ข้ามกาลบันดาลรัก 233.2-233.3
ตอนที่ 233-2 ผู้สอดแนมตามติดดั่งเงาตา...
โรงงานเส้นแป้งมันฝรั่งก็งานยุ่งไม่แพ้กัน โดยเฉพาะเส้นแป้งมันฝรั่งชนิดแห้ง หลังจากเปิดช่องทางการค้าได้ ทุกสามวันเถ้าแก่หวังจะส่งคนเข้ามารับสินค้าไปหนึ่งครั้ง ครั้งละหนึ่งหมื่นจิน
โรงงานมันฝรั่งแผ่นทอดยิ่งไม่ต้องพูดถึง พวกหญิงสาวต่างเหนื่อยล้า กลับถึงบ้านไม่อยากแม้แต่จะพูดจา
คนงานในโรงงานกระเป๋านักเรียนก็หาได้สุขสบาย
ไม่เพียงแต่คนงานที่ยุ่งหัวหมุน แม้แต่คนในครอบครัวเมิ่งก็ยุ่งจนได้เจอกันแค่ตอนกินข้าวเท่านั้น
ซุนเชี่ยนเพิ่งจะแต่งเข้ามา ยังช่วยอะไรไม่ได้มาก จึงอยู่ในบ้านกับสาวใช้คอยรับผิดชอบสำรับอาหารให้คนในครอบครัว เมื่อถึงเวลาเลิกงานก็จะตั้งโต๊ะอาหารเตรียมไว้ พอคนในครอบครัวเข้ามาจะได้กินอาหารร้อนกรุ่น
เมิ่งชื่อดีใจเป็นอย่างมาก เอาแต่ชมเมิ่งเสียนแววตาแหลมคม หาลูกสะใภ้ที่ดีเช่นนี้มาให้ตนเอง
ทุกช่วงเวลานี้ ซุนเชี่ยนจะต้องเขินอายจนใบหูแดงก่ำ
คนที่ดีใจที่สุดก็คือซุนเหลียงไฉ เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิง เพราะท่านอาจารย์บอกว่าอีกสองวันจะได้หยุดพัก ยาวไปจนถึงวันที่ยี่สิบเดือนอ้ายถึงจะเปิดเรียน
ซุนเหลียงไฉวิงวอนขอร้องซุนเชี่ยน หลังจากปิดพักเรียนให้ตนเองอยู่เล่นในหมู่บ้านอีกสองวันค่อยกลับไป
ซุนเชี่ยนพยักหน้าตกลง ซุนเหลียงไฉดีใจกระโดดตัวลอย
ซุนเหลียงไฉอยู่เล่นสนุกจนถึงวันที่ยี่สิบหกเดือนสิบสอง ซุนเชี่ยนถึงให้เหวินเปียวช่วยพาเขาส่งกลับไป
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “วันพรุ่งข้ามีธุระเข้าเมืองพอดี จะพาเขากลับไปเอง”
ซุนเชี่ยนพยักหน้า กำชับซุนเหลียงไฉว่าปีนี้ตนเองไม่อยู่ฉลองปีใหม่ที่บ้าน ให้เขาจะต้องดูแลท่านปู่ท่านย่าให้ดี”
ซุนเหลียงไฉพยักหน้า พูดว่า “ท่านวางใจเถอะ ข้าทราบว่าควรทำอย่างไร”
ซุนเชี่ยนลูบศีรษะเขา ดวงตาแดงเรื่อ
เช้าตรู่วันถัดมา เหวินเปียวและเหวินหู่บังคับรถม้า พาคนทั้งหมดมาที่ร้านก่อน
เมิ่งอี้เปิดประตูร้าน ทุกคนช่วยกันเช็ดถูเก็บกวาดร้าน เตรียมข้าวของ เปิดร้านต้อนรับลูกค้า
ซุนเหลียงไฉมาที่ร้านเป็นครั้งแรก ตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก มองซ้ายทีขวาทีไม่หยุด
ซุนวั่งยังเป็นเหมือนปกติ เข้ามาทำงานช้ากว่าพวกเมิ่งอี้หนึ่งชั่วยาม เห็นบุตรชายในร้าน เข้าไปกอดซุนเหลียงไฉไว้แน่น ดีใจน้ำตาเอ่อไหลเป็นสาย
หนึ่งปีมานี้ซุนเหลียงไฉรูปร่างสูงใหญ่ขึ้นไม่น้อย แทบจะสูงเท่าซุนวั่งแล้ว ตอนนี้มาถูกซุนวั่งกอดไว้ในอ้อมอก รู้สึกกระดากอาย กระบิดกระบวนเก้อเขิน พูดทักท้วงเสียงเบา “ท่านพ่อ ข้าโตขนาดนี้แล้ว ท่านยังจะกอดข้าเช่นนี้อีก?”
ซุนวั่งปาดน้ำตา พูดอย่างปลื้มปริ่ม “เจ้าโตแค่ไหนก็คือลูกของพ่อ ยังจะไม่ยอมให้พ่อกอดเจ้าอีก?”
