ยอดหญิงสกุลเสิ่น 232.1-233.2

ตอนที่ 232-1 พายุก่อตัว

 

 


 


“เวยเวย ลำบากเจ้าแล้ว” เมื่อเข้าห้องมาสวีโย่วก็กล่าวกับเสิ่นเวยอย่างรู้สึกผิด


 


 


เสิ่นเวยยักไหล่ กล่าวอย่างไม่สนใจ “ไม่เป็นไร รู้อยู่แล้ว อย่างไรเสียก็ฉีกหน้ากันแล้ว อีกทั้งยังไม่ต้องไปเคารพทุวันแล้ว อยู่ในจวนอ๋องหรือย้ายออกไปก็ไม่ต่างอะไรนัก” มารเฒ่าตนนั้นทรมานมาหลายคืนแล้ว ร่างกายคงจะทนไม่ไหวแล้ว ไม่มีแรงเล่นลูกไม้อีก เหลืออีกไม่กี่วันก็แต่งงานครบเดือนแล้ว อีกไม่นานพวกเขาก็สามารถย้ายออกไปได้


 


 


สวีโย่วยังคงรู้สึกทุกข์ใจ เวยเวยใช้ชีวิตอยู่ในจวนจงอู่โหวอย่างอิสระตามอำเภอใจมากนัก นี่เพิ่งจะแต่งเข้าจวนอ๋องมาได้ไม่กี่วันก็เกิดเรื่องน่าอับอายเยอะเพียงนี้ มันช่าง มันช่าง เฮ้อ! สวีโย่วมองเสิ่นเวยด้วยความรู้สึกผิดอย่างถึงที่สุด


 


 


“หรือว่า ให้ข้าพาเจ้าออกไปเดินเล่นดี” สวีโย่วนึกได้ว่าเด็กน้อยคนนี้ชอบเที่ยวเล่น จึงคิดหาวิธีชดเชยทันที


 


 


เสิ่นเวยเกิดความสนใจดังคาด “เอาสิ พวกเราไปกินของอร่อย แล้วก็ไปเดินซื้อของที่ถนนใหญ่ฝั่งตะวันออก เหนื่อยแล้วพวกเราก็ไปฟังนิทานที่โรงน้ำชา อ้อจริงสิ เถาฮวาล่ะ ต้องพานางไปด้วย” ส่วนท่านอ๋องพระชายาจะพอใจหรือไม่ ใครสนพวกเขากันเล่า


 


 


“ได้ ตามแต่เจ้าต้องการ” สวีโย่วเห็นเสิ่นเวยมีความสุข มุมปากของเขาก็ยกขึ้นเบาๆ


 


 


ฉินอิงอิงคุณหนูเจ็ดจวนเสนาบดีฉินที่รอแต่งงานช่วงนี้ก็กระวนกระวายใจอยู่ตลอด สำหรับคู่หมั้นของจวนจิ้นอ๋องนางก็เริ่มไม่พอใจแล้ว ใครไม่รู้บ้างว่าสวีฉั่งคุณชายสี่จวนจิ้นอ๋องเป็นลูกคุณชาย งานการไม่ทำ วันๆ เอาแต่ติดเพื่อนทำตัวเสเพล เด็กสาวที่กำลังมีความรักคนใดบ้างไม่หวังให้ว่าที่สามีของตนเป็นคนก้าวหน้ามีอนาคต โดยเฉพาะศัตรูตัวฉกาจของนางคุณหนูสี่แซ่เสิ่นจวนจงอู่โหวที่แต่งงานกับคุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋อง หากตนแต่งเข้าไปจริงๆ ใช่จะถูกนางกดหัวหรือไม่ นี่จะให้นางยินยอมได้อย่างไร


 


 


ยังคงเป็นแม่นางที่อ่านใจนางออก โน้มน้าวนาง “เด็กโง่ บุรุษกลัวประพฤติผิด สตรีกลัวได้สามีไม่ดี สตรีแต่งงานก็เปรียบเหมือนได้เกิดใหม่ แต่งงานดีตลอดชีวิตก็ไร้กังวล คนทั่วไปให้ความสำคัญกับการแต่งภรรยาสูงต่ำ การหมั้นหมายกับจวนจิ้นอ๋องนี้พวกเราถือว่าไม่อาจเอื้อมแล้ว คุณชายสี่แซ่สวีผู้นั้นเป็นหลานชายแท้ๆ ของฝ่าบาท แม้ตระกูลพวกเราจะเป็นจวนเสนาบดี แต่อย่างไรเสียพวกเราก็เป็นบ้านสาม อาศัยตำแหน่งขุนนางนั้นของพ่อเจ้าเจ้าคิดว่าจะแต่งเข้าจวนจิ้นอ๋องได้หรือ ไม่ใช่ว่าเขาเห็นแก่ลุงเจ้ากับซูเฟยเหนียงเหนัยงในวังหรืออย่างไร”


 


 


เห็นลูกสาวไม่พูด มารดาตระกูลฉินก็กล่าวต่อ “คุณชายสี่จวนจิ้นอ๋องผู้นั้นหน้าตาดีมีความสามารถ เพียงแค่ชอบเที่ยวเล่นเล็กน้อย ชายวัยหนุ่มคนใดบ้างไม่ชอบเที่ยวเล่น พี่น้องเจ้าเองก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ ประเดี๋ยวแต่งงานแล้วก็จะค่อยๆ เก็บความคิดเอง อีกทั้งเขายังเป็นลูกชายคนเล็กของพระชายาจิ้นอ๋อง จะไม่ถูกตามใจได้อย่างไร นางน่ะเป็นคนที่มีฝีมือที่สุด ดูแลเรือนหลังจวนจิ้นอ๋องมายี่สิบกว่าปี ข้างกายจิ้นอ๋องก็มีเพียงแค่นางคนเดียว ของดีในมือเยอะแยะยิ่งนัก ทำตกมาให้พวกเจ้านิดๆ หน่อยๆ ก็เพียงพอให้พวกเจ้าร่ำรวยไปทั้งชีวิตแล้ว เจ้าแต่งเข้าไป คลอดหลายชายคนโตให้นาง ยังต้องกลัวนางไม่ยกยอเจ้าไม่ตามใจเจ้าอีกหรือ”


 


 


ฉินอิงอิงหวั่นไหวเล็กน้อย คนที่นางอิจฉาที่สุดในจวนเสนาบดีก็คือซูเฟยเหนียงเหนียงพี่สาวคนโต ดำรงตำแหน่งเป็นนางสนม ซ้ำยังมีองค์ชายอยู่ข้างกาย ได้รับเกียรติยศความร่ำรวย ส่วนบุตรหลานในจวนจิ้นอ๋องนางพอใจเป็นอย่างยิ่งแล้ว เพียงแต่เทียบกับคุณชายสามท่านก่อนหน้า นางก็ไม่ยินดีเล็กน้อย เทียบอู๋ซื่อฮูหยินซื่อจื่อกับหูซื่อฮูหยินสามไม่ได้ก็ไม่เท่าไร แต่นางจะเทียบคุณหนูสี่แซ่เสิ่นที่เติบโตในชนบทไม่ได้เชียวหรือ แม้จะบอกว่าคุณชายใหญ่ผู้นั้นสุขภาพไม่ดี แต่เขาก็เป็นบุตรภรรยาหลวง อีกทั้งคนยังหน้าตาดี เด็กสาวดรุณีคนใดบ้างไม่ชอบชายหล่อเหลา


 


 


มารดาตระกูลฉินพอจะได้ยินมาว่าลูกสาวมีบุญคุณความแค้นกับคุณหนูสี่จวนจงอู่โหว เห็นคิ้วที่ขมวดเล็กน้อยของลูกสาวก็อดพูดไม่ได้ “เจ้าโง่แล้วหรือ คุณชายใหญ่ผู้นั้นได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นอ๋องแล้ว ต้องย้ายออกจากจวนอ๋อง จะอยู่ขวางหูขวางตาเจ้าได้อย่างไร”


 


 


ฉินอิงอิงแสยะปากอย่างไม่พอใจ “ข้าก็แค่ไม่เต็มใจ นางมีอะไรดี นึกไม่ถึงว่าจะแต่งงานกับคุณชายใหญ่ผู้ที่มีความสามารถเช่นนั้นได้”


 


 


มารดาตระกูลฉินทั้งโมโหทั้งขบขัน จิ้มลูกสาวหนึ่งครา กล่าว “เด็กน้อยเช่นเจ้าอย่างไรเสียก็คิดตื้นๆ เจ้าเพียงแค่เห็นว่าคุณชายใหญ่หน้าตาดั่งเทพเซียน เหตุใดถึงได้ลืมไปว่าเกินครึ่งปีเขาล้วนแต่รักษาตัวอยู่บนเขาเล่า ก่อนวันสมรสไม่ใช่โรคเก่ากำเริบจนต้องเลื่อนงานแต่งหรอกหรือ ร่างกายนั่นของเขาจะมีทายาทได้หรือไม่ยังพูดยากเลย ไม่มีผู้สืบสกุลต่อให้จะร่ำรวยก็เป็นเพียงคนนอกตระกูลมิใช่หรือ ตอนนี้คุณหนูสี่ตระกูลเสิ่นผู้นั้นดูเหมือนมีหน้ามีตา หลังจากนี้ยังไม่แน่ว่าจะเปล่าเปลี่ยวเพียงใด เจ้าลองคิดดู หากคุณชายใหญ่สมบูรณ์แบบ ฝ่าบาทจะพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้นางเป็นจวิ้นจู่หรือ แม้จะบอกว่าในนี้อาจจะมีสาเหตุมาจากนายท่านผู้เฒ่าเสิ่นโหว แต่คุณหนูจวนโหวก็มีตั้งหลายคน เหตุใดถึงตกมาถึงคุณหนูบ้านสามคนหนึ่งเล่า อิงเอ๋อร์เจ้าฟังแม่ แม่ไม่มีทางทำร้ายเจ้า การสมรสครั้งนี้เลือกมาอย่างดีที่สุดสำหรับเจ้าแล้ว”


 


 


ฉินอิงอิงได้ยินคำพูดของมารดา จินตนาการถึงสภาพตกอับในภายหน้าของศัตรูตัวฉกาจ บนใบหน้าก็ปรากฎรอยยิ้ม ส่วนมารดาตระกูลฉินก็ถอนหายใจหนึ่งคราอย่างโล่งอก การสมรสครั้งนี้ไม่เพียงแต่นายท่านที่ให้ความสำคัญ แม้แต่ท่านเสนาบดีกับซูเฟยเหนียงเหนียงในวังก็ให้ความสำคัญเช่นกัน ไม่อาจปล่อยให้อิงเอ๋อร์ดื้อรั้นได้


