ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 234-237

 ตอนที่ 234 การบุกล่วงล้ำดินแดนของเผ่าเจ้าสมุทร

โดย

Ink Stone_Fantasy

สายตาหลิ่วหมิงตกอยู่บนแผ่นกระเบื้องสีดำแผ่นที่สิบสาม เขาแกะมันออกมาอย่างเงียบๆ จากนั้นก็จ้องมองอย่างละเอียด


บนแผ่นกระเบื้องมีคำว่า ‘หลิ่ว’ สลักไว้จางๆ


หลิ่วหมิงเลิกคิ้ว และใช้สองมือหนีบมันไว้ จากนั้นก็ออกแรงเล็กน้อย


“ฟู่!”


แผ่นกระเบื้องกลายเป็นผุยผง มีสิ่งของสองสิ่งหล่นออกมาจากในนั้น มันคือแหวนสีดำกับผ้าสีขาวที่มีอักขระจำนวนมากจารึกอยู่


หลิ่วหมิงคว้าของทั้งสองสิ่งไว้ จากนั้นก็ลอยเข้าหน้าต่างบานหนึ่งไปอย่างรวดเร็วราวกับปีศาจ จนเข้ามาถึงข้างในของหอชั้นสอง


เขาหยิบหยิบมุกวาวแววออกมาเม็ดหนึ่ง หลังจากกระตุ้นพลังเวทย์เล็กน้อย มันก็กลายเป็นแสงสีขาวลอยอยู่ตรงหน้า


หลิ่วหมิงนำของทั้งสองสิ่งมาตรวจดูอย่างละเอียด


แหวนวงนั้นดูไม่ค่อยเตะตามากนัก ราวกับว่าเป็นแหวนเหล็กธรรมดา แต่ด้านในแหวนกลับสลักดอกบัวบานไว้ดอกหนึ่ง แม้ว่าจะดูเล็กเป็นอย่างมาก แต่กลับงดงามละเอียดอ่อนราวกับมีชีวิต นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีอะไรพิเศษอีก


หลิ่วหมิงพลิกดูแหวนไปมาอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นถึงเก็บมันเข้าไป และหยิบผ้าขาวขึ้นมา


เห็นได้ชัดว่าผ้าขาวนี้เคยผ่านการแช่น้ำยาพิเศษมาแล้ว ผ่านมาหลายปีเช่นนี้ อักขระสีดำบนนั้นยังคงแจ่มชัดเช่นเดิม ไม่มีการเลอะเลือนแม้แต่น้อย


อักขระเล็กๆ ที่เรียงเป็นระเบียบบนผ้าขาวนี้ เป็นลายมือของบิดาเขาอย่างแน่นอน


ระยะเวลาผ่านมานานหลายปีเช่นนี้ พอหลิ่วหมิงได้เห็นสิ่งที่คุ้นเคยก็ทำให้เขาใจลอยอย่างอดไม่ได้


เขาถอนหายใจเบาๆ และพยายามระงับความรู้สึกไว้ จากนั้นก็เขม้นมองสิ่งที่จารึกอยู่บนผ้าขาว


ผ่านไปไม่นาน เขาก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เขาถึงได้ถอนหายใจเบาๆ ก่อนที่จะคลี่สิ่งของในมือออก และเปลวไฟก็ลุกไหม้ขึ้นในมือ มันเผาไหม้ผ้าขาวจนกลายเป็นขี้เถ้า


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ในอดีตท่านแม่คลอดข้าจนเสียชีวิตในหอแห่งนี้ ท่านพ่อก็เป็นคนสนิทของอ๋องสาม เพื่อรักษาชีวิตของพวกเราแม่ลูกไว้ ในปีนั้นถึงได้ขโมยแหวนที่เป็นของล้ำค่าของอ๋องสามวงนี้ แต่สุดท้ายก็ช่วยข้าไว้ได้แค่คนเดียว”


หลิ่วหมิงพูดพึมพำออกมา ใบหน้าเขาถูกปกคลุมด้วยเงาสีดำ ทำให้มองไม่ออกว่าเขามีสีหน้าเป็นแบบใด


แต่เวลาต่อมา เขาก็อยู่ในหออย่างเงียบๆ ไม่จากไปไหน


จนถึงเวลาฟ้าสาง ถึงได้มีเงาร่างหนึ่งกระโดดออกไปนอกหน้าต่าง หลังจากเคลื่อนไหวไม่กี่ทีก็หายวับไปจากกำแพงจวนอ๋องสามโดยไร้สุ้มเสียง


หลังจากผ่านไปไม่นาน ในมุมหนึ่งของหอเก่าแก่ในจวนอ๋องสาม ยันต์จำนวนมากที่ติดอยู่ตามผนังก็ค่อยๆ เปล่งประกายออกมา ทันใดนั้นมันก็ระเบิดออกมาพร้อมกัน เปลวไฟอันคุโชนพวยพุ่งออกมาในทันที


พริบตานั้น หอทั้งหลังก็ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวไฟอันโชติช่วง


จนเมื่อทหารลาดตระเวนบุกเข้ามาจวนอ๋องสาม หอเก่าแก่ทั้งหลังก็อันตรธานหายไปแล้ว แต่สิ่งก่อสร้างที่อยู่ข้างๆ กลับไม่เป็นอะไรเลย ราวกับว่าไม่มีสะเก็ดไฟกระเด็นเข้าไปเลยแม้แต่นิดเดียว


พอทหารที่บุกเข้ามาได้เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ต่างก็มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้


……


เมื่อหลิ่วหมิงกลับถึงห้องลับภายในถ้ำก็นั่งขัดสมาธิอยู่บนพรม เขาจ้องมองแหวนสีดำบนนิ้วด้วยความเคลิบเคลิ้ม และยังรับรู้ได้ถึงพลังฟ้าดินที่รวมตัวกันจางๆ ได้อย่างชัดเจน


คิดไม่ถึงว่าแหวนวงนี้จะสามารถรวบรวมพลังปราณเข้าด้วยกันได้ แม้ว่าพลังปราณเหล่านี้จะเป็นสิ่งเล็กน้อยสำหรับผู้ฝึกฝน แต่สำหรับคนธรรมดาแล้ว ถ้าพกแหวนวงนี้ติดตัวไว้ตลอดล่ะก็ เกรงว่ามันคงจะมีผลในการยืดอายุขัยได้จริงๆ


มิน่าอ๋องสามในปีนั้นถึงได้มองแหวนวงนี้เป็นสมบัติล้ำค่า แม้กระทั่งบิดาของเขาเปลี่ยนชื่อแซ่หลบซ่อนอยู่หลายปี ก็ยังส่งคนไปตามล่า เพื่อหาเบาะแสแหวนวงนี้อยู่ไม่หยุด


แต่สิ่งที่อ๋องสามผู้นี้คิดไม่ถึงก็คือ ตั้งแต่มารดาของเขาคลอดลูกจนเสียชีวิต บิดาของเขาก็ไม่เคยนำของสิ่งนี้ออกไปจากจวนเลย แต่กลับซ่อนไว้ในหอที่เคยอยู่ในตอนนั้น


ที่ทำให้หลิ่วหมิงแปลกใจยิ่งกว่าก็คือ อักขระในผ้าขาวนั้น บิดาของเขาไม่ได้กล่าวถึงญาติเลย ญาติทางฝั่งมารดายิ่งไม่ต้องพูดถึง เพียงแค่อธิบายบอกสาเหตุที่มารดาเสียชีวิต กับสาเหตุที่เปลี่ยนชื่อแซ่แล้วหลบหนีไปจากจวนอ๋องสามเท่านั้น


และก็โชคดีที่อ๋องสามผู้นี้ตายในเงื้อมมือของผู้ฝึกฝนนอกรีตในพรรควิญญาณมืด มิเช่นนั้น แค้นที่ฆ่าบิดาคงไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้! ถ้าอ๋องสามผู้นี้มีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้ล่ะก็ เขาคงต้องบุกเข้ามาเองแล้ว


พลันมีเสียงดังจากมือหลิ่วหมิง เปลวไฟสีแดงปรากฏขึ้นบนแหวนสีดำอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย


แต่ครู่เดียว เปลวไฟทั้งหมดก็ถูกแหวนสีดำดูดเข้าไปจนหมดสิ้น และยังทำให้พลังฟ้าดินที่รวมกันบริเวณนั้นหนาแน่นมากยิ่งขึ้น


แสงเย็นสะท้านเปล่งประกายออกมา


หลิ่วหมิงพลิกมือข้างหนึ่ง และหยิบกระบี่สั้นสีเขียวออกมา จากนั้นก็ฟันลงบนตัวแหวน


“เต๊ง!” พริบตาที่กระบี่สั้นฟันลงบนตัวแหวน ก็ถูกพลังบางอย่างที่แข็งแกร่งกว่าดีดกระเด็นกลับมา และเด้งขึ้นไปบนที่สูง


หลิ่วหมิงนำแหวนสีดำมาดูตรงหน้า บริเวณที่กระบี่จันทราหยกฟันลงไปนั้น ไม่มีร่องรอยใดๆ หลงเหลือไว้เลย


หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่ หลังจากก้มมองดูแหวนสีดำในมือแล้ว ก็เผยสีหน้าซับซ้อนออกมา


“เหล็กทมิฬ! คิดไม่ถึงว่าวัสดุที่ตามหาอย่างยากลำบาก จะโผล่ออกมาในสถานการณ์เช่นนี้”


