ท่านเทพมาแล้ว 233-240
บทที่ 233 ใครคือผู้ร้าย?
โดย
Ink Stone_Romance
ส่วนซ่างกวนสุ่น….
ใช่แล้ว ซ่างกวนสุ่นตามอวิ๋นฉัวไปทิวเขาริ้วหยกยังไม่เคยกลับมา แต่นี่ผ่านไปสองเดือนแล้ว หรือเรื่องราวยังจัดการไม่เรียบร้อย?
ตอนดูพวกอาฝูฝึกพลัง ลู่ยาก็พับกระเรียนกระดาษ โยนไปทางใต้
หลังข้าวกลางวันเพิ่งให้เสี่ยวซิงหั่นผลไม้สดเตรียมยกเข้าห้อง ได้ยินเสียงคนกระโดดเข้าประตูประตูลานมา จากนั้นเสียงแหลมเหมือนเป็ดก็ดังขึ้นมาแต่ไกล “เก็บข้าวไว้ให้ข้าหรือไม่? เก็บข้าวไว้ให้ข้าหรือไม่? ข้ากลับมาแล้ว!”
คนแก่และเด็กทั้งบ้านหันหน้ามามอง เห็นเพียงซ่างกวนสุ่นสะพายดาบยืนอยู่ที่ระเบียงทางเดิน โวยวายจนเหมือนกับมีปากงอกออกมาแปดปาก!
เสี่ยวซิงเบิกตาจนกลมมองสำรวจเขาอยู่นาน แม้แต่มีดที่ใช้หั่นผลไม้ยังลืมไปครู่หนึ่ง ถือมันพุ่งออกไป “เจ้ายังรู้จักกลับมา!”
“มิใช่ว่าข้าไปทำงานหรอกหรือ! ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว ยังไม่ได้กินข้าว รีบผัดกับข้าวสองอย่างเอาเหล้าหนึ่งกามาให้ข้า…
ซ่างกวนสุ่นหลบมีดของเสี่ยวซิง ผลักนางเดินตรงไปทางห้องครัว รวดเร็วเสียยิ่งกว่ากระต่าย
มู่จิ่วรับทำงานให้หวังหมู่ ทำให้มีเรื่องกังวลเพิ่มขึ้นในใจอีกเรื่อง วันนี้อวี้ตี้ไม่ได้ออกไปข้างนอก ในหน่วยก็ไม่มีเรื่องจุกจิกมากนัก ช่วงเช้านางจึงไปเดินรอบวังหลิงเซียวสักรอบสองรอบ ไม่ได้รีบกลับบ้าน หลังจากกินข้าวอยู่ที่หน่วย ช่วงบ่ายค่อยออกไปเดินอีกสักสองรอบถึงได้เลิกงาน
ยังไม่ทันถึงประตูบ้านก็ได้ยินเสียงของซ่างกวนสุ่นก่อน รู้ว่าเขากลับมาแล้วก็อดดีใจไม่ได้ ในบ้านคึกคัก ช่างดียิ่งนัก
เสี่ยวซิงทำกับข้าวมื้อเย็นหลายอย่าง มู่จิ่วถามเรื่องตระกูลอ๋าวตระกูลอวิ๋นขึ้นมาตรงโต๊ะกินข้าว เขาไปนานขนาดนี้เพิ่งได้กลับมา เดิมทีเป็นเพราะช่วงแรกอวิ๋นฉัวพบปัญหาในการปิดด่านหลายหลายครั้ง และมีเพียงอ๋าวเชินที่รู้วิธีควบคุมพลังวิญญาณของกุญแจจันทรา เพื่อป้องกันอ๋าวเชินเล่นตุกติก ซ่างกวนสุ่นจึงได้แต่รออวิ๋นฉัวเข้าที่เข้าทางก่อนค่อยกลับมา
“อวิ๋นเฉี่ยนเป็นอย่างไรบ้าง?” มู่จิ่วอยากรู้นัก ตอนนี้อ๋าวเชินแยกทางกับราชินีมังกรแล้ว ทั้งยังไปมาหาสู่ที่ทิวเขาริ้วหยกบ่อยครั้ง แบบนั้นก็ต้องเจอกับอวิ๋นเฉี่ยนอย่างแน่นอน เป็นไปได้หรือไม่ว่าสุดท้ายสองคนนี้จะสามารถครองคู่กัน?
“นางไปฝึกบำเพ็ญที่ที่พำนักของปี้เสียหยวนจินแล้ว” ซ่างกวนสุ่นตอบ “นี่ก็เป็นความตั้งใจของตระกูลอวิ๋น นางไม่เหมาะสมจะอยู่กับอ๋าวเชิน ตัวนางเองก็ไม่มีความคิดนี้เช่นกัน พอดีว่าปีนั้นจื่อเยวี่ยกับปี้เสียหยวนจินมีมิตรภาพต่อกันหลายส่วน ดังนั้นจึงส่งนางไปที่นั่น ตอนนี้อ๋าวเชินกับพี่น้องตระกูลอวิ๋นละทิ้งความแค้นเก่าก่อน ความสัมพันธ์นับว่าปรองดองกันดี”
มู่จิ่วได้ยินบทสรุปนี้ ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงโล่งใจไปเหมือนกัน อาจเป็นไปได้ว่าในใจนางไม่หวังให้พวกเขามีจุดจบไม่ดีกระมัง
หลังอาหารเย็น นางล้างผลไม้ครึ่งตะกร้าแล้วยกไปห้องลู่ยา
นางเลือกลูกท้อที่เขาชอบกินออกมาผ่าให้เขาก่อน จากนั้นจึงถาม “เรื่องคุนหลุนตะวันออกสุดท้ายแล้วเบื้องหลังเป็นใครทำ เจ้ารู้หรือไม่?”
“ไม่รู้” ลู่ยาส่ายหน้า เล่าเรื่องที่พวกเขาพบแมงมุมกลืนวิญญาณให้นางฟัง “สามารถสร้างใยแมงมุมของแมงมุมกลืนวิญญาณได้ใหญ่ขนาดนั้นต้องไม่ใช่ผู้อาวุโสทั่วไป และควบคุมแมงมุมกลืนวิญญาณตัวใหญ่เพียงนั้นได้ย่อมต้องไม่ใช่คนธรรมดา ตอนนี้เบาะแสน้อยเกินไป ข้าคิดไม่ออกว่าเขาจะเป็นคนแบบไหน”
“ควรพูดว่าคนผู้นี้ไม่เพียงมีที่มาแปลกประหลาด ทว่ายังเก่งในการแอบซ่อนตัวอย่างมาก กระทั่งในป่าทั้งผืนไม่มีร่องรอยของเขาอยู่แม้แต่น้อย ถ้ำนั้นอย่างน้อยก็หลายพันปีแล้ว ตั้งแต่แมงมุมกลืนวิญญาณทอใยแมงมุมขึ้นจนถึงวันนี้ก็หลายพันปีแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครทำลาย ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ วันนั้นหากไม่ใช่เพราะเจ้าฟันมันออกมาโดยไม่ระวัง ก็ไม่แน่ว่าพวกเราจะหาเจอ”
มู่จิ่วคิดก่อนพูด “แบบนั้นเจ้าหมายถึงคดีนี้กับคดีเฟยอีและอู่เต๋อมีจุดที่เกี่ยวข้องกันพอดีหรือ? เพราะอู่เต๋อก็กลับมาเกิดเมื่อห้าพันปีก่อน วิญญาณของเฟยอีก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยตอนนั้นพอดี เฟยอีไปไหน? ของวิเศษเหล่านั้นหายไปไหน?”
ลู่ยาฟังนางพูดถึงตรงนี้ก็เงียบลง
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงพูด “ตอนนี้ยังไม่อาจพูดได้ว่าเกี่ยวข้องกันแน่นอน แต่เวลาน่าสงสัยอยู่เล็กน้อยจริงๆ วันหลังข้าไปสืบว่าห้าพันปีก่อนในหกภพเกิดเรื่องอะไรใหญ่ขึ้นหรือไม่แล้วค่อยว่ากัน”
มู่จิ่วพยักหน้า ก่อนเอ่ยอีก “วันนั้นอ๋าวเชินกับอวิ๋นฉัวพบเจออันตรายที่ป่าหรือไม่?”
“พวกเขาไม่เจอ” ลู่ยามองนาง “อาฝูกับซ่างกวนสุ่นก็ไม่เจอเหมือนกัน นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ข้าสงสัย อันตรายนั้นเหมือนกับมุ่งไปที่เจ้าเท่านั้น แม้แต่อ๋าวเจียงที่เจออันตรายก็เพราะอยู่กับเจ้า ภายหลังเขาไม่เจอเรื่องอะไรอีก บาดแผลบนร่างล้วนเกิดขึ้นตอนที่อยู่กับเจ้า”
มู่จิ่วนิ่งอึ้ง หรือชะตาชีวิตนางมีดาววิบัติ?
“แต่ตอนข้าไปที่นั่นอีกครา พลังของข้ากับพลังวิญญาณของบึงน้ำดำเข้าคู่กันมาก”
“บึงน้ำดำคือบึงน้ำดำ ป่าคือป่า” ลู่ยาพูด “พลังวิญญาณของบึงน้ำดำเกิดตามธรรมชาติ และคนนอกเข้าไปน้อย อันตรายในป่าคงเกิดขึ้นจากการป้องกันคนบุกรุก ตอนที่เจ้าเดินอยู่ที่นั่น ตัวป่าเข้าใจว่าพลังวิญญาณของบ่อน้ำดำรั่วไหล ดังนั้นจึงมีปฏิกิริยาตอบสนอง”
มู่จิ่วสับสนอย่างมาก
ลู่ยามองไปข้างนอก “เจ้ายังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่?”
นางรีบส่ายหัว
ลู่ยาจูงมือนาง “แสงจันทร์ออกมาแล้ว พวกเราไปเดินเล่นกัน”
มู่จิ่วถูกเขาจูงออกไปข้างนอก
วันเวลาเคลื่อนคล้อยไปท่ามกลางความสงบและเรื่องปวดหัวที่ปรากฏในบางครั้ง
ถึงแม้คดีทั่วไปในหน่วยงานจะเหมือนเม็ดฝนตรงชายคาร่วงลงมาไม่ขาดสาย แต่เรื่องที่ชวนปวดหัวกลับไม่มี หากต้องบอกว่ามี นั่นก็คงเป็นงานที่หวังหมู่ให้มา
วันคืนช่วงนี้ไม่ว่าว่างหรือไม่ มู่จิ่วก็จะสวมชุดซ่อนเซียนเดินเล่นอยู่นอกวังหลิงเซียว รวมจับได้ว่าอวี้ตี้ออกไปข้างนอกสามครั้ง แต่ไม่มีแอบออกไปอย่างลับๆ สักครั้ง พูดตามจริง เขาเป็นผู้ชาย หนึ่งเดือนออกไปข้างนอกสองสามครั้ง แท้จริงไม่นับว่าเป็นอะไร จะมากน้อยก็สามารถพิสูจน์เรื่องได้ แต่หวังหมู่กลับยังให้นางจับตามอง แต่ไม่บอกว่าทำไม
มู่จิ่วทำได้เพียงทำตามคำสั่ง
นางมักรู้สึกว่าหวังหมู่อาจจับจุดอ่อนของอวี้ตี้ได้ เพียงแต่ยังไม่แน่ใจ ดังนั้นเป็นตายอย่างไรก็ให้นางพบตัวจริงให้ได้
แต่นางคิดเล่นๆ ก็รู้ว่าหวังหมู่กลัวอวี้ตี้ลักลอบคบชู้ อวี้ตี้มีใบหน้างดงาม มองดูแล้วไม่แก่เฒ่า บวกกับมีพลังอำนาจ ฐานะสูงส่ง ตลอดทั้งวันจรดค่ำแต่งตัวประณีตหมดจด และยังพูดจาเป็น เซียนหญิงที่แอบสนใจเขาต้องมีไม่น้อยแน่
เพียงแต่มู่จิ่วกลับคิดไม่ถึงว่าหวังหมู่จะมีอำนาจเด็ดขาดอยู่ที่วังหลังแล้ว และรับนางสนมให้อวี้ตี้ สามารถดูออกว่านางก็ไม่ได้เคร่งครัดถึงขนาดไม่ยอมให้อวี้ตี้ทำเกินขอบเขต แต่กลับยังสนใจว่าเขาออกไปพบใคร ข้างนอก ในบ้านกลับไม่สนใจ กลับสนใจเรื่องข้างนอก มิใช่การทำเรื่องเกินจำเป็นหรือ?
