อัจฉริยะสมองเพชร 2336-2339

ตอนที่ 2336 สมานตัว!

 

เทพธิดาหลิงหลงภาคภูมิใจเสมอในสายตาอันเฉียบแหลมของเธอ แต่ก็ดูเหมือนยังมองการณ์ไกลได้ไม่เท่าสองคนนั้น


“นักรบที่พวกเรารับมาก็ล้วนเป็นศิษย์สายตรงของเขา แม้เขาจะเกิดมาเป็นคนธรรมดา แต่ก็มีความเป็นจอมราชันย์ที่แท้จริงอยู่ในตัว เหมือนจอมราชันย์พิชิตสวรรค์นั่นแหละ การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งของเขาคือสิ่งที่ถูกลิขิตไว้แล้วตั้งแต่ต้น…”


จอมราชันย์มังกรเมฆ จอมราชันย์จัวหยาง และคนอื่นๆถอนหายใจเฮือกใหญ่


พวกเขาเคยคิดว่าจะกดข่มราชันย์เทพเจ้าแห่ง 9 น่านฟ้าไว้เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายก้าวหน้าไปกว่านี้ แต่ดูเหมือนความพยายามของพวกเขาจะสูญเปล่าตั้งแต่เริ่ม พวกเขาไม่มีทางบั่นทอนเจตจำนงของ 9 น่านฟ้าได้


“เขาไม่ได้ใช้ดอกบัวทองคำดึกดำบรรพ์แห่ง 9 น่านฟ้าในการฝ่าด่านวรยุทธ!” จอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่นอุทานออกมา


คำพูดนั้นทำให้ทุกคนชะงัก


เหล่าจอมราชันย์เข้าใจโดยอัตโนมัติว่าการฝ่าด่านวรยุทธของชายหนุ่มจะต้องมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับดอกบัวทองคำดึกดำบรรพ์แห่ง 9 น่านฟ้า เพราะในความเห็นของพวกเขา มีแต่ของล้ำค่าระดับนั้นที่จะทำให้นักรบสักคนก้าวข้ามด่านคอขวดได้


ทุกคนมัวแต่รับมือกับการพังทลายของทะเลท่วมท้นจนไม่ได้สังเกตดอกบัวที่ผลิบานอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า


ดอกบัวนั้นดูหมดจดราวกับแกะสลักจากหยกชั้นดี ความงดงามของมันเย้ายวนใจแม้แต่กับเหล่าจอมราชันย์


“ถ้าเขาไม่ได้ใช้มัน ก็หมายความว่าพวกเรายังมีโอกาส ถ้าเราได้มันมาและนำมาใช้ จะต้องยกระดับวรยุทธได้แน่!” จอมราชันย์ฟู่เหมิงโพล่งออกมา


ดอกบัวทองคำดึกดำบรรพ์แห่ง 9 น่านฟ้าคือโอกาสที่พวกเขาจะได้ก้าวหน้าไปจากระดับวรยุทธที่มีอยู่ และอาจเทียบชั้นกับจอมราชันย์หลินชีได้ หากจางเซวียนใช้มันไปแล้วก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่เมื่อได้รู้ว่ามันยังอยู่ ก็ไม่มีใครยั้งใจไหว


“จางเซวียนเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธไปหมาดๆ ยังอยู่ระหว่างการขัดเกลาวรยุทธ เขาคงซึมซับของล้ำค่าชิ้นนั้นไม่ได้ในเร็วๆนี้หรอก…ถ้าอย่างนั้น มันก็เป็นของผม!”


จอมราชันย์ฟู่เหมิงพุ่งเข้าใส่ดอกบัวทองคำดึกดำบรรพ์แห่ง 9 น่านฟ้าโดยไม่ลังเล หมายจะคว้ามาครอบครอง


“หยุดเดี๋ยวนี้เลย มันเป็นของผม!” จอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่นตะโกนขณะพุ่งออกไป


จอมราชันย์นรกโลกันต์ จอมราชันย์มังกรเมฆ เทพธิดาหลิงหลง และจอมราชันย์จัวหยางก็ตามไปติดๆ


ไม่มีใครยอมพลาดโอกาสทองครั้งนี้


พละกำลังทุกรูปแบบรวมตัวกันอย่างรวดเร็วกลางอากาศ เกิดการระเบิดของพลังงานที่ตรงเข้าปะทะทั้ง 6 จอมราชันย์


จอมราชันย์ทุกคนพยายามสกัดกั้นคู่แข่งเพื่อจะได้เข้าถึงดอกบัวก่อนใครและก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่ทรงอำนาจอย่างไม่มีใครเทียบได้


ฟิ้ววววว!


แต่ยังไม่ทันที่ทั้ง 6 จอมราชันย์จะได้เข้าถึงดอกบัว ปราการทรงพลังก็ปรากฏโดยรอบ มันสกัดกั้นพวกเขาไว้ แล้วดอกบัวก็เปล่งแสงเจิดจ้า 9 สีที่เรืองรองไปทั่วสรวงสวรรค์ ต่อหน้าต่อตาทุกคนที่กำลังอัศจรรย์ใจ


ราวกับมีดวงอาทิตย์อีกดวงหนึ่ง


การระเบิดอย่างปุบปับของลำแสงจากดอกบัวทำให้จอมราชันย์ทั้ง 6 คนกระเด็นไป พวกเขาถูกบีบให้ถอยไปหลายก้าว แรงปะทะส่งผลให้ทุกคนหน้าซีดเผือด


การปะทะครั้งนี้บอกชัดเจนว่าอย่างน้อยที่สุดดอกบัวก็มีพละกำลังทัดเทียมกับพวกเขา


วิ้งงงง!


เหล่าจอมราชันย์แทบไม่เชื่อสายตา แต่แล้วดอกบัวที่อยู่ตรงหน้าก็เริ่มเปลี่ยนสภาพไปเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง อีกฝ่ายบิดคออย่างเกียจคร้านก่อนจะหันไปฉุนเฉียวใส่จางเซวียน


“ไม่น่าเชื่อว่าคุณจะฝ่าด่านวรยุทธได้ก่อนผม…แล้วผมจะไปอวดใครๆได้อย่างไร?” เขาฮึดฮัดอย่างโมโหสุดขีด จากนั้นก็เชิดหน้าขึ้นและประกาศ “ผมคือจอมราชันย์เหมือนเจ้างั่งคนนี้!”


“จอมราชันย์ 2 คน?”


“แบบนี้ก็ได้หรือ? จอมราชันย์ 2 คนปรากฏตัวในเวลาไล่เลี่ยกัน…”


“ไม่สิ ไม่ใช่หรอก มีแค่คนเดียว…คุณไม่รู้หรือว่าเขาคือตัวโคลนของจางเซวียน?”


“ตัวโคลนของเขาก็ได้เป็นจอมราชันย์?”


จอมราชันย์มังกรเมฆ เทพธิดาหลิงหลง และคนอื่นๆแทบจะคลุ้มคลั่งกว่าเดิม


จอมราชันย์คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก และเนิ่นนานมาแล้วที่ในสรวงสวรรค์มีจอมราชันย์เพียง 9 คนเท่านั้น พวกเขาเชื่อว่ามันจะเป็นอย่างนั้นไปตราบชั่วกัลปาวสาน จนกระทั่งวันหนึ่งที่จอมราชันย์พิชิตสวรรค์ปรากฏตัว


ในตอนนั้นเองที่พวกเขาได้รู้ว่าการฝึกฝนวรยุทธจนได้เป็นจอมราชันย์นั้นเป็นเรื่องที่ทำได้


แต่ทั้ง 9 คนก็ยังคงมั่นใจว่าตำแหน่งของพวกเขาไม่มีวันสั่นคลอน จนกระทั่ง…


วันนี้ จอมราชันย์ 2 คนปรากฏตัวในเวลาไล่เลี่ยกัน ทั้งยังเป็นร่างต้นแบบกับตัวโคลนของกันและกันด้วย นี่มันเรื่องบ้าบออะไร?


คนเราเป็นจอมราชันย์กันง่ายๆแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?


ที่สำคัญกว่านั้น คำประกาศศักดาครั้งแรกของผู้ที่ได้เป็นจอมราชันย์คือโอกาสทองในการสร้างชื่อเสียงให้ผู้นั้น แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง ตัวโคลนของจางเซวียนดูจะหงุดหงิดมากที่พ่ายแพ้ให้กับร่างต้นแบบ ทำให้ไม่อาจคุยโวโอ้อวดเรื่องความสำเร็จของมัน…


บ้าไปแล้ว คุณเป็นจอมราชันย์นะ!


พวกเราคือผู้สูงส่งที่อยู่เหนือความเป็นมนุษย์ธรรมดาสามัญ อย่างน้อยที่สุด คุณก็ช่วยทำตัวให้กลมกลืนกับพวกเราดีกว่าไหม ไม่ใช่ฉุดชื่อเสียงของพวกเราให้ล่มจม? คุณกำลังทำให้พวกเราดูเหมือนนักเลงหัวไม้ข้างถนน!


