวให้ดี อย่าได้ป่วยไข้ไป ทั้งข้าและพี่ใหญ่ ยังมีท่านปู่อีกคนจะต้องเป็นห่วงมากแล้ว


 


 


เขากอดผ้าปูเอาไว้ คุกเข่าด้วยสีหน้าน่าสงสารอยู่นอกรถม้า


 


 


ตู๋กูซิงหลันพลันเกิดความอบอุ่นในใจขึ้นมา ถึงแม้ว่าตลอดทางนางจะได้รับบริการระดับห้าดาวมาโดยตลอด แต่ผ้าห่มของพี่รองก็ทำให้อุ่นใจที่สุด


 


 


นางกำลังจะเอื้อมมือออกไปรับ ฝ่าบาทก็รีบคว้านางมาไว้ในอ้อมกอดก่อนก้าวหนึ่ง


 


 


ตรัสอย่างไม่สนใจสถานการณ์ทั้งยังตั้งด่านป้องกันของเขาขึ้นมา “อ้อมแขนของเราไม่อบอุ่นเพียงพอหรืออย่างไร? จะเอาผ้าห่มพวกนี้มาทำไม?”


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “…….” ขอโทษทีเถอะ อย่างท่านนี่ต้องเรียกว่าแท่นน้ำแข็งที่ทำให้คนหนาวตายได้ต่างหาก ขอบคุณนะ


 


 


ตรัสแล้ว จีเฉวียนก็รับผ้าห่มของตู๋กูเจวี๋ยมาด้วยตนเอง “หากว่าเจ้ารู้สึกหนาว เราจะเอาผ้าห่อเจ้าเอาไว้ ค่อยกอดก็ได้”


 


 


ตู๋กูซิงหลันถูกเขากลั่นแกล้งเช่นนี้นางก็ใกล้จะเป็นบ้าเข้าไปทุกทีแล้ว


 


 


ขอถามหน่อยนะ เจ้าฮ่องเต้สุนัขกำลังไล่จีบนางอยู่หรือไง?


 


 


หากเป็นการตามจีบหญิงละก็ ต้องนับว่าฮ่องเต้สุนัขเป็นระดับสุดยอดของบุรุษเสเพลจริงๆ


 


 


หยอดคำหวานมาเป็นชุดๆ การใส่ใจดูแลรึก็ไร้ที่ติ ตลอดทางมานี้แทบจะทำประหนึ่งว่านางคือบุตรสาวของเขาแล้ว


 


 


ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ตู๋กูซิงหลันค่อยตอบกลับไปเบาๆ ว่า “ฝ่าบาท พวกเรากำลังออกตามหาสมบัติกันนะเพคะ”


 


 


ไม่ได้มานั่งจีบกันโว้ย ลูกพี่ ท่านช่วยมีสติหน่อยได้ไหม!


 


 


“เรารู้ดี แต่การตามหาสมบัติกับการใช้ผ้าห่มกอดเจ้าเข้านอน มีอะไรขัดแย้งกันหรือ?”


 


 


พี่รองถูกแย่งผ้าห่มไปแบบนี้ เขาย่อมไม่มีความสุขแล้ว “ฝ่าบาท ข้อขัดแย้งนี้ค่อนข้างจะเป็นปัญหาใหญ่พะยะค่ะ”


 


 


“ขอทรงพระกรุณาให้กระหม่อมได้อธิบายให้พระองค์ฟัง ประการแรกนั้น……”


 


 


พอตู๋กูเจวี๋ยเปิดปากขึ้นมา เสียงของลูกศรที่เย็นเฉียบดอกหนึ่งก็แล่นตรงมาแต่ไกล


 


 


ทิศทางของลูกศรนั่นพุ่งตรงเข้าหาศีรษะของตู๋กูเจวี๋ย ขณะที่เห็นว่าลูกศรกำลังจะเสียบเข้าไปในศีรษะของเขานั้นเอง ก็มีกรวดก้อนหนึ่งบินเข้ามาขวางไว้


 


 


มันกระแทกลูกศรดอกนั้นตกไปด้วยความแม่นยำ


 


 


หลงเซียวคว้าลูกศรดอกนั้นขึ้นมาด้วยท่าทางเย็นชา รายงานต่อจีเฉวียนด้วยสีหน้าปราศจากอารมณ์ใดๆ “ฝ่าบาท มีคนร้าย”


 


 


……………………………….


 


 


คุยกันนิดนึง:


 


 


ไรท์ : อยากจะเชิญหยวนเฟยมาเมืองไทย จะได้มาทำเมนูเปิบพิศดารร่วมกัน แมงป่องทอด แมงป่องดองเหล้า โอทอปบ้านเรามีเยอะเลย


 


 


 


 


——


 


 


[1] 吹灯拔蜡 [chuī dēng bá là] 

 

 


ตอนที่ 246 เงาหลังของฝ่าบาทช่างน่าหลงใหล

 

จีเฉวียน “เราไม่ได้ตาบอด”


 


 


หลงเซียวยังคงสงบนิ่ง กราบทูลอย่างไร้อารมณ์ต่อไป “ฝ่าบาท หัวลูกศรดอกนี้มาจากแคว้นเหยียน ตีขึ้นมาจากเหล็กดำ”


 


 


“แคว้นเหยียน?” ตู๋กูเจวี๋ยลูบศีรษะที่เกือบจะถูกแทงทะลุของตนเอง ค่อยหันไปมองดูก้อนกรวดที่หล่นอยู่บนพื้นแวบหนึ่งอย่างนึกขึ้นได้


 


 


เมื่อครู่หากมิใช่ว่าก้อนกรวดก้อนนั้นกันเอาไว้ได้ทัน เกรงว่าตอนนี้เขาคงจะต้องไปพบกับพญายมเสียแล้ว


 


 


เขามองออกไปโดยรอบ ที่ด้านหลังของตนเองยังคงเป็นป่าทึบของหนานเจียงผืนนั้น ไม่พบเจอใครหรืออะไรที่พิเศษทั้งสิ้น


 


 


คงจะเป็น……องครักษ์ลับของฮ่องเต้ที่คอยดูแลความปลอดภัยพวกเขาละมั้ง


 


 


ตู๋กูเจวี๋ยเก็บก้อนกรวดชิ้นนั้นขึ้นมา ซุกเอาไว้ในเสื้อตัวใน


 


 


ภายในรถม้า จีเฉวียนค่อยๆ ใช้ผ้าห่มห่อตัวตู๋กูซิงหลันเอาไว้อย่างเรียบร้อย ถึงได้แง้มผ้าม่านหน้าต่างรถขึ้นมามุมหนึ่ง กวาดพระเนตรมองดูลูกศรดอกนั้นอย่างเรียบเฉย


 


 


พระดรรชนีที่เรียวยาวยื่นออกมาจากม่านหน้าต่าง ลายมังกรบนชายแขนฉลองพระองค์งดงามปราณีต ท่ามกลางทะเลทรายที่กว้างใหญ่เวิ้งว้างเช่นนี้ กลับให้ความรู้สึกพิเศษชนิดหนึ่ง


 


 


ทันทีที่ฮ่องเต้ทรงแย้มม่านรถม้า ในทะเลทรายก็บังเกิดลมพัด สายลมหอบเอาทรายละเอียดกลุ่มหนึ่งคลุ้งขึ้นมา


 


 


หลังจากนั้นก็ปรากฏเงาของผู้คนกลุ่มหนึ่งอยู่ด้านหลังผืนทราย


 


 


ฮ่องเต้ทรงรับลูกธนูมาจากมือของหลงเซียว พลิกเบาๆ ลูกศรดอกนั้นก็พุ่งย้อนไปในลมทะเลทราย


 


 


พุ่งเข้าใส่ศีรษะของคนผู้หนึ่งที่อยู่ในกลุ่มนั้น


 


 


ฝ่ายนั้นก็ตกตะลึงไปในทันที เพียงแค่ครู่เดียว ก็ถูกองครักษ์ลับของฝ่าบาท ‘เชิญ’ เข้ามา


 


 


รอจนเมื่ออยู่เบื้องหน้า ถึงได้เห็นว่าใบหน้าเหล่านั้นล้วนเป็นคนที่คุ้นเคยกันดี


 


 


เหยียนหยุนคิดอย่างไรก็ยังคิดไม่ถึงว่า พึ่งกลับจากต้าโจวไปยังแคว้นเหยียน แค่ไม่นานก็ได้เจอกับจีเฉวียนอีกแล้ว


 


 


ม่านถูกเปิดแง้มๆ เอาไว้ บดบังดวงพักตร์ของจีเฉวียนเอาไว้ครึ่งหนึ่ง แต่พระสิริโฉมเพียงครึ่งเดียวที่ได้เห็นก็ยังต้องถือว่าสูงส่งสง่างามเกินใครเทียบแล้ว


 


 


ราวกับฟ้าส่งพระองค์มาประสูติเพื่อเป็นราชา ไม่จำเป็นและไม่ต้องหาข้ออื่นข้อใดมาเปรียบเทียบอีก


 


 


ข้างกายของเหยียนหยุน มีสตรีในชุดกระโปรงสีเขียวผู้หนึ่ง นางย่อมเป็นเหยียนเฉียวหลัว


 


 


ยามนี้ บนมวยผมของเหยียนเฉียวหลัว มีลูกธนูดอกนั้นปักอยู่ เมื่อได้พบกับจีเฉวียนอีกครั้งหนึ่ง หัวใจของนางก็สั่นสะท้าน


 


 


ก่อนหน้านี้ตอนที่นางประคองแผนที่ขุมทรัพย์ของแคว้นเซอปี่ซือไปถวาย เขากลับไม่ได้เหลือบแลเลยสักนิด คิดไม่ถึงว่าตอนนี้กลับเดินทางมาแล้ว


 


 


“โอ้ว ทั้งสองพระองค์ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ ตอนที่อยู่ในวังหลวงแคว้นต้าโจวของพวกเรายังเอาแต่ฆ่าแกงกันเองอยู่เลย ตอนนี้ดีกันแล้ว ก็เลยจูงมือกันมายังสถานที่อันตราย จิตใจที่เปิดเผยเช่นนี้ทำให้กระหม่อมต้องยอบรับนับถือแล้ว” ตู๋กูเจวี๋ยพอเห็นหน้าพวกเขา ก็เปิดกล่องเสียงขึ้นมาในทันที


 


 


เหยียนหยุนกับเหยียนเฉียวหลัวสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง


 


 


เหยียนเฉียวหลัวก็ยังคงกล่าวนำออกไปก่อน “เหตุการณ์ในวังหลวงของต้าโจวนั้นเดิมทีก็เป็นความเข้าใจผิดกัน ข้ากับเสด็จพี่รัชทายาทจะอย่างไรก็เป็นพี่ชายกับน้องสาวกัน ไหนเลยจะมีความแค้นไม่เลิกราได้”


 


 


“เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า จะได้พบกับฝ่าบาทในที่แห่งนี้ เฉียวหลัวยังนึกว่าฝ่าบาทมิได้ใส่พระทัยในสิ่งของนอกกายเสียอีก”


 


 


เหยียนเฉียวหลัวกล่าวถากถางอย่างเต็มที่ สายตาของนางเปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้นและเย็นชา นางเชิดคอขึ้นตั้งตรง เพ่งมองเข้าไปด้านในรถม้า


 


 


ถึงแม้ว่าม่านหน้าต่างแง้มไว้เพียงครึ่งเดียว แต่ก็ยังคงสามารถมองเห็นเงาของคนผู้หนึ่งที่อยู่ด้านหลังได้ คนผู้นั้นคล้ายจะถูกห่อตัวเอาไว้


 


 


ยามค่ำคืนในทะเลทรายอากาศเหน็บหนาว ผู้ที่มีคุณสมบัติจะนั่งอยู่ในรถม้าของฮ่องเต้ได้ไหนเลยจะเป็นแค่เพียงคนธรรมดา?