 


 


กว่ามารดาตระกูลฉินจะโน้มน้าวลูกสาวได้ ยังไม่ทันได้โล่งอก ข่าวลือว่าพระชายาจิ้นอ๋องทรมานภรรยาลูกเลี้ยงก็ดังเข้ามา สาวใช้มารายงานถึงความกระวนกระวายใจของลูกสาวที่เรือนนางก่อนแล้ว นางทำได้เพียงวางงานในมือลงแล้วไปที่เรือนของลูกสาว


 


 


“ท่านแม่!” ฉินอิงอิงมองมารดา ในสีหน้าเต็มไปด้วยความน้อยใจ “พระชายาจิ้นอ๋องผู้นั้นร้ายกาจเช่นนี้ ลูกแต่งเข้าไป…” นางกัดริมฝีปากสีแดง บนใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ย่านางก็เป็นคนที่ชอบกลั่นแกล้งลูกสะใภ้ แม้จะบอกว่าตอนนี้อายุมากแล้วไม่ค่อยทำให้แม่นางและป้านางลำบากแล้ว แต่ฟังว่าป้ารองคนก่อนของนางก็ถูกทรมานจนตาย อุ้มท้องปรนนิบัติผู้อาวุโสในฤดูหนาวที่หนาวจัด ตกเลือด ไม่สามารถอุ้มท้องผ่านด่านคลอดไปได้


 


 


อย่างไรเสียฉินอิงอิงก็เป็นคุณหนูที่ยังไม่เคยออกเรือน คิดแล้วก็รู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง


 


 


มารดาตระกูลฉินมองความหวาดกลัวบนใบหน้าลูกสาว จิตใจก็อ่อนลงก่อน กอดลูกสาวแล้วกล่าว “ก็แค่ข่าวลือ ส่วนใหญ่ล้วนเชื่อถือไม่ได้ เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล”


 


 


“เช่นนั้น เช่นนั้นหากว่าเป็นเรื่องจริงเล่า” ฉิงอิงอิงยังคงไม่สบายใจ


 


 


“อิงเอ๋อร์ เจ้าต้องรู้ไว้ว่า การสมรสครั้งนี้เป็นพระชายาจิ้นอ๋องที่สู่ขอด้วยตัวเอง อย่างน้อยนางก็ไม่อาจปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดีได้ อีกอย่าง เบื้องหลังเจ้ายังมีจวนเสนาบดีกับซูเฟยเหนียงเหนียงยืนอยู่ มิหนำซ้ำเจ้าก็ได้ยินแล้วว่าทรมานภรรยาลูกเลี้ยง เหตุใดถึงไม่ใช่ลูกสะใภ้สองคนนั้นเล่า เจ้าวางใจแต่งงานเถิด หากนางกล้าปฏิบัติไม่ดีต่อเจ้า ต่อให้แม่จะต้องยอมออกหน้าก็จะต้องทวงความยุติธรรมให้เจ้าจงได้” มารดาตระกูลฉินลูบใบหน้าเล็กๆ ที่เกลี้ยงเกลาของลูกสาวแล้วกล่าวด้วยความรักใคร่ แม้ว่าลูกสาวคนนี้จะอารมณ์ร้อนไปหน่อย ดื้อรั้นไปหน่อย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของนาง! นางรักและเอ็นดูราวกับแก้วตาดวงใจ จะยอมให้คนอื่นมาทรมานได้อย่างไร


 


 


ฉินอิงอิงมองใบหน้าที่อ่อนโยนของมารดา อดพยักหน้าไม่ได้


 


 


เมื่อออกจากจวนจิ้นอ๋องแล้วเสิ่นเวยก็กระโดดโลดเต้นราวกับนกน้อยที่ออกจากกรง คนที่กระโดดโลดเต้นเช่นเดียวกันยังมีเถาฮวา ช่วงนี้เถาฮวาอึดอัดจะแย่อยู่แล้ว หมดหนทางเสิ่นเวยก็ให้คนสร้างชิงช้าให้นางในลานบ้าน นางกล้าหาญมาก แกว่งสูงอย่างยิ่ง หลายต่อหลายครั้งเสิ่นเวยคิดว่านางเหมือนกระสุนปืนใหญ่อีกไม่ช้าก็สามารถยิงออกไปนอกกำแพงลานบ้านได้


 


 


“ฮูหยิน อีกประเดี๋ยวข้าจะไปซื้อปิ่นปักผมหนึ่งอัน เอาแบบที่มีผีเสื้อบินอยู่ข้างบน” เถาฮว่ากล่าวกับเสิ่นเวยด้วยท่าทีลึกลับอย่างยิ่ง


 


 


“เอ๋ เช่นนี้เจ้าไม่ซื้อลูกอมกุ้ยฮวาแล้วหรือ เมื่อวานข้ายังได้ยินเจ้าบ่นอยู่เลย” เสิ่นเวยหยอกล้อนาง ต้องรู้ว่าเรื่องสำคัญอันดับแรกในสายตาเถาฮวาเด็กคนนี้ก็คือเรื่องกิน


 


 


บนใบหน้าเฮวาปรากฏความขัดแย้งออกมาดังคาด คล้ายไม่สามรถเลือกระหว่างปิ่นปักผมกับลูกอมกุ้ยฮวาได้ แต่ท้ายที่สุดก็ยังคงกล่าว “ซื้อปิ่นปักผมก่อน”


 


 


เสิ่นเวยเลิกคิ้ว หยอกนางต่อ “เอ๋ เถาฮวาโตเป็นสาวแล้ว รู้จักรักสวยรักงามแล้ว! เช่นนั้นเจ้าเอาเงินมาพอหรือไม่”


 


 


เถาฮวาพยักหน้าอย่างรดวเร็ว “ข้าเอาเงินมาเยอะมาก ฮูหยินท่านดู!” นางกวักมือเรียกเสิ่นเวย เปิดกระเป๋าเงินใบเล็กให้เสิ่นเวยดูอย่างระมัดระวัง


 


 


เสิ่นเวยมองดูแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ กระเป๋าเงินตุง เถาฮวาเอาเงินทั้งหมดที่นางมีออกมาแล้ว เสิ่นเวยมองเถาฮวาที่กำลังมองตนเองราวกับมอบสิ่งของล้ำค่า อดหัวเราะไม่ได้ “เด็กโง่ ใช้เงินหมดแล้วเจ้าจะเอาอะไรไปซื้อขนมเล่า เก็บไว้เถิด เจ้าอยากได้อะไรฮูหยินจะซื้อให้เจ้าเอง”


 


 


“ไม่เอา ข้ามีเงินของตัวเอง ข้าจะซื้อปิ่นปักผมเอง” เถาฮวาปฏิเสธด้วยท่าทีเด็ดขาด


 


 


นี่ทำให้เสิ่นเวยรู้สึกประหลาดใจ “ทำไมเล่า ก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ ฮูหยินซื้อปิ่นปักผมให้เจ้าใช้ เงินของเจ้าก็เก็บไว้ซื้อของอร่อย”


 


 


“ปิ่นปักผมอันนี้ข้าไม่ได้ใช้เอง” เถาฮวาแย้งเสียงดัง ทันใดนั้นใบหน้าก็มีความดีใจหลายส่วน “ข้าซื้อปิ่นปักผมให้ฮูหยินต่างหากเล่า ย่อมต้องใช้เงินของข้าเอง”


 


 


ให้นางงั้นหรือ เสิ่นเวยประหลาดใจยิ่งขึ้น ชี้จมูกตัวเองกล่าว “เถาฮวา เจ้าบอกว่าเจ้าซื้อปิ่นปักผมให้ข้าหรือ”


 


 


“อื้มๆ” เถาฮวาพยักหน้า “ข้าได้ยินพวกพี่หลีฮวาบอกว่าใกล้จะถึงวันเกิดของฮูหยินแล้ว วันเกิดข้าทุกปีฮูหยินจะให้ของขวัญข้า ข้าเองก็ต้องให้ของขวัญฮูหยินบ้าง” บนใบหน้าเล็กๆ ของเถาฮวาเต็มไปด้วยความจริงใจ


 


 


จิตใจของเสิ่นเวยคล้ายถูกอะไรโจมตีในชั่วขณะ อ่อนนุ่มราวกับใยฝ้ายหนึ่งก้อน “วันเกิดของข้าอีกตั้งนาน” นางเกิดเดือนหก ตอนนี้เพิ่งจะเข้าเดือนห้า ยังเหลืออีกตั้งหนึ่งเดือน


 


 


“เช่นนั้นก็ซื้อไว้ก่อนสิ รอให้ถึงวันเกิดฮูหยินข้าจะให้ฮูหยินเป็นคนแรก” เถาฮวาพูดเสียงดัง


 


 


สวีโย่วที่อยู่ข้างๆ กล่าวในใจ เด็กน้อยเช่นเจ้าจะให้ของขวัญเป็นคนแรก ข้าที่เป็นสามีจะทำอย่างไรเล่า


 


 


“ดี เช่นนั้นข้าขอบคุณเจ้าไว้ก่อนเลย” เสิ่นเวยลูบผมของเถาฮวาแล้วกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน เบื้องลึกในใจของนางยังเกิดความปลื้มใจของคนเป็นพ่อแม่ขึ้นมาจริงๆ แม้จะบอกว่านางห่างกับเถาฮวาเพียงสามสี่ปี ทว่าแต่ไหนแต่ไรก็เลี้ยงดูนางเป็นลูก เป็นน้องสาว ในเรือนใครบ้างไม่รู้ว่าเถาฮวาเป็นคนที่พิเศษที่สุด แม้จะเป็นสาวใช้ แต่สวัสดิการที่ได้รับกลับเทียบเท่าคุณหนู


 


 


สวีโย่วพาเสิ่นเวยออกมาก็อยากอยู่ในโลกของสองคน เสิ่นเวยเองก็ไม่ชอบให้มีคนเดินตามเป็นกลุ่ม ด้วยเหตุนี้ข้างกายจึงเหลือเพียงหลีฮวาและเถาฮวา คนที่เหลือก็แจกเงินให้พวกนางไปเดินเล่นกันเอง เจียงเฮยเจียงไป๋สองพี่น้องที่ฝั่งสวีโย่วพาออกมาก็ตามอยู่ไกลๆ สวีโย่วไม่อนุญาตให้พวกเขาขึ้นมาข้างหน้าอย่างสิ้นเชิง