ไม่ใช่แค่บรรดาจอมราชันย์ที่จังงัง ทุกคนในสรวงสวรรค์ก็อึ้ง คิดไม่ถึงว่าจะมีวันที่ได้เห็นจอมราชันย์คนหนึ่งแสดงกิริยาป่าเถื่อน!


อีกอย่าง…ทำไมถึงมีจอมราชันย์โผล่มามากมายราวกับหน่อไม้ได้ฝน? ดูเหมือนเกียรติยศศักดิ์ศรีที่มาพร้อมตำแหน่งนี้จะด้อยค่าลงไปเสียแล้ว


“สองจอมราชันย์, ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแห่ง 9 น่านฟ้า นี่แหละเจ้านายของผม!” ไก่น้อยร้องออกมาด้วยความยินดี


สมกับที่เป็นเจ้านายของมัน ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ทั้งเจ๋งและเท่!


ระหว่างนั้น จางเซวียนตัวจริงก็ระบายลมหายใจยาว ไม่แยแสความหลงตัวเองของตัวโคลนและอาการตกตะลึงของใครๆ


เขาคิดว่าตัวเองจบเห่แน่แล้ว แต่ในวินาทีสุดท้าย ก็ทำความเข้าใจศิลปะเพลงดาบระดับจอมราชันย์และสังหารยาเม็ดจอมราชันย์ชั้นเลิศได้สำเร็จ ส่งผลให้เข้าถึงความเป็นจอมราชันย์


เขาเฉียดตายก็จริง แต่ก็ผ่านวิกฤติครั้งนี้มาได้


จางเซวียนหลับตา ซึมซับพลังงานดุเดือดที่ไหลเวียนไปทั่วร่างของเขาขณะกำหมัดแน่นด้วยความตื่นเต้น เขารู้สึกว่าตัวเองแตกต่างจากเดิมมาก


ในสภาวะแบบนี้ ต่อให้บงการทั้งโลกก็คงทำได้ แค่ใช้ความคิดแวบเดียว โลกนี้อาจพังทลายในชั่วพริบตา


“ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง เราแข็งแกร่งกว่าที่คิดไว้ถึง 2 เท่า ต้องเป็นเพราะอิทธิพลของตัวโคลนแน่…”


เพราะตัวโคลนของเขาก็ฝ่าด่านวรยุทธสำเร็จ จิตวิญญาณที่ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนจึงได้เป็นจอมราชันย์ทั้งคู่ ด้วยเหตุนี้ ทั้งกายเนื้อ จิตวิญญาณ และพลังปราณของเขาจึงเหนือชั้นกว่าจอมราชันย์คนอื่นๆ เรียกว่าอยู่ในระดับที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึง


ขณะที่จางเซวียนกำลังตรวจสอบพละกำลังที่ได้มาใหม่ ท้องฟ้าก็พลันมืดมิด เมฆดำครอบคลุมไปทั่ว ราวกับเสื้อคลุมแห่งราตรีย่างกรายมาถึงสรวงสวรรค์


รอยแยกที่เหล่าจอมราชันย์สมานไว้ด้วยความเหนื่อยยากเริ่มขยายตัวอีกครั้ง ดูเหมือนการทดสอบครั้งนี้อาจทำให้สรวงสวรรค์แตกเป็นเสี่ยงๆ


“มันคือการลงทัณฑ์จากสวรรค์ต่อจอมราชันย์…” จางเซวียนหรี่ตา


เมื่อวรยุทธของนักรบคนหนึ่งเข้าถึงระดับที่โลกไม่อาจต้านทานได้ ผู้นั้นก็จะต้องเผชิญกับการลงทัณฑ์ สิ่งนี้ไม่ต่างกับการทดสอบของนักปราชญ์โบราณในทวีปแห่งปรมาจารย์และการทดสอบของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ในมิติเบื้องบน


สำหรับสรวงสวรรค์ สิ่งนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อการลงทัณฑ์จากสรวงสวรรค์ต่อจอมราชันย์


ผู้ที่อยากเป็นจอมราชันย์จะต้องผ่านการลงทัณฑ์ครั้งนี้ไปให้ได้


“สวรรค์จะลงทัณฑ์จอมราชันย์คนนี้รุนแรงไปหน่อยไหม?” เทพธิดาหลิงพึมพำด้วยริมฝีปากสั่นเทา


“การทดสอบครั้งนี้มีพละกำลังมากมายจนแทบจะฉีกกระชากทั้งสรวงสวรรค์ได้ น่ากลัวเหลือเกิน…แม้การลงทัณฑ์ต่อจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ในครั้งนั้นก็ยังไม่หนักหน่วงขนาดนี้” จอมราชันย์มังกรเมฆรำพึง


“ตอนนั้น จอมราชันย์พิชิตสวรรค์ได้เป็นจอมราชันย์เพียงคนเดียว ขณะที่จางเซวียนฝ่าด่านวรยุทธพร้อมกับตัวโคลนของเขา ส่งผลให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ก็เป็นธรรมดาที่การลงทัณฑ์จากสวรรค์จะรุนแรงกว่าเดิม” จอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่นตั้งข้อสังเกตพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ


การที่จางเซวียนกับตัวโคลนของเขาฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นจอมราชันย์ได้พร้อมกันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย


ข้อดีก็คือพละกำลังของเขาจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ทำให้มีประสิทธิภาพการต่อสู้ทัดเทียมกับจอมราชันย์ที่แข็งแกร่งที่สุดแม้จะเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธได้ไม่นาน


ส่วนข้อเสียก็คือการทดสอบวรยุทธที่เขาต้องเจอก็ย่อมรุนแรงเป็นพิเศษ อาจทำให้เขาเสียชีวิตได้


จางเซวียนจับตาดูพลังงานทำลายล้างที่รวมตัวกันอยู่เหนือศีรษะของเขาซึ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ เขายิ้มออกมา


“การลงทัณฑ์จากสวรรค์ดูน่าสะพรึงก็จริง แต่ไม่กระเทือนเราสักนิด”


โดยปกติ การที่ใครสักคนที่เพิ่งได้เป็นจอมราชันย์จะก้าวข้ามการทดสอบสายฟ้าที่แสนทรงพลังไปได้นั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้


แต่ทุกอย่างจะไม่เป็นแบบนั้นสำหรับจางเซวียน


เขาทำความเข้าใจศิลปะเพลงดาบระดับจอมราชันย์ได้แล้ว ทำให้มีพละกำลังเหนือกว่าที่ใครจะคาดคิด ด้วยพละกำลังที่มีอยู่ ลำพังการทดสอบสายฟ้าไม่อาจทำอันตรายเขาได้เลย


ฟึ่บ!


จางเซวียนชักดาบสวรรค์สีเลือดออกมาและฟาดฟันเข้าใส่การทดสอบสายฟ้าที่อยู่เหนือร่างของเขา


การโจมตีเพียงครั้งเดียวนั้นทำให้เกิดแสงสว่างเจิดจ้าที่ทะลุทะลวงเข้าสู่ความมืดมิดรอบสรวงสวรรค์ ทุกคนตาพร่าจนมองอะไรไม่เห็นไปชั่วขณะ


หมู่เมฆดำที่ปกคลุมทั่วท้องฟ้าสลายตัวไป


เพียงกระบวนท่าเดียว จางเซวียนก็เอาชนะการลงทัณฑ์จากสวรรค์ต่อจอมราชันย์ได้!


เมื่อการทดสอบสิ้นสุด จางเซวียนได้ยินเสียงเหมือนผ้าฉีกขาดดังขึ้นรอบตัว เขาหันขวับไปมอง เห็นรอยแยกแห่งมิติที่อยู่บนท้องฟ้าเหนือทะเลท่วมท้นกำลังขยายใหญ่ขึ้น


สรวงสวรรค์ต้องเผชิญกับแรงปะทะหนักหน่วงครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งจากการพังทลายของทะเลท่วมท้นและการลงทัณฑ์จากสวรรค์ต่อจอมราชันย์ ทำให้การล่มสลายเกิดลึกลงไปจนถึงฐานราก


ทุกอย่างที่เกิดขึ้นรุนแรงเกินกว่าที่สรวงสวรรค์จะเยียวยาตัวเองได้ ตอนนี้ มันกำลังเผชิญกับชะตากรรมของการดับสูญ


“สมานตัว!”


จางเซวียนกระดิกนิ้ว เขาปล่อยกระแสพลังปราณเข้าสู่รอยแยกแห่งมิติ หวังจะทำให้มันสมานตัวเข้าหากัน แต่กลับได้ผลน้อยมากจนแทบจะมองไม่เห็น


ก็เหมือนกับกระจกเงาบานหนึ่งที่เกิดรอยร้าว ต่อให้กาวที่เหนียวที่สุดก็ไม่อาจซ่อมแซมให้เหมือนเดิมได้

 

 

 


ตอนที่ 2337 แล้วตอนนี้เราจะทำอย่างไร?

 

เห็นรอยแยกลุกลามหนักขึ้น จางเซวียนหันไปถามไก่น้อย “มีวิธีอื่นอีกไหม?”