คิดไม่ถึงว่าแหวนวงนี้จะหลอมมาจากเหล็กทมิฬ


ที่เขาจำวัสดุนี้ได้ในทันที เป็นเพราะว่าก่อนหน้าที่ชายฉกรรจ์แซ่เหลยจะจากไปนั้น เขาได้ไปสอบถามถึงรูปร่างและลักษณะพิเศษต่างๆ ของเหล็กทมิฬจากเขา


สามารถรวบรวมปราณฟ้าดินได้เอง เป็นหนึ่งในลักษณะพิเศษของเหล็กทมิฬที่เห็นได้อย่างชัดเจน


และการทดสอบอื่นๆ ในเมื่อครู่ ก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่าวัสดุที่ใช้ทำแหวนนี้ เป็นเหล็กทมิฬอย่างแน่นอน


แต่วัสดุชนิดนี้ล้ำค่าหาได้ยากยิ่ง เกรงว่าผู้ที่หลอมแหวนวงนี้ในตอนนั้น คงไม่รู้สถานะที่แท้จริงของวัสดุชิ้นนี้ อย่างมากก็แค่เห็นว่ามันสามารถรวบรวมพลังได้ เลยสร้างมันขึ้นมา


ส่วนอ๋องสามที่ได้มันมาในตอนหลังก็คงคิดอย่างนี้เช่นกัน


แม้ว่าหลิ่วหมิงจะได้เหล็กทมิฬที่อยากได้มาแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่รู้สึกดีใจเลย


ระยะเวลาหลายวันหลังจากนั้น ดูเหมือนว่าเขาจะนึกถึงทุกเศษเสี้ยวของการใช้ชีวิตกับบิดาในสมัยก่อนอยู่ตลอดเวลา


จนเมื่อผ่านไปเจ็ดแปดวัน หลิ่วหมิงได้ออกจากสภาพแบบนี้ได้


เขาฝืนเรียกสติตนเองกลับมา และเตรียมปรับสภาพจิตใจอีกสองสามวัน จากนั้นก็จะเริ่มใช้วัสดุชิ้นนี้หลอมเป็นตัวอ่อนกระบี่จิตวิญญาณของตนเอง


แต่วันนี้ หลิ่วหมิงไปยังร้านขายโลงศพที่อยู่ในตรอกแห่งหนึ่งของเสวียนจิง เพื่อที่จะรายงานข่าวให้นิกาย แต่เขากลับได้รับข่าวร้ายจากนิกายติดต่อกัน


“อะไรนะ! เจียหลานเป็นคนเผ่าเจ้าสมุทร และยังขโมยหัวราชาปีศาจไปด้วย! นิกายวาตอัคคีก็โดนศิษย์แกนนำที่เผ่าเจ้าสมุทรส่งมาสอดแนม ขโมยตราอัสนีวายุที่เป็นสมบัติล้ำค่าของนิกายไป เหลิ่งเยวี่ยซือไท่ที่เป็นผู้นำของนิกายจันทราสวรรค์ก็ถูกพิษประหลาด หญิงรับใช้คนหนึ่งของนางได้หนีออกจากนิกายไปนั้นคืนนั้น ซึ่งไม่รู้ว่าหนีไปทางไหนแล้ว เผ่าเจ้าสมุทรได้ทำสงครามกับแคว้นที่ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลแล้ว นิกายในแคว้นไห่เยวี่ยถูกข้าศึกยึดได้ภายในวันเดียว แคว้นไห่เยวี่ยได้ตกเป็นของเผ่าเจ้าสมุทรแล้ว นิกายทั้งห้าได้รวมตัวกันเดินทางไปยังชายแดนระหว่างแคว้นต้าเสวียนกับแคว้นไห่เยวี่ยในคืนนั้น ขณะเดียวกันนิกายทั้งหลายก็ออกคำสั่งให้ศิษย์ที่อยู่ข้างนอก และไม่มีภาระหน้าที่อะไรทั้งหมดกลับมารายงานตัวที่นิกายภายในเวลาสองเดือน” หลิ่วหมิงยืนอยู่หน้าค่ายกลส่งข่าว มองดูข่าวที่ตัวเองได้รับติดต่อกันแล้ว ก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะเล็กน้อย


แต่ในข่าวที่ได้รับนี้ ไม่ได้สั่งให้หลิ่วหมิงกลับไปนิกายด้วย


ประจักษ์ชัดว่า สำหรับนิกายปีศาจในตอนนี้ ในเมื่อหลิ่วหมิงรับภาระกิจศิษย์ตรวจตราอยู่ ก็ไม่จำเป็นต้องรับคำสั่งนี้ แต่ข่าวในตอนท้ายกลับบอกให้เขาเพิ่มความสนใจกับการเคลื่อนไหวในเสวียนจิง เพื่อป้องกันไม่ให้เผ่าเจ้าสมุทรส่งคนแทรกซึมเข้ามาในเสวียนจิง


พอหลิ่วหมิงออกมาจากตรอก สีหน้าเขาก็ดูหม่นหมองเป็นอย่างมาก


จนถึงตอนนี้ เขายังไม่เชื่อจริงๆ ว่าเจียหลานจะเป็นคนของเผ่าเสมุทร แต่ในเมื่อผู้ฝึกฝนระดับสูงในนิกายส่งข่าวนี้ให้กับศิษย์ในแต่ละแห่ง มันจะต้องเป็นเรื่องจริงอย่างไม่ต้องสงสัย


สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก


เขาจ้องมองผู้คนที่เดินไปมาบนท้องถนน และผู้ฝึกฝนอิสระไม่กี่คนที่เดินผ่าน ทุกอย่างล้วนดูสงบไม่มีสิ่งใดผิดปกติ


ประจักษ์ชัดว่าข่าวการบุกล่วงล้ำแผ่นดินอวิ๋นชวนของเผ่าเจ้าสมุทร ยังมาไม่ถึงที่นี่ มิเช่นนั้นเสวียนจิงคงไม่สงบเช่นนี้


แต่เรื่องแบบนี้ก็ไม่อาจปิดบังได้นาน ไม่แน่พอถึงเวลานั้น เสวียนจิงอาจจะสั่นสะเทือนอีกครั้งก็ได้ และก่อนจะถึงเวลานั้นเขาจะต้องจัดการกับสิ่งของบางอย่างที่มีอยู่ก่อน มิเช่นนั้นหากเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นมา เกรงว่าสิ่งของต่างๆ คงขายไม่ได้มูลค่าเดิมของมัน


ในทางตรงกันข้าม สิ่งของอีกจำนวนหนึ่งก็อาจจะราคาพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว


หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอยู่ในใจ จากนั้นก็เรียกรถม้ามาคันหนึ่งอย่างไม่ลังเล และห้อเหยียดไปยังตลาดใต้ดินในทันที


หลายชั่วยามผ่านไป เมื่อหลิ่วหมิงที่ปลอมเป็นชายฉกรรจ์ชุดดำเดินออกมาจากร้านค้าที่ดูธรรมดาแห่งหนึ่ง อาวุธจิตวิญญาณ วัสดุ และโอสถต่างๆ ที่เขาไม่ได้ใช้ก็ถูกขายไปจนหมดสิ้น ขณะเดียวกันบนตัวเขาก็มีหินจิตวิญญาณเพิ่มขึ้นมาแสนกว่า


บวกกับกับหินจิตวิญญาณเจ็ดแปดหมื่นที่เขาได้จากผู้นำพรรควิญญาณมืดทั้งสองแล้ว ทำให้เขามีสมบัติราวๆ สองแสนหินจิตวิญญาณ


แน่นอน นี่เป็นเพราะว่าเขายังไม่เคยประมูลขายสมบัติอื่นๆ ของเขาเลย


แต่หลังจากนั้น ภายในอึดใจเดียวหลิ่วหมิงก็วิ่งเข้าไปยังร้านขายยันต์ ร้านขายวัตถุดิบต่างๆ อีกสองสามร้าน เขาซื้อยันต์เก็บของแบบง่ายที่ศิษย์จิตวิญญาณสามารถใช้ได้มาจำนวนหนึ่ง กับวัตถุดิบปรุงโอสถที่มีมูลค่าหลายหมื่นหินจิตวิญญาณ จากนั้นเขาถึงค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นมา


แต่ตอนที่เขาเตรียมจะไปจากตลาดนั้น พลันเหลือบไปเห็นร้านหลอมอาวุธที่มีชื่อเสียงอยู่ร้านหนึ่ง เหนือประตูมีป้ายสีเงินที่เขียนคำว่า ‘หอหมื่นหลอม’ ติดอยู่ เขาค่อยๆ ใจเต้นขึ้นมาทันที และเดินตรงเข้าไป


หอหมื่นหลอมนี้มีชื่อเสียงในเสวียนจิงเป็นอย่างมาก มีอิทธิพลเหนือกว่าเรือนร้อยวิญญาณกับหอรวมสมบัติมาก ว่ากันว่าไม่เพียงแต่จะมีร้านในแคว้นต้าเสวียนเท่านั้น แต่ยังมีร้านในแคว้นบริเวณใกล้เคียงอีกด้วย และมีอิทธิพลครอบคลุมหลายแคว้น


“สหายท่านนี้ ไม่ทราบว่าท่านจะซื้อวัสดุ หรือขายวัสดุ?” พอเขาก้าวเข้าไปข้างใน ชายวัยกลางคนที่มีหนวดงอโง้งก็ออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม


………………………………………


ตอนที่ 235 ประเมินค่า

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ข้าเคยได้ยินคนพูดว่า หอของท่านมีผู้เชี่ยวชาญการประเมินค่าอยู่ เขาสามารถมองออกว่าของล้ำค่าในใต้หล้านี้คือสิ่งใด ทั้งยังไม่เคยผิดพลาดมาก่อน ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่?” หลิ่วหมิงกวาดสายตามองร้านค้าที่กว้างขวางเป็นพิเศษแล้วกล่าวออกมาอย่างเรียบๆ


“อ๋อ! ที่แท้สหายก็มาหาผู้เชี่ยวชาญฉู่เพื่อประเมินสิ่งของ แต่ทุกครั้งที่ผู้เชี่ยวชาญฉู่ประเมินของหนึ่งอย่างจะต้องจ่ายสามร้อยหินจิตวิญญาณ และยังต้องเป็นสิ่งของที่ข้าน้อยไม่รู้จัก ผู้เชี่ยวชาญฉู่ถึงจะออกโรงเอง” ชายหนวดงอโง้งตอบกลับโดยไม่รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด


“ที่แท้ท่านก็เป็นผู้เชี่ยวชาญการประเมินค่าเช่นกัน!” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็มองชายวัยกลางด้วยความแปลกใจเล็กน้อย


“มิกล้า! ข้าน้อยเพียงแค่เคยเรียนกับผู้เชี่ยวชาญฉู่มาซักระยะเวลาหนึ่ง พอจะจำสิ่งของธรรมดาได้บ้างเล็กน้อย แน่นอนว่าสิ่งของที่ข้าน้อยประเมินย่อมมีราคาถูกมาก โดยทั่วไปจะเสียค่าใช้จ่ายแค่สามสิบหินจิตวิญญาณเท่านั้น ถ้าสหายไม่ว่าอะไรล่ะก็ ให้ข้าดูสักหน่อย แต่ถ้าข้าจำไม่ได้ ค่อยให้ผู้เชี่ยวชาญฉู่ดูทีหลังก็ยังไม่สาย” ชายหนวดงอโง้งกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าน้อยมีสิ่งของอยู่หลายอย่าง เชิญท่านดูก่อนเถิด!” หลิ่วหมิงฟังมาถึงจุดนี้ ก็พยักหน้าราวกับคิดอะไรอยู่


“ได้! ถ้าอย่างนั้นเชิญสหายไปนั่งในห้องรับรองก่อน” ชายหนวดงอโง้งกล่าวด้วยความดีใจ


แม้ว่าการประเมินสิ่งของของเขา จะมีค่าใช้จ่ายไม่สูง แต่มันไม่เหมือนกับสิ่งของที่ขายออกไปในร้าน ซึ่งค่าใช้จ่ายสำหรับประเมินสิ่งของเหล่านี้จะตกเป็นของเขาทั้งหมด


สำหรับเขาแล้ว สามหมื่นหินจิตวิญญาณเป็นรายได้ที่ไม่เลว


ดังนั้นชายผู้นี้จึงหันไปสั่งกับผู้ร่วมงานอีกคน แล้วก็พาหลิ่วหมิงเข้าไปนั่งในห้องข้างๆ


ขณะนี้ หลิ่วหมิงพลิกมือข้างหนึ่งหยิบขวดเล็กสูงไม่กี่ชุ่นออกมาวางบนโต๊ะและกล่าวออกมาสั้นๆ


“นี่คือไอปีศาจบริสุทธิ์ไร้นามที่ข้าได้มาโดยไม่ตั้งใจ หวังว่าท่านจะสามารถช่วยข้าประเมินชนิดของมันได้”


“ไอปีศาจบริสุทธิ์!” พอชายหนวดงอโง้งได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย


ต่อให้เป็นไอปีศาจบริสุทธิ์ที่ถูกที่สุด แต่มันแต่ละชุดยังมีมูลค่าหลายหมื่นหินจิตวิญญาณ เดิมทีเขาคิดว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นแค่ผู้ฝึกฝนธรรมดาเท่านั้น ดูท่าตอนนี้คงจะคาดเดาผิดพลาดไปหน่อย


ชายหนวดงอโง้งคิดใคร่ครวญไปมาอย่างรวดเร็ว แต่กลับยิ้มออกมาอย่างขมขื่น


“คิดไม่ถึงว่าสิ่งของที่ท่านให้ประเมินจะเป็นสิ่งของล้ำค่าอย่างไอปีศาจบริสุทธิ์ ถ้าเป็นสิ่งของธรรมดาล่ะก็ ข้าน้อยยังจะพอมองออกได้ แต่ถ้าเป็นไอปีศาจบริสุทธิ์ล่ะก็ ข้าน้อยคงไม่มีความสามารถ เอาอย่างนี้เถอะ! ข้าจะเชิญผู้เชี่ยวชาญฉู่มาสักครา สิ่งของที่มีมูลค่าหลายหมื่นนี้ เพียงพอที่จะให้ผู้เชี่ยวชาญฉู่ประเมินแล้ว แต่ค่าใช้จ่ายนี้ย่อม……”


“เพียงแค่ประเมินสิ่งของได้ ค่าใช้จ่ายก็ตามที่คุยกันไว้ในก่อนหน้านั้น ย่อมไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน แต่ถ้าประเมินไม่ได้ล่ะก็?” หลิ่วหมิงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม


“เฮ่อๆ! ถ้าท่านผู้เชี่ยวชาญไม่สามารถประเมินสิ่งของของสหายได้ ทางหอเราก็จะไม่เก็บหินจิตวิญญาณใดๆ” ชายหนุ่มหนวดงอโง้งกล่าวออกมาโดยไม่ลังเล


“ดี! ถ้าอย่างนั้นก็ยึดตามนี้” หลิ่วหมิงพยักหน้าโดยไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา


ดังนั้นชายหนวดงอโง้งจึงขอตัวแล้วออกไปจากห้องรับรอง


ผ่านไปไม่นาน มีหญิงข้ารับใช้ใบหน้างดงามเดินเข้ามา หลังจากยกชามาวางแล้วก็ก้มตัวถอยออกไป


ผ่านไปอีกเล็กน้อย ผู้อาวุโสชุดคลุมสีเหลือง ตากลมจมูกบาน มีหนวดและเส้นผมสีขาวเต็มศีรษะก็เดินเข้ามา


ชายหนวดงอโง้งตามเข้ามาติดๆ และพอเห็นหลิ่วหมิงก็รีบแนะนำทันที


“ข้าขอแนะนำสักหน่อย ท่านนี้คือผู้เชี่ยวชาญฉู่!”


“นี่คือไอปีศาจบริสุทธิ์ที่ท่านจะให้ข้าประเมินหรือ?” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีเหลืองไม่พูดจาไร้สาระ หลังจากกวาดตามองขวดเล็กบนโต๊ะแล้วก็กล่าวออกมาอย่างสงบ


“ไม่ผิด! ครั้งนี้คงต้องรบกวนท่านผู้เชี่ยวชาญแล้ว” หลิ่วหมิงลุกขึ้นโค้งคารวะ


ผู้อาวุโสชุดคลุมสีเหลืองพยักหน้า และโบกมือออกไปดูดขวดเล็กมาไว้ในมือ


ผู้เชี่ยวชาญฉู่ผู้นี้มีพลังเวทย์ไม่เลว และมีการฝึกฝนในระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลาง


ผู้เชี่ยวชาญฉู่ลูบไล้ขวดในมืออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว


“ฟู่!”


ม่านแสงสีขาวขนาดใหญ่ฉื่อกว่าๆ ปรากฏออกมาปกคลุมขวดเล็กไว้ได้พอดี


ขณะนี้ ผู้อาวุโสถึงได้แตะนิ้วชี้ไปยังขวดเล็ก ทันใดนั้นจุกขวดก็กระเด็นออกมา ไหมเล็กละเอียดสีดำจำนวนมากลอยออกจากในนั้น


ไหมแต่ละเส้นเล็กละเอียดเป็นอย่างมาก มีสีดำแวววาวตลอดเส้น และค่อยๆ ลอยออกจากขวดใบเล็ก


ผู้เชี่ยวชาญฉู่หรี่ตาลง ไม่รู้ว่าเขาแสดงวิชาอะไรออกมา ในดวงตาถึงมีแสงสีเขียวเปล่งประกายอยู่รำไร และพอนิ้วมือทั้งสองเคลื่อนไหว ก็คีบเอาไหมดำเส้นหนึ่งไว้ได้ จากนั้นถึงค่อยดึงมันออกจากม่านแสง และนำมาดมเบาๆ ก่อนที่จะนำมันกลับไปที่เดิม


“ไอปีศาจบริสุทธิ์พลังหยินแห้ง เป็นธาตุที่ค่อนไปทางพลังหยิน หลังจากควบแน่นเป็นปราณแกร่งแล้ว สามารถทำให้ร่างกายเยือกเย็นและแห้งอย่างถึงที่สุด ด้วยเหตุนี้จึงช่วยเพิ่มพลังป้องกัน และยังมีผลลัพธ์ในการเพิ่มพลังของวิชาที่เกี่ยวข้องกับธาตุหยิน แต่จะถูกวิชาเกี่ยวกับธาตุไฟ หรือพลังของธาตุหยางควบคุมได้โดยง่าย จัดเป็นไอปีศาจบริสุทธิ์ระดับต่ำ” ผู้อาวุโสดูดไหมสีดำทั้งหมดเข้าไปในขวดแล้วกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ


“ที่แท้ก็เป็นไอปีศาจบริสุทธิ์พลังหยินแห้ง ต้องขอบคุณท่านผู้เชี่ยวชาญแล้ว” หลิ่วหมิงได้ยินก็แสดงสีหน้าออกมาราวกับคิดอะไรอยู่


“นอกจากไอปีศาจบริสุทธิ์นี้แล้ว ยังมีอย่างอื่นให้ข้าประเมินอีกหรือไม่?” ผู้อาวุโสโยนขวดเล็กกลับไป และกล่าวอย่างราบเรียบ ดูเหมือนเขาไม่ค่อยจะสนใจไอปีศาจบริสุทธิ์ระดับต่ำในมือมากนัก


“ผู้เชี่ยวชาญฉู่มีชื่อเสียงสมคำร่ำลือ ข้ายังมีสิ่งของสองอย่างให้ท่านประเมินดู แต่หนึ่งในนั้นมันค่อนข้างน่าตกใจไปหน่อย เกรงว่าสถานที่แห่งนี้คงไม่เหมาะที่จะแสดงให้ดูได้” หลิ่วหมิงรับขวดและพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ แต่อึดใจเดียวก็กล่าวออกมา


“ไม่เหมาะสมที่แสดงที่นี่? ข้าเข้าใจแล้ว ตามข้ามาเถอะ หอของเรามีสถานที่ที่วางชั้นจำกัดไว้แล้ว มันสามารถปิดกั้นกลิ่นไอทุกชนิดได้ และยังสามารถทนรับอานุภาพของล้ำค่าที่โผล่ออกมาได้ ผู้ดูแลเมิ่ง เจ้าไปเปิดห้องทดสอบสมบัติเถอะ” ตอนแรกผู้เชี่ยวชาญฉู่ก็รู้สึกตกตะลึง แต่ก็รีบยิ้มออกมาในทันที และหันไปกล่าวกับชายที่มีหนวดงอโง้ง


“ทราบ! สหาย ตามข้ามาเถิด!” ผู้ดูแลเมิ่งได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้ากล่าว


หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ย่อมไม่มีข้อคัดค้านใดๆ เขารีบลุกขึ้น และเดินออกไปจากห้องรับรองในทันที หลังจากเดินทะลุห้องเล็กๆ ไป ก็มาถึงประตูที่เค็มไปด้วยอักขระสีขาวบานหนึ่ง


ชายหนวดงอโง้งทำท่ามือด้วยมือเดียวในทันที พอชี้นิ้วผ่านอากาศ ประตูหินก็ค่อยๆ เปิดออกมา


ทั้งสามเดินตามกันเข้าไป


หลิ่วหมิงกวาดสายตาดูข้างในเล็กน้อย ก็ค้นพบว่าสถานที่แห่งนี้เป็นห้องหินขนาดเล็กที่กว้างไม่กี่จั้ง นอกจากโต๊ะกลมสีขาวแวววาวตรงใจกลางห้องแล้ว ก็ไม่มีสิ่งของใดๆ อีกเลย แต่บนพื้นกับผนังหินรอบด้าน มีอักขระประทับอยู่เต็มไปหมด


หลิ่วหมิงจ้องมองอักขระเหล่านี้ทีหนึ่ง แล้วก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมามาก


แม้อักขระเหล่านี้จะมีมาก แต่ล้วนเป็นชั้นจำกัดง่ายๆ ที่พบได้บ่อย มันไม่ได้มีผลในการกักขังหรือทำร้ายศัตรูแต่อย่างใด


เช่นนี้แล้ว เขากลับไม่ต้องกังวลว่าคนในหอหมื่นหลอมจะอาศัยชั้นจำกัดนี้ ทำอะไรไม่ดีกับเขา


“สหายคิดว่าสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างไรบ้าง ไม่ทราบว่าต้องใช้ชั้นจำกัดแบบใด ข้าจะค่อยๆ กระตุ้นมันออกมา” ผู้อาวุโสปราดตามองหลิ่วหมิงแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม


“อย่างอื่นช่างมันเถอะ! ข้าหวังว่าบนพื้นน่าจะแข็งแกร่งกว่านี้อีกหน่อย” หลิ่วหมิงยกเท้าเหยียบพื้น แล้วกล่าวด้วยสีหน้าปกติ


“เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับพื้น สิ่งนี้ย่อมไม่มีปัญหา” ผู้อาวุโสรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ต่อมาก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว ทันใดนั้นอักขระบนพื้นส่วนหนึ่งก็พากันเปล่งประกายออกมา และก่อเกิดเป็นแสงสีขาวแวววาว


แต่พอหลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ กลับส่ายศีรษะ และหยิบยันต์ออกจากแขนเสื้อมาผืนหนึ่ง จากนั้นก็โยนออกไป


“ฟู่!”


พริบตาที่ยันต์สัมผัสกับพื้น มันก็ระเบิดออกมา อักขระสีเหลืองจำนวนมากพุ่งออกมาจากในนั้น และหายวับลงไปบนพื้น


ครู่ต่อมา แสงสีเหลืองจางๆ จำนวนหนึ่งก็โผล่ขึ้นจากพื้นบนห้องหิน


ผู้ดูแลเมิ่งกับผู้เชี่ยวชาญฉู่เห็นเช่นนี้ ก็สบตากันทีหนึ่ง และต่างก็มองเห็นสีหน้าแปลกใจของอีกฝ่าย


พวกเขาย่อมมองออกว่า อักขระสีเหลืองเหล่านี้ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับพื้น


เวลานี้ หลิ่วหมิงคลำหาอะไรบางอย่างในแขนเสื้ออย่างเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถึงสะบัดแขนเสื้อก่อนที่แสงสีขาวจะม้วนตัวออกไป


“ตู๊ม!” ห้องหินทั้งหลังสั่นสะเทือนขึ้นมา


เตาหลอมยักษ์สีเงินจางๆ ปรากฏออกมา และตกลงพื้นภายในพริบตาเดียว สุดท้ายขาทั้งสามของเตาหลอมก็แทงลงพื้นไปครึ่งหนึ่ง ทำให้พื้นหินบริเวณนั้นแตกร้าวออกมา


แม้ว่าอาวุโสชุดคลุมสีเหลืองกับผู้ดูแลเมิ่งจะคาดเดาไว้ในใจแล้ว แต่พอเห็นฉากเช่นนี้ก็รู้สึกตกใจอย่างอดไม่ได้ พวกเขาจ้องมองไปยังเตาหลอมสีเงินด้วยความตกตะลึง


“หรือว่าสหายจะให้ค่าประเมินเตาหลอมใบนี้!” ผู้เชี่ยวชาญฉู่จ้องมองเตาหลอมยักษ์สีเงินด้วยความตกใจเล็กน้อย


“แน่นอนว่าไม่ใช่ แม้จะนับเตาหลอมนี้เป็นของล้ำค่าเหมือนกัน แต่มันก็ไม่อาจเทียบกับสิ่งที่อยู่ด้านในได้” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน


“ของที่อยู่ด้านใน?” พอผู้เชี่ยวชาญฉู่ได้ยินเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป เขารีบก้าวไปข้างหน้าทันที เมื่อมาถึงข้างเตาหลอมยักษ์แล้วจึงยื่นหน้าเข้าไปดูด้านใน


“นี่คือ…” พอผู้อาวุโสเห็นหยดของเหลวสีดำที่ดูไม่เตะตาหยดหนึ่ง ก็แสดงสีหน้าแปลกใจออกมา


……


ครึ่งชั่วยามผ่านไป เมื่อหลิ่วหมิงเดินออกจากประตูหอหมื่นหลอมนั้น ผู้ดูแลเมิ่งก็เดินตามติดเขาออกมา และกล่าววิงวอนอยู่ไม่หยุด


“สหาย ท่านไม่คิดที่จะขายของทั้งสองสิ่งนี้ให้หอหมื่นหลอมของเราจริงๆ หรือ เพียงแค่สหายยอมตกลงขาย ราคาของมันจะต้องทำให้สหายพอใจอย่างแน่นอน”


“ผู้ดูแลเมิ่ง ข้าแค่มาประเมินสิ่งของเท่านั้น ของทั้งสองอย่างนี้มีประโยชน์กับข้ามาก ข้าไม่ขายให้คนอื่นอย่างแน่นอน” หลิ่วหมิงตอบด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก จากนั้นก็จากไปด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ


ชายหนวดงอโง้งมองดูแผ่นหลังหลิ่วหมิงที่เดินออกไปไกลๆ ด้วยความเสียดายเป็นอย่างมาก


เมื่อผู้ดูแลเมิ่งกลับเข้าไปในห้องรับรอง ผู้เชี่ยวชาญฉู่ก็นั่งคิดอะไรบางอย่างอยู่บนเก้าอี้


“ดูจากสภาพของเจ้า คนผู้นั้นคงไม่ได้ขายของให้ใช่ไหม” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีเหลืองกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ


“ไม่ผิด คนผู้นั้นไม่ได้ขายให้จริงๆ ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก ของล้ำค่าขนาดนี้อยู่ในมือศิษย์จิตวิญญาณคนหนึ่ง มันดูสิ้นเปลืองเกินไป หากหอของเราสามารถซื้อมาได้แล้วนำไปประมูลขายล่ะก็ เกรงว่าเฒ่าประหลาดในระดับผลึกทั้งหลายต่างก็ต้องรู้สึกใจเต้นขึ้นมา” ผู้ดูแลเมิ่งฝืนยิ้มแล้วกล่าวออกมา


……………………………………….