 


 


อาจเป็นเพราะไม่ได้ออกมาเดินเล่นนานแล้ว ความสนใจของเสิ่นเวยสูงมากเป็นพิเศษ ตลอดทางทำได้เพียงใช้คำสามคำมาอธิบาย นั่นก็คือซื้อซื้อซื้อ เห็นอะไรเข้าตาก็เก็บเข้ากระเป๋าหมด นางไม่ขาดเงิน สวีโย่วก็ไม่ห้ามนาง เพียงแค่ครึ่งชั่วยาม ในมือเจียงเฮยเจียงไป๋ก็หิ้วเต็มไปด้วยของ


 


 


เสิ่นเวยเห็นท่าทีก็โบกมือกล่าว “ส่งไปที่จวนจงอู่โหว” จากนั้นก็สั่งอย่างละเอียดว่าของแบบนี้เอาให้ปู่นาง ของแบบนั้นเอาให้เหล่าพี่สาวน้องสาว


 


 


เจียงเฮยกับเจียงไป๋เผยสีหน้าลังเล พวกเขาคุ้มกันคุณชายใหญ่อยู่ จะออกไปพร้อมกันได้อย่างไร


 


 


สวีโย่วเหลือบมองด้วยสายตาเย็นชา หัวใจทั้งสองก็สั่นกลัวทันที กล่าวด้วยความเคารพ “ฮูหยินวางใจ บ่าวจะไม่ทำผิดพลาดแน่นอน” 

 

 


ตอนที่ 232-2 พายุก่อตัว

 

หลังจากเขาทั้งสองออกไป มีคนซึ่งไม่รู้ว่ามาจากไหนแต่งตัวไม่ต่างจากเจียงเฮยเจียงไป๋เดินตามอยู่ข้างหลังพวกเขาไม่ใกล้ไม่ไกล เสิ่นเวยแสยะมุมปาก แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น


 


 


วันนี้เสิ่นเวยเที่ยวเล่นอย่างมีความสุขมาก ซื้อของ กินของอร่อย อีกทั้งยังใช้เวลายามบ่ายอยู่ที่โรงน้ำชา เรื่องที่นักเล่านิทานในโรงน้ำชาพูดเป็นเรื่องคุณูปการความห้าวหาญของผู้อาวุโสจงอู่โหวที่สยบซีเหลียงพอดี บ้างก็ว่านายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นอายุมากแต่แข็งแรง ใช้ทวนยาวแปดจั้ง อยู่ในกองหน้าเปล่งเสียงตะโกนใส่แม่ทัพใหญ่ซีเหลียง ประหนึ่งฟ้าร้องปะทุ


 


 


เสิ่นเวยฟังอย่างสนอกสนใจไปพลาง แขวะในใจไปพลาง ปู่นางไหนเลยจะมีทวนยาวแปดจั้ง เห็นชัดๆ ว่าเขาใช้ดาบ และเขาเองก็ไม่ได้ร้องตะโกนอยู่ในกองหน้า อย่างมากก็ตรวจดูการรบอยู่บนยอดกำแพงเมืองก็เท่านั้น อีกทั้งแม่ทัพเล็กชุดเงินจากปากนักเล่านิทานคือใครกัน ไม่ว่าจะเป็นนางหรือพี่ใหญ่ของนางก็ไม่มีใครเคยใส่! ฆ่าศัตรูในสนามรบเจ้าสวมชุดเกราะสีอ่อนไป ไม่ใช่จะเป็นการเปิดเผยตัวเองอยู่ในสายตาของศัตรูด้วยตัวเองหรอกหรือ


 


 


แม้จะบอกว่าศิลปะมาจากชีวิตและเหนือกว่าชีวิต แต่นี่ก็ห่างไกลความจริงเกินไปหรือไม่ อย่างไรเสียเสิ่นเวยฟังก็ไม่รู้สึกอินเลยแม้แต่นิดเดียว กลับรู้สึกว่านั่นคือเรื่องเล่าของคนอื่นไม่เกี่ยวข้องกับนางอย่างสิ้นเชิง


 


 


อ้อ ตอนที่ฟังนิทานอยู่ที่โรงน้ำชาเสิ่นเวยยังเห็นราชบัณฑิตเซี่ยเฟยที่เคยพบหนึ่งครั้ง เขามาคนเดียว นั่งอยู่ทางมุมฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ ฟังไปสักพักก็ลุกขึ้นออกไป


 


 


กลับไปถึงจวนจิ้นอ๋อง พ่อบ้านเจี่ยงปั๋วก็ส่งจดหมายหนึ่งฉบับมาให้ “นี่เป็นจดหมายที่ขอทานน้อยผู้หนึ่งส่งมาเมื่อเที่ยงวันนี้ บอกว่าให้ท่านฮูหยิน”


 


 


เสิ่นเวยเห็นว่าบนซองจดหมายวาดดอกท้อหนึ่งกิ่งไว้ ก็เดาได้ทันทีว่าเป็นใคร ภายใต้การจ้องมองที่สงสัยของสวีโย่วเสิ่นเวยก็รับมาและฉีกออกอย่างไร้กังวล ดวงตาทั้งคู่กวาดอ่านเนื้อหาข้างใน ท่าทีคล้ายกำลังครุ่นคิด


 


 


“ช่วงนี้ในราชสำนักใช่เกิดเรื่องอะไรหรือไม่” เสิ่นเวยมองสวีโย่วแล้วถาม


 


 


สวีโย่วยืนอยู่ข้างๆ นาง ย่อมต้องเห็นเนื้อหาที่เขียนอยู่ในจดหมายแล้ว ในจดหมายเขียนว่าเห็นใต้เท้าเสิ่นพ่อตาเขาดื่มสุราที่หอไท่ไป๋ด้วยกันกับจางจี้จ่างสื่อประจำจวนองค์ชายรอง มิหนำซ้ำยังไม่ใช่เพียงครั้งสองครั้ง ดูท่าแล้วคนทั้งสองจะมีความสัมพันธ์หลายส่วนอย่างยิ่ง ลายมืออ่อนหัดและยุ่งเหยิง ไม่ใช่ผู้เริ่มเรียนก็ตั้งใจปกปิด สวีโย่วโน้มเอียงไปอย่างหลัง


 


 


สวีโย่วกำลังคิด พ่อตาเขาไปสนิทกับจางจี้ผู้นี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน ได้ยินเสิ่นเวยถามเขา ชั่วขณะก็คล้ายครุ่นคิด


 


 


“ทำไม พูดไม่ได้หรือ ไหนใครบอกว่าสามีภรรยาต้องตรงไปตรงมาต่อกันเล่า” เสิ่นเวยเห็นสวีโย่วไม่ตอบ ก็ชายตามองเขา


 


 


สวีโย่วจนใจยิ่งนัก เด็กคนนี้เหตุใดถึงได้ใจร้อนเพียงนี้ เขาพูดตอนไหนว่าพูดไม่ได้ เพียงแต่ในเมื่อเด็กน้อยพูดเช่นนี้แล้ว เขาก็ไม่ควรยอมรับชื่อเพียงแค่ในนามใช่หรือไม่ จึงเชิดคางชี้จดหมายในมือนาง


 


 


เสิ่นเวยหัวเราะเยาะหนึ่งครา แค่นเสียงกล่าว “ใจแคบ!” แต่ว่าการติดต่อของนางกับเจียงเฉินก็ไม่มีอะไรที่ไม่สามารถให้เขารู้ได้ “เจียงเฉินราชบัณฑิตเจียงแห่งสำนักราชบัณฑิตรู้จักหรือไม่ เขาส่งมา” นางโบกจดหมายในมือพลางกล่าว


 


 


สวีโย่วประหลาดใจอย่างยิ่ง ราชบัณฑิตเจียง ไม่ใช่คนผู้นั้นที่ช่วยเขาแต่งกลอนวันรับตัวเจ้าสาวหรอกหรือ ไม่คิดว่าน้องสี่แซ่เสิ่นจะรู้จักเขาด้วย “เจ้าสนิทกับเขาหรือ” เขาถามเสียงเรียบ


 


 


เสิ่นเวยภูมิใจยิ่งนัก “ใช่แล้ว สนิทสุดๆ ข้าเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตของเจียงเฉิน หากไม่ใช่ข้า อย่าว่าแต่เขาสอบได้ที่สามเป็นนายท่านราชบัณฑิตผู้สูงส่งเลย หญ้าบนหลุมศพก็คงจะยาวหมดแล้ว” จากนั้นก็สาธยายที่มาระหว่างพวกเขา


 


 


ตอนที่ได้ยินว่านางชนะบ่อนพนันของเขาหนึ่งหมื่นตำลึง มุมปากสวีโย่วก็กระตุก เป็นเรื่องที่น้องสี่แซ่เสิ่นสามารถทำได้จริงๆ


 


 


“ข้าช่วยเขาเยอะเพียงนั้น ตอนนี้เขาเป็นขุนนางแล้ว มีความสามารถแล้ว ย่อมต้องช่วยข้าบ้าง สหายพี่น้องก็ควรช่วยเหลือซึ่งกันแหละกันมิใช่หรือ” เสิ่นเวยกล่าวสรุป


 


 


มุมปากของสวีโย่วกระตุกอีกครั้ง สหายพี่น้องงั้นหรือ น้องสี่แซ่เสิ่นคิดว่าตนเองเป็นผู้ชายหรือไร


 


 


“เจ้าคิดว่าพ่อตาสนิทกับจางจี้น่าแปลกหรือ” สวีโย่วถาม


 


 


เสิ่นเวยกลอกตาขาว “ย่อมต้องแปลก พ่อข้าเป็นใคร ก็แค่ขุนนางที่รับหน้าที่ในกรมพิธีการ ไม่ใช่ขุนนางสลักสำคัญอะไร จางจี้ผู้นี้เป็นถึงจ่างสื่อในจวนองค์ชายรอง คนสองคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย รู้จักกันได้ก็ไม่เลวแล้ว ซ้ำยังไปดื่มสุราพูดคุยกันบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็แปลก”


 


 


ปู่นางเป็นปลาตัวใหญ่ เหล่าองค์ชายที่มีความคิดสูงชั้นใครบ้างไม่อยากดึงมาเป็นพวก แต่เสิ่นเวยรู้ว่าปู่นางต้องการเป็นขุนนางผู้บริสุทธิ์จงรักภัคดีเพียงแค่ฝ่าบาท แม้จะบอกว่าเขาเป็นราชครูของรัชทายาท แต่ในใจเขาก็ให้ความสำคัญแก่ฝ่าบาทและราชสำนัก สำหรับไท่จื่อก็เพียงแค่รับหน้านี้สั่งสอน หากจะบอกว่ายืนอยู่ฝั่งไท่จื่อ บอกได้เลยว่าไร้สาระ