ถึงอย่างไรไก่น้อยก็เป็นจอมราชันย์ที่มีชีวิตอยู่มาตั้งแต่สมัยโบร่ำโบราณ จึงอาจรู้วิธีแก้ไข


“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเราจะทำอะไรได้…” ไก่น้อยส่ายหน้าอย่างไม่สบายใจ


เมื่อครู่นี้ ตอนที่ 6 จอมราชันย์พากันแย่งชิงดอกบัวทองคำดึกดำบรรพ์แห่ง 9 น่านฟ้า ตัวมันคอยระวังหลังเพื่อจับตาดูรอยแยกแห่งมิติไม่ให้ลุกลามจนเกินควบคุม แต่แม้จะทำจนสุดกำลัง ก็ไม่อาจยับยั้งมันได้


“ไม่มีทางอื่นแล้ว…”


ขณะที่จางเซวียนกำลังจนปัญญา เสียงสุขุมนุ่มลึกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น เมื่อมองไป จางเซวียนเห็นหลัวลั่วชิงยืนขมวดคิ้วอยู่ใกล้ๆ


รู้ว่าเธอคือคนที่น่าจะรู้ดีที่สุดเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ จางเซวียนตั้งคำถาม “มันเกิดอะไรขึ้นกับสรวงสวรรค์? การสำแดงกระบวนท่าของผมเมื่อครู่นี้ไม่ได้เหยาะแหยะก็จริง แต่ก็ไม่น่าจะส่งผลให้มันพังพินาศได้ขนาดนี้…”


เขารู้ดีว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่ดูไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่น่าจะแย่จนถึงขั้นแก้ไขไม่ได้


แต่เพียงไม่นานหลังจากการฝ่าด่านวรยุทธ เขาก็รู้สึกเหมือนทุกอย่างในสรวงสวรรค์เสื่อมสลายไปอย่างฉับพลัน จนถึงขั้นที่เรียกว่าหมดหวัง


ได้ฟังคำถามของจางเซวียน หลัวลั่วชิงส่ายหน้าและถอนหายใจ “สรวงสวรรค์เหมือนกับดินแดนโบร่ำโบราณที่หมดพลังแล้ว ไม่อาจรองรับการถือกำเนิดของผู้มีอำนาจคนไหนได้อีก และการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของคุณกับตัวโคลนก็ทำลายรากฐานเสี้ยวสุดท้ายของมัน…”


“ทำลายรากฐานเสี้ยวสุดท้าย?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


“เพราะสรวงสวรรค์แตกฉานซ่านเซ็นแล้ว ความสามารถในการควบคุมตัวเองของมันจึงค่อยๆถดถอย ในสภาพนี้ มันไม่อาจต้านทานการฝ่าด่านวรยุทธของจอมราชันย์คนใหม่ได้” หลัวลั่วชิงอธิบาย


“ถ้าอย่างนั้น…ถ้าผมไม่ได้ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นจอมราชันย์ สรวงสวรรค์ก็ยังคงอยู่รอดได้อีกระยะหนึ่งใช่ไหม?” จางเซวียนถาม


นี่เขาทำผิดมหันต์หรือเปล่า?


“ไม่ใช่หรอก ต่อให้คุณไม่ฝ่าด่านวรยุทธ สรวงสวรรค์ก็ไม่น่าจะอยู่รอดเกินสิ้นเดือนหน้า ถึงอย่างไรคุณก็ต้องฝ่าด่านวรยุทธอยู่ดี…” หลัวลั่วชิงถอนหายใจเฮือกใหญ่


“เดี๋ยวก่อน สรวงสวรรค์ไม่น่าจะอยู่รอดเกินสิ้นเดือนหน้า?” จางเซวียนหรี่ตาด้วยความตกใจ


จอมราชันย์คนอื่นๆก็อึ้ง


เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่รู้เรื่องนี้


ถ้าสรวงสวรรค์ล่มสลาย ทุกอย่างก็จบเห่ การไขว่คว้าหาอำนาจและเกียรติยศของพวกเขาจะสูญเปล่า ความพยายามทั้งหมดที่ผ่านมาล้วนไม่ต่างอะไรกับเรื่องตลก


“คุณรู้หรือเปล่าว่าทะเลท่วมท้นมาจากไหน?” หลัวลั่วชิงตั้งคำถามขณะชี้นิ้วไปที่ทะเลท่วมท้นซึ่งแตกสลายไปแล้ว


จอมราชันย์มังกรเมฆพูดแทรก “ดูเหมือนมันจะปรากฏเมื่อ 50 ปีก่อน ตอนที่เกิดหายนะกับเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด และจู่ๆจอมราชันย์อมตะก็หายตัวไปจากสรวงสวรรค์…”


50 ปียังไม่เท่ากับอายุขัยของมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งด้วยซ้ำ แต่สำหรับสรวงสวรรค์ที่อยู่มาเนิ่นนานจนไม่มีใครจำความได้ ระยะเวลาอันสั้นเท่านี้อาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายมหาศาล


“ใช่ ทะเลท่วมท้นปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในช่วงเวลานั้น ดูที่ปากทางเข้าสิ ไม่เหมือนกับหลุมขนาดใหญ่ที่ถูกฉีกกระชากออกไปจากสรวงสวรรค์หรอกหรือ?” หลัวลั่วชิงถามอีก


“ก็เหมือนอยู่นะ” จางเซวียนพยักหน้า


เขาสังเกตเห็นตั้งแต่ตอนที่มาถึงทะเลท่วมท้นเป็นครั้งแรก มันดูเหมือนมีใครสักคนตั้งใจฉีกกระชากท้องฟ้าของสรวงสวรรค์ให้เป็นหลุมขนาดใหญ่ที่ไม่อาจซ่อมแซมได้ แต่เขาก็รีบสลัดความคิดนั้นทิ้งไป เพราะไม่คิดว่าจะมีใครเก่งกาจถึงขนาดจะทำแบบนั้น


อีกอย่าง สรวงสวรรค์ก็มีความสามารถในการฟื้นคืนความเสถียรให้กับมิติของมัน ก็เพราะเหตุนี้ รอยแยกแห่งมิติส่วนใหญ่ที่เกิดจากบรรดานักรบจึงมักสมานตัวเข้าหากันอย่างรวดเร็วจนไม่เป็นภัยต่อสรวงสวรรค์


ยากจะนึกภาพออกว่าจะมีใครทิ้งร่องรอยขนาดใหญ่แบบนี้ไว้ในสรวงสวรรค์ได้


“มันถูกฉีกกระชากโดยคนคนหนึ่ง” หลัวลั่วชิงส่ายหน้าขณะอธิบายอย่างเคร่งขรึม


ทุกคนอึ้งไป


พวกเขาล้วนสร้างรอยแยกแห่งมิติให้เกิดขึ้นได้ แต่กฎเกณฑ์ของสรวงสวรรค์ก็ทำให้มันสมานตัวเข้าหากันได้อย่างรวดเร็ว


แต่รอยแยกแห่งมิติที่ปรากฏเหนือทะเลท่วมท้นเมื่อ 50 ปีก่อนยังคงเปิดอ้า ไม่เพียงเท่านั้น เวลาที่ผ่านไปก็ทำให้มันขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ…


เหล่าจอมราชันย์นึกภาพไม่ออกเลยว่าผู้ที่ทำได้จะต้องทรงพลังขนาดไหน


อีกฝ่ายเก่งกาจไร้เทียมทานยิ่งกว่าพวกเขาที่เป็นจอมราชันย์ของสรวงสวรรค์อีกหรือ?


ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง…เขามาจากไหน? แล้วทำไมต้องทำลายสรวงสวรรค์?


ขณะที่ทุกคนกำลังอึ้งกับเรื่องที่ถูกเปิดเผย จางเซวียนก็พลันหวนนึกถึงรอยประทับของฝ่ามือขนาดใหญ่ที่เขาได้เห็นในทะเลท่วมท้น ก่อนหน้านี้ตัวเขาก็สงสัย แต่ยังไม่อยากเชื่อ


หรือว่าจะเป็นแบบนั้นจริงๆ?


“เมื่อ 50 ปีก่อน จู่ๆ ฝ่ามือหนึ่งก็ยื่นลงมาจากท้องฟ้าและฉีกกระชากมิติในสรวงสวรรค์จนเกิดหลุมขนาดใหญ่” หลัวลั่วชิงเปิดเผยเหตุการณ์เมื่อ 50 ปีก่อนที่เธอรับรู้โดยไม่ปิดบัง “รอยแยกแห่งมิติกลืนกินดินแดนแห่งนี้ไปเป็นบริเวณกว้าง เกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ และสุดท้ายก็กลายเป็นที่รู้จักกันในชื่อทะเลท่วมท้น จอมราชันย์อมตะของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดคือหนึ่งในผู้ที่พยายามต่อสู้กับฝ่ามือนั้น แต่ลงท้ายก็ถูกมันสังหาร แล้วเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดก็กลายเป็นมิติที่มีสภาพสับสนวุ่นวาย”


“อันที่จริง แม้สรวงสวรรค์ในเวลานั้นก็ถูกแบ่งออกเป็น 3 เสี้ยว ในจำนวน 3 เสี้ยวที่กล่าวมา ลิขิตสวรรค์และมลทินสวรรค์ร่วงหล่นลงไปตามรอยแยกแห่งมิติ มันลอยละล่องอยู่ในมิติที่วุ่นวายสับสนอยู่เนิ่นนานนับปีไม่ถ้วน และสุดท้าย เศษเสี้ยวทั้งสองก็ตกไปอยู่ในมือของจอมราชันย์พิชิตสวรรค์กับจางเซวียน”


ได้ยินคำนั้น จางเซวียนตัวสั่น


ดูเหมือนสิ่งที่เขาคาดเดาไว้จะถูกต้อง


ว่าแต่…ใครกันที่ใช้พลังฝ่ามือทำลายสรวงสวรรค์? เขามีพละกำลังมากขนาดนั้นได้อย่างไร?


