ข้ามกาลบันดาลรัก 232.1-232.2
ตอนที่ 232-1 ไม่เคยได้ยินมาก่อน อึกทึ...
เมิ่งชื่อก็ไม่อ้อมค้อม พูดไปตามตรง “วันนี้ข้าไม่มีธุระใด จึงเข้ามาด้วย คิดว่าซุนซ่านเหรินจะเห็นแก่ความจริงใจเปี่ยมล้นของข้า ยอมตกลงให้เชี่ยนเอ๋อร์และเสียนเอ๋อร์แต่งงานในเร็ววัน”
ซุนเชี่ยนหน้าแดงวาบพลัน
ฮูหยินซุนลุกขึ้นยืนแล้ว สาวเท้าเดินไปเบื้องหน้าเมิ่งชื่อ ด้านหนึ่งรับของกำนัลมาจากมือเมิ่งชื่อ ด้านหนึ่งยิ้มพูดว่า “ไม่ทราบว่าแม่สามีก็จะมาด้วย ไม่ได้ดูแลต้อนรับท่าน ขอท่านอย่าเก็บไปใส่ใจ”
เมิ่งชื่อมอบของกำนัลให้ฮูหยินซุน ยิ้มแย้มโบกมือ “ข้าบุ่มบ่ามเอง ต้องขอพวกท่านให้อภัยด้วย”
ซุนเชี่ยนส่งของกำนัลให้สาวใช้ข้างๆ แล้วยิ้มพูดว่า “ไม่บุ่มบ่าม ไม่บุ่มบ่าม ข้าและท่านพี่ยังคุยกันว่าหากมีเวลาจะเชิญท่านมานั่งคุยที่บ้าน วันนี้ท่านเข้ามาพอดี ตอนเที่ยงอย่าเพิ่งกลับ พวกเรานั่งคุยกันให้เต็มที่ก่อน”
เมิ่งชื่อเป็นคนนิสัยตรงไปตรงมา เสแสร้งเกรงใจไม่เป็น ได้ยินดังนั้นพูดว่า “วันนี้คงไม่ได้ ที่บ้านยังรอให้ข้ากลับไปแจ้งข่าวดี รอให้พวกเขาแต่งงานกันแล้ว ข้าจะรับพวกท่านไปนอนที่บ้านพวกเราหลายๆ คืน ถึงตอนนั้นพวกเราจะได้คุยกันอย่างจุใจนะเจ้าคะ”
ซุนซ่านเหรินเห็นนางเอาแต่พูดเรื่องงานแต่งงานไม่ขาดปาก รู้ว่านางร้อนอกร้อนใจ หันมองซุนเชี่ยน เห็นนางได้แต่เขินหน้าแดง ไม่มีทีท่าคัดค้าน จึงลูบเคราพูดอย่างเบิกบาน “ท่านแม่สามีนั่งก่อนเถิด พวกเราค่อยๆ หารือเรื่องงานแต่งงานกัน”
“ใช่ๆๆ รีบนั่งก่อน” ฮูหยินซุนดึงเมิ่งชื่อมานั่งบนเก้าอี้ด้วยตัวเอง
แม่สื่อก็มอบของกำนัลในมือให้สาวใช้ นั่งบนเก้าอี้รองข้างเมิ่งชื่อ ลอบคิด “เจ้านี้หาเงินง่ายจริงเชียว ไม่ต้องพูดสักคำ ก็ได้เงินค่าแม่สื่อหลายตำลึง”
หลังจากเมิ่งชื่อนั่งลง ฮูหยินซุนก็กลับไปนั่งเก้าอี้ของตัวเอง
เมิ่งชื่อที่นั่งลงแล้ว เอาแต่จับจ้องซุนเชี่ยน ยิ่งพิศก็ยิ่งชมชอบ
ซุนเชี่ยนปรากฏตัวทำการค้าในที่สาธารณะ คุ้นชินการถูกมองประเมินเสียแล้ว แต่การถูกเมิ่งชื่อจับจ้องไม่วางตาเช่นนี้ กลับเกิดความเขินอาย เอาแต่ก้มหน้าไม่พูดไม่จาสักคำ
ซุนซ่านเหรินหัวเราะเหอะๆ ช่วยแก้สถานการณ์ให้หลานสาว “ท่านแม่สามี เหตุใดถึงเข้ามาสู่ขอฉับพลัน ไม่แม้แต่จะแจ้งข่าวบอกกันก่อน พวกเรามิได้เตรียมตัวเลย”
เมิ่งชื่อเก็บคืนแววตาพินิจมอง ยกยิ้มตอบกลับซุนซ่านเหริน “หากเสียนเอ๋อร์ไม่แต่งงาน ปีหน้าก็จะอายุสิบเจ็ดปี จะเป็นที่หัวเราะเยาะของชาวบ้านได้ ข้าใจร้อนชั่ววูบ จึงขอให้แม่สื่อเข้ามาเจรจาสู่ขอ ขอพวกท่านรับปากด้วยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินซุนรับคำพูดเอง “เช่นนี้จะรีบเกินไปหรือไม่ พวกเรายังไม่ได้เตรียมการอะไรเลย”
เมิ่งชื่อรีบร้อนพูดว่า “ขอเพียงพวกท่านเห็นด้วย ไม่ต้องเตรียมการสิ่งใด พวกเราจะเตรียมการทุกสิ่งทุกอย่างให้เอง เชิญทั้งสองท่านวางใจได้ พวกเราจะแต่งแม่นางซุนเข้าบ้านอย่างมีหน้ามีตาสมศักดิ์ศรี”
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ซุนซ่านเหรินเป็นคนมีชื่อเสียง หากให้ฝ่ายชายจัดแจงงานแต่งหลานสาวทั้งหมด ภายหน้าคงไม่มีหน้าใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนี้อีก ดังนั้นจึงเงียบไปชั่วขณะ ขบคิดว่าต้องใช้เวลานานเท่าใดถึงจะเตรียมงานแต่งงานให้ซุนเชี่ยนเสร็จ
เมิ่งชื่อเห็นเขาไม่พูด เข้าใจผิด นึกว่าเขาไม่ยินยอมให้ซุนเชี่ยนแต่งงาน ไม่สนใจอะไรแล้ว โพล่งปากพูดอย่างไม่ละอาย “ข้าคิดมาดีแล้ว หากวันนี้ท่านทั้งสองไม่ตกลงให้พวกเขาแต่งงานกัน ข้าจะนั่งขอร้องพวกท่านตรงนี้ พวกท่านยอมตกลงเมื่อใด ข้าถึงจะไป”
แม่สื่อเบิกตาโพลง มองเมิ่งชื่ออย่างไม่คาดฝัน ถือว่าได้เปิดโลกทัศน์โดยแท้ มีแม่สามีเข้ามาข่มขู่ฝ่ายหญิงให้ยอมแต่งงานถึงในบ้านเช่นนี้ด้วย
ซุนซ่านเหรินและฮูหยินซุนตะลึงลาน จากนั้นก็หัวเราะพร้อมกัน
ซุนซ่านเหรินยกยิ้มพูดว่า “ท่านแม่สามีเข้าใจผิดแล้ว ข้าเพียงคิดว่าหากจัดเตรียมเครื่องแต่งงานให้เชี่ยนเอ๋อร์ในตอนนี้ จะทันการหรือไม่?”
