กระบี่จงมา 233.1-234.1

 บทที่ 233.1 สุ้ยสุ้ยผิงอัน

โดย

ProjectZyphon

คำพูดประโยคนี้ของเทพอภิบาลเมืองมีน้ำหนักมาก


ต่อให้เป็นวิญญูชนหรือนักปราชญ์ที่ได้รับการแต่งตั้งจากสำนักศึกษาหรือสถานศึกษาของลัทธิขงจื๊อ เกรงว่าก็ยังไม่กล้าเรียกตัวเองว่า ‘ผู้มีคุณธรรม’ บัณฑิตมีสามอมตะ สร้างคุณธรรม สร้างคุณประโยชน์และสร้างสรรค์ถ้อยคำ ซึ่งการสร้างคุณธรรมคืออันดับแรก เป็นสิ่งที่ยากลำบากมากที่สุด บัณฑิตส่วนใหญ่ต่อให้ใช้เวลาหมดไปทั้งชีวิตก็ยังทำไม่ได้ ได้แต่ถอยมาเลือกลำดับรองลงมา หรืออาจถึงขั้นถอยแล้วถอยอีก


แต่ตอนนี้ความรู้ด้านภาษาในหัวของเฉินผิงอันยังตื้นเขินนัก จึงไม่อาจเข้าใจความหมายในระดับลึกซึ้งที่เสิ่นเวินแห่งแคว้นไฉ่อีเอ่ยออกมาด้วยฐานะของบัณฑิต มิใช่เอ่ยด้วยฐานะของเทพอภิบาลเมือง สำหรับกล่องไม้สีเขียวที่เพียงแค่สัมผัสก็รู้สึกสงบใจ เฉินผิงอันย่อมต้องชอบอยู่แล้ว ตอนนี้รู้ว่าข้างในกล่องบรรจุตราประทับที่เทียนซือผู้ครอบครองตราประทับของภูเขามังกรพยัคฆ์เป็นคนสลักด้วยตัวเองก็ยิ่งชอบเข้าไปใหญ่ ใต้หล้านี้มีใครบ้างที่ไม่ชอบของดี? เฉินผิงอันชอบนักล่ะ!


แต่ชอบก็เป็นเรื่องหนึ่ง ชอบแล้วไม่ได้หมายความว่าต้องแย่งของของคนอื่นมาเป็นของตน นี่ไม่เกี่ยวข้องกับข้อที่ว่าเฉินผิงอันออกหมัดได้เร็วเท่าไหร่ ขอบเขตวิถีวรยุทธ์สูงแค่ไหน หรือมีกระบี่บินกี่เล่ม อันที่จริงนี่ก็คือความไม่เห็นแก่ตัวที่ลัทธิขงจื๊อเลื่อมใสศรัทธา เพียงแต่ว่าตอนนี้เฉินผิงอันยังไม่รู้ ‘หลักการ’ นี้ก็เท่านั้น


เสิ่นเวินกล่าวยิ้มๆ “เจ้าเอาตราประทับไปได้เลย”


เห็นว่าเซียนซือน้อยที่อยู่ตรงหน้าค่อนข้างมึนงง เทพอภิบาลเมืองก็ยิ่งอารมณ์ดี อาบแช่อยู่ในควันธูปมานานหลายร้อยปี เคยเห็นคำวิงวอน ความปรารถนาและความโง่เขลา แล้วก็มีความลำบากใจ ความจริงใจและความจนใจที่มีต่อเรื่องราวทางโลกของผู้คนมากมายที่มาจุดธูปกราบไหว้ เสิ่นเวินที่ตอนมีชีวิตอยู่เป็นเพียงขุนนางฝ่ายบุ๋นที่ซื่อสัตย์ภักดีรู้แต่จะตอบบุญคุณประเทศ ตอนนี้กลายมาเป็นคนที่เข้าใจเรื่องราวทางโลกมากยิ่งขึ้น บางครั้งขนาดพระโพธิสัตว์ดินเผาก็ยังมีไฟโทสะ โมโหชายหญิงที่รู้จักแต่จะขอร้องเทวดาฟ้าดิน แต่ไม่รู้จักลงมือทำด้วยตัวเอง โกรธพ่อค้าร่ำรวยที่ในหัวมีแต่เรื่องสกปรกเอารัดเอาเปรียบชาวบ้านตาดำๆ แล้วก็มีทั้งเสียใจกับความโชคร้าย เดือดดาลกับความไม่เอาไหนของคนบางคน เรื่องราวบนโลกมีมากมาย คนบนโลกมีหลากหลาย ในช่วงเวลาที่ตัวเองกำลังจะสลายหายไป ความคิดทั้งหลายแหล่ผุดลอยขึ้นมา เสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองร่างทองมองเด็กหนุ่มต่างถิ่นที่ยืนอยู่นอกประตูด้วยความคิดที่ประดังประเดเข้าหา


แล้วจู่ๆ เสิ่นเวินก็ฝืนประคองลมหายใจเฮือกสุดท้าย บังคับให้เรือนกายที่ล่องลอยมั่นคงขึ้นอีกสองสามส่วน กล่าวว่า “เสิ่นเวินมีเรื่องอยากจะขอร้องเป็นครั้งสุดท้าย จะทำหรือไม่ทำ เจ้าสามารถพิจารณาเองได้ เสิ่นเวินไม่บังคับ”


เฉินผิงอันพยักหน้า “ท่านเทพอภิบาลเมืองพูดมาได้เลย”


เสิ่นเวินถาม “หากตอนนี้แคว้นไฉ่อีมีกษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชาปรากฏกาย เจ้าจะให้ความช่วยเหลือหรือไม่? ต่อให้จะเป็นเพียงความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นหากเกิดภัยแล้งหรือน้ำท่วม แล้วเจ้าอยู่ห่างที่แห่งนี้ไปไม่ไกล สามารถร่ายใช้เวทอภินิหารช่วยให้ชาวบ้านแคว้นไฉ่อีข้ามผ่านหายนะไปได้อย่างปลอดภัย? ครั้งเดียว แค่ครั้งเดียวก็ได้”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ท่านเทพอภิบาลเมืองโปรดวางใจ ไม่ว่าฮ่องเต้แคว้นไฉ่อีจะทรงมีพระปรีชาหรือไม่ ขอแค่ข้าได้ยินว่าแคว้นไฉ่อีมีอันตราย จะต้องมาเยือนที่นี่อย่างแน่นอน แต่บอกไว้ก่อนว่า ข้าจะทำเท่าที่ความสามารถของตัวเองอำนวยเท่านั้น หวังว่าเทพอภิบาลเมืองจะเข้าใจ”


ใบหน้าของเสิ่นเวินเต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม พึมพำกับตัวเองว่า “ดีมาก แค่นี้ก็ดีมากแล้ว”


อันที่จริงในใจของเทพอภิบาลเมืองร่างทองผู้นี้รู้สึกละอายไม่น้อย เพราะเขากำลังประเมินจิตใจของคน เสิ่นเวินเชื่อใจเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขาเชื่อว่าขอแค่ไม่เกิดความผิดพลาดครั้งใหญ่บนมหามรรคาแห่งการฝึกตน อนาคตของอีกฝ่ายจะต้องยาวไกลอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นขอแค่เด็กหนุ่มยังมีความรู้สึกต่อแคว้นไฉ่อี ยิ่งลงมือช้าเท่าไหร่ ขอบเขตยิ่งสูง ก็ยิ่งมีผลประโยชน์ต่อแคว้นไฉ่อีมากขึ้นเท่านั้น


เสิ่นเวินมองไปยังสีท้องฟ้ามืดทะมึนนอกศาลเทพผืนดิน ในใจขมฝาด ข้าเสิ่นเวินคงทำให้แคว้นไฉ่อีได้เพียงเท่านี้แล้ว


เสิ่นเวินหลุดออกจากภวังค์ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เรื่องเศษชิ้นส่วนร่างทองที่พูดถึงก่อนหน้านี้ ข้าพูดไปแค่ครึ่งเดียวคือเรื่องต้นกำเนิดและระดับขั้นของมัน ส่วนประโยชน์ของมันนั้น คล้ายคลึงกับ…เคล็ดลับการสังหารมังกรที่มีประโยชน์อย่างถึงที่สุด แต่ธรณีประตูกลับสูงมาก หากเป็นคนปกติ ในมือกำเศษชิ้นส่วนร่างทองไว้หลายสิบชิ้นหรือถึงร้อยชิ้น เกรงว่าก็คงไม่มีความหมายใดๆ แต่หากคนที่ได้ครอบครองเศษชิ้นส่วนมีสหายที่เดินไปบนเส้นทางของเทพ นั่นก็คือสมบัติที่มิอาจประเมินค่าได้อย่างแท้จริง คือวัตถุวิเศษก่อนกำเนิดแห่งใต้หล้า เป็นประเภทที่ล้ำค่าหายากอย่างถึงที่สุด หรือหากกษัตริย์ของแคว้นหนึ่งมอบมันให้กับองค์เทพแห่งภูเขาและแม่น้ำในแคว้นตัวเองก็ย่อมต้องถือว่าเป็นของพระราชทานชั้นเยี่ยม ถอยไปพูดอีกก้าว วันหน้าเมื่อเดินใกล้ไปถึงยอดเขา แล้วเอามันไปขายให้กับคนที่มองค่าออก ยกตัวอย่างเช่นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตโอสถทองคำ ขอบเขตก่อกำเนิด ก็สามารถตั้งราคาได้สูงเทียมฟ้า ไม่ว่าราคาไหนก็ไม่ถือว่าสูงเกินเหตุ!”


เฉินผิงอันสีหน้าเคร่งเครียด จดจำทุกอย่างไว้ขึ้นใจ


เสิ่นเวินยิ้มบางๆ “โปรดยื่นมือออกมา”


เฉินผิงอันยื่นมือออกไปอย่างเลื่อนลอย


เสิ่นเวินยื่นมือไปควักตรงหน้าอกของตัวเอง กำเป็นหมัดแล้วยื่นมันให้กับเฉินผิงอัน พอคลายหมัดออกก็ปล่อยของชิ้นหนึ่งที่อยู่ใจกลางฝ่ามือวางเบาๆ ไว้บนมือเฉินผิงอัน


เป็นวัตถุสีทองขนาดเท่าไข่ห่านชิ้นหนึ่ง


เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น กะพริบตาปริบๆ


เสิ่นเวินกล่าวยิ้มๆ “ในซากปรักหักพังของสนามรบ วัตถุหยินที่ผู้ฝึกตนสำนักการทหารจำนวนนับไม่ถ้วนพยายามตามหาอย่างยากลำบาก แท้จริงแล้วก็คือวิญญาณของวีรบุรุษผู้กล้า เทพแห่งสงครามที่ตายไป ข้าเสิ่นเวินมีชาติกำเนิดเป็นบัณฑิต เมื่อตายไปได้ถูกฮ่องเต้แคว้นไฉ่อีแต่งตั้งให้เป็นเทพอภิบาลเมืองของที่แห่งนี้ ร่างทองทั้งร่างมีระดับสูงพอสมควร แม้อาจจะเทียบกับเทพอภิบาลเมืองในเมืองหลวงไม่ได้ แต่จิตใจแห่งบุ๋นของ…ร่างทองร่างนี้! กลับไม่ด้อยไปกว่าเทพอภิบาลเมืองของทวีปใดทั้งนั้น!”