“ฉันไม่รู้ว่าฝ่ามือนั้นมาจากไหนและทำไมมันต้องโจมตีสรวงสวรรค์ แต่สิ่งที่รู้ก็คือมันแข็งแกร่งเกินกว่าที่พวกเราเหล่าจอมราชันย์จะต้านทานได้” หลัวลั่วชิงพูดด้วยน้ำเสียงที่เจือความหวาดหวั่น “แถมทุกอย่างยังเลวร้ายกว่าเดิมตรงที่การโจมตีของคนผู้นั้นบรรจุเอาพลังงานที่มีอำนาจทำให้สรวงสวรรค์เสื่อมสลายไว้ด้วย”


“คือ…” จางเซวียนพลันนึกถึงกระแสพลังงานชั่วร้ายสีเทาที่เขาได้เห็นในหลุมดำใต้เมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด มันมีอานุภาพเจือจางพลังปราณเทียบฟ้าของเขา ทำให้เรืองแสงสีเขียวออกมาก่อนจะหายวับไป


และเขาก็พบพลังงานชั่วร้ายแบบเดียวกันในทะเลท่วมท้น


พลังงานนั้นยังคงอบอวลอยู่ในรอยแยกแห่งมิติ ซึ่งอธิบายได้ว่าทำไมสรวงสวรรค์จึงไม่อาจสมานรอยแยกให้กลับสู่สภาพเดิมได้


ก็เหมือนกับการที่บาดแผลหนึ่งจะไม่มีวันหายดีหากโรยพริกลงไปบนแผลแทนที่จะปล่อยให้มันอยู่อย่างนั้น


เมื่อไม่อาจสมานตัวได้ รอยแยกแห่งมิติก็ดูดกลืนพลังจิตวิญญาณจากสรวงสวรรค์เข้าไปอย่างต่อเนื่อง ทำให้สรวงสวรรค์อ่อนแอลงเรื่อยๆ


“สรวงสวรรค์ถูกแบ่งออกเป็นเศษเสี้ยว แถมพลังจิตวิญญาณก็ร่อยหรอลงไป เท่านี้ก็ถือเป็นปาฏิหาริย์แล้วที่พวกเราอยู่รอดมาได้ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา จากการประเมินของฉัน สรวงสวรรค์น่าจะพังทลายภายในเดือนหน้าหลังจากสิ้นสุดการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณครั้งนี้ แต่เพราะการฝ่าด่านวรยุทธพร้อมๆกันของคุณกับตัวโคลน อีกทั้งพละกำลังจากศิลปะเพลงดาบที่คุณสำแดงออกมาเพื่อปราบยาเม็ดจอมราชันย์ชั้นเลิศ เส้นตายนั้นจึงถูกเร่งให้มาถึงเร็วกว่าเดิม” หลัวลั่วชิงพูด


แม้สิ่งที่เขาทำลงไปคือการเร่งสรวงสวรรค์ให้ล่มสลายเร็วขึ้น แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด จางเซวียนก็ต้องฝ่าด่านวรยุทธอยู่ดี


เขาต้องเป็นจอมราชันย์ให้ได้ เพื่อให้เศษเสี้ยวสวรรค์ที่เขาครอบครองอยู่มีพละกำลังแข็งแกร่งเต็มที่ และเมื่อถึงตอนนั้น ก็จะมีโอกาสพลิกผันชะตากรรมของสรวงสวรรค์


ไม่อย่างนั้น ก็ทำได้แค่ยื้อสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงให้เกิดช้าลง


“แล้วตอนนี้เราจะทำอย่างไร?” จางเซวียนถามหลัวลั่วชิงอย่างร้อนใจ


เธอเตรียมการเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อ 50 ปีก่อน ดังนั้น หากจะมีใครสักคนวางแผนแก้ไขสถานการณ์ไว้ ก็ย่อมเป็นเธอ


“มี 2 ทางเลือก ทางแรกคือกำจัดพลังงานชั่วร้ายที่มีอานุภาพบั่นทอนอำนาจสวรรค์, ส่วนทางที่ 2 คือซ่อมแซมสวรรค์ให้กลับเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง” หลัวลั่วชิงตอบ


จางเซวียนใคร่ครวญ 2 ทางเลือกนั้นก่อนจะตั้งคำถาม “เราจะกำจัดพลังงานชั่วร้ายที่มีอานุภาพบั่นทอนอำนาจสวรรค์ได้อย่างไร?”


เขาเคยเผชิญหน้ากับมันเมื่อตอนที่อยู่ในหลุมดำใต้เมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด ซึ่งพลังงานนั้นก่อตัวขึ้นเป็นกำแพงสีเทาขนาดใหญ่อยู่ในหลุมดำ หากเขาอยากกำจัดมันออกไปให้สิ้นซาก ก็จะต้องใช้พลังปราณเทียบฟ้าในปริมาณมหาศาลจนแทบไม่อาจจินตนาการได้


อีกอย่าง ด้วยสภาวะที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ การกำจัดพลังงานชั่วร้ายนั่นออกไปจะเปลี่ยนแปลงการล่มสลายของสรวงสวรรค์ได้จริงๆหรือ?


“ฉันมั่นใจว่าตลอด 50 ปีที่ผ่านมา พลังงานชั่วร้ายนั่นได้พัฒนาจิตใต้สำนึกของมันจนแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ ไม่อย่างนั้น รอยแยกแห่งมิติที่อยู่เหนือทะเลท่วมท้นคงไม่ขยายตัวรวดเร็วแบบนี้ ถ้าเราอยากแก้ปัญหา ก็ต้องกำจัดจิตใต้สำนึกของพลังงานชั่วร้ายให้หมดไปเพื่อยับยั้งการล่มสลาย จากนั้นก็นำเศษเสี้ยวสวรรค์ที่กระจัดกระจายกลับมารวมกันให้ได้อีกครั้งเพื่อรักษาสรวงสวรรค์ให้มีชีวิตรอด” หลัวลั่วชิงพูดหลังจากใคร่ครวญครู่หนึ่ง


“แปลงร่างเป็นมนุษย์?” จางเซวียนผงะ


พลังงานชั่วร้ายนั่นกลายสภาพเป็นมนุษย์ได้จริงๆหรือ?


“ใช่” หลัวลั่วชิงพยักหน้า “ฉันไม่เคยพบมันมาก่อน จึงระบุชัดเจนไม่ได้ นี่เป็นเพียงข้อสันนิษฐาน แต่ฉันเชื่อว่าความเป็นไปได้ที่จะเกิดเรื่องแบบนั้นมีสูงมาก”


“เข้าใจแล้ว สมมุติว่าข้อสันนิษฐานของคุณถูกต้องนะ…คุณคิดว่ามันทรงพลังขนาดไหน? แล้วพอจะรู้หรือเปล่าว่าตอนนี้มันไปอยู่ที่ไหนแล้ว?” จางเซวียนถาม


นี่คือข้อที่เขากังวลมากที่สุด


หากมันยังไม่แข็งแกร่งเท่าไหร่ ขอแค่พวกเขาผนึกกำลังกัน ก็น่าจะพอมีโอกาส


“ฉันก็ไม่แน่ใจ แต่ไม่คิดว่าพวกเราจะสู้กับมันได้หรอก ต่อให้ตัวฉัน, แปดจอมราชันย์, คุณ และตัวโคลนของคุณผนึกกำลังกัน…โอกาสที่เราจะเอาชนะมันได้ก็มีน้อยเต็มที” หลัวลั่วชิงพูด “คุณก็รู้ว่ามันมีเรี่ยวแรงมหาศาลถึงขนาดฉีกกระชากท้องฟ้าของสรวงสวรรค์ได้ ทำให้พวกเราอับจนหนทางตลอด 50 ปีที่ผ่านมา”


จางเซวียนกำหมัดแน่นเมื่อได้ยินคำนั้น


ก็จริง หากรับมือกับมันได้ง่าย พวกเขาก็คงไม่อับจนหนทางมาเนิ่นนานขนาดนี้

 

 

 


ตอนที่ 2338 จิตใต้สำนึกของพลังงานชั่ว...