ตอนที่ 236 ทองคำหลอมเหลว

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ทองคำหลอมเหลวนั้นช่างมันเถอะ มันเพียงแค่มีประโยชน์ในด้านการหลอม แต่หยดพลังวารีหยดนั้น เป็นสมบัติธาตุน้ำระดับสุดยอด ซึ่งผู้ฝึกฝนระดับผลึกที่เชี่ยวชาญพลังวารีกลั่นออกมา ไม่ว่าจะใช้มันปรับแต่งอาวุธจิตวิญญาณ หรือใช้เป็นวัสดุหลอมอาวุธ ล้วนมีประโยชน์มหาศาล และถ้าพลังหยดวารีหนึ่งหยวน สามารถหลอมเป็นพลังหยดวารีสองหยวน หรือพลังหยดวารีสามหยวนได้ มูลค่าของมันก็จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเป็นหมื่นเท่า เฮ่อๆ! พอถึงเวลานั้น……” ผู้เชี่ยวชาญฉู่หัวเราะและกล่าวออกมา


“ข้าเข้าใจความหมายของผู้เชี่ยวชาญฉู่ สมบัติระดับนี้ไม่ใช่สิ่งที่ศิษย์จิตวิญญาณควรจะมี ข้าได้ส่งพี่น้องตระกูลกัวออกไปแล้ว อีกไม่นานคงมีข่าวส่งกลับมา” ผู้ดูแลเมิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวออกมา


“ดีมาก เจ้าไม่ใช่คนล้าหลังแต่อย่างใด ถ้าข้านำหยดพลังวารีหนึ่งหยวนนี้มาให้เจ้าหอได้ ข้าจะต้องได้รับรางวัลอย่างงาม ดูท่าพวกเราทำถูกแล้ว ที่ไม่ได้ลงมือกับผู้ที่มาประเมินวัสดุเหล่านี้ มิเช่นนั้นจะหลอกล่อปลาใหญ่ให้ติดกับได้อย่างไร” ผู้เชี่ยวชาญฉู่กล่าวด้วยความดีใจ


“สิ่งของที่เคยมีคนเอามาให้ประเมิน อย่างมากก็เป็นแค่สิ่งของที่อาจารย์จิตวิญญาณใช้เท่านั้น แม้จะนับว่าหาได้ยากยิ่ง แต่จะเทียบกับของสองสิ่งนี้ได้อย่างไร ข้าได้กำชับพี่น้องตระกูลกัวให้พยายามหาโอกาสลงมือในขณะที่ไม่มีคน ถ้าคนผู้นี้หายตัวไป จะได้ไม่ซัดทอดถึงคนจำนวนมาก ที่ข้ากังวลเพียงหนึ่งเดียวก็คือ ในเมื่อคนผู้นี้กล้านำสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ออกมาประเมิน เกรงว่าเขาเองก็คงพอมีฝีมืออยู่บ้าง หากพี่น้องตระกูลกัวลงมือพลาดล่ะก็……” ผู้ดูแลเมิ่งกล่าวด้วยความลังเล


“เรื่องนี้ไม่ต้องกังวล เจ้ายังไม่รู้ล่ะสิ! หลายวันก่อนพี่น้องตระกูลกัวเพิ่งเอาธนูโลหิตแดงกับเข็มลูกแพร์ไปจากข้า สมบัติทั้งสองสิ่งนี้ เป็นอาวุธการโจมตีที่ทำให้ศัตรูป้องกันตัวจนไม่หวาดไม่ไหว เพียงแค่พี่น้องตระกูลกัวไม่โง่เขลาจนเกินไป เชื่อว่าแปดถึงเก้าส่วนคงไม่พลาด” ผู้เชี่ยวชาญฉู่กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม


“อะไรนะ มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ เช่นนี้ข้าก็วางใจเป็นอย่างมากแล้ว” ตอนแรกผู้ดูแลเมิ่งก็รู้สึกตกตะลึง แต่ต่อมาก็ถอนหายใจด้วยความดีใจ


แต่ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอก จากนั้นชายสวมชุดทะมัดทะแมงสองคน คนหนึ่งสูง คนหนึ่งต่ำก็เดินเข้ามา


“พวกเจ้ากลับมาแล้ว! หรือว่าลงมือได้รวดเร็วถึงเพียงนี้!” พอผู้ดูแลเมิ่งมองเห็นใบหน้าของทั้งสองคนชัดเจนก็ถามออกไปด้วยความตกใจ


ทั้งสองคนนี้คือพี่น้องตระกูลกัวที่เขาเพิ่งกล่าวถึง


พอผู้เชี่ยวชาญฉู่เห็นทั้งสอง ก็แสดงสีหน้าแปลกใจออกมาเช่นกัน


“เกรงว่าคงทำให้พี่เมิ่งกับผู้เชี่ยวชาญฉู่ต้องผิดหวังแล้ว เจ้าเด็กนั่นปลิ้นปล้อนยิ่งนัก พอเลี้ยวเข้าไปอีกทางหนึ่ง พวกข้าสองพี่น้องก็หาร่องรอยเขาไม่เจอแล้ว” ชายร่างสูงกล่าวออกมา สีหน้าเขาในตอนนี้ดูไม่ได้เป็นอย่างมาก


“อะไรนะ! พวกเจ้าทั้งสองคลาดเคลื่อนกับเขาไป พวกเจ้าทำงานอย่างไรกัน เจ้ารู้ไหมว่าเขาพกอะไรมาด้วย” ผู้ดูแลเมิ่งได้ยินก็รู้สึกทั้งตกใจทั้งโมโห


สีหน้าของผู้เชี่ยวชาญฉู่ก็ดูหม่นหมองอย่างถึงที่สุด


“ชายแซ่เมิ่ง แม้ว่าเจ้าจะมีตำแหน่งในหอสูงกว่าพวกข้าทั้งสองเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีสิทธิ์มาชี้โบ๊ชี้เบ๊พวกข้าทั้งสอง การทำงานผิดพลาดในครั้งนี้ พวกข้าทั้งสองสามารถรายงานเองได้ แต่ก็แค่ถูกทำโทษโดยตัดหินจิตวิญญาณครึ่งปีเท่านั้น” ชายที่ค่อนข้างเตี้ยหน่อยกล่าวออกมา สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก


จากนั้นทั้งสองเพียงแค่โค้งตัวให้ผู้เชี่ยวชาญฉู่เล็กน้อย แล้วก็เดินออกไปจากห้องรับรอง


“ท่านผู้เชี่ยวชาญ พี่น้องตระกูลกัวทำงานไม่สำเร็จ แต่ยังใจร้อนและเหี้ยมโหดเช่นนี้ ไม่สู้ให้ข้าลงบัญชีหางว่าวรายงานเรื่องนี้กับเจ้าหอดีไหม คิดว่าโทษที่ทำให้สูญเสียหยดพลังวารีกับทองคำหลอมเหลวไป คงเพียงพอที่จำทำให้พวกเขาเงยหน้าอ้าปากได้อีก” ผู้ดูแลเมิ่งเห็นเช่นนี้ ย่อมรู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก เขากล่าวกับผู้อาวุโสชุดสีเหลืองด้วยสีหน้าเขียวปั๊ด


“เกรงว่าคงจะไม่ได้ สหายเมิ่งอย่าได้ลืมสิว่า ในมือของเจ้าเด็กนั่นมีของล้ำค่าอยู่สองอย่าง ซึ่งมีแค่เจ้าและข้าที่สามารถยืนยันได้ แต่ถ้าไม่มีหลักฐานล่ะก็ เจ้าหอจะฟังคำพูดของเราทั้งสองได้อย่างไร อย่าลืมสิ! เจ้าสองคนนั่นใช้อำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้ ก็เพราะว่ามีคนคอยหนุนหลังอยู่ ถ้าข้าเป็นเจ้า จะระงับเรื่องนี้ไว้ก่อน ใยต้องกลัวว่าจะหาโอกาสไม่ได้ในภายหลังด้วยเล่า” ผู้เชี่ยวชาญฉู่ฝืนยิ้มแล้วกล่าวออกมา


ตั้งแต่รู้ว่าพี่น้องตระกูลกัว คาดเคลื่อนกับผู้นำสิ่งของมาประเมินในก่อนหน้านี้ เขาก็รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาย่อมไม่อยากเข้าไปยุ่งกับการปะทะระหว่างผู้ดูแลเมิ่งกับพี่น้องตระกูลกัว


“ขอบคุณผู้เชี่ยวชาญที่ชี้แนะ ก่อนหน้านั้นข้ายั้งสติไม่อยู่ แต่พอนึกถึงสมบัติอย่างหยดพลังวารี ที่หายไปต่อหน้าต่อตาแล้ว ข้ารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก!” นับว่าผู้ดูแลเมิ่งได้สติมาหน่อยหนึ่ง จึงได้แต่ฝืนยิ้มกล่าวออกมา


“เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ในเมื่อคนผู้นั้นสลัดตัวให้หลุดพ้นจากการสะกดรอยของพี่น้องตระกูลกัวได้ง่ายดายเช่นนี้ ประจักษ์ชัดว่าเขาระมัดระวังหอหมื่นหลอมของเราแต่แรกแล้ว เกรงว่าคงจะออกจากเสวียนจิงในเร็วๆ นี้ ข้ากับเจ้าไม่อาจทำอะไรได้” ผู้เชี่ยวชาญฉู่ถอนหายใจก่อนกล่าวออกมา


ผู้ดูแลเมิ่งได้ยินเช่นนี้ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็แสดงสีหน้าหมดหวังออกมา


