หมอดูยอดอัจฉริยะ 234-235

ตอนที่ 234

 

ฉลองปีใหม่

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ผีที่ไหนจะกล้าออกมาตอนกลางวันแสกๆ”


หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ ผู้ชายที่แข็งแกร่งกำยำสองสามคนซึ่งถือมีดหั่นผัก ไม้ค้ำประตู กระบองและอาวุธต่างๆ ในมือวิ่งออกมาจากบ้านทุกหลัง แต่กลับเห็นประตูบ้านของเยี่ยเทียนปิดเช่นเดิม


“ลุงเจ็ด คุณดูผิดหรือเปล่าครับ”


“อย่าบอกนะ ว่าคุณสายตายาว!”


“ไม่นะ พี่สะใภ้ตระกูลอู๋ก็เห็น  คุณลองถามเธอสิว่าใช่ผีที่สวมชุดขาวทั้งตัวไหม!”


คนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ตรงปากซอยเริ่มถกเถียงกันขึ้น แต่กลับไม่มีสักคนที่กล้าเข้าใกล้บ้านเยี่ยเทียน ไม่มีใครอยากแปดเปื้อนโชคร้ายในวันสิ้นปี ผ่านไปอีกสักพัก คนสองสามคนที่ ‘เห็นผี’ นั้นทำได้เพียงคิดเองว่าดวงซวยและด่าทอสุ่มสี่สุ่มห้าพร้อมกลับบ้านไป


เยี่ยเทียนที่สวมชุดฝึกสีขาวทั้งตัวเดินไปใกล้ถึงบ้านเก่าของตระกูลเยี่ยแล้ว


เยี่ยเทียนในเวลานี้ไม่เห็นผมสีขาวนั้นแล้ว กลายเป็นสีดำดกเงาขึ้นเต็มศีรษะ เขาเดินเข้าไปในซอยที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ


หลังจากเจอเรื่อง ‘ผีหลอก’ เมื่อครู่ เยี่ยเทียนจึงถักเปียยาวลงไว้ที่ท้ายทอย แม้จะดูเหมือนหัวมังกุท้ายมังกร แต่วัยรุ่นสมัยนี้ก็นิยมทรงนี้ จึงไม่มีใครคิดว่าเขาเป็นผีอีกแล้ว


ขนบริเวณคอเยี่ยเทียนขดตัวล้อมรอบคอเขา ทุกคนล้วนคิดว่านั่นคือผ้าพันคอ ไม่มีใครดูออกเลยว่านั่นคือสัตว์ตัวหนึ่ง


ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุการเปลี่ยนแปลงของสัตว์หรือไม่ ถึงแม้ว่าขนจะเหมือนกับเฟร์เร็ต แต่กลับไม่มีกลิ่นเหม็นของสัตว์ ร่างกายกลับมีกลิ่นหอมสดชื่นมาด้วยซ้ำ


และเจ้าเด็กนี่ก็ยังรักความสะอาดมากเป็นพิเศษ บางครั้งเยี่ยเทียนยุ่งกับการฝึกวิทยายุทธ์ จึงไม่มีเวลาช่วยอาบน้ำ แต่เจ้าเด็กนี่กลับกระโดดลงไปอาบน้ำเองในสระน้ำเสียอย่างนั้น และปลาในสระน้ำก็ถูกมันทำลายเสียหายไม่น้อย


“ปู่หนิว ซื้อข้าวเช้ามาหรือยังครับ? ผมมาบอกสวัสดีปีใหม่ก่อนเลยแล้วกัน!”


“ป้าหวัง ต้นไม้นี้แทบจะล้มตายหมดแล้ว คุณต้องเสียใจมากแน่ๆ! ของวันตรุษจีนเตรียมหมดแล้วใช่ไหม?”


เยี่ยเทียนทักทายคนตามทางเดินไม่หยุด ยิ่งใกล้วันขึ้นปีใหม่ ใบหน้าของทุกคนต่างเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม เด็กและผู้ใหญ่ต่างรวมตัวมาจุดประทัดกันตั้งแต่เช้าตรู่


 “เอ๋ นายคือเยี่ยเทียนเหรอ หลายเดือนมานี้ไม่เห็นนายเลย ไปไหนมาเหรอ”


ชายชราที่มักจะไปออกกำลังกายตอนเช้ากับเยี่ยเทียน จึงรู้สึกอดแปลกใจเมื่อเห็นเยี่ยเทียนไม่ได้ พวกเขาต่างทยอยทักทาย


 “ฮ่าๆ ไม่อยู่สองสามเดือน ร่างกายของคุณยังแข็งแรงอยู่เลยนะครับ” เยี่ยเทียนถามออกมา และเขาก็ได้เดินมาถึงหน้าประตูใหญ่บ้านเก่าแล้ว