 

“เมื่อครู่นี้คุณพูดถึงการนำเศษเสี้ยวของสวรรค์กลับมารวมกัน คุณหมายถึงสงครามสวรรค์ใช่ไหม?” จางเซวียนถามด้วยน้ำเสียงที่ออกจะสั่นเครือ


“ใช่ ทั้งคุณและปรมาจารย์ขงมีเศษเสี้ยวสวรรค์อยู่ในตัว…เพื่อให้สรวงสวรรค์กลับเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง เราจะต้อง…” เสียงของหลัวลั่วชิงขาดห้วงขณะเริ่มจะตัวสั่น


เธอไม่อาจบังคับตัวเองให้พูดคำนั้นออกมาดังๆได้


มันคือชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง แต่เธอก็ไม่เต็มใจจะเผชิญหน้ากับมัน


“ผมเข้าใจ…” จางเซวียนพยักหน้า “ไม่เป็นไรนี่ คุณก็แค่ฆ่าผม ตอนนี้คุณมีลิขิตสวรรค์ของปรมาจารย์ขงแล้ว และผมก็เป็นจอมราชันย์แล้วเหมือนกัน ผมเข้าร่วมสงครามสวรรค์ได้…”


“สงครามสวรรค์น่ะจะจบง่ายแบบนั้นได้อย่างไร? ถ้าเราแก้ปัญหาได้ด้วยการสละชีวิตใครสักคน ฉันก็ขอเป็นคนที่ถูกฆ่า!” หลัวลั่วชิงส่ายหน้าและถอนหายใจเฮือก “ในสงครามสวรรค์ เพียงแค่ได้เป็นจอมราชันย์ก็ยังมีความชอบธรรมไม่มากพอ คุณจะต้องพิสูจน์ตัวเองก่อน เงื่อนไขแรกก็คือต้องได้การยอมรับจากทั้ง 9 น่านฟ้า”


“ได้การยอมรับจาก 9 น่านฟ้า? แต่ผมก็เป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแห่ง 9 น่านฟ้าอยู่แล้วนี่นา…อ้อ! หรือคุณหมายถึงการท้าทาย 9 จอมราชันย์?” จางเซวียนถาม


หากพิจารณาจากสิ่งที่ปรมาจารย์ขงทำไว้ ดูเหมือนมี 2 วิธีที่จะทำให้ได้การยอมรับจากทั้ง 9 น่านฟ้า โดยวิธีแรกคือได้เป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแห่ง 9 น่านฟ้า และอีกวิธีก็คือเอาชนะทั้ง 9 จอมราชันย์ให้ได้ เพื่อให้ได้การยอมรับจากพวกเขา


จางเซวียนได้เป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแห่ง 9 น่านฟ้าแล้ว แต่การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งจอมราชันย์แห่ง 9 น่านฟ้ายุ่งยากกว่านั้นมาก ไม่อย่างนั้น ปรมาจารย์ขงก็คงไม่ต้องลงทุนท้าดวลกับจอมราชันย์ทั้งเก้าทีละคนเพื่อให้ได้การยอมรับจากพวกเขา


หลัวลั่วชิงพยักหน้ารับคำพูดของจางเซวียน


ระหว่างนั้น จอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่นกับคนอื่นๆ ที่ยืนฟังอยู่ก็พลันหนาวเยือกถึงกระดูกสันหลัง


พวกเราจะต้องถูกซ้อมอีกแล้วหรือ?


เจ้าบ้าที่ไหนกันที่กำหนดกฎเกณฑ์ของสงครามสวรรค์ให้เป็นแบบนี้?


พวกเราเป็นแค่ผู้ชมเท่านั้น! เฝ้าดูโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่เลยสักนิด!


ก็เหมือนใครสักคนที่ระบายความโกรธใส่แมวของตัวเองหลังจากถูกคนอื่นต่อย…ก็แล้วแมวตัวนั้นไปทำอะไรให้?


ขณะที่เหล่าจอมราชันย์กำลังตัวสั่นด้วยความกลัว จางเซวียนก็เหยียดริมฝีปากพร้อมกับเอ่ยคำท้า “เข้ามารุมผมพร้อมๆกันเลย!”


ด้วยการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นจอมราชันย์พร้อมกันกับตัวโคลนของเขา อีกทั้งศิลปะเพลงดาบระดับจอมราชันย์ ตอนนี้เขาไม่กลัวจอมราชันย์หน้าไหนทั้งนั้น


พละกำลังเต็มพิกัดของเขาอาจอ่อนด้อยกว่าปรมาจารย์ขงเล็กน้อย แต่ถ้าคู่ต่อสู้คือคนพวกนี้ ก็เรียกว่าไม่เหลือบ่ากว่าแรง


“….”


“เวรแล้ว…”


จอมราชันย์บางคนถึงกับปล่อยโฮ


น้องชาย! ผมรู้ว่าคุณอยากอวดพละกำลังที่ได้มาใหม่ แต่ไม่เห็นต้องทำแบบนี้เลย จริงไหม?


แค่ต้องพ่ายแพ้ไปทีละคนสองคน พวกเขาก็อับอายขายหน้าพออยู่แล้ว แต่หมอนั่นอยากเล่นงานพวกเขาพร้อมกันในคราวเดียว…


คุณคิดว่าพวกเราไม่มีศักดิ์ศรีเลยหรือไง?


พวกเราเป็นจอมราชันย์นะ! คุณจะมาทำแบบนี้กับพวกเราไม่ได้!


เหล่าจอมราชันย์หน้าแดงก่ำขณะขบคิดว่าควรทำอย่างไรต่อไป จะตอบรับคำท้าก็ดูไม่เข้าท่า แต่หากปฏิเสธ ก็เท่ากับหยามหน้าตัวเองอย่างรุนแรง


ทุกคนอับจนปัญญา ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร


“ไม่ต้องสู้หรอก ผมยอมแพ้!” ไก่น้อยพูด


ในเมื่อชายหนุ่มเป็นเจ้านาย มันจะยอมแพ้ก็ไม่ได้น่าอับอายอะไร


“ฮะ…” เห็นจอมราชันย์อมตะยอมแพ้ จอมราชันย์คนอื่นๆมองหน้ากันอย่างลังเล ครู่ต่อมาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่และพูดว่า “พวกเราก็ยอมแพ้เหมือนกัน…”


พวกเขาจะทำอะไรได้?


หากต้องพ่ายแพ้ด้วยกำปั้นของชายหนุ่ม ก็มีแต่จะอับอายขายหน้ากว่าเดิม


ทั้งจางเซวียนและตัวโคลนของเขาล้วนเป็นจอมราชันย์ แถมยังมีอสูรระดับจอมราชันย์อยู่ในครอบครอง ซึ่งสามารถเรียกมาเป็นกำลังเสริมได้ เห็นกันชัดๆแล้วว่าพวกเขาไม่มีทางชนะการต่อสู้ครั้งนี้ได้เลย เพราะจะต้องประจันหน้ากับจอมราชันย์ผู้ทรงพลังพร้อมกันถึง 3 คน!


ยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนยังได้เห็นแล้วว่าชายหนุ่มเอาชนะการลงทัณฑ์จากสวรรค์ต่อจอมราชันย์ได้ด้วยการฟันดาบเพียงฉับเดียว พละกำลังของศิลปะเพลงดาบนั้นอยู่ในระดับที่ต่อให้พวกเขาผนึกกำลังกัน ก็คงทำได้แค่ต้านทานมันเท่านั้น ดังนั้น จึงไม่มีทางที่พวกเขาจะยอมเผชิญหน้ากับชายหนุ่มแบบตัวต่อตัว


ทุกคนหยิ่งในศักดิ์ศรี ไม่มีทางลดตัวลงไปถึงขนาดสร้างค่ายกลผนึกกำลังเพื่อรับมือกับคู่ต่อสู้


“เอ่อ…” หลัวลั่วชิงเลิกคิ้วกับภาพที่เห็นตรงหน้า


ตอนที่ปรมาจารย์ขงท้าดวลกับพวกเธอ เขาจะยื่นสมุดแนะนำตัวและนัดหมายเวลาล่วงหน้า พิธีการทุกอย่างเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ ต่อให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแพ้ ก็ไม่ได้รู้สึกว่าถูกหยามเกียรติอะไร เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างเป็นขั้นเป็นตอน


แต่จางเซวียนกลับเดินเข้าหาพวกนั้นดื้อๆ แล้วบอกให้ทุกคนเข้ามารุมเขาพร้อมกันในคราวเดียว


คุณคงไม่ได้ให้ความสำคัญกับจอมราชันย์พวกนั้นเลยสินะ ใช่ไหม?