ซุนวั่งโอ๋ตามใจซุนเหลียงไฉมาแต่เด็ก ซุนเหลียงไฉย่อมไม่โต้แย้งเขา ขยี้ศีรษะตนเองหัวเราะแก้เก้อให้เขา
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสายตาให้เหวินเปียว เหวินเปียวเดินไปที่รถม้าหลังร้านหยิบกรงนกเข้ามามอบให้นาง
เมิ่งเชี่ยนโยวรับกรงนกมา เดินมาตรงหน้าซุนวั่ง แย้มยิ้มพูดว่า “ท่านพ่อตา หลายเดือนที่ผ่านมาโชคดีที่ได้ท่านมาช่วยทุกวัน ข้าก็ไม่มีสิ่งใดจะมอบให้ท่าน นี่เป็นกรงนกที่ข้าฝากคนซื้อมาจากอาจารย์ชื่อดังแห่งเมืองหลวง ท่านดูก่อนว่าชอบหรือไม่?”
ในอดีตนอกจากคบหาเพื่อนเกเรแล้ว ซุนวั่งยังชอบเลี้ยงนกด้วย จึงค่อนข้างจะดูกรงนกเป็น มองเพียงแวบเดียว ก็รู้ทันทีว่ามาจากยอดฝีมือท่านใด รีบรับมาด้วยความยินดี มองซ้ายมองขวา ไม่ยอมวางตา
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอีกว่า “นี่เป็นวันที่ยี่สิบหกแล้ว ข้าพาเหลียงไฉมาส่งคืนให้ท่าน ท่านไม่ต้องมาช่วยงานหรอก พาเขาไปเดินเที่ยวให้เต็มที่ กระทั่งเปิดร้านอีกครั้งหลังปีใหม่ ท่านค่อยเข้ามาช่วยงาน”
ซุนวั่งให้ดีใจยิ่งนัก กล่าวคำขอบคุณเสร็จ มือหนึ่งจับซุนเหลียงไฉ อีกมือถือกรงนก เดินพ้นประตูร้านออกไป
ลูกค้าค่อยๆ ทยอยกันเข้ามาในร้าน เมิ่งอี้นำพาทุกคนลงมือทำงาน
เมิ่งเชี่ยนโยวบอกเขาว่าตนเองมีธุระออกไปข้างนอก ประเดี๋ยวก็กลับมา
เมิ่งอี้พยักหน้า กำชับนางให้ระวังตัว รีบไปรีบกลับ
เมิ่งเชี่ยนโยวให้เหวินเปียวบังคับรถม้าออกมา สั่งเขาไปร้านยาเต๋อเหริน
เนื่องเพราะเป็นช่วงเวลาใกล้ปีใหม่ ผู้คนเข้ามาจับจ่ายซื้อของค่อนข้างมาก เหวินเปียวกลัวจะบังคับรถม้าชนคน ดังนั้นจึงไปอย่างช้าๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่มีธุระสำคัญอันใด จึงไม่ได้เร่งเร้าเขา
กระทั่งออกมาได้เกือบครึ่งทาง เหวินเปียวกดเสียงต่ำบอกเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นาง ด้านหลังมีคนตามพวกเรามาขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่น เปิดมุมหนึ่งของม่านรถขึ้น มองออกไปด้านนอก เห็นคนผู้หนึ่งทำลับๆ ล่อๆ ตามหลังรถม้ามา ตอนที่กำลังหรี่ตาพินิจมอง คนผู้นั้นกลับเงยหน้ามองมาที่รถม้าพอดี
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกคุ้นเคยแววตาคู่นั้น คลับคล้ายจะเป็นแววตาลอบมองตนเองในวันแต่งงานเมิ่งเสียน ขมวดคิ้วเกร็งแน่น ปล่อยม่านรถลง ถอยกลับเข้าไปในห้องโดยสาร ขบคิดว่าเขาเป็นใครกันแน่ คอยสะกดรอยตามตนเองครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยจุดประสงค์ใด
ครุ่นคิดพักใหญ่ก็หาต้นสายปลายเหตุไม่ได้ จึงสั่งการเหวินเปียว “อ้อมร้านยาเต๋อเหริน เลาะถนนใหญ่ออกไปประตูตะวันตก ดูว่าพวกเขาจะตามหลังพวกเรามาหรือไม่”
เหวินเปียวรับคำ บังคับรถม้ามุ่งหน้าไปประตูตะวันตกอย่างเอื่อยเฉื่อย
ชายหนุ่มที่ตามหลังมาเห็นรถม้าพวกเขาวิ่งบนถนนใหญ่มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก ผงะอึ้ง หยุดการสะกดรอยตาม
เมิ่งเชี่ยนโยวคอยเปิดม่านรถสำรวจไปด้านนอก เห็นเขาหยุดชะงัก ยิ่งให้ขมวดคิ้วเกร็งแน่น
คนผู้นั้นยืนอยู่กับที่ มองรถม้าค่อยๆ ไกลออกไป เลี้ยวกลับไปทางร้านยาเต๋อเหริน