“เสี่ยวเทียนเหรอ” เยี่ยตงเหมยที่กำลังกวาดลานในบ้านเงยหน้าเห็นเยี่ยเทียน  พลันรีบโยนไม้กวาดลงอย่างรวดเร็ว “เด็กคนนี้ อยู่ใกล้ขนาดนี้ก็ไม่ออกมาดูป้าใหญ่เลยนะ ทำไมใจดำขนาดนี้”


เวลาสามเดือนนี้ นอกจากพ่ออย่างเยี่ยตงผิงที่ทุกครึ่งเดือนจะส่งเนื้อ อาหารและพวกเครื่องปรุงแล้ว ผู้หญิงในบ้านตระกูลเยี่ยสองสามคนก็ไม่ได้เข้ามาในบ้านหลังนั้นเลย การเจอเยี่ยเทียนในครั้งนี้ จึงทำให้น้ำตาของเยี่ยตงเหมยไหลลงมา


“พี่ แต่งตัวได้หล่อจริงๆ  ขอฉันกอดหน่อยสิ ฉันคิดถึงพี่จะตายแล้วเนี่ย!” หลิวหลันหลันออกมาจากในบ้านพลางเงื้อมือจะมาจับขนที่คอของเยี่ยเทียน


“จีจี!” เหมาโถวลุกขึ้นยืนบนไหล่ของเยี่ยเทียนและเผยดวงตาดุๆ ออกมา มันยื่นกรงเล็บไปทางหลิวหลันหลันเร็วราวกับสายฟ้า


เยี่ยเทียนได้เลี้ยงเจ้าตัวนี้ที่บ้านสามเดือนกว่าแล้ว รูปร่างเท่ากับเฟร์ริตสายพันธุ์ใหญ่ แถมยังแฝงความดุร้ายอีกด้วย เพราะแกะที่เลี้ยงไว้ในบ้านของเยี่ยเทียนก็ถูกกัดไปไม่น้อยเลย


โดยเฉพาะตอนที่เหมาโถวโกรธ ขนปุยบนศีรษะจะตั้งขึ้นพร้อมแผ่รังสีความโกรธออกมา จนทำให้หลันหลันหลันตกใจจนถอยหลังไปชั่วขณะ


“อย่า!”


เยี่ยเทียนตกใจในท่าทีของเหมาโถว เขารีบยื่นมือขวาออกมาไปกั้นด้านหน้าของหลิวหลันหลัน ถึงแม้ท่าทางของเขาจะดูไม่รวดเร็ว แต่กลับจับตัวเหมาโถวได้ทันท่วงทีพร้อมหยุดอุ้งเท้าของมันที่โจมตีออกไป  ยังไม่ทันที่อุ้งเท้าแหลมคมของเหมาโถวจะทำให้เสื้อผ้าของเยี่ยเทียนขาด มันก็รีบชักกลับไป ตามมาด้วยการที่เยี่ยเทียนเคาะหัวมัน


“ไม่ให้ทำร้ายคนเข้าใจไหม? อยู่ที่นี่ ถ้ายังกล้ากัดและขีดข่วนคนอีก ฉันจะจับนายกลับไปที่ภูเขาหิมะ!”


“จีจี!” เมื่อถูกเยี่ยเทียนสั่งสอน ในแววตาของเหมาโถวเต็มไปด้วยความน้อยใจ มันเงยหน้าอย่างน่าสงสาร อุ้งเท้าข้างหน้าขดเข้าด้วยกันเพื่อโค้งคำนับเยี่ยเทียน


“พี่ชาย ไม่อนุญาตให้รังแกเหมาโถวนะ!” หลิวหลันหลันลืมเรื่องที่โดนมันข่วน จากนั้นเดินมาอุ้มตัวเหมาโถวมากอดไว้ในอ้อมอก เจ้าเด็กน้อยที่เมื่อครู่ถูกเยี่ยเทียนต่อว่าก็ไม่กล้าต่อสู้อะไรอีก


เยี่ยเทียนแย่งไม้กวาดจากในมือป้าเล็ก พลางต่อว่าด้วยน้ำเสียงสบายใจว่า “หลันหลัน สุขภาพของป้าเล็กไม่ดี ทำไมไม่ช่วยกวาดหิมะ มัวแต่เล่นอยู่ได้!”


แต่เมื่อมองสีหน้าของเยี่ยตงเหมยและเปรียบเทียบกับก่อนหน้านี้แล้ว ก็นับว่ายังแดงระเรื่ออยู่หน่อย ผ่าตัดมาแล้วสองปีกว่าก็ไม่ได้ผลกระทบอะไรตามมาอีก แม้ว่าจะทำอะไรที่ออกแรงมากไม่ได้ แต่การกวาดพื้นหรือทำกับข้าวก็ไม่ได้มีอุปสรรคอะไร


เมื่อเห็นหลานชายตำหนิลูกสาว เยี่ยตงเหมยจึงได้แต่หัวเราะ เด็กสมัยนี้รู้จักช่วยพ่อแม่ทำงานเสียที่ไหน ทุกคนล้วนแต่มีนิสัยเอะอะก็ยื่นมือมาขอเงิน


“เยี่ยเทียน หนาวไหม” เยี่ยตงเหมยพลันพบว่าด้านในชุดฝึกกังฟูเยี่ยเทียนมีเพียงสวมแค่ชุดชั้นในเท่านั้น จึงอดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้


“ป้า ไม่หนาวหรอก ร่างกายผมแข็งแรงมาก!”