เสิ่นเวินในเวลานี้คล้ายย้อนกลับไปตอนอายุยี่สิบอีกครั้ง เวลาหลายสิบปีที่พากเพียรเล่าเรียนอย่างยากลำบาก สุดท้ายเป็นดั่งปลาหลีกระโดดข้ามประตูมังกร ตอนเช้าทำนา ตอนเย็นเป็นขุนนางในราชสำนัก เปี่ยมไปด้วยปณิธานและความห้าวหาญ ใช้สถานะของจอหงวนก้าวเดินเป็นผู้นำอยู่ในวังหลวง ทุกสิ่งที่ทำไปไม่ใช่เพื่อเกียรติยศของวงศ์ตระกูล แต่เพื่อใบหน้าที่เปื้อนความสุขของปวงประชา


หลังจากเทพอภิบาลเมืองเสิ่นเวินอดีตบัณฑิตส่งมอบหัวใจบุ๋นร่างทองดวงนั้นมาก็คล้ายได้ปลดภาระหนักอึ้งลง ทำหน้าที่พิทักษ์ปกป้องฮวงจุ้ยของสถานที่แห่งนี้มาหลายร้อยปี วันนี้ในที่สุดก็ได้เวลาพักผ่อนแล้ว เฉินผิงอันแบมือค้างอยู่นาน เสิ่นเวินหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาเคาะลงบนหัวใจบุ๋นดวงนั้น ยิ้มบางเอ่ยว่า “มิอาจโบยบินได้สูงทัดเทียมกัน ขอเพียงใจผูกพันรู้ใจกันก็พอ เซียนซือน้อย วันหน้าต้องอ่านตำราให้มาก!”


เฉินผิงอันเก็บหัวใจบุ๋นร่างทองเข้าไปไว้ในวัตถุฟางชุ่นพร้อมกับกล่องไม้สีเขียวอย่างระมัดระวัง


เด็กหนุ่มโค้งตัวคารวะด้วยสถานะของบัณฑิตผู้น้อย


แต่เสิ่นเวินกลับคารวะกลับคืนด้วยสถานะของบัณฑิตรุ่นเดียวกัน


เฉินผิงอันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงเดินก้าวเข้าไปในศาลเทพแห่งผืนดิน หยิบตราประทับแม่น้ำและภูเขาคู่นั้นออกมา ถามเบาๆ ว่า “ท่านเทพอภิบาลเมือง ข้าชื่อว่าเฉินผิงอัน มาจากเมืองหลงเฉวียนต้าหลี อาจารย์ฉีของที่นั่นมอบตราประทับคู่นี้ให้กับข้า บอกว่าหากได้พบเจอภูเขาและแม่น้ำสามารถประทับตราลงไปในแผนที่ได้ ก่อนหน้านี้ที่สุสานไร้ญาติมีปราณหยินเข้มข้นมาก ข้าก็เลยไหว้วานให้คนหาแผนที่ฉบับหนึ่งมาจากจวนเจ้าเมือง ประทับตราลงไป ผลลัพธ์ดูเหมือนว่าโชคชะตาแห่งแม่น้ำและภูเขาจะพลิกกลับ ถ้าอย่างนั้นตอนนี้พวกปีศาจมาสร้างค่ายกลก่อความวุ่นวายในเมืองแยนจือ หากใช้วิธีนี้จะได้ผลหรือไม่? จะสามารถสยบปราณปีศาจที่พวกเขาสร้างไว้ได้หรือไม่?”


เสิ่นเวินถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ข้าขอจับดูสักหน่อยได้ไหม?”


เฉินผิงอันพยักหน้า “แน่นอน”


เสิ่นเวินใช้สองมือรับตราประทับคู่นั้นมาอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็แยกประคองไว้มือละชิ้น ยกมือขึ้นสูงเหนือศีรษะ มองตราสีแดงคล้ายสีของหัวใจและตัวอักษรที่สลักไว้ด้านใต้ของตราประทับแล้วเสิ่นเวินก็สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ลดแขนลง เอ่ยถามว่า “อาจารย์ท่านนั้นได้บอกเจ้าหรือไม่ว่า อาวุธอาคมที่สูงส่งจนมิอาจประเมินค่าได้คู่นี้มีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือทุกครั้งที่ประทับตราลงไป ปราณวิญญาณก็จะสลายไปส่วนหนึ่ง จนถึงสุดท้ายที่เมื่อปราณวิญญาณสลายไปสิ้นก็จะกลายเป็นเพียงตราประทับธรรมดาคู่หนึ่ง?”


เฉินผิงอันเกาหัว ยิ้มซื่อๆ “อาจารย์ฉีไม่ได้บอกเรื่องพวกนี้กับข้า”


เสิ่นเวินถามอีกครั้ง “เจ้าไม่กลัวหรือว่าหากประทับตราลงไปครั้งนี้ ปราณวิญญาณจะสลายไปหมด?”


เฉินผิงอันส่ายหน้า “มีอะไรให้ต้องกลัวกัน ข้าไม่ได้เอาไปใช้สิ้นเปลืองอย่างส่งเดชสักหน่อย ก่อนหน้านี้ข้าเคยอ่านเจอตัวอักษรแปดตัวจากบันทึกภูเขาและแม่น้ำของเมืองแยนเจือ เขียนไว้ว่า ‘น้ำใสคลื่นสงบ สี่ฤดูผลเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์’ ข้าชอบมันมาก ยังตั้งใจสลักมันลงไปในแผ่นไม้ไผ่ด้วย อีกอย่างข้าก็รู้สึกว่านี่คือความตั้งใจเดิมที่อาจารย์ฉีมอบตราประทับให้กับข้า หากอาจารย์ฉีอยู่ที่นี่ เขาก็ต้องทำแบบนี้เหมือนกัน”


เสิ่นเวินถอนหายใจ “น่าเสียดายก็แต่การก่อความวุ่นวายของปีศาจในครั้งนี้ ส่วนใหญ่แล้วเป็นการใช้วัตถุปีศาจมอมเมาใจคนและการแพร่โรคระบาดมากกว่า ตราประทับแม่น้ำและขุนเขาคู่นี้มีความหมายที่ไม่ธรรมดา แต่กลับไม่มีประโยชน์ต่อสถานการณ์อันตรายในตอนนี้สักเท่าไหร่ เฉินผิงอัน เก็บตราประทับคู่นี้ไว้ให้ดี ข้ายังคงยืนยันคำเดิม หากแคว้นไฉ่อีมีกษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชาปรากฎตัว ยามใดที่เจ้าเดินทางผ่านแคว้นไฉ่อี สามารถขอแผนที่เมืองหลวงมาจากฮ่องเต้ได้หนึ่งแผ่น ประทับตราลงไปหนึ่งครั้ง ถือเป็นการมอบความเมตตาช่วยเหลือชาวบ้านได้อย่างน้อยก็หนึ่งร้อยปี เก็บไว้เถอะ จำให้ขึ้นใจว่า ต้องเก็บรักษาไว้ให้ดี อย่าเอาออกมาให้คนเห็นง่ายๆ”


เฉินผิงอันรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ได้แต่เก็บตราประทับกลับลงไปอีกครั้ง


เห็นภาพนี้ เสิ่นเวินก็ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เด็กอะไรทำไมถึงได้ ‘ซื่อ’ ขนาดนี้ คนบนภูเขาล้วนเป็นพวกพ่อค้านักธุรกิจ ต่างก็แสวงหาผลกำไรมหาศาล หรือไม่ก็อาจไม่สนใจผลได้ผลเสียตรงหน้า แต่กลับคาดการณ์ยาวไกล วางแผนยาวไปพันหมื่นลี้ นานเป็นร้อยพันปี สืบสาวราวเรื่องถึงแก่นแล้วก็ยังคงได้รับผลประโยชน์ก้อนใหญ่อยู่ดี


เรือนกายของเสิ่นเวินยิ่งพร่าเลือนมากขึ้น ทั้งยังส่ายไหวอยู่ไม่นิ่ง เขาเอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “เฉินผิงอัน การก่อความวุ่นวายของพวกปีศาจในครั้งนี้ก็เป็นอย่างที่เจ้ากล่าวไว้  ‘ทำเท่าที่ความสามารถของตัวเองอำนวย’ ก็เพียงพอแล้ว”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าลง เงยหน้ามองท้องฟ้าข้างนอกที่อยู่ห่างไปไกลพร้อมๆ กับท่านเทพอภิบาลเมือง


จู่ๆ เสิ่นเวินก็ถามว่า “เมืองหลงเฉวียนต้าหลี? เขตปกครอง อำเภอหรือเมืองในแจกันสมบัติทวีป ส่วนใหญ่แล้วจะต้องไม่มีคำว่าหลงถึงจะถูก”


เฉินผิงอันตอบด้วยรอยยิ้ม “ก่อนหน้านี้บ้านเกิดของข้าคือถ้ำสวรรค์หลีจู ภายหลังถ้ำสวรรค์ปริแตกแล้วร่วงลงสู่พื้นดิน ถึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นเขตการปกครองหลงเฉวียน”


เสิ่นเวินตะลึง ก่อนจะถามหยั่งเชิงว่า “อาจารย์ฉีที่เจ้าพูดถึง ใช่ฉีจิ้งชุนแห่งสำนักศึกษาซานหยา ลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดของเหวินเซิ่งหรือไม่?”


เฉินผิงอันอืมรับด้วยสีหน้าหม่นหมอง “อาจารย์ฉีท่านนั้นนั่นแหละ”


เสิ่นเวินมองเด็กหนุ่มที่มาจากต้าหลีด้วยอาการอึ้งงัน


รองเท้าแตะ น้ำเต้าบรรจุเหล้า กระบี่บิน ตราประทับ จิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ ชื่อว่าเฉินผิงอัน


เสิ่นเวินรู้สึกปากคอแห้งผาก “เฉินผิงอัน เจ้าใช่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของอาจารย์ฉีหรือไม่?”


เฉินผิงอันลังเลว่าจะพูดดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดไปตามความเป็นจริง “อาจารย์ฉีไม่ยินดีรับข้าเป็นลูกศิษย์ แต่ภายหลังข้าได้เจอกับท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ดูเหมือนว่าอาจารย์ฉีคิดจะรับลูกศิษย์แทนอาจารย์ แต่ว่าตอนนั้นข้ารู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่แม้แต่นักเรียนด้วยซ้ำ ก็เลยไม่ได้รับปากท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งว่าจะเป็นลูกศิษย์ของเขา ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งก็ไม่ได้โกรธ แค่ดื่มเหล้าจนเมามาย ตอนที่ข้าแบกท่านผู้เฒ่าขึ้นหลัง ผู้เฒ่าตบหัวข้าอย่างแรง บอกให้ข้าดื่มเหล้า…”


เฉินผิงอันยิ้มพลางชูน้ำเต้าบรรจุเหล้าที่อยู่ในมือขึ้นสูง กล่าวด้วยรอยยิ้มเจิดจ้า “ดังนั้นตอนนี้ข้าก็เลยดื่มเหล้าแล้ว”


บัณฑิตเสิ่นเวินรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า อีกทั้งยังไม่ได้ผ่าลงหัวแค่ระลอกเดียว แต่ผ่าลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า


ฉีจิ้งชุน! ศิษย์น้องเล็กของฉีจิ้งชุน! ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง! ลูกศิษย์คนสุดท้ายของท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง!


เด็กหนุ่มปฏิเสธ ปฏิเสธไปแล้ว…


เสิ่นเวินอึ้งงันเป็นไก่ไม้


เฉินผิงอันเองก็เหม่อมองท่านเทพอภิบาลเมืองผู้นี้ หรือว่าตนพูดอะไรผิดไป ได้แต่แอบดื่มเหล้าระงับความตระหนก


แต่แล้วจู่ๆ เสิ่นเวินก็หัวเราะเสียงดัง หัวเราะอย่างขำขันจนต้องเอามือกุมท้อง หัวเราะจนเกือบน้ำตาจะไหล เขายื่นมือมาตบไหล่เด็กหนุ่มแรงๆ “ดีๆๆ! เรื่องของบัณฑิตอย่างพวกเรา คนอื่นไม่มีทางเข้าใจได้! แบบนี้สิถึงจะถูก นี่แหละถูกแล้ว!”