 


 


องค์ชายรองหมดหนทางลงมือกับปู่นางจึงใช้ทางอ้อมโดยการหันมาหาพ่อนางงั้นหรือ เหตุใดคนที่หันหาถึงเป็นพ่อนางไม่ใช่ลุงใหญ่นางที่รับตำแหน่งจงอู่โหวคนปัจจุบันเล่า เหตุผลง่ายดายอย่างยิ่ง แม้ว่าลุงใหญ่นางจะไม่ได้สร้างความดีความชอบอะไร แต่ข้อดีหนึ่งข้อที่พ่อนางเทียบไม่ติด ก็คือรอบคอบระมัดระวัง อืม พูดตรงๆ ก็คือขี้ขลาด เขาไม่กล้าผูกสัมพันธ์กับเหล่าองค์ชายเด็ดขาด ไม่แน่ว่าอาจจะยังไปขอคำแนะนำจากนายท่านผู้เฒ่าโหว นี่ไม่ใช่เป็นการบอกปู่นางหรอกหรือ


 


 


อีกทั้งตำแหน่งที่ลุงใหญ่นางรับช่วงต่อยังเป็นจงอู่โหว ซ้ำยังรับหน้าที่ในกรมกลาโหม นับได้ว่าเป็นนายพล ส่วนจางจี้ผู้เป็นจ่างสื่อจวนองค์ชายรองเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น ขุนนางฝ่ายบุ๋นกับนายพลคุยกันไม่รู้เรื่องหรอก!


 


 


สำหรับเหตุผลว่าทำไมถึงไม่ได้หาลุงรองของนาง คาดว่าเขาคงจะรังเกียจที่เขาไร้ประโยชน์เกินไป ไม่เข้าตากระมัง


 


 


“บางทีจางจี้อาจจะชื่นชมการวางตัวและความรู้ความสามารถของพ่อตาเพียงเท่านั้นก็ได้” สวีโย่วพยายามพูดจาเข้าข้างใต้เท้าพ่อตาของเขาหนึ่งประโยค


 


 


เสิ่นเวยแทบจะสำลักน้ำลาย แทบจะพ่นคำหยาบออกมา การวางตัวและความสามารถบ้าอะไร เขามีของพรรณ์นั้นด้วยหรือ


 


 


“ท่านปิดทองบนหน้าเขาเก่งจริงๆ ความสามารถเขายังพอมีบ้าง แต่เขาเป็นคำคร่ำครึ ไม่ควรค่าให้จางจี้ชื่นชม ส่วนการวางตัว ข้ากล้าบอกท่านเลยว่า เขาไม่มีอะไรแบบนั้น ที่คนอื่นคบค้าสมาคมกับเขาก็เพียงเพราะเห็นเขาโง่หลอกง่ายก็เท่านั้นเอง”


 


 


เสิ่นเวยเหยียดหยาม หลังจากนั้นก็ถอนหายใจอีกครั้ง “ปู่ข้าก็ลำบากยิ่งนัก ลูกชายไม่ได้เรื่อง เขาอายุปูนนี้แล้วยังต้องทุ่มแรงกายใจเพื่ออนาคตของลูกชายอยู่อีก ดังนั้นจึงมีสุภาษิตว่าภรรยาดีสามีประสบหายนะน้อย ภรรยาดีเจริญไปสามชั่วโคตร ปู่ข้าไม่ได้แต่งภรรยาดี ย่าข้านำหายนะมาให้พ่อข้าลุงใหญ่ข้าทั้งสิ้น คุณชายใหญ่ ภรรยาดีมีเหตุมีผลทั้งยังมีความสามารถเช่นข้าทั่วทั้งเมืองหลวงต่อให้ส่องโคมก็หาไม่เจอแล้ว ท่านต้องรักษาข้าดีๆ นะ” พูดพลางเสิ่นเวยก็เปลี่ยนประเด็น


 


 


สวีโย่วมีความสุขทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความรักใคร่ “ใช่ๆๆ ข้าจะต้องรักษาเวยเวยดั่งมุกดั่งหยก”


 


 


เสิ่นเวยลูบจมูกยิ้ม “ท่านยังไม่บอกเลยว่าช่วงนี้ราชสำนักใช่เกิดเรื่องใหญ่อะไรหรือไม่ มิเช่นนั้นองค์ชายรองคงไม่ถึงกับร้อนใจดึงปู่ข้าไปเป็นพวกเช่นนี้” ลางสังหรณ์ต่อการบริหารบ้านเมืองของเสิ่นเวยปราดเปรียวมากเป็นพิเศษ นางมักจะรู้สึกว่าในราชสำนักจะต้องเกิดเรื่องหรือกำลังจะเกิดเรื่องใหญ่อะไรสักอย่าง


 


 


สวีโย่วเก็บสายตาคิดครู่หนึ่ง จึงกล่าว “เมื่อสี่ปีก่อนเกิดคดีแม่ทัพอันลักลอบขายม้าทุจริตเงินกองทัพนอกด่านทางตอนเหนือ ระหว่างทางคุมตัวกลับเมืองหลวงเพื่อรับการตัดสินแม่ทัพอันก็กลัวโทษจนฆ่าตัวตาย ทว่าตอนนี้กลับมีคนแอบไปบอกฝ่าบาทว่าแม่ทัพอันไม่ได้กระทำผิด อันที่จริงเขาถูกกล่าวโทษ ซ้ำยังถวายหลักฐานส่วนหนึ่งให้อีกด้วย ฝ่าบาทตกพระทัยใหญ่ ออกพระราชโองการลับให้ผู้ตรวจการโจวไปค้นหาหลักฐานที่นอกด่าน ผู้ที่รู้เรื่องนี้มีไม่เยอะ ทั้งราชสำนักรวมกันแล้วนับนิ้วไม่เต็มมือ” สวีโย่วไม่ได้บอกว่าฝ่าบาทคิดจะให้เขาไปปฏิบัติการด้วยเช่นกัน เขาเพิ่งจะแต่งงานเป็นคู่ข้าวใหม่ปลามัน ตัดใจจากเสิ่นเวยดินแดนที่อบอุ่นแห่งนี้ไม่ได้ ย่อมต้องปฏิเสธทันที เพียงแค่ให้ยืมทหารเงาหนึ่งกลุ่มคุ้มกันความปลอดภัยของผู้ตรวจการโจว


 


 


เสิ่นเวยไม่แปลกใจเลยแม้แต่นิดเดียว ราชวงศ์ใดรัชสมัยใดบ้างที่ไม่มีคดีแพะรับบาป วัดใดบ้างไม่มีผีที่ถูกใส่ร้ายจนตาย เพียงแต่เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับการที่องค์ชายรองดึงจวนจงอู่โหวเข้าเป็นพวกด้วยหรือ น่าจะไม่มีกระมัง อย่างไรเสียสี่ปีก่อนองค์ชายรองก็เพิ่งจะอายุสิบสามสิบสี่ปีเอง


 


 


เสิ่นเวยคิดครู่หนึ่ง จับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก จึงถือโอกาสวางลงข้างๆ จากนั้นก็ได้ยินสวีโย่วถามนาง “เรื่องพ่อตาเจ้าวางแผนจะทำอย่างไร” เขารู้ว่าน้องสี่แซ่เสิ่นไม่ค่อยชอบพ่อนางนัก เป็นห่วงว่านางจะวิ่งพุ่งกลับบ้านฝั่งมารดาไปทะเลาะกับพ่อตา


 


 


“ข้าจะทำอย่างไรได้ ย่อมไม่ทำอะไรน่ะสิ” เสิ่นเวยแค่นเสียงหนึ่งครา “ข้าเป็นน้ำที่สาดออกไปแล้ว ใครจะทนยุ่งเรื่องมากมายเพียงนั้นได้ ย่อมต้องบอกท่านปู่ ลูกของเขาให้เขาจัดการเอง” 

 

 


ตอนที่ 233-1 สั่งสอนจางจ่างสื่อ

 

จวนองค์ชายรอง


 


 


องค์ชายรองสวีอวี้และจ่างสื่อจางจี้กำลังสนทนากันอยู่ในห้องหนังสือ


 


 


“จางจ่างสื่อติดต่อกับเสิ่นหงเซวียนมาได้รยะหนึ่งแล้ว คิดว่าคนผู้นี้เป็นอย่างไร” องค์ชายรองวางแก้วชาแล้วถาม


 


 


จางจี้อายุประมาณสี่สิบปี หน้าขาวมีหนวด ให้ความรู้สึกเป็นมิตรอย่างมาก ในดวงตาทั้งคู่มีประกายแวบผ่านเป็นบางครั้งคราวทำให้คนไม่มีทางมองข้ามความฉลาดเฉียบแหลมของเขาไปได้


 


 


เห็นเพียงเขาส่ายหน้าเบาๆ บนใบหน้าคล้ายมีความเสียดายอย่างยิ่ง “ความรู้ของใต้เท้าเสิ่นผู้นี้กลับไม่เลว การวางตัวซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา เพียงแต่เขากลับไม่ค่อยรู้เรื่องของนายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นเท่าไรนัก” หรือว่าเก็บไว้ไม่บอก ไม่เพียงแต่ไม่ค่อยรู้ แต่ไม่รู้เลยแม้แต่นิดเดียว


 


 


พูดถึงกวีและบทเพลง ใต้เท้าเสิ่นผู้นี้กลับเชี่ยวชาญ แต่เมื่อเกี่ยวข้องกับการบริหารงานราชสำนัก ใต้เท้าเสิ่นผู้นี้กลับไร้เดียงสายิ่งกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้ เขาลองหยั่งเชิงอยู่หลายครั้ง ท้ายที่สุดจึงมั่นใจว่าเขาไม่ได้แกล้ง แต่กลับไม่รู้จริงๆ


 


 