“แสดงว่า พวกท่านยอมตกลงแล้ว”
เมิ่งชื่อดีใจเกือบจะกระโดดตัวลอย น้ำเสียงเบิกบานปรีดาจนซ่อนไว้ไม่อยู่ “พวกท่านไม่ต้องจัดเตรียมแล้ว เครื่องแต่งงานของพวกเขา พวกเราจะรับผิดชอบเองทั้งหมด ท่านเพียงบอกว่าต้องการสิ่งใด ตอนบ่ายข้าจะไปซื้อหา ให้คนนำส่งมาให้ท่าน”
ช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้ ฮูหยินซุนมองออกทันทีว่าเมิ่งชื่อเป็นคนมีนิสัยตรงไปตรงมา ใจคิดสิ่งใดก็พูดสิ่งนั้น คิดว่าหลานสาวได้แม่สามีเช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องดี ภายหน้าหากมีเรื่องอันใดพูดได้ตามตรง ก็จะไม่เกิดความเข้าใจผิดต่อกัน ยิ่งให้นึกพึงพอใจต่อการแต่งงานนี้อีกหลายส่วน จึงกล่าวด้วยวาจาจริงใจตรงไปตรงมา “ได้อย่างไรกัน ข้ามีหลานสาวเพียงคนเดียว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้นางตบแต่งอย่างสมเกียรติ มีหน้ามีตา จะให้พวกท่านเป็นฝ่ายจัดเตรียมเครื่องแต่งงานได้อย่างไร”
เมิ่งชื่อก็ไม่บ่ายเบี่ยง พูดว่า “ได้เจ้าค่ะ พวกท่านจัดเตรียมก็ได้ หากมีสิ่งใดหาซื้อไม่ได้ ก็ให้คนมาบอก ต่อให้เป็นสิ่งของในเมืองหลวง พวกเราก็ให้คนส่งมาให้ได้”
ตอนนี้การค้าบ้านเมิ่งเจริญใหญ่โต ได้ยินว่ากุนเชียงที่ผลิตถูกนำขายไปถึงเมืองหลวง สองสามีภรรยาซุนรู้ว่านางมิได้พูดโป้ปด รู้ว่านางให้ความสำคัญต่อหลานสาว หัวใจสำเริงสำราญพองโต
ซุนเชี่ยนนั่งอยู่ด้านไม่พูดไม่จา
เมิ่งชื่อหันไปถามนาง “เชี่ยนเอ๋อร์อยากได้สิ่งใดก็บอกป้า วันที่นำสินสอดทองหมั้นเข้ามา จะได้ให้คนนำมาให้เจ้าด้วย”
ซุนเชี่ยนเขินอายม้วนแล้ว ได้ยินเมิ่งชื่อถามนาง ยิ่งอายจนหน้าแดงคอแดง ตอบกลับเสียงแผ่ว “ขอบคุณท่านป้ามาก ไม่ต้องแล้วเจ้าค่ะ”
“เจ้าเด็กคนนี้ ไม่นานพวกเราก็จะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ไยต้องเกรงใจข้าอีก?” เมิ่งชื่อคลี่ยิ้มพูด
ครานี้ซุนเชี่ยนหน้าแดงจนกลั่นเป็นเลือดได้แล้ว
เมิ่งชื่อก็ทราบว่าเด็กสาวหน้าบาง จึงเปลี่ยนเรื่องพูด หันกลับมาพูดกับสองสามีภรรยาซุน “ทั้งสองท่านคิดว่าพวกเราจะกำหนดวันมอบสินสอดวันใดดี ประเพณีในตำบลเป็นอย่างไร? ปกติจะเป็นสินสอดกี่หาบ?”