เยี่ยเทียนยิ้ม ตอนนี้การฝึกวิทยายุทธของเขาถึงขั้นเปลี่ยนแปลง ควบคุมเลือดได้อย่างอิสระ ทำให้ความรู้สึกหนาวเย็นไม่สามารถเข้าร่างเขาได้


“ป้า ช่วงนี้ในบ้านไม่มีเรื่องอะไรใช่ไหม”


เยี่ยเทียนกำลังกวาดลานบ้าน เยี่ยตงเหมยกับลูกก็ยังไม่ได้เข้าไปในบ้าน ยังคงอยู่นอกบ้านคุยเป็นเพื่อนเขา ทันใดนั้นในหูก็พลันได้ยินเสียงประทัด นั่นจึงทำให้ในใจเยี่ยเทียนเต็มไปด้วยความอบอุ่น


“พ่อ ตื่นแล้วเหรอ”


เมื่อกวาดที่ลานหน้าบ้านเสร็จ เยี่ยตงผิงก็เดินออกมาที่ตรงกลางบ้าน เมื่อเห็นลูกชายมา ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความดีอกดีใจ แต่กลับเก็กท่าตำหนิว่า “คิดจะฝึกจนไม่ฉลองข้ามปีใหม่เลยหรือไง ถ้าวันนี้ยังไม่ออกมา พ่อจะไปตามลูกเอง……”


หลายเดือนมานี้ชีวิตเยี่ยตงผิงไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ เงินที่หมุนในมือของเขาก็ให้ลูกหมดแล้ว บวกกับเยี่ยเทียนต้องใช้เงินสองสามหมื่นเพื่อฝึกกระบวนท่าทุกเดือน เยี่ยตงผิงต้องไปยืมเงินที่อื่นเพื่อไม่ให้เยี่ยเทียนอดอาหาร


การทำธุรกิจของลายครามก็เป็นเช่นนี้ แม้จะทำให้ร่ำรวย แต่บางครั้งทำให้เงินขาดมือเป็นอย่างมาก ถ้าไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้จี่หรานมาช่วยถ่ายแจกันเคลือบลายครามรัชสมัยยงเจิ้งชิ้นนั้น เกรงว่าเยี่ยตงผิงก็คงต้องใช้เงินเกษียณของพี่สาวคนโตเพื่อฉลองปีใหม่


แน่นอน เมื่อเห็นความองอาจของลูกชาย เยี่ยตงผิงแอบดีใจมาก แต่ความเกรงขามของชายชราก็ยังคงอยู่ จากนั้นเยี่ยตงผิงก็เอ่ยต่อว่า “หัวทรงอะไรกัน รีบไสหัวไปตัดผมให้พ่อซะ!”


“ตงผิง จะต่อว่าเสี่ยวเทียนวันวันขึ้นปีใหม่ทำไมกัน อยากให้เขาฉลองปีใหม่ด้วยหรือเปล่านะ!”


เยี่ยตงผิงพูดไม่ทันจบ หญิงชราก็เดินเข้ามาพร้อมกับถือพวกของและโคมไฟกระดาษสีแดง โบราณกล่าวว่าสิ่งหนึ่งย่อมข่มอีกสิ่งหนึ่ง เมื่อเห็นหญิงชรา ความเกรงขามของชายชราอย่างเยี่ยตงผิงถึงกับสั่นคลอน


“ป้าใหญ่ คุณซื้ออะไรมาน่ะ”


เมื่อเห็นหญิงชราเข้ามา เยี่ยเทียนรีบไปต้อนรับ หลังจากที่รับของในมือของป้าใหญ่มาแล้วก็อดมองพ่อตัวเองไม่ได้ “กระดาษสีแดงนี้ให้พ่อเขียนป้ายคำกลอนใช่ไหมครับ”


วันปีใหม่ในบ้านต้องติดป้ายคำกลอนและแขวนโคมไฟ ปัจจุบันนี้คนที่เขียนพู่กันเป็นมีน้อยมาก โดยทั่วไปแล้วจะซื้อป้ายคำกลอนที่เขียนมาแล้ว แต่ที่ตระกูลเยี่ยนั้น แต่ไหนแต่ไรก็ซื้อกระดาษแดงมาเขียนเอง


“ช่างเถอะ ลูกกลับมาแล้วก็กินอะไรสักหน่อยแล้วค่อยมาเขียนเถอะ”