 


 


เหยียนเฉียวหลัวกล่าวพลางก็ปลดลูกศรที่ปักอยู่บนมวยผมออกมาถือเอาไว้ในมือหันไปหาจีเฉวียน “ฝีมือของฝ่าบาทยังคงยอดเยี่ยมเหมือนดังหลายปีก่อน ลูกศรดอกนี้หากเบนลงมาอีกเพียงเล็กน้อย เกรงว่าเฉียวหลัวคงต้องลงไปนอนจมกองเลือดแล้ว”


 


 


“ฝ่าบาททรงมีฝีมือยิงธนูในระยะร้อยก้าว [1] แต่ว่าลูกศรดอกนี้กลับเสียบเข้ามาในมวยผมของเฉียวหลัว นี่ย่อมแสดงให้เห็นชัดว่าฝ่าบาทมีพระประสงค์จะไว้ชีวิตข้า”


 


 


นางคิดจะกล่าวต่อไป กลับได้ยินจีเฉวียนเอ่ยพระโอษฐ์ตรัสอย่างเย็นชาสุดว่า “จะให้เจาะหัวเจ้า เราก็ไม่ติดอะไร”


 


 


เหยียนเฉียวหลัว “…….”


 


 


นางได้แต่กำหมัดอย่างเงียบๆ เมื่อคิดถึงการหยามหมิ่นยามที่อยู่ในต้าโจว ในใจก็ยิ่งแค้นเคือง


 


 


หลังจากถูกแคว้นเหยียนไถ่ตัวกลับไป ด้วยความโปรดปรานที่พระบิดามีให้นาง ทำให้นางรอดพ้นมาได้อีกครั้ง


 


 


อย่าว่าแต่เรื่องนี้เป็นเพราะรัชทายาทเกิดความคิดฆ่าฟันนางขึ้นมาก่อน นางอย่างมากก็แค่ป้องกันตัวเกินกว่าเหตุไปเท่านั้น เหยียนหยุนเองก็ไม่ต้องการให้พระบิดาทรงซักไซร้ไล่เรียง ดังนั้นหลังจากที่ทั้งสองปรึกษากันรอบหนึ่ง ก็เปลี่ยนเสื้อเกราะเป็นแพรพรรณ [2]


 


 


ก่อนที่จะมายังแคว้นเซอปี่ซือนี้ ทั้งสองต่างก็ตระหนักดีแล้วว่า ที่นี่มีอันตรายนานับประการ จึงสมควรต้องร่วมมือกันก่อน


 


 


พอเห็นว่าเหยียนเฉียวหลัวชักจะเลือดขึ้นหน้าจนใกล้จะกลายเป็นสุนัขบ้า เหยียนหยุนก็รีบเอ่ยขึ้นว่า “ทูลฝ่าบาท ทะเลทรายแห่งนี้เดิมทีก็มีอันตรายมากอยู่แล้ว ที่พวกเรายิงธนูออกมาเพียงเพราะต้องการหยั่งเชิงสภาพแวดล้อม คิดไม่ถึงว่าเกือบจะทำให้ฝ่าบาททรงได้รับบาดเจ็บ นี่เป็นเรื่องที่มิได้จงใจจริงๆ”


 


 


จีเฉวียนประทับนั่งอย่างองอาจ สองเนตรหงส์หรี่มองเขา ตรัสด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “หลงเซียว ลองปล่อยธนูใส่กลุ่มของแคว้นต้าเหยียนดู ตอนนี้ลมทะเลทรายกำลังแรง พวกเจ้าก็มองเห็นไม่ถนัด จะยิงเจ็บยิงตายไปบ้างก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา”


 


 


หลงเซียวประกบสองหมัดเข้าด้วยกัน ถวายคำนับครั้งหนึ่ง “พะยะค่ะ”


 


 


ทันทีที่สิ้นเสียงก็ไม่รู้ว่าเขาไปหาธนูคันหนึ่งมาจากที่ใด พอง้างจนสุดก็ปล่อยออกไปในทันที


 


 


เสียงลูกศรหลุดออกจากแล่งดัง ‘ฟี้ว’ ก็ปักฉึกลงไปบนเกราะตรงแขนของเหยียนเฉียวหลัวในทันที


 


 


ลูกศรปักลึกทะลุแขนเสื้อ แม้นางจะหลบอย่างว่องไว ก็ยังคงกลายเป็นแผลลากยาว


 


 


หลงเซียวยิงลูกศรออกไปหลายดอกด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ใดๆ บนร่างของเฉียวหลัวก็กลายเป็นมีสีสันเพิ่มพูนขึ้นมา


 


 


เหยียนหยุนเองก็มิได้ดีกว่ากันเท่าไร บนน่องปรากฏแผลขึ้นแห่งหนึ่ง ถึงแม้เป็นเพียงปอกหนังโดยมิได้เฉือนเนื้อ แต่กลับเจ็บปวดเป็นที่สุด


 


 


เขาขมวดคิ้วจนแนบแน่น จดจ้องไปยังจีเฉวียน


 


 


ตอนนี้จีเฉวียนมิเพียงมีฝีมือดีมีอำนาจ แม้แต่องครักษ์ลับข้างกายก็แข็งแกร่งจนผู้คนต้องตระหนก


 


 


ที่เขากล้ามายังแคว้นเซอปี่ซือ คงจะต้องมีความมั่นใจอยู่เป็นแน่


 


 


ตัวเขาที่ฝึกฝนวรยุทธ์มาตั้งแต่เยาว์วัย ความเคลื่อนไหวของร่างกายรับรองได้ว่ารวดเร็วเป็นที่สุดแต่กลับไม่อาจเทียบกับองครักษ์ลับของจีเฉวียนได้


 


 


คนที่เขานำมาด้วยยิ่งไม่มีแม้แต่โอกาสจะโต้ตอบ เขาและเหยียนเฉียวหลัวต่างก็บาดเจ็บจนน่าอนาถ


 


 


ผ่านไปครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ถึงได้ตรัสว่า “คนอย่างเรา ไม่เคยสนใจฟังคำพูดไร้สาระของผู้อื่นมาก่อน พอหนวกหูจนปวดหัวขึ้นมา ก็อยากฆ่าคน”


 


 


ประโยคนี้พอตรัสออกไป ทั้งเหยียนหยุนและเหยียนเฉียวหลัวก็ถึงกับพูดไม่ออก


 


 


คำพูดไร้สาระของพวกเขาต่อให้มีมากเพียงไร ก็คงจะไม่มีทางเยอะไปกว่าตู๋กูเจวี๋ยได้กระมั้ง?


 


 


นิสัยที่มีสองมาตราฐานของเขาดูเหมือนว่าจะมากเกินไปแล้ว


 


 


ตู๋กูซิงหลันมองออกมาจากด้านใน ก็รู้สึกว่าเงาหลังของจีเฉวียนบดบังสายตาของนางจนหมดสิ้น


 


 


เขาทรงฉลองพระองค์สีดำลายทอง เฉพาะที่ปลายแขนและคอเสื้อปักลายมังกร ฉลองพระองค์นี้ตัดมารับกับรูปร่างอย่างพอดิบพอดี ส่งเสริมให้เห็นช่วงหัวไหล่ที่แกร่งดั่งสันดาบและเอวสอบผอมเพรียว


 


 


ก่อนหน้านี้ตู๋กูซิงหลันก็รู้อยู่แล้วว่าเขามีรูปร่างที่ดีมากๆ แต่กลับไม่ค่อยได้มีโอกาสมานั่งสังเกตดู


 


 


ยามนี้เมื่อได้มองเงาหลังของเขา ถึงยิ่งรู้สึกว่าน่าหลงใหลจริงๆ


 


 


“ประเด็นหลักของเจ้ามันผิดที่ไปแล้วหรือเปล่า? คนแคว้นเหยียนทั้งสองคนนั่นมาอย่างไม่ประสงค์ดีต่างหาก” พอวิญญาณทมิฬเห็นประกายตาของนางก็ต้องส่ายหัวอย่างไม่รู้จะทำเช่นไร ยัยเด็กนี้ก็จริงๆ เลย นี่มันเวลาใดกันแล้ว มองเงาหลังคนก็มองจนหลงละเมออยู่ได้


 


 


ตู๋กูซิงหลันลูบศีรษะกลมๆ ของมันเบาๆ ค่อยยิ้มจางๆ “ในเมื่อเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นจะต้องให้พวกเราลงมือคลี่คลายปัญหา เช่นนั้นยังจะต้องลงมืออีกทำไมกัน?”


 


 


ที่นางร่วมมือกับฮ่องเต้ ก็มิใช่ว่าอยากจะสบายหรอกหรือ?


 


 


ในเมื่อเป็นเรื่องที่จีเฉวียนสามารถจัดการเองได้ เรื่องอะไรนางจะต้องแหย่เท้าเข้าไปด้วยเล่า?


 


 


ที่ด้านนอกรถม้า เหยียนหยุนและเหยียนเฉียวหลัวต่างก็รู้สึกอึดอัดขัดเขินอย่างยิ่ง


 


 


เมื่อเปรียบเทียบกับจีเฉวียนแล้ว พวกนางก็เลี้ยงแต่คนไร้ประโยชน์เอาไว้ทั้งนั้น


 


 


เหยียนเฉียวหลัวกุมต้นแขนที่บาดเจ็บเอาไว้ สีหน้าก็อึมครึม “ฝ่าบาท แคว้นต้าเหยียนของพวกเราได้ส่งมอบดินแดนสามเหลี่ยมเหยียนตงและทรัพย์สมบัติมากมายนับไม่ถ้วนออกไปแล้ว เรื่องเมื่อครั้งก่อนๆ ก็ล้วนแต่ผ่านไปแล้ว พวกเราเพียงแต่มาพบกันโดยบังเอิญ เหตุใดจึงต้องมาลงไม้ลงมือกันด้วย?