แต่จับตามองก็จับตามอง นางทำเหมือนจับตามองผู้ร้ายก็แล้วกัน
ช่วงนี้นางชิมแผงขนมรอบวังหลิงเซียวหมดแล้ว และมักจะห่อขนมที่รู้สึกว่าอร่อยกลับไปแบ่งสหายร่วมงาน จนหลิวจวิ้นเข้าใจไปว่านางจะเปลี่ยนอาชีพไปเปิดกิจการแล้ว
ข้อดีของการทำแบบนี้คือง่ายต่อการให้นางจับความเคลื่อนไหวของอวี้ตี้ได้มากขึ้น แน่นอนว่าไม่ใช่การถามตรงๆ แต่สามารถถามอ้อมๆ ได้ ช่วงนี้อวี้ตี้ไปเที่ยวเล่นกับใคร พบปะกับใครมาก ทุกคนล้วนปฏิบัติงานอยู่ในแต่ละหน่วย สังคมของแต่ละคนล้วนมีคนของสวรรค์ไม่น้อย ไปๆ มาๆ ก็รู้จักมากแล้ว
…………………………………………
บทที่ 234 เทียบเชิญงานแต่งดูไม่เลว
โดย
Ink Stone_Romance
ขณะเดียวกันนางก็กำชับพวกเสี่ยวซิงในบ้าน หากได้ยินข่าวคราวอะไรข้างนอกให้มาบอกนาง โดยเฉพาะประเภทซุบซิบนินทา อย่างไรหวังหมู่ก็เพียงสืบร่องรอยของสามี ในโลกนี้ข่าวอะไรล้วนแพร่สะพัดไม่ไว มีเพียงเรื่องซุบซิบนินทาหลากสีสันที่เหมือนกับแมลงในสายตากบ เพียงมีการเคลื่อนไหวก็หนีไม่พ้นลิ้น
มู่จิ่วมีแผนการชัดเจนแล้ว ดังนั้นอย่างไรก็มีเวลาตามลู่ยาไปเดินเล่นดูดาว
แน่นอนว่าที่จริงพวกเขาทำแบบนี้กันน้อยมาก
เพราะในบ้านค่อยๆ มีแขกมากขึ้น นอกจากพวกหลิวจวิ้นที่ปกติมากินข้าว ยังมีราชาจิ้งจอกที่มาดูลูกชายบ่อยๆ บางครั้งไม่มีเวลาก็ส่งมู่หรงหลิวเย่มาแทน มู่หรงหลิวเย่มาถึงก็ถามมู่จิ่วว่าฝึกคาถายั่วยวนเป็นอย่างไรบ้าง ซ้ำยังถามอีกว่ากับลู่ยาคืบหน้าไปถึงขั้นไหนแล้ว ช่างซุบซิบนินทากันจริงๆ
วังต้าเผิงแห่งเขาเนินอารามก็ส่งคนมาถามความเป็นไปของลู่ยาบรรพบุรุษที่ยังมีชีวิตอยู่บ่อยๆ แต่พวกมู่จิ่วรู้ว่าเบื้องหน้าเป็นการถามความเป็นไป แต่ในความเป็นจริงมาเพื่อดูซ่างกวนสุ่น ทุกครั้งที่เห็นซ่างกวนสุ่นช่วยเสี่ยวซิงทำงานบ้าน พวกเขามักจะทนไม่ไหว แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร ทำได้เพียงพับแขนเสื้อเดินเข้าไปทำแทนเขาด้วยตนเอง ทำเอาเสี่ยวซิงรู้สึกไม่ดีอยู่บ้าง
ดังนั้นพอมาได้สองรอบ ซ่างกวนสุ่นก็ไม่ให้พวกเขามาแล้ว
ในบ้านมีคนมาเยี่ยมญาติ มีเพียงอาฝูที่ไม่มี ถึงแม้เขาพูดไม่เป็น แต่ทุกครั้งอารมณ์มักหดหู่นัก ถึงเสี่ยวซิงวางขาแกะอันใหญ่ที่เขาชอบกินที่สุดไว้ตรงหน้า เขาก็เพียงแทะคำเล็กๆ กินไปได้สองคำยังหันไปทางนอกประตูแล้วใจลอยเล็กน้อย
มู่จิ่วเห็นอาฝูเป็นแบบนี้ก็ทุกข์ใจ บางครั้งจึงพาเขามานอนในห้องตนเองและอยู่เป็นเพื่อนเขา
เมื่อราชาจิ้งจอกมาอีกที รุ่ยเจี๋ยก็บอกกับเขาว่าไม่ต้องมาอีกแล้ว ตนเองจะตั้งใจฝึกฝนกับอาจารย์ ราชาจิ้งจอกยืนกรานอยู่สักพัก เมื่อไร้ผลก็ไม่มาอีกจริงๆ
แต่ถึงแม้เป็นแบบนี้ สายตาของอาฝูยังคงแผดเผาอยู่ในใจมู่จิ่ว ตั้งแต่เก็บเขามาจนถึงตอนนี้ใกล้จะผ่านไปหนึ่งปีแล้ว ก็ยังไม่มีคนนำหนังสือตามหาสัตว์หายมาถึงหน้าประตู หรือเขาจะผุดออกมาจากรอยแยกของหินเหมือนกับมู่จิ่ว?
ลู่ยาเคยแยกนำขน เล็บ และหยดเลือดของเขามาสืบหาแล้ว ทว่าก็สืบหาอะไรไม่ได้สักนิด สรุปคือความทรงจำของเขาหายไปเมื่อตามฉางเอ๋อร์เข้ามาในสวรรค์ ใครก็ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เขาประสบอะไรมาบ้าง
วันนี้มู่จิ่วหยุดพักผ่อน กำลังเตรียมตัวพาเขาไปเดินเล่น เพิ่งเดินถึงประตูลานก็เห็นคนสองคน เป็นอวิ๋นชือฉางที่พาผู้อารักขากระเรียนมายืนอยู่นอกประตู!
อวิ๋นชือฉางเห็นนางกลับไม่แปลกใจสักนิด ประสานมือค้อมตัวทำความเคารพทันที
มู่จิ่วกลับตกใจจนปากอ้าค้างอยู่นานกว่าจะปิดลงได้ “เจ้ามาอย่างไร?”
หรือจะเอาเรื่องลำบากใจอะไรมาให้นางอีก?
ลงมือก่อนได้เปรียบเสมอ นางยังไม่ทันคิดให้ดีก็รีบถอย บอกว่านางยุ่งมากเลยช่วยไม่ได้ อวิ๋นชือฉางเปิดปากพูดเจือรอยยิ้ม “ข้าน้อยมาเพื่อเชิญเต้าจู่และใต้เท้าก่อน สามวันหลังจากนี้เป็นงานแต่งของอวิ๋นซี นี่คือเทียบเชิญงานแต่ง” เขาพูดพลางนำเทียบเชิญสีแดงสดสองใบจากมือผู้อารักขากระเรียนมาส่งให้
เชิญพวกเขาไปงานแต่ง?
นี่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของนาง ความสัมพันธ์ของนางกับตระกูลพวกเขาดีขนาดนั้นหรือ? และยังเป็นเขาอวิ๋นชือฉางมาส่งเทียบเชิญด้วยตนเองอีก เขามาเพราะลู่ยาใช่หรือไม่? แต่ถึงแม้มาเพราะลู่ยา นางก็ไม่คิดจะให้เกียรตินี้แก่พวกเขา
“ราชาหงส์เกรงใจเกินไปแล้วกระมัง? แบบนี้ข้ารับไม่ไหว ลู่ยาอยู่ในห้อง ท่านมิเข้าไปหาเขาโดยตรงเลยล่ะ?”
แต่สุดท้ายนางยังถือเทียบเชิญงานแต่งไว้ในมือโดยไม่ส่งกลับไป อย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องน่ายินดีของพวกเขา นางไม่ควรทำให้เสียความรู้สึก
อวิ๋นชือฉางพูด “เต้าจู่เป็นคนที่ต้องเชิญ เพียงแต่ข้าน้อยก็เชิญใต้เท้าอย่างจริงใจเช่นกัน เรื่องคราวก่อนหากไม่ใช่ใต้เท้ายื่นมือเข้ามา พวกเราก็ไม่อาจเชิญเต้าจู่มาได้ และหากเต้าจู่ไม่มา พวกเราตระกูลอวิ๋นก็ไม่มีวันนี้ ดังนั้นในใจพวกเราเผ่าหงส์เพลิง ฐานะของแม่นางกับเต้าจู่นั้นเหมือนกัน”
มู่จิ่วไม่อาจไม่ยอมรับ คำพูดนี้ของเขาฟังแล้วสบายใจยิ่ง
ไม่ว่าเขาจริงใจหรือหลอกลวง อย่างน้อยเขาก็รู้จักพูดแบบนี้
นางคิด ก่อนยื่นหน้าเข้าไปในลานเพื่อเรียกรุ่ยเจี๋ย “ไปบอกอาจารย์เจ้าที ราชาหงส์แห่งทิวเขาริ้วหยกนำเทียบเชิญงานแต่งมาให้” พูดจบค่อยหันกลับมามองอวิ๋นชือฉางอีกครั้ง “เจ้าเข้าไปเถอะ ข้ายังมีธุระ ไม่อยู่คุยด้วยแล้ว”
อวิ๋นชือฉางค้อมตัวรอนางเดินไปไกลอย่างสงบ ถึงได้เข้าไปในลานตามการนำของรุ่ยเจี๋ย
มู่จิ่วนำอาฝูไปนั่งยังลานจื่อหลิงบ้านของอิ่นเสวี่ยรั่วอยู่ครู่หนึ่ง ดื่มชาสองถ้วย พูดคุยเล่นกันสักพักค่อยกลับมา อวิ๋นชือฉางกลับไปแล้ว
อาฝูไปกระโดดโลดเต้นกับรุ่ยเจี๋ย ส่วนนางมุ่งตรงไปยังห้องลู่ยา เพียงมองก็เห็นเทียบเชิญงานแต่งวางอยู่บนโต๊ะ จึงพูดขึ้น “เจ้าเก็บไว้จริงๆ หรือ? หรือเจ้ารับปากจะไป?” ถึงแม้นางคิดว่าปฏิเสธเทียบเชิญงานแต่งผู้อื่นไม่เหมาะสม แต่ด้วยฐานะของลู่ยากับอวิ๋นซี ถึงไม่พูดก็ไม่มีใครว่าเขาว่าไม่เคารพผู้อื่น
“ไม่ได้รับปาก” ลู่ยาตอบ “ข้าเพียงรู้สึกว่ารูปแบบการวาดบนเทียบเชิญสวยมาก ตอนพวกเราสองคนแต่งงานกันบางทีอาจใช้เป็นต้นแบบได้”
มู่จิ่วไม่ได้ระวัง ปฏิกิริยาตอบกลับจึงเป็นการทุบกำปั้นลงไปบนไหล่เขา
คล้อยหลังนางตี ลู่ยาจึงพูด “อายอะไร ไม่ช้าเร็วก็ต้องเป็นแบบนี้”
มู่จิ่วเล่นมวยผมของเขา จิ้มหลังคอเขา ลู่ยาก็ไม่สนใจนาง นางหัวเราะเสียงดัง สุดท้ายจึงนั่งลงไปข้างๆ กลืนชาที่เย็นแล้วของเขาลงไปหนึ่งอึกก่อนพูด “พวกเขามาหาถึงหน้าประตูตามแต่ใจแบบนี้ เจ้าไม่กลัวว่าคนในสวรรค์จะรู้ว่าเจ้าคือลู่ยาหรือ?”
“พวกเขากล้าพูดหรือ? ข้าให้ซ่างกวนสุ่นเตือนอวิ๋นฉัวกับอ๋าวเชินนานแล้ว พวกเขาล้วนเป็นยอดคนในตระกูลเหล่านี้ หากไม่เข้าใจข้าค่อยสั่งสอนพวกเขาก็ไม่สาย” ลู่ยากล่าว
ในเมื่อเขาพูดแบบนี้ มู่จิ่วไม่ร้อนใจแทนเขาแล้ว
ทางพวกเขากำลังพูดคุย ก็ได้ยินซ่างกวนสุ่นตะโกนเรียกเสี่ยวซิงในลาน
ตอนแรกมู่จิ่วไม่ได้สนใจ ได้ยินเขาตะโกนเรียกเสี่ยวซิงหลายครั้งยังไม่ตอบ จึงยื่นหน้าออกไป “เกิดอะไรขึ้น?”
ซ่างกวนสุ่นหิ้วตะกร้าเห็ดยืนอยู่หน้าประตู “เมื่อครู่พวกข้าไปซื้อผัก ระหว่างทางข้าเลี้ยวไปซื้อเห็ดเลยให้นางกลับมาก่อน แล้วนางล่ะ?”
มู่จิ่วคิดสักครู่ กลับมาจนถึงตอนนี้ก็ไม่เห็นเสี่ยวซิงจริงๆ นางเดินออกไปด้านนอก ก่อนวิ่งไปดูที่ปากประตู
มองคราวนี้จมูกนางเกือบชนเสี่ยวซิงจนล้มลง!
“ข้าเพิ่งผ่านทัพทหารสวรรค์ เห็นเหลียงชิวฉานวิ่งร้องไห้ออกมา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าจึงกลับมาช้า!”
นางลูบจมูกมู่จิ่วไปพลาง ส่งตะกร้าบนแขนให้ซ่างกวนสุ่นไปพลาง หอบหายใจพูด
“เหลียงชิวฉาน?”
มู่จิ่วอ้าปากตกใจ “นางร้องไห้ทำไม?”
ในทัพทหารสวรรค์ยังมีคนกล้ารังแกนางจนร้องไห้ ช่างเป็นเรื่องแปลกใหม่เสียจริง
“ไม่ผิด เพียงแต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ดูแล้วนางเจ็บปวดยิ่งนัก” เสี่ยวซิงเกลียดชังสำนักแรกพยับอย่างมาก นางยังไม่ลืมว่าพวกเขาก่อเรื่องรุนแรงที่ประตูสวรรค์แดนใต้ มู่จิ่วถึงได้โยนนางเข้าไป
มู่จิ่วขมวดคิ้ว
ตั้งแต่รู้ว่าหลินเจี้ยนหรูโยนเตาร้อนให้จีหย่งฟางและทำร้ายนางจนตาย มู่จิ่วก็ไม่ได้ติดตามเรื่องทางนั้นของพวกเขาอีก ตอนนี้ถึงแม้ฟังแล้วรู้สึกสงสัย แต่กลับไม่คิดจะสนใจ จึงพูดกับเสี่ยวซิง “ภายหลังพวกเราเข้าไปยุ่งเรื่องของแรกพยับรวมถึงเรื่องของหลินเจี้ยนหรูให้น้อยหน่อย พวกเขาไม่น่าไปยุ่งเกี่ยวด้วย”
…………………………………………………
บทที่ 235 ความรักหญิงชาย?