เสิ่นเวินดึงมือกลับมา เอาสองมือไพล่หลัง ก้าวยาวๆ ออกจากธรณีประตูของศาลเทพแห่งผืนดิน “สะใจ สะใจจริงๆ บัณฑิตเอ๋ยบัณฑิต…”


เสิ่นเวินหันหน้ากลับมายกนิ้วโป้งให้ “ทำได้งดงามยิ่ง!”


หลังจากที่เสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองร่างทองก้าวออกไปจากประตูใหญ่ ประกายแสงแห่งวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เสี้ยวสุดท้ายก็หายไป หายไปจากฟ้าดินทั้งๆ ที่ยังหัวเราะเสียงดังอยู่อย่างนั้น ร่างทั้งร่างระเบิดแตกสลาย


เฉินผิงอันรู้สึกเสียใจเล็กน้อย รัดเชือกผูกน้ำเต้าไว้ตรงเอวเรียบร้อยก็ท่องเบาๆ ใส่ตำแหน่งที่บัณฑิตแห่งแคว้นไฉ่อีผู้นั้นสลายหายไป “สุ้ยสุ้ยผิงอัน สุ้ยสุ้ยผิงอัน” (สุ้ยสุ้ยผิงอันคำแรกความหมายคือแตกเพื่อความสงบ คนจีนชอบพูดเวลาเจอของแตกในวันปีใหม่เพื่อแก้เคล็ด สุ้ยสุ้ยผิงอันคำที่สองคือคำอวยพรให้มีชีวิตที่ปลอดภัยร่มเย็น)


—–


บทที่ 233.2 สุ้ยสุ้ยผิงอัน

โดย

ProjectZyphon

หลังจากคุณชายชุดขาวของจวนจ้าวถูกฆ่าก็ไม่มีคนในจวนที่ถูกอาคมกลายเป็นมารอีก เด็กสาวกระพรวนเงินหลิวเกาซินที่แม้จะอาเจียนไม่หยุด แต่ก็ยังไม่ยอมกลับจวนเจ้าเมืองที่ปลอดภัย นางยังคงติดตามปรมาจารย์ในยุทธภพแซ่โต้วคนนั้นไล่ตามหาพวกปลาที่ลอดจากแหไปได้ เมื่อพวกเขามาถึงห้องเก็บฟืนขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง เห็นว่าประตูถูกปิดสนิท มือดาบก็ขมวดคิ้ว ถีบประตูให้เปิดอ้า พบว่าด้านในมีเด็กชายอายุแปดก้าวขวบคนหนึ่ง ด้านหลังของเขาก็คือกองฟืนที่กองสุมกัน มือดาบกล่าวเรียบๆ ว่า “ถอยไป! เมื่อกลายเป็นมารแล้วก็ไร้ทางเยียวยา”


เด็กชายเม้มปาก ส่ายหน้าอย่างแรง


มือดาบสีหน้าเย็นชา ก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า จับศีรษะของเด็กชายแล้วผลักไปด้านหลัง เด็กชายจึงกระแทกกับกำแพงทางฝั่งนั้น มือดาบใช้ดาบเล่มยาวผ่ากองฟืนแหวกออกเป็นสองฟาก ด้านในมีเด็กหญิงใบหน้าแห้งตอบ ถูกมัดไว้แน่น ดวงตาข้างหนึ่งของนางกำลังมีเลือดสดไหลลงมาไม่หยุด ดวงตาอีกข้างกลับไม่ต่างจากดวงตาของคนปกติ ริมฝีปากของเด็กหญิงเขียวคล้ำ สั่นระริกเบาๆ


มือดาบยกดาบขึ้นหมายจะฟันลงไป เด็กชายตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน คว้ามีดผ่าฟืนเล่มหนึ่งพุ่งเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าเด็กหญิง กัดฟันพูด “ถ้าเจ้ากล้าข้านาง ข้าก็จะฆ่าเจ้า!”


เพียงเปิดปากก็พูดภาษาทางการของทวีปอย่างชัดถ้อยชัดคำ ไม่เสียแรงที่ตระกูลจ้าวคือตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองแยนจือ ต่อให้เป็นเด็กชายที่เป็นเพียงบ่าวไพร่ของจวนก็ยังรู้ภาษาทางการของทวีป


มือดาบยิ้มอย่างสง่างาม “เจ้าคนไม่รู้จักความหวังดีของคนอื่น รู้หรือไม่ว่าความเมตตาเล็กน้อยของเจ้าในวันนี้อาจทำให้คนนับร้อยนับพันต้องตาย”


เด็กชายร่างผอมแห้ง สวมเสื้อผ้าตัวบางๆ กล่าวด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว “ข้าไม่สนใจ ข้าจะปกป้องหลวนหลวน!”


มือดาบถีบเด็กชายที่ถือมีดผ่าฟืนจนตัวปลิว ดาบที่เร็วดุจพายุของเขาฟันใส่เด็กหญิงที่น่าสงสารคนนั้น


เสียงกระพรวนเงินดังขึ้น พายุดาบบดขยี้ดอกไม้สีทองหลายดอกที่บินหมุนคว้างมาถึงจนแหลกละเอียด มือของมือดาบชะงักไปเล็กน้อย แต่คมดาบที่ตวัดลงก็ยังทิ้งรอยเลือดกรีดเป็นรอยยาวชุ่นกว่าไว้บนหน้าผากของเด็กหญิง


หนึ่งดาบถูกขัดขวาง มือดาบไม่ได้โมโห เพียงหันหน้ามามองเด็กสาว ถามว่า “หลิวเกาซิน เจ้าช่วยนางได้หรือ? เรื่องคนกลายเป็นมาร คนอื่นอาจไม่รู้ว่าร้ายแรงแค่ไหน แต่เจ้าที่เป็นผู้ฝึกตนจะไม่รู้เชียวหรือ? ถ้าอย่างนั้นพอถึงเวลาที่สถานการณ์เลวร้ายเกินกว่าจะแก้ไข เจ้าจะเป็นคนจัดการกับเด็กหญิงคนนี้ด้วยมือของตัวเองหรือไม่?”


หลิวเกาซินหน้าซีดขาว ริมฝีปากสั่นระริก “ข้าอดสงสารนางไม่ได้”


มือดาบร้องเฮอะ “คงเป็นเพราะตอนอยู่หน้าจวนประตูจ้าวเมื่อครู่นี้ พวกคนที่กลายเป็นมารถูกข้าสังหารเร็วเกินไป คุณหนูหลิวก็เลยไม่ทันเห็นภาพที่พวกเขากัดกินเลือดเนื้อของชาวบ้านสินะ”


เด็กชายดิ้นรนลุกขึ้นมายืนอีกครั้ง เขาที่เจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งร่างถือมีดแทบไม่อยู่มือ ปลายมีดสั่นไหว แต่เด็กชายก็ยังหันไปแผดเสียงใส่มือดาบ “เจ้าคนสารเลว แน่จริงเจ้าก็ฆ่าข้าเสียก่อนสิ!”


มือดาบแค่นหัวเราะ “ฆ่าเจ้าแล้วจะมีประโยชน์อะไร”


หลิวเกาซินตาแดงก่ำ หันหน้าไปทางอื่นเพราะทนมองต่อไปไม่ไหว


ด้านนอกมีเสียงคนเอ่ยขึ้นว่า “ช้าก่อน”


มือดาบที่ยืนหันหลังให้ประตูคิดแล้วก็เก็บดาบเข้าฝัก หันตัวมากุมมือคารวะส่งยิ้มให้คนผู้นั้น “ในเมื่อเซียนซือพูดแล้ว ข้าก็ไม่ทำอะไรที่เกินความจำเป็นอีก”


ที่แท้ก็เป็นเฉินผิงอันที่ย้อนกลับมาตระกูลจ้าวอีกครั้ง เขาผงกศีรษะคารวะคืนมือดาบ


เฉินผิงอันก้าวเร็วๆ เข้าไปในห้องเก็บฟืน ทรุดตัวนั่งยองอยู่ตรงหน้าเด็กหญิง พบว่าดูเหมือนเด็กหญิงจะพยายามต่อต้านอาคมมารที่อยู่ในร่างกายสุดกำลัง อีกทั้งต่อให้ดวงตาจะมีเลือดซึมลงมา เจ็บปวดราวกับหัวใจถูกคว้าน แต่นางก็ยังกัดปากแน่น ไม่ร้องออกมาสักเอะ เด็กหญิงพยายามลืมตาข้างที่เป็นปกติขึ้น สายตานั้นเต็มไปด้วยแวววิงวอนขอร้อง คนเราหากยังมีชีวิตอยู่ต่อได้ ใครเล่าจะอยากตาย โดยเฉพาะเด็กที่อายุเพียงเท่านี้


เฉินผิงอันมองเด็กหญิงผู้เข้มแข็ง ยื่นมือไปตบศีรษะของนางเบาๆ อย่างอ่อนโยน พูดเสียงอบอุ่น “ไม่ต้องกลัวนะ ไม่ต้องกลัว เจ็บก็ร้องออกมา ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไร”


เด็กหญิงเงยหน้า ดวงหน้าเล็กๆ ของนางครึ่งซีกมีเลือดสดหลั่งนอง มองเด็กหนุ่มแปลกหน้าที่ส่งยิ้มน้อยๆ มาให้ตนแล้วก็ร้องไห้จ้า


ความน้อยเนื้อต่ำใจบางอย่าง ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ มีเพียงคนที่เคยได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจเหมือนกันเท่านั้นถึงจะเข้าใจได้อย่างถ่องแท้


ไม่อย่างนั้นต่อให้คนที่อยู่ข้างกายจะมีจิตใจดีงามหรือหวังดีมากแค่ไหน ก็คงไม่สามารถทำให้คนสบายใจได้อย่างแท้จริง


เฉินผิงอันช่วยคลายเชือกให้นาง หมุนตัวกลับหลัง หันหน้ามาพูดกับนางว่า “มา ข้าจะแบกเจ้าไปยังสถานที่ที่ปลอดภัยแห่งหนึ่ง ให้คนช่วยเจ้า”


เมื่อสองมือน้อยที่เย็นเฉียบวางลงบนไหล่ เฉินผิงอันก็เอ่ยกับเด็กชายที่ถือมีดผ่าฟืนยิ้มๆ “รบกวนเจ้าใช้เชือกมัดพวกเราไว้ด้วยกัน ข้ากลัวว่าตอนเดินออกไปจะเกิดเรื่อง จะไม่ทันได้ดูแลนาง เจ้าต้องเร็วหน่อย ทำได้หรือไม่?”


“ได้!” เด็กชายโยนมีดผ่าฟืนทิ้ง เช็ดน้ำตาบนใบหน้าลวกๆ รีบวิ่งไปหยุดข้างกายเฉินผิงอันและเด็กหญิง จับคนทั้งสองมัดไว้ด้วยกันอย่างคล่องแคล่วว่องไว


เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนช้าๆ พูดกับหลิวเกาซินและมือดาบแซ่โต้วว่า “ข้าจะพาแม่นางน้อยไปที่จวนเจ้าเมืองก่อน จะมัวเสียเวลาอีกไม่ได้แล้ว ดูสิว่าที่นั่นจะมียอดฝีมือที่ช่วยเหลือนางได้หรือไม่ พวกเจ้าพาเด็กผู้ชายคนนั้นไปด้วย หากที่จวนจ้าวยังมีปัญหา หลิวเกาซิน เจ้าช่วยพาตัวเขาออกไปไว้นอกจวนจ้าวได้หรือไม่?”