 


 


 


 


——


 


 


[1] 百步穿杨 [bǎi bù chuān yáng]


 


 


[2] 化干戈为玉帛 (huà gān gē wéi yù bó) เปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็นมิตร ได้ประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย 

 

 


ตอนที่ 247 จีเฉวียนซับซ้อนมากเกินไปแล้ว

 

“เมื่อครู่ตอนที่พึ่งจะเข้าสู่แดนทะเลทราย พวกเราก็เผชิญกับอันตรายมาไม่น้อย” เหยียนเฉียวหลัวกล่าวอีกว่า “คราวที่ฝ่าบาทยังทรงเยาว์วัยพำนักอยู่ในแคว้นต้าเหยียน พวกเราก็เคยร่วมมือกันฝ่าฟันลมพายุ ก่อนหน้านี้ยามอยู่ในต้าโจว เพราะความเข้าใจผิดเล็กน้อยทำให้เกิดความขัดแย้ง แต่ว่าทั้งหมดนั้นก็ผ่านพ้นไปแล้ว”


 


 


“เฉียวหลัวไม่เคยเกลียดชังฝ่าบาท การได้พบกับท่านก็ถือเป็นวาสนา แสดงให้เห็นว่าแม้แต่สวรรค์ก็อยากให้พวกเราเดินทางร่วมกัน”


 


 


เห็นเหยียนเฉียวหลัวพยายามโน้มน้าวจีเฉวียน เหยียนหยุนก็มิได้นิ่งเฉย


 


 


ที่จริงแล้วเมื่อครู่นี้ไม่อาจโทษว่าลูกน้องของพวกเขา ตอนที่พึ่งเข้าสู่ทะเลทราย กลุ่มของพวกเขาก็เกือบจะตกลงไปในหลุมทรายดูด พวกเขาสูญเสียพละกำลังไปมากมาย ถึงสามารถปีนออกมาได้


 


 


เรียกว่าอ่อนล้าจนถึงที่สุดแล้ว ถึงได้เสียทีองครักษ์ลับของจีเฉวียนโดยง่าย


 


 


พูดกันถึงที่สุดแล้ว หากว่าต้องมาเป็นศัตรูกับจีเฉวียนในสถานที่เช่นนี้ ก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ กับพวกเขาทั้งสิ้น ไม่แน่ว่ายังไม่ทันได้บุกเข้าไปให้ลึกพอ ก็อาจจะต้องดับสูญไปก่อนแล้ว


 


 


หากวางบุญคุณความแค้นระหว่างบุคคลเอาไว้ก่อน แล้วพิจารณาดูแต่เป้าหมายตรงหน้า วิธีที่ชาญฉลาดที่สุดสำหรับพวกเขาก็คือร่วมทางไปกับจีเฉวียน


 


 


ดังนั้นเหยียนหยุนจึงรีบกล่าวต่อว่า “ฝ่าบาทก็ทรงให้ผู้ติดตามยิงพวกเราไปหลายดอกแล้ว ก่อนหน้านี้แม้จะมีสิ่งใดทำให้เคืองพระทัย ก็คงจะคลี่คลายไปหมดแล้วใช่หรือไม่พะยะค่ะ?”


 


 


“ตอนนี้พวกเราสองพี่น้องขอเชื้อเชิญด้วยความจริงใจ ขอฮ่องเต้แห่งต้าโจวร่วมทางและเสด็จนำ”


 


 


เพราะเกรงว่าจีเฉวียนจะไม่รับปาก เหยียนหยุนจึงเสริมขึ้นอีกประโยคว่า “ฝ่าบาทอาจมิทรงทราบ สถานที่แห่งนี้มีอันตรายมากมายนับพันรออยู่ มีสหายเพิ่มมาคนหนึ่งย่อมดีกว่าเพิ่มศัตรูมากมายนัก”


 


 


ที่สุดแล้วจีเฉวียนจะยอมให้ความร่วมมือหรือไม่ เหยียนหยุนไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด


 


 


เนื่องเพราะตอนที่อยู่ในแคว้นเหยียน เขากับจีเฉวียนไม่เพียงไม่ถูกกัน แต่ยังเป็นฝ่ายตรงข้ามกันมาโดยตลอด


 


 


ขณะที่เขากำลังกังวลอยู่นั้น ก็เห็นจีเฉวียนผงกพระเศียรให้อย่างมิได้คาดคิด


 


 


“ก็ได้”


 


 


เห็นเขาพยักหน้าตกลง หยวนเฟยก็ถึงกับนั่งไม่ติดแล้ว “ฝ่าบาท พระเศียรของพระองค์ถูกกระแทกหรืออย่างไร?”


 


 


สองพี่น้องคู่นี้แค่ดูก็รู้แล้วว่ามิได้มีเจตนาดี ฝ่าบาททรงรับพวกเขามาอยู่ข้างพระองค์ มิเท่ากันว่ามีงูสองตัวที่พร้อมจ้องจะกัดอยู่ตลอดเวลาหรอกหรือ?


 


 


แถมยังเป็นงูพิษอีกด้วย


 


 


จีเฉวียนเพียงกวาดพระเนตรไปทางนางอย่างเย็นชา หยวนเฟยก็หุบปากลงในทันที


 


 


เอาเถอะ แค่ฝ่าบาททรงสบายพระทัยก็พอ นางจะยุ่งให้มากเรื่องไปทำไม?


 


 


ตู๋กูเจวี๋ยเองก็ประหลาดใจ ว่ากันตามเหตุผลแล้ว จากคดีที่สองคนนี้ก่อนเอาไว้ในวังหลวงของต้าโจว หากว่าจะริบชีวิตของพวกเราไปครึ่งหนึ่งก็ยังไม่ถือว่าเกินไป


 


 


มีแต่ตู๋กูซิงหลันที่สงบนิ่ง ต่อให้ใช้หัวแม่เท้านางก็คิดออก เจ้าฮ่องเต้สุนัขผู้นี้ กำลังขุดหลุมพรางอีกแล้ว


 


 


ลมพัดแรงขึ้นกว่าเดิม หอบเอาทรายสีเหลืองคลุ้งขึ้นไปบนท้องฟ้า


 


 


ฝ่าบาททรงปล่อยม่านบนรถม้าลง ให้ตู๋กูเจวี๋ยกับหยวนเฟยกลับเข้าไปในรถม้าของตนเอง และออกเดินทางกันต่อ


 


 


พวกเขานำอยู่ด้านหน้า กลุ่มของเหยียนหยุนกับเหยียนเฉียวหลัวติดตามมาด้านหลัง


 


 


แม้ว่าทั้งสองจะเคยห้ำหั่นกันมา แต่ตอนนี้กลับดีต่อกัน หากดูผิวเผินคล้ายกับเป็นพี่น้องท้องเดียวกันมิปาน


 


 


รถม้าของพวกเขาติดตามมาด้านหลังอย่างกระชั้นชิด ทั้งสองอยู่ในรถคันเดียวกัน เหยียนเฉียวหลัวค่อยๆ จัดการกับบาดแผล “เสด็จพี่รัชทายาท ขอบพระทัยที่ท่านช่วยพูดให้กับเฉียวหลัว ก่อนหน้านี้เฉียวหลัวช่างโง่เขลา ถึงได้ก่อเรื่องทำผิดต่อท่าน จากวันนี้เป็นต้นไปพวกเราจะเป็นดั่งพี่น้องท้องเดียวกัน ทุกสิ่งที่เฉียวหลัวมี ยินดีแบ่งปันร่วมกับเสด็จพี่รัชทายาท”


 


 


น้ำเสียงของนางบ่งบอกความจริงใจ ขณะที่พูดออกไปก็มีประกายน้ำตาออกมา ท่าทางประหนึ่งว่าสำนึกเสียใจอยากจะแก้ไขจริงๆ


 


 


หากมิใช่ว่าตอนที่อยู่ในวังหลวงของต้าโจวนั้นเขาเคยถูกเล่ห์เหลี่ยมอันแพรวพราวของนางหลอกลวงมาก่อน เหยียนหยุนก็คงจะเชื่อไปแล้ว


 


 


เขาไม่สนใจเหยียนเฉียวหลัว หากแต่พิงตนเองเข้ากับหน้าต่าง มองออกไปยังรถคันที่อยู่ด้านหน้าสุด พลางหรี่เนตรลงน้อยๆ


 


 


เมื่อครู่เขาเห็นว่าตอนที่จีเฉวียนอยู่ในรถ กำลังกอดแม่นางน้อยที่อวบอั๋นผู้หนึ่ง ถึงแม้ว่าไม่อาจมองเห็นใบหน้าได้อย่างชัดเจน แต่ก็เผอิญได้เห็นข้อมือของนาง


 


 


รอยแผลเป็นที่คล้ายดั่งตะขาบตัวหนึ่งพาดอยู่บนข้อมือยาวกว่าครึ่ง แทบจะตัดของมือของนางขาดไป


 


 


ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในแคว้นต้าโจว เขาตื่นตะลึงกับความสวยงามน่ารักของนาง ตัวนางตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าขอเพียงเป็นส่วนที่เปิดเผยออกมา เขาล้วนจดจำได้อย่างละเอียดลออ


 


 


ในสมองของเขาตอนนี้มีแต่คำว่า ‘จีเฉวียนพานางมาด้วย’


 


 


ครั้งนี้นอกจากจะต้องตามหากรุสมบัติของแคว้นเซอปี่ซือแล้ว เขายังจะต้องคิดหาหนทางพูดคุยกับนาง


 


 


เพียงแต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่านางคือคนโปรดคนใหม่ของจีเฉวียน เขาก็รู้สึกอึดอัดไม่สบายใจไปทั้งตัว


 


 


ครั้งนี้ เขาจะต้องคิดหาวิธีให้ท่านเซียนติดตามเขาไป


 


 


จีเฉวียนผู้นั้น……ซับซ้อนเกินไป ไม่เหมาะกับท่านเซียน


 


 


อย่าได้เห็นว่าภายนอกจีเฉวียนดูแลนางเป็นอย่างดี ไม่แน่ว่าในใจอาจจะวางแผนชั่วช้าอะไรอยู่ก็เป็นได้


 


 


เขารู้จักจีเฉวียนดีมาตั้งแต่เด็ก คนผู้นี้แท้จริงแล้วเป็นคนเช่นไร เขาย่อมกระจ่างแก่ใจดี


 


 


จีเฉวียนผู้นี้ มิว่ากระทำสิ่งใดล้วนมีเป้าหมายที่ชัดเจน


 


 


เขามั่นใจว่า คนอย่างจีเฉวียนนอกจากตนเองแล้ว ก็ไม่เคยมีรักให้ใครทั้งสิ้น


 


 


ก็แค่คนโปรดคนใหม่เท่านั้น อีกเพียงไม่นานก็จะกลายเป็นอดีตคนโปรดไป ถึงตอนนั้นต้องไปอยู่ในตำหนักเย็น จะน่าสงสารเพียงไหนกัน?