โดย
Ink Stone_Romance
เหตุที่พวกนั้นไม่น่าไปยุ่งด้วย ไม่ใช่ยุ่งไม่ไหว แต่ยุ่งเกี่ยวด้วยยากมาก
นางทำไม่ได้และไม่มีหนทางเปลี่ยนหลินเจี้ยนหรู แบบนั้นก็ให้เขาเลือกทางเดินของเขาเองเถอะ
และตอนนี้หลินเจี้ยนหรูเลือกหนทางอะไร?
บางครั้งเขาชัดเจนในเป้าหมายของตนเองมาก แต่บางครั้งกลับรู้สึกสับสนในหนทางข้างหน้า
ตอนมู่จิ่วสั่งเสี่ยวซิง เขากำลังเหม่อลอยมองถ้วยชามที่แตกบนพื้นอยู่ในห้องของตนเองที่ลานสนเขียว
นี่เป็นของที่เหลียงชิวฉานทำแตก
ในหลายเดือนนี้ความสัมพันธ์ของเขากับเหลียงชิวฉานผ่อนคลายลงมาก ถึงแม้นางยังมีท่าทีเย็นชาเหมือนแต่ก่อน แต่จำนวนครั้งที่มาหาเขากลับมาก และไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่คำสาปแช่งด่าทอแบบเมื่อก่อนค่อยๆ เปลี่ยนไป บางครั้งก็สามารถพูดเรื่องอื่นได้บ้างนิดหน่อย
อย่างเช่น บางครั้งพวกเขาจะถกกันเรื่องปัญหาที่พบระหว่างการบำเพ็ญ เรื่องราวในหน่วยว่าการต่างๆ สถานการณ์ในแรกพยับและอื่นๆ แน่นอนเวลาพูดถึงแรกพยับ ในสายตานางยังมีความเจ็บปวดและโกรธเกลียด แต่นั่งหลังตรงโกรธแค้น ไม่เหมือนกับอาการกรีดร้องอย่างเอาเป็นเอาตายในตอนแรก
ต่อมามีครั้งหนึ่งเห็นเขาเพิ่งตื่นจากนอนกลางวัน ผ้าห่มบนเตียงยังไม่พับ นางก็ช่วยเขาพับให้เรียบร้อยอย่างเงียบๆ
ระหว่างนั้นมีสองวันเขาฝึกฝนและสูดลมหายใจเข้าเร็วเกินไปจนเกิดอาการติดขัด นางก็ช่วยไปเอาข้าวมาให้เขาเอง
เขาก็ไม่เข้าใจนางอยู่บ้าง นางควรจะเกลียดเขาเข้ากระดูกดำต่อไปมิใช่หรือ?
ทำไมกลับเปลี่ยนไปดีกว่าแต่ก่อน?
คิดอย่างไรเขาก็ไม่เข้าใจ ขณะเดียวกันก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจเขาบางๆ
โรคที่เรื่องใดล้วนต้องขุดหาความจริงถึงรากเขาถึงจะกล้าวางใจ พฤติกรรมซึ่งปลูกฝังมาแต่เด็กเช่นนี้กำเริบอีกแล้ว ดังนั้นตอนเขาเพิ่งเห็นนางเดินมาทางนี้จากที่ไกลๆ จึงตั้งใจเรียกเซียนหญิงที่อยู่ถนนตะวันตกมาพูดคุยในห้อง เซียนหญิงก็เป็นทหารใหม่เข้ามาปีนี้ แต่อายุเพียงห้าร้อยปี เพราะพบหน้าหลายครั้งในหน่วย และเขาก็เคยช่วยนางในเรื่องเล็กๆ มาหลายครั้ง ดังนั้นจึงคุ้นชินกับเขามาก
นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เขาเป็นตายก็ต้องออกจากสำนักแรกพยับให้ได้ เพียงไม่อยู่ที่แรกพยับจะไม่มีคนรู้ประวัติของเขา เมื่อเขาออกมา หากคิดอยากได้ความเคารพของผู้อื่นเป็นเรื่องง่ายนัก เพราะสวรรค์ก็เป็นยุทธภพ ใครมีความสามารถ มีอำนาจ ถึงแม้ผู้คนรู้ถึงจุดด่างพร้อย ก็สามารถเลือกมองข้ามไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นถึงวันนี้ก็มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องมลทินของเขา
จะว่าไปแล้ว
เขาพูดคุยกับเซียนหญิงในห้อง หน้าต่างกับประตูล้วนเปิดออก เช่นนี้สะดวกให้เหลียงชิวฉานที่เข้ามาจากข้างนอกเห็นพวกเขา และสะดวกให้เขาเห็นปฏิกิริยาของนางในตอนแรก
ตอนเขายกมือขึ้นทัดดอกไม้บนมวยผมเซียนหญิง เหลียงชิวฉานที่เพิ่งเข้ามาในลานเห็นเข้าพอดี
จากนั้นเขาเห็นสีหน้านางขาวจนไร้สีเลือด พริบตาเดียวนางก็โกรธจนแม้แต่ดวงตาก็แดงก่ำ
นางพุ่งเข้ามา ด่าทอเสียงดัง “หลินเจี้ยนหรู เจ้าสัตว์เดรัจฉาน” จากนั้นตบเซียนหญิงคนนั้น และคว่ำโต๊ะของเขาก่อนวิ่งออกไป
เซียนหญิงก็ตกใจจนวิ่งหนีไปแล้ว
ในห้องเหลือเพียงเขาคนเดียว
เขาไม่ได้โกรธเกรี้ยว หนึ่งคือเพราะเขาไม่สะทกสะท้านกับคำพูดด่าทอแบบนี้นานแล้ว สองคือเพราะตัวเขาเองก็กำลังรอคอยปฏิกิริยาของเหลียงชิวฉานอยู่
ดังนั้นตอนนี้เขาถึงแน่ใจ พฤติกรรมของเหลียงชิวฉานที่มีต่อเขาเปลี่ยนไปแล้ว
เขาตื่นเต้นเล็กน้อย!
หลังจากถูกเขาทำให้อับอาย คิดไม่ถึงว่าศิษย์คนโตผู้สูงส่งของเจ้าสำนักแรกพยับกลับเกิดความรู้สึกอาลัยอาวรณ์กับเขา
นางช่างต่ำต้อยเสียจริง…
แต่นี่ยังคงทำให้เขาสับสนอยู่บ้าง
ทำไมนางถึงใส่ใจว่าเขาใกล้ชิดกับหญิงคนอื่น? ความรู้สึกแบบนี้ของนางคือความรู้สึกประเภทไหน? เหมือนกับที่มองเขาเป็นของเล่นในกำมือพวกนางศิษย์พี่น้องแบบแต่ก่อนหรือไม่ หรือเกิดความรักแบบชายหญิงต่อเขาขึ้นมาจริง?
ความรักชายหญิง…พูดตามตรง เขาไม่กล้าคิดเลยจริงๆ
ควรรู้ว่าเขาเป็นลูกนอกสมรสต่ำต้อยในสายตาของพวกนาง เป็นสวะที่เทียบไม่ได้แม้กระทั่งสัตว์เดรัจฉาน เหลียงชิวฉานเป็นศิษย์คนโตผู้สูงส่งของหัวชิงเจ้าสำนักแรกพยับ แม้แต่จีหมิ่นจวินยังต้องไว้หน้านางสามส่วน ตลอดมาในใจนางจดจำแต่หัวชิงอาจารย์ของนาง นางจะเกิดความรักชายหญิงกับเขาได้อย่างไร?
เหมือนไม่ยินยอมให้เขาชอบเซียนหญิงคนอื่นเหมือนกัน
เขามองเศษกระเบื้องบนพื้น ยิ้มเยาะยืนขึ้นมา
นอกประตูเงียบสงบไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่รู้นางวิ่งไปถึงไหนแล้ว
แต่นี่เกี่ยวอะไรกับเขาด้วย?
สำหรับเขา นางเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่เขาใกล้โยนทิ้งแล้ว หากไม่ใช่เพราะยังสามารถใช้นางสอบถามข่าวเกี่ยวกับแรกพยับได้
เขานั่งลงดื่มชา จ้องตู้เก็บของที่อยู่ตรงหน้าสักพัก ระหว่างคิ้วมีความลังเล
ไม่ว่าพูดอย่างไร ในมือนางก็กุมความลับเขาไว้อยู่ หากนางโกรธจนทนไม่ได้ แพร่งพรายเรื่องทั้งหมดออกไปก็ไม่ดีแล้ว
เขาก้มหน้าครุ่นคิดสักครู่ จากนั้นวางถ้วยชาลุกขึ้นเดินออกประตูไป
หลินเจี้ยนหรูไปถึงลานบ้านที่นางอยู่ก่อน ทว่านางไม่อยู่ เซียนหญิงที่อยู่ลานเดียวกับนางบอกว่าเมื่อครู่เหมือนเห็นนางวิ่งไปทางตะวันตก
ทางตะวันตก ทางตะวันตกก็ออกจากสวรรค์แล้ว
แต่ออกจากสวรรค์ก็เป็นทางช้างเผือก ภูเขาแรดเผือกริมแม่น้ำเป็นที่ที่เขาเคยไปกับนางสองครั้ง
หรือนางจะไปที่นั่น?
เขาเกิดความใคร่รู้ในความรู้สึก เดินไปทางตะวันตกและออกจากสวรรค์จนถึงทางช้างเผือก มาถึงยอดเขาแรดเผือกที่ตอนนั้นต้องการพานางหลบซ่อน
หินโม่บนยอดเขา มีคนนั่งหันหน้าไปทางทางช้างเผือกที่ด้านล่างดังคาด เหมือนกับรูปปั้นที่ตั้งตระหง่านอยู่
“ศิษย์พี่เหลียงมาที่นี่ทำไม?”
เขาจงใจปรับน้ำเสียงให้อ่อนลง ถึงแม้รู้ว่าไม่จำเป็นต้องระมัดระวัง แต่ก็ไม่ควรทำนางโกรธในเวลานี้
เหลียงชิวฉานสะดุ้งตกใจ หันกลับมาทันที เห็นเพียงดวงตาคู่หนึ่งบวมเหมือนเหอเถา (วอลนัท) สายตาเหมือนกับมีดน้ำแข็งแทงเข้ามาก็ไม่ปาน
“ศิษย์พี่” เขาลองเข้าไปใกล้อีกนิด
“เจ้าอย่าเข้ามา!” เหลียงชิวฉานตะโกนขึ้นด้วยความโกรธกริ้ว ราวกับจะแตกสลายไปในเวลาพริบตาเดียว “เจ้าสัตว์เดรัจฉาน! ทำไมเจ้าไม่ไปตายเสีย?!”
“ข้าทำอะไรผิดหรือ?” เขาจ้องใบหน้านาง น้ำเสียงกลับสงบนิ่งมาก
“เจ้าไม่ได้ทำผิด! เป็นข้าผิดเอง ตอนนั้นข้าไม่ควรไปทำร้ายเจ้า ข้าไม่ควรโง่ขนาดถูกเจ้าข่มขู่ให้ไปทำร้ายจีหย่งฟางจริงๆ! หากข้าไม่ทำแบบนั้น ข้าก็ไม่ต้องมาพัวพันกับเจ้า! ยิ่งไม่ต้องถูกเจ้าถอดเสื้อผ้าทำให้อับอายแล้วไปพลอดรักกับหญิงอื่นทันที!”
เหลียงชิวฉานตะโกนเอาตะโกนเอาก่อนพลันร้องไห้ สะอื้นจนแม้แต่ยืนนางยังยืนไม่ตรง
“เจ้ามันสัตว์เดรัจฉาน! คนระยำ เป็นคนที่ต่ำช้าที่สุดในสวรรค์ เจ้าไสหัวไป!”
“ศิษย์พี่ใจเย็นหน่อย!” หลินเจี้ยนหรูลองทำให้นางสงบ “ศิษย์พี่เข้าใจผิดแล้ว ข้ากับเสี่ยวชิงเพียงพูดคุยเรื่องงานในหน่วยไม่กี่ประโยค ข้าไม่ได้ทำอะไรกับนาง ศิษย์พี่ดีกับข้าขนาดนี้ ข้าจะไม่ซาบซึ้งได้อย่างไร?”
เหลียงชิวฉานกอดเข่าทั้งสองร้องไห้เสียงดัง
เขาสบโอกาส จับแขนนางดึงขึ้นมา เหลียงชิวฉานพยุงตัวไม่อยู่จึงล้มลงไปในอกเขา
เขานึกรังเกียจอยู่บ้าง แต่ยังไม่ปล่อยนางออกไป
ไม่ใช่กลัวนางคิดไม่ตก ถึงแม้ภูเขานี้จะสูง แต่นางคิดโดดลงไปตายก็ยังไม่อาจสำเร็จได้
เขาเพียงตอบรับความเจ็บปวดของนาง ทำเรื่องที่นางคาดหวังไว้ก็เท่านั้น
อย่างไรเสีย สำหรับเขาแล้วนางยังมีประโยชน์อยู่บ้าง
……………………………………………………
บทที่ 236 คนโง่งม
โดย
Ink Stone_Romance
นางที่อยู่ในอ้อมอกเหมือนไม่มีกระดูก หลังจากที่ตอนแรกมือของนางปัดสะเปะสะปะ ก็เปลี่ยนเป็นจับคอเสื้อเขาแน่นพลางร้องไห้อย่างเจ็บปวด น้ำตาหยดลงไปที่คอเขา นี่ยิ่งทำให้เขานึกรังเกียจ
เขาเริ่มเชื่อแล้วว่านางมีใจให้เขาจริง นางที่แต่ก่อนเหย่อหยิ่งเหมือนนกยูง กลับมีใจให้กับเขาลูกนอกสมรสที่นางเหยียดหยามดูถูก?