เมื่อยอมตกลงให้พวกเขาแต่งงานแล้ว สินสอดย่อมจะขาดไม่ได้ ฮูหยินซุนแย้มยิ้มพูดธรรมเนียมของการมอบสินสอดในตำบล สุดท้ายพูดว่า “เชี่ยนเอ๋อร์แต่งงานเข้าสกุลพวกท่าน ทำตามธรรมเนียมของพวกท่านก็ได้ พวกเราไม่มีข้อโต้แย้ง”
เมิ่งชื่อแย้มยิ้มส่ายหน้า “ไม่ได้เด็ดขาด เชี่ยนเอ๋อร์เป็นคุณหนูสกุลใหญ่โดยแท้ เสียนเอ๋อร์ของพวกเราได้แต่งกับนาง ถือได้ว่าอาจเอื้อม ย่อมไม่อาจทำตามธรรมเนียมของชนบทได้ สินสอดนี้จะจัดเตรียมตามที่พวกท่านบอก มีแต่เกินไม่มีขาด”
ซุนเชี่ยนเห็นนางยกยอหลานสาวสูงส่ง ก็ยิ่งให้ปิติยินดี
แม่สื่อที่นั่งอีกด้านรู้สึกว่าได้เปิดโลกทัศน์ให้ตนเองไปด้วย แต่ไหนแต่ไรไม่เคยเห็นการพูดกำหนดเรื่องสินสอดได้อะลุ้มอล่วยง่ายดายเช่นนี้มาก่อน
เมิ่งชื่อเป็นคนใจร้อน หลังจากกำหนดเรื่องสินสอดและวันมอบสินสอดแล้ว ก็อยากจะรีบกลับไปบอกข่าวดีนี้กับคนในครอบครัว เสวนาพาทีอีกสองสามคำ ก็ลุกขึ้นกล่าวลา
สองสามีภรรยาซุนแย้มยิ้มเหนี่ยวรั้งให้นางนั่งต่ออีกหน่อย
เมิ่งชื่อได้แต่ยกยิ้มปฏิเสธ
สองสามีภรรยาซุนและซุนเชี่ยนออกมาส่งเมิ่งชื่อและแม่สื่อด้วยตัวเอง
บ่าวเฝ้าประตูเห็นนายท่านและฮูหยินออกมาส่งคนด้วยตัวเอง ให้ตกตะลึงจังงัง ประเมินมองซ้ายขวาหน้าหลังเมิ่งชื่ออย่างละเอียด
ซุนซ่านเหรินมองเมิ่งชื่อนั่งรถม้าจากไปไกล ถึงหันมาพูดกับบ่าว “นางเป็นญาติที่กำลังจะเกี่ยวดองกัน ภายหน้าเมื่อมาอีกอย่าได้ละเลยเมินเฉยเด็ดขาด”
บ่าวตกใจรับคำอย่างอ่อนน้อม
ซุนเชี่ยนมองเขาแวบหนึ่ง แล้วเดินกลับเข้าไปพร้อมฮูหยินซุนและซุนเชี่ยน
บ่าวเช็ดเหงื่อบนหน้าผากที่ตกใจผุดซึมออกมา พูดงึมงำเสียงเบา “แม่สามีท่านนี้มาพูดสู่ขอด้วยตัวเอง นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
เมิ่งชื่อกลับมาที่ร้านด้วยจิตใจอิ่มเอมเบิกบาน
หลังจากสะใภ้เมิ่งต้าจินซื้อสิ่งของกับนางเสร็จ ก็มานั่งรอที่ร้าน เห็นเมิ่งชื่อกลับมาเร็วเช่นนี้ ตกอกตกใจถาม “กลับมาเร็วเช่นนี้เลย ครอบครัวพวกเขาไม่ยอมตกลงหรือ?”
เมิ่งชื่อตอบด้วยน้ำเสียงปลื้มปริ่มยินดี “ตกลงแล้ว แม้แต่วันมอบสินสอดก็คุยกันเรียบร้อยแล้ว”
สะใภ้เมิ่งต้าจินถามด้วยอารามตกใจ “เร็วเช่นนี้เลย?”
เมิ่งชื่อพยักหน้า พูดสนับสนุน “ครอบครัวฝ่ายหญิงเป็นคนรวดเร็วฉับไว พอเห็นข้าเข้าไปด้วยตัวเอง ก็ยอมตกลงในทันที”
สะใภ้เมิ่งต้าจินราวกับได้เบิกทางสว่าง “เช่นนั้น ข้าก็สมควรเข้าไปพูดสู่ขอที่บ้านซุนด้วยตัวเองหรือไม่?”
เมิ่งชื่อหัวเราะลั่น พูดว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ เรื่องของเหรินเอ๋อร์และอิงจื่อเจรจาเรียบร้อยแล้ว ต่อให้ท่านไม่ไป พวกเขาก็ต้องตกลง”
สะใภ้เมิ่งต้าจินถึงได้สติ หัวเราะเสียงลั่น “ข้าเป็นแม่สามีครั้งแรก ตื่นเต้นว้าวุ่นใจนัก หากเข้าไม่พูด ข้าคงลืมเรื่องนี้ไปแล้ว”
เมิ่งอี้อยู่อีกด้านได้ยินบทสนทนาของพวกนาง สะท้อนแววตาอิจฉา
จัดการเรื่องเรียบร้อยแล้ว เมิ่งชื่อสะใภ้เมิ่งต้าจินรวมถึงแม่สื่อจึงนั่งรถม้ากลับบ้าน
เหวินเปียวส่งสะใภ้เมิ่งต้าจินกลับมาบ้านก่อน ถึงพาเมิ่งชื่อส่งมาที่บ้าน
ด้วยอารามดีใจ ก่อนลงจากรถม้า เมิ่งชื่อมอบเงินสองตำลึงให้แม่สื่อเป็นค่าตอบแทน พูดว่า “วันที่มอบสินสอด คงต้องอาศัยท่านแล้ว ท่านไม่เพียงต้องจัดการเรื่องมอบสินสอดให้ดี ท่านยังต้องกำหนดวันแต่งงานให้เรียบร้อยด้วย ถึงตอนนั้น ข้าจะมอบอั่งเปาซองโตๆ ให้ท่านทีเดียว”
แม่สื่อทำหน้าที่แม่สื่อมาหลายปี ไม่เคยเจอครอบครัวที่ใจกว้างเช่นนี้มาก่อน รับเงินมาอย่างปรีดา รับรองเต็มปากเต็มคำ “ท่านวางใจเถอะ ขอเพียงข้าออกโรง ไม่มีเรื่องที่ทำไม่สำเร็จ ท่านกำหนดวันแต่งงานไว้ก่อน วันที่มอบสินสอดข้าจักได้บอกต่อพวกเขา”
เมิ่งชื่อกล่าวขอบคุณด้วยความยินดีก่อนจะลงรถม้าไป กำชับเหวินเปียวให้บังคับรถม้าช้าๆ ส่งแม่สื่อกลับไปอย่างมั่นคงปลอดภัย
เหวินเปียวขานรับคำ ค่อยๆ บังคับรถม้าส่งแม่สื่อกลับไป
เมิ่งชื่อหันหลังกลับเห็นประตูใหญ่แง้มอยู่ รู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ไปโรงงาน ผลักประตูเดินร้องตะโกนเข้าไปในบ้าน “โยวเอ๋อร์ แม่กลับมาแล้ว!”