 


 


เหยียนเฉียวหลัวเห็นเขาครุ่นคิดปัญหาอย่างจริงจัง ก็คิดไปว่าเขากำลังวางแผนงานใหญ่อยู่ จึงไม่ได้รบกวน


 


 


เพียงแต่ตอนนี้ในใจของนางเกิดกลัดหนอง


 


 


ถึงแม้ว่าครั้งก่อนจะเกิดเรื่องเช่นนั้น แต่นางก็ยังไม่ยอมถอนใจจากจีเฉวียน


 


 


การเดินทางร่วมกันครั้งนี้ยิ่งถือเป็นโอกาสดีที่ยิ่งใหญ่ นางจะต้องเกาะกุมเอาไว้ให้มั่น ชิงโอกาสที่จะทำให้จีเฉวียนเปลี่ยนแปลงความคิดเรื่องของนางให้จงได้


 


 


นางอยากให้เขายอมรับ ว่านางนั้นเข้มแข็ง ว่านางมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะยืนอยู่เคียงข้างเขา


 


 


คนที่จะเป็นฮองเฮา นอกจากรูปโฉมภายนอกจะงดงามแล้ว ที่สำคัญและจำเป็นยิ่งกว่าก็คือมีสมอง


 


 


สตรีโง่เขลาไม่มีคุณสมบัติจะอยู่เคียงข้างเขา


 


 


ครั้งก่อนที่นางพ่ายแพ้ก็เป็นเพราะแพ้ให้แก่เขา มิใช่ว่าแพ้ให้แก่ตู๋กูซิงหลัน


 


 


ตอนที่ยังเป็นเด็กนางได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านเซียนตู้แห่งภูเขาฮว่าชิง ได้ร่ำเรียนมีวิชาเวทย์ติดตัว เพียงแต่ยามปกติการช่วงชิงในวังหลังไม่อาจกระทำสิ่งใดโดยเปิดเผย


 


 


ตอนนี้เมื่อเข้าสู่แคว้นเซอปี่ซือ ความสามารถเหล่านี้ก็ไม่จำเป็นจะต้องปกปิดอีกต่อไป


 


 


จีเฉวียนยอมรับข้อดีของนาง


 


 


แต่ตอนนี้นางก็ทำได้เพียงเฝ้ามองรถม้าของเขา ทั้งยังครุ่นคิดถึงเงาของคนที่อยู่ในรถคันเดียวกับเขาอยู่ตลอดเวลา


 


 


เป็นตู๋กูซิงหลัน หรือว่าเป็นนางกำนัลที่มีหน้าตาคล้ายตู๋กูซิงหลันอย่างที่สุดผู้นั้นกัน?


 


 


นางขมวดคิ้วแน่น ในใจก็บังเกิดความริษยาเข้มข้นขึ้นมาอีกครั้ง


 


 


จนกระทั่งลมทะเลทรายที่พัดโหมดึงสติของนางกลับมา


 


 


รถม้าถูกลมกรรโชกอย่างรุนแรง รถเขย่าอย่างหนักไปทั้งคัน เสียงลมดังอู้อยู่ตลอดเวลา ทรายบนพื้นก็เคลื่อนไหวอยู่ตลอด สายลมหอบทรายขึ้นไปจนเต็มท้องฟ้า ราวกับว่าจะกลบทุกอย่างในคืนนี้เอาไว้


 


 


ครู่ต่อมา เหยียนหยุนและเหยียนเฉียวหลัวก็รู้สึกถึงความหนาวเย็นรุนแรงขุมหนึ่งกำลังแผ่เข้ามาจากทุกทิศโดยรอบ


 


 


ไม่รู้ว่าทำไม บาดแผลที่ถูกหลงเซียวยิงลูกศรใส่เมื่อครู่ถึงได้มีอาการรุนแรงขึ้นมา


 


 


เหยียนเฉียวหลัวพึ่งจะจับแขนของตนเองเอาไว้ ก็เห็นว่าที่ด้านนอกรถม้า มีใบหน้ามนุษย์ที่น่าหวาดกลัวพุ่งเข้ามา


 


 


ใบหน้าแต่ละหน้าปราศจากองคาพยพทั้งห้า ต่างพากันปรากฏขึ้นมาตรงหน้ารถม้าของพวกนาง


 


 


ไม่รอให้นางทันได้ตั้งสติ ก็ปรากฏว่าบนร่างของพวกนางมีเส้นเลือดสีน้ำตาลดำเล็กๆ ยาวๆ เกาะอยู่เต็มไปหมด


 


 


เส้นเลือดเหล่านั้นเจาะทะลุตัวรถม้า บุกเข้ามาจนถึงตัวของพวกนาง


 


 


เส้นเลือดดำๆ เหนียวๆ ลื่นๆ ทั้งยังมีกลิ่นเหม็นที่น่าขยะแขยงจนคนอยากจะอาเจียนเหล่านั้น พุ่งเข้ามาเกาะดูดอยู่บนปากแผลของพวกเขา


 


 


 


 


——


 


 


คุยกันนิดนึง:


 


 


ไรท์: มาอีกแล้ว ผีๆ หลอนๆ มาอีกแล้ว สารภาพเลยนะ ตอนที่อ่านสิบตอนแรกนี่คิดว่า ตบกันในวังอย่างเดียว คนเขียนลากแม่มาไกลมาก ฮือๆ เป็นคนกลัวผี 

 

 


ตอนที่ 248 เสินฟาง

 

“นี่มันคืออะไรกัน?” เหยียนหยุนสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที พอเห็นสิ่งที่หน้าตาเหมือนเส้นเลือด เขาก็รู้สึกขนลุกทั้งร่าง


 


 


สัมผัสที่เย็นๆ หนืดๆ เหล่านี้น่าขยะแขยงอย่างที่สุด


 


 


เขาพยายามฝืนตัวเองเพื่อรักษาสติไว้ แต่ทันทีที่พวกมันบุกเข้ามาเกาะติด และแผ่ไอเย็นเข้าไปในปากแผลได้สำเร็จ เขาก็เข้าใจขึ้นมาในทันทีว่าทำไมจีเฉวียนถึงได้ยินยอมให้พวกเขาร่วมทางมาด้วย


 


 


ชัดเจนเลยว่า ตั้งใจคิดจะใช้พวกเขาเป็นหินรองเท้า


 


 


ก่อนหน้านี้ที่ทำให้ร่างกายของพวกเขามีบาดแผล ก็เพื่อจะได้คอยดึงดูดสิ่งเหล่านี้


 


 


เขารู้ว่าแต่ไหนแต่ไรจีเฉวียนก็ไม่เคยมีเจตนาดี แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะชั่วร้ายได้ขนาดนี้


 


 


สีหน้าของเหยียนเฉียวหลัวเปลี่ยนเป็นซีดขาว นางรีบดึงยันต์แผ่นหนึ่งออกมาจากในอก ติดลงไปบนหน้าต่างรถม้าของพวกเขา


 


 


บนยันต์ใช้โลหิตวาดอักขระที่ซับซ้อนเอาไว้ ทันทีที่ติดลงไป ก็บังเกิดแสงสว่างสีแดงขึ้นมาวูบหนึ่ง จากนั้นก็กลายเป็นมีดที่คมกริบ ตัดเส้นเลือดเหล่านั้นทิ้งไปจนหมดสิ้น


 


 


เหยียนเฉียวหลัวส่งเสียงเย็นชาออกมาคำหนึ่ง นางปิดปากแผลเอาไว้ สายตาทอประกายเหยียดหยาม ก็แค่พวกจำอวดหลังม่านเท่านั้น ยังกล้ามาสำแดงเดชต่อหน้านางอีก


 


 


จีเฉวียนคิดจะขุดหลุมพรางกับนาง? ไม่ง่ายดายนักหรอก


 


 


“ซี่ ซี่ ซี่ …..” พอเส้นเลือดพวกนั้นถูกตัดขาด ใบหน้าประหลาดที่ไม่มีองคาพยพทั้งห้านั้นก็กรีดร้องเสียงโหยหวนออกมา


 


 


แต่ละตัวพากันเกรี้ยวกราด เส้นเลือดที่ถูกตัดหล่นลงไปบนพื้นทราย ก็ดีดดิ้นไปมาอยู่บนพื้น


 


 


……………………


 


 


อีกด้านหนึ่ง ตู๋กูซิงหลันที่ซุกตัวอยู่ในผ้าห่มก็เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างชัดเจน


 


 


พอนางหันศีรษะไปมองดูฮ่องเต้ที่อยู่ข้างกาย ก็เห็นเขายังคงทำสีหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็งดังเดิม โดยมิได้มองดูเหตุการณ์ภายนอกเลยแม้แต่แวบเดียว


 


 


ตู๋กูซิงหลันพึ่งจะหันศีรษะออกไปมองดูด้านนอกอีกครั้ง ก็ถูกฝ่าพระหัตถ์ที่ใหญ่โตของจีเฉวียนบดบังการมองเห็นเอาไว้ “อย่าดูอีกเลย ของพวกนั้นดูมากไป จะทำให้กลายเป็นคนอัปลักษณ์”


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “…….” ก็แค่ตัวประหลาดที่ไม่มีใบหน้า พลังในการต่อสู้ของพวกมันมิได้ถือว่าแข็งแกร่งสักเท่าไร


 


 


เพียงแต่ว่าเจ้าพวกนี้มีพลังในการดึงดูด หากว่ามองมากไป บางครั้งใบหน้าของตนเองก็อาจจะถูกพวกมันฉกชิงไปได้


 


 


นางเคยบังเอิญเจอะเจอพวกมันอยู่หลายตัวในโลกเดิม


 


 


คิดถึงโลกเดิมเหลือเกิน ตู๋กูซิงหลันอดไม่ได้ที่จะต้องหยีตามากกว่าเดิม


 


 


“หากว่าอั๊วจำไม่ผิดละก็ เจ้าพวกนี้ เป็นเพียงหุ่นเชิดของจอมมาร?” วิญญาณทมิฬหมอบอยู่ข้างกายนาง ก่อนหน้านี้ตอนที่พึ่งจะเหยียบย่างเข้ามาในทะเลทราย ก็สามารถรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายจากลมหายใจที่คุ้นเคยนั้นแล้ว


 