องค์ชายรองกลับไม่ผิดหวัง หากนายท่านผู้เฒ่าโหวสามารถดึงมาเป็นพวกได้ง่ายเพียงนั้น เสด็จพ่อก็คงจะไม่เชื่อใจมอบหน้าหน้าที่สำคัญให้เขา นั่นคือจิ้งจอกที่เจ้าเล่ห์กลับกลอก มิเช่นนั้นจะปีนจากโคลนตมขึ้นมาบนตำแหน่งสูงอย่างทุกวันนี้ได้อย่างไร เดิมทีเป็นนายพล แต่กลับนั่งครองตำแหน่งหัวหน้าขุนนางฝ่ายบุ๋นตำแหน่งราชครูรัชทายาท แม้จะบอกว่าเป็นเพียงตำแหน่งไม่มีอำนาจแท้จริง แต่ก็สูงส่งมีเกียรติยศ รับหน้าที่อบรมรัชทายาท ทั้งยังสามารถพูดคุยกับเสด็จพ่อได้ทุกเมื่อ คนเช่นนี้หากยืนอยู่ฝั่งเขาได้ ไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่าเป็นแรงสนับสนุนยิ่งใหญ่เพียงใด


 


 


“จางจ่างสื่อคิดว่าเรื่องนั้นนายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นจะสอดเท้าเข้ามาหรือไม่” องค์ชายรองถาม เสด็จพ่อออกพระราชโองการลับส่งผู้ตรวจการโจวไปนอกด่านทางตอนเหนือ ในความลับใครบ้างไม่รู้ว่าเสด็จพ่อยังเหลือทางหนีทีไล่ไว้อยู่หรือไม่ อย่างไรเสียนายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นก็เป็นนายพล นำทัพมาทั้งชีวิต มีชื่อเสียงบารมีในกองทัพ มีเครือข่ายด้วยเช่นเดียวกัน


 


 


“ไม่แน่ใจเท่าไรนัก” จางจี้ส่ายหน้า ความคิดและวิธีการของฝ่าบาทไหนเลยจะถูกคนล่วงรู้ได้ง่ายๆ


 


 


บนใบหน้าองค์ชายรองมีความผิดหวังหลายส่วน คิดครู่หนึ่งจึงกล่าว “ในเมื่อเสิ่นหงเซวียนไร้ประโยชน์ จ่างสื่อก็ไม่ต้องเสียเวลาแล้ว นายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นเป็นคนฉลาด หากถูกเขาสังเกตได้จะแย่เอา”


 


 


จนถึงตอนนี้ แม้ว่านายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นจะไม่รับสันติภาพจากเขา แต่ก็ไม่ได้ถือหางไท่จื่อหรือองค์ชายคนอื่นๆ จิ้งจอกเฒ่าแบบนี้ไม่อาจเป็นปฏิปักษ์ได้ง่ายๆ เขากังวลว่าการเคลื่อนไหวฝั่งตนจะสร้างความไม่พอใจให้นายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นมากเกินไป หากบีบบังคับจนเขาเข้าค่ายทหารของผู้อื่นเช่นนั้นก็ได้ไม่คุ้มเสียแล้ว


 


 


“นั่นอาจไม่จำเป็น ผู้น้อยกับใต้เท้าเสิ่นสนิทสนมกับจากเรื่องบุ๋น แม้นายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นรู้แล้วจะพูดอะไรได้” จางจี้กล่าวช้าๆ “บางครั้งความสูญเสียอาจจะได้มาซึ่งสิ่งที่ใหญ่กว่า ไม่แน่ว่าพวกเราอาจหาช่องโหว่จากเขาได้” ตั้งแต่มั่นใจในนิสัยของเสิ่นหงเซวียนผู้นี้ เขาก็วางแผนไว้แล้ว แม้จะต้องบีบบังคับ เขาก็ต้องบีบให้นายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นมาอยู่ฝั่งองค์ชายรองให้ได้ เขาไม่เชื่อว่านายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นจะทิ้งลูกชายไปเฉยๆ โดยที่ไม่สนใจใยดีได้


 


 


ดวงตาองค์ชายรองกะพริบวาบ ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดอะไรได้แล้ว บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ สายตาที่มองจางจี้อบอุ่นยิ่งขึ้น “เช่นนั้นก็ลำบากจ่างสื่อแล้ว”


 


 


จางจี้ประสานมือกล่าว “นี่ล้วนแต่เป็นหน้าที่ของผู้น้อย” หยุดครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวอย่างทีเล่นทีจริง “ฟังว่าผู้ตรวจการโจวผู้นั้นถูกลอบสังหารเจ็ดแปดรอบแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าจะสามารถไปถึงนอกด่านได้อย่างปลอดภัยหรือไม่”


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าองค์ชายรองกว้างยิ่งขึ้น “ใครจะรู้เล่า เพียงแต่หลายปีมานี้ผู้ตรวจการโจวก็โชคไม่ค่อยดีจริงๆ ขุนนางทั่วราชสำนักก็มีเขาที่ถูกลอบสังหารเยอะที่สุด ไม่รู้เหมือนกันว่าตำแหน่งสุสานตระกูลเขาไม่ดีหรือไม่” ทั้งใบหน้าองค์ชายรองมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น


 


 


จะว่าไปแล้วเขาก็ไม่มีความรู้สึกดีกับผู้ตรวจการโจวผู้นี้เลยแม้แต่นิดเดียว เจ้าว่าเจ้าอายุปูนนี้แล้ว ก็ควรอยู่ทำตัวดีๆ ในเมืองหลวง วางแผนอนาคตลู่ทางให้ลูกหลานในตระกูล เขากลับไม่ทำ วันๆ เอาแต่กล่าวโทษผู้นี้กล่าวโทษผู้นั้น ในไข่ไก่ยังหากระดูกออกมาได้ ขุนนางบุ๋นบู๊ทั่วราชสำนักล้วนแทบจะถูกเขากล่าวโทษหมดแล้ว ราวกับว่าในพระตำหนักจินหลวนมีแต่ขุนนางทุจริตมีเพียงเขาคนเดียวที่ขาวสะอาด เหอะ ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะมีจุดจบที่ดีอะไรได้


 


 


อันที่จริง องค์ชายรองคิดเช่นนี้ก็ไม่เป็นธรรมจริงๆ ผู้ตรวจการโจวเพิ่งจะอายุสี่สิบหกปี เทียบกับใต้เท้าอาวุโสที่อายุเจ็บสิบแปดสิบแล้วแต่ก็ยังยึดครองตำแหน่งอยู่จำนวนมากก็นับได้ว่าอายุน้อยมีพละกำลังจริงๆ อีกทั้งตำแหน่งของเขาก็คือผู้ตรวจการ งานที่ทำก็คืองานหากระดูกออกมาจากไข่ไก่ หากวันๆ เขาเอาแต่นิ่งเงียบไม่ส่งเสียงในท้องพระโรง ฮ่องเต้ยงเซวียนคงจะไม่พอพระทัย


 


 


เหตุผลที่องค์ชายรองเอ่ยถึงผู้ตรวจการโจวแล้วอยากจะกัดสักสองคำ ก็เป็นเพราะว่าผู้ตรวจการโจวทำเรื่องใหญ่เขาพัง สามปีก่อน ผู้ตรวจการโจวรับพระราชโองการไปตรวจตราที่เจียงหนาน แวดวงขุนนางเจียงหนานเกิดการสั่นสะเทือน เขาฆ่าขุนนางทุจริตหนึ่งกลุ่มในเจียงหนาน ในนั้นก็มีคนของเขา อย่างเช่นขุนนางยกกระบัตรหลี่ซูเสวียนจวนเซวียนหมิงกับตระกูลหู นี่เป็นถุงเงินของเขา ถูกผู้ตรวจการโจวถอนรากถอนโคน แม้จะบอกว่าเขารับมือได้ทันกาล ไม่ได้โยงมาถึงตัวเขา แต่กลับตัดรายได้ของเขา เงินที่ถวายให้สองแสนตำลึงต่อปี หายไปเฉยๆ นี่จะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร


 


 


อย่ามองว่าแม้เขาจะสูงส่งเป็นองค์ชาย คนนอกเห็นว่ายิ่งใหญ่ อันที่จริงสภาพการเงินของเขาขัดสน ขัดสนได้อย่างไร ไม่ใช่เห็นอยู่ชัดๆ หรือ ดำรงตำแหน่งเป็นองค์ชายผู้มีปณิธานยิ่งใหญ่ผู้หนึ่ง ต้องเคารพเสด็จพ่อเขาเสด็จแม่เขาและนางสนมขันทีที่มีหน้ามีตาในวังหลัง ซ้ำยังต้องดึงขุนนางมาเป็นพรรคพวก เจ้าไม่ให้ผลประโยชน์แก่เขาแล้วใครจะสนใจเจ้า อนึ่งเขายังต้องแสดงอำนาจส่วนตัวของตน ไม่มีเงิน อย่าว่าแต่เลี้ยงทหารกล้าตาย แม้แต่ทหารในค่ายก็เลี้ยงไม่ได้! หวังพึ่งอนาคตอันน้อยนิดนั้นในจวนองค์ชายไม่เพียงพออย่างสิ้นเชิง ดังนั้นเขาจึงยื่นมือไปยังเจียงหนาน กระทั่งยื่นไปยังตอนเหนือ นอกด่าน


 


 


นี่เองก็เป็นเหตุผลที่จางจี้บัณฑิตผู้เฉลียวฉลาดผู้นี้จงรักภัคดีต่อเขาอย่างสุดจิตสุดใจ สี่ปีก่อนองค์ชายรองเพิ่งจะอายุกี่ปีเอง เพียงแค่สิบสามสิบสี่ปี ยังไม่รับราชการหรือสมรส ก็กล้าหาญเด็ดเดี่ยวเช่นนี้แล้ว นี่ไม่มีทางห้ามไม่ให้จางจี้คนกลับกลอกในแวดวงขุนนางที่แสวงหาช่องทางเพื่อครึ่งชีวิตที่เหลือเลื่อมใส เทียบกับองค์ชายที่เหลือของฝ่าบาท องค์ชายรองเป็นผู้ที่โดดเด่นที่สุดและมีความกล้าหาญเด็ดขาดที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นจางจี้จึงเดิมพันด้วยชีวิตครอบครัวของตนเอง หากสำเร็จ เช่นนั้นก็จะได้รับความโปรดปรานดำรงตำแหน่งในลำดับที่สูงที่สุด ความดึงดูดนี้มากเสียเหลือเกิน


 


 