เมิ่งเชี่ยนโยวที่กำลังปรุงยาอยู่ในห้องได้ยินเสียงปลาบปลื้มของนาง ลุกขึ้นเดินออกมา ยกยิ้มถาม “ท่านแม่ ดีใจเช่นนี้ สมดังปรารถนาใช่หรือไม่?”
เมิ่งชื่อตอบกลับอย่างลำพองใจ “แน่อยู่แล้ว ขอเพียงแม่ออกโรง ไม่มีเรื่องใดที่ทำไม่สำเร็จ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ
เมิ่งชื่อเดินมาตรงหน้านาง ดึงนางเข้ามาในห้องตัวเอง เล่าเรื่องทั้งหมดในวันนี้ออกมาอย่างไม่ตกหล่นสักคำ สุดท้ายกล่าวชื่นชม “สองสามีภรรยาซุนช่างรู้ขนบธรรมเนียมนัก แม้พวกเขาจะยังไม่ได้เตรียมพร้อม แต่เห็นแม่เข้าไปด้วยตัวเอง ก็ยิ้มรับตกลงแต่โดยดี ดังนั้นแม่คิดว่า พวกเราจะตระหนี่เรื่องสินสอดไม่ได้ คนอื่นแปดหาบ อย่างไรพวกเราก็ต้องมีสิบหกหาบ นอกจากที่นอนหมอนมุ้งแล้ว ต้องจัดเตรียมข้าวของสำหรับงานแต่งงานหาบไปให้พวกเขาให้ครบถ้วน เลี่ยงไม่ให้พวกเขาต้องมาจัดเตรียมอีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวย่อมไม่มีความเห็นต่าง พูดว่า “ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น ทั้งหมดนี้ท่านแม่ตัดสินใจเถิด ทว่า พี่ใหญ่และพี่เมิ่งเหรินมอบสินสอดใกล้ๆ กัน หากพวกเราให้มากเกินไป ท่านป้าใหญ่จะเสียหน้าหรือไม่?”
เมิ่งชื่อผงะค้าง พูดว่า “แม่เอาแต่ดีใจ ไม่ได้คิดถึงปัญหานี้เลยจริงๆ เจ้าพูดถูก เราจะให้เกินหน้าป้าใหญ่มากเกินไปไม่ได้ เลี่ยงไม่ให้พวกชาวบ้านเอาไปพูดนินทา” พูดจบ นิ่งเงียบเล็กน้อย แล้วพูดขึ้นอย่างทุกข์ระทมใจ “พวกเราเจรจาเรื่องแต่งงานกะทันหัน ปัจจุบันทันด่วนเกินไป แม่คิดแต่อยากจะชดเชยให้พวกเขา ครานี้ดีแล้ว ไม่ได้การ ไม่ว่าอย่างไรแม่ก็ทำใจไม่ได้” พูดจบ ถอนหายใจยาวเฮือกใหญ่ สีหน้ายิ้มแย้มยินดีจางหายตามไปด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นนางห่อเ**่ยวไร้ชีวิตชีวาในบัดดล ยกยิ้มเสนอความคิดให้นาง “เรื่องนี้ไม่ยาก ท่านไปพูดกับท่านป้าใหญ่ ให้เตรียมสินสอดของพี่ใหญ่และพี่เมิ่งเหรินเหมือนกันก็สิ้นเรื่องแล้ว”
เมิ่งชื่อกลับมามีชีวิตชีวา เบิกตาโพลง ถามด้วยอารามยินดี “จะได้หรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ย่อมได้ ท่านไปบอกท่านป้าใหญ่ บอกว่าเงินสินสอดครอบครัวพวกเราจะออกให้เอง ไม่ให้นางและท่านลุงใหญ่ต้องลำบากใจ”
เมิ่งชื่อขบคิดครู่หนึ่ง “เรื่องเงินสินสอดพูดไม่ยาก กลัวแต่ท่านย่าเจ้าจะไม่ยินยอม เจ้าลืมแล้วรึ งานหมั้นอี้เอ๋อร์ครั้งก่อน สิ่งของที่แม่และป้าใหญ่จัดเตรียมถูกนางหยิบออกไปไม่น้อย”
เมิ่งเชี่ยนโยวคิดถึงตอนที่หญิงชราเมิ่งหยิบสิ่งของออก สะใภ้เมิ่งต้าจินและเมิ่งชื่อได้แต่ยืนอยู่อีกด้านอย่างสะใภ้ที่อยู่ในโอวาท คิดจะยับยั้งก็ไม่กล้าพูดออกมา ให้นึกขบขันพูดว่า “ท่านย่าเป็นคนแก่เฒ่า รักษาขนบธรรมเนียมโบราณของหมู่บ้าน กลัวพวกเรานำสิ่งของไปมาก ภายหน้าพอคนอื่นในหมู่บ้านหมั้นหมาย ไม่รู้ว่าจะต้องเตรียมสิ่งของหมั้นหมายมากเพียงใด แต่นางลืมไปว่า ตอนนี้ครอบครัวพวกเราแตกต่างจากในอดีตแล้ว จะเทียบกับคนทั่วไปในหมู่บ้านไม่ได้ หลังจากท่านปรึกษากับท่านป้าใหญ่เสร็จ ค่อยหาวิธีตะล่อมพูดเหตุผลนี้กับท่านย่า ท่านย่าเป็นคนความคิดเปิดกว้าง จักต้องตกลงให้พวกท่านทำเช่นนี้”