 


พอตอนนี้ยิ่งได้เห็นพวกปีศาจไร้หน้า มันถึงได้คิดถึงคู่ปรับเก่าขึ้นมา


 


 


จอมมารเสินฟางในโลกก่อนที่ทำให้พวกมันถึงกับต้องม้วยมรณา


 


 


พอพูดถึงจอมมาร ใบหน้าของตู๋กูซิงหลันก็เปลี่ยนเป็นหนักอึ้ง จอมมารเสินฟาง พลังในการต่อสู้อยู่ในระดับสูงสุด เป็นตัวปัญหาที่รับมือยากที่สุด


 


 


ในโลกเดิมเพื่อกำจัดฝ่ายตรงข้าม นางรับคำสั่งสำนักอาจารย์ออกไปลงมือ นางประมือกับเสินฟางบนเขาเทียนไถอยู่สามวันสามคืน สุดท้ายไม่รู้ว่าเขา ไปเอากระจกเงามาจากที่ใดส่องใส่นาง


 


 


เพราะแค่เสียสมาธิวอกแวกเหลือบมองดูตัวเองในกระจกไปเพียงแวบเดียว ก็เลยตกหลุมพรางของเสินฟางเข้า


 


 


ถูกเขาเหวี่ยงตกลงมาจากเขาเทียนไถที่สูงนับพันจั้ง


 


 


แต่ว่าก่อนที่นางจะตกลงมานั้น ก็ได้ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีลากเขาลงมาด้วย ขณะที่ตกลงมาจากยอดผาก็ยังไม่ลืมวาดยันต์สีชาดขึ้นมาแผ่นหนึ่ง กักขังเขาเอาไว้


 


 


ต่อให้เสินฟางไม่ตายก็ต้องลอกหนังออกมาชั้นหนึ่ง


 


 


เพียงแต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ถึง ว่าจะได้มาพบกลิ่นอายของเขาในโลกมิตินี้


 


 


บางทีเขาเองก็อาจจะมิได้ตาย แต่ว่าวิญญาณกลับมาติดค้างอยู่ในโลกใบนี้เหมือนกัน “นี่ต้องนับว่าคู่อริหนทางคับแคบ [1] ถึงได้เผอิญมาเจอกันในที่นี้อีก?” วิญญาณทมิฬมองออกไปที่นอกรถม้า พอเห็นเจ้าพวกตัวประหลาดไร้ใบหน้าจำนวนมากมายเหล่านั้นเริ่มโจมตีรอบใหม่ มันก็ชักจะเป็นกังวลขึ้นมา


 


 


เนื่องเพราะตอนนี้ตู๋กูซิงหลันสูญเสียหยกสรรพชีวิตไปแล้ว หากว่าบังเอิญเกิดเจอกับจอมมารเสินฟาง แล้วถ้าพลังตบะของมันมิได้ลดทอนลงไป นี่มิเท่ากับว่าพวกมันขุดหลุมฝังตนเองหรอกหรือ?


 


 


“ไม่แน่หรอก” ตู๋กูซิงหลันส่ายศีรษะ “ที่ผ่านมาเสินฟางพฤติกรรมชั่วร้าย หากว่าเขาอยู่ในโลกนี้จริงๆ ก็จะต้องออกมาล่อลวงผู้คนให้สร้างปัญหาอย่างแน่นอน


 


 


“ไม่ต้องรีบร้อน รอดูไปก่อนค่อยว่ากัน”


 


 


ตลอดการเดินทางนี้ ที่ตู๋กูซิงหลันกังวลสนใจมากที่สุดก็คือ ตกลงแล้วจีเฉวียนเป็นอะไรกันแน่


 


 


ที่จริงแล้วนับตั้งแต่ตอนที่เดินทางผ่านป่าทึบในหนานเจียงออกมานั้น ก็พบเจอตัวประหลาดมาไม่น้อย


 


 


นอกจากจะโดนไฟสีทองของติ๊งต๊องแผดเผาจนร้อนลวกกันไปแล้ว ยังมีพวกสิ่งประหลาดขนาดใหญ่ที่พยายามเข้าใกล้พวกนาง


 


 


เพียงแต่ว่าทันทีที่มันสัมผัสกับรถม้า ก็คล้ายกับว่าโดนอะไรที่ร้อนลวกมือขึ้นมา จึงตระหนกเสียจนชักมือกลับไป


 


 


ไม่ทันได้ป่ายปีนขึ้นมาก็ม้วนหนีไปแล้ว


 


 


เขาเป็นมนุษย์ที่แบกรับพลังชี่เอาไว้ ทั้งยังสามารถกำจัดสิ่งมีชีวิตที่เหนือธรรมชาติเหล่านั้นให้ดับสูญได้


 


 


ความเป็นไปได้ มีอยู่เพียงสองอย่างเท่านั้น


 


 


ทางหนึ่งเขาคือโอรสสวรรค์ไอมังกรรุนแรงเกินไป ทำให้ภูติผีไม่กล้ากล้ำกราย


 


 


ไอมังกรนั้นหากว่ามีก็คือมี แต่ไม่สมควรจะรุนแรงจนถึงขนาดที่ทำให้พวกมันไม่กล้าเข้าใกล้เลยแม้แต่น้อยเช่นนี้


 


 


ทางที่สองก็คือ…..เขามีพลังที่แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าพวกภูติผีและจิตวิญญาณเหล่านี้มากมายหลายพันหลายหมื่นเท่า


 


 


ความคิดนี้ต่างหากที่ทำให้ตู๋กูซิงหลันประหลาดใจที่สุด


 


 


เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้ นางก็อดใจไม่ไหวต้องไปสัมผัสหัตถ์ของจีเฉวียนสักเล็กน้อย


 


 


เพียงแค่ปลายนิ้วของนางกวาดผ่านหลังมือของเขาเพียงเบาๆ ความเยือกเย็นราวกับน้ำแข็งนั้นก็แทรกซึมเข้ามาสู่ร่างกาย


 


 


แท่นน้ำแข็งจะอย่างไรเสียก็ยังเป็นแท่นน้ำแข็ง


 


 


หากเปรียบเทียบกับค่ำคืนในทะเลทราย เขาต่างหากที่เป็นตัวอันตรายที่สุด


 


 


ขณะที่ตู๋กูซิงหลันกำลังจมอยู่ในความคิดนั้น ก็ได้ยินเสียงจีเฉวียนตรัสว่า “อยากลูบคลำเรา?”


 


 


ตรัสแล้วเขาก็ก้มศีรษะลงมามองดูหลังมือของตนเอง รู้สึกว่าบนหลังมือคันๆ เล็กน้อย บริเวณที่นางลูบไล้คล้ายจะมีกลิ่นอายพิเศษเฉพาะของดอกฮว๋ายจากตัวนางหลงเหลืออยู่


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “………”


 


 


“หากว่าเจ้ายอมรับความรู้สึกของเรา จะลูบจะคลำเราอย่างไรก็ทำได้ทั้งนั้น” ฮ่องเต้ตรัสอย่างเอาจริงเอาจังต่อไป “แต่ตอนนี้บุรุษสตรีอย่างไรก็มีข้อแตกต่าง พึงต้องสงวนกริยาไว้”


 


 


ต้องสงวนกริยาเป็นพิเศษเลยมั้ง!


 


 


สองคำนี้ออกจากปากของเขามาได้ ก็ต้องนับว่าเหลือเชื่อมากแล้ว


 


 


สงวนกริยาจนถึงขนาดมาสารภาพรักกับมารดาเลี้ยงน้อยๆ ของตนเอง ตลอดทางมานี้มิว่ากินดื่มนั่งนอนขับถ่ายก็อยู่ด้วยกันตลอด บุรุษสตรีมีข้อแตกต่าง พึงสงวนกริยาอันยอดเยี่ยม!


 


 


ตู๋กูซิงหลันได้แต่แอบกรอกตาขาวเงียบๆ


 


 


หลงเซียวช่างสมกับเป็นหัวหน้าองค์รักษ์ลับ เขาโผล่ออกมาคลี่คลายความอึดอัดในจังหวะที่เหมาะสมที่สุด


 


 


“ฝ่าบาท พายุทรายรุนแรงกว่าเดิมแล้ว เส้นทางเบื้องหน้าไม่ชัดเจน สมควรจะไปต่อหรือว่าหยุดพักผ่อนดีพะยะค่ะ?”


 


 


คราวนี้ ฮ่องเต้ถึงได้กวาดพระเนตรมองดูนอกหน้าต่างรอบหนึ่ง เห็นพี่น้องตระกูลเหยียนยังคงถูกพวกปีศาจไร้หน้ารายล้อมเอาไว้ พายุทรายในตอนนี้ก็แทบจะพัดพารถม้าของพวกเขาปลิวไปแล้ว


 


 


“ตั้งกระโจมพักผ่อนด้านข้างพวกเขา”


 


 


ทันทีที่ฝ่าบาทตรัส ก็เห็นหลงเซียวลงจากรถม้าไป


 


 


จากนั้นก็ไม่รู้ว่าองค์รักษ์ลับหลายคนออกมาจากที่ใด เสาะหาพื้นที่กำบังลม ติดตั้งกระโจมสีดำสองหลังขึ้นมาอย่างรวดเร็ว


 


 


ไม่รู้ว่ากระโจมเหล่านี้จัดสร้างจากวัสดุอะไร พายุทรายที่รุนแรงคลุมท้องฟ้าเช่นนี้ก็ยังไม่กระเทือนแม้แต่น้อย


 


 


ยามที่พวกเขาสร้างกระโจมนั้น พวกปีศาจไร้หน้าเหล่านั้นก็ไม่ได้สนอกสนใจพวกเขา ยิ่งเมื่อฝ่าบาทเสด็จลงจากรถม้า พวกมันก็เหมือนกันว่าได้รับความตื่นตระหนกบางอย่าง หลังชะงักอยู่ครู่หนึ่งก็พากันล่าถอยออกไป


 


 


อ้อ พวกมันลากรถม้าของพี่น้องตระกูลเหยียนออกไปด้วยกัน


 


 


ภายในรถม้า เหยียนเฉียวหลัวนำยันต์ออกมาติดหลายต่อหลายผืนแล้ว ตอนแรกยังพอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่ว่าตอนหลัง ยันต์พวกนี้ก็คล้ายจะเสื่อมสภาพไป เจ้าพวกปีศาจไร้หน้าเหล่านั้นไม่เพียงไม่ล่าถอยไป แต่ว่าเส้นเลือดบนร่างของพวกมันกลับยิ่งทียิ่งเพิ่มมากขึ้น รายล้อมรถม้าของพวกเขาเอาไว้จนยุบยับไปหมด


 


 


กลิ่นคาวคละคลุ้งเสียดแทงจมูกอย่างรุนแรง ทำให้คนอยากอาเจียน


 


 


ส่วนฮ่องเต้ที่ประทับอยู่ใกล้ๆ กลับอุ้มคนผู้หนึ่งลงมาจากรถม้า…..