เมิ่งเชี่ยนโยวจับตาดูทั้งหมดนี้ แล้วสั่งการเหวินเปียว “เลี้ยวหัวรถม้า ไปร้านยาเต๋อเหริน”
เหวินเปียวลงจากรถม้า จูงม้าพารถม้าหักเลี้ยวกลับ กระโดดขึ้นนั่งบนคาน บังคับรถม้ามาจอดหน้าประตูร้านยาเต๋อเหริน
เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า รับรู้ได้ถึงแววตาพินิจมองคู่นั้นอีกครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวใคร่ครวญครู่หนึ่ง ไม่สนใจเขา ยกเท้าเดินเข้าไปในร้านยาเต๋อเหริน
ใกล้จะปีใหม่แล้ว คนที่มารับการรักษาในร้านยาเต๋อเหรินกลับมากกว่าปกติ หมอชราและหมอตรวจรักษาอีกสองสามท่านต่างมีคนไข้ต่อแถวยาว พนักงานก็ยุ่งไม่ได้เว้นว่าง ทั้งจัดยา คิดบัญชี ต้อนรับคนไข้ ต่างทำแทบไม่ทัน
พนักงานต้อนรับคนไข้คนหนึ่งเห็นมีคนเข้ามา กำลังจะจัดให้นางไปนั่งตรงหน้าหมอ พอเงยหน้ากลับเห็นเป็นเมิ่งเชี่ยนโยว รีบพูดอย่างอ่อนน้อม “แม่นางเมิ่ง ท่านมาแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า มองคนไข้เต็มห้องตรวจแวบหนึ่ง ถามขึ้น “นายท่านของพวกเจ้าเล่า กลับเมืองหลวงไปแล้วหรือไม่?”
พนักงานพินอบพิเทาตอบ “นายท่านอยู่ชั้นบน ข้าจะไปรายงานเดี๋ยวนี้ขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ไม่ต้องแล้ว ข้าขึ้นไปเอง เจ้าทำงานต่อเถอะ”
พนักงานหลีกทางให้เมิ่งเชี่ยนโยวเดินขึ้นไป
เหวินซื่อกำลังตรวจบัญชี ได้ยินเสียงฝีเท้า ไม่แม้แต่จะเงยหน้าถาม “มีเรื่องอะไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวแกล้งตอบกลับ “ข้าจะมาถามว่า ยารักษารอยแผลเป็นถูกนำส่งไปเมืองหลวงนานแล้ว เมื่อไหร่ถึงจะตัดบัญชีส่วนแบ่งให้ข้าได้?”
เหวินซื่อเงยหน้าด้วยความประหลาดใจ แย้มยิ้มถาม “ยายตัวแสบ เหตุใดวันนี้ถึงว่างเข้ามาได้?”
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบถ้วยชาใบหนึ่งบนโต๊ะ เดินมาข้างโต๊ะบัญชี หยิบกาน้ำชาที่วางเบื้องหน้าเหวินซื่อขึ้น รินใส่ถ้วยชาตนเอง หลังจากนั่งทิ้งตัวบนเก้าอี้ข้างโต๊ะบัญชี ถึงพูดกระเซ้าตอบว่า “ข้ามาทวงหนี้ ปีนี้ทำโรงงานเพิ่มหลายแห่ง เงินทองขัดสน ไม่มีเงินฉลองปีใหม่ ข้าเข้ามาทวงเงินก้อนนี้ จะได้เอากลับไปฉลองปีใหม่กับครอบครัว”
เหวินซื่อขบขันถ้อยคำแหย่เย้าของนาง พูดขอไปที “อย่างเจ้ายังขาดเงิน ป้ายหยกที่ท่านพี่ฉู่ให้เจ้า เจ้าเพียงนำออกมา ต้องการกี่แสนตำลึงก็ย่อมได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวดื่มน้ำชาหนึ่งคำ แล้วถลึงตาใส่เขา “เจ้าบอกว่าห้ามนำป้ายหยกที่ท่านแม่ทัพฉู่ให้มาใช้ส่งเดช หากข้าต้องการเงินให้มาหาเจ้าไม่ใช่เรอะ?”
เหวินซื่อกำลังจะพูดโต้กลับ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ถามขึ้นอย่างใคร่รู้ฉับพลัน “เจ้าว่า ป้ายหยกที่ท่านแม่ทัพฉู่ตามหากับป้ายหยกที่เขาให้ข้าล้วนแต่นำไปขึ้นเงินที่สำนักการเงินได้ใช่หรือไม่?”
“แน่นอนที่สุด ลืมครั้งก่อนที่เจ้านำป้ายหยกไปขึ้นเงินแล้วรึ แม้แต่ท่านพี่ฉู่ยังให้ตกตะลึง” เหวินซื่อตอบ
เมิ่งเชี่ยนโยวถามอีก “เมื่อป้ายหยกทั้งสองชิ้นล้วนนำไปขึ้นเงินได้ เหตุใดถึงยังต้องตามหาอีกชิ้นเล่า?”