มือดาบเอ่ยยิ้มๆ “เรื่องเล็กแบบนี้ ให้คุณหนูจ้าวพาเขาออกไปก่อน เดี๋ยวข้าสำรวจจวนจ้าวส่วนที่เหลือคนเดียวก็ได้”


เฉินผิงอันจึงหันไปพูดกับเด็กชายว่า “ระวังตัวด้วย ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ข้าก็จะกลับมาบอกเจ้า ตกลงไหม?”


เด็กชายยกมือเช็ดน้ำตา พยักหน้ารับแรงๆ


เฉินผิงอันแบกเด็กหญิงที่ตัวเย็นไปทั้งร่างพุ่งออกจากห้องเก็บฟืน กระโดดขึ้นไปบนหัวกำแพง ทะยานร่างไปอย่างสง่างามเหมือนกบกระโดดแตะผิวน้ำไม่กี่ครั้ง เพียงไม่นานก็พลิ้วกายลงบนกำแพงสูงของจวนเจ้าเมือง ตอนนี้รู้จักหน้าค่าตาของเฉินผิงอันแล้ว พวกทหารกล้าที่ซ่อนตัวอยู่จึงไม่มีใครง้างธนูขึ้นสาย ปล่อยให้เฉินผิงอันเข้าไปในจวน เพียงไม่นานเขาก็เข้าไปในห้องโถงที่ทุกคนกำลังปรึกษากันอยู่


หลิวเกาซินพาเด็กชายเดินออกมาจากประตูใหญ่ เด็กชายเอ่ยถามนางอย่างกระวนกระวาย “พี่หญิงเทพเซียน เพื่อนของท่านจะช่วยหลวนหลวนได้จริงหรือไม่?”


นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกคนอื่นเรียกว่าพี่หญิงเทพเซียน หลิวเกาซินจึงไม่ใคร่จะคุ้นชินเท่าใดนัก นางเค้นรอยยิ้มตอบไปว่า “ข้าไม่ใช่พี่หญิงเทพเซียนอะไรหรอก แต่เจ้าวางใจเถอะ ท่านผู้เฒ่าเทพเซียนคนนั้นต่างหากที่เป็นเซียนบนภูเขาอย่างแท้จริง จะต้องช่วยแม่นางน้อยได้แน่นอน แต่ถ้า…แต่ถ้าช่วยไม่ได้จริงๆ เจ้าก็โทษเขาไม่ได้ เข้าใจไหม?”


เด็กชายพยักหน้ารับทั้งน้ำตา


หลิวเกาซินลูบศีรษะของเด็กชาย ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที


หลังจากเฉินผิงอันเข้าไปในห้องโถงหลักแล้ว นอกจากเจ้าเมืองหลิวที่นั่งอยู่ ยังมีผู้ฝึกลมปราณที่รับผิดชอบดูแลใจกลางของค่ายกลนั่งอยู่อีกสองคน คนหนึ่งคือหญิงชราที่ในมือถือกระบี่ยาว ตรงเอวห้อยถุงผ้าใบหนึ่ง ไม่รู้ว่าบรรจุอะไรเอาไว้ กับผู้เฒ่าอีกคนหนึ่งที่ตรงเอวห้อยพู่กันขนสีเงินหนึ่งด้าม ว่ากันว่าทั้งสองคนต่างก็เป็นผู้ฝึกตนอิสระที่อยู่ใกล้กับเมืองแยนจือ มีตบะเป็นขอบเขตสาม ชั่วชีวิตไม่เคยได้เข้าสำนักของตระกูลเซียน อาศัยเพียงโชควาสนาและความขยันหมั่นเพียรถึงได้มีวันนี้


ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสามอาจจะไม่กล้าหายใจแรงเมื่อเดินอยู่บนถนนของเมืองหลงเฉวียน แต่กลับมากพอจะเรียกลมเรียกฝนอยู่ในเมืองของแคว้นเล็กๆ ได้แล้ว


เฉินผิงอันเล่าที่มาที่ไปของเรื่องราวให้พวกเจ้าเมืองหลิวสามคนฟังคร่าวๆ จบก็คลายเชือก จับเด็กหญิงวางไว้บนเก้าอี้ตัวหนึ่งอย่างระมัดระวัง ถามว่า “ช่วยเด็กคนนี้ได้หรือไม่?”


ใบหน้าของหญิงชราเต็มไปด้วยความไม่สบอารมณ์ แต่เห็นว่าเจ้าเมืองหลิวไม่พูดอะไร นางจึงไม่สะดวกจะเจ้ากี้เจ้าการ เพียงแค่แค่นเสียงเย็นในลำคอหนึ่งที ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม หลับตาแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นมันเสียเลย


กลับเป็นชายชราคนนั้นที่เดินเร็วๆ ไปหยุดอยู่ข้างเก้าอี้ ย่อตัวลง ยื่นมือไปเปิดเปลือกตาข้างที่มีเลือดซึมของเด็กหญิง กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “แม่นางน้อยมีคุณสมบัติที่ดีเยี่ยม เกิดมาก็มีดวงตาหยินหยางคู่หนึ่ง ดวงตาข้างหนึ่งสามารถมองการเคลื่อนโคจรของปราณวิญญาณในโลกมนุษย์ ดวงตาอีกข้างหนึ่งสามารถมองเหตุภูตผีและวัตถุหยินในยามกลางคืน เดิมทีมีหวังที่จะเดินไปบนเส้นทางของการฝึกตน เพียงแต่ว่าไข่มุกถูกฝุ่นเกาะ ไม่ทันได้พบเจอกับผู้มีความสามารถ ก็ต้องมาเจอกับเคราะห์กรรมครั้งนี้เสียก่อน ดวงตาหยินข้างนี้ตกเป็นที่พักพิงของอาคมปีศาจที่เข้มข้น เปรียบเทียบได้กับสุสานที่ระเกะระกะแห่งหนึ่ง มีปราณสกปรกอบอวลอยู่ทั่ว ต่อให้เป็นชายฉกรรจ์ที่มีพลังหยางเข้มข้นก็ยังต้องร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด น่าสงสารนังหนูน้อยคนนี้จริงๆ”


ผู้เฒ่าช่วยจับชีพจรให้เด็กหญิงพลางเงยหน้าจ้องนิ่งไปที่รอยเลือดในดวงตาของนาง “จิตที่อยากมีชีวิตอยู่รอดของนังหนูน้อยแรงกล้ามาก ตอนนี้จำเป็นต้องใช้ยาวิเศษที่เต็มไปด้วยพลังหยาง…ไม่ถูกสิ ต่อให้เป็นยาชั้นเยี่ยมที่ถูกกับโรค กินลงไปก็ไม่สามารถกำจัดปราณสกปรกที่สั่งสมอยู่ในดวงตาหยินได้ ทำได้ยากมากจริงๆ ตอนนี้บนร่างของข้ามียาลมวสันต์ที่สามารถรักษารากฐานของพลังต้นกำเนิดให้มั่นคงอยู่แค่เม็ดเดียว ได้แค่ช่วยต่อชีวิตของนางไว้ชั่วคราว สิ่งที่ต้องการอย่างแท้จริงคือ…ยันต์วิเศษ อีกทั้งยังต้องเป็นยันต์วิเศษที่ระดับขั้นสูงมากด้วย สามารถชักนำปราณวิญญาณมาสู่ดวงตาหยาง ส่งข้ามไปยังดวงตาหยิน หยินหยางต้านทานกันเอง นังหนูน้อยต้องอาศัยปณิธานและโชควาสนาของตัวเองถึงจะมีโอกาสรอดชีวิต แต่ยันต์วิเศษแบบนี้จะไปหามาจากที่ไหน ต่อให้นังหนูได้ยาของข้าไปต่อชีวิตก็ถ่วงเวลาไว้ได้ไม่นานหรอก”


ระหว่างที่พูด ผู้เฒ่าก็หยิบกล่องไม้จื่อถานขนาดเล็กใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ เปิดออกก็เผยให้เห็นว่าด้านในมียาสีเขียวส่งกลิ่นหอมสะอาดโชยมาปะทะจมูกอยู่เม็ดหนึ่ง แล้วเขาก็จับป้อนให้เด็กหญิงกินลงไปอย่างไม่ลังเล


เฉินผิงอันที่นั่งอยู่อีกข้างถามเสียงเบา “ท่านผู้อาวุโส หากเป็นยันต์ปราณหยางส่องไฟ จะได้หรือไม่?”


ผู้เฒ่ามีท่าทางตะลึงระคนดีใจก่อนเป็นอันดับแรก แต่ต่อมาก็ยิ้มเฝื่อน “ได้สิ ทำไมจะไม่ได้! ในบรรดายันต์พันพันหมื่นชนิดในใต้หล้า ยันต์ปราณหยางส่องไฟนี้มีระดับสูงส่งยิ่ง คือหนึ่งในยันต์วิเศษที่ถูกกับโรคนี้มากที่สุด ได้ผลทันตาเห็น เจ้ามีจริงๆ รึ? แถมยังไม่ใช่ของปลอมด้วย? ต้องรู้ว่าบนโลกใบนี้มีพวกผู้ฝึกลมปราณที่ถูกความโลภบดบังจิตใจอยู่มากมาย ของเลียนแบบยันต์ประเภทนี้จึงมีมากอย่างถึงที่สุด เอามาใช้สวมรอยของจริง ส่วนใหญ่มักจะเรียกเป็น ‘ยันต์ยืมหยาง’ เอามาขายราคาสูงเป็นร้อยเท่า…”


เฉินผิงอันกล่าวเสียงหนัก “ในมือข้ามีอยู่แผ่นหนึ่ง!”


เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน “เดี๋ยวข้ากลับมา”


ผู้เฒ่าไม่แปลกใจ เพียงแค่เอ่ยเตือนว่า “ต้องเร็วหน่อย”


ผู้ฝึกลมปราณที่ไหนจะเอาทรัพย์สมบัติส่วนตัวมาเปิดเผยต่อหน้าคนนอก


เจ้าเมืองหลิวค้อมเอวก้มหน้า มองเด็กหญิงที่อยู่ในสภาพน่าสังเวชสองทีก็ดึงสายตากลับ เดินไปดูแผนที่บนโต๊ะต่ออีกครั้งอย่างรวดเร็ว


หญิงชราที่อุ้มกระบี่ยาวไว้ในอ้อมอกเปิดเปลือกตาขึ้น ปรายตามองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มแล้วหลุดหัวเราะพรืด


—–


บทที่ 233.3 สุ้ยสุ้ยผิงอัน

โดย

ProjectZyphon

เฉินผิงอันรีบหามุมระเบียงที่เงียบสงบ หันหลังพิงเสา นั่งขัดสมาธิ เรียก ‘เหล็กหมาดหิมะ’ และยันต์สีทองแผ่นหนึ่งที่หลี่ซีเซิ่งมอบให้ออกมาจากวัตถุฟางชุ่นกระบี่บินสืออู่


นับตั้งแต่การต่อสู้บนถนนเส้นเล็กกับหม่าขู่เสวียน มาจนถึงปะทะกับผีงามโครงกระดูก และเทพอภิบาลเมืองที่ธาตุมารเข้าแทรกในศาลเทพอภิบาลเมือง อันที่จริงตอนนี้สภาพร่างกายของเฉินผิงอันถือเป็นลูกธนูสุดแรงบินไปชั่วขณะ