เมิ่งชื่อโบกมือ “พวกเราไม่กล้าหรอก หากมีคำไหนพูดออกไปทำให้นางไม่พอใจ โมโหอาละวาดขึ้นมา ชื่อเสียสะใภ้อกตัญญูของพวกเราสองคนแพร่สะพัดออกไปจะทำอย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ พูดเกลี้ยกล่อม “ขอเพียงพวกท่านพูดให้ชัดเจน ท่านย่าไม่โกรธง่ายๆ หรอกเจ้าค่ะ”
เมิ่งชื่อส่ายหน้า “แม่ก็ยังไม่กล้าอยู่ดี หลายปีแล้ว แม่คุ้นชินที่ท่านย่าว่าอย่างไรแม่ก็ปฏิบัติตามนั้น”
“เช่นนั้นก็ไม่มีวิธีแล้ว ท่านก็เตรียมสินสอดตามกรอบประเพณีของหมู่บ้านเถอะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
เมิ่งชื่อหน้าหักหน้างออีกครั้ง ถอนหายใจแรง “แต่แม่อยากเตรียมสินสอดให้เชี่ยนเอ๋อร์มากอีกสักหน่อย”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่มีความคิดเห็นแล้ว นั่งนิ่งเป็นเพื่อนนาง
ตอนที่ 232-2 ไม่เคยได้ยินมาก่อน อึกทึ...
เมิ่งชื่อใคร่ครวญพักใหญ่ พลันก็เงยหน้ามองนาง พูดอย่างกระดี๊กระด๊า “โยวเอ๋อร์ แม่คิดวิธีหนึ่งออกแล้ว”
ไม่รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวซักถาม พูดต่อโดยไว “ท่านย่ารักเจ้าที่สุดมิใช่หรือ? เจ้าช่วยไปพูดแทนแม่และป้าใหญ่เป็นอย่างไร?” พูดจบ มองนางด้วยใบหน้าเว้าวอน
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ท่านแม่ นี่เป็นเรื่องที่พวกท่านควรเป็นกังวล เหตุใดถึงผลักไสมาที่ข้าได้เล่า”
“แหม แม่มิได้จะผลักไสให้เจ้า แม่ไม่มีทางเลือกต่างหาก แม่และป้าใหญ่ไม่กล้าโต้แย้งความคิดเห็นท่านย่า แต่ว่าเจ้ากล้า อีกทั้งนางก็ไม่โกรธเคืองเจ้า” เมิ่งชื่อพูด
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำอีกครั้ง รับคำ “ก็ได้ ข้าจะไปช่วยพวกท่านพูด”
เมิ่งชื่อลุกขึ้น พูดอย่างอดทนรอไม่ไหว “เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันตอนนี้เลย ป้าใหญ่เจ้าอยู่ที่บ้านพอดี”
เมิ่งเชี่ยนโยวยกมือตัวเองขึ้น ให้เมิ่งชื่อเห็นยาสมุนไพรที่เลอะติดมือ “ท่านแม่ ตอนนี้ข้ากำลังปรุงยามาถึงขั้นตอนสำคัญ หากออกไปค่อยกลับมาทำ อาจจะใช้ไม่ได้แล้ว รอตอนค่ำข้าค่อยไปกับท่านได้หรือไม่”
แม้เมิ่งชื่อจะใจร้อน แต่ก็รู้ว่าบุตรสาวปรุงยาเป็นเรื่องใหญ่ จึงไม่พูดอะไรอีก รับคำนาง “ได้ เจ้าปรุงยาก่อนเถิด ตอนค่ำค่อยไปกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับไปที่ห้องตัวเอง ปิดประตูห้อง นำอัตราส่วนยาสมุนไพรที่บดเตรียมไว้แล้วผสมเข้าด้วยกัน
เมิ่งชื่อมองดูท้องฟ้า เดินทอดน่องเข้าไปทำอาหารเที่ยงในครัว
ตอนเที่ยงเมิ่งชื่อเล่าเรื่องที่บ้านซุนตกลงรับคำขอแต่งงานให้เมิ่งเอ้ออิ๋นที่กลับมากินข้าวฟัง เมิ่งเอ้ออิ๋นดีใจลิงโลด บอกว่าตอนเที่ยงจะไม่ไปโรงงานแล้ว จะลงมือจัดเก็บห้องหอให้เมิ่งเสียน
เมิ่งเสียนดีใจเปล่งประกายความปิติยินดีออกมาทั่วร่าง
เด็กน้อยทั้งสองดีใจลิงโลด โดยเฉพาะเมิ่งเจี๋ย บอกว่าตอนที่ตนเองไม่ต้องไปสถานศึกษาจะเข้าไปโอ้อวดในหมู่บ้านให้หนำใจสักรอบ บอกทุกคนว่าพี่ชายตนเองกำลังจะแต่งภรรยาแล้ว แม้แต่ซุนเหลียงไฉก็ดีใจจนสมองเบลอตามไปด้วย ถามเมิ่งเสียนว่าหลังจากมอบสินสอดแล้ว ตนเองก็จะเปลี่ยนมาเรียกพี่เขยได้แล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะบอกเขา “คำว่าพี่เขยไม่ใช่จะเรียกส่งเดชได้ จะต้องให้เมิ่งเสียนมอบซองแดงให้ก่อนถึงจะเปลี่ยนคำเรียกได้”