เยี่ยตงผิงพูดไปหน้าแดงไป ตอนปีนั้นที่ลูกชายอายุสิบขวบ เยี่ยตงผิงก็เริ่มจับพู่กันไม่อยู่มือแล้ว ป้ายคำกลอนที่อยู่ในบ้านอะไรพวกนี้จึงเป็นฝีมือเยี่ยเทียนทั้งหมด


“ได้ ผมเขียนเอง!” เยี่ยเทียนไม่ได้ถ่อมตัวเสียเท่าไหร่ หลังจากที่ทำลายจุดกั้นพลังแล้วนั้น เยี่ยเทียนก็ไม่มีเวลาสนใจอะไรอีก เขาแค่อยากวาดรูปยันต์


“กินข้าวๆ กินข้าวเสร็จไปดูพี่เขียนป้ายคำกลอนนะ!” ถ้าพูดว่าเยี่ยเทียนกลับมา คนที่ดีใจมากที่สุดก็ยังมีหลิวหลันหลัน อุ้มเหมาโถวลากพี่ชายเข้าไปในห้องอาหาร


เมื่อเห็นเยี่ยเทียนดื่มน้ำเต้าหู้และกินปาท่องโก๋สองชิ้นก็วางตะเกียบ หญิงชราก็ไม่พอใจ หล่อนปริปากพูดว่า “เยี่ยเทียน กินเยอะๆ หน่อยสิ  เมื่อก่อนเด็กอย่างเธอกินข้าวเยอะมาก ทำไมตอนนี้ถึงกินน้อยขนาดนี้ล่ะ”


“ป้าใหญ่ อาการบาดเจ็บของผมหายแล้ว ไม่ต้องกินเยอะขนาดนั้นแล้ว”


เยี่ยเทียนพูดแล้วยิ้มขึ้นมา เมื่อฝึกถึงขั้นสุดจะสามารถใช้พลังฟ้าดินกับร่างกายตัวเองได้ ดังนั้นพลังงานที่ร่างกายสูญเสียไปจึงไม่จำเป็นต้องใชดเชยด้วยอาหารแล้ว


หลังจากที่คนในบ้านกินข้าวเช้าเสร็จ ก็พากันย้ายมาในสวนเพื่อล้อมรอบดูเยี่ยเทียนเขียนป้ายคำกลอน


“พู่กันมีพลัง เขียนครั้งเดียวก็สำเร็จ ดี!”


เมื่อเห็นลูกชายตวัดข้อมือเขียนพู่กันราวกับสายน้ำไหล เยี่ยตงผิงก็อดชมไม่ได้ แต่เมื่อเขามองไปที่แผ่นกระดาษสีแดงแล้วก็ตกตะลึง “ลูก……นี่ลูกเขียนอะไร”


สายตาจับจ้องกระดาษสีแดง วาดบิดๆ งอๆเป็นสัญลักษณ์ที่ไม่มีใครเข้าใจ มองดูคล้ายที่ใช้จับผีของนักบวชเต๋า จากนั้นหน้าของเยี่ยตงผิงที่ซึ่งยังคงจ้องมองอยู่ก็พลันแดงขึ้นมา


“ฮ่าๆ  พ่อ ของนี่ดีกว่าป้ายคำกลอนอีกนะ ต่อไปต้องติดประตูทุกบานนะ……”


เมื่อรู้สึกได้ถึงพลังที่หมุนเวียนจากยันต์แผ่นนี้ เยี่ยเทียนก็พอใจมาก ถึงแม้จะไม่ได้ใช้หมึกสีชาดในการเขียน แต่สีทองก็ถือว่ามีพลังมากเช่นกัน คาดไม่ถึงเลยว่าจะสามารถเทียบเท่ากับการใช้หมึกสีชาดได้


ถึงแม้จะรู้ความสามารถของลูกชาย แต่เยี่ยตงผิงก็ยังคงจ้องเยี่ยเทียนเขม็ง จากนั้นพูดว่า “รีบเขียนคำอวยพรปีใหม่สักสองสามแผ่นเร็วสิ แล้วค่อยไปตัดผม ตอนบ่ายพวกป้ารองจะมาอยู่ด้วยจนถึงวันตรุษจีนค่อยกลับ!”


คนชราที่บ้านป้ารองของเยี่ยเทียนล้วนเสียชีวิตหมดแล้ว หลายปีมานี้ก็ฉลองด้วยกัน แต่เมื่อหลายปีก่อนกลับขาดแค่เยี่ยเทียนคนเดียว

 

 

 


ตอนที่ 235

 

 กลับเขา

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ปีใหม่แล้ว ปีใหม่แล้ว!”