เหวินซื่อยิ้มตอบ “ตอนที่ท่านพี่ฉู่มอบป้ายหยกให้เจ้า ไม่คาดคิดว่าเจ้าจะใช้เงินมากเช่นนั้น มีเรื่องหนึ่งที่ไม่ได้บอกกับเจ้า หากนำป้ายหยกเพียงชิ้นเดียวมาขึ้นเงิน แต่ละปีให้เบิกเงินออกมาได้มากที่สุดเพียงห้าแสนตำลึง หากนำป้ายหยกสองชิ้นมาพร้อมกัน จะสามารถเบิกเงินได้ห้าล้านตำลึง”
เมิ่งเชี่ยนโยวเบิกตาลุกวาว ตกใจร้องถาม “ห่างกันมากเช่นนั้นเลยเชียว?”
เหวินซื่อพยักหน้า
“นอกเหนือจากนั้นแล้ว ป้ายหยกทั้งสองชิ้นนั้นยังทำอะไรได้อีกหรือไม่?” เมิ่งเชี่ยนโยวเอนตัวไปข้างหน้า ถามด้วยความใคร่รู้
เหวินซื่อส่ายหน้า “เรื่องนี้ท่านพี่ฉู่มิได้พูด ข้าก็ไม่รู้”
เมิ่งเชี่ยนโยวร้อง “อ่อ” เอนตัวกลับไปพิงพนักด้านหลัง
เหวินซื่อรู้สึกมีบางสิ่งผิดปกติ ถามด้วยความกังขา “ยายตัวแสบ เหตุใดเจ้าถึงสนใจใคร่รู้เรื่องพวกนี้นัก?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพลิกฝาถ้วยชาในมือเล่น พูดว่า “ท่านแม่ทัพฉู่มอบป้ายหยกให้ข้าแล้ว ข้าย่อมต้องรู้ให้แน่ชัดว่าของสิ่งนี้ยังนำไปทำอะไรได้อีก หากว่าทำได้ ข้าจะได้รีบคืนกลับไป ไม่ใช่รอเวลาหาเรื่องยุ่งยากใส่ตัว”
เหวินซื่อยิ้มพูด “ของที่ท่านพี่ฉู่มอบให้ไม่มีทางรับคืนกลับ เจ้าเก็บรักษาป้ายหยกชิ้นนั้นให้ดีเถอะ หากมีวันใดเจ้าต้องการใช้เงินจริงๆ ใช้มันในยามฉุกเฉินได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “แค่เพียงครั้งนี้ ก็สร้างเรื่องยุ่งยากใหญ่โตแล้ว ภายหน้าข้าไม่มีวันกล้าใช้อีกแล้ว”
เหวินซื่อยกยิ้มโบกมือ “คนนิสัยกลัวโลกจะไม่สงบสุขเยี่ยงเจ้ารู้จักกลัวความยุ่งยากด้วยเรอะ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับทันควัน “กลัว ข้าย่อมกลัว ข้ารักชีวิตยิ่งกว่าสิ่งใด ข้ายังไม่อยากต้องมาสิ้นอายุขัยในวัยเยาว์เช่นนี้ เสียของที่ท่านพ่อท่านแม่มอบใบหน้างดงามนี้ให้”
เหวินซื่อหัวเราะเอิ๊กอ๊ากเสียงลั่น
หมอชราที่กำลังตรวจอาการให้คนไข้ชั้นล่างได้ยินเสียงหัวเราะของเขา รู้ทันทีว่าเมิ่งเชี่ยนโยวมาแล้ว ยกยิ้มส่ายหน้า
ตอนที่ 233-3 ผู้สอดแนมตามติดดั่งเงาตา...
เมิ่งเชี่ยนโยวกลอกตาใส่เหวินซื่อที่ไร้ซึ่งภาพลักษณ์ พูดว่า “หัวเราะเข้าไปเถอะ พ้นช่วงเวลานี้เจ้าจะหัวเราะไม่ออกอีก”
เหวินซื่อหยุดหัวเราะ พูดด้วยน้ำเสียงเจือแววขบขัน “ยายตัวแสบ ข้าก็แค่หัวเราะเสียงดังไปหน่อยเท่านั้น เจ้าถึงกับต้องแช่งข้าเลยรึ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลอกตาค้อนขวับ พูดว่า “คุณชายใหญ่ ข้าเองก็มีงานยุ่งมาก ไหนเลยจะมีเวลามาสาปแช่งท่านเล่า?”
เหวินซื่อยังคงพูดเจือแววขบขัน “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงพูดเช่นนี้?”
เมิ่งเชี่ยนโยวใช้นิ้วชี้สะเปะสะปะไปนอกหน้าต่าง “คุณชายใหญ่เหวิน ดูท่าเจ้าจะใช้ชีวิตสุขสบายมานานเกินไป แม้แต่ความระแวดระวังก็ไม่เหลือแล้ว มีคนคอยสอดแนมดูพวกเจ้านอกร้านยาเต๋อเหริน เจ้ายังไม่รู้เลย”
เหวินซื่อผงะอึ้ง เก็บคืนรอยยิ้มสำราญใจ ตั้งใจถาม “ที่เจ้าพูดมาเป็นความจริง?”