 


 


 


 


——


 


 


[1] 冤家路窄


 


 


——


 


 


คุยกันนิดนึง:


 


 


ไรท์ : ที่สุดแห่งการตัดจบนั้นมีอยู่จริง คือเนื้อเรื่องที่ไม่เพียงแค่ทำให้ไรท์และรีดค้างอยู่ในพายุทราย แต่ว่า….มันไม่จบประโยคด้วยน่ะสิ (อืม บ่นให้รีดฟัง) 

 

 


ตอนที่ 249 ซิงหลันงดงามกว่า

 

ส่วนฮ่องเต้ที่ประทับอยู่ใกล้ๆ กลับอุ้มคนผู้หนึ่งลงมาจากรถม้า อุ้มคนลงมาพร้อมกับผ้าห่มหนาๆ และโผล่มาให้เห็นแค่ศีรษะเท่านั้น 


 


 


ศีรษะที่มีเส้นผมฟูๆ กับใบหน้ากลมดั่งซาลาเปา ย่อมสะดุดตาผู้คนอย่างที่สุด 


 


 


เป็นนังตัวแทนนั่น! 


 


 


ทั้งยังเกี่ยวโยงกับตู๋กูซิงหลัน! เขายินยอมดูแลเอาใจใส่คนที่เป็นแค่ตัวแทน แต่กลับไม่สนใจจะเหลือบแลนางแม้สักครั้ง? 


 


 


แม้แต่ในยามที่นางตกอยู่ในอันตราย ก็ไม่ใส่ใจจะยื่นมือมาช่วยเหลือเลยสักนิด 


 


 


ทั้งๆ ที่ยามอยู่ในแคว้นเหยียน พวกเราเคยจับมือผ่านช่วงเวลามาด้วยกันแท้ๆ 


 


 


ยามนี้พอกลายเป็นฮ่องเต้ ก็ถูกนางมารตนหนึ่งล่อลวงจนตาลาย แม้แต่ของปลอมก็ยังเอามายกยอเป็นสมบัติล้ำค่า? 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวกัดฟันดังกรอด ริมฝีปากของนางแทบจะถูกนางขบจนได้เลือดออกมา 


 


 


นางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าตนเองสู้ตู๋กูซิงหลันไม่ได้ในที่ใด 


 


 


หากเขายืนยันต้องการจะอยู่ร่วมกับตู๋กูซิงหลัน ที่ต้องพินาศไปก็คือชื่อเสียงในฐานะฮ่องเต้ต้าโจวของเขา แต่กับนางไม่เหมือนกัน นางสามารถนำสิ่งดีๆ มาให้เขาได้ไม่มีวันหมดสิ้น! 


 


 


ขณะที่มัวแต่ใจลอยอยู่นั้น เส้นเลือดเส้นหนึ่งของปีศาจไร้หน้าก็ปักเข้าไปในบาดแผลของนาง 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวเจ็บปวดจนส่งเสียงกรีดร้อง นางรีบดึงสติกลับมา ต่อสู้กับพวกมันอีกครั้งหนึ่ง 


 


 


………………. 


 


 


 


 


 


 


 


 


พายุทรายโหมอยู่ครึ่งคืนจึงได้สงบลง 


 


 


ยามที่สงบแล้ว รถม้าของสองพี่น้องตระกูลเหยียนก็ไม่รู้ว่าถูกลากไปถึงที่ใดแล้ว 


 


 


ท้องฟ้ายามค่ำคืนในทะเลทรายกระจ่างใสไร้ละออง ดาวแต่ละดวงสุกสกาวราวกับผ่านการชะล้าง ทั้งยังกระจายอยู่ทั่วทั้งท้องฟ้า 


 


 


ตู๋กูซิงหลันนอนอยู่ในผ้าห่มนุ่มนิ่ม ใบหน้ากลมสว่างราวกับอาบแสงอยู่ชั้นหนึ่ง ผิวที่เดิมก็ละเอียดนุ่ม ก็ยิ่งกระจ่างตากว่าเดิม 


 


 


ขาวนวลราวกับหยกมันแพะ เปล่งประกายราวเครื่องเคลือบ 


 


 


จีเฉวียนมองดูนาง พลางคิดไปว่า ต่อไปจะต้องปกป้องคุ้มครองให้ดี ผู้ที่บอบบางเช่นนี้ หากว่าไม่ระวังพลาดพลั้งไป ก็จะชอกช้ำเป็นรอย 


 


 


ประหลาดจริงๆ …..แต่ก่อนทำไมเขาถึงไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อนนะ? 


 


 


ก่อนหน้านี้รู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์เช่นไรนางก็สามารถจะปกป้องตนเองได้ แต่ตอนนี้กลับเกรงว่านางจะเกิดเรื่องขึ้น ในสายพระเนตรของพระองค์นางเป็นเหมือนกับของที่แตกหักง่ายชิ้นหนึ่ง 


 


 


หากโอบเอาไว้ในอกก็กลัวจะหล่นแตก หากอมไว้ในปากก็กลัวจะละลาย 


 


 


พระองค์ทรงพบว่าการรักชอบคนผู้หนึ่งเป็นเรื่องที่ทั้งยากลำบากแต่ก็มีความสุข 


 


 


พระองค์เฝ้ามองแล้วมองอีก ก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา “ตู๋กูซิงหลัน ในชีวิตนี้เจ้ามีความใฝ่ฝันใด?” 


 


 


“ความใฝ่ฝัน?” ตู๋กูซิงหลันยังคงมองดูดาวบนท้องฟ้า 


 


 


นางคิดอย่างละเอียดครู่หนึ่ง มีอำนาจ ร่ำรวย เป็นฮ่องเต้ บอกแบบนี้ได้ไหม? 


 


 


 


 


 


นางฉีกยิ้มออกมา “ข้าใฝ่ฝันให้แผ่นดินสงบสุข ฝ่าบาททรงพระเจริญไปตลอดกาล” 


 


 


วิญญาณทมิฬ “…….” ปากของสตรี เชื่อก็เป็นผีแล้ว ดูเอาเถอะ ถึงกับทำให้เจ้าฮ่องเต้นั่นประทับใจเข้าแล้ว แทบจะแต่งตั้งเจ้าเป็นฮองเฮา ยกเจ้าเป็นมาดารของแผ่นดินเสียตอนนี้เลย 


 


 


จีเฉวียนชะงักไป ทั้งๆ ที่รู้ว่าที่นางพูดออกมาเป็นเพียงคำพูดทั่วไปในราชสำนัก แต่ในพระทัยก็ยังอดที่จะประทับใจไม่ได้ “ความใฝ่ฝันนี้ เราจะทำให้เป็นจริงเอง” 


 


 


“ตอนนี้เราอยากรู้ความใฝ่ฝันของตัวเจ้า” 


 


 


“ร่ำรวย” ตู๋กูซิงหลันตอบอย่างไม่ต้องคิด จากนั้นก็หันศีรษะไปทางเขา ตอบอย่างจริงจังว่า “ฝ่าบาทเพคะ ที่พวกเรามาครั้งนี้ ก็ไม่ใช่เพื่อความร่ำรวยหรอกหรือ?” 


 


 


“ดังนั้น ในตอนนี้ พวกเราวางความสัมพันธ์ฉันท์มารดาและบุตรเอาไว้ด้านข้างก่อนชั่วคราว ร่วมมือกันสร้างความร่ำรวยก่อนได้หรือไม่? ช่วยกันเพื่อชัยชนะ อย่าได้ทำให้เสียเปล่าอย่าพึ่งงัดข้อกัน?” 


 


 


“ทุกสิ่งในที่นี่ล้วนลึกลับและแปลกประหลาด จากแผนที่ครึ่งใบที่ข้าได้เห็นมา ขุมทรัพย์ของแคว้นเซอปี่ซือซ่อนอยู่ในทะเลสาบบนภูเขาลูกหนึ่ง พระองค์ลองคิดดูสิเพคะ ในทะเลทรายจะมีความเป็นไปได้ที่จะเจอภูเขาสักเท่าไหร่กัน? บนยอดเขามีทะเลสาบจะเป็นไปได้สักแค่ไหน?” 


 


 


โดยทั่วไปแล้ว ในทะเลทรายย่อมไม่มีภูเขาปรากฏขึ้น 


 


 


แผนที่แผ่นนั้นวาดขึ้นมาอย่างปราณีต แต่นอกจากสร้างจากหนังมนุษย์แล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดเป็นพิเศษอีก 


 


 


จีเฉวียนเห็นนางอยากร่ำรวยอย่างจริงจัง ทั้งยังนึกได้ว่าก่อนหน้านี้ริบสมบัติของนางไปไม่น้อย ยามนี้ในพระทัยอดที่จะเกิดความละอายขึ้นมาไม่ได้ 


 


 


ทั้งยังเพิ่มพูนความชื่นชอบขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งอย่างเงียบๆ 


 


 


ดูสิ ตอนนี้พวกเขามีสิ่งที่ชื่นชอบเหมือนๆ กันเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างแล้วไม่ใช่หรือ? 


 


 


ต่างก็รักสมบัติ นี่เป็นเรื่องดี 


 


 


รอให้นางยอมรับรักเขาเมื่อไหร่ ค่อยยกท้องพระคลังให้นางคอยดูแล เท่านี้ก็เท่ากับว่าได้ช่วยให้ความใฝ่ฝันที่จะร่ำร่วยของนางสำเร็จแล้ว 


 


 


เขาตรัสพลาง ก็จัดแจงให้ตู๋กูซิงหลันนอนลง 


 


 


กระโจมที่เหล่าองครักษ์สร้างขึ้น เหนือศีรษะเว้นช่องว่างเอาไว้ ช่วงหนึ่ง ด้านบนสุดติดตั้งกระจกใส ทำให้สามารถมองเห็นดวงดาวยามค่ำคืนได้อย่างชัดเจน 


 


 


ริมพระกรรณได้ยินเสียงลมหายใจเบาๆ ของตู๋กูซิงหลัน พระองค์ก็มิได้ตรัสสิ่งใดอีก เพียงแต่ชมดาวในยามค่ำคืนเป็นเพื่อนนาง 


 


 


เส้นผมของทั้งคู่กระจายอยู่ใต้ร่าง แทบจะพันเข้าด้วยกัน 


 


 


ภายใต้แสงดาวสุขสว่าง ช่างเป็นภาพที่งดงามนัก 


 


 


ครู่ต่อมา จีเฉวียนอยู่ๆ ก็คล้ายจะเข้าใจอะไรขึ้นมา ที่ในหนังสือบรรยายถึงสายลมเคล้าคลอบุปผาใต้แสงดาว วันเวลาผ่านไปอย่างเงียบสงบ ดูท่าคงจะหมายถึงสถานการณ์เช่นนี้เอง 


 


 


“งดงามมาก” เขาใช้มือข้างหนึ่งรองศีรษะเอาไว้ มองดูดวงดาวและตู๋กูซิงหลัน พลางเสริมขึ้นอีกประโยค “เราหมายความว่า ดวงดาวงดงามมาก” 


 


 


ซิงหลันยิ่งงามกว่า 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “หม่อมฉันไม่ได้ตาบอดเสียหน่อย ฝ่าบาท ข้าเห็นแล้ว” 


 


 


ท้องฟ้าที่มีดวงดาวพร่างพราวเช่นนี้ราวกับภาพที่โทรทัศน์ในโลกปัจจุบันเผยแพร่ออกมา ยิ่งมองก็รู้สึกว่าตัวเองใกล้ลอยขึ้นไปในอากาศแล้ว 


 


 


จีเฉวียน “…….” 