ก็เหมือนอย่างที่หลิวเกาซินคิด เขาต้องการการพักผ่อนเพื่อปรับลมปราณมากที่สุด เหมือนการเดินทางบนภูเขา ระยะทางครึ่งแรกยังเดินได้สบายๆ แต่พอยิ่งเดินไปนานเข้า ฝีเท้าก็ยิ่งต้องหนักอึ้ง จนถึงระยะทางช่วงท้าย ต่อให้แค่ก้าวเดินเพิ่มขึ้นจากเดิมแค่ก้าวเดียวก็อาจจะเดินได้อย่างยากลำบากเหมือนคนแบกภูเขาไว้บนบ่า


เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ก้มตัวลง ถือเหล็กหมาดหิมะที่สลักคำว่า ‘ตวัดพู่กันดุจมีเทพช่วย’ ด้ามนั้นไว้ในมือ การมองเห็นของเขาเริ่มพร่าเลือน เฉินผิงอันสะบัดศีรษะเบาๆ นึกถึงปีนั้นตอนที่หัดเรียนขึ้นรูปเครื่องปั้นที่เตาเผามังกร เขากลัวความผิดพลาดมากที่สุด เพราะความผิดพลาดแค่ก้าวเดียวก็อาจจะตัดสินได้ว่าเครื่องปั้นในมือชิ้นนั้นจะกลายเป็นเครื่องตกแต่งในบ้านของฮ่องเต้ หรือเป็นหนึ่งในเศษชิ้นส่วนของภูเขาเครื่องปั้นที่ไร้ค่าจนเทียบเท่าดินสักกองก็ยังไม่ได้


เฉินผิงอันพยายามรักษาลมหายใจให้สงบมั่นคง เริ่มใช้ปราณที่แท้จริงเฮือกหนึ่งของผู้ฝึกยุทธ์ไปวาดยันต์ ลมปราณของผู้ฝึกลมปราณมีให้ใช้ได้อย่างไม่ขาดสาย ไหลวนโคจรไม่หยุด แม้ว่าการวาดยันต์จะพิถีพิถันในข้อที่ว่าต้องวาดให้เสร็จในรวดเดียว แต่เมื่อเทียบกับการวาดยันต์ของชาวยุทธ์แล้วกลับง่ายกว่ามาก


ส่วนเฉินผิงอันที่สะพานแห่งความเป็นอมตะพังภินท์ไปนานแล้ว หากคิดจะวาดยันต์ที่มีความศักดิ์สิทธิ์เพียงพอสักใบก็จำเป็นต้องเผาผลาญพลังจิตจำนวนมหาศาล แทบไม่ง่ายไปกว่าการปล่อยกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าติดต่อกันยี่สิบเอ็ดหมัดเลย


จรดพู่กันวาดยันต์ ห้ามเร็วจนเกิดความผิดพลาด และห้ามช้าจนเกินไป


บนระเบียงที่เงียบสงัดไร้ผู้คน


ในมือของเด็กหนุ่มจับเหล็กหมาดหิมะ ก้มตัวลงวาดยันต์ ลงน้ำหนักพู่กันอย่างมั่นคง ทว่าทวารทั้งเจ็ดกลับมีเลือดไหลริน


ส่วนข้อที่ว่าต้องสิ้นเปลืองยันต์สีทองแผ่นหนึ่งที่ตัวเขาเองก็รู้มูลค่าของมันดีเพื่อเด็กหญิงที่เพิ่งพบหน้ากัน จะคุ้มค่าหรือไม่ เฉินผิงอันไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน


หลังจบเรื่องจะรู้สึกเสียดายหรือไม่ คิดดูแล้วเฉินผิงอันที่เป็นดั่งปู่โสมเฝ้าทรัพย์ย่อมต้องรู้สึก แต่นั่นเป็นเรื่องในภายหลัง ถึงเวลานั้นค่อยว่ากันอีกที อย่างมากก็แค่ดื่มเหล้าดับทุกข์


ยันต์ปราณหยางส่องไฟที่ถูกวาดลงบนกระดาษยันต์สีทอง สำเร็จด้วยดี!


เฉินผิงอันเช็ดคราบเลือดจนสะอาด ก้าวพรวดๆ ด้วยฝีเท้าล่องลอยไปยังห้องโถงหลัก เมื่อเขายื่นยันต์ในมือไปให้ผู้เฒ่า ผู้เฒ่าอึ้งตะลึง รับยันต์มาด้วยสองมือทั้งที่สีหน้ายังเหลือเชื่อไม่คลาย ปราณวิญญาณที่เปี่ยมล้นหนักอึ้งนั้นแทบจะพุ่งออกมาจากกระดาษยันต์สีทองอยู่แล้ว ผู้เฒ่าจึงถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยมั่นใจนัก “ถ้าอย่างนั้นข้าใช้แล้วนะ?”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับยิ้มๆ “ใช้เลย!”


ผู้เฒ่าย่อตัวลง ใช้สองนิ้วคีบยันต์ปราณหยางส่องไฟแผ่นนั้น ตวาดเบาๆ ว่า “ยันต์จงลอย!”


ยันต์สีทองไม่ขยับเขยื้อน ไม่มีความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย


ผู้เฒ่าหน้าแดงก่ำ อับอายขายหน้ายิ่งนัก รีบปรับลมปราณทั้งหมดในร่างตัวเองแล้วตวาดอีกครั้ง “ลอย!”


ยันต์สีทองถึงได้ลุกไหม้ดังพรึ่บ ทว่ากลับไม่ได้เผาไหม้จนเหลือเพียงเถ้าถ่าน กลับกันคือมีแสงรัศมีสีทองกลุ่มใหญ่ลอยออกมา


เจ้าเมืองหลิวที่ไม่รู้ความลี้ลับที่แท้จริงจุ๊ปากชื่นชม ทว่าหญิงชราที่อุ้มดาบถึงกับเบิกตากว้างจนตาแทบจะถลนออกจากเบ้า


ผู้เฒ่าไม่กล้าชักช้า แข็งใจโคจรลมปราณอีกครั้ง ยกมืออีกข้างหนึ่งขึ้น สองนิ้วประกบกันชี้ไปยังแสงสีทองเข้มข้นเหมือนสายน้ำไหลกลุ่มนั้น ขยับริมฝีปากขมุบขมิบ “แยกหยินหยาง ผสานน้ำไฟ ไป!”


แสงสีทองค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในดวงตาหยินข้างที่มีเลือดซึมออกมาไม่หยุดของเด็กหญิง แต่แสงสีทองส่วนใหญ่กลับผสานรวมเข้าไปในดวงตาหยางของนาง


และไม่นานก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าระหว่างดวงตาสองข้างของนางมีสะพานเล็กๆ ที่เกิดจากการเชื่อมต่อกันของเส้นด้ายสีทองถูกสร้างขึ้น แสงสีทองค่อยๆ ไหลจากตาซ้ายไปยังตาขวา


เด็กหญิงเจ็บปวดจนต้องกัดฟันกัดริมฝีปากของตัวเองจนแตก มือทั้งคู่จับที่เท้าแขนเก้าอี้ไว้แน่น ร่างเล็กผอมแห้งสั่นสะท้านรุนแรงไปทั้งตัว ใบหน้าบิดเบี้ยวไม่เหลือเค้าเดิม เฉินผิงอันจับมือข้างหนึ่งของนางขึ้นมาเบาๆ ไม่ว่านางจะได้ยินเสียงของตนหรือไม่ เขาก็ยังเอ่ยปลอบใจนางเบาๆ อยู่ตลอดเวลา


“ยืนหยัดไว้ ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ มีชีวิตอยู่สำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น ต้องเชื่อว่าขอแค่ตัวเองมีชีวิตอยู่ต่อไป เดี๋ยวก็จะมีทุกอย่างที่ต้องการเอง…”


หญิงชราระงับความอยากรู้อยากเห็นไว้ไม่อยู่ จึงเดินไปที่ด้านหลังของผู้เฒ่าและเฉินผิงอัน ก้มหน้าลงจ้องมองการไหลรินของเส้นด้ายสีทองบนสันจมูกของเด็กหญิงอย่างละเอียด


หญิงชราเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เป็นเซียนกระบี่ที่ฝึกตนจนประสบความสำเร็จจริงๆ ด้วย”


ผิวหน้าของหญิงชรายับย่นเหมือนหนังไก่ เหี่ยวแห้งแก่โทรม แต่เวลานี้ดวงตาคู่นั้นของนางกลับหวานหยาดเยิ้มเหมือนดวงตาของสตรีสาวผู้เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนคนหนึ่ง


นางสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเด็กหนุ่มสะพายกล่องไม้ได้ในเสี้ยววินาที


นางรีบทิ้งกระบี่ที่อยู่ในอ้อมอก ถอยกรูดออกไปพร้อมหัวเราะร่าเสียงดัง แล้วไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตู ปลดถุงผ้าตรงเอวขึ้นมาแกว่ง กล่าวเสียงหวาน “เซียนกระบี่ท่านนี้ รู้สึกว่าลมปราณในร่างหยุดชะงักไม่ขยับไปข้างหน้าใช่หรือไม่? คิกคิก ไม่ต้องตื่นเต้น ก็แค่ ‘หิมะใหญ่ล้อมด่าน’ ที่ข้าน้อยสร้างขึ้นเพื่อเจ้าโดยเฉพาะเท่านั้น ไร้รสไร้กลิ่น ขอบเขตต่ำกว่าประตูมังกรลงไป ง่ายที่จะติดกับ ไม่น่าอายหรอก! อีกอย่างก็แค่ครึ่งก้านธูปที่มันทำให้มหาสมุทรลมปราณแข็งตัว บังคับลมปราณไม่ได้ อืม แล้วก็บวกกับจิตวิญญาณเหมือนถูกผนึกน้ำแข็ง จึงไม่สามารถใช้จิตบังคับกระบี่บินได้ก็เท่านั้น แน่นอนว่าขอแค่อดทนได้ถึงครึ่งก้านธูป เจ้าก็จะได้เป็นเซียนกระบี่ของเจ้าต่อไปแล้ว”


ในฐานะผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสาม ผู้เฒ่าอยู่ห่างจากประตูมังกรของห้าขอบเขตกลางไปไกลตั้งหนึ่งแสนแปดพันลี้ เขาจึงตกหลุมพรางไปนานแล้ว สีหน้าของเขาเหมือนกระดาษสีทองที่ซีดจาง วินาทีที่ ‘หญิงชรา’ ถอยกรูดออกไปด้านหลัง ศีรษะของเขาก็เอียงไปข้างหนึ่ง ล้มตัวลงบนพื้น หลับใหลไม่ได้สติ


โชดดีที่จัดการเรื่องของเด็กหญิงเสร็จเรียบร้อยแล้ว หาไม่แล้วอาจต้องตายทั้งคู่ แน่นอนว่านี่คือผลลัพธ์จากความระมัดระวังของ ‘หญิงชรา’ ผู้นั้น เพราะเป้าหมายที่แท้จริงของนางคือเด็กหนุ่มสะพายกระบี่


หัวของเด็กหนุ่มเซียนกระบี่หนึ่งหัว แลกมาด้วยสมบัติอาคมลำดับสองในท้องพระคลังแคว้นกู่อวี๋หนึ่งชิ้น!