“หลอกเจ้าแล้วข้าได้เงินเรอะ?” เมิ่งเชี่ยนโยวถามกลับ
เหวินซื่อลุกพรวด เดินมาข้างหน้าต่าง มองออกไปด้านนอก
เสียงเมิ่งเชี่ยนโยวดังขึ้นด้านหลัง “อยู่หัวมุมฝั่งซ้ายหน้าร้านพวกเจ้า คนที่อยู่ใต้ธงร้าน”
เหวินซื่อมองไปตามทิศที่นางบอก เห็นคนผู้หนึ่งทำลับๆ ล่อๆ มองเข้ามาในร้านยาเต๋อเหรินจริงๆ
เมื่อพินิจมองคนผู้นั้น เหวินซื่อพูดพึมพำ “ดูจากการแต่งงานของเขา เหตุใดถึงเหมือนคนในเมืองหลวง?”
เมิ่งเชี่ยนโยวลืมไปว่ายังถือถ้วยชาไว้ในมือ ทะลึ่งลุกพรวด ถามด้วยอารามตกใจ “คนในเมืองหลวงรึ?”
เหวินซื่อพินิจมองอีกครั้ง พยักหน้ายืนยัน “เป็นคนในเมืองหลวงไม่ผิดแน่”
เมิ่งเชี่ยนโยวลนลานวางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะ เดินมาข้างหน้าต่าง พินิจมองประเมินคนผู้นั้น ครู่ใหญ่ถึงพูดขึ้นว่า “ดูแล้วน่าจะเป็นคนมีฝีมือพอตัว”
เหวินซื่อพยักหน้า “ฝีมือไม่เบา ไม่เป็นรองข้า” สิ้นเสียง หรี่นัยน์ตาลง
เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปด้านนอก เห็นชายอีกคนที่แต่งกายเหมือนเขาเดินมาตรงหน้าเขาพูดบางสิ่งบางอย่าง คนผู้นั้นแหงนหน้ามองร้านยาเต๋อเหรินแวบหนึ่ง จากนั้นเดินตามคนมาที่หลังออกไป
กระทั่งทั้งสองคนจากไปไกลแล้ว เหวินซื่อและเมิ่งเชี่ยนโยวถึงเก็บคืนสายตา
เหวินซื่อเดินกลับมานั่งข้างโต๊ะบัญชี ขมวดคิ้วขบคิดครู่หนึ่งถึงพูดว่า “ร้านยาเต๋อเหรินของพวกเราเป็นเพียงร้านหมอรักษาคน ไม่เคยมีความแค้นกับผู้ใด เหตุใดถึงมีคนมาจับตาดูพวกเราอย่างไร้สาเหตุได้?”
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่น พูดว่า “ไม่เพียงแค่เจ้า แม้แต่ข้าก็ถูกพวกเขาจับตาดู?”
เหวินซื่อตกใจอุทาน “เจ้าก็ถูกจับตามอง?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า เล่าเรื่องที่ตนเองถูกคนลอบมองในวันแต่งงานของเมิ่งเสียนออกมา “ตอนนั้นข้านึกว่ามีคนคิดจะฉวยโอกาสคนมากก่อเรื่องวุ่นวาย จึงสั่งเหวินเปียวและเหวินหู่ออกไปสืบหา กลับไม่พบบุคคลต้องสงสัยนั้น ข้าจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ แต่วันนี้ข้าเพิ่งจะออกจากร้านก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งมาได้ไม่ไกล เหวินเปียวก็จับสังเกตได้ว่ามีคนตามหลังรถม้าพวกเรามา ข้าเปิดม่านรถพินิจมองดูว่า เป็นใครกันแน่ที่สะกดรอยตามพวกเรา เขาก็เงยหน้ามองมาทางรถม้าพอดี ข้ารู้สึกว่าแววตาของเขาเหมือนกับแววตาที่ลอบมองประเมินข้าด้านหลัง เพื่อทดสอบเขา จึงสั่งเหวินเปียวให้บังคับรถม้าไปทางตะวันตก ไม่คิดว่าเขาจะไม่ตามมา กลับตรงมาที่ร้านยาเต๋อเหริน ราวกับคาดการณ์ไว้แล้วว่าข้าจะต้องมาร้านยาเต๋อเหริน”
ได้ฟังนางพูดจบ เหวินซื่อยิ่งให้ขมวดคิ้วเกร็งแน่น พูดว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาจะต้องรู้ความสัมพันธ์ของพวกเรา ถึงแยกกันมาจับตาดูพวกเรา”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าเห็นด้วย ถามด้วยความกังขา “พวกเขารู้ความสัมพันธ์ของพวกเราได้อย่างไร?” แล้วพลันนึกบางอย่างได้ เบิกตาโตถามความ “หรือเรื่องที่พวกเราร่วมกันทำยารักษาแผลเป็นแพร่งพรายออกไป?”