ในเทศกาลปีใหม่คนที่มีความสุขที่สุดคงหนีไม่พ้นพวกเด็กๆ หลังจากรับประทานอาหารในคืนส่งท้ายปีเก่าแล้ว หลิวหลานหลานกับเสี่ยวจวิ้นหานเล่นดอกไม้ไฟอยู่ในสวน นี่คงเป็นปีสุดท้ายที่เล่นดอกไม้ไฟในถิ่นชาววังได้ ก่อนที่จะถูกสั่งห้ามเล่นดอกไม้ไฟอีกต่อไป เสียงพลุดอกไม้ไฟดังกึกก้องกระทบแก้วหู


พวกผู้ใหญ่นั่งสนทนากันอยู่ในบ้าน เยี่ยเทียนที่ไม่ค่อยได้ดูโทรทัศน์บ่อยนัก แต่รายการ ‘ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่’ของปีนี้กลับทำให้เขาดูเพลิน


ดูตัวละครที่เติบโตขึ้น สถานะทางสังคมของตัวละครก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ทำให้ความทรงจำวัยเยาว์ของเยี่ยเทียนหวนกลับมาอีกครั้ง


“พ่อ หลังจากวันที่สามไปแล้ว ผมว่าจะกลับบ้านสักหน่อย แล้วจะเลยไปเยี่ยมลุงอวี๋ที่เซี่ยงไฮ้ด้วย…”


เยี่ยเทียนรำลึกถึงอาจารย์เสมอ เขาอยากจะกลับไปเคารพหน้าหลุมศพของอาจารย์และบอกเล่าถึงความก้าวหน้าของกาารฝึกวิชาที่ผ่านช่วงที่ยากลำบากที่สุดไปแล้ว ตอนที่อาจารย์ยังมีชีวิตอยู่ สภาพร่างกายของเขาเป็นสิ่งที่อาจารย์กังวลที่สุด


“ได้สิ ก็น่าจะกลับไปบ้าง ปีนี้พ่อไปไม่ได้ ฝากลูกทักทายคนในหมู่บ้านด้วยนะ”


เยี่ยตงผิงพยักหน้าเห็นด้วย เขารู้สึกผูกพันกับหมู่บ้านแห่งนี้อย่างลึกซึ้ง และจะต้องกลับไปเยี่ยมทุกปี แต่ช่วงหลังปีใหม่เป็นช่วงเวลาที่ตลาดพานเจียหยวนคึกคักที่สุด เขาจะปลีกตัวไปไหนไม่ได้


“ใช่ละ ลูกรอเดี๋ยว”


เยี่ยตงผิงนึกอะไรขึ้นมาได้ลุกออกไปจากห้อง ผ่านไปอีกสองสามนาที ก็กลับมาพร้อมกับสมุดเล่มหนึ่งส่งให้เยี่ยเทียน “หลายเดือนนี้มีคนโทรศัพท์มาหาลูกหลายคน พ่อจดเอาไว้ให้ เผื่อลูกจะโทรกลับไปทักทายสวัสดีปีใหม่เขา”


“เฮ้อ พ่อไม่บอกผมก็ลืมไปเลย…”


เยี่ยเทียนรับสมุดมาดู นอกจากเว่ยหงจวินที่วันนี้ขนของขวัญมาสวัสดีใหม่ป้าใหญ่เป็นคันรถแล้ว เยี่ยเทียนยังไม่ได้เจอใครอีก สงสัยจะยังไม่รู้ว่าเขาเก็บตัวจบแล้ว


“ซาหลิงเซียว”


“เหลยอู้”


“หลิวต้าจื้อ”


“หูจวิน”


“ห๊ะ?“


ลุงเฉินก็โทรมาด้วยเหรอ?”


เห็นรายชื่อสุดท้ายแล้วทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกผิด เขายืนขึ้นพูดกับพ่อว่า “พ่อ อา ผมไปโทรศัพท์ก่อน…”


คนที่มีรายชื่ออยู่ด้านบนเป็นคนที่มีผลประโยชน์ร่วมกับเยี่ยเทียนทั้งนั้น แต่สำหรับเฉินสี่ฉวนเป็นคนที่เยี่ยเทียนให้ความเคารพด้วยใจจริง เพราะเฉินสี่ฉวนไม่รู้มาก่อนว่าเยี่ยเทียนเป็นถึงหมอดูดูดวงดูฮวงจุ้ย และไม่เคยขอความช่วยเหลือจากเยี่ยเทียนเลย


“ฮัลโหล ลุงเฉิน ผมเสี่ยวเยี่ยนะ เยี่ยเทียน ผมโทรมาสวัสดีปีใหม่ลุงน่ะครับ!” เยี่ยเทียนหลังจากกลับเข้าห้องแล้วโทรหาเฉินสี่ฉวน


“เจ้าเด็กนี่ บอกให้เธอมาหาลุงบ้างช่วงนี้เธอหายไปไหนมาล่ะ?” เสียงของเฉินสี่ฉวนดังออกมาจากโทรศัพท์ น้ำเสียงดีอกดีใจเมื่อทราบว่าเป็นเยี่ยเทียน


“เหอะๆ ลุงเฉิน ช่วงก่อนผมสุขภาพไม่ดี เลยพักฟื้นอยู่เงียบๆ เดี๋ยวพอเลยปีใหม่แล้วผมยังต้องไปเจียงหนานอีก รอให้กลับมาแล้วผมค่อยไปรบกวนลุงแล้วกัน สุขสันต์วันปีใหม่นะครับลุง!”