วินาทีที่จอมราชันย์มังกรเมฆ จอมราชันย์นรกโลกันต์ จอมราชันย์ฟู่เหมิง จอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่น จอมราชันย์จัวหยาง เทพธิดาหลิงหลง และจอมราชันย์อมตะกล่าวยอมรับความพ่ายแพ้ ฉนวนสุดยอดจอมราชันย์ที่พวกเขาถืออยู่ก็ระเบิดพละกำลังออกมาโอบล้อมจางเซวียน ทำให้เขาได้การยอมรับจากทั้ง 7 น่านฟ้า


การยอมรับครั้งนี้จะทำให้เขาเข้าถึงกระแสจิตปรารถนาของเหล่านักรบในทั้ง 7 น่านฟ้าได้


“เอ๊ะ? ไม่ใช่นะ ไม่ใช่ 7, แต่เป็น 8 น่านฟ้า นี่เราได้การยอมรับจาก 8 น่านฟ้าเลยหรือ?” จางเซวียนชะงัก


เขารู้สึกได้ถึงความเชื่อมโยงใกล้ชิดกับ 8 น่านฟ้าแทนที่จะเป็น 7


นี่จอมราชันย์แห่งกระท่อมดาบก็ให้การยอมรับเขาด้วยหรือ?


“เป็นเพราะดาบสวรรค์สีเลือด…ดาบศักดิ์สิทธิ์ของน่านฟ้าดาบสวรรค์ การที่เขามอบให้คุณก็หมายความว่าน่านฟ้าดาบสวรรค์ยอมรับในพละกำลังและศักยภาพของคุณแล้ว” หลัวลั่วชิงพูด


คำนี้ทำให้จางเซวียนพยักหน้า


จอมราชันย์แห่งกระท่อมดาบเคยบอกไว้ว่าเขาใช้เวลาหลายสิบปีหลอมดาบเล่มนี้ ดังนั้น ต่อให้ดาบสวรรค์สีเลือดจะไม่ใช่ฉนวนสุดยอดจอมราชันย์ แต่ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน


จางเซวียนถามสาวน้อยที่อยู่ตรงหน้า “ตอนนี้ผมได้การยอมรับจาก 8 น่านฟ้าแล้ว มีความชอบธรรมมากพอจะเข้าร่วมสงครามสวรรค์หรือยัง?”


ปรมาจารย์ขงท้าดวลกับหลัวลั่วชิงหลังจากเอาชนะ 8 จอมราชันย์ที่เหลือและได้การยอมรับจากพวกเขา


หลัวลั่วชิงก้มหน้างุดขณะถามเบาๆ “คุณแน่ใจแล้วหรือ?”


“ผมแน่ใจ” จางเซวียนตอบ


จางเซวียนชำเลืองมองสรวงสวรรค์ที่อยู่ด้านล่าง เห็นความสับสนวุ่นวายกระจายตัวไปทุกหนแห่ง เพราะความสิ้นหวัง…นักรบหลายคนเริ่มฆ่าฟันกันเองเพื่อแย่งชิงทรัพยากรที่มีจำกัด แม้ราชันย์เทพเจ้าก็ไม่อาจระงับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นได้


เขาอาจยื้อการต่อสู้ออกไปได้อีกหน่อยหากต้องการ แต่ทุกนาทีที่เสียไปย่อมหมายถึงผู้คนที่จะล้มตายมากขึ้นเรื่อยๆ


เขาไม่อยากแบกรับภาระที่เป็นชีวิตผู้คนมากมายเอาไว้


จางเซวียนรู้ดีว่าการต่อสู้ครั้งนี้ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้น ยื้อไปก็ไม่ได้ประโยชน์


“ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มเลย…” หลัวลั่วชิงสูดหายใจลึกก่อนจะชักดาบออกมา


เธอทั้งหม่นหมองและไม่เต็มใจ แต่ไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไรก็ไม่ก่อให้เกิดความแตกต่าง


ตั้งแต่เธอตอบรับการสารภาพความในใจของเขา ชะตากรรมของทั้งคู่ก็เป็นอันถูกลิขิตแล้ว ทั้งเธอกับเขาหนีมันไม่พ้นและไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้


ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะต้องจบลงด้วยโศกนาฏกรรม


“ได้ เริ่มเลย” จางเซวียนตอบยิ้มๆ


ทั้งคู่ขับเคลื่อนวรยุทธจนถึงขีดสุดขณะเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้ครั้งสุดท้าย


ขณะที่กำลังจะสำแดงกระบวนท่า พลังงานมหาศาลก็ระเบิดออกมาจากด้านบน รอยแยกแห่งมิติที่อยู่เหนือศีรษะขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทางเข้าดำมืดของทะเลท่วมท้นค่อยๆเปลี่ยนสภาพไป กลายเป็นหลุมดำขนาดใหญ่ที่พร้อมกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างในโลก


ไม่ว่าจะเป็นพลังจิตวิญญาณ ดินแดนต่างๆ หรือสิ่งมีชีวิตก็ล้วนถูกดูดเข้าไปในนั้น ก่อนจะสลายตัวไปท่ามกลางประกายระยิบระยับของแสงสีเขียว


“แย่แล้ว จิตใต้สำนึกของพลังงานชั่วร้ายนั่นเริ่มแผลงฤทธิ์” หลัวลั่วชิงอุทานด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


“จิตใต้สำนึกของพลังงานชั่วร้าย?” จางเซวียนทวนคำขณะหันไปจับจ้อง


ก่อนหน้านี้ หลัวลั่วชิงเคยบอกว่ามีความเป็นไปได้ที่พลังงานชั่วร้ายที่สามารถเจือจางพลังปราณเทียบฟ้าของเขาจะมีชีวิตจิตใจเป็นของตัวเอง ทำให้แปลงร่างเป็นปีศาจในคราบมนุษย์ได้


ซึ่งเท่าที่เห็น ดูเหมือนมันกำลังปรากฏตัวต่อหน้าเขาแล้ว


ฟิ้วววว!


ขณะที่หลุมดำดูดกลืนทุกอย่างเข้าไปอย่างต่อเนื่อง มิติในสรวงสวรรค์ก็เริ่มบิดเบี้ยว อ้าวเฟิงกับราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติคนอื่นๆที่อยู่ใกล้กับหลุมดำแทบจะต้านทานแรงดูดอันทรงพลังจากหลุมดำนั้นไม่ไหว


จางเซวียนรีบถ่ายทอดพลังงานเข้าสู่ดาบสวรรค์สีเลือดก่อนจะฟันฉับเข้าใส่หลุมดำ แต่พลังนั้นก็หยุดกึกตรงปากทางเข้าก่อนจะสลายตัวไป


“มันแข็งแกร่งเหลือเกิน…” จางเซวียนตาโตด้วยความตกใจ


นี่คือการโจมตีที่ทำให้เขาเอาชนะได้แม้แต่การลงทัณฑ์จากสวรรค์ต่อจอมราชันย์ แต่กลับไม่อาจทำอะไรหลุมดำได้เลย ร่างแปลงนั้นจะต้องทรงพลังขนาดไหน?


“มันออกมาแล้ว!” หลัวลั่วชิงร้องออกมาขณะขับเคลื่อนพลังปราณจนเต็มพิกัด เตรียมพร้อมจะสำแดงกระบวนท่าหากจำเป็น


ในตอนนั้น ร่างดำมืดร่างหนึ่งเดินออกมาจากหลุมดำ ทุกอย่างที่ขวางทางมันอยู่ ไม่ว่าจะทรงพลังแค่ไหน ก็ถูกทำลายจนกลายเป็นฝุ่นผงก่อนจะหายวับไปท่ามกลางประกายระยิบระยับของแสงสีเขียว


“มันคือพลังงานชั่วร้ายนั่น…” จางเซวียนใจหายวาบ


เพราะเขาเคยประจันหน้ากับมันมาก่อน จึงรู้ดีว่ามันน่าสะพรึงแค่ไหน พลังงานนี้มีอานุภาพเจือจางพลังปราณเทียบฟ้าที่แสนจะทรงพลังของเขาได้อย่างง่ายดาย เมื่ออยู่ต่อหน้ามัน ต่อให้ของล้ำค่าที่แข็งแกร่งที่สุดในสรวงสวรรค์ก็จะเสื่อมสลายไปอย่างรวดเร็ว


เมื่อเดินออกมาจากหลุมดำ ร่างดำมืดนั้นเหลียวมองรอบตัวก่อนจะเหยียดริมฝีปากและยิ้มอ่อน “ปรมาจารย์จาง…ไม่ได้พบกันนานเลยนะ”


จางเซวียนตัวแข็งเมื่อเห็นใบหน้าที่แท้จริงของร่างดำมืดนั้น “ปะ-เป็นไปได้อย่างไร?”


ผู้ที่ปรากฏตัวตรงหน้าเขา, จิตใต้สำนึกของพลังงานชั่วร้ายที่เจือจางได้แม้พลังปราณเทียบฟ้า…กลับกลายเป็นใบหน้าที่แสนจะคุ้นตา ไอ้โหด!


จางเซวียนรีบตรวจสอบหนังสือเทียบฟ้าของเขา เห็นมันว่างเปล่า ไอ้โหดที่เคยถูกกักขังไว้ในนั้นหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย


และเขาก็ไม่รู้ตัวสักนิด!

 

 

 


ตอนที่ 2339 ผมมาจากสรวงสวรรค์…

 

จางเซวียนจำได้ชัดเจนว่าไอ้โหดยังอยู่ในนั้นตอนที่เขาเข้าสู่ทะเลท่วมท้น แล้วจู่ๆมาหายตัวไป แถมทรงพลังขนาดนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?