เหวินซื่อส่ายหน้ายืนยัน “ไม่มีทาง ข้าเป็นคนเขียนจดหมายหาท่านปู่ด้วยตัวเอง ทั้งให้คนสนิทข้าควบม้าเร็วส่งกลับไป อีกทั้งหลังจากท่านปู่ข้าอ่านจดหมาย ก็เผาทิ้งต่อหน้าคนสนิทข้า ทั้งยังเขียนจดหมายตอบกำชับให้ข้ารักษาเป็นความลับ เรื่องนี้ไม่มีทางแพร่งพรายออกไปได้เด็ดขาด”
“ช่วงเวลานี้ที่บ้านมีเรื่องยุ่งมากมาย ข้าไม่มีเวลาสนใจร้านก๋วยเตี๋ยว หากข้าเดาไม่ผิด ร้านก๋วยเตี๋ยวของข้าจะต้องถูกพวกเขาจับตาดูเอาไว้นานแล้ว หากไม่ใช่เรื่องการปรุงยาของพวกเราแพร่งพราย เพราะเหตุใดพวกเราถึงถูกคนจับตามอง?” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
เหวินซื่อไม่ได้พูดอะไร นั่งขบคิดบนเก้าอี้พักใหญ่ก็คิดไม่ออกว่าเพราะเหตุใดถึงถูกคนจับตามองตนเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวก็นั่งขมวดคิดคาดเดาอีกด้าน แต่ก็คิดไม่ออกเช่นกัน ตัดสินใจล้มเลิกการคาดเดา พูดว่า “พวกเราไม่มีเบาะแสเลย มานั่งคาดเดาสะเปะสะปะเช่นนี้ไม่มีทางรู้ว่าสาเหตุ อีกสองวันเจ้าก็จะกลับไปฉลองปีใหม่แล้ว รอให้เจ้ากลับมาค่อยสืบหาอย่างละเอียดก็จะรู้เอง”
“ข้ากำลังจะให้คนไปส่งข่าวบอกเจ้าพอดีเชียว” เหวินซื่อพูด “ปีใหม่ปีนี้ข้าไม่กลับไปแล้ว สลับให้เหล่าอวี๋กลับไปบ้าง ข้าเตรียมรถม้าไว้ให้เขาเรียบร้อยแล้ว ให้เขาออกเดินทางตอนบ่าย หากเดินทางเร็ววันที่ยี่สิบเก้าก็ถึงบ้าน”
เมิ่งเชี่ยนโยวเบ้ปาก พูดเหน็บแนมเขา “เจ้าช่างเป็นนายที่ใจอำมหิตยิ่งนัก เพิ่งจะให้หมอชรากลับบ้านตอนนี้ เจ้าไม่กลัวเขาอายุมาก ต้องเร่งการเดินทาง กลับถึงบ้านจะล้มป่วยรึ?”
เหวินซื่อถูกใส่ร้าย รีบพูดแก้ต่างให้ตัวเอง “ย่างเดือนสิบสองข้าก็ให้เขากลับไปแล้ว เขาเองที่พูดว่าตอนนี้มีคนไข้มาก หมอตรวจรักษาทำงานไม่ทัน จะอยู่ต่อให้ได้ ข้าก็อับจนปัญญา?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงพูดเสียดสีเขา “เจ้าอับจนปัญญา ข้าไม่เชื่อหรอกว่าหากเจ้าบรรทุกสิ่งของเขาไว้บนรถม้า บังคับให้เขากลับไป เขาจะกล้าฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้า พูดมาพูดไป เจ้าก็อยากให้เขาอยู่ต่อ ช่วยเจ้านายใจดำอย่างเจ้าหาเงินเพิ่ม”
เหวินซื่อสะอึกจนพูดไม่ออก
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ระบายอย่างไร้สาเหตุหนึ่งชุด รู้สึกคลายความอัดอั้นใจไปได้มาก อารมณ์ก็ดีขึ้นไปด้วย ล้วงยาที่ปรุงเสร็จแล้วหลายขวดออกมาจากอกเสื้อ ลุกขึ้นนำไปวางไว้บนโต๊ะบัญชีเบื้องหน้าเหวินซื่อ พูดว่า “ก่อนปีใหม่ได้เพียงไม่กี่ขวดนี้แล้ว”
พอเห็นยา เหวินซื่อก็ตาลุกวาว ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับนางอีก รีบคว้ายาทั้งหมดมาไว้ในมือ “ค่อยยังชั่วหน่อย พอเหล่าอวี๋กลับถึงเมืองหลวง จะให้เขานำไปมอบให้ท่านปู่ข้าด้วยตัวเอง”
“ยาที่ส่งไปเมืองหลวงก็ล่วงมานานแล้ว เหตุใดถึงไม่ได้ข่าวคราวส่งกลับมา ตกลงว่าพวกท่านขายออกบ้างหรือไม่?” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
เหวินซื่อถลึงตาใส่นาง “เจ้าไม่เชื่อฝีมือปรุงยาของตัวเอง หรือไม่เชื่อศักยภาพร้านยาเต๋อเหรินของพวกเรากันแน่ ข้าจะบอกให้นะ ตั้งแต่เป็นที่รับรู้ว่าร้านยาเต๋อเหรินของพวกเรามียารักษารอยแผลเป็น แต่ละวันจะมีคุณหนู คุณนายของพวกเศรษฐีขุนนางส่งคนมาหาซื้อถึงร้าน หากไม่เพราะเจ้าปรุงได้น้อย พวกเราไม่กล้าปล่อยของโดยง่าย เกรงว่าแค่เพียงยาชนิดนี้พวกเราก็ทำกำไรได้หลายแสนตำลึงแล้ว”
พูดมาพูดไป ความรับผิดชอบกลับมาอยู่ที่ตัวเอง เมิ่งเชี่ยนโยวไฉนเลยจะยอมแพ้ ตอกกลับว่า “นั่นเพราะปรุงยาได้น้อย ถึงเป็นที่แย่งชิงกัน หากเป็นเหมือนสมุนไพรทั่วไป หาซื้อร้านยาใดก็ได้ จักดึงดูดคนพวกนั้นมาซื้อที่ร้านยาเต๋อเหรินของเจ้าได้อย่างไร?”