ฮ่องเต้ยงเซวียนบิดาขององค์ชายรองเองก็กำลังว้าวุ่นใจ ตั้งแต่ที่ได้รับรายงานลับเขาก็โมโหเดือดดาล ลอบสังหาร ลอบสังหารอีกแล้ว! ยังไม่ทันออกจากเขตเมืองหลวงก็ถูกลอบสังหารแล้ว เห็นว่าเขาเป็นคนตายหรือไร เห็นชัดๆ ว่าผู้ตรวจการโจวออกจากเมืองหลวงอย่างลับๆ เร็วเพียงนี้ก็ถูกลอบสังหารแล้ว ใครกันที่ปล่อยข่าวลือ หรือว่าข้างกายเขาไม่สะอาด สายตาที่น่าสะพรึงกลัวของเขามองไปยังขันทีที่ยืนอยู่ล่างระเบียงทางเดิน กำปั้นข้างกายแน่นแล้วแน่นอีก ทำให้ขันทีหลายคนนั้นเห็นแล้วเสียวสันหลัง แทบจะยืนไม่อยู่


 


 


นานอย่างยิ่ง ฮ่องเต้ยงเซวียนก็เก็บสายตากลับมา เดินไปเดินมาอยู่ในห้องหลายก้าว หมุนตัวสั่ง “เรียกตัวราชครูเสิ่นเข้าวัง”


 


 


ราชครูเสิ่น หรือว่านายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นแห่งจวนจงอู่โหวมาถึงเร็วอย่างยิ่ง “กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาทพะยะค่ะ”


 


 


“ขุนนางเสิ่นรีบลุกขึ้นเถิด” ฮ่องเต้ยงเซวียนรีบกล่าว อย่ามองว่าก่อนหน้านี้นายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นตั้งมั่นดูแลซีเจียงไม่ค่อยกลับเมืองหลวงมาโดยตลอด แต่ฮ่องเต้ยงเซวียนก็เชื่อใจเขาอย่างถึงที่สุด เป็นเขาเพียงคนเดียว เพราะว่าฮ่องเต้ยงเซวียนสามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้นายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นทุ่มเทเรี่ยวแรงไปมากอย่างยิ่ง


 


 


นายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแล้วจึงลุกขึ้นยืน ฮ่องเต้ยงเซวียนไม่เอ่ยปากเขาก็รออยู่ด้วยความเคารพ


 


 


ฮ่องเต้ยงเซวียนกวาดสายตามองขันทีใหญ่จางเฉวียนปราดหนึ่ง จางเฉวียนเข้าใจ โบกมือ เหล่าขันทีที่ยืนอยู่ในตำหนักก็เรียงแถวออกไป ทั้งหมดถอยออกไปหมดแล้ว จางเฉวียนเองก็ถอยออกไป ยืนอยู่ล่างระเบียงทางเดินคุ้มกันด้วยตนเองอย่างใกล้ชิด ท่าทางเชื่อฟัง


 


 


“ขุนนางลองอ่านดูเถิด” ฮ่องเต้ยงเซวียนส่งรายงานลับที่ได้รับมาให้นายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่น


 


 


นายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นยื่นสองมือไปรับด้วยความเคารพ อ่านจบแล้วคิ้วก็ขมวดมุ่น กล่าวหนึ่งประโยค “ฝ่าบาท เรื่องนี้ต้องตรวจสอบจนแน่ชัด คนผู้นี้จำต้องขจัด เป็นอันตรายต่อต่อดินแดนบ้านเมืองต้ายง!”


 


 


คำพูดนี้พูดแทนใจฮ่องเต้ยงเซวียน เขายังไม่ตายก็ลอบสังหารขุนนางคนสำคัญของราชสำนักอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้งเช่นนี้ นี่หมายความว่าไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา ใครกันที่กล้าหาญถึงเพียงนี้


 


 


เมื่อแรกเริ่มฮ่องเต้ยงเซวียนยังคิดว่าเป็นอ๋องเคียงบ่าที่หนีไปไกลผู้นั้น ความคิดนี้ผุดขึ้น เขาก็หวาดกลัวในใจ สี่ปีก่อนพวกเขาก็เริ่มวางแผน เหตุใดถึงได้ลงมือกับแม่ทัพอันอันอี้เล่า หรือว่าอันอี้ขัดขวางพวกเขา แท้จริงแล้วพวกเขาต้องการทำอะไรที่นอกด่านกันแน่ นี่เป็นเรื่องที่ตนรู้ เรื่องที่ยังไม่ถูกเปิดโปงออกมาเหล่านั้นใช่จะยังมีอีกหรือไม่ เมื่อคิดถึงทหารที่ซ่อนตัวอยู่บนเขาชิงลั่ว ฮ่องเต้ยงเซวียนก็รู้สึกกระวนกระวาย ชั่วขณะไม่อาจสงบจิตใจได้


 


 


“ขุนนางคิดว่าเรื่องนี้ใช่เกี่ยวข้องกับ…หรือไม่” ฮ่องเต้ยงเซวียนใช้มือทำท่านทาง


 


 


นายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นเป็นผู้ที่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังเรื่องในปีนั้นเช่นกัน ได้ยินดังนั้นชั่วขณะในใจก็หวาดกลัว ใคร่ครวญครู่หนึ่งกลับกล่าว “ฝ่าบาท เกรงว่าท่านจะหวาดระแวงเกินไป กระหม่อมคิดว่านี่ไม่เหมือนฝีมือของคนผู้นั้น” อ๋องเคียงบ่าเฉิงอี้ให้ความสำคัญกับคุณธรรมน้ำมิตรที่สุด รักทหารดั่งลูก ไม่มีทางใช้วิธีเห็นแก่ตัวมาปั้นเรื่องสังหารแม่ทัพเช่นนี้แน่นอน


 


 


เพื่อยืนยันความคิดเขาจึงกล่าว “สี่ปีก่อนกระหม่อมยังอยู่ที่ซีเจียงได้ยินเรื่องนี้ก็ประหลาดใจอย่างถึงที่สุด กระหม่อมไปมาหาสู่กับแม่ทัพอันหลายครั้ง เขามีนิสัยตรงไปตรงมา รักและดูแลทหารใต้บังคับบัญชาอย่างดีที่สุด ไม่น่าจะทำเรื่องทุจริตเงินกองทัพได้”


 


 


การตายของแม่ทัพอันเป็นความเสียใจในใจของนายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่น เขาอายุน้อยกว่านายท่านผู้เฒ่าโหวเกือบยี่สิบปี ในด้านการทหารก็ค่อนข้างมีฝีมือ ทั้งสองยังเคยร่วมมือกันหนึ่งครั้ง นายท่านผู้เฒ่าโหวชื่นชมเขาอย่างถึงที่สุด เมื่อเกิดเรื่องขึ้นกับเขา นายท่านผู้เฒ่าโหวก็คิดด้วยสัญชาตญาณว่ามีคนวางแผนใส่ร้าย แต่เขาอยู่ซีเจียง กว่าจะส่งคนไปสืบข่าว เรื่องนี้ก็จบลงแล้ว แม้แต่สายเลือดของแม่ทัพอันก็ไม่เหลือเลยแม้แต่นิดเดียว


 


 


“เป็นเราที่คิดพลาดไป” ฮ่องเต้ยงเซวียนใคร่ครวญคำพูดของนายท่านผู้เฒ่าโหว รู้สึกว่ามีเหตุผลอย่างมาก แม้จะยืนอยู่ในจุดตรงข้าม แต่ฮ่องเต้ยงเซวียนก็จำใจต้องยอมรับว่านั่นไม่ใช่ฝีมือของอ๋องเคียงบ่า เขาไม่ใช่คนเลวทรามต่ำช้าเช่นนั้น


 


 


ในเมื่อไม่ใช่ฝีมือของอ๋องเคียงบ่า เช่นนั้นก็ทำได้เพียงเป็นใครสักคนในราชสำนัก คนรู้จักนี้ทำให้ฮ่องเต้ยงเซวียนยิ่งโมโห เงินเดือนมหาศาลของเขาที่เลี้ยงพวกเขา พวกเขากลับตอบแทนเขาเช่นนี้หรือ “สืบ สืบให้เราจนถึงที่สุด เราอยากดูว่าใครหน้าไหนที่มันกำเริบเสิบสานเช่นนี้”


 


 


เผชิญหน้ากับไฟโกรธของฮ่องเต้ยงเซวียนนายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นก็นิ่งเงียบ สืบคดีแม่ทัพอันที่นอกด่านนี้เบื้องหน้ามีผู้ตรวจการโจว เบื้องหลังยังมีกรมอาญา ศาลต้าหลี่กับสำนักตรวจตรา ราชครูรัชทายาทเช่นเขามีหน้าที่หลักคืออบรมไท่จื่อ ฝ่าบาทไม่เรียก เขาก็ไม่ต้องลุยน้ำขุ่นเที่ยวนี้


 


 


สิ่งสำคัญที่สุดในการเป็นขุนนางก็คือเชื่อฟัง เชื่อฟังใครน่ะหรือ ใครนั่งอยู่บนตำแหน่งนั้นเขาก็ต้องเชื่อฟังคนผู้นั้น คิดถึงข่าวที่เวยเอ๋อร์สั่งคนส่งกลับมา เขาทั้งโกรธทั้งหมดแรง ไม่ต้องพูดถึงเขาที่จงรักภัคดีต่อฝ่าบาท เพียงแค่สถานการณ์ในตอนนี้ ฝ่าบาทยังอยู่ในช่วงอายุที่ดีที่สุด จะทนให้ขุนนางเบื้องล่างเป็นปฏิปักษ์แต่เนิ่นๆ ได้อย่างไร


 


 


ลูกที่โง่เขลาของเขาผู้นั้นคาดไม่ถึงว่าไปสนิทสนมกับจางจี้ ไม่หัดดูเสียบ้างว่าเขาเป็นคนของใคร องค์ชายรองปฏิบัติต่อเขาดีหลายครั้งเขาทราบ ล้วนถูกเขาปฏิเสธอย่างสุภาพไปแล้ว จวนจงอู่โหวตั้งตระหง่านไม่โค่นล้มเป็นเพราะอาศัยคุณูปการทางทหาร จงรักภัคดีต่อฝ่าบาท เขาไม่ได้อยากลงเรือนลำขององค์ชายองค์ใด


 


 


แผนการของจางจี้คำนวณไว้ดีอย่างยิ่ง เตรียมจะเปิดทางจากนายท่านสามจวนจงอู่โหวเสิ่นหงเซวียน จากนั้นก็ลากนายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่นมาลงเรือรบขององค์ชายรอง 

 

 


ตอนที่ 233-2 สั่งสอนจางจ่างสื่อ

 

 


 