ไอ้โหดยิ้มน้อยๆเมื่อเห็นจางเซวียนสงสัย “คุณดูสับสนนะ คงสงสัยล่ะสิว่าผมออกจากหนังสือเทียบฟ้าได้อย่างไรทั้งที่ถูกพละกำลังของมันกดข่มไว้”


คำพูดนั้นทำให้จางเซวียนหรี่ตา


“หนังสือเทียบฟ้าก็น่าสะพรึงจริงๆ แต่คุณลืมไปว่าหน้าหนังสือสีทองที่คุณกักขังผมไว้น่ะมีอำนาจของสรวงสวรรค์ของทวีปแห่งปรมาจารย์เท่านั้น” ไอ้โหดพูด “ตอนที่ผมได้เป็นนักรบเสมือนอมตะเมื่อครั้งอยู่ในมิติเบื้องบน ผมก็ทำลายฉนวนนั้นได้อย่างง่ายดายแล้ว แต่ก็ตัดสินใจอยู่ในหนังสือเทียบฟ้าไปก่อน คุณอยากลองใคร่ครวญดูไหมว่าเพราะอะไร?”


จางเซวียนใจเต้นตึกตักเมื่อได้ยินคำพูดนั้น


เขาหลงลืมความเป็นไปได้ข้อนี้ไปจริงๆ


เมื่อขึ้นไปยังโลกอีกใบหนึ่ง หอสมุดเทียบฟ้าก็แข็งแกร่งขึ้นตามไปด้วย


ตอนที่เขายังอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ หน้าหนังสือสีทองมีอานุภาพสังหารได้เพียงนักรบระดับนักปราชญ์โบราณ แต่เมื่อขึ้นมาถึงมิติเบื้องบน มันก็สังหารนักรบอมตะขั้นสูงได้สบาย


และเมื่ออยู่ในสรวงสวรรค์ หน้าหนังสือสีทองก็สังหารศัตรูทุกคนที่มีวรยุทธต่ำกว่าจอมราชันย์ได้


เท่าที่เห็น ก็ชัดเจนแล้วว่าประสิทธิภาพของหน้าหนังสือสีทองขึ้นอยู่กับโลกที่เขาพำนักอยู่


ไอ้โหดติดตามเขามาตั้งแต่สมัยที่อยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ และเมื่อทั้งคู่เข้าสู่ทะเลท่วมท้น วรยุทธของอีกฝ่ายก็เข้าถึงขั้นราชันย์เทพเจ้า


ด้วยความแข็งแกร่งระดับนั้น หน้าหนังสือสีทองที่ถือกำเนิดในทวีปแห่งปรมาจารย์จะกักขังมันไว้ได้อย่างไร?


เป็นเรื่องที่เห็นๆกันอยู่ แต่เขาก็ละเลยข้อเท็จจริงข้อนี้ไปจนได้!


“ผมบอกคุณแล้วว่าร่างกายของผมเข้ากันได้ดีกับสรวงสวรรค์ ตั้งแต่มาถึงที่นี่จึงฝึกฝนวรยุทธได้เร็วกว่าเดิมมาก” ไอ้โหดพูด “แต่ผมไม่ได้เติบโตด้วยการซึมซับพลังจิตวิญญาณในสรวงสวรรค์หรอกนะ ผมใช้พลังงานชั่วร้ายที่ทำลายมันต่างหาก! ตอนที่คุณพาผมเข้าไปในส่วนลึกของหลุมดำ ผมก็รู้แล้วว่าผมจะซึมซับมันและเติบโตได้อย่างรวดเร็ว…แต่ลำพังพลังงานชั่วร้ายในหลุมดำนั่นไม่มากพอจะทำให้ผมเปลี่ยนสภาพได้อย่างสมบูรณ์ ทะเลท่วมท้นต่างหากคือกุญแจที่ทำให้ผมผงาดได้อย่างแท้จริง!”


“ทะเลท่วมท้นคือดินแดนที่ปราศจากกฎเกณฑ์และข้อบังคับของสรวงสวรรค์ หนังสือเทียบฟ้าจึงไม่อาจกักขังผมไว้ได้อีก ตอนที่คุณกำลังไล่ล่ายาเม็ดจอมราชันย์ชั้นเลิศ ผมก็แอบหนีออกไปเพื่อซึมซับพลังงานชั่วร้ายนั่น จนสุดท้ายก็มีพละกำลังเหนือชั้นกว่าคุณ!”


“ผมนี่แหละคือผู้พายาเม็ดจอมราชันย์ชั้นเลิศไปยังจุดที่หญ้าจิตวิญญาณจอมราชันย์ขึ้นอยู่ คุณไม่ฉุกคิดบ้างหรือว่าจู่ๆมันจะเข้าถึงสมุนไพรที่มันตามหามาเนิ่นนานหลายสิบปีได้อย่างไร?”


คำนี้ทำให้จางเซวียนตาโต


เขายังคิดอยู่ว่าออกจะประหลาดที่ยาเม็ดจอมราชันย์ชั้นเลิศไม่ได้กลืนกินหญ้าจิตวิญญาณจอมราชันย์ทั้งที่ตัวมันอยากเป็นจอมราชันย์ให้ได้เพื่อจะได้ไปให้พ้นจากทะเลท่วมท้น และออกจะบังเอิญไปสักหน่อยที่มันพบหญ้าจิตวิญญาณจอมราชันย์ทันทีหลังจากที่ปะทะกับเขา


กลับกลายเป็นว่ามีใครบางคนช่วยเหลือมัน!


อีกอย่าง มิติในบริเวณที่หญ้าจิตวิญญาณจอมราชันย์ขึ้นอยู่ก็แสนจะวุ่นวายสับสนและเต็มไปด้วยอันตราย ที่จางเซวียนเข้าไปที่นั่นได้ก็เพราะความสามารถในฐานะเครื่องเก็บงำมิติของหลัวฉีฉี ไม่อย่างนั้น เขาก็ทำไม่ได้แม้แต่จะเข้าใกล้มัน


ด้วยเหตุนี้ จึงไม่น่าเป็นไปได้ที่ยาเม็ดจอมราชันย์ชั้นเลิศจะเข้าถึงหญ้าจิตวิญญาณจอมราชันย์ได้


“ผมคือไอ้โหดผู้ยิ่งใหญ่ที่ครั้งหนึ่งเคยบงการโลกใบนี้” ไอ้โหดคำรามกร้าว “ในครั้งนั้น ปรมาจารย์ขงล่อลวงผมจนทำให้ผมเกือบตาย จากนั้นคุณก็บีบบังคับผมให้ยอมจำนน ให้ผมเป็นคนรับใช้ และออกคำสั่งมากมายราวกับผมเป็นหมาตัวหนึ่ง หากผมไม่ฉีกคุณเป็นชิ้นๆล่ะก็ คงยากจะระงับความแค้นที่แผดเผาในหัวใจได้…”


เขาคือผู้ที่เคยกุมอำนาจทั่วทั้งทวีปแห่งปรมาจารย์เมื่อหลายหมื่นปีก่อน และกว่าจะฟื้นคืนชีพอีกครั้งก็ไม่ง่าย แต่กลับถูกเด็กเมื่อวานซืนคนหนึ่งบีบบังคับให้ยอมแพ้และจัดการให้เชื่อฟังคำสั่ง จึงเป็นธรรมดาที่จะโกรธแค้นและรู้สึกเสียหน้าอย่างหนัก


แต่ด้วยสถานการณ์บีบบังคับ ไอ้โหดทำได้แค่ก้มหน้ายอมรับและอดทนอดกลั้นไว้ จนในที่สุดก็มีพละกำลังมากพอจะพลิกผันสถานการณ์ไปอย่างสิ้นเชิง


“คุณไม่ใช่จิตใต้สำนึกที่เกิดขึ้นภายในพลังงานชั่วร้ายนั่น แต่คุณ…ควบคุมมัน ถูกไหม?”


ในที่สุด จางเซวียนก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น


เป็นไปได้ว่าไอ้โหดใช้วิธีใดสักอย่างซึมซับพลังงานชั่วร้ายและเปลี่ยนมันให้กลายเป็นพละกำลังของตัวเอง


“คุณก็ยังฉลาดเหมือนเดิมนะ เผ่าพันธุ์จิตวิญญาณของพวกเราถือกำเนิดจากเหล่าเทพเจ้าของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด แต่เมื่อ 50 ปีก่อน มีมือหนึ่งผลักดันเราให้เข้าสู่มิติที่สับสนวุ่นวาย บีบบังคับให้พวกเรากระเด็นออกจากสรวงสวรรค์ ผมคิดว่าผมน่าจะกลับสู่สรวงสวรรค์ได้ด้วยพละกำลังที่มี แต่ใครจะไปรู้ว่าไอ้พลังงานชั่วร้ายนั่นจะเกาะกุมเราไม่ปล่อย แถมค่อยๆบั่นทอนพละกำลังของเราไป!” ไอ้โหดกัดฟันอย่างโกรธแค้น


“ในครั้งนั้น ผมคิดว่าหากผมเปลี่ยนมันให้เป็นพละกำลังของตัวเองได้ ก็คงจะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่อย่างไม่มีใครเทียบ แต่แม้เมื่อเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์แล้ว ก็ยังไม่รู้ว่าจะทำแบบนั้นได้อย่างไร”


“เมื่อปรมาจารย์ขงเรืองอำนาจ ผมถึงเข้าใจ พลังงานชั่วร้ายนั่นเป็นศัตรูกับพลังปราณที่พวกเราใช้ในการฝึกฝนวรยุทธ ไม่มีทางที่นักรบคนไหนจะเข้าถึงพลังนั้นได้…เว้นเสียแต่จะยอมละทิ้งวรยุทธเดิมทั้งหมดและเริ่มใหม่!”