มือทั้งสองของเขากำลังตบหลังนางเบาๆ มุมปากกลับยกขึ้นอย่างเย็นชา
แต่ก่อนเขาเข้าใจว่าจีหย่งฟ่างโง่มากแล้ว คิดไม่ถึงว่านางจะโง่ยิ่งกว่านั้น
หรือนางไม่รู้ว่าแต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยมองนางเป็นศิษย์พี่มาก่อน?
ไม่เพียงไม่มองเป็นศิษย์พี่ แม้แต่ผู้หญิงธรรมดาก็ไม่ใช่
เขาได้รับความอับอายจากเงื้อมมือของพวกนางมากพอแล้ว ยังหวังให้เขาตื้นตันกับความรู้สึกน่าหัวร่อนี้ของนางอีกหรือ?
ชีวิตนี้ของเขา หากต้องหาคู่ครองก็ต้องเป็นหญิงสาวซื่อตรงใจงาม
“เป็นข้าผิดเอง ข้าทำผิดต่อสิ่งที่ศิษย์พี่ดีต่อข้าในวันคืนที่ผ่านมา ข้าสมควรตาย แต่วันนี้ข้ารู้ความในใจของศิษย์พี่แล้ว หากศิษย์พี่ไม่ชอบให้ข้าใกล้ชิดกับหญิงอื่น ครั้งต่อไปข้าจะระวังหน่อยแล้วกัน” เขาพูดอย่างไม่เร็วไม่ช้าข้างหูนาง น้ำเสียงอ่อนโยนอย่างมาก แววตาไม่ใส่ใจ
ช้าเร็วเขากับแรกพยับก็ต้องปะทะกัน กำลังกังวลว่าไม่มีคนรับเคราะห์แทน ในเมื่อนางมาหาถึงหน้าประตู เขาย่อมไม่มีเหตุผลจะปฏิเสธ
ทั้งสำนักแรกพยับมอบความอัปยศให้เขา ต้องมีสักวันหนึ่งที่เขาจะเอาคืนกลับไปเป็นเท่าทวี
เหลียงชิวฉานซบอยู่บนลาดไหล่เขา เสียงร้องไห้อย่างเจ็บปวดค่อยๆ กลายเป็นเสียงสะอื้น
ตอนส่งนางไปถนนตะวันตก พระจันทร์ขึ้นทางเขาตะวันออกแล้ว
เขากลับเรือนไปนั่งอยู่ตรงหน้าต่าง เริ่มปรับอารมณ์ให้สงบอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้เขาแอบซ่อนความสามารถ ทำตัวสงบเสงี่ยมมาตลอด เพื่อไม่ให้แรกพยับรู้ความลับที่เขาเลื่อนขั้นสองขั้น เขากลัวว่าจะมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เหลียงชิวฉานไม่ได้พูดออกไป คนอื่นกลับเห็นความผิดปกติของเขาก่อน ในทัพสวรรค์ก็มีสำนักมากมายที่มีความสัมพันธ์อันดีกับแรกพยับ หากเรื่องแพร่งพรายไปถึงแรกพยับ เขาก็เท่ากับยกหินมาทุ่มใส่เท้าตัวเอง
ยิ่งไปกว่านั้น หัวชิงมีสหายเซียนที่มีสัมพันธ์อันดีอยู่ในสวรรค์บ้าง อย่างเช่นอู่เต๋อซิงจวินก่อนหน้านี้ก็มีไมตรีกับเขา
ในสถานการณ์ปกติเขาย่อมไม่ยุ่งเกี่ยวกับหัวชิง แต่หากตอนเขาเข้ามาสวรรค์แล้วมีข่าวแพร่ไปถึงหูล่ะ?
ดังนั้นการหลบซ่อนที่ต่อเนื่องมาหลายเดือนนี้ ก็เป็นเพราะเขาไม่ได้เตรียมตัวรับมืออย่างดี
ทว่าวันนี้เหลียงชิวฉานแสดงออกความในใจแบบนี้ต่อเขา บางทีเขาอาจสามารถหาโอกาสวางแผนเพื่ออนาคตได้แล้ว
ก่อนอื่น เรื่องที่เขากินมหาโอสถทองต้องเปิดเผยออกไปแน่ และหากเผยออกไป หัวชิงต้องไม่ให้โอกาสอะไรเขาอีกแน่นอน ในความเป็นจริง ถึงแม้หัวชิงให้โอกาส จีหมิ่นจวินที่รู้ว่าจีหย่งฟางกับหลินเซี่ยตายในเงื้อมมือเขาก็ไม่แน่ว่าจะปล่อยเขาไป ดังนั้นหากเขาไม่อยากให้เรื่องทั้งหมดนี้เกิด ก็ต้องคิดหาทางให้สามารถปกป้องตนเองได้
ความสามารถนี้มีวิธีที่จะได้มาหลายประเภทนัก แต่เขายังมีเงื่อนไขก่อน คือแม่ของเขาชิวซื่อ (นางสกุลชิว) ถึงแม้เขาสามารถคิดหนทางทำให้ตนเองอยู่รอดปลอดภัยได้ แต่นางจะทำอย่างไร? เขาพยายามจนถึงวันนี้ เป้าหมายครึ่งหนึ่งก็เพื่อชิวซื่อ เขาต้องคิดหาหนทางคลี่คลายปัญหาของนางก่อน
แต่พลังบำเพ็ญของเขาตอนนี้ยังไม่พอหาเศษเสี้ยววิญญาณที่หายไปของนาง ยิ่งไม่พอลงให้ลงไปนรกเพื่อบันทึกความตาย…ชิวซื่อเป็นมนุษย์ เวียนว่ายตายเกิดล้วนมีนรกจัดการ ถึงแม้ฟื้นคืนจิตต้นกำเนิดแทนนาง ก็ยังต้องไปจดบันทึกยังนรก หากเขาทำสองเรื่องนี้ไม่ได้ ยิ่งพูดมากก็เป็นการเสียแรงเปล่า
แต่ต่อให้เรื่องจะยากเย็นกว่านี้ก็ต้องไปทำ
และต้องเริ่มลงมือทำ
เขาไม่เชื่อใจคนแบบเหลียงชิวฉานเลยแม้แต่น้อย ไม่สู้อาศัยโอกาสตอนนี้ที่นางมีความรู้สึกอ่อนไหวซึ่งแม้แต่ตัวนางเองก็ไม่เข้าใจรีบกรุยทางถอยให้เรียบร้อย หากสายไปหน่อยแล้วมีอะไรเปลี่ยนแปลง ถึงตอนนั้นไหนเลยจะมียาแก้อาการเสียใจภายหลังให้กิน?
ตอนนี้เป็นโอกาส อย่างน้อยหากใช้อิทธิพลของเหลียงชิวฉานที่มีต่อหัวชิงและแรกพยับ เขาก็มีไพ่ในมือมากขึ้น และเพียงเขาสามารถคลี่คลายปัญหาจิตต้นกำเนิดของชิวซื่อแม่เขาได้ ก็นับว่าเขาไม่มีเรื่องต้องพะวงหลังแล้ว
สำหรับเหลียงชิวฉาน เขาไม่สงสารเลยแม้แต่น้อย ทุกคนล้วนไม่ใช่คนดี สุดท้ายใครใจแข็งกว่าก็เท่านั้น
หลังขมวดคิ้วมองไปยังดวงจันทร์กลมนอกหน้าต่างอยู่นาน เขาพลันยืนขึ้นมา เหยียบไปตามธรณีประตูหลายก้าว ก่อนชะงักโดยพลัน แล้วก้าวออกประตูไป
ชีวิตยามค่ำคืนของมู่จิ่วเรียบง่าย
แต่เดิมนางไม่ใช่คนชอบความคึกคัก ตอนอยู่หงชางหลิวหยางเข้มงวด ทุกวันมีข้อบังคับเคร่งครัด หลังจากนางเลื่อนขั้นเป็นหัวเสินแล้วเข้าไปอยู่ในถ้ำเมฆาคล้อย ถึงได้ค่อยๆ ปล่อยนางบ้าง แต่ถึงแม้เป็นแบบนี้ ส่วนใหญ่นางก็เพียงพูดคุยกับดอกไม้นกสัตว์ในถ้ำ ฟังพวกเขานินทาเรื่องภูเขาใกล้ๆ นี้
หลังจากมาถึงสวรรค์นางก็ไม่ได้ไปงานเทศกาลที่น่าสนใจมากมายอะไร ฟ้ามืดก็กลับเรือน ตอนแรกยังช่วยเสี่ยวซิงทำงานบ้านหน่อย ตอนนี้มีซ่างกวนสุ่นแล้วจึงไม่ต้องให้นางยื่นมือเข้าไปช่วย ดังนั้นบางครั้งก็ดื่มชา บางครั้งชมดอกไม้ เจอลู่ยาที่รู้สึกคันปากเข้ามาหยอกเล่นสักหน่อย นางก็เล่นเป็นเพื่อนเขา
หลังจากมื้ออาหารเย็น ลู่ยาพารุ่ยเจี๋ยกับอาฝูไปทิวเขาเพื่อรับพลังพระอาทิตย์พระจันทร์ มู่จิ่วเรียนเย็บปักถักร้อยกับเสี่ยวซิง ดังนั้นจึงอยู่ต่อด้วยอยากปักผ้าเช็ดหน้าให้ลู่ยาใช้จนเสร็จ มิฉะนั้นเขามักจะนำผ้าเช็ดหน้าพิมพ์ลายดอกเหมยมาใช้ ดูแล้วไม่เข้าทีนัก
เพิ่งปักกิ่งสนได้สองช่อ แสงไข่มุกที่หน้าโต๊ะมืดสลัวลง
ตอนแรกนางไม่ได้สนใจ ทว่าเมื่อปักเข็มลงไปอีกแสงไข่มุกก็มืดลงอีก นางถึงได้เงยหน้าขึ้นมา
ไข่มุกราตรีนี้เป็นถึงของที่ราชาจิ้งจอกให้ไว้ตอนนั้น เม็ดใหญ่มาก สามารถส่องให้ทั้งห้องสว่างได้ราวกับกลางวัน แต่เพราะแบบนี้ แสงจากนอกประตูจึงยิ่งมืดลง
ตอนยื่นหน้าออกไปมอง เสี่ยวซิงย่ำเท้าเข้ามา “จิ๋วจิ่ว หลินเจี้ยนหรูอยู่ที่นอกประตู เขาอยากพบเจ้า”
หลินเจี้ยนหรู?
มู่จิ่วอึ้งไป เขามาหานาง? นี่พบเห็นได้น้อยนัก
นางครุ่นคิดอยู่สามวินาที สุดท้ายยังวางเข็มลง ออกไปด้านนอก
ครั้นถึงนอกประตูลาน เห็นคนยืนอยู่ใต้ต้นอู่ถงใหญ่ตรงตรอกฝั่งตรงข้าม แต่เดิมก็สง่างามสูงใหญ่อยู่แล้ว เมื่อแสงจันทร์ส่องลงมา ยิ่งดึงเงาของเขาให้ยืดยาวออก เพียงแต่ความมืดมัวบนร่างก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเช่นกัน
มู่จิ่วเพิ่งปรากฏตัวตรงปากประตู เขาก็เดินเข้ามายืนนิ่งอยู่หน้านางแล้ว
นางพูด “ดึกขนาดนี้แล้วมีเรื่องอะไรหรือ?”
เขาพยักหน้า
มู่จิ่วมองสีหน้าเคร่งขรึมของเขา กลับดูจริงจังอยู่หลายส่วน
หลินเจี้ยนหรูจับด้ามกระบี่แน่น เม้มริมฝีปากพูด “เรื่องตระกูลอ๋าวจัดการเสร็จแล้วหรือไม่?”
นางตอบรับไปอย่างงุนงง
เขาชะงัก ก่อนพูดต่อ “ข้าก็ได้ยินมา แต่ยังไม่ทันได้ยินดีกับเจ้า คดีนี้สำเร็จแล้ว”
มู่จิ่วยกปากยิ้มเล็กน้อย “เจ้าก็ไม่เลว ข้าได้ยินใต้เท้าหลิวบอกว่าเขตที่เจ้าทำงานเป็นเขตที่สงบที่สุดของสวรรค์ และเจ้าก็ได้รับคำชมดีมากจากสหายที่ร่วมงานด้วยกัน ข้าคิดว่าเรื่องเลื่อนตำแหน่งคงเกิดขึ้นเร็วๆ นี้”
แต่ละคำพูดของนางจริงใจ ความจริงแล้วหากตัดเรื่องที่เขาทำที่สำนักแรกพยับไป ที่เหลือเขานับได้ว่าโดดเด่น ความสามารถในการวิเคราะห์สูง ก้าวหน้าขึ้น สิ่งสำคัญคือตั้งใจทำงานภายในจนสำเร็จได้ อีกทั้งเขาก็เก่งในด้านอดทน ไม่หุนหันพลันแล่น ในหน่วยมิใช่ต้องการคนแบบนี้หรือ?
“เรื่องนี้ข้าไม่หวังไปไกล” เขาโบกมือ ชะงักเล็กน้อยค่อยพูดอีก “ข้ามาคราวนี้ ที่จริงอยากขอร้องเจ้าเรื่องหนึ่ง”
“เจ้าว่ามา” นางเอ่ย
………………………………
บทที่ 237 ข้าช่วยได้หรือไม่?