ในขณะที่คนทั้งสองสนทนาอยู่ในห้องรับรองของหอหมื่นหลอมนั้น คนที่พวกเขากล่าวถึงก็ไม่ได้ไปจากเสวียนจิงแต่อย่างใด และกลับใช้วิธีการเปลี่ยนโฉมหน้า สลัดผู้ที่สะกดรอยไปได้ จากนั้นก็ออกไปจากตลาด และมุ่งหน้ากลับไปยังถ้ำบนเขาเซียนทอแสง


หลิ่วหมิงไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยที่หอหมื่นหลอมจะส่งคนมาสะกดรอยเขา


หากเขารู้ว่า คนผู้หนึ่งมีสมบัติที่ทำให้ผู้ฝึกฝนระดับผลึกใจเต้นได้ เขาก็คงจะทำเช่นนี้ เพราะสถานที่อย่างตลาดใต้ดินในเสวียนจิงนี้ ร้านค้าที่ได้รับ ‘คำสรรเสริญ’ ย่อมตรงข้ามกับความเป็นจริง เพียงแต่พวกเขายังไม่พบสิ่งของที่ทำให้ใจเต้นเท่านั้น


พอหลิ่วหมิงกลับถึงถ้ำก็เข้าไปห้องลับ และแสดงวิชานำเตาหลอมยักษ์ออกมาอีกครั้ง จากนั้นก็สังเกตดูหยดของเหลวสีดำด้วยตาที่เป็นประกายแวววาว สีหน้าเขาเจ็มไปด้วยความตื่นเต้น


แม้เขาจะรู้ว่าของสิ่งนี้ไม่ใช่วัสดุธรรมดา แต่กลับคิดไม่ถึงว่ามันจะเป็น ‘หยดพลังวารี’ ตามที่เล่าลือ


ถ้าไม่ใช่เพราะว่า ‘ผู้เชี่ยวชาญฉู่’ ผู้นั้นได้ทดสอบคุณสมบัติพิเศษต่างๆ ของมันต่อหน้าเขาล่ะก็ เกรงว่าจนถึงตอนนี้เขาก็คงไม่อาจเชื่อได้


‘หยดพลังวารี’ ตามที่เล่าลือ เป็นสิ่งที่ผู้ทรงพลังที่มีความเชี่ยวชาญด้านคุณสมบัติของน้ำ ใช้เวลาเป็นสิบปีจนถึงหลายร้อยปี ในการบีบอัดและหล่อหลอมน้ำในแม่น้ำจนก่อเกิดเป็นหยดพลังวารี


สำหรับผู้ฝึกฝนระดับผลึกขึ้นไปแล้ว ใช้เวลาเกือบร้อยปีในการหล่อมหลอมวัสดุออกมาชิ้นหนึ่ง ย่อมเป็นเรื่องที่ได้ไม่คุ้มกับที่เสียไป


ด้วยเหตุนี้ หยดพลังวารีย่อมปรากฏตัวในโลกน้อยมาก


อย่ามองว่ามีแค่หยดเดียว ไม่แน่มันอาจจะบีบอัดจิตวิญญาณของทะเลสาบเล็กๆ ทั้งแห่งก็ได้ และหากเป็นหยดพลังวารีสองหยวน หรือหยดพลังวารีสามหยวนที่มีระดับสูงยิ่งกว่า ก็อาจจะหล่อมหลอมมาจากแม่น้ำทั้งสาย หรือแม้กระทั่งทะเลทั่วทั้งเขตก็เป็นได้ มันเป็นสิ่งที่หนึ่งหยดพลังวารีไม่สามารถเทียบได้เลย


แน่นอนว่านอกจากน้ำหนักของหยดพลังวารีแล้ว ตัวมันเองยังเป็นวัสดุระดับสุดยอดในการหลอมอาวุธธาตุน้ำ หากหาผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธที่ถูกต้อง ก็สามารถหลอมอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงออกมาได้โดยตรง และตัวมันเองยังสามารถหลอมเป็น ‘มุกพลังวารี’ ที่มีอานุภาพมหัศจรรย์ตามคำเล่าลือได้


หลิ่วหมิงเดินวนรอบเตาหลอมเพื่อสังเกตดูของเหลวสีดำอยู่ครู่หนึ่ง เขายิ่งดูก็ยิ่งดีใจเป็นอย่างมาก


เสียดายที่สมบัติระดับนี้มีน้อยและมูลค่าสูงมาก และเขาก็ไม่สามารถใช้มันได้ในตอนนี้ อย่างน้อยก็ต้องรอเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณก่อน แล้วค่อยพิจารณาถึงประโยชน์การใช้สอยของมัน


หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงสะบัดแขนเสื้อก่อนที่แสงสว่างจะม้วนตัวออกไป เตาหลอมยักษ์ถูกหอยสังย่อส่วนดูดเข้าไปในนั้น


จากนั้นถึงล้วงเอาลูกกลมๆ สีทองอร่ามออกจากแขนเสื้อ พอจ้องดูอย่างละเอียดแล้ว ก็แสดงสีหน้าออกมาราวกับคิดอะไรอยู่


ทองคำหลอมเหลว เมื่อเทียบกับหยดพลังวารีหนึ่งหยวนแล้ว อาจมีชื่อเสียงน้อยไปกว่าหน่อย แต่ในสายตาของผู้ฝึกร่างเป็นหลักนั้น พวกเขาต้องการของสิ่งนี้มากกว่าหยดพลังวารีมาก


ตามที่ผู้เชี่ยวชาญฉู่คนนั้นกล่าว ทองคำหลอมเหลวนี้เป็นวัสดุล้ำค่าและหาได้ยากยิ่ง มันเกิดจากหนอนประหลาดโบราณที่เรียกว่า ‘หนอนทองคำหลอมเหลว’ กลืนกินแร่จำนวนมาก แล้วก่อเกิดเป็นทองคำล้ำค่าภายในร่าง


แม้ว่าธาตุทองคำนี้ไม่อาจเป็นวัสดุในการหลอมอาวุธจิตวิญญาณ และยังไม่อาจหลอมทำเป็นคมกระบี่คมดาบได้โดยตรง แต่สามารถใช้เคล็ดวิชาบางอย่างปรับแต่งมันโดยตรงได้


เพียงแค่สามารถหลอมมันได้สำเร็จ ก็สามารถเปลี่ยนสถานะให้แข็งหรืออ่อนได้ตามใจนึก และยังสามารถนำมาเคลือบกับคมดาบของอาวุธจิตวิญญาณได้โดยตรง ทำให้อานุภาพของพวกมันเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก แต่สำหรับผู้ฝึกฝนร่างจำนวนหนึ่งแล้ว การนำทองคำหลอมเหลวมาเคลือบร่างของตนเอง ถึงจะได้ประโยชน์อย่างไม่สิ้นสุด


แน่นอน เรื่องราวบางอย่างที่เป็นรูปธรรม ผู้เชี่ยวชาญฉู่ไม่ได้กล่าวออกมาอย่างชัดแจ้ง แต่หลิ่วหมิงดูจากคำพูดของผู้อาวุโสที่ดูเหมือนจะยังพูดไม่หมด เห็นได้ชัดว่าของสิ่งนี้จะต้องมีความมหัศจรรย์อย่างอื่นอยู่แน่นอน


หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอยู่ในใจ แน่นอนว่าย่อมไม่เสี่ยงเอาของสิ่งนี้ไปหลอมในตอนนี้


ภายในระยะอีกสองวันต่อมา หลิ่วหมิงตั้งใจเปลี่ยนโฉมหน้าไปตลาดใต้ดินอีกครั้ง และเริ่มเสาะหาคัมภีร์เกี่ยวกับไอปีศาจบริสุทธิ์พลังหยินแห้ง หยดพลังวารี และทองคำหลอมเหลว สิ่งที่บันทึกไว้ในนั้นยืนยันได้ว่า การประเมินของ ‘ผู้เชี่ยวชาญฉู่’ ไม่ได้เป็นเท็จแต่อย่างใด


หากให้เขาประเมินที่มาของวัสดุที่ไม่รู้จัก ย่อมเป็นเรื่องที่ยากยิ่งนัก แต่ถ้าตัวเองรู้ชื่อของวัสดุแล้ว ค่อยไปหาบันทึกที่เกี่ยวข้องกับมัน เกรงว่าต่อให้จะเป็นสิ่งของที่ล้ำค่าและหาได้ยากยิ่ง ก็คงหาได้ไม่ยาก


เช่นนี้ถึงได้มีผู้เชี่ยวชาญการประเมินปรากฏขึ้นในโลกของผู้ฝึกฝน และผู้เชี่ยวชาญการประเมินโดยทั่วไป จะต้องไม่อธิบายแบบสุ่มสี่สุ่มห้า


จนเมื่อหลิ่วหมิงแน่ใจว่าวัสดุเหล่านี้ได้รับการยืนยันแล้ว เขาก็รีบซื้อวัสดุเสริมมาจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็เก็บตัวฝึกฝนอยู่ในถ้ำ


ครึ่งเดือนผ่านไป หลิ่วหมิงที่อยู่ในห้องลับกลับนั่งขัดสมาธิอยู่บนพรมด้วยสีหน้าซีดขาวเป็นอย่างมาก เขาอยู่กลางค่ายกลสีเงินจางๆ พื้นที่รอบด้านของค่ายกลมีหินจิตวิญญาณระดับกลางขนาดต่างๆ สิบกว่าก้อนฝังอยู่


ตาทั้งสองของหลิ่วหมิงหลับสนิท แสงสีทองลอยอยู่เบื้องหน้า


และท่ามกลางแสงสีทองกลับมีมุกสีทองขนาดเท่ากำปั้นอยู่เม็ดหนึ่ง พื้นผิวของมันปกคลุมไปด้วยคราบโลหิตเป็นเส้นๆ และพองยุบตามจังหวะการหายใจของหลิ่วหมิง


เมื่อเวลาค่อยๆ ผ่านไป สีหน้าของหลิ่วหมิงก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ ขณะนี้เขาถึงค่อยๆ ลืมตาและอ้าปากพ่นโลหิตออกมา


“เพล้ง!” โลหิตบริสุทธิ์ระเบิดตัวกลายเป็นหมอกโลหิตปกคลุมมุกสีทองไว้ในนั้น


กลิ่นคาวเลือดกระจายไปทั่วห้อง!