ด้วยนิสัยของเยี่ยเทียน ถ้าใครที่ให้เกียรติเขา เขาจะให้ความเคารพผู้นั้นมากกว่าหลายเท่า เยี่ยเทียนคิดจะมอบเครื่องรางของเขาให้เฉินสี่ฉวนสักชิ้น แต่เฉินสี่ฉวนอยู่ที่มณฑลซินเจียงไม่ได้กลับมาปักกิ่งเลย เขาจึงยังไม่ได้ให้เสียที


คุยกับเฉินสี่ฉวนจบ เยี่ยเทียนโทรศัพท์หาเหลยอู้ หลิวต้าจื้อและซาหลิงเซียวต่อ กับเหลยอู้และหลิวต้าจื้อเขาเพียงแต่สวัสดีปีใหม่ทั่วไป แต่ตอนที่คุยกับซาหลิงเซียวทำให้เยี่ยเทียนรู้เรื่องบางอย่าง


สามเดือนมานี้มีคนฟ้องร้องซาหลิงเซียวด้วยเรื่องของสำนักงานบริษัทหลักทรัพย์ แต่เพราะเยี่ยเทียนล่วงรู้ล่วงหน้า จึงทำการปิดสำนักงานไป อีกทั้งเรื่องนี้ไม่มีหลักฐานชัดเจน สุดท้ายการฟ้องร้องจึงต้องตกไป


ตอนที่โทรศัพท์หาหูจวิน ทำให้เยี่ยเทียนรู้ว่าเขาย้ายมาอยู่ที่ปักกิ่งแล้ว รู้สึกว่าจะทำงานเกี่ยวกับพวกอุปกรณ์สื่อสาร งานเป็นไปอย่างราบรื่น และเอาแต่บ่นว่าอยากจะเลี้ยงข้าวเยี่ยเทียนสักมื้อ


เยี่ยเทียนเตรียมตัวจะไปเจียงหนานในอีกไม่กี่วัน จึงยังไม่รับปาก รอให้กลับมาแล้วค่อยนัดเจอกับหูจวินอีกที คนๆนี้เติบโตมาในค่ายทหาร จึงมีนิสัยง่ายๆสบายๆแบบที่เยี่ยเทียนชื่นชอบ


เบอร์โทรสุดท้ายโทรมาจากฮ่องกง เยี่ยเทียนคิดไปคิดมาแล้วเก็บสมุดขึ้น ด้วยความสามารถของเขาในตอนนี้เชื่อว่าสามารถรักษาอาการป่วยของถังเสวียเสวี่ยได้แน่นอน


ถึงตอนนี้ ‘อาจารย์เยี่ย’ จะยังขาดแคลนทุนทรัพย์ แต่เขาก็จะไม่เสนอตัวไปหาถังเหวินหยวนก่อนเป็นอันขาด


ต้องให้ถังเหวินหยวนมาหาเขาถึงที่สิถึงจะถูก


หลายปีนี้ตลาดพานเจียหยวนเติบโตขึ้นจนกลายเป็นแหล่งรวมสินค้าศิลปะพื้นบ้านแห่งชาติไปแล้ว ช่วงเทศกาลปีใหม่ของทุกปี จะมีทั้งนักท่องเที่ยวทั้งชาวจีนและชาวต่างชาติมาเที่ยวมากมาย


ทำให้กิจการร้านของเยี่ยตงผิงในสองวันแรกหลังปีใหม่ขายดีมาก เยี่ยเทียนก็ได้ไปช่วยงานอยู่สองวัน พ่อของเขาจึงยัดเงินใส่กระเป๋าเยี่ยเทียนสองหมื่นหยวนเพื่อให้เขานำติดตัวขึ้นรถไฟไปเจียงหนานด้วย


รถไฟมาถึงสถานีเจียงหนานแล้ว เยี่ยเทียนเข้าตัวอำเภอไปพบกับพี่อิ๋งอิ๋ง แน่นอนว่าได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น เขาพักในอำเภอคืนหนึ่ง วันรุ่งขึ้นหลังจากซื้อของขวัญมาเต็มคันรถแล้ว ก็มุ่งหน้าสู่หมู่บ้านกลางหุบเขาที่เขาจากไปเมื่อสองปีก่อน


มองเห็นศาลเจ้าหน้าปากทางเข้าหมู่บ้านที่เคยเก่าแก่พุพังตอนนี้ถูกบูรณะจนเหมือนใหม่ เขารู้ทันทีว่าบิดาของเขาเป็นคนออกทุน มองเห็นสถานที่คุ้นเคยที่เคยวิ่งเล่น อยู่ๆ ก็น้ำตารื้นขึ้นมา


“นั่นเยี่ยเทียนใช่ไหม?”