โดย
Ink Stone_Romance
เขาเม้มปาก จดจ่ออยู่นานก่อนพูด “ข้าอยากขอร้องเจ้าให้ช่วยไปทักทายราชามังกรที่ทะเลสาบน้ำแข็งกับข้า และยืมกุญแจจันทราหยางของเขา”
ถึงแม้เขาไม่ได้มาเจอหน้านางเท่าไหร่ แต่ความเคลื่อนไหวส่วนใหญ่ของนาง เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นคดีตระกูลอ๋าวกับตระกูลอวิ๋นไม่ใช่ความลับอะไร ในเมื่อเขาสนใจกุญแจจันทรามาก่อน อยากถามถึงข้อมูลเชิงลึกย่อมไม่ใช่เรื่องยาก
ตามที่เขารู้ มู่จิ่วทำคดีตระกูลอ๋าวตระกูลอวิ๋นเสร็จสิ้นแล้ว ตอนนี้สองตระกูลปฏิบัติต่อนางอ่อนน้อมมากขึ้น กุญแจจันทราหยางมีความสามารถฟื้นคืนจิตต้นกำเนิด ชิวซื่อเป็นเพียงคนธรรมดา ยิ่งไม่ต้องการเวลานานหมื่นปีเหมือนกับราชามังกร มีสักสามหรือห้าวันสำหรับนางก็เหลือเฟือ หากคิดจะช่วยปลดปล่อยชิวซื่อจากชะตาชีวิตที่สติไม่สมประกอบทุกชาติภพโดยเร็ว ทำได้เพียงขอมู่จิ่วให้ช่วย
มู่จิ่วอึ้ง ถึงแม้นางคิดไว้นานแล้วว่ากุญแจจันทราสามารถแก้ไขความกังวลในใจเขาได้พอดี หากช่วยเขาได้นั่นก็ถือเป็นโชควาสนา แต่ตอนเขามาหาถึงหน้าประตูจริง นางกลับไม่รู้ว่าควรตอบกลับไปอย่างไรดี
กุญแจจันทราหยางนั้นไม่เพียงอ๋าวเชินต้องใช้ อวิ๋นฉัวก็รอใช้ นี่คือเหตุผลข้อที่หนึ่ง
ข้อที่สอง นางไม่อยากพัวพันกับตระกูลอ๋าวตระกูลอวิ๋นไปมากกว่านี้ แม้แต่งานแต่งของตระกูลอวิ๋นนางก็ไม่คิดจะไป
ข้อที่สาม การที่ตระกูลอวิ๋นตระกูลอ๋าวยกย่องนาง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเห็นแก่หน้าลู่ยา อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะนางกับพวกเขาไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวพันกัน หากเปิดปากขอยืมกุญแจจันทราหยางจากพวกเขา อย่างไรก็ดูไม่ค่อยดีนัก?
นางรู้ว่าเขาเอากุญแจจันทราหยางจะไปมีประโยชน์มาก รู้เช่นกันว่าเขาทำด้วยใจกตัญญู แต่บางเรื่องไม่ควรช่วยจนเกินความสามารถของตนเอง
“เรื่องนี้ข้าทำไม่ได้ ขอโทษจริงๆ” นางพูด
หลินเจี้ยนหรูมองนางอยู่ใต้แสงจันทร์ ดวงตาคู่นั้นล้ำลึกจนมองความนัยไม่ออก
“มู่จิ่ว” เขาเรียก
มู่จิ่วไม่ได้ตอบ
“เจ้ามองข้าเป็นมารปีศาจไปแล้วใช่หรือไม่?” เขาถาม
“ไม่ได้รุนแรงขนาดนั้น” มู่จิ่วพูดอย่างสงบ “เรื่องนี้ข้าไม่มีหนทางช่วยจริงๆ ถึงแม้เจ้าให้ข้าช่วยไปเก็บหญ้าเซียนที่เกาะไหนด้วยอีก ข้าก็ไปกับเจ้าได้ แต่หากข้ารู้ชัดเจนถึงความสำคัญของกุญแจจันทราหยางต่อพวกเขา กลับยังกล้าเปิดปากขอมัน ข้าก็ไม่ต่างกับคนที่เห็นประโยชน์ส่วนตนเป็นหลัก”
“แต่ข้าต้องการมันจริงๆ” น้ำเสียงของเขาร้อนรนอยู่บ้าง “หากเพราะเรื่องหลินเซี่ยทำให้เจ้าผิดหวังต่อเพื่อนคนนี้อย่างข้า เช่นนั้นหลังจากช่วยแม่ข้าแล้วข้ายินยอมรับการลงโทษ นี่คือความปรารถนาอันดับหนึ่งในชีวิตนี้ที่ข้าต้องทำให้สำเร็จ หากข้าช้าไปหนึ่งวัน นางก็ได้รับความทุกข์เพิ่มหนึ่งวัน และตอนนี้มีเพียงเจ้าที่สามารถช่วยข้าได้”
มู่จิ่วกลั้นลมหายใจยืนนิ่ง
หลินเจี้ยนหรูเดินเข้ามาใกล้ครึ่งก้าว ก่อนกล่าวอีก “ข้าขอให้เจ้าเห็นแก่หญิงที่น่าสงสาร ช่วยข้าหน่อย เจ้าไม่ต้องมองนางเป็นแม่ของข้าหลินเจี้ยนหรู เพียงมองนางเป็นวิญญาณน่าสงสารที่เจ้าพบตนหนึ่ง นางไม่ได้ทำบาปอะไร แต่คนที่สามารถช่วยนางได้มีเพียงข้าเท่านั้น”
สายตาเป็นประกายของเขาตกลงบนหน้านาง ในนั้นแสดงความจริงใจ
มู่จิ่วไม่รู้ว่าเขาเปลี่ยนระหว่างความโหดร้ายตอนอยู่แรกพยับกับความกตัญญูตอนช่วยชิวซื่อได้อย่างไร แต่ความยึดมั่นที่สะท้อนออกมาจากสายตาของเขา คำพูดของเขา ทำให้หวั่นไหวได้อย่างแท้จริง
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเปิดปากร้องขอให้นางช่วยเหลือ
หากนางไม่เห็นหญิงชราสติไม่สมประกอบในตรอกเล็กนั่นด้วยตาตนเอง ไม่เห็นแรกพยับรังแกเขากับตัว บางทีนางอาจไม่เชื่อว่าเขาเคยผ่านเรื่องอะไรมาบ้าง แต่นางกลับเห็นกับตาตนทั้งหมด อดีตของเขามีภาพชัดเจนในสมองนาง ความเลวและความดีของเขา ทุกๆ ครั้งที่คิดถึงแม้แต่ตัวนางเองยังสับสน ถ้าเรื่องเดียวกันเกิดกับนาง นางจะทำอย่างไร
นางถอนหายใจ เบือนหน้าไปมองไผ่เขียวตรงกำแพง
เรื่องนี้ช่างกวนใจนางเสียจริง
หลินเจี้ยนหรูเห็นรูปการณ์ จึงเข้าไปใกล้อีกก้าว “แม่ข้าเป็นคนธรรมดา หากสามารถยืมกุญแจจันทรามาได้ ยืมมาใช้ไม่กี่วันก็คืนแล้ว หากในเวลาไม่กี่วันนี้ข้าทำไม่ได้ ข้าก็ไม่ผิดคำพูด จะคืนเจ้าตรงตามเวลาแน่นอน”
มู่จิ่วรู้สึกว่าความตั้งใจของนางกำลังสั่นคลอน
นางควรยืนกรานปฏิเสธสิ?
หากไม่ปฏิเสธ นางก็ไม่อยากไปยื่นเงื่อนไขกับอ๋าวเชิน
แต่หากปฏิเสธ นางทนให้ชิวซื่อเวียนว่ายตายเกิดโดยสติไม่สมประกอบต่อไปและได้รับทุกข์ทรมานซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้หรือ? สิ่งที่เขาพูดอย่างน้อยก็ถูกบ้าง หากชิวซื่อไม่ใช่แม่ของหลินเจี้ยนหรู แต่เป็นเพียงหญิงน่าสงสารซึ่งนางบังเอิญรู้จักโดยไม่ได้เกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย นางจะไม่สนใจเลยหรือ?
ไม่ ต้องไม่แน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น ชิวซื่อยังได้รับความทุกข์มากถึงขนาดนั้น
นางหมุนตัวมามองเขา “เจ้ารอสักหน่อยไม่ได้หรือ คิดหาวิธีอื่นเถิด?”
“ไม่ได้แล้ว” เขาถอยไปครึ่งก้าว พูดไหล่ตก “ช้าเร็วเรื่องที่ข้าสังหารหลินเซี่ยก็ต้องถูกเปิดโปง ข้ารู้ว่านี่คือผลกรรมที่ข้าควรแบกรับ แต่ข้าไม่อาจไม่สนใจแม่ข้าก่อนต้องรับกรรมนี้ไป ข้าต้องแก้ไขชาติหน้าของนางให้ดีถึงจะสามารถวางใจใช้ชีวิตของตนเองต่อไป ถึงตอนนั้นจะตายก็ดี จะอยู่ก็ดี ข้าก็ไม่ดึงดันแล้ว”
พูดถึงตรงนี้เขาค่อยเงยหน้าขึ้น “ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ทำให้เจ้าลำบากใจ หากภายหลังข้าโชคดีไม่ตาย ไม่ว่าข้าอยู่ที่ไหน จะจดจำบุญคุณของเจ้าเสมอ”
“อย่าพูดเรื่องบุญคุณเลย” มู่จิ่วตัดบทเขา นางช่วยคนเพราะยินยอมพร้อมใจ ไม่ใช่เพื่อผลตอบแทน หลังเม้มปากกลั้นหายใจอยู่ครู่หนึ่ง นางจึงพูดต่อ “เรื่องนี้ข้าต้องครุ่นคิดก่อน ช่วยหรือไม่ช่วยตอนนี้ข้าไม่สามารถรับปากได้ เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”
อันที่จริงลู่ยาเคยพูดมาก่อนว่าหลินเจี้ยนหรูมีสำนึกมาร ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องถามเขา
หลินเจี้ยนหรูเงยหน้ามองนางครู่หนึ่ง พยักหน้า ก่อนจากไปในที่ห่างไกล
ลู่ยาพารุ่ยเจี๋ยกับอาฝูเข้าประตูสวรรค์แดนใต้ ตลอดทางเดินไปพลางอธิบายวิชาการใช้ลมหายใจให้พวกเขา โดยไม่รู้ตัวก็มาถึงปากตรอกแล้ว
เขาเงยหน้าขึ้นเห็นคนคนหนึ่งกำลังมองมายังตรอกอย่างเหม่อลอย เป็นมู่จิ่วอย่างแน่แท้ จึงอดเดินเข้าไปใกล้ไม่ได้“ใครมาหรือ?”
“หลินเจี้ยนหรู” มู่จิ่วหันมาตอบ เหมือนกับรู้นานแล้วว่าพวกเขากำลังกลับมา “พวกเราเข้าไปในห้องก่อนค่อยพูดกัน”
ลู่ยาได้ยินว่าเป็นหลินเจี้ยนหรู คิ้วก็ขมวดมุ่น ชะงักอยู่ที่ประตูครู่หนึ่ง ก่อนจะเข้าไปอย่างเงียบขรึม เมื่อถึงในห้องเขา มู่จิ่วขมวดคิ้วหันมาพูด “หลินเจี้ยนหรูมาขอร้องข้า อยากให้ข้าช่วยเขายืมกุญแจจันทราจากอ๋าวเชินสักหลายวันเพื่อฟื้นคืนจิตต้นกำเนิดแม่เขา ข้าไม่ได้รับปากเขา แต่…”
“แต่เจ้าใจอ่อนอีกแล้วใช่หรือไม่?” ลู่ยามองนางอย่างอารมณ์ไม่ดี ยกเสื้อนั่งลงไป
มู่จิ่วรู้สึกผิดจนไม่รู้จะพูดอย่างไรดี นิสัยเสียของนาง ตอนนี้มองคราเดียวเขาก็มองออกแล้ว นางพูด “ข้าไม่ทำโดยพลการ เจ้าบอกทีว่าข้าช่วยเขาได้หรือไม่? หากช่วยได้ข้าถึงช่วย หากช่วยไม่ได้ข้าก็จะปฏิเสธเขา”
“หากข้าไม่ให้เจ้าช่วย เจ้าคงไม่รู้สึกผิดใช่ไหม?” ลู่ยาจับมือนางขึ้นมา “ข้าดูออกว่าเจ้าอยากช่วยเขาอย่างชัดเจน”
มู่จิ่วถอนหายใจมองพื้น “จะพูดอย่างไรดี? ข้าอยากช่วยเขาจริง หากข้าสามารถทำได้ แต่ข้าก็รู้ว่าหลินเจี้ยนหรูสังหารคนไปสองคนต่อเนื่องกัน ไม่ว่าอย่างไรบาปของเขาก็ไม่น้อยลงแล้ว อีกอย่างความสัมพันธ์ของเขากับสำนักเป็นแบบนี้ จึงไม่มีคนสามารถชี้แนะเขา ข้ากังวลว่าหากภายหลังเขาเดินไปในทางที่ผิด ก็เป็นเรื่องที่ข้าควบคุมไม่ได้”
“หากเป็นเพียงตัวข้าเองก็เอาเถอะ ข้าทำข้ารับเอง สิ่งสำคัญคือข้าไม่อาจลากเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง ยังมีพวกอาจารย์ของข้าอีก หากเจ้าบอกว่าไม่สามารถช่วยได้ แบบนั้นแน่นอนว่าต้องมีหายนะภายหลัง ข้าจะเชื่อฟังเจ้าอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย”
………………………………………………
บทที่ 238 ผังดวงชะตาของเขา
โดย
Ink Stone_Romance
ลู่ยามอง ก่อนพลันลูบท้ายทอยนาง ถอนหายใจพูด “เด็กโง่ของข้าโตขึ้นแล้วจริงๆ”
มู่จิ่วเหยียดมุมปากยิ้มพร้อมก้มหน้าลง
ทำความผิดไปครั้งหนึ่ง นางก็ไม่อยากทำผิดอีกครั้งที่สองแล้ว
อันที่จริงนางไม่เปิดปากก็รู้ ความเป็นไปได้ที่ลู่ยาจะเห็นด้วยให้นางไปช่วยแทบไม่มี อย่างไรเสียตอนแรกลู่ยาก็เกือบสังหารเขาแล้ว
ด้วยความรังเกียจต่อพฤติกรรมของเขา ลู่ยาจะอนุญาตให้นางทำแบบนี้ได้อย่างไร?