สมบัติชิ้นนั้นมารออยู่ในมือนางอย่างมั่นคงแล้ว


หญิงชราฉีกหน้าปลอมที่แปะทับใบหน้าจริงออก แผ่นหนังหน้าเหนียวหนืดถูกนางโยนทิ้งไปใกล้ เผยให้เห็นโฉมหน้าของสตรีโตเต็มวัยที่งดงาม ไม่เพียงเท่านี้ นางยังบิดกายหนึ่งครั้ง รูปร่างกลับคืนมาเป็นปกติ อรชรอ้อนแอ้น นางก็คือผู้ฝึกลมปราณของแคว้นกู่อวี๋ ฮูหยินอสรพิษ ผู้ที่เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษมากที่สุด


นางหันหน้าไปยิ้ม “พี่โต้ว ได้เวลาเจ้าลงมือแล้ว ข้าน้อยอ่อนแอ ร่างกายไม่แข็งแรงกำยำเหมือนเจ้าของหอหม่ายตู๋อย่างเจ้าที่ต่อให้ถูกกระบี่บินของเซียนกระบี่แทงสองทีก็ยังทนได้ไหว ต่อให้ตอนนี้เซียนกระบี่ผู้นี้จะไม่ต่างจากคนธรรมดา แต่หากเขาซ่อนท่าไม้ตายอะไรเอาไว้ ข้าน้อยก็รับไม่ไหวหรอกนะ”


ปรมาจารย์ในยุทธภพแซ่โต้วเดินมาถึงธรณีประตูช้าๆ


มือดาบผู้นี้มองไปยังเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่กำลังลุกขึ้นยืน กล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เฉินผิงอัน ขอโทษด้วย ราชครูของพวกเราต้องการศีรษะของเจ้า หากได้พบเจอกันในยุทธภพ ไม่แน่ว่าเจ้าและข้าอาจจะได้ดื่มเหล้าด้วยกันสักครั้ง แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว ทั้งสามคนที่อยู่ในห้องนี้ ซึ่งรวมถึงเจ้าด้วย ทุกคนต้องตายทั้งหมด”


เฉินผิงอันมองชายหญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตู กระตุกมุมปากขึ้นสูง ไม่ได้เอ่ยอะไร


ราวกับกำลังบอกว่า คำพูดที่เจ้าพูดเองปาวๆ ก่อนหน้านี้ว่าคนบนภูเขาไม่มีคุณธรรม เห็นชีวิตคนธรรมดาไร้ค่า แต่คนล่างภูเขาอย่างพวกเจ้าล่ะดีกว่ากันตรงไหน


ชายฉกรรจ์ยิ้มรับ ชักดาบออกจากฝัก ก้าวยาวๆ ข้ามธรณีประตูเข้ามา “เหล้าที่อยู่ในน้ำเต้าบรรจุเหล้าของเจ้า หลังจากนี้ข้าจะช่วยดื่มให้หมดเอง”


เจ้าเมืองหลิวมึนงงทำอะไรไม่ถูก


นี่มันเรื่องอะไรกันอีก?


เฉินผิงอันยังยืนอยู่ที่เดิม


ก่อนหน้านี้ผู้ฝึกกระบี่ของภูเขาเจินอู่ อาจารย์ของหม่าขู่เสวียนช่วยสังหารนักฆ่าแคว้นกู่อวี๋ไปหนึ่งคน ตอนนี้มาพร้อมกันทีเดียวสองคน ไม่รู้ว่าจะยังมีคนที่สี่หรือไม่


เฉินผิงอันเอ่ยขึ้น “ในเมื่อถูกเจ้าเห็นสมบัติส่วนตัวมาก่อนแล้ว…”


หยุดชะงักไปเล็กน้อย เฉินผิงอันก็พลันหัวเราะ “ชูอี สืออู่ ออกแสดงครั้งนี้ พวกเราสามารถแสดงให้งดงามได้สักหน่อย”


สตรีงดงามที่ใจอำมหิตแห่งแคว้นกู่อวี๋จุ๊ปากพูด “เซียนกระบี่ท่านนี้ เจ้ายังคิดจะดิ้นรนก่อนตายอีกหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าของหอหม่ายตู๋ที่ได้รับฉายาว่าพันหน้าผู้นี้ถนัดเล่นงานเทพเซียนบนภูเขาห้าขอบเขตกลางมากที่สุด หากเป็นเวลาปกติอาจไม่แน่เสมอไปว่าจะได้เปรียบ แต่เวลาครึ่งก้านธูปของวันนี้ บิดคอเจ้าให้หัก ไม่ใช่เรื่องยากเลยจริงๆ”


เฉินผิงอันคร้านจะสนใจสตรีที่พูดจาน่ารำคาญ เพียงปรับลมปราณของตัวเองอยู่เงียบๆ


ทันใดนั้นแสงสีขาวพร่าตา แสงสีเขียวเจิดจ้าก็ทยอยกันพุ่งออกมาจากในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ หยุดลอยอยู่ใกล้กับไหล่ซ้ายขวาของเฉินผิงอัน


สตรีผู้นั้นตะลึงพรึงเพริด พูดเสียงสั่น “จะเป็นไปได้อย่างไร! เจ้าเรียกกระบี่บินออกมาอีกได้อย่างไร!”


ต่อให้เป็นมือดาบที่พบเจอพายุมรสุมมามากมายก็ยังจำต้องหยุดเดิน จากที่ถือดาบด้วยมือข้างเดียวก็เปลี่ยนมาเป็นจับสองมือ


เฉินผิงอันมองไปทางซ้าย แล้วก็ย้ายไปมองทางขวา ถามยิ้มๆ กับกระบี่บินทั้งสองเล่ม “ถ้าอย่างนั้นพวกเราเอาเลยไหม? ฆ่าคนที่พูดมากก่อน แล้วค่อยตามมาด้วยคนพูดน้อย ข้าไปก่อนแล้วกัน”


เจ้าของหอหม่ายตู๋ที่มีชื่อเสียงด้านการลอบสังหารระบือทั่วหลายแคว้นไม่ยินดีเสี่ยงเดินหน้า


แต่เฉินผิงอันกลับกระโจนตัวไปข้างหน้า หนึ่งเท้าที่เหยียบออกไป พื้นรอบด้านก็ปริแตก


เวลาเดียวกันนั้นหนึ่งหิมะขาวหนึ่งเขียวมรกตก็ตีเส้นโค้งงดงามสองเส้นอยู่ในห้องโถงหลัก พริบตาเดียวก็พุ่งผ่านมือดาบไป


สตรีกรีดร้องเสียงแหลม ดีดปลายเท้าทะยานตัวขึ้นกลางอากาศ หมายจะไปจากที่แห่งนี้ ชั่วชีวิตนี้นางไม่ต้องการเห็นตัวประหลาดที่มีรูปร่างเป็นเด็กหนุ่มผู้นั้นอีกแล้ว


ร่างกายเย้ายวนของสตรีโตเต็มวัยหยุดชะงักอยู่กลางอากาศสองครั้งในชั่วระยะเวลาสั้นๆ จากนั้นร่างทั้งร่างของนางก็ร่วงลงมากระแทกพื้น


ตำแหน่งหัวใจและหว่างคิ้วของนางล้วนมีเลือดหยดเล็กๆ ไหลซึมออกมาอย่างเชื่องช้า


มือดาบคำรามก้อง บุรุษที่มือทั้งสองจับดาบ พลังอำนาจไต่ทะยานถึงขีดสุดไม่เพียงไม่รุก กลับยังถอยหนี ตรงน่องเล็กของขาทั้งสองมีแสงเปล่งวาบ ร่างทั้งร่างของเขาก็ถอยกรูดไปด้านหลัง ลำตัวกระแทกเข้ากับผนังบังตานอกประตู ทะลุไปยังกำแพงอีกชั้นหนึ่ง ฝ่ามือของนักฆ่าอันดับหนึ่งที่ร่างทั้งร่างเปรอะไปด้วยฝุ่นผงเปล่งแสงเจิดจ้า นั่นก็คือยันต์เพิ่มพลัง เขาตบมันลงบนพื้นหนักๆ หนึ่งครั้ง ร่างก็หายวับไปในชั่วพริบตา


เฉินผิงอันชะลอความเร็วลง เดินเข้าไปใกล้กับธรณีประตู กวาดตามองไปรอบด้าน สุดท้ายชี้ไปยังจุดหนึ่งที่ห่างไปไกล “ตรงนั้น”


ชูอีกับสืออีที่บินแนบพื้นพุ่งไปยังทิศทางที่นิ้วของเฉินผิงอันชี้ไปแทบจะเวลาเดียวกัน


ทั้งๆ ที่เป็นพื้นอิฐสีเขียวที่แข็งทื่อ แต่กลับเกิดริ้วกระเพื่อมเหมือนลูกคลื่นเป็นระลอก ผ่านไปครู่หนึ่ง ทุกอย่างก็สงบลงดังเดิม


เฉินผิงอันถึงได้ยกมือขึ้นอุดปาก เอนไหล่พิงกรอบประตู กลืนเลือดสดที่ตีตื้นขึ้นมากลับลงลำคอไป ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกจากเอว กระบี่บินสองเล่มพากันบินกลับเข้ามา เฉินผิงอันจิบเหล้าเบาๆ ก็คือเหล้าต้มหนึ่งจินราคาแปดเหรียญ รสชาติไม่เลวเลยจริงๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหล้ารสเลิศที่เป็นเอกลักษณ์ของเมืองแยนจือซึ่งขายหนึ่งจินสิบตำลึงเงินนั้นจะมีรสชาติเช่นไร


—–


บทที่ 234.1 ฝุ่นคลุ้งตกตะกอน

โดย

ProjectZyphon

น้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความเคารพและยำเกรงดังขึ้นมาจากด้านหลัง “คุณชายเฉิน นี่มันเรื่องอะไรกันหรือ?”


ที่แท้เจ้าเมืองหลิวก็คืนสติแล้ว


สำหรับเรื่องที่เกี่ยวกับองค์เทพแห่งภูเขาแม่น้ำและภูตผีปีศาจ หลิวเกาหวาบุตรชายของเจ้าเมืองหลิวมีความเข้าใจแค่ครึ่งๆ กลางๆ เพราะอ่านเอาจากวรรณกรรมและนิทานเรื่องแปลกของเหล่านักประพันธ์ แต่เจ้าเมืองหลิวกลับไม่เหมือนกัน ถึงอย่างไรเขาก็เป็นขุนนางระดับสูงที่ปกครองประชาชนของหนึ่งเมือง อีกทั้งเมืองแยนจือยังถือเป็นเมืองใหญ่อันดับต้นๆ ของแคว้นไฉ่อีด้วย เจ้าเมืองหลิวจึงรู้เรื่องวงในและความลับมากมายในประวัติศาสตร์มานานแล้ว อย่างน้อยเรื่องเกี่ยวกับศาลเทพอภิบาลเมืองและเทพภูเขาเทพแม่น้ำของเมือง เจ้าเมืองหลิวก็จำเป็นต้องรู้อย่างชัดเจน กรมพิธีการของทางราชสำนักจะส่งคนให้มาอธิบายความลี้ลับเหล่านี้แก่ขุนนางใหญ่ในพื้นที่เป็นการเฉพาะ


เฉินผิงอันปรับมหาสมุทรลมปราณให้สงบลงได้เล็กน้อย ผูกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ที่เอวเรียบร้อย หันกลับไปมองเจ้าเมืองหลิวก็ทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่ได้พูด