วันนี้จางจี้กับเสิ่นหงเซวียนเพิ่งจะก้าวเข้าหอไท่ไป๋ เสิ่นเวยก็ได้รับข่าวทันที เหตุใดถึงเร็วเพียงนั้นน่ะหรือ ก็เพราะว่านางไม่วางใจพ่อนางคนสมองกลวงผู้นั้น ท่านปู่อายุมากแล้ว ไม่มีเรี่ยวแรงมากเพียงนั้นแล้ว ไม่ว่าอย่างไรนั่นก็เป็นบิดาเจ้าของร่างกายนี้ของนาง หากเกิดเรื่องหายนะอะไรขึ้นมา สร้างปัญหาให้ท่านปู่เป็นเรื่องเล็ก แต่น้องชายของนางเจวี๋ยเอ๋อร์ยังเล็ก ไม่อาจเสียที่พึ่งเช่นจวนจงอู่โหวนี้ไปได้


 


 


หากไม่ใช่ทำเพื่อสองคนนี้ นางจะสนหรือว่าพ่อนางจะเป็นจะตาย ด้วยเหตุนี้วันนั้นหลังกลับไปแล้วนางจึงให้คนไปสะกดรอยตามพ่อนาง ไม่เพียงแต่พ่อนาง แม้แต่ท่านลุงใหญ่ท่านลุงรองของนาง กระทั่งข้างกายพี่รองและคนอื่นๆ นางก็สั่งคนไปดูเช่นกัน


 


 


เสิ่นเวยโมโหแล้ว ท่านปู่เคยตักเตือนแล้ว ไม่คิดว่าพ่อนางจะยังไปมาหาสู่กับจางจี้อยู่อีก สมองคนผู้นี้ไปอยู่ที่ก้นหรือไร ยังมีจางจี้ เจ้ามีความสามารถนักก็ไปพยายามกับปู่ข้าสิ เก็บลูกพลับนิ่มมาบีบ ซ้ำยังบีบแล้วบีบอีก บีบจนติดแล้วใช่หรือไม่ คนชั่วไม่ช้าไม่เร็วก็ต้องถูกกรรมตามสนอง วันนี้หากกูไหน่ไนไม่สั่งสอนเจ้าข้าก็คงไม่แซ่เสิ่น


 


 


สวีโย่วเห็นเสิ่นเวยมีท่าทางโมโหกัดฟันกรอดเป็นพักๆ รู้สึกสงสัยอย่างยิ่ง จึงถาม “ใครยั่วโมโหเจ้าเข้าแล้ว”


 


 


“นอกจากพ่อที่โง่ของข้าจะยังมีใครอีก” เสิ่นเวยกล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดี เหลือบมองเขาปราดหนึ่ง “ยังมีลูกผู้น้องตัวดีของท่านด้วย”


 


 


สวีโย่วเข้าใจในทันที คราวก่อนราชบัณฑิตเจียงส่งจดหมายมาน้องสี่แซ่เสิ่นไม่ได้ปิดบังเขาแม้แต่นิดเดียว องค์ชายรองผู้นั้นก็เป็นลูกผู้น้องของเขาจริงๆ แม้ว่าทั้งสองจะไม่สนิทกันก็ตาม


 


 


“เจ้าคิดจะทำอย่างไร” สวีโย่วกล่าวด้วยสีหน้าเหยเกเล็กน้อย จิตใจลูกผู้น้องคนนี้ของเขาก็รีบร้อนเกินไปแล้วหรือไม่ ฝ่าบาทยังอยู่ในช่วงอายุที่ดีที่สุดเขาก็นั่งไม่ติดแล้วหรือ แต่ว่าเขาไม่หาเรื่องใครดันมาหาเรื่องนายท่านผู้เฒ่าโหวตระกูลเสิ่น ไม่รู้หรือว่าเขามีหลานสาวที่ถือหางทั้งยังเจ้าคิดเจ้าแค้นอยู่คนหนึ่ง


 


 


เห็นท่าทางนี้น้องสี่ของเขากำลังโกรธแล้ว ใครบางคนจะต้องซวย! สวีโย่วจุดเทียนให้องค์ชายรองเงียบๆ ไม่รู้สึกเสียใจเลยแม้แต่นิดเดียว


 


 


“ไป ท่านไปหอไท่ไป๋เป็นเพื่อนข้าเที่ยวหนึ่ง” เสิ่นเวยกล่าว


 


 


จางจี้ใช่หรือไม่ จ่างสื่อจวนองค์ชายรองใช่หรือไม่ เสือไม่คำรามคาดไม่ถึงว่าเจ้าเห็นจวนจงอู่โหวของข้าเป็นแมวป่วย ดูสิว่ากูไหน่ไนจะจัดการเจ้าอย่างไร!


 


 


สวีโย่วย่อมต้องรับปากอย่างไม่รีรอ ต่อให้น้องสี่ของเขาอยากฆ่าคนเขาก็จะต้องตามไปยื่นดาบให้ข้างๆ สามีภรรยาร่วมแรงร่วมใจ ใครให้เขาหวงแหนน้องสี่แซ่เสิ่นเล่า


 


 


หอไท่ไป๋เป็นกิจการขององค์ชายรอง เรื่องนี้มีเพียงคนไม่กี่คนที่รู้ เพราะว่ามีสวีโย่วหัวหน้าภารกิจลับที่ใหญ่ที่สุดในต้ายงผู้นี้อยู่ เสิ่นเวยย่อมต้องรู้ มิน่าเล่าจางจี้ถึงกล้านัดพบพ่อนางที่นี่อย่างโจ่งแจ้งเปิดเผย


 


 


ผู้จักการหอไท่ไป๋ย่อมรู้จักสวีโย่ว เมื่อเห็นเขาพาภรรยาเข้ามา ก็ตกใจวิ่งเข้ามาอย่างกระตือรือร้นทันที “ผู้น้อยเคารพผิงจวิ้นอ๋อง ท่านนี้คือจวิ้นจู่เหนียงเหนียงใช่หรือไม่ ผู้น้อยขอคารวะ วันนี้ท่านทั้งสองมาเยี่ยมเยียน ร้านเล็กๆ ช่างเป็นเกียรติจริงๆ!” บนใบหน้าเขามีรอยยิ้มไมตรีจิต “เชิญ ท่านทั้งสองเชิญที่ห้องส่วนตัวชั้นบนขอรับ”


 


 


เสิ่นเวยกวาดสายตามองคนผู้นี้ปราดหนึ่งอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม กลับเป็นคนที่ปราดเปรียวจริงๆ!


 


 


“นำทางไป” สวีโย่วเอามือไพล่หลังด้วยสีหน้าเมินเฉย


 


 


ขึ้นไปถึงชั้นสองก็เห็นห้องส่วนตัว เสิ่นเวยตรงไปยังห้องข้างที่พ่อนางอยู่ทันที ผู้จัดการเห็นแล้วก็ร้อนใจ “จวิ้นจู่เหนียงเหนียงจะไปไหนหรือ ห้องข้างนั้นมีแขกแล้วขอรับ”


 


 


เสิ่นเวยหันหน้า เชิดคางสูง “ทำไม ตัวข้าจวิ้นจู่จะทำอะไรยังต้องรายงานเจ้าด้วยหรือ” เบนสายตา “ข้ารู้ว่ามีแขก หากไม่มีแขกข้าก็คงไม่ไปหรอก”


 


 


“ผู้…ผู้น้อย…” ผู้จัดการอ้ำๆ อึ้งๆ พูดไม่ออก เขารู้ว่าในห้องข้างห้องนั้นคือจางจ่างสื่อกับบิดาของจวิ้นจู่เหนียงเหนียงผู้นี้ คงไม่ใช่ว่าจวิ้นจู่เหนียงเหนียงผู้นี้ไม่ได้มากินข้าวแต่มาหาเรื่องหรอกกระมัง


 


 


สวีโย่วกวาดสายตามองผู้จัดการที่เหงื่อแตกอย่างเย็นชา “สงบจิตใจทำงานของเจ้าให้ดี ไม่ใช่ต้องแนะนำอาหารของหอไท่ไป๋ให้ตัวข้าจวิ้นอ๋องหรอกหรือ พูดต่อเถิด” หนึ่งประโยคดึงผู้จัดการกลับมาที่เดิม


 


 


เสิ่นเวยเหลือบมองสวีโย่วด้วยความพอใจ มุมปากยกขึ้นเดินไปยังห้องข้างห้องนั้นต่อ


 


 


เมื่อเสิ่นเวยเข้าไปใกล้ เด็กรับใช้หน้าประตูก็ขัดขวางทันที “ฮูหยินท่านนี้เดินผิดทางแล้วหรือไม่”


 


 


มุมปากเสิ่นเวยกระตุก เย่ว์กุ้ยก้าวไปข้างหน้า แย้มยิ้มดั่งบุปผา “พี่ชายน้อยผู้นี้ จวิ้นจู่ของข้าไม่ได้มาเดินผิดทาง นายท่านของพวกข้ากำลังดื่มสุรากับจางจ่างสื่ออยู่ข้างในมิใช่หรือ จวิ้นจู่ของพวกเรากตัญญู นี่ไม่ใช่ว่ามาเคารพหรอกหรือไร”


 


 


ปากกล่าวอธิบาย มือก็ไม่ได้ว่าง บิดแขนของเด็กรับใช้ผลักไปอีกฝั่งหนึ่งทันที หมุนตัวถีบประตูห้องเปิดออก “จวิ้นจู่ เชิญ!”