แต่นางก็ยังอยากถามเขาสักหน่อย มิใช่ร้องขอให้เขาช่วย แต่เป็นการบอกความคิดในใจแก่เขา นางกับหลินเจี้ยนหรูก็นับว่าเป็นเพื่อนกัน ถึงแม้นางเห็นใจชิวซื่อ แต่ในฟ้าดินนี้คนที่ควรเห็นใจมีเพียงชิวซื่อคนเดียวหรือ? นางเห็นใจได้ ทว่าเห็นใจไม่ได้มากขนาดนั้น
นางเชื่อในการแยกแยะถูกผิดของลู่ยา สามารถใช้เป็นบรรทัดฐานของนางได้ในระดับหนึ่ง
หากวันนี้ลู่ยาไม่อยู่ข้างกาย นางอาจจะไม่ลังเลเลยด้วยซ้ำ สามารถปฏิเสธหลินเจี้ยนหรูไปตรงๆ เนื่องเพราะความสามารถของนางมีจำกัด จึงกลัวผลลัพธ์ในภายหลัง แต่ในเมื่อเขาอยู่ด้วย ขอความคิดเห็นกับเขาก่อนก็ดี หากมีความประนีประนอม ก็ไม่ถึงกับให้หลินเจี้ยนหรูไม่มีทางลง
“หากข้าบอกว่าเจ้าช่วยได้ เจ้าคิดจะช่วยอย่างไร?” ลู่ยาพลันถาม
มู่จิ่วอึ้งไป “แน่นอนว่าต้องไปถามอ๋าวเชินว่าให้ยืมได้หรือไม่ ยังสามารถทำอย่างไรได้อีก?” ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นสิ่งของของเขา และสำคัญกับอ๋าวเชินมาก
อย่างมากสุดนางก็แค่ช่วยถาม
นางไม่อยากพูดเรื่องนี้แล้ว เพราะนางไม่แน่ใจ และรู้สึกว่าลู่ยาอาจฝืนใจตกลง
นางยืนขึ้นหยิบหวีเขาแรดจากบนโต๊ะก่อนพูด “ข้าช่วยเจ้าหวีผมแล้วกัน!”
นางชอบช่วยเขาจัดการผมมาก ผมของเขาทั้งยาวและหนา ลูบแล้วสบายอย่างมาก
ลู่ยายิ้มหยิบพลางกระดองเต่าขึ้นมาจากบนโต๊ะแล้วเลื่อนไปมาหลายครั้ง จากนั้นพลันพูดช้าๆ “เรื่องนี้ที่จริงช่วยได้”
ความสนใจของมู่จิ่วอยู่ที่ผมยาวจรดเอวของเขา ครั้นได้ยินคำพูดนี้ก็พลันกลับมาสนใจทันที “อ้อ?”
นางอ้าปากมองเขา สงสัยว่าตนเองได้ยินผิดไป
ลู่ยาขมวดคิ้วมองไปข้างหน้าพลางเอ่ย “เพราะเร็วๆ นี้ข้าพบว่าผังดวงชะตาของหลินเจี้ยนหรูแปลกประหลาดมาก”
มู่จิ่วย้ายกลับไปนั่งที่เดิม “ประหลาดอย่างไร?”
“ชะตาชีวิตของเขามีประโยชน์กับเจ้า”
ลู่ยามองนาง ยังคิดจะพูดอะไรอีก ทว่ากลับหยุดไว้
จากนั้นเขาเพียงพยักหน้า ยืนยันว่าคำพูดของตนเองไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
มู่จิ่วรู้สึกนั่งไม่ค่อยติด ชะตาชีวิตของหลินเจี้ยนหรูมีประโยชน์กับนาง?
“ความหมายของเจ้าคือภายหลังเขาจะไม่ทำเรื่องเลวร้ายแล้ว?”
ลู่ยามองโต๊ะ เงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูด “นี่ไม่เกี่ยวกับว่าเขาจะกลายเป็นคนไม่ดีหรือไม่”
กล่าวจบแล้วเขาก็พูดอีก “เพียงแค่เจ้าแน่ใจว่าเรื่องที่เขาให้เจ้าทำไม่ใช่เรื่องไม่ดี เขาไม่ได้หลอกเจ้า และสามารถยื่นมือเข้าไปช่วยภายใต้ประโยชน์ส่วนรวม หากเจ้าอยากช่วยก็ช่วยได้อย่างเหมาะสม ทำเหมือนกำลังสะสมบุญกุศล อีกอย่างคือวิถีฟ้ายุติธรรม ไม่ว่าคนดีคนชั่ว สุดท้ายต้องมีบทสรุปเสมอ”
มู่จิ่วยิ่งสูดลมหายใจเย็นๆ เข้าไป…
ลู่ยาพลันคลายความอึมครึมบนใบหน้า บีบแก้มนางพลางยิ้ม “ชีวิตหนึ่งของคนเราพูดยากนัก นับประสาอะไรกับหนทางเซียนที่ช่างยาวไกล? ดีหรือชั่ว หากไม่ถึงท้ายที่สุดใครจะรู้เล่า? แต่ตนเองก็ระมัดระวังเสียหน่อย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็อย่าตอบรับทั้งหมด ความคิดของเขาลึกจนไม่อาจหยั่ง คิดจะหลอกเจ้าก็ง่ายนิดเดียว เจ้าเพียงจำไว้ แค่ให้เจ้าช่วยเขาทำเรื่องดีในสถานการณ์ที่แน่ใจว่าปลอดภัยก็พอแล้ว คราวก่อนทางฝั่งอ๋าวเชินได้ยาของข้าไปคงจะดีขึ้นมากแล้ว แต่ข้าไม่รับประกันว่าเขาจะรับปาก เจ้าไปลองเสี่ยงโชคดูได้”
มู่จิ่วพบว่าสมองตนเองใช้การได้ไม่ดีนัก ลู่ยาไม่เพียงไม่โทษหลินเจี้ยนหรูที่มาหานางอีก แต่ยังบอกว่าช่วยเขาได้?
ถึงแม้ความคิดของเขาลึกล้ำไม่อาจหยั่ง ซ้ำยังมีโอกาสหลอกนางอีก แบบนั้นนางยิ่งควรห่างจากเขาไปไกลถึงจะถูก!
ผังดวงชะตานี้แท้จริงแล้วเป็นผังดวงชะตาอะไรกันแน่…
“หากเขาทำเรื่องผิดศีลธรรมอะไรอีก ข้าสามารถจัดการเขาได้หรือไม่?” นางยังอยากพูดอีกหน่อย
ลู่ยามีท่าทางระแวดระวังถึงที่สุด “ถึงแม้เจ้าไม่จัดการ ก็ต้องมีฟ้าจัดการ เจ้าเข้าไปยุ่งอะไรด้วย?”
มู่จิ่วไม่มีคำพูดโต้ตอบ
พบเรื่องร้ายแต่ไม่เข้าไปหยุดยั้ง นี่ช่างไม่เหมือนคำที่เทพชั้นสูงควรพูดเอาเสียเลย…
ท่าทางที่ลู่ยามีต่อหลินเจี้ยนหรูเปลี่ยนไป ทำให้มู่จิ่วครุ่นคิดบนเตียงอยู่นาน ทว่ายังคิดเหตุผลไม่ออก
พอไล่ถามลู่ยา เขาก็บอกว่าเป็นความลับฟ้ามิอาจแพร่งพราย ทำเอาแม้แต่นางฝันยังฝันว่าหลินเจี้ยนหรูเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
แม้แต่ในหน่วย เวลาว่างก็คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
ลู่ยาไม่ยอมพูดว่าผังดวงชะตานั้นบอกอย่างไร นางก็จนปัญญา แต่ในเมื่อเขาบอกว่าช่วยได้ แบบนั้นนางก็ไปลองดูเสียหน่อย แต่อ๋าวเชินจะรับปากให้นางยืมหรือ? นางไม่มั่นใจจริงๆ
นอกจากว่ายกลู่ยาผู้ยิ่งใหญ่ออกหน้า
แต่นางไม่อาจทำแบบนี้ได้แน่นอน
เดิมทีนางก็ไม่คิดให้เขาสอดมือเข้ามายุ่ง
ดังนั้นถึงแม้ได้รับอนุญาตจากลู่ยา นางก็ไม่ได้ลงมือทันที
ผ่านไปเช่นนี้สองวัน วันนี้ขณะหาม้วนคดีบนชั้น สายตาของนางไปจับอยู่ที่ปฏิทินบนหัวโต๊ะ จึงพลันหยุดนิ่ง
หลังจากจ้องมองอยู่นาน นางหมุนตัวออกประตูไป
ลู่ยากำลังบดยา หางตาเห็นนางเดินเข้ามา สากบดยาก็หยุดอยู่กลางอากาศในฉับพลัน
มู่จิ่วเดินมาพูดตรงหน้าเขา “ข้าอยากไปดื่มเหล้ามงคลที่ตระกูลอวิ๋น”
ลู่ยาชะงัก “ทำไมอยู่ๆ ถึงอยากไป?”
“เรื่องหลินเจี้ยนหรู ให้ข้าไปถามอ๋าวเชินเถิด” มู่จิ่ววางมือบนเข่า “ตระกูลอ๋าวตระกูลอวิ๋นตอนนี้ดีกันแล้ว คราวก่อนอ๋าวเจียงมาบอกว่าอวิ๋นซีแต่งงาน บ้านพวกเขาก็ไปแสดงความยินดีด้วย ดังนั้นข้าเลยคิดว่าอ๋าวเชินต้องไปแน่ ข้าคิดจะอาศัยโอกาสนี้เอ่ยปากถามเขา ถึงแม้เขาไม่รับปากข้าก็ไม่ถึงกับกระอักกระอ่วน และเขาก็ไม่ต้องถึงกับไร้ทางลง ทำเหมือนกับบังเอิญถามพอดี”
ลู่ยามองนางโดยไม่พูดอะไร
มู่จิ่วไม่ได้ถามเขาไปหรือไม่ เพราะหากเขาไป ถึงแม้ไม่ออกหน้าก็เหมือนยืมอำนาจของเขากดดันอ๋าวเชิน
ก่อนเลิกงานนางรอหลินเจี้ยนหรูอยู่ที่ปากประตูหน่วย พูดกับเขาว่า “เรื่องนั้นข้าไปลองดูได้ แต่บอกไว้ก่อน ทำสำเร็จหรือไม่ข้าไม่รับประกัน”
หลินเจี้ยนหรูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที พยักหน้าพูด “เจ้าวางใจเถอะ ถึงแม้ไม่สำเร็จข้าก็ไม่โทษเจ้า!”
มู่จิ่วพยักหน้า ฝืนยิ้มให้
เมื่อถึงเช้าวันที่ตระกูลอวิ๋นจัดงานแต่ง นางเปลี่ยนเสื้อผ้า นำค้างคาวคู่ประดับเพชรที่เตรียมไว้เป็นของขวัญยินดีไปด้วย จากนั้นพาอาฝูออกเดินทางไปทิวเขาริ้วหยก ตอนลู่ยารู้ว่าพวกนางออกไปก็ไปได้ถึงครึ่งทางแล้ว
หลังจากเรื่องอวิ๋นเฉี่ยนกับอ๋าวเชินแพร่ออกไปแล้ว แต่ละเผ่าที่แต่ก่อนรักษาความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลอวิ๋นก็ห่างเหินกันไป ตระกูลอวิ๋นรู้ว่าเรื่องนี้คนทั่วไปไม่อาจช่วยอะไรได้มาก ดังนั้นจึงไม่เคยใส่ใจ แต่อวิ๋นซีแต่งงานครั้งนี้ สุดท้ายก็ยังไม่ได้ส่งเทียบเชิญไป ดังนั้นแขกจึงมาไม่มาก
อวิ๋นชือฉางพาคนออกมาต้อนรับอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ไม่เห็นลู่ยามาด้วยก็ยังพานางกับอาฝูเข้าไปตำหนักหลังอย่างกระตือรือร้น
มู่จิ่วไม่ได้มาเพื่อดื่มเหล้ามงคลจริงๆ หลังนำของขวัญยินดีส่งให้ ทักทายไม่กี่ประโยค นางก็ถามถึงอ๋าวเชิน อวิ๋นชือฉางกำลังจะพูด นอกประตูก็รายงานว่าอ๋าวเชินมาถึงแล้ว ไม่นานอ๋าวเชินพาขุนนางเต่าและผู้ติดตามสองคนเดินเข้ามา ครั้นเห็นมู่จิ่วกับอาฝูก็ตกตะลึง น้อมคารวะ ก่อนเข้ามาทักทาย
มู่จิ่วถือโอกาสยืนขึ้น ส่งสัญญาณให้อ๋าวเชินไปยังแปลงดอกไม้ที่ประตูหลัง จากนั้นพูดเรื่องยืมกุญแจจันทราหยางกับเขา “ยืมเพียงเจ็ดวัน ถึงเวลาต้องคืนแน่ ไม่รู้ว่าราชามังกรรับปากได้หรือไม่?”
อ๋าวเชินคิดไม่ถึงว่านางจะเอ่ยปากเรื่องนี้กับเขา สีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย
ดังนั้นมู่จิ่วจึงพูดอีก “แน่นอนว่าหากที่จริงลำบากก็ไม่ต้องฝืนใจ ข้าไม่ต้องการให้ราชามังกรลำบากใจ ไม่ต้องเห็นแก่หน้าลู่ยาเช่นกัน นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของข้า”
อันที่จริงนางก็รู้ว่าสำหรับเขากุญแจจันทราหมายถึงอะไร
“ไม่ทราบว่าแม่นางกัวจะยืมไปทำอะไร?” อ๋าวเชินถาม
มู่จิ่วเลี่ยงไม่ได้ เล่าเรื่องของชิวซื่อให้เขาฟัง
อ๋าวเชินไม่ได้พูดสิ่งใด
มู่จิ่วไม่มีความหวังเลยจริงๆ
……………………………………………
บทที่ 239 เกิดเรื่องแล้ว!