“ผมจึงยอมตายด้วยน้ำมือของปรมาจารย์ขง คุณไม่คิดบ้างหรือว่าด้วยพละกำลังที่เจ้านั่นมีอยู่ในเวลานั้น เขาจะฆ่าผมได้จริงๆ?”


จางเซวียนเงียบกริบ


เขาเคยอ่านบันทึกต่างๆที่มีอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่ไม่มีหนังสือเล่มไหนบรรยายรายละเอียดว่าปรมาจารย์ขงสังหารไอ้โหดได้อย่างไร ส่วนใหญ่พูดเพียงว่าการต่อสู้ครั้งนั้นเป็นการต่อสู้ที่น่าสะพรึงและยาวนานยืดเยื้อหลายวัน


ซึ่งเมื่อเขาเอ่ยถามเรื่องนี้กับไอ้โหด อีกฝ่ายก็เอาแต่ยืนยันว่าจำอะไรไม่ได้เลย


หรือนั่นจะเป็นเรื่องจริง? ไอ้โหดสมัครใจยอมให้ปรมาจารย์ขงสังหารมันอย่างนั้นหรือ?


ซึ่งแรงผลักดันข้อเดียวที่ทำให้มันทำแบบนั้นก็คือเพื่อจะได้ละทิ้งวรยุทธเดิมทั้งหมด แล้วเริ่มใหม่และซึมซับพลังงานชั่วร้ายนั่น?


เรื่องนี้ดูจะเป็นไปได้


แม้ไอ้โหดจะอ่อนแอลงเรื่อยๆเพราะพลังงานชั่วร้าย แต่นักรบระดับเทพเจ้าอย่างมันก็ไม่น่าจะถูกปรมาจารย์ขงสังหารง่ายๆแบบนั้น


บางที…ปรมาจารย์ขงอาจถูกไอ้โหดสร้างภาพหลอกลวงเอาด้วยซ้ำ


“ในเมื่อคุณก็มาจากสรวงสวรรค์เหมือนกัน ทำไมถึงไม่ช่วยกันปกป้องการล่มสลายของสรวงสวรรค์แทนที่จะมัวควบคุมหลุมดำนั่นเพื่อเร่งการพังพินาศให้เกิดเร็วกว่าเดิม คุณจะได้อะไรหากสรวงสวรรค์พังทลายไม่มีเหลือ?” จางเซวียนถาม


เขารู้ว่าไอ้โหดจงใจถ่วงเวลาเพื่อให้มีพละกำลังมากพอที่จะถือไพ่เหนือกว่า แต่ก็อดอยากรู้ไม่ได้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของอีกฝ่ายคืออะไร


ถ้าสรวงสวรรค์ล่มสลาย ทุกอย่างก็จบเห่ สิ่งที่เหลือจะมีแต่ความว่างเปล่า แล้วไอ้โหดจะได้อะไร จากเรื่องนี้?


“ผมมาจากสรวงสวรรค์…ก็แล้วอย่างไรล่ะ? ในครั้งนั้น ตอนที่พวกเราถูกผลักดันให้เข้าไปอยู่ในมิติที่สับสนวุ่นวาย จอมราชันย์พวกนี้ทำอะไรบ้าง? ไม่มีสักอย่าง! พวกเขาปล่อยให้เราสิ้นหวังอยู่ในโลกเบื้องล่าง ขณะที่ระดับวรยุทธก็ถูกพลังงานชั่วร้ายนั่นบั่นทอนไปเรื่อยๆ ระบบที่ล้มเหลวของสรวงสวรรค์ควรจะถูกกำจัดและสร้างใหม่เสียที!” ไอ้โหดคำราม


กี่ครั้งกี่หนแล้วที่เขาสวดอ้อนวอนภาวนาต่อเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณให้ช่วยเหลือและนำพวกเขากลับสู่สรวงสวรรค์ แต่ทั้งหมดที่ได้รับก็มีเพียงความเงียบงันและว่างเปล่า


ในตอนนั้นเองที่เขารู้แล้วว่าการหวังพึ่งคนอื่นไม่มีประโยชน์ หากอยากมีชีวิตรอด ก็จะต้องแข็งแกร่งพอที่จะช่วยเหลือตัวเองให้ได้


ไอ้โหดจึงหาทางซึมซับและฝึกฝนวรยุทธโดยใช้พลังงานชั่วร้ายเพื่อจะได้ก้าวขึ้นสู่ความเป็นสุดยอดของโลก และความพยายามของเขาก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง


ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ!


“พอที ผมพูดทุกอย่างที่ควรพูดจนหมดแล้ว คุณคงได้รู้ได้เห็นจนพอใจแล้วนะ คราวนี้ก็ตายซะเถอะ!”


ไอ้โหดคำราม จากนั้นก็ปลดปล่อยพละกำลังมหาศาลออกมา รอยแยกแห่งมิติมากมายนับไม่ถ้วนเปิดอ้าอยู่ทุกหนแห่ง พยายามจะฉีกกระชากจางเซวียนให้แหลกเป็นชิ้นๆ


“คำถามสุดท้าย! ข้อเดียวน่ะ ดูเหมือนเราจะทำสัญญาผูกมัดจิตวิญญาณกันแล้วไม่ใช่หรือ? ซึ่งคุณก็ไม่น่าจะปลดพันธนาการนั้นได้นี่ แล้วคุณทำได้อย่างไร?” จางเซวียนถาม


ตราบใดที่เขายังไม่ยกเลิกการทำสัญญาผูกมัดจิตวิญญาณกับอีกฝ่าย ไอ้โหดก็ไม่มีทางเป็นอิสระ


เช่นเดียวกันกับจอมราชันย์อมตะ แม้จะเป็นถึงจอมราชันย์ แต่ก็ไม่อาจปลดเปลื้องพันธนาการจากการทำสัญญาผูกมัดจิตวิญญาณได้


เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกไอ้โหดหักหลัง จางเซวียนทำสัญญาผูกมัดจิตวิญญาณกับอีกฝ่ายเมื่อครั้งที่ทั้งคู่ยังอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ ด้วยวิธีนี้ ต่อให้ไอ้โหดเก่งกล้าถึงขนาดหลบหนีออกจากหนังสือเทียบฟ้าได้ ก็ยังถูกกฎเกณฑ์ของสัญญาผูกมัดจิตวิญญาณบังคับอยู่ดี


“อ้อ การทำสัญญาผูกมัดจิตวิญญาณ? เรื่องนั้นน่ะทำให้ผมปวดหัวอยู่พักหนึ่ง แต่แล้วก็พบว่ากังวลไปโดยเปล่าประโยชน์ สิ่งที่ผมมีอยู่ในมือคือพลังงานชั่วร้ายที่ทำลายได้แม้แต่สรวงสวรรค์ ขอแค่ผมรวบรวมพละกำลังได้มากพอ การจะฉีกกระชากสัญญาบ้าๆนั่นก็ไม่ได้ยากเกินไป!” ไอ้โหดเยาะเย้ย


สัญญาผูกมัดจิตวิญญาณคือพันธนาการที่เหนี่ยวรั้งจิตวิญญาณดวงหนึ่งไว้กับใครสักคน แต่พลังงานชั่วร้ายนั่นสามารถทำลายได้แม้แต่สรวงสวรรค์ ขอแค่นำมันมาใช้อย่างถูกวิธี การที่สัญญาผูกมัดจิตวิญญาณจะเสื่อมสลายไปก็ไม่ได้น่าประหลาดใจ


“อย่างนั้นหรือ?” จางเซวียนพึมพำด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย


“ผมช่วยให้คุณหายอยากรู้หรือยัง? นี่คือการชดเชยที่คุณพาผมมาถึงสรวงสวรรค์ เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็ตายอย่างสงบสุขเสียที!” ไอ้โหดคำราม


รังสีทรงพลังและเก่าคร่ำโบร่ำโบราณพุ่งออกจากร่างของไอ้โหดขณะที่หลุมดำใต้ร่างของเขาขยายวงกว้างกว่าเดิม ขณะที่ทั้งคู่กำลังคุยกัน ไอ้โหดได้ซึมซับพลังงานเพิ่มขึ้นอีกมาก ทำให้ขัดเกลาวรยุทธได้ดีขึ้น


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)