ซุนเหลียงไฉได้ฟังดังนั้นดวงตาทอประกายระยิบระยับ เอาแต่ซักถามเมิ่งเชี่ยนโยวว่าต้องให้เงินเท่าใดถึงจะเปลี่ยนคำเรียกได้
เมิ่งเชี่ยนโยวกระซิบบอกเขาแน่นอนว่ายิ่งมากก็ยิ่งดี ทั้งบอกเขาว่า “หากวันแต่งงาน เขาให้น้อย เจ้าก็อย่าให้เขารับตัวพี่สาวเจ้าไป”
เมิ่งชื่อได้ยินพวกเขาสนทนากัน หัวเราะตีเมิ่งเชี่ยนโยว “คิดอะไรแผลงอีกแล้ว นั่นเป็นงานแต่งงานของพี่ใหญ่เจ้านะ เหตุใดถึงจะกลั่นแกล้งเขาอีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวยู่ปากพูดว่า “เพราะว่าเป็นงานแต่งงานของพี่ใหญ่ ข้าถึงไปก่อกวนเจ้าบ่าวไม่ได้ หากเป็นคนอื่น ข้าจะไปแต่แรกเลย หากเขาไม่ให้เงินข้าหนึ่งพันตำลึง อย่าหวังจะได้ตัวเจ้าสาวไป”
ซุนเหลียงไฉได้ฟังหูตั้งชัน ดวงตาเบิกกว้าง “หนึ่งพันตำลึง เยอะเกินไปหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวดีดหน้าผากเขา “เจ้าคนเขลา เจ้ามีพี่สาวเพียงคนเดียว หากไม่เอาตอนนี้ก็ไม่มีแล้ว ข้าจะบอกเจ้าให้ เงินนี้หากได้มาก็คือของเจ้า เจ้าอยากนำไปซื้อสิ่งใดก็ได้”
ซุนเหลียงไฉหวั่นไหว พยักหน้ารับ “ข้าทราบแล้ว หากไม่ให้เงินหนึ่งพันตำลึงข้าจะไม่ยอมให้ท่านพี่ก้าวพ้นประตูออกไป”
เห็นพวกเขาถกเถียงกันว่าจะกลั่นแกล้งตนเองอย่างไรในวันรับตัวเจ้าสาวต่อหน้าตัวเอง เมิ่งเสียนได้แต่ฟังอีกด้านอย่างไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เมิ่งเชี่ยนโยวยุแยงซุนเหลียงไฉสำเร็จ ยักคิ้วให้เมิ่งเสียนอย่างยิ้มย่องใจ ความหมายคือท่านรอไปก่อนเถอะ แต่งงานวันใดท่านน่าดูชมแน่
เมิ่งเสียนขบขันในอากัปกิริยาเยี่ยงเด็กซุกซนของนาง
ตอนบ่ายเมิ่งเอ้ออิ๋นเริ่มลงมือจัดเก็บห้องหอ ปัดกวาดใหม่หมดทั้งด้านนอกด้านใน จากนั้นขบคิดอย่างถี่ถ้วนว่าควรจะซื้อเครื่องเรือนแบบใดวางไว้ด้านในบ้าง
เมิ่งชื่อไปโรงงานกระเป๋านักเรียน สะกดกลั้นความปิติยินดีไม่อยู่ บอกเรื่องที่เมิ่งเสียนจะแต่งงาน
หญิงสาวในโรงงานต่างร่วมกันกล่าวอวยพร บอกว่าวันแต่งงานจะต้องเข้าไปช่วยเหลือ
สะใภ้ใหญ่โจวและสะใภ้รองโจวก็แย้มยิ้มพูดว่า หากมีสิ่งใดที่ตนเองทำได้ขอให้เอ่ยปากบอก
โจวอิ๋งเอาแต่ก้มหน้าก้มตา เย็บกระเป๋านักเรียนในมือตัวเองเงียบๆ
ในที่สุดก็มาถึงช่วงค่ำ หลังกินอาหารค่ำ เก็บล้างชามตะเกียบอย่างเร็วรี่เสร็จ เมิ่งชื่อก็ลากเมิ่งเชี่ยนโยวไปเรือนใหม่อย่างอดใจรอต่อไปไม่ไหว
สองผู้เฒ่าเมิ่งและสะใภ้เมิ่งต้าจินเพิ่งจะกินข้าวเสร็จ สะใภ้เมิ่งต้าจินกำลังเก็บล้างจานชาม เห็นพวกเขาสองแม่ลูกเข้ามา หยุดงานในมือ ปาดเช็ดมือบนผ้ากันเปื้อนคาดเอว ยกยิ้มพูดว่า “น้องสะใภ้และโยวเอ๋อร์มาแล้ว รีบเข้ามานั่งในบ้านเถอะ”
เมิ่งชื่อไม่ได้เข้าไปในบ้าน ดึงเมิ่งเชี่ยนโยวเดินตรงมาเบื้องหน้าสะใภ้เมิ่งต้าจิน พูดกระซิบกระซาบกับนาง “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้ามีเรื่องจะปรึกษาท่าน”
สะใภ้เมิ่งต้าจินเห็นนางทำลับๆ ล่อๆ นึกว่ามีเรื่องอันใดสำคัญ กดเสียงต่ำพูดว่า “เข้าไปพูดในห้องข้าเถอะ”
เมิ่งชื่อพยักหน้า กำลังจะเข้าไปในห้องสะใภ้เมิ่งต้าจิน
หญิงชราเมิ่งได้ยินเสียงสะใภ้เมิ่งต้าจิน เปล่งเสียงร้องถาม “โยวเอ๋อร์มาหรือ? รีบเข้ามาในบ้าน ย่าไม่ได้เห็นเจ้าพักใหญ่แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวขานรับคำ
เมิ่งชื่อทำตาขยุกขยิกใส่นาง ถึงเดินตามหลังสะใภ้เมิ่งต้าจินเข้าไปในห้อง
เดินเข้ามาในบ้าน เห็นเมิ่งเหรินและเมิ่งอี้ก็อยู่ด้วย เมิ่งเชี่ยนโยวร้องเรียกสองผู้เฒ่าเมิ่งเสียงอ่อนเสียงหวาน แล้วคลี่ยิ้มพูดกับเมิ่งเหริน “ยินดีด้วยเจ้าค่ะ พี่เมิ่งเหริน ท่านกำลังจะได้เป็นเจ้าบ่าวแล้ว”
นับแต่ที่เมิ่งเหรินคิดได้แล้ว ก็กลายเป็นคนสงบนิ่งภูมิฐานขึ้นมาก บวกกับช่วงเวลานี้ได้โจวหลี่คอยสอนสั่ง รอบกายแผ่รัศมีผุดผ่องออกมาลางๆ ได้ยินวาจาของเมิ่งเชี่ยนโยว ใบหน้าแดงเรื่อ ตอบกลับด้วยใจจริง “ที่การแต่งงานครั้งนี้สำเร็จ เป็นเพราะน้องโยวเอ๋อร์โดยแท้ หลังงานแต่งงานลุล่วง ข้าและอิงจื่อจะมาขอบคุณเจ้าด้วยกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ไม่ต้องขอบใจหรอก ท่านเพียงจดจำคำที่พูดกับข้า ภายหน้าจะต้องดีกับอิงจื่อให้มากๆ ก็พอ”
เมิ่งเหรินรับประกัน “ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น ขอเพียงพวกเราแต่งงานกัน ชีวิตนี้ข้าจักไม่มีวันให้นางต้องผิดหวัง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าจดจำวาจาของพี่ใหญ่ในวันนี้ไว้แล้ว หากวันหน้าท่านกระทำเรื่องผิดต่ออิงจื่อ ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ใด ข้าก็จะไม่ให้อภัยท่านเด็ดขาด”
เมิ่งเหรินรับคำอย่างไม่สะทกสะท้าน “ได้”
สองผู้เฒ่าเมิ่งได้ฟังวาจาของเมิ่งเหรินก็ให้ปลาบปลื้มยินดี
หญิงชราเมิ่งดึงมือนางมานั่งข้างกายตัวเอง ถามขึ้น “เมื่อครู่เหมือนย่าได้ยินป้าใหญ่ของเจ้าพูดว่าแม่เจ้าก็มาด้วย นางเล่า?”
“นางไปห้องท่านป้าใหญ่ หารือเรื่องการมอบสินสอดก่อนเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวจะเข้ามาทักทายท่าน” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
หญิงชราเมิ่งกล่าวว่า “ข้าได้ยินป้าใหญ่เจ้าบอกว่า วันนี้แม่เจ้าไปพูดสู่ขอให้เสียนเอ๋อร์ที่จวนซุนด้วยตัวเอง ทั้งบอกว่าพวกเขาตกลงแล้วด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าตอบ “และเพราะเรื่องนี้ท่านแม่ถึงเข้ามาหาท่านป้าใหญ่ มาดูว่าตอนที่มอบสินสอดให้อิงจื่อจะจัดเตรียมสิ่งของใด พวกเราจะได้อ้างอิงไปจัดเตรียมบ้าง พวกเขามอบสินสอดไล่ๆ กัน อย่าให้แตกต่างกันมากจนเกินไป จะกลายเป็นที่ติฉินของพวกชาวบ้านได้”
หญิงชราเมิ่งตบมือนางแปะๆ “แม่เจ้าทำถูกแล้ว สมควรทำเช่นนี้ อย่าว่าแต่มอบสินสอดเลย แม้แต่งานแต่งงานก็อย่าให้ความใหญ่โตแตกต่างกันจนเกินไป อย่างไรพวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน แตกต่างกันเกินไป ลุงใหญ่และป้าใหญ่เจ้าก็คงทำหน้าไม่ถูก”
เมิ่งจงจวี่ก็ลูบเคราเห็นพ้อง “ท่านย่าเจ้าพูดถูกต้อง อย่าให้แตกต่างกันจนเกินไป อย่างไรลุงใหญ่เจ้าก็เป็นผู้ใหญ่บ้าน หากครอบครัวพวกเจ้าจัดพิธีใหญ่โตเกินไป ลุงใหญ่เจ้าจะลำบากใจเอาได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวซาบซึ้งใจ เกิดบางสิ่งสว่างวาบเข้ามาในสมองพลัน
เมิ่งอี้ยืนอยู่อีกด้าน ฟังพวกเขาสนทนากัน ขยับปากมุบมิบ คล้ายมีบางอย่างจะพูด ทว่าอึดใจใหญ่ผ่านไป ก็ไม่พูดสิ่งใดออกมา
สองผู้เฒ่าเมิ่งไม่สังเกตเห็น เมิ่งเชี่ยนโยวกลับจับจ้องอิริยาบถของเขา ยกยิ้มถาม “พี่เมิ่งอี้ ท่านมีสิ่งใดอยากจะพูดใช่หรือไม่?”