“พี่เยี่ยเทียน กลับมาแล้วเหรอ?”


“เสี่ยวเยี่ยจื่อ นี่ๆ เสี่ยวเยี่ยจื่อกลับมาแล้ว!”


รถรับจ้างหยุดที่หน้าหมู่บ้าน เห็นเยี่ยเทียนเดินลงจากรถ คนในหมู่บ้านต่างก็ตื่นเต้นดีใจ หมู่บ้านนี้มีชาวบ้านสิบกว่าครัวเรือน ตอนเด็กเยี่ยเทียนเคยไปร่วมวงกินข้าวด้วยเกือบทุกบ้าน จึงมีความสนิทสนมกับทุกคน


“พี่สะใภ้ น้าทึ่มสบายดีไหม?”


“ปู่สาม สุขภาพแข็งแรงดีไหม?”


“พี่อ้วน ผมคิดถึงพี่จัง!”


การได้พบกับเหล่าเพื่อนบ้าน ความคุ้นเคยกับหมู่บ้านนี้ ทำให้เรื่องราววีรกรรมในวัยเด็กของเยี่ยเทียนผุดขึ้นมาอีกครั้ง ความทรงจำชัดเจนเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง


หลังจากมอบของขวัญจนครบทุกบ้านแล้ว เยี่ยเทียนไปนั่งพักที่บ้านของผู้ใหญ่บ้าน ในสายตาของคนในหมู่บ้าน เยี่ยตงผิงเป็นคนเก่งมีความสามารถ สามารถซื้อบ้านในตัวอำเภอได้ไม่พอ ตอนนี้ยังย้ายไปทำธุรกิจที่ปักกิ่งแล้ว


ผู้เฒ่าผู้แก่หลายคนก็ตามมานั่งคุยด้วย เพื่อถามไถ่สารทุกข์สุกดิบและชีวิตในปักกิ่งของเยี่ยเทียนพ่อลูก


รอจนคนอื่นกลับไปกันหมดแล้ว เยี่ยเทียนหาเวลาไปที่บ้านของน้าทึ่มหลี่เอ้อ ทักทายกับพี่สะใภ้ที่กำลังนั่งทานข้าวเที่ยงอยู่ “พี่สะใภ้ ยังได้ไปที่อารามบ้างไหม?”


อารามแห่งนั้นเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของเยี่ยเทียน ตอนนี้ให้ครอบครัวเจ้าทึ่มช่วยดูแลอยู่ เยี่ยเทียนให้เงินค่าบำรุงรักษาแก่พวกเขาเริ่มต้นตั้งแต่เดือนละสามร้อยจนตอนนี้เดือนละพันแล้ว


“เยี่ยเทียน วางใจเถอะ น้าทึ่มขึ้นไปอยู่บนเขานู่นแหนะ ฉันเองก็เพิ่งลงจากเขามาเมื่อวาน ทุกอย่างเรียบร้อยดี มา เยี่ยเทียน พี่ทำข้าวห่อใบบัวให้เธอสี่ห่อ ต้องกินให้หมดนะ!”


พี่สะใภ้พูดพลางยกข้าวออกมาสองชาม ในชามแต่ละใบมีข้าวห่อใบบัวอยู่สี่ห่อ นี่เป็นธรรมเนียมการต้อนรับแขกของคนในหมู่บ้านนี้


“พี่สะใภ้ ผมจะขึ้นเขาไปดูหน่อย พี่อยู่บ้านเถอะ ปีใหม่ไปเยี่ยมญาติบ้างก็ได้ ไม่ต้องรีบกลับไปอารามเร็วนักหรอก!”


กินข้าวห่อใบบัวหมด เยี่ยเทียนออกจากบ้านของน้าทึ่ม รั้วไม้ไผ่เตี้ยๆหายไปกลายเป็นกำแพงสูงปิดทึบล้อมบ้าน ตอนนี้อยากจะมาแอบดูบ้านเจ้าทึ่มคงไม่ได้อีกแล้ว


“เยี่ยเทียน!” ตอนที่เยี่ยเทียนเตรียมจะขึ้นรถเดินทางขึ้นภูเขา ก็ได้ยินเสียงเรียก


“พั่ง…พั่งตุน?”


หันไปเห็นคนที่มาเยี่ยเทียนตาลุกวาว แม้ว่าเพื่อนของเขาตอนนี้สูงถึงร้อยแปดสิบกว่า แต่เยี่ยเทียนยังคงชอบเรียกฉายาของเขา


เยี่ยเทียนชกเข้าที่หน้าอกของพั่งตุนทีหนึ่ง ถามอย่างดีใจว่า “พั่งตุน เป็นยังไงบ้าง?


สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ที่ไหน?”