 


 


…………………… 


 


 


 


 


 


ในกระโจมอีกหลัง หยวนเฟยกับตู๋กูเจวี๋ยต่างลืมตาโตมองกันไปมา 


 


 


ไม่รู้ว่าทำไม งูเขียวน้อยของนางก็เข้าไปซุกในอ้อมอกของตู๋กูเจวี๋ยอย่างไม่ห่วงศักดิ์ศรีอีกแล้ว เอาแต่ไปพัวพันอยู่บนตัวเขา 


 


 


หยวนเฟยยิ่งรู้สึกว่าตนเองถูกหยามหมิ่นเข้าแล้ว 


 


 


ฮ่องเต้จีเฉวียนมิได้ทรงถือว่านางเป็นอิสตรีเลยแม้แต่น้อย ใต้หล้านี้ จะมีใครที่ไหนให้พระสนมและขุนนางนอนร่วมกระโจมภายใต้หนังตาของฮ่องเต้กัน? 


 


 


ที่ด้านนอกมีองค์รักษ์ลับตั้งมากมาย จะตั้งกระโจมเพิ่มขึ้นอีกหลังไม่ได้หรือไง? 


 


 


หยวนเฟยกอดข้องไม้ไผ่ใบน้อยเอาไว้ ด้วยทีท่าแม้ตายก็ไม่ยินยอม [1]  


 


 


“พระสนมหยวนเฟยพะยะค่ะ กระหม่อมเป็นขุนนางที่เที่ยงแท้ ไม่แม้แต่จะแอบมองพระองค์สักนิด ไหนเลยจะมีความคิดสกปรกขึ้นมาได้?” 


 


 


ถึงตู๋กูเจวี๋ยจะมีสมองเป็นท่อนไม้ก็ยังมิได้โง่สักเท่าไร 


 


 


เขามองความอึดอัดใจของหยวนเฟยออก จึงรีบสร้างความกลมเกลียว 


 


 


“ฝ่าบาททรงประทานอนุญาตให้พวกเราอยู่ร่วมกัน ก็เพราะทรงเข้าพระทัยในตัวกระหม่อมเป็นอย่างดี ทรงทราบว่ากระหม่อมไม่มีทางกระทำสิ่งใดที่เป็นความไม่เคารพพระสนม” 


 


 


“เอาเถอะ เอาะเถอะ ข้ารู้แล้ว” หยวนเฟยได้แต่สะบัดแขนเสื้อไปมา กลัวว่าเขาจะยังคงพูดพล่ามต่อไป 


 


 


ถึงแม้ว่าคนที่อยู่ที่นี่ในคืนนี้จะเป็นตู๋กูเจวี๋ย….สำหรับนางแล้วก็เป็นบรรยากาศที่ต่างไปอีกแบบหนึ่ง 


 


 


ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่เป่ยเจียง ยังสบายดีอยู่ไหม? 


 


 


ในใจของเขายังคงเอาแต่คิดถึงองค์หญิงใหญ่หรือไม่? 


 


 


ช่วงนี้ในแดนเป่ยเจียงมีสงครามทั้งใหญ่และเล็กอีกแล้ว เขาได้รับบาดเจ็บบ้างหรือเปล่านะ? 


 


 


ประเด็นสำคัญคือ…..ขนหน้าอกหล่นหายไปบ้างหรือไม่? 


 


 


ตู๋กูเจวี๋ยที่ถูกรังเกียจรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจจนต้องมานั่งลูบศีรษะของงูเขียวน้อย อยู่ๆ เขาก็คิดถึงช่วงเวลาที่เขาถูกขังเอาไว้ในคุกใต้ดินของอารามเทพธิดาขึ้นมา 


 


 


ถึงแม้ว่าจะถูกปฏิบัติอย่างย่ำแย่ แต่ว่าชือหลีก็ยินยอมฟังเขาพูด ทั้งยังไม่กล่าวขัด 


 


 


เขาพูดอยู่นานถึงครึ่งเดือน ชือหลีก็ไม่เคยมีโมโห หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น เกรงว่าคงจะเย็บปากเขาไปนานแล้ว 


 


 


ตู๋กูเจวี๋ยคิดๆ ดูแล้ว ก็ตัดสินใจจะลักพาตัวงูเขียวน้อยของหยวนเฟย จากนั้นก็เอาไปเลี้ยงดูให้ดี ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถกลายเป็นงูที่เป็นผู้ฟังที่ดีอย่างชือหลีก็เป็นได้นะ? 


 


 


พอความคิดนี้ผุดขึ้นมา เขาก็มองเจ้างูเขียวน้อยด้วยสองตาที่เป็นประกาย ทำเอาหวังฉายถึงกับหางแข็งค้าง เกือบจะสลบไปแล้ว 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] 誓死不屈 [shì sǐ bù qū]   

 

 


ตอนที่ 250 เจ้าไม่มีคุณสมบัติที่จะยืน...

 

ในตอนนั้นเองมันรู้สึกได้ถึงพลังที่มีแรงกดดันขุมหนึ่ง ติดตามพวกมันเข้ามาในเขตทะเลทราย 


 


 


ตลอดการเดินทางเจอะเจอตัวประหลาดมาไม่น้อย ภูติผีปีศาจที่ได้พบเจอยังมากกว่าที่งูอย่างมันเคยเจอมาชั่วชีวิตเสียอีก 


 


 


แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ถูกงูเขียวยักษ์ตัวหนึ่งหมายหัวเข้าแล้ว 


 


 


มันสงสารตนเองจริงๆ มันไม่เคยทำสิ่งเลวร้ายใดๆ เลยแท้ๆ 


 


 


บนพื้นที่ระหว่างทะเลทรายและป่าทึบของหนานเจียง ชือหลียังคงแขวนตัวอยู่บนต้นไม้ใหญ่ นางกวาดหางของตนเองช้าๆ ครุ่นคิดถึงก้อนกรวดก้อนหนึ่ง 


 


 


สมองของนางจะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน ถึงได้ยื่นมือไปช่วยเหลือเจ้าเด็กขนอ่อนอย่างตู๋กูเจวี๋ยขึ้นมา 


 


 


นางเป็นเทพธิดาพิทักษ์แม่น้ำลี่เหอ นอกจากรักษาความสงบสุขตลอดริมฝั่งน้ำแล้ว เรื่องของพวกมนุษย์หากไม่ต้องยุ่งเกี่ยวได้ย่อมไม่ไปยุ่งเกี่ยว จะเป็นหรือตายล้วนแล้วแต่ชะตาชีวิต นางสมควรจะปล่อยวางอยู่ด้านข้าง [1]  


 


 


คิดถึงตรงนี้ ชือหลีก็เขวี้ยงก้อนหินในมือทิ้งไป ในใจลอบสาบานกับตนเอง หากครั้งหน้าพบเห็นตู๋กูเจวี๋ยตกอยู่ในอันตราย จะไม่ยื่นมือช่วยเหลือเขาอีกแล้ว 


 


 


จะทำตัวเป็นอากาศธาตุ ไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น 


 


 


แคว้นเซอปี่ซือรึ หลายปีก่อนนางเคยไปเยือนมาครั้งหนึ่ง ตอนนั้นแผ่นดินยังมิได้ถูกทำลาย ทั่วทั้งดินแดนมีภูเขารายล้อม ยามนี้กาลเวลาผันผ่าน ทุกสิ่งล้วนแปรเปลี่ยนไปแล้ว [2] ภูเขาสูงกลายเป็นผืนทราย 


 


 


ทุกที่เปี่ยมไปด้วยอันตราย อันตรายมากมายกว่าที่พวกเขาคาดคิดนัก 


 


 


เพียงแต่ในเมื่อมีตู๋กูซิงหลันอยู่ ตู๋กูเจวี๋ยก็คงจะรักษาชีวิตน้อยๆ เอาไว้ ก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากอะไรนัก 


 


 


ที่นางช่วยคุ้มครองมาตลอดทางก็ถือว่ามากพอแล้ว 


 


 


ภายในกระโจม ปลายนิ้วของตู๋กูเจวี๋ยยังคงลูบไล้หัวของเจ้างูเขียวน้อยอยู่ มีแววประหลาดใจ คอยมองออกไปข้างนอกอยู่ตลอด เขาก็เลยมองตามมันออกไป 


 


 


สายลมในทะเลทรายหยุดลงแล้ว ทั่วทั้งทะเลทรายตกอยู่ในความเวิ้งว้าง แม้แต่ป่าทึบของหนานเจียงที่อยู่ห่างไปไม่ไกลก็ดูจะสงบเงียบลงไปหลายส่วน 


 


 


ยามที่กวาดตามองออกไป ก็คล้ายจะได้เห็นอะไรสีเขียวๆ ที่ดูคุ้นเคย 


 


 


ภายใต้ประกายระยับวับวาวของแสงดาวที่ทอดลงมา ดูไปคล้ายดั่งจะเป็นสิ่งที่อยู่ในภาพวาด 


 


 


ตู๋กูเจวี๋ยตกตะลึงไป เขานวดตาของตนเอง พอมองดูอีกครั้งก็ไม่เห็นอะไรแล้ว 


 


 


เขาคงจะเหน็ดเหนื่อยจนเกินไป ถึงกับเกิดอาการตาฝาด 


 


 


ชือหลีย่อมต้องอยู่ที่ลี่โจวอย่างสุขสบาย จะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? 


 


 


เขาจะต้องนอนพักผ่อนเสียหน่อยแล้ว จะได้ไม่ก่อปัญหาให้น้องเล็ก 


 


 


………………………. 