เมิ่งอี้เห็นคนทั้งหมดมองมาที่ตัวเอง ลนลานโบกมือ “ไม่ ไม่มี ข้าไม่มีอะไรจะพูด”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขามีบางสิ่งอยากพูดกลับไม่กล้าพูดออกมา ขมวดคิ้วมุ่น พูดว่า “พี่เมิ่งอี้ ที่นี่ไม่มีคนนอก ท่านมีอะไรก็พูดมาตามตรงเถิด ท่านรู้ดีว่าข้าไม่ชอบคนอ้ำๆ อึ้งๆ ที่สุด”
เมิ่งอี้ได้ฟังไตร่ตรองครู่ใหญ่ ก็ยังรวบรวมความกล้าพูดสิ่งที่อยากพูดออกมาไม่ได้
เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะพูดกับเขาอีกหน่อย สะใภ้เมิ่งต้าจินและเมิ่งชื่อก็เดินตามกันเข้ามา
เมิ่งชื่อส่งสายตาให้เมิ่งเชี่ยนโยว บอกนางว่าตนเองพูดเกลี้ยกล่อมสะใภ้เมิ่งต้าจินได้แล้ว ส่วนที่เหลืออยู่ที่นางแล้ว
สะใภ้เมิ่งต้าจินทำหน้ากระอักกระอ่วน ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดี
กลับเป็นหญิงชราเมิ่งที่ถามพวกนาง “พวกเจ้าปรึกษาเป็นอย่างไร? คิดจะจัดเตรียมสิ่งของใดบ้าง?”
เมิ่งชื่อยกยิ้มใบหน้า พูดอย่างระวัง “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าคิดจะจัดสินสอดให้แม่นางซุนและอิงจื่อสิบหกหาบเจ้าค่ะ”
หญิงชราเมิ่งผงะยิ้มแข็งค้าง ตกใจถาม “มากเช่นนี้เลยรึ?”
เมิ่งชื่อตอบอย่างระวัง “เริ่มจากที่พวกเราไม่ได้ส่งข่าว ก็ตรงเข้าไปสู่ขอ บ้านซุนไม่ทันได้เตรียมตัวรับมือ แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็ตกลงยอมรับการสู่ขอของข้า ข้ารู้สึกทำใจไม่ได้ คิดจะเตรียมสิ่งของสำหรับงานแต่งงานบางส่วนหาบไปให้พวกเขาด้วย เลี่ยงไม่ให้พวกเขาฉุกละหุกเตรียมการไม่ครบถ้วน” พูดจบ ลอบสังเกตสีหน้าหญิงชราเมิ่งอย่างระแวดระวัง
หญิงชราเมิ่งชักสีหน้าเข้มดังที่นางคาดการณ์ไว้ไม่ผิดเพี้ยน พูดว่า “แม้เจ้าจะพูดถูกต้อง แต่พวกเราก็ไม่ควรออกนอกกรอบมากเกินกว่าเหตุ ปกติคนในหมู่บ้านจะมอบสินสอดมากที่สุดก็คือสี่หาบ หากเจ้ารู้สึกทำใจไม่ได้ เพิ่มเป็นแปดหาบได้ แต่สิบหกหาบมากเกินไป ภายหน้าเจ้าจะให้คนแต่งงานในหมู่บ้านชี้ชักหักกระดูกมาที่พวกเราเรอะ?”
เมิ่งชื่อและสะใภ้เมิ่งต้าจินหันหน้ามองกัน ไม่กล้าโต้แย้ง ทำได้เพียงลอบส่งสายตาให้เมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจพลัน ยิ้มพูด “ท่านย่า ที่ท่านแม่ทำก็ไม่ผิดนะเจ้าคะ เป็นพวกเราที่เสียมารยาทก่อน ชดเชยให้พวกเขาบ้างก็สมควรแล้ว อีกอย่าง บ้านซุนก็เป็นสกุลใหญ่ในตำบล การที่ยอมให้แม่นางซุนแต่งเข้าสกุลพวกเรา นับว่าพวกเราอาจเอื้อมมากแล้ว การให้สินสอดมากหน่อยถือว่าสมควรแล้วเจ้าค่ะ”
หญิงชราเมิ่งตบมือนาง พูดว่า “เจ้ายังเล็ก ยังไม่รู้ถึงผลดีผลเสียที่ซ่อนอยู่ หากบ้านพวกเราเริ่มก่อน คนต่อมาเลียนแบบทำตาม เช่นนี้ลูกบ้านอื่นจะยังได้แต่งงานหรือไม่? อีกอย่าง จะพูดเรื่องอาจเอื้อม การหมั้นหมายของอี้เอ๋อร์ถือว่าอาจเอื้อมเสียยิ่งกว่า ตอนจัดงานแต่งงานให้เขา พวกเราจะทำอย่างไร?”
สะใภ้เมิ่งต้าจินร้อนรนพูด “การแต่งงานของอี้เอ๋อร์ไม่เหมือนกันเจ้าค่ะ บ้านท่านอาจารย์โจวอยู่ใกล้ พวกเราสามารถส่งข่าวบอกพวกเขาได้ทุกเมื่อ ให้พวกเขาเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ”
หญิงชราเมิ่งย้อนถาม “แต่บ้านโจวมาจากเมืองหลวง หากถึงตอนนั้นเรียกร้องสูงกว่านี้จะทำอย่างไร? เจ้าอย่าลืมว่าอี้เอ๋อร์ก็อายุมิใช่น้อย สมควรแต่งงานได้แล้ว หากสินสอดของเหรินเอ๋อร์มากเกินไป เกรงว่าตอนอี้เอ๋อร์แต่งงาน แม้แต่สินสอดสี่หาบพวกเราก็จะจัดเตรียมไม่ไหว”
สะใภ้เมิ่งต้าจินเผยอปากค้าง ไม่กล้าพูดโต้แย้ง
เมิ่งชื่อเริ่มกระวนกระวายใจ ขยิบตาถี่ให้เมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวฟังคำพูดของหญิงชราเมิ่งจบ นึกถึงกิริยาอาการอยากจะพูดแต่พูดไม่ออกเมื่อครู่ของเมิ่งอี