ศึกครั้งนี้ของเขาถือว่าเฉียดอันตรายเสี่ยงตายอย่างยิ่ง อันที่จริงเมื่อเขาต่อสู้กับเทพอภิบาลเมืองแล้วยังมาวาดยันต์ช่วยเด็กหญิง กำลังของเขาก็เป็นม้าตีนปลายอยู่นานแล้ว แม้ว่าการบังคับกระบี่บินสองเล่มที่มีความเป็นมาพิเศษไม่จำเป็นต้องให้เขาใช้ปราณวิญญาณที่ผู้ฝึกลมปราณต้องใช้ก็จริง เพราะการที่เขา ‘เชิญ’ บรรพบุรุษน้อยทั้งสองไว้ให้น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ให้พวกมันช่วยเขากำจัดปีศาจปราบมาร จิตจึงเชื่อมโยงถึงกัน สามารถชักนำออกคำสั่งทางความคิด ท่าไม้ตาย ‘หิมะใหญ่ล้อมด่าน’ ที่ฮูหยินอสรพิษตั้งใจสร้างเพื่อเขาโดยเฉพาะจึงไม่มีความหมายต่อเฉินผิงอันแม้แต่น้อย แต่การเรียกใช้ชูอีกับสืออูก็ยังต้องเผาผลาญพลังจิตของเฉินผิงอันอยู่ดี หากนักฆ่าแซ่โต้วเจ้าของหอหม่ายตู๋ไม่ได้ตกใจกลัวจนหนีไป ก็มีความเป็นไปได้มากว่าเฉินผิงอันจะต้องถูกอีกฝ่ายเด็ดหัว หรือไม่ก็พินาศวอดวายกันไปทั้งสองฝ่าย ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันจะไม่เพียงถูกทำลายสะพานอมตะเท่านั้น เกรงว่าแม้แต่เส้นทางของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวสายนี้ก็อาจจะเปลี่ยนมาเป็นยับเยินแตกร้าว เพราะพลังต้นกำเนิดและรากฐานของจิตวิญญาณถูกทำร้ายอย่างสาหัส


เฉินผิงอันไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี นี่เกี่ยวพันกับความลับมากมายเกินไป ยังดีที่เจ้าเมืองหลิวเห็นว่าเซียนซือท่านนี้มีสีหน้าลำบากใจ จึงไม่คิดจะซักไซ้ต่อ ในความเป็นจริงแล้วการที่เทพเซียนบนภูเขาลงมาเดินในโลกมนุษย์ก็มีกฎเกณฑ์และข้อห้ามอยู่มากมาย ความรู้ทั่วไปข้อนี้เจ้าเมืองหลิวยังพอจะทราบอยู่บ้าง แค่ต้องการแน่ใจว่าเซียนกระบี่เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคือ ‘คนกันเอง’ คือสหายของหลิวเกาหวาบุตรชายของตน แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว!


พูดคุยกับเจ้าเมืองหลิวตามมารยาทสองสามคำ เฉินผิงอันก็หมุนตัวเดินไปหาผู้เฒ่า ทรุดตัวลงนั่งยองช่วยจับชีพจรให้กับผู้ฝึกลมปราณที่จิตใจดีงามคนนี้ ชีพจรของอีกฝ่ายราบรื่นมั่นคง น่าจะไม่มีปัญหาใหญ่อะไร รอจนฤทธิ์ยา ‘หิมะใหญ่ล้อมด่าน’ ถูกกำจัดหมดไปก็น่าจะฟื้นขึ้นมาได้เอง จู่ๆ เฉินผิงอันก็เงยหน้าขึ้น จึงเห็นดวงตากลมโตของเด็กน้อยที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นกำลังกะพริบปริบๆ มองมายังตน


ดวงตาคลอประกายน้ำที่แบ่งข้างหยินหยางมาตั้งแต่เกิด เมื่อถูกการชักนำจากยันต์ปราณหยางส่องไฟที่เขียนลงบนกระดาษสีทอง ตอนนี้จึงยังมีแสงสีทองจางๆ ไหลเวียนวน


เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม ยื่นมือไปช่วยเช็ดคราบเลือดบนใบหน้าให้นาง กล่าวปลอบใจว่า “ไม่เป็นอะไรแล้ว ยังเจ็บอยู่หรือไม่?”


มุมปากสองข้างของเด็กหญิงโค้งขึ้น สองข้างแก้มปรากฏรอยบุ๋มตื้นๆ ของลักยิ้ม


เฉินผิงอันประคองผู้เฒ่าให้ลุกขึ้น จับเขาวางลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง จากนั้นก็เดินไปทางประตู เจ้าเมืองหลิวคิดในใจว่าตอนนี้ติดตามอยู่ข้างกายเซียนกระบี่ท่านนี้ย่อมปลอดภัยที่สุด จึงเดินตามเฉินผิงอันก้าวออกจากธรณีประตูของห้องโถงหลักไปด้วย เฉินผิงอันเดินไปหยุดอยู่ข้างศพของฮูหยินอสรพิษ หยิบถุงผ้าสีขาวที่อยู่ตรงเอวนางขึ้นมา พบว่าด้านในมีอ่างล้างพู่กันขนาดเล็กเนื้อกระเบื้องสีชมพูอยู่ใบหนึ่ง ในอ่างมีงูขาวตัวน้อยขดตัวอยู่ ความยาวของมันแค่หนึ่งชุ่น เล็กบางอย่างถึงที่สุด กำลังเงยหน้าแลบลิ้นขู่ฟ่อใส่ท้องฟ้าอย่างบ้าคลั่ง เพียงแต่ว่าท่าทางนั้นดูก็รู้ว่าแข็งนอกอ่อนใน และยังมีแมงป่องสีดำสนิทที่นอนพังพาบอยู่บนพื้นอ่างอย่างอ่อนระโหยโรยแรง พอมองอย่างละเอียดถึงเห็นว่าลำตัวของมันคล้ายผีผาสีหมึกตัวหนึ่ง


เฉินผิงอันใจกระตุกเล็กน้อย บังคับให้ชูอีกับสืออู่ออกมาสังหารศัตรูตอนนี้คือฝันกลางวันของคนปัญญาอ่อน แต่จะให้พวกมันออกมาวางท่าข่มขู่ศัตรูกลับไม่ยากเลย


ชูอีกลายร่างเป็นสายสีขาวหิมะพุ่งพรวดออกไปจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ กระโจนไปโผล่อยู่ตรงกลางอ่างล้างพู่กันขนาดเล็กที่มีลักษณะเหมือนของโบราณ ลอยอยู่เหนือศีรษะของเจ้าตัวน้อยทั้งสอง ทำเอางูขาวตกใจตัวสั่นสะท้าน ร่างที่เรียวเล็กขยับแนบชิดติดเข้ากับผนังด้านในของอ่าง แมงป่องดำก็ยิ่งทำท่าเหมือนคนยกมือกุมหัว ชูอีบินวนอยู่ในอ่างอย่างเชื่องช้าเหมือนแม่ทัพฝ่ายบู๊ที่ออกตรวจตราฐานทัพ พลังอำนาจเปี่ยมล้นน่าเกรงขาม


เจ้าเมืองหลิวในเวลานี้ไม่เหลือมาดสุภาพสง่างามของบัณฑิตและขุนนางชั้นสูงอีกต่อไป เขานั่งยองตามเฉินผิงอัน จุ๊ปากพูดชื่นชมไม่หยุด “เซียนกระบี่ตัวจริงก็คือเซียนกระบี่ตัวจริง!”


เฉินผิงอันหยิบอ่างล้างพู่กันขึ้นมาถือในมือ ลุกขึ้นยืน เพ่งสายตามองไปถึงได้เห็นว่าวงกลมด้านนอกของอ่างล้างพู่กันที่อยู่ใกล้กับก้นอ่างมีตัวอักษรเล็กๆ เหมือนลูกอ๊อดที่กำลังเคลื่อนที่ช้าๆ ไม่อยู่นิ่ง คล้ายกลุ่มเด็กร่าเริงน่ารักกลุ่มหนึ่งที่กำลังล้อมวงเล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน


มีทั้งหมดสิบหกตัวอักษร บุปผาวสันต์ดวงจันทร์สารท สายลมวสันต์ต้นไม้สารท ภูเขาวสันต์ก้อนหินสารท วารีวสันต์เกล็ดน้ำค้างสารท


เฉินผิงอันยิ้มชอบใจ นึกไปถึงคู่สองสาวพี่น้องที่เจอบนเรือคุน พี่สาวชุนสุ่ย (แปลตรงตามตัวคือน้ำในช่วงฤดูใบไม้ผลิ) นิสัยหนักแน่น น้องสาวชิวสือ (ผลไม้หรือธัญพืชที่สุกงอมในฤดูใบไม้ร่วง) นิสัยเหมือนเด็กมากกว่า เฉินผิงอันอดเงยหน้ามองไปยังท้องฟ้าทางทิศใต้ไม่ได้ ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกนางไปถึงนครมังกรเฒ่าแล้วหรือยัง? หากได้พบกันครั้งหน้า เฉินผิงอันอยากมอบอ่างล้างพู่กันใบเล็กที่งดงามชิ้นนี้ให้กับพวกนาง น่าเสียดายก็แต่ด้านบนสลักแค่อักษรคำว่าชุนสุ่ย (วารีวสันต์) ไม่มีคำว่าชิวสือ ขาดไปแค่ตัวอักษรเดียว เลยไม่สมบูรณ์ ไม่อย่างนั้นคงจะดียิ่งกว่านี้


เพียงแต่ตอนนี้เฉินผิงอันยังไม่รู้ว่า ความน่าเสียดายบางอย่าง อาจเพียงแค่เพราะไม่สามารถทำให้มันงดงามอย่างสมบูรณ์แบบได้ แต่ความน่าเสียดายบางอย่าง กลับเป็นความรู้สึกที่จะคงอยู่ยาวนานตลอดไป


เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าเมืองหลิว คนตายควรได้รับความเคารพ ท่านช่วยเก็บศพให้สตรีผู้นี้ วันหน้าหากมีโอกาสช่วยหาที่ฝังศพให้กับนางด้วยได้หรือไม่? ค่าใช้จ่ายทุกอย่าง ข้าจะเป็นคนออกให้เอง”


เจ้าเมืองหลิวกล่าวยิ้มๆ “เรื่องเล็กแค่นี้ ไหนเลยต้องให้คุณชายสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจ ทุกอย่างมอบให้เป็นหน้าที่ของจวนเจ้าเมืองเถอะ รับรองว่าเราจะจัดการให้อย่างเหมาะสม”


เจ้าเมืองหลิวหุบยิ้ม ถามหยั่งเชิง “เพียงแต่ว่าคราวนี้พวกปีศาจมาก่อเรื่องวุ่นวาย ตาเฒ่าแซ่หวงคนนั้นหน้าเนื้อใจเสือ ปกปิดเจตนาชั่วร้าย ไม่แน่ว่าอาจต้องให้คุณชายใช้กระบี่บินกำราบพวกปีศาจอีกครั้ง”


เฉินผิงอันยิ้มจืด “ตอนนี้ข้าต้องการแค่ถังน้ำใบใหญ่ที่บรรจุน้ำร้อนไว้จนเต็ม ส่วนตัวยา ข้ามีมาเอง อย่างน้อยต้องแช่ตัวหลายชั่วยาม ถึงจะบำรุงรักษาร่างกายให้หายดีได้”


เจ้าเมืองหลิวพยักหน้ารับ “แน่นอนๆ ข้าจะสั่งให้คนในจวนไปจัดการเดี๋ยวนี้ ร่างกายของคุณชายเฉินสำคัญมาก ตอนนี้ความปลอดภัยของชาวบ้านหลายแสนคนในเมืองแยนจือล้วนผูกติดอยู่กับคุณชายเฉินแล้ว จะปล่อยให้เกิดปัญหากับร่างกายท่านไม่ได้จริงๆ ข้าจะไปสั่งคนให้ช่วยจัดการเดี๋ยวนี้…”