“พี่เทียน ผม…ปีที่แล้วผมเครียดมาก คืนก่อนสอบผมนอนไม่หลับ วันรุ่งขึ้นยังท้องเสียอีก เลย…สอบไม่ติด…”


จากที่เคยให้คำสัญญาไว้กับเยี่ยเทียน แต่พั่งตุนกลับทำไม่ได้จึงรู้สึกละอายใจมาก ความจริงแล้วคะแนนของเขาดีใช้ได้ เพียงแต่โชคไม่ค่อยดีเท่านั้น


“ไม่เป็นไร พั่งตุน ปีนี้สอบอีก สอบไปที่ปักกิ่ง ฉันเชื่อว่าเธอทำได้!” เยี่ยเทียนตบบ่ายิ้มให้กำลังใจกับเพื่อนร่วมแก๊งค์ในวัยเยาว์


ตอนเด็กๆตาจมูกปากของพั่งตุนกระจุกอยู่กลางใบหน้า แต่พอโตขึ้นใบหน้าขยายออก เนื้อแก้มเต็มอิ่ม จมูกตรงกลม โดยเฉพาะใบหูทั้งสองข้างกางออกเห็นชัด หูแดงและหนา เป็นโหงวเฮ้งใบหน้าของจอหงวนตามที่โบราณว่าไว้ เยี่ยเทียนจึงเชื่อว่าปีนี้พั่งตุนต้องสอบได้แน่นอน


“จริงเหรอ?” ตอนเด็กๆลูกน้องในแก๊งค์ต่างก็เชื่อถือคำพูดของเยี่ยเทียนทั้งนั้น พอวันนี้ได้ฟังอีกครั้ง สายตาของพั่งตุนก็สดใสเป็นประกายขึ้น


“เยี่ยเทียนยิ้ม “จริงสิ ไป พั่งตุน ขึ้นเขาไปด้วยกัน ฉันจะไปเคารพหลุมศพอาจารย์หน่อย!”


ทางจากหมู่บ้านไปอาราม หลายสิบปีมานี้เยี่ยเทียนปีนขึ้นไปนับครั้งไม่ถ้วน เขามักจะระลึกถึงอารามแห่งนี้อยู่เสมอ แต่ตอนนี้ในใจเยี่ยเทียนกลับรู้สึกโหยหามากกว่า


ตัวอารามยังคงเหมือนเก่า แม้ว่าได้ซ่อมแซมไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนนี้ก็ยังคงแข็งแรงคงทน บ้านพักของเจ้าทึ่มอยู่หน้าอารามเลี้ยงเป็ดไก่ไว้เต็มไปหมด


เยี่ยเทียนให้คนอื่นรออยู่ที่อาราม ตัวเขาเองถือพลั่วกับกระเป๋าสะพายออกไปที่หลุมศพอาจารย์ เขาตักดินกลบเนินหลุมศพเพิ่ม แล้วนั่งลงตรงหน้าป้ายวิญญาณ


“อาจารย์ วิชาของสำนักเรา ผมฝึกจนถึงขั้นแปรลมปราณให้กลายเป็นพลังจิตได้แล้ว ตอนนี้ก็ไม่ด้อยกว่าอาจารย์แล้วนะ?


ท่านโปรดวางใจ สำนักเสื้อป่านของเรา ศิษย์จะสืบทอดต่อไป!”


เยี่ยเทียนเปิดกระเป๋าหยิบเอาเหล้าเหมาไถออกมา เทลงที่หน้าหลุมศพ ปากพึมพำต่อ “อาจารย์ เสี่ยวเยี่ยจื่อกลับมาเยี่ยมอาจารย์แล้ว นี่เป็นเหล้าเหมาไถเก็บไว้ยี่สิบปี ผมขโมยพ่อมา ท่านลองลิ้มรสดู อ้อ ยังมีไก่ย่าง ผมรู้ว่าอาจารย์ไม่ชอบกินเจสักเท่าไหร่!”


หวนนึกถึงอดีตที่เคยอยู่ร่วมกับอาจารย์ เยี่ยเทียนอดไม่ได้ น้ำตาไหลออกมา ถึงเขาจะเป็นคนเข้มแข็งแค่ไหน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าอาจารย์ เยี่ยเทียนก็ยังเป็นเด็กน้อยที่ซุกซนอยู่เสมอ


เยี่ยเทียนนั่งอยู่ตรงนั้นตั้งเที่ยงจนฟ้ามืด เขาเล่าเรื่องราวที่เขาได้ประสบพบเจอมาในปีที่ผ่านมาให้อาจารย์ฟัง จนกระทั่งคนขับรถรับจ้างมาตามหา เยี่ยเทียนถึงยอมกลับไปที่อาราม


เตียงไม้ไผ่ในอดีตถูกเจ้าทึ่มกับภรรยาเปลี่ยนเป็นเตียงไม้อัด แต่เยี่ยเทียนก็นอนหลับสบาย หลังจากพักบนเขาหนึ่งคืน เยี่ยเทียนก็อำลาคนในหมู่บ้าน กลับเข้าไปในตัวอำเภอ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)