 


 


เสิ่นเวยยืดตัวตรง ก้าวเท้าเดินเข้าไปประหนึ่งราชินีทะนงตน


 


 


การเคลื่อนไหวนี้ย่อมต้องรบกวนเสิ่นหงเซวียนกับจางจี้ที่กำลังดื่มสุราสนทนากันอยู่ “ใครกันบังอาจเช่นนี้” จางจี้หันหน้าตะโกนถามหนึ่งครา เมื่อเห็นว่าผู้ที่เข้ามาเป็นสตรีอายุน้อย ก็อดตกใจไม่ได้


 


 


เสิ่นหงเซวียนเองก็ตกใจสุดขีด “เวยเอ๋อร์ เหตุใดถึงเป็นเจ้า เจ้ามาทำอะไรที่นี่”


 


 


เสิ่นเวยยิ้มน้อยๆ กล่าวเสียงเบา “ลูกกับท่านพี่ออกมาเดินเล่น เดินมาถึงละแวกนี้ก็เหนื่อย ท่านพี่บอกว่าหอไท่ไป๋เป็นกิจการขององค์ชายรอง ต่างก็เป็นคนตระกูลเดียวกัน จึงขึ้นมาพักเท้าเสียหน่อย บังเอิญเห็นท่านพ่ออยู่ที่นี่ จึงเข้ามาเคารพ”


 


 


ไม่รอให้เสิ่นหงเซวียนพูดนางก็กล่าวต่อ “ท่านพ่อ ใต้เท้าท่านนี้คือใคร ดูบุคลิกสูงสง่า จักต้องเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่สักคนในราชสำนักแน่เลยใช่หรือไม่ ท่านพ่อไปมาหาสู่ด้วยจะต้องมีผลประโยชน์เป็นแน่ ท่านปู่รู้ว่าท่านก้าวหน้าเช่นนี้จะต้องดีใจอย่างถึงที่สุดแน่นอน” บนใบหน้าของเสิ่นเวยเต็มไปด้วยรอยยิ้ม สีหน้าท่าทางมีความชื่นชม คล้ายกับดีใจแทนพ่อนางอย่างยิ่ง


 


 


ทว่าสีหน้าของเสิ่นหงเซวียนกลับอึดอัดเล็กน้อย เกิดความหวาดระแวงขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ แม้เขาจะไม่เข้าใจลูกสาวคนนี้มากนัก แต่กลับรู้สึกได้รางๆ ว่าตอนนี้ลูกสาวไม่ค่อยพอใจ เพราะว่านางไม่เคยแสดงความเคารพเช่นนี้ต่อหน้าเขามาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นยังยิ้มแย้มแจ่มใสเช่นนี้อีก


 


 


เขาไอเบาๆ หนึ่งคราอย่างอดไม่ได้ กล่าวอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “เวยเอ๋อร์ คนผู้นี้คือจางจ่างสื่อแห่งจวนองค์ชายรอง เป็นสหายของพ่อ”


 


 


บนใบหน้าของเสิ่นเวยปรากฏความประหลาดใจหลายส่วน “ที่แท้แล้วก็เป็นจ่างสื่อจวนองค์ชายรองนี่เอง! มิน่าเล่าถึงได้พูดคุยถูกคอกับท่านพ่อ” หันหน้ามองพ่อนาง “เอ๋ ก่อนหน้านี้เหตุใดถึงไม่เคยได้ยินท่านพ่อเอ่ยถึงมาก่อน ในเมื่อเป็นสหาย ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรู้จักกันมาหลายปีแล้วใช่หรือไม่ ไม่นึกว่าลูกจะไม่รู้ว่าท่านพ่อมีสหายผู้นี้ด้วย” บนใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยและไม่พอใจ


 


 


คราวนี้อย่างว่าแต่เสิ่นหงเซวียน แม้แต่สีหน้าของจางจี้เองก็อึดอัดเล็กน้อย ลุกขึ้นยืนประสานมือกล่าว “ท่านผู้นี้ก็คือจยาฮุ่ยจวิ้นจู่บุตรสาวที่รักของพี่เสิ่นใช่หรือไม่ ผู้ชราขอคารวะ เรียนให้จวิ้นจู่ทราบ แม้ผู้ชรากับพี่เสิ่นจะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ก็เลื่อมใสในการวางตัวและความสามารถของพี่เสิ่นมากเป็นพิเศษ”


 


 


“ใช่ๆๆ พ่อกับพี่จางเข้ากันได้ดีเป็นพิเศษ” เสิ่นหงเซวียนรีบกล่าวคล้อยตาม


 


 


เสิ่นเวยหลุดหัวเราะหนึ่งครา “จะไม่เข้ากันได้อย่างไร ท่านพ่อท่านติดนิสัยปัญญาชน ตรงไปตรงมาเกินไปจริงจังเกินไป ยังไม่ค่อยเหมาะกับแวดวงขุนนางจริงๆ ลูกเป็นห่วงอยู่เสมอว่าท่านอยู่ข้างนอกจะผิดใจคนอื่น ยังคงเป็นท่านปู่ที่บอกว่าท่านอยู่ในกรมพิธีการ ไม่ได้มีหน้าที่สำคัญมากนัก เหล่าผู้มีประสบการณ์กลุ่มนั้นเพียงแค่เห็นแก่หน้าของท่านปู่จึงไม่กล้าขุดหลุมวางกับดักท่าน มีตำแหน่งว่างให้ท่านก็ยังดีกว่ายั่วโมโหเขาเหมือนอย่างท่านลุงรอง คราวก่อนฝ่าบาทจะเลื่อนตำแหน่งให้ท่าน ท่านปู่รีบปฏิเสธ มีหัวมากเท่าใดก็ต้องสวมหมวกมากเท่านั้น บอกว่านิสัยของท่านไม่เหมาะจะรับตำแหน่งขุนนางชั้นสูง ลำดับสี่ก็ถือว่าฝ่าบาททรงพระกรุณามากเป็นพิเศษแล้ว เลื่อนขึ้นอีกจะทำให้การงานเสียหาย…


 


 


…ฝ่าบาทยังทอดถอนใจ ชื่นชมว่าท่านปู่มีคุณธรรมสูงส่ง บอกว่าหากขุนนางบุ๋บู๊ทั่วราชสำนักรู้สำนึกเช่นท่านปู่ ไยจะต้องกังวลอีกว่าดินแดนต้ายงจะไม่เจริญ ท่านปู่ก็บอกว่า นี่เป็นความเห็นแก่ตัวของคนเป็นพ่อเช่นเขา ลูกชายไม่มีความสามารถเช่นนั้นก็อยู่อย่างสงบดีกว่า อย่าขวนขวายความทะเยอทะยานอะไรนั่นเลย สงบเสงี่ยมเจียมตัวก็สามารถร่ำรวยมีเกียรติได้ ไม่ถึงกับต้องหาเรื่องใส่ตัว จางจ่างสื่อ ท่านว่าท่านปู่ของข้าพูดถูกหรือไม่”


 


 


เสิ่นเวยชายตามองจางจี้ ในดวงตามีประกายที่ไร้ต้นสายปลายเหตุกะพริบวาบ จางจี้เห็นแล้วในใจก็อดเต้นไม่ได้ จวิ้นจู่เหนียงเหนียงผู้นี้พูดแฝงความนัย!


 


 


อย่างไรเสียจางจี้ก็สุขุม ต่อให้ในใจจะตกใจ แต่สีหน้ากลับยิ้มแย้ม “คำพูดของราชครูเสิ่นย่อมรู้ชัดเห็นแจ้ง ความประพฤติของราชครูเสิ่นพวกข้าไม่อาจเทียบได้ สู้ไม่ได้จริงๆ!”


 


 


เสิ่นเวยยิ้มอีกครั้ง “จางจ่างสื่อเฉียบแหลมจริงๆ มิน่าเล่าถึงพูดคุยถูกคอกับท่านพ่อข้า ท่านพ่อข้าชอบความสวยงามที่สุด หลงใหลในกวีภาพวาดพู่กัน ในภายหน้าหากองค์ชายรองต้องออกไปประจำพื้นที่ในศักดินา เป็นฟานอ๋อง ก็ถือว่าสูงศักดิ์อย่างถึงที่สุดแล้ว ไม่ใช่ว่าทิ้งผลประโยชน์มากมายไว้ให้หรือ เป็นจ่างสื่อจวนองค์ชายรอง ต้องเชื่อฟังเจ้านายอย่างเลี่ยงไม่ได้ ว่างแล้วไม่มีอะไรทำไม่ศึกษาบทกวีแล้วจะไปทำอะไรได้”


 


 


เสิ่นเวยแทบจะพูดอย่างตรงไปตรงมา ในภายหน้าองค์ชายรองต้องออกไปประจำพื้นที่ ราชสำนักไม่หวังให้เขามีความสามารถมีอนาคต จางจ่างสื่อเจ้าก็ไม่ต้องวิ่งเต้นกระโดดไปมา กลับบ้านไปศึกษาบทกวีบทประพันธ์ก็พอ


 


 


“จวิ้นจู่พูดถูกอย่างยิ่ง” ในใจจางอี้อึดอัดอย่างมาก แต่ใบหน้ากลับไม่เผยอารมณ์เลยแม้แต่นิดเดียว


 


 


นี่ทำให้เสิ่นเวยด่าเขาว่าจิ้งจอกเฒ่าในใจอย่างเคียดแค้น เมื่อเทียบกับพ่อนาง อารมณ์ก็ยิ่งไม่ดี คนอื่นเป็นพ่อคนปกป้องบุตรสาว แต่บ้านนางกลับไม่ใช่ ยังต้องให้นางผู้เป็นบุตรสาวมาจัดการปัญหาวุ่นวายแทนพ่อ


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้ แววตานางก็มีความเย็นเยียบกะพริบผ่าน “ท่านพ่อ ลูกฟังว่าเมื่อคืนท่านปู่ถูกลมหนาว เช้าวันนี้ตื่นขึ้นมาแล้วไม่ค่อยดีนัก ลูกกำลังเตรียมจะกลับไปเยี่ยมเขา ท่านจะกลับไปพร้อมกันกับลูกเลย หรือว่าท่านจะพูดคุยกับจางจ่างสื่อต่อ สองคนดื่มสุรากันจะไปสนุกอะไร ข้าจะทิ้งสาวใช้ไว้ที่นี่ถือการินสุราแทนพวกท่าน”


 


 


“อะไรนะ ท่านพ่อไม่สบายหรือ” เสิ่นหงเซวียนลุกขึ้นยืนทันที “เหตุใดพ่อถึงไม่รู้เล่า”


 


 


เสิ่นเวยคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ใบหน้าชราภาพของเสิ่นหงเซวียนก็แดงทันที กล่าวกับจางจี้ “พี่จาง พ่อข้าไม่สบาย พวกเราค่อยพบกันวันหลังเถิด” บนใบหน้ามีความกังวล


 


 


จางจี้เองก็มีท่าทางกังวลเช่นกัน “พี่เสิ่นรีบกลับไปดีกว่า สุขภาพราชครูเสิ่นสำคัญ”


 


 


เสิ่นหงเซวียนประสานมือให้เขา “ขอบคุณพี่จางที่เข้าใจ”


 


 


เสิ่นเวยกับพ่อนางเดินไปข้างนอกพร้อมกัน เดินไปได้สองก้าวเสิ่นเวยก็พลันหันหน้ากลับมา มองจางจี้อย่างแน่นิ่งครู่หนึ่ง แย้มยิ้ม จากนั้นจึงเดินไปข้างนอกต่อ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)