เจ้าเมืองหลิวก้าวเร็วๆ จากไป อันที่จริงขุนนางระดับสูงขั้นสี่ชั้นเอกของแคว้นไฉ่อีผู้นี้พูดจาเปิดเผยตรงไปตรงมา ต่อให้เฉินผิงอันไม่ได้อยู่ในวงการขุนนางก็ฟังความนัยจากคำพูดของเขาเข้าใจ แต่สำหรับเรื่องนี้เขาทั้งไม่ได้ตบอกรับรอง แล้วก็ไม่ได้ปฏิเสธไปในทันที เพียงยิ้มเจื่อนๆ ไม่เอ่ยคำใด


นอกจากนำกระบี่ไปส่งแล้ว ทุกเรื่องที่พบเจอ เฉินผิงอันจะใช้หลักการแค่สี่คำว่า ทำเท่าที่ความสามารถอำนวยเท่านั้น


กับเทพอภิบาลเมืองร่างทองเสิ่นเวิน เขาทำแบบนี้ กับขุนนางใหญ่ผู้พิทักษ์อาณาเขตแห่งนี้ เขาก็จะทำแบบเดียวกัน


สุดท้ายเฉินผิงอันก็ไปแช่ตัวอยู่ในถังยาใบใหญ่ในห้องที่เงียบสงบห้องหนึ่ง ตัวยาที่ใช้เป็นเว่ยป้อมอบให้ก่อนที่เขาจะเดินทางออกจากหลงเฉวียน จำนวนมากพอให้ใช้สามครั้ง แน่นอนว่าหากมากกว่านี้เว่ยป้อก็หามาให้ได้ นั่นก็เพราะเงินของทวยเทพขุนเขาเหนือมีมากพอ วัตถุดิบวิเศษในร้านผ้าห่อบุญของภูเขาหนิวเจี่ยวก็มีมากพอ แต่เว่ยป้อไม่ได้เตรียมไว้มากนัก ตอนนั้นเขายังพูดเย้าว่าเป็นลางไม่ดี เตรียมมาไว้มากเกินไป อาจเป็นการแสดงว่าเขาไม่เห็นดีในตัวเฉินผิงอัน เขาหวังว่าการเดินทางในยุทธภพของเฉินผิงอันครั้งนี้จะราบรื่นและปลอดภัย จำนวนครั้งที่บาดเจ็บไม่เกินสาม เหมือนกับคำว่าเรื่องใดๆ ไม่ควรทำซ้ำสามครั้ง ถือว่านี่เป็นการมอบลางที่ดีให้แก่เฉินผิงอันก่อนออกเดินทาง


ก่อนที่จะเข้ามาในห้องนี้ เฉินผิงอันขอให้เจ้าเมืองหลิวช่วยรักษาความลับ อย่าแพร่งพรายบอกใครว่าเขาคือ ‘เซียนกระบี่’ เจ้าเมืองหลิวทำสีหน้าเข้าอกเข้าใจ ตอบรับอย่างรวดเร็ว ขาดก็แค่ไม่ได้เอ่ยคำสาบานเท่านั้น


ขณะเดียวกันก็มอบยันต์เทพเดินทางให้กับเจ้าเมืองหลิว บอกว่าให้นำไปมอบแก่นักพรตจางซานสหายของเขา


ระหว่างที่เฉินผิงอันแช่ตัวอยู่ เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงความอึกทึกครึกโครมที่เกิดขึ้นในศาลเทพอภิบาลเมืองของเมืองแยนจือ แต่ในเมื่อเฉินผิงอันไม่มีเวลาไปสนใจ จึงหยุดคิดให้มากความ สงบใจบำรุงลมปราณด้วยความอบอุ่น บวกกับใช้วิธีโคจรปราณกระบี่สิบแปดหยุดที่อาเหลียงถ่ายทอดให้ และวิธีการหายใจของหยางเหล่าโถว เข้าฌานทำสมาธิอยู่ในถังยา มือทั้งสองข้างทำท่ากระบี่เจี้ยนหลูตามตำราเขย่าขุนเขา ประหนึ่งไม้แห้งเหี่ยวในฤดูหนาวที่รอให้ลมฤดูใบไม้ผลิพัดโชยมาเงียบๆ


คืนนี้การเข่นฆ่าในเมืองแยนจือยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้านหนึ่งคือพวกปีศาจที่เปิดใช้ค่ายกลสำเร็จ ทุกพื้นที่ล้วนมีชาวบ้านที่ถูกอาคมปีศาจเข้าสิงร่าง คนทั้งจวนเจ้าเมืองต่างก็เหนื่อยล้ากันเต็มที อีกด้านหนึ่งก็มีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย ข่าวดีก็คือแม่ทัพหม่าที่อยู่ตรงประตูตะวันออกส่งข่าวมาบอกว่า ไม่รู้ว่าทำไมมารหวงเหล่าที่ตบตาผู้อื่นว่าเป็นเทพเซียน ถึงได้แตกคอกับคนสามคน ไปต่อสู้กันที่ศาลเทพอภิบาลเมืองจนฟ้าสะท้านดินสะเทือน และด้วยเหตุนี้เรื่องร้ายจึงเกิดขึ้น คนทั้งสี่ต่อสู้กันอย่างไม่มีออมมือ แต่ละคนมีสมบัติอาคมมากเท่าไหร่ก็โยนใส่กันไม่ยั้ง คาถาอาคมชั่วร้ายก็ถูกร่ายไม่หยุด ทำลายบ้านเรือนของชาวบ้านพังไปหลายร้อยหลัง ชาวบ้านเองก็บาดเจ็บล้มตายกันไปมาก ทหารม้าใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพหม่าที่ควบม้าเร็วออกจากฐานทัพมาให้ความช่วยเหลือที่เมืองแยนจือไม่อาจขี่ม้าบุกเข้าไปตามตรอกซอกซอยได้ จำต้องลงจากม้าเดินเท้าต่อสู้ แต่ละคนสวมเสื้อเกราะเหล็ก ในมือถือธนูแข็งแกร่งทนทาน แต่สำหรับปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ที่ฝึกตนบนภูเขาทั้งสี่ท่านนั้น นอกจากลูกธนูพิเศษสิบกว่าลูกที่เก็บอยู่ในจวนเจ้าเมืองซึ่งสามารถสร้างภัยคุกคามที่แท้จริงให้กับพวกเขาได้แล้ว ธนูแบบอื่น หนึ่งคือตามความเร็วในการพลิกตัวเปลี่ยนท่าทางของพวกเขาไม่ทัน สองยังไม่ทันได้เข้าใกล้ก็มักจะถูกตบให้ถอยออกไปก่อน หรืออาจถึงขั้นที่ว่าลูกธนูบางส่วนจะถูกปีศาจใหญ่บางตนคว้าจับไว้ได้ระหว่างการต่อสู้ แล้วโยนกลับไปส่งๆ แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้ทหารกล้าบาดเจ็บและล้มตายกันไปอีกแปดคนสิบคน


คิดจะใช้ความตายแลกมาด้วยอาการบาดเจ็บของอีกฝ่ายก็แทบเป็นไปไม่ได้เลย


ส่วนแม่ทัพหม่านั้นสมกับคำว่าไม่กลัวตายอย่างแท้จริง เป็นทหารกล้าเชี่ยวชาญการต่อสู้ที่ใช้ชีวิตอยู่บนสมรภูมิรบชายแดนมานานหลายปี เมื่อเจอกับผู้ฝึกตนเหล่านี้ เขาจึงบุกนำเป็นทัพหน้า หลายครั้งที่หาโอกาสเหมาะจับจังหวะเล่นงานปีศาจบางตนที่แยกตัวอยู่โดดเดี่ยวได้เจอ จึงคอยร่วมมือกับรองแม่ทัพผู้นั้นต่อสู้ประชิดตัวโรมรันกับฝ่ายมาร ภายหลังการกระทำของเขาทำให้ ‘เทพเซียนหวงเหล่า’ กับมารเฒ่าหมี่ที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดโมโหจัด คนทั้งสองที่กลายมาเป็นศัตรูกันจึงหยุดพักรบกันชั่วคราว หันมาโจมตีทั้งแม่ทัพหม่าและรองแม่ทัพให้บาดเจ็บสาหัส หากไม่เป็นเพราะนายทหารคนสนิทสิบกว่าคนช่วยกันใช้ธนูพิเศษที่สำนักโม่เป็นผู้สร้างขัดขวางเอาไว้ รวมไปถึงคนหลายคนที่ช่วยปกป้องอย่างไม่เสียดายชีวิต คนทั้งสองก็คงไม่มีทางมีชีวิตรอดออกมาจากสนามต่อสู้ และคงจะรบตายอยู่ในเมืองแยนจือตั้งแต่คืนนั้น


ครึ่งคืนหลัง ‘เทพเซียนหวงเหล่า’ ที่ต้องรับมือกับศัตรูถึงสามคนก็ถูกมารเฒ่าหมี่สาด ‘ข้าวสาร’ กำใหญ่ใส่ศีรษะ พริบตาเดียวทั่วทั้งร่างของเขาก็มีควันสีเขียวส่งเสียงดังซี่ๆ รูเลือดจำนวนนับไม่ถ้วนจากการถูกเผาไหม้ทำให้เลือดและเนื้อปะปนกันจนแยกไม่ออก จำต้องใช้วิชาหลบหนีดำดินลงไป ปีศาจทั้งสามตนเริ่มออกค้นหา หากเจอพวกมือปราบหรือนักสู้ที่เข้ามาเป็นกำลังหนุนที่กล้าขัดขวางก็จะลงมือโจมตีสังหารทันทีอย่างไม่ออมมือ


ช่วงรุ่งสาง เมื่อเฉินผิงอันสวมเสื้อผ้าเดินออกจากห้องก็พบว่าหลิวเกาซินนั่งอยู่สุดปลายระเบียง กำลังงีบหลับอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก


เด็กสาวหลับไม่สนิทนัก เพียงไม่นานก็ตื่นขึ้นมา กลัวว่าตัวเองจะนอนน้ำลายไหลจึงรีบเบี่ยงหน้าไปอีกทางเพื่อเช็ดหน้า


อันที่จริงนางเองก็เพิ่งกลับจวนมาไม่นานเท่าไหร่ พอเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดแล้วก็มานั่งเป็นเทพทวารบาลอยู่ตรงนี้


เฉินผิงอันเดินไปที่ห้องโถงหลักพร้อมกับนาง ถามตอบกันอยู่ครู่หนึ่ง เฉินผิงอันก็พอจะเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองช่วงที่ผ่านมาได้คร่าวๆ ได้ยินว่าพวกปีศาจเกิดแตกคอกันเอง เขายังรู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง แต่การเข่นฆ่าที่เกิดขึ้นไม่ใช่ของปลอม แม้จะไม่รู้เรื่องวงในที่เกิดขึ้น แต่ขอแค่มีประโยชน์ต่อเมืองแยนจือก็ถือว่าเป็นเรื่องดี เพียงแต่ว่าความเสียหายและการบาดเจ็บล้มตายที่เกิดขึ้นเพิ่มนั้น เป็นสิ่งที่ใครก็ไม่อาจควบคุมได้


หากใช้คำพูดของชุยฉานก็คือ บนโลกใบนี้มีคนอยู่ผู้หนึ่งที่ร้ายกาจที่สุด เชื่อฟังข้าได้อยู่ต่อ ทรยศข้าต้องตาย


ตอนนั้นราชครูเด็กหนุ่มที่สวมชุดขาวแสร้งทำเป็นเล่นเอาเถิดเจ้าล่อ น่าเสียดายที่ไม่ต่างจากการชม้ายชายตาให้คนตาบอดเพราะเฉินผิงอันไม่คิดจะต่อบทสนทนา ชุยฉานจึงได้แต่พูดกับตัวเอง ให้คำตอบว่านี่ก็คือ ‘แนวโน้มของสถานการณ์’


แนวโน้มของสถานการณ์เป็นเช่นนี้


—–

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)