 


 


ในกระโจมอีกหลังหนึ่ง ตู๋กูซิงหลันกับจีเฉวียนยังคงนอนดูดาวเคียงข้างกัน 


 


 


อาจเป็นเพราะการเดินทางไกลสร้างความเหน็ดเหนื่อยมากเกินไป อีกทั้งตอนนี้มีตู๋กูซิงหลันอยู่ข้างกาย จีเฉวียนถึงได้สงบใจลงได้เป็นพิเศษ พอถึงครึ่งคืนหลังก็หลับสนิทไปแล้ว 


 


 


ตู๋กูซิงหลันพลิกตัวกลับมา ก็พอดีมองเห็นสีหน้ายามหลับสนิทของเขา 


 


 


ประกายจากแสงดาวทอทาบลงบนใบหน้าของเขา ดวงพักตร์ที่เกิดมาก็งดงามอย่างที่สุดอยู่แล้ว ยิ่งคล้ายดั่งงานแกะสลักชั้นเลิศขึ้นไปอีก 


 


 


บุรุษผู้นี้ ชาติก่อนทำบุญเอาไว้มากมายเพียงไรกัน ชาตินี้ถึงได้เกิดมามีรูปลักษณ์ที่ลำเลิศเช่นนี้ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันอดที่จะถอนใจออกมาไม่ได้ นางซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม สองตาจดจ้องมองดูจีเฉวียนเนิ่นนาน 


 


 


กระทั่งเมื่อด้านนอกกระโจมมีเงาหลายเงาไหววูบ ตู๋กูซิงหลันถึงได้ละสายตาออกจากเรือนร่างของจีเฉวียน 


 


 


นางลุกขึ้นมานั่งเอนๆ หรี่ดวงตาดอกท้อมองออกไป ในขณะเดียวกันในมือก็เพิ่มยันต์สีเหลืองขึ้นมาใบหนึ่ง 


 


 


“กี้ กี้ กี้…..” เพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงหัวเราะที่น่าหวาดผวาลอยมาจากด้านนอก ท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิดของทะเลทรายฟังดูแล้วหลอกหลอนกว่าเดิม 


 


 


เสียงหัวเราะแบบนี้นางจำได้ เป็นของพวกปีศาจไร้หน้าเหล่านั้น 


 


 


พวกมันกลับมาแล้วหรือ? 


 


 


“ยกให้เจ้า” ตู๋กูซิงหลันกวาดตาไปมองวิญญาณทมิฬที่ทำตัวเป็นแม่ไก่ฟักไข่อยู่ด้านข้าง 


 


 


ทันทีที่วิญญาณทมิฬได้รับบัญชา เสียงลมเคลื่อนวูบหนึ่งมันก็พุ่งออกไปแล้ว 


 


 


ดวงตาของมันเปล่งประกายท่ามกลางสายลม สำหรับมันแล้ว ปีศาจไร้หน้าพวกนี้ถือเป็นของบำรุงชั้นยอด หากว่าสามารถกลืนกินได้สักหลายตัว สำหรับมันนับว่าเป็นการดีที่สุด 


 


 


พอวิญญาณทมิฬพุ่งออกไป เหล่าปีศาจไร้หน้าก็พากันกระเจิงเป็นไก่ตื่น ไม่มีตนใดกล้าเผชิญหน้ากับมันเสียด้วยซ้ำ 


 


 


ในโลกโน้นก่อนตาย มันเคยกลืนกินปีศาจไร้หน้าไปหลายสิบตัวแล้ว ตอนนี้พอคิดย้อนกลับไปคล้ายว่าจะจำรสชาติไม่ได้เสียแล้ว 


 


 


มันพุ่งออกไปด้วยความเร็วประหนึ่งสายลม 


 


 


ปีศาจไร้หน้าเหล่านั้นมีฝีมือไม่เลว ส่งเสียงร้องกี้กี้ออกมาก็มุดลงไปในผืนทราย จากนั้นก็โผล่ขึ้นมาในพื้นที่ที่ไกลออกไป ล่อวิญญาณทมิฬให้ไล่ตามอย่างบ้าคลั่ง 


 


 


การเดินทางไปแคว้นเซอปี่ซือรอบนี้ มันจะต้องทุ่มเทพลังทั้งหมดไปปกป้องตู๋กูซิงหลัน 


 


 


ดังนั้นการแข็งแกร่งขึ้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง 


 


 


เพียงครู่เดียว พวกมันก็ไกลออกไปจากจุดที่ตู๋กูซิงหลันอยู่ 


 


 


ในกระโจม ตู๋กูซิงหลันยังคงนั่งอยู่เช่นเดิม ทันทีที่ปีศาจไร้หน้าพวกนั้นหายไป ก็มีพลังไอหยินที่แข็งแกร่งขุมหนึ่งเคลื่อนเข้ามาใกล้ 


 


 


ที่ด้านนอกของกระโจม ปรากฏเงาของคนผู้หนึ่ง 


 


 


เพียงครู่เดียวเงาของคนผู้นั้นก็ยื่นมือออกมา คิดจะแง้มกระโจมขึ้น 


 


 


ไหนเลยจะรู้ว่าทันทีที่สัมผัสถูกผ้ากระโจม ก็ร้อนลวกขึ้นมา จนต้องถอยกรูดออกไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


เขายืนอยู่นอกกระโจมครู่หนึ่งพลางส่งเสียงขุ่นเคืองออกมาเบาๆ ตู๋กูซิงหลันไม่อาจมองเห็นหน้าตาของเขาอย่างชัดเจน แต่นางรู้สึกได้ว่าที่ด้านนอกมีสายตาคู่หนึ่งจดจ้องพวกนางอยู่ 


 


 


ใช้ปีศาจไร้หน้ามาหลอกล่อวิญญาณทมิฬออกไป จากนั้นก็มายังกระโจม คิดจะจัดการกับนางและจีเฉวียนพร้อมกัน? 


 


 


ประเด็นสำคัญคือ ….คนผู้นี้รู้ว่าข้างกายนางมีวิญญาณสัตว์อสูรที่ ‘โหดเ**้ยม’ ตัวหนึ่ง ข้อนี้ทำให้ตู๋กูซิงหลันต้องคาดเดาไปต่างๆ นานา 


 


 


นางมิได้เคลื่อนไหวโดยพละการ เพียงกำยันต์ในมือเอาไว้แน่น จากนั้นก็ซุกตัวเข้าหาจีเฉวียน 


 


 


ที่ด้านนอกกระโจม คนผู้นั้นมองดูปลายนิ้วที่ถูกแผดเผาจนเกิดบาดแผล ก็หรี่ตาทั้งสองลงน้อยๆ 


 


 


เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ที่ด้านนอกกระโจมจะลงอาคมที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้เอาไว้ 


 


 


เกรงว่าหากมิได้รับอนุญาตจากเจ้าของกระโจม มิว่าจะเป็นภูติผีปีศาจหรือสัตว์ประหลาดใดๆ ก็คงไม่อาจเข้าไปข้างในได้ 


 


 


เขาหรี่ตาลง จ้องมองแสงจางๆ ที่คลุมอยู่ด้านนอกกระโจม ประกายตาก็เย็นยะเยือกกว่าเดิม 


 


 


คนผู้นั้นถึงกับลงทุนพิทักษ์นางจนถึงขั้นนี้ 


 


 


ตลอดทางมานี้ แม้แต่โอกาสจะลงมือสักนิดก็ยังไม่มี 


 


 


เขาขยับตัวเบาๆ ก็เกิดไอสีดำบางๆ ขึ้นมาขุมหนึ่ง คิดจะใช้มันรักษารอยแผลที่ถูกเผาเมื่อครู่ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันที่อยู่ในกระโจม สามารถมองเห็นไอสีดำของร่างนั้นได้ 


 


 


ตอนที่พวกนางออกเกิดทางมาจากเมืองหลวง คนผู้นี้ก็ติดตามพวกนางมาแล้ว เพียงแต่เขารักษาความสงบนิ่งไม่เคลื่อนไหว จุดประสงค์ของเขาที่จริงแล้วคือจีเฉวียนหรือว่านาง? 


 


 


ฉวยโอกาสที่เขาใช้ไอสีดำนั้นฟื้นฟูบาดแผลที่ถูกเผา ยันต์สีเหลืองในมือของตู๋กูซิงหลัน 


 


 


ก็ถูกเขวี้ยงออกไป 


 


 


ยันต์สีเหลืองลอดผ่านกระโจม พุ่งเข้าใส่คนผู้นั้นอย่างแม่นยำ 


 


 


ทันใดนั้นก็เกิดเสียงเนื้อไหม้ดัง ‘ซี่ซี่ซี่’ ออกมา 


 


 


แต่เวลานั้นสั้นมาก เพียงแวบเดียวเสียงก็ขาดหายไป 


 


 


เห็นเพียงคนผู้นั้นยกมือขึ้นมา โบกแขนเสื้อเบาๆ ก็ม้วนเอายันต์สีเหลืองแผ่นนั้นเข้าไปในร่างของตนเอง แล้วทำลายมันเป็นขี้เถ้าต่อหน้าต่อตาของตู๋กูซิงหลัน 


 


 


“หากไม่มีจีเฉวียนคอยคุ้มครอง เจ้าก็คงจะตายไปเป็นร้อยเป็นพันครั้งแล้ว ตอนนี้ยังไม่รู้จักสงบเสงี่ยมเอาไว้อีก?” 


 


 


เพียงครู่เดียวก็มีเสียงที่ไม่บ่งบอกว่าเป็นชายหรือหญิงลอยเข้ามา 


 


 


“ก็แค่รู้จักยันต์คาถาอยู่ไม่กี่อย่าง ยังไม่ถึงขั้นใช้เพลิงพิสุทธิ์ได้ยังจะกล้าแสดงความทุเรศออกมาอีก?” เสียงของคนผู้นั้นยิ่งทียิ่งทวีความเหน็บหนาว “เมื่ออยู่ในทะเลทรายแห่งนี้ ต่อให้ข้าไม่ได้ฆ่าเจ้า ช้าเร็วเจ้าก็ต้องตายอยู่ดี” 


 


 


เขาหัวเราะเสียงเย็นชา แต่ก็ไม่ได้เข้ามาใกล้กระโจม แต่กลับถอยหลังไปอีกสองก้าว “จีเฉวียนถูกลิขิตให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ เขาอาจคุ้มครองเจ้าได้ชั่วคราว แต่ไม่อาจคุ้มครองเจ้าได้ตลอดชาติ ตู๋กูซิงหลัน จดจำไว้ ชาตินี้เจ้าไม่มีทางจะมีคุณสมบัติที่จะยืนเคียงข้างเขาได้แม้สักนิดเดียว” 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] 袖手旁观 [xiù shǒu páng guān] 


 


 


[2] 时过境迁 [shí guò jìng qiān] 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)