……………………………………….


ตอนที่ 237 จิตวิญญาณกระบี่ตัวอ่อน

โดย

Ink Stone_Fantasy

ขณะนี้ หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือเดียวในทันที ค่ายกลบนพื้นเปล่งประกายออกมา อักขระสีเงินแต่ละตัวลอยออกมาจากในนั้น


ขณะเดียวกันหมอกโลหิตก็หมุนรอบๆ มุกสีทอง และหายเข้าไปในนั้นอย่างไร้ร่องรอย


ท่ามกลางม่านแสงสีทองจางๆ มีคราบโลหิตโผล่บนพื้นผิวมุกกลมๆ สิบกว่าเส้น และก่อตัวรวมกับคราบโลหิตเส้นอื่นๆ จนกลายเป็นค่ายกลอักขระ


พริบตาที่ค่ายกลสีเลือดก่อตัวขึ้นนั้น มุกสีทองก็เปล่งประกายออกมา และลอยวนรอบๆ หลิ่วหมิงด้วยเสียงดังหวึ่งๆ


มุกกลมที่ดูเหมือบจะซบเซาในตอนแรก กลับมีชีวิตขึ้นมา


“สำเร็จแล้ว!”


หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็รู้สึกตื่นตัวเป็นอบ่างมาก


ครู่ต่อมา ก็ไม่เห็นเขาแสดงวิชาใดๆ ออกมา และมุกกลมก็พุ่งชนร่างของเขา


“ฟู่!”


พริบตาที่มุกกลมสัมผัสโดนตัวหลิ่วหมิง มันก็กลายเป็นของเหลวสีทอง และม้วนตัวกลายเป็นเสื้อเกราะสีทองที่ดูอัปลักษณ์


มันดูบางอย่างน่าอัศจรรย์ และปกคลุมร่างกายเกือบครึ่งหนึ่งของเขาไว้


หลิ่วหมิงมองดูเสื้อเกราะสีทองบนตัว และลองขยับเนื้อขยับตัว แต่แล้วเขาก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นมา


เขาใช้มือข้างหนึ่งตบลงบนตัวในทันที เสื้อเกราะสีทองละลายกลายเป็นของเหลวอีกครั้ง และทองคำหลอมเหลวก็แยกออกมาอยู่บนมือทั้งสองของเขา


จากนั้นแสงสว่างก็เปล่งประกายออกมา หมัดสีทองอร่ามทั้งสองข้างปรากฏตัวขึ้น


หลิ่วหมิงกำมือทั้งสองไว้ เขารับรู้ได้ถึงพลังแปลกประหลาดที่ห่อหุ้มนิ้วมือแต่ละนิ้วของเขาในทันที ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นพิลึก


เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วชกหมัดข้างหนึ่งลงพื้น


“ตู๊ม!”


ห้องลับสั่นสะเทือนทั้งหลัง คลื่นอากาศสีทองม้วนตัวออกไป บังเกิดหลุมขนาดใหญ่ลึกราวๆ ครึ่งฉื่อ


หลิ่วหมิงจ้องมองหมัดสีทองสลับกับมองหลุมขนาดใหญ่บนพื้น แล้วก็ต้องแสดงสีหน้าตกใจออกมา


อย่างที่รู้ว่า เมื่อครู่เขาได้นำหยดพลังวารีออกมาจึงได้เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับพื้นไปแล้ว


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พลังการโจมตีของเขายังสามารถแสดงพลังการทำลายล้างได้อย่างน่าตกใจ เช่นนี้ก็แสดงว่าพลังของเขาเพิ่มขึ้นกว่าเดิมอย่างน้อยหนึ่งเท่ากว่าๆ ขึ้นไป


เมื่อหมัดทั้งคู่นี้ถูกห่อหุ้มด้วยทองคำหลอมเหลว พลังของมันจึงเพิ่มขึ้นเช่นนี้


ดูเหมือนว่าหลิ่วหมิงยังไม่อยากจะเชื่ออานุภาพของมัน หลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็ทุบหมัดอีกข้างลงพื้น


หลังจากมีเสียงดังออกมา หลุมขนาดพอๆ กันอีกหลุมก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า


ครั้งนี้ หลิ่วหมิงเผยสีหน้าดีใจเป็นอย่างมาก


แต่พอเขาคิดไปคิดมาอยู่ครูหนึ่ง ก็เคลื่อนหมัดข้างหนึ่งเล็กน้อย สีทองก็ค่อยๆ แผ่ขยายไปตามข้อมือ


พริบตาเดียว แขนของเขาก็ถูกห่อหุ้มไปด้วยชั้นสีทองบางๆ


แสงสีเขียวเปล่งประกายออกจากมืออีกข้าง ดาบจันทราหยกถูกดึงออกจากแขนเสื้อ


พอแสงเย็นสะท้านเปล่งประกายออกมา กระบี่สั่นก็กรีดลงบนแขนอีกข้าง


หลังจากมีเสียงเสียดสีกัน มันก็ไม่สามารถสร้างความเสียหายอะไรให้แขนสีทองได้เลย


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เลิกคิ้วขึ้น เขาสะบัดข้อมืออีกครั้ง กระบี่จันทราหยกกลายเป็นลำแสงเย็นสะท้านฟันลงบนแขนอีกข้าง


“เต๊ง!”


ลำแสงสีเขียวกับสีทองประสานกัน พอกระบี่สั่นสีเขียวดีดตัวออก มันก็ทิ้งไว้เพียงรอยกระบี่จางๆ บนแขนเท่านั้น


ครั้งนี้ หลิ่วหมิงเพียงแค่พยักหน้า


การโจมตีของกระบี่เมื่อครู่นี้ เขาเพียงแค่ใช้พลังไปครึ่งเดียว และยังไม่ได้ส่งพลังเวทย์เข้าไปในกระบี่


พอที่จะเห็นได้ว่าเมื่อทองคำหลอมเหลวเบาบางลง แต่ก็ยังให้การป้องกันที่น่าพอใจได้


พอเขายกแขนปล่อยลูกเปลวไฟกับแท่งวารีสีฟ้าใส่แขนแต่ละข้างแล้ว ก็แสดงสีหน้าเบิกบานใจออกมา


ทองคำหลอมเหลวต้านทานน้ำแข็งและไฟได้อย่างน่าตกใจ


ดูเหมือนว่าลูกเปลวไฟกับแท่งวารีสีฟ้าเมื่อครู่ ไม่ได้ทำให้แขนสีทองรู้สึกร้อนหรือเย็นแต่ประการใด


แต่การทดสอบของหลิ่วหมิงยังไม่สิ้นสุดลง หลังจากนำกระบี่สั้นสีเขียวมาขวางไว้ตรงหน้า ของเหลวสีทองก็พุ่งไปยังกระบี่ และห่อหุ้มมันไว้ภายในพริบตา


กระบี่สั้นสีเขียวกลายเป็นสีทองอร่าม


พอสะบัดข้อมือ แสงสีทองก็ฟันลงบนแขนสีทองเช่นเดิม ก่อให้เกิดรอยกระบี่ที่ลึกกว่าก่อนหน้านั้น


“มีอานุภาพมากกว่าก่อนหน้านั้นเพียงส่วนหนึ่ง มิน่าล่ะในคัมภีร์ถึงบอกว่า ทองคำหลอมเหลวนี้เพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกายของผู้ฝึกฝนร่าง มากกว่าพลังของอาวุธจิตวิญญาณประเภทของแหลมคมมากนัก” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็พูดพึมพำออกมา แต่ก็ไม่ได้แสดงสีหน้าแปลกใจมากนัก


จากนั้นกระบี่สั้นในมือก็เคลื่อนไหว ของเหลวสีทองพุ่งกลับมาในมือของเขาอีกครั้ง


ครั้งนี้หลิ่วหมิงเก็บกระบี่สั้นเข้าไป หลังจากค่อยๆ หลับตาทั้งคู่ลง ของเหลวสีทองก็ก็เริ่มแผ่ขยายไปทั่วผิวหนังของเขา


ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ตั้งแต่ลำคอลงไปถึงเท้าก็กลายเป็นสีทองอร่ามไปหมดแล้ว


หลิ่วหมิงก้มดูรูปร่างของตนเองในตอนนี้ แล้วก็ต้องยิ้มออกมาอย่างขมขื่น


ดูท่าปริมาณของทองคำหลอมเหลวคงไม่เพียงพอสำหรับเขา


และผีดิบไอปีศาจที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ถ้ำในก่อนหน้านั้น สามารถใช้ทองคำหลอมเหลวห่อหุ้มไปทั่วร่างได้ ก็เป็นเพราะว่ามันไม่มีเนื้อหนังนั่นเอง


แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อมีสมบัติช้นนี้ติดตัวแล้วก็เท่ากับว่ามีเกราะป้องกันเพิ่มขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง ในเวลาสำคัญมันอาจจะช่วยชีวิตเขาไว้ได้


หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ และก็ได้แต่ขับไล่ความรู้สึกเสียดายออกไปจากสมอง เมื่อจิตรับรู้ของเขาเคลื่อนไหว แสงสีทองบนตัวก็เปล่งประกาย จากนั้นของเหลวสีทองก็หลุดออกมาอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นลูกกลมๆ สีทองลอยอยู่ตรงหน้า


ครั้งนี้เขาแค่คิดไตร่ตรองเล็กน้อย จากนั้นก็คว้าเอาลูกกลมๆ สีทองมากดลงบนข้อมือ


ลูกกลมๆ พร่ามัวอยู่ครู่หนึ่งก็กลายเป็นกำไลขนาดใหญ่ที่มีสีทองอร่าม ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหรือขนาดล้วนเหมือนกับห่วงเขี้ยวพยัคฆ์บนข้อมือไม่มีผิด เพียงแต่สีของมันแตกต่างกันเล็กน้อยเท่านั้น


หลิ่วหมิงสั่นข้อมือ หลังจากรับรู้ว่าน้ำหนักของกำไลสีทองไม่มีความผิดปกติใดๆ เขาก็นั่งขัดสมาธิลงพื้น และหยิบโอสถเม็ดหนึ่งออกมาทาน จากนั้นก็หลับตาเข้าฌาน


สามวันต่อมา เมื่อหลิ่วหมิงได้ฟื้นฟูโลหิตที่สูญเสียไปกับการปรับแต่งทองคำหลอมเหลวมาโดยพอประมาณแล้ว ในที่สุดก็เริ่มดูดซับเอาปราณบริสุทธิ์จากแหวนที่ทำจากเหล็กทมิฬวงนั้น เพื่อหล่อมหลอมจิตวิญญาณกระบี่ตัวอ่อนของตนเอง


ตอนนี้เขายังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับ แต่กลับมีแหวนสีดำอยู่ระหว่างมือทั้งสองที่ทาบอยู่บนหน้าอก


หลิ่วหมิงร่ายคาถาออกมา ไอดำพวยพุ่งอยู่บนตัว หนวดสัมผัสพร่ามัวสิบกว่าเส้นโบกสะบัดอยู่ไม่หยุด ราวกับว่สเขากำลังแสดงวิชาบางอย่างอยู่


แหวนสีดำเปล่งประกายแสงออกมาเป็นระยะๆ ตามจังหวะเสียงร่ายคาถา จากนั้นก็ลอยไปบนร่างหลิ่วหมิง และหายวับเข้าไปข้างใน


ในจุดตันเถียนของหลิ่วหมิง มีลูกแสงสีขาวขนาดเท่าไข่ไก่กำลังหมุนวนอยู่อย่างช้าๆ แสงแวววาวสิบกว่าจุดเปล่งประกายอยู่ในนั้น แต่ทั้งหมดล้วนส่องแสงสว่างแตกต่างกันไป


ห้าวันผ่านไป เขายังคงอยู่ในท่าเดิมไม่เปลี่ยน ปากก็ยังร่ายคาถาอยู่ไม่หยุด แต่แหวนที่อยู่ระหว่างมือทั้งสองข้างกลายเป็นสีเทาดำ และดูเหมือนว่าต้องใช้เวลาเกือบหนึ่งเค่อ ถึงสามารถปล่อยจุดแสงแวววาวออกมาได้


แสงลูกกลมสีขาวในร่างหลิ่วหมิงไม่มีอยู่อีกต่อไป แทนที่ด้วยเงากระบี่สีขาวสลัวสูงชุ่นกว่าๆ และเปล่งประกายอ่อนๆ ออกมา


ต่อมา แสงแวววาวที่ลอยออกมาจากแหวนก็เข้าไปในจุดตันเถียนของเขา และจมหายเข้าไปในเงากระบี่


เจ็ดวันผ่านไป แหวนสีเทาดำก็กลายเป็นสีขาวเทาโดยสมบูรณ์ และกระบี่เล็กสีขาวในจุดตันเถียนของหลิ่วหมิงก็แจ่มชัดขึ้นมามาก แต่มันก็ยังชัดๆ หายๆ ราวกับว่าจะสลายไปได้ตลอดเวลา


“เพล้ง!”


ในที่สุดแหวนเหล็กทมิฬก็แตกกระจายออกมาเป็นเสี่ยงๆ และกลายเป็นเศษสีขาวก่อนจะสลายไป


ขณะนี้ หลิ่วหมิงได้หยุดเสียงร่ายคาถาลง และรีบนำจิตไปกวาดดูภายในร่าง แล้วถึงเลียริมฝีปากอันแห้งผากไปมา รอยยิ้มเย้ยหยันได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้า


ถ้าในระหว่างขั้นตอนการดูดซับเอาปราณบริสุทธิ์จากแหวนเหล็กทมิฬ เขาไม่หยุดพักเลยล่ะก็ เกรงว่ามันคงทำให้สิ่งที่ทำมาทั้งหมดล้มเหลวลงได้


ดีที่ระดับการฝึกฝนของเขาในตอนนี้ สามารถไม่กินไม่ดื่มมาเป็นเวลาหลายวันได้ แต่เวลานี้เขารู้สึกคอแห้งขึ้นมา และร่างกายอ่อนแอเล็กน้อยแล้ว


ดีที่ว่าจิตวิญญาณกระบี่ตัวอ่อนเล่มนี้ได้หลอมสำเร็จในขั้นต้นแล้ว ต่อไปก็แค่ค่อยๆ บ่มเพาะมันเท่านั้น


ตามที่กล่าวไว้ในเคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่ง แม้ว่าจิตวิญญาณกระบี่ตัวอ่อนยังไม่สามารถปล่อยออกจากร่างไปทำร้ายศัตรูได้ในระยะเวลาสั้นๆ นี้ แต่มันมีประโยชน์ต่อวิธีการฝึกฝนกระบี่ด้านอื่นๆ กล่าวได้ว่ามีจิตวิญญาณกระบี่ตัวอ่อนนี้แล้ว โอกาสในการทำความเข้าใจกระบี่จะมากขึ้น ต่อไปภายหน้า อานุภาพในการปล่อยปราณกระบี่ก็จะมากขึ้นด้วย เป็นต้น


หลิ่วหมิงอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก หลังจากทานโอสถทิพย์ไปสองสามเม็ดแล้ว ก็ดื่มน้ำสะอาดตามไปเล็กน้อย จากนั้นถึงกลับไปนอนที่ห้องนอน


แม้ว่าพลังจิตของเขาในตอนนี้จะแข็งแกร่งไม่น้อยไปกว่าอาจารย์จิตวิญญาณ แต่ไม่ได้พักผ่อนมานานขนาดนี้ เขาก็ไม่อาจรับมันได้ไหว


ระยะเวลาภายในหนึ่งเดือนต่อมา นอกจากหลิ่วหมิงจะไปเรียนปรุงโอสถกับฝานไป๋จื่อสองครั้งแล้ว ก็ใช้เวลาที่เหลือไปกับการบ่มเพาะจิตวิญญาณกระบี่ตัวอ่อนของตนเองอย่างยากลำบาก


ตอนที่มันเกิดขึ้นในร่างของเขาในตอนแรก มันยังไม่ค่อยมั่นคงเท่าไหร่ เขาจำเป็นต้องใช้เวลาทำให้มันมั่นคงเล็กน้อย ถึงจะวางใจได้อย่างเต็มที่


ขณะนั้นเอง ข่าวการบุกรุกล่วงล้ำแผ่นดินอวิ๋นชวนของเผ่าเจ้าสมุทร แม้แต่เรื่องที่ยึดครองแคว้นไห่เยวี่ยและแคว้นที่ติดชายทะเลได้ ก็แพร่กระจายมาถึงเสวียนจิง


ผู้คนทั่วทั้งเสวียนจิงลุกฮือขึ้นมาทันที


ภายในระยะเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่วัน กลุ่มอิทธิพลที่เหลืออยู่ในเสวียนจิงก็แยกกระจายไปเกือบครึ่งหนึ่ง และผู้ฝึกฝนอิสระหลายคนต่างก็พากันหนีไปจากเสวียนจิง


แม้แต่ตลาดใต้ดินในเสวียนจิง ไม่ว่าจะเป็นโอสถ ยันต์ อาวุธอาญาสิทธิ์ อาวุธจิตวิญญาณล้วนมีราคาผันผวนเป็นอย่างมาก แต่ยังคงทำให้เกิดการแย่งชิงกันในบรรดาผู้ฝึกฝนอิสระอยู่


หนึ่งเดือนผ่านไป เมื่อหลิ่วหมิงออกจากการเก็บตัวอีกครั้ง ร้านค้าที่เปิดทำการในตลาดใต้ดินอยู่ก็มีเหลืออยู่น้อยมาก


แต่หลิ่วหมิงไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องทั้งหมดนี้


เขาเพียงแค่ใช้เวลาจำนวนหนึ่งแอบตรวจสอบดูเสวียนจิงหนึ่งรอบ หลังจากไม่พบร่องรอยของเผ่าเจ้าสมุทร เขาก็กลับไปเก็บตัวฝึกฝนที่ถ้ำต่อ


……………………………………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)