โดย
Ink Stone_Romance
แต่หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง อ๋าวเชินสูดหายใจเข้าลึกก่อนพูด “แม่นางไม่ใช่คนนอก หากแค่เจ็ดวันข้าสามารถรับปากได้ เพียงแต่ต้องเตรียมตัว กุญแจจันทราหยางห่างจากข้าไปไม่กี่วันก็มีปัญหาไม่ใหญ่ แต่หากนานกว่านี้เกรงว่าข้าออกจะลำบาก”
มู่จิ่วกระตือรือร้น “เรื่องนี้ข้าย่อมรู้ สรุปคือไม่ว่าอย่างไรในเจ็ดวันข้าต้องนำมาคืนแน่ แต่ถึงแม้เป็นแบบนี้ ข้าก็ไม่หวังให้ราชามังกรฝืนรับปากข้า”
อ๋าวเชินคิดนิดหนึ่งก่อนเอ่ย “ข้าต้องใช้เวลาเตรียมตัวก่อน หลังจากนี้สองเดือนแล้วกัน”
สองเดือนก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร กระทั่งพูดได้ว่าเร็วมากแล้ว มู่จิ่วไม่มีความเห็นแม้แต่น้อย นางค้อมตัวแสดงความขอบคุณอย่างเป็นทางการกับเขา
เมื่อกลับถึงสวรรค์ เรื่องแรกที่มู่จิ่วทำคือเขียนจดหมายให้อาฝูคาบไปส่งหลินเจี้ยนหรู
เช้าวันถัดมา นางเพิ่งถึงหน่วยงานเขาก็มาแล้ว
“ราชามังกรรับปากให้ข้ายืมกุญแจจันทราจริงหรือ?”
มู่จิ่วพยักหน้า “แต่อีกสองเดือนถึงสามารถไปเอาได้ และต้องส่งคืนภายในเจ็ดวัน เรื่องนี้เจ้าต้องรับปากข้าและต้องทำให้ได้ มิฉะนั้นแล้ว ข้าเกรงว่าเจ้าจะแบกรับผลลัพธ์ไม่ไหว”
หากอ๋าวเชินไม่ได้รับกุญแจจันทราคืนในระยะเวลาที่กำหนด อันดับแรกเขาจะไม่มาหานาง แต่ต้องร่วมมือกับตระกูลอวิ๋นทำลายเขาก่อนถึงค่อยมาหาเรื่องนางแน่ สิ่งที่นางพูดไม่ได้เกินจริง ทว่าเป็นเรื่องจริงที่ต้องเกิด เขาต้องเข้าใจให้ชัดเจน
หลินเจี้ยนหรูครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายเขามาขอร้องนาง จะไม่รู้ถึงผลลัพธ์นี้หรือ? เขาฟังจบถึงค่อยผ่อนลมหายใจยาว นั่งลงบนเก้าอี้ มือกุมขมับพลางปรับลมหายใจหลายครั้ง ก่อนเงยหน้าขึ้น “เจ้าวางใจได้ ข้าจะไม่ทำให้เจ้าลำบากแน่”
พูดจบก็ยืนขึ้นมา ก้าวข้ามธรณีประตูเดินเร็วๆ ออกไป
มู่จิ่วมองเขาหายลับไปจากนอกประตู ความมืดหม่นบนใบหน้าปรากฏอยู่พักใหญ่ก่อนจะหายไป
คนแบบเขา สุดท้ายก็ไม่รู้จะมีจุดจบแบบไหน?
แต่ต้องไม่ทำผิดอีกถึงจะดี
หลังจากหลินเจี้ยนหรูได้รับคำตอบจากนาง ก็ไม่มารบกวนอีกอย่างรู้ตัวดี
สิ่งที่เขาคิดยังค่อนข้างลึกซึ้ง มู่จิ่วนับว่าเป็นคนที่เขาไว้ใจได้มากที่สุด ไม่ต้องพูดเรื่องอื่น อย่างน้อยนางก็ไม่เคยปกปิดต่อหน้าและไม่เคยขัดขวางเขา ถึงแม้รู้ว่าเขาเคยทำอะไรมาก่อน นางก็ยังช่วยเหลือเขา หากปิดตายหนทางนี้ไป เขาก็เท่ากับตัดกำลังของตนเอง
ผ่านไปแบบนี้สิบกว่าวัน เหตุการณ์ทั้งหมดสงบดี
ช่วงนี้มู่จิ่วทุ่มกำลังอยู่กับสองเรื่อง หนึ่งคือปฏิบัติหน้าที่ประจำ อีกหนึ่งคือสืบเรื่องอวี้ตี้
นางไม่พบว่าอวี้ตี้ผิดปกติอะไร ตอนหวังหมู่ถามขึ้นก็ไม่ได้เร่ง นางเปลี่ยนแผนใหม่ ไม่ให้มู่จิ่วจับตามองตลอดเวลาแล้ว ทว่าหลังจากนางได้ข่าวการออกจากวังของอวี้ตี้แล้วค่อยสั่งว่าให้จับตามองเมื่อไหร่ แบบนี้สามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้เขารู้ตัวได้
มู่จิ่วรู้สึกว่างานนี้ของนางเหมือนกับมีรากปลายแหลมแทงอยู่บนหลัง เมื่อไหร่หาเบาะแสเจอก็อยากจะดึงออกทันที แต่ถึงแม้ไม่อยากทำกลับไม่มีหนทาง ผ้าทอสีเหลืองนั้นอยู่ในมือหวังหมู่ เพียงนางเอาให้อวี้ตี้ดู อวี้ตี้กลับมาต้องถลกหนังมู่จิ่วแน่
แต่หวังหมู่ก็เอาใจนางไม่น้อย มียาเซียนผลไม้เซียนอะไรก็มอบสิ่งนั้นให้…ทำงานส่วนตัวให้เถ้าแก่ใหญ่ก็มีข้อดีเล็กน้อย คือสินน้ำใจมาก และมู่จิ่วก็พบว่าถึงแม้หวังหมู่โหดร้าย แต่แท้จริงแล้วกลับช่างเจรจา ไม่ใช่เอะอะก็ให้คนอยู่ในกฎ หากไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย ถึงมู่จิ่วเอาผลไม้ของนางมากินหรือลูบแมวดาวของนาง นางก็ไม่พูดอะไร
สิ่งนี้ทำให้มู่จิ่วยิ่งทุ่มเททำงานมากขึ้นอีกนิดโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
วันนี้ขณะกำลังเตรียมเลิกงาน เซียนหญิงในสระหยกพลันเดินเข้ามาอย่างรีบเร่ง ครั้นถึงตรงหน้านางก็โน้มตัวเข้ามาพูด “เหนียงเหนียงให้ข้ามาบอก คืนนี้ฝ่าบาทวางแผนออกไปข้างนอก แอบให้คนไปเรียกพาหนะมาแล้ว เจ้ารีบสะกดรอยไป!”
มู่จิ่วได้ยินก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที!
ไม่ใช่นางตื่นเต้นเพราะเป็นคนสอดแนม แต่เรื่องจบเร็วเท่าไหร่นางก็สบายเร็วขึ้นเท่านั้น!
จากนั้นนางพาอาฝูไปตามถนนเล็ก เร่งไปยังร้านบะหมี่เล็กๆ ตรงข้ามวังหลิงเซียว และรออวี้ตี้ขี่มังกรทองบินออกจากวังไป
หากอวี้ตี้ลาดตระเวนสวรรค์เก้าชั้นตามปกติจะมีรถม้าพระที่นั่ง แต่หากใช้มังกรทองเป็นพาหนะ จะเป็นการออกไปเดินเล่นเองส่วนตัว หากแม้แต่ข้อมูลเล็กๆ แค่นี้หวังหมู่ยังเอามาไม่ได้ ก็ไม่อาจเรียกว่าเป็นผู้มีอำนาจในวังหลังแล้ว และการที่ไม่ให้คนใกล้ชิดของตนเองติดตามมาด้วย แน่นอนเป็นเพราะกลัวว่าหากความแตกขึ้นมา อวี้ตี้จะรู้ว่าเป็นคนที่นางส่งมา
มู่จิ่วครุ่นคิดเหตุผลเหล่านี้ได้นานแล้ว ดังนั้นแม้แต่ข้ออ้างตอนถูกอวี้ตี้จับการสะกดรอยได้ก็เตรียมไว้เรียบร้อย นางมีความลับกับอวี้ตี้เหมือนกันมิใช่หรือ? ถึงตอนนั้นขอเพียงผ่านสถานการณ์เบื้องหน้าไปได้ โอกาสที่อวี้ตี้จะสงสัยนาง เทียบกับคนทั่วไปแล้วยังต่ำกว่าอีก และเขาต้องคิดไม่ถึงแน่ว่าหวังหมู่จะใช้นางตลบหลังเสียแล้ว
พูดถึงตรงนี้ มู่จิ่วไม่อาจไม่ชื่นชมความเจ้าเล่ห์ของหวังหมู่ ด้วยความสามารถนี้ของนาง อวี้ตี้ถึงกับคิดลักลอบคบชู้ลับหลังนาง เขาคงเบื่อที่จะมีชีวิตแล้ว
นางนั่งอยู่พักหนึ่ง ไม่เห็นรถม้าออกจากวัง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพาหนะมังกรทองเลย
ขณะกำลังสงสัยว่าหวังหมู่ได้รับข่าวผิดหรือไม่ ประตูวังก็เปิดออก มีเมฆหมอกกลุ่มหนึ่งลอยออกมาช้าๆ จากนั้นแสงสีทองสาดส่องระยิบระยับ มังกรยักษ์แข็งแกร่งยิ่งใหญ่ขนาดราวสามสี่จั้งบินออกมา บนหลังมังกรมีอานงดงามซึ่งเลี่ยมฝังหินมีค่ามากมายหลากสี บนอานยังมีเกี้ยวงามวิจิตรกึ่งโปร่งแสง ม่านบนเกี้ยวปิดลงมา ด้านในราวกับมีคนนั่งอยู่
มู่จิ่วลุกขึ้นมาทันที เห็นด้านหลังมังกรมีเซียนหญิงแปดคนถือหรูอี้[1]หยกทองและผีผาเครื่องดนตรีต่างๆ ตามหลังมา นางขี่บนหลังอาฝู สะบัดชุดซ่อนเซียนคลุมร่างทั้งสอง ตามไปข้างหน้าโดยทิ้งระยะห่างไว้
แต่ตามไปหลายสิบลี้ นางพลันรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ท่าทางแบบนี้ของอวี้ตี้ ถึงแม้ไม่มีขบวนคุ้มกันครบชุด แต่ก็นับว่าทุกคนรู้กัน นี่เหมือนคนจะไปทำเรื่องลับหรือ?
มู่จิ่วทำใจกล้า กระโดดไปข้างหน้าเพื่อดูคนที่อยู่ในเกี้ยว ไหนเลยจะเป็นอวี้ตี้? ที่แท้เป็นผู้ติดตามข้างกายเขา!
เจ้าคนนี้ เขากลับยังเล่นตุกติก?
ที่แท้ก็มีกลลวง!
นางหันกลับทันทีโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง เมื่อไปถึงประตูวัง จึงจับเถ้าแก่กระเรียนที่เปิดร้านบะหมี่มาถามว่าเมื่อครู่เห็นคนออกจากวังมาหรือไม่ เถ้าแก่กระเรียนชี้ฟ้าทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ พูดว่า “ที่ประตูวังไม่เห็นใครออกมา แต่เห็นมีแสงเมฆลอยไปทางนั้น” ครั้นถามว่าไปนานเท่าไหร่แล้ว เขาจึงตอบ “ชั่วเวลาจิบครึ่งถ้วยชา”
มู่จิ่วไม่ชักช้า ให้เหรียญหยกสองเหรียญแก่เขาแล้วขี่อาฝูมุ่งไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ
ถึงอย่างไรอวี้ตี้ก็เป็นลูกศิษย์ของหงจวิน เป็นราชาแห่งหกภพและมีวิถีฟ้าคุ้มครอง เป็นธรรมดาหากมู่จิ่วคนไร้ตัวตนไม่สามารถเทียบชั้นได้ แต่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือกว้างใหญ่ไพศาล มีเนินเขาและยอดเขา โดยพื้นฐานแล้วไม่มีคนสัญจรไปมา ยิ่งบวกกับทิวเขาสูงใหญ่หันหลังให้พระอาทิตย์ ไม่มีเซียนมีชื่อพักอาศัยอยู่ อวี้ตี้จึงทำได้เพียงเลือกขี่เมฆเดินทางบนฟ้า
เมื่อมีพลังพิเศษของอาฝู เดินทางไม่ถึงระยะพันลี้ก็เห็นแสงมงคลแยงสายตาลอยอยู่ข้างหน้ารางๆ หลังจากแยกแยะอย่างละเอียด คงเป็นเป้าหมายไม่ผิดแน่
ที่นี่ไม่มีคนนอก ถึงแม้ไม่อาจมั่นใจได้ แต่กลับทำได้เพียงตามให้ถึงที่สุด
และอวี้ตี้ก็เจ้าเล่ห์เช่นกัน หยุดลงทางซ้ายแล้วหักเลี้ยวกลางอากาศ อ้อมไปทางตะวันออก ในที่สุดก็กดเมฆลงมุ่งไปทางยอดเขาสูงแห่งหนึ่งทางตะวันออกของเก้าทวีป
…………………………………………………………
[1] หรูอี้ เป็นเครื่องประดับมงคลลักษณะเป็นแท่งยาว มีหัวประดับ
บทที่ 240 เขามองข้า!