เหวินซื่อพูดไกล่เกลี่ย “ใช่ๆๆ เจ้าพูดถูกต้อง ทว่า ก่อนปีใหม่ เจ้าช่วยปรุงมากขึ้นอีกได้หรือไม่ ท่านปู่บอกว่าต้องการนำไปวางขายในร้านสาขาใหญ่สองสามแห่ง”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รับปาก “ก่อนปีใหม่จักไม่มีเวลาแล้ว หลังปีใหม่รอดูว่ามีเวลาหรือไม่ หากว่ามี ข้าจะปรุงให้มากขึ้น”
เหวินซื่อกลิ้งกลอกนัยน์ตา พูดยั่วเย้านางเหมือนล่อหลอกเด็กน้อย “ข้าจะบอกให้นะ ยาตัวนี้ทำกำไรได้สูง เพียงห้าหกขวดนั้น ก็ขายได้หลายหมื่นตำลึงแล้ว ส่วนแบ่งที่เจ้าได้ก็ไม่น้อย เจ้าชอบเงินที่สุดมิใช่หรือ ยังไม่คิดจะปรุงออกมามากขึ้นอีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้มแวบหนึ่ง แล้วไม่สนใจเขาอีก
เหวินซื่อเห็นนางไม่ติดกับ ลูบจมูกตัวเองอย่างหมดสนุก
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น “ข้าจะกลับแล้ว เจ้าคอยสังเกตด้านนอกด้วย หากพบว่ามีสิ่งผิดปกติ ให้พนักงานไปบอกข้า ข้าจะให้พวกเหวินเปียวเข้ามาช่วย”
เหวินซื่อโบกมือไม่แยแส “ไม่ต้อง พนักงานหลายคนในร้านยาเต๋อเหรินเป็นคนที่ข้าพามาจากเมืองหลวง พอมีฝีมืออยู่บ้าน หากเกิดเรื่องใดยังพอรับมือได้ อีกอย่าง ดูจากท่าทางพวกเขาไม่เหมือนจะเข้ามาก่อเรื่อง”
สัญชาตญาณของเมิ่งเชี่ยนโยวไม่คิดว่าจะง่ายดายเช่นนั้น พูดกำชับเขาอีกครั้ง “ไม่ว่าอย่างไร ระวังให้มากย่อมจะดีกว่า”
เหวินซื่อพยักหน้าขอไปที ลุกขึ้นส่งเมิ่งเชี่ยนโยวลงมาชั้นล่าง
คนไข้ชั้นล่างบางตาไปไม่น้อย หมอชราก็ไม่ยุ่งมากแล้ว เห็นเหวินซื่อและเมิ่งเชี่ยนโยวเดินลงมา หลังจากเขียนใบสั่งยาให้คนไข้เสร็จ ลุกขึ้นเดินมาตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ทักทายนางอย่างเป็นกันเอง “แม่นางเมิ่ง เจ้าไม่ได้เข้ามานานแล้วนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “ใกล้ปีใหม่แล้ว ธุระในบ้านเยอะ คนน้อย ทำไม่ทัน อย่าว่าแต่ร้านยาเต๋อเหรินของท่าน แม้แต่ร้านก๋วยเตี๋ยวของข้า ครึ่งเดือนกว่าแล้ว ข้าเพิ่งจะได้เข้ามา”
หมอชราลูบเครา ยิ้มสรวล “แม่นางมิได้ออกจากบ้าน แต่ชื่อเสียงกลับดังขจรขจาย ตอนนี้แม้แต่คนไข้ที่เขามารับการตรวจต่างยังพูดถึงเรื่องที่พี่ชายทั้งสามคนของเจ้าจัดงานแต่งงานวันเดียวกันอยู่เลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ที่พี่ชายทั้งสามคนของข้าแต่งงานวันเดียวกัน เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเลือกจริงๆ เพราะจะให้จัดแต่งงานติดต่อกันสามครั้งภายในหนึ่งเดือนก็คงไม่ได้ จึงรวบรัดจัดพร้อมกันทีเดียว ไม่คิดว่าจะเป็นที่ฮือฮาโด่งดังเช่นนี้” พูดจบ เปลี่ยนเรื่องพูดต่อว่า “ข้าได้ยินเหวินซื่อบอกว่า ตอนบ่ายท่านก็จะกลับไปแล้ว ข้าไม่รู้มาก่อน จึงไม่ได้เตรียมสิ่งใดมาให้ท่าน ทำได้เพียงอวยพรให้ท่านเดินทางปลอดภัย”
หมอชรายิ้มกล่าวขอบคุณ “ขอบใจในคำมงคลของแม่นาง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดคุยกับหมอชราอีกสองสามคำ ก็บอกลาออกมาจากร้านยาเต๋อเหริน สายตามองพุ่งเป้าไปใต้ผืนธง เห็นคนผู้หนึ่งซึ่งไม่รู้เข้ามายืนตั้งแต่เมื่อไร แต่งตัวไม่ต่างจากคนเมื่อครู่
เหวินซื่อและหมอชราออกมาส่งหน้าด้านนอก มองนางขึ้นรถม้าจากไปไกล หมอชราที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย หันหลังกลับเข้าไปในร้านยาเต๋อเหริน ตรวจอาการให้คนไข้ต่อ เหวินซื่อตามรั้งท้ายหนึ่งก้าว ลอบมองไปทางนั้นอย่างแนบเนียน กระทั่งเห็นคนก็ให้ขมวดคิ้วยู่ย่น ขบคิดครู่หนึ่ง กวักมือเรียกพนักงาน สั่งกำชับเขาสองสามคำ
พนักงานได้ฟังคำสั่งเขา ขานรับอย่างอ่อนน้อม แล้วเดินอาดๆ ตรงไปทางนั้น
อาจเพราะรับรู้ได้ถึงบางสิ่ง คนผู้นั้นเห็นพนักงานเดินเข้ามา ก้มหน้าต่ำ หันหลังเดินหนีไปโดยเร็ว
พนักงานสาวเท้าเร็วขึ้น หมายจะตามเขาให้ทัน
เหวินซื่อพูดส่งเสียงไล่หลัง “เจ้าตามเขาไม่ทันหรอก กลับมาเถอะ”
พนักงานหยุดฝีเท้า มองแผ่นหลังที่ค่อยๆ ไกลออกไปของคนผู้นั้นอย่างไม่พอใจ หันหลังเดินกลับมาข้างกายเหวินซื่อ
เหวินซื่อกำชับเขา “ช่วงเวลานี้ คอยเฝ้าระวังความเคลื่อนไหวบริเวณนั้น ขอเพียงเห็นพวกเขาเข้ามา ให้รีบรายงานข้าทันที”
พนักงานขานรับอย่างอ่อนน้อม
เหวินซื่อเดินเอื้อยเฉื่อยกลับขึ้นชั้นบน
รถม้าจากมาได้ไม่ไกล เมิ่งเชี่ยนโยวก็เปิดม่านรถมุมหนึ่งขึ้น ลอบมองไปด้านหลัง พบว่าไม่มีคนตามหลังมา ขมวดคิ้วปล่อยม่านรถลง เปล่งเสียงพูดกับเหวินเปียว “ตอนนี้ไม่มีคนตามมาแล้ว หากข้าเดาไม่ผิด พวกเขาจะต้องเฝ้าอยู่ที่ร้าน หากเจ้าเห็นอย่าได้ทำกระโตกกระตาก รอฟังคำสั่งข้า”
เหวินเปียวขานรับคำ บังคับรถม้ากลับมาหน้าร้านก๋วยเตี๋ยว เห็นผู้สอดแนมที่หัวมุมถนนจริงดังคาด หลังจากกระซิบบอกเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว ก็จอดรถหน้าประตูร้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถ เปล่งเสียงดังเหวินเปียว “นำรถม้าไปเก็บไว้หลังร้าน ตอนบ่ายปิดร้านแล้วพวกเราค่อยกลับไป”
เหวินเปียวขานรับเสียงลั่น “ทราบแล้วขอรับ แม่นาง”
เหวินเปียวบังคับรถม้าไปหลังร้าน เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามาในร้าน เดินตรงไปหาเหวินหู่ที่กำลังยกก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งมาให้ลูกค้า พูดว่า “เจ้าตามข้ามาหลังร้าน” พูดจบ เดินทะลุครัวเข้าไปหลังร้านก่อน
เหวินหู่วางก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งให้ลูกค้าเสร็จ ก็เดินตามเข้าไป
เมิ่งเชี่ยนโยวเล่าเรื่องที่มีคนมาสอดแนมอย่างกระชับให้เขาฟัง สั่งเขาและเหวินเปียว “พวกเจ้าทั้งสองออกไปทางประตูหลัง จับตัวเขาเข้ามา!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น