โดย
Ink Stone_Romance
มู่จิ่วเห็นเขาเข้าไปในวังเซียนแห่งหนึ่งบนยอดเขา ตั้งใจว่าจะรอผ่านไปสักครู่ค่อยข้ามไป ครั้นมองเห็นป้ายชื่อหินขนาดใหญ่ที่หน้าประตูวังสลักคำว่า ‘วังเทพตงเยวี่ย’ ถึงได้รู้ว่ายอดเขานี้เป็นภูเขาไท่[1]!
นี่คงเป็นอวี้ตี้ไม่ผิดแน่
มหาเทพตงเยวี่ยจินหงซื่อและอวี้ตี้เป็นสหายกันมาหลายปี ความสัมพันธ์ไม่เลวมาตลอด เขามาภูเขาไท่เพื่อพบเพื่อนเก่าก็ไม่มีอะไรแปลก
แต่เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ได้ข่าวผิด นางคลายชุดซ่อนเซียน ไปจับปีศาจหมาป่าเทาตัวน้อยจากด้านหนึ่งมาถาม “เจ้าช่วยข้าสอบถามทีว่ามีแขกคนไหนเพิ่งมาที่วังมหาเทพ ข้าจะเอาของหวานให้เจ้า ดีหรือไม่?”
นางหยิบยาเซียนเพิ่มพลังที่เปลี่ยนรูปเป็นกระต่ายออกมาวางไว้ตรงหน้าเขาพลางพูด
หมาป่าเทาน้อยยังอายุเพียงไม่กี่ร้อยปี เพิ่งหัดพูดเป็น บางทีอาจเพิ่งทะเลาะกับสหายหมีข้างบ้านเสร็จแล้วรีบกลับบ้านไปกินข้าว ด้วยกลัวว่าจะถูกแม่ตี เขากำลังสะบัดขนเอาดินออกอย่างลนลานใต้ต้นสน เมื่อเห็นยาเซียนกระต่ายน้อย ดวงตาทั้งสองของเขาพลันสว่างวาบ น้ำลายก็ไหลออกจากมุมปากลงมา “ให้ข้าหรือ?”
“แน่นอน”
ปีศาจหมาป่าเทาน้อยหันหน้ากระโดดไปทางประตูวังทันที ก่อนเอียงหน้าไปหาเซียนเด็กที่ประตูด้วยท่าทางน่ารัก
ไม่นานเขาวิ่งกลับมาอย่างดีใจ “เป็นอวี้ตี้มา!”
มู่จิ่วชมเขาคำหนึ่งว่าเด็กดี เอากระต่ายน้อยให้เขา ดวงตาทั้งสองของเขาเปล่งประกายอยู่นาน กำลังจะเอาใส่เข้าไปในปาก คิดคิดก็หยุด แล้วเก็บเข้าไปในกระเป๋ากางเกงตรงช่วงเอวที่แม่เขาเย็บให้อย่างระมัดระวัง ก่อนกระโดดโลดเต้นเข้าไปหาแม่ในป่า
มู่จิ่วมองดูป้ายชื่อ ด้านนอกและด้านในล้วนมีไอมงคลอยอบอวล ที่ประตูไม่เพียงมีเขตพลังแต่ยังมีเซียนเด็ก เข้าไปไม่ง่ายแน่นอน จึงทำได้เพียงล้มเลิกความคิดนี้ แต่นางกลับไม่อาจจากไปแบบนี้ได้ หากอวี้ตี้เพียงมาหามหาเทพตงเยวี่ยเพื่อคุยเรื่องเก่าแก่ ทำไมเขาต้องทำลับๆ ล่อๆ สร้างราชรถมังกรของปลอมขึ้นล่ะ?
นางไม่อาจชะล่าใจ
มู่จิ่วเดินไปทางขวาจนถึงยอดเขาด้านข้าง เลือกต้นสนแก่โค้งงอต้นหนึ่งที่ริมผา พาอาฝูกระโดดขึ้นไปรออย่างสงบ
ภูเขาไท่เป็นหนึ่งในห้าเขาใหญ่ ไม่เพียงทิวทัศน์สวยงาม ความอุดมสมบูรณ์ของพลังวิญญาณก็สัมผัสได้ก่อน ตอนนี้พระจันทร์เพิ่งขึ้นสู่ฟ้า แสงสว่างอาบอยู่ระหว่างทิวเขา ยอดเขาที่ต่อเนื่องกันผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในเมฆหมอกช่างน่าพึงพอใจ ลมเย็นพัดไปตามร่องน้ำของภูเขา เสียงไผ่เสียงสนเคียงคู่ไปกับเสียงหยดติ๋งๆ ของน้ำพุที่ไม่รู้ดังมาจากไหน ฟังแล้วไพเราะราวกับท่วงทำนองหนึ่ง
“อาฝูจับตามองไว้ มีคนออกมาให้ร้องเตือนข้า”
นางหมอบลงกำชับข้างริมหูอาฝู จากนั้นหนุนอยู่บนตัวเขาแล้วงีบหลับ
อาฝูหันหัวมาเลียหน้าผากนาง หมอบอย่างเชื่องๆ เหมือนแมวตัวหนึ่ง
ทั้งหมดสงบสวยงามจนยากจะบรรยาย
แต่ทันใดนั้น มู่จิ่วที่กำลังดื่มด่ำสิ่งเหล่านี้พลันมีเสียงหนึ่งดังผ่านริมหู เสียงนี้แหบแห้ง ยาวคาง และทุ้มต่ำ เหมือนกับเสียงลมที่ลอยมาจากนรก และเหมือนเสียงเสียดสียามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ที่จมอยู่ใต้น้ำนับพันหมื่นปีพลันถูกกระแสน้ำซัดหลุดออกจากฝัก แต่ไม่ว่าเป็นเสียงประเภทไหน ก็ไม่กลมกลืนกับสถานการณ์และทิวทัศน์ตอนนี้เลย!
นางพลันลืมตาขึ้นมา พริบตาเดียวพลังลมปราณมารวมกันอยู่ที่ดวงตา ส่งสายตาคมกริบมองไปข้างหน้า
อาฝูก็ราวกับรู้สึกได้ถึงอาการเกร็งของมู่จิ่ว เท้าหน้ายันขึ้นมา สายตาตกลงบนหน้านาง
แต่เสียงนั้นกลับหายไปแล้ว หายไปเหมือนเป็นเพียงอาการประสาทหลอนของนาง
แสงจันทร์ตรงหน้ายังสงบสวยงาม เสียงสนรอบด้านก็ไม่ถูกรบกวนแม้แต่น้อย
“เจ้าได้ยินเสียงอะไรหรือไม่?” นางอดถามอาฝูไม่ได้
อาฝูส่ายหน้า เลียอุ้งมืออย่างไม่รับรู้สิ่งใด
มู่จิ่วตบๆ หัวอาฝู หยิบหยกโมราจากกระเป๋าเล็กมาป้อนเขา
บางทีอาจหลอนไปเองกระมัง
นางขบคิด อันที่จริงก็เป็นเพียงเสียงเบาๆ แค่เสียงลมก็ฟังเป็นเสียงประหลาดได้
แต่ตอนนางเตรียมเอนกลับลงไป ลมแรงขุมหนึ่งโจมตีเข้ามาที่หน้าอกนางทันใด! ความเร็วและความแข็งแกร่งของมันเทียบแล้วเร็วกว่าธนู พุ่งเป้ามายังหัวใจนางและกำลังแหวกอากาศมา!
“อาฝู!”
“โฮกกก!”
มู่จิ่วกับอาฝูเกือบจะร้องพร้อมกัน ตอนที่ลมนั้นเข้าใกล้ร่าง นางก็กลิ้งตัวหลบ ส่วนอาฝูเปลี่ยนร่างเป็นพยัคฆ์เทพขวางอยู่หน้านางอย่างกล้าหาญในพริบตา! จากนั้นบนแขนนางพลันเปล่งแสงทอง กลายเป็นดอกบัวทองล้อมนางกับอาฝูไว้…
รอจนนางได้สติคืนกลับมา ทุกอย่างก็สงบลง
ด้านหน้าไม่มีอะไรเลย คลื่นลมสงบ…
มู่จิ่วรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นธนูที่ขึงตึง ไม่กล้าผ่อนคลายแม้แต่นิดเดียว
เรื่องที่น่ากลัวกว่าเจอศัตรูผู้แข็งแกร่งคืออะไร? คือเจ้าไม่รู้เลยว่าเขาอยู่ที่ไหน เขาเป็นใคร!
หากเมื่อครู่ไม่มีดอกบัวทองปกป้อง ตอนนี้หากนางไม่ตายก็ต้องตกอยู่ในกำมือคนอื่นแล้ว!
“พวกเราถอย!”
นางหันไปตบๆ หัวอาฝู หยิบชุดซ่อนเซียนขึ้นมาสวม เอ่ยคำตัดสินใจทันที
ชุดซ่อนเซียนสามารถซ่อนร่องรอยของเซียนและมารระดับจินเซียนลงไป แต่คนที่มาไม่ว่าเป็นเซียนหรือเป็นมาร อย่างไรก็ป้องกันไว้อีกชั้นดีกว่า
นางปีนขึ้นหลังอาฝู มุ่งตรงไปยังเขาหลักซึ่งเป็นที่ตั้งของวังตงเยวี่ย นั่นเป็นวังของมหาเทพตงหัว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีคนกล้าต่อสู้กันส่งเดชที่อาณาเขตของเขา
กำลังของอาฝูแข็งแกร่ง ร่างเสือทะยานไปข้างหน้า ร่องน้ำภูเขากว้างร้อยกว่าจั้ง เขากระโดดก้าวเดียวก็ข้ามได้ ระหว่างทางไม่มีอันตรายและเรื่องน่าตกใจ
หลังจากมู่จิ่วยืนมั่นคงแล้วหันกลับไปมอง พลันเห็นต้นสนเก่าแก่ที่นางอยู่ก่อนหน้านี้มีคนยืนอยู่
ไม่รู้ว่าคนผู้นี้หันหน้าหาพวกเขาหรือหันหลังให้ มองเห็นเสื้อผ้าการแต่งกายไม่ชัด รายละเอียดทั้งหมดอยู่ในเงามืดจึงพร่าเลือน พูดได้ว่าเขาที่ยืนอยู่ใต้พระจันทร์เต็มดวงดูไปแล้วเหมือนเป็นภาพเงาหยาบๆ แต่รูปร่างนั้นของเขา ถึงแม้แขนเสื้อจะพลิ้วตามลมอย่างไร กลับเผยความเย็นเยียบที่ยากจะบรรยายออกมา ทำให้นางใจสั่นยิ่งนัก…
“หงิงหงิง! หงิงหงิง!”
นางกำลังเหม่อลอย อาฝูพลันกัดกระโปรงนางมุ่งขึ้นไปบนเขา
มู่จิ่วเงยหน้ามอง เห็นเพียงไอมงคลออกมาจากในวังเซียน กลางอากาศมีมังกรทองแปดเก้าตัวร่ายรำไม่หยุดอยู่รางๆ มหาเทพตงเยวี่ยมาส่งอวี้ตี้แล้ว นางรีบเก็บกวาดความคิดแล้วลากอาฝูไปซ่อน ยืนอยู่หลังต้นไม้โบราณอย่างเงียบงัน และมองไปทางยอดเขาฝั่งตรงข้ามอย่างอดไม่ได้ คนผู้นั้นกลับไม่รู้หายไปตอนไหนแล้ว
อวี้ตี้ขี่เมฆมากลางอากาศ นางก็ไม่กล้าไขว้เขวอีก รีบพาอาฝูเว้นระยะห่างตามไปทันที
ตงเยวี่ยมีพลังวิญญาณเซียนอยู่ทุกที่ ดังนั้นพวกอวี้ตี้จึงสัมผัสไม่ได้ว่ามีคนติดตาม แต่ออกจากเขตนี้ไปกลับไม่เป็นเช่นนั้น นางทำได้เพียงตามอยู่ห่างที่สุด มิฉะนั้นหากไม่ระวังก็อาจโดนเขาสัมผัสร่องรอยได้
ตั้งแต่ออกจากเขตตงเยวี่ย อารมณ์ของนางค่อยๆ ฟื้นคืนกลับมา
การโจมตีเมื่อครู่เหมือนเป็นฝันตื่นหนึ่ง กระบวนท่านั้นทั้งเร็วและรุนแรง ภายใต้สถานการณ์ที่บนร่างนางมีตราประทับชัดเจนที่ลู่ยาให้ เช่นนั้นคนปกติต้องไม่สามารถทำได้ แต่คนนี้ไม่เพียงทำได้ ทว่ายังถอยหนีไปได้อย่างปลอดภัย เขาเป็นใคร? เขามาล้างแค้นหรือเมื่อครู่นางล่วงเกินเขาโดยไม่ตั้งใจ?
หากมาล้างแค้น นางเหมือนจะไม่เคยล่วงเกินคนที่สำคัญขนาดนี้
หากล่วงเกินเขา เขตตงเยวี่ยนี้นอกจากมหาเทพตงเยวี่ยแล้วยังมีใครเก่งกาจขนาดนี้อีก?
อีกอย่าง ทำไมหลังจากเกิดเรื่องเขาถึงยืนจ้องนางอยู่ใต้สนต้นนั้น?
…………………………………………………
[1] ตงเยวี่ย หมายถึง ขุนเขาบูรพา ซึ่งก็คือภูเขาไท่หรือไท่ซาน เป็นหนึ่งในห้าเขาใหญ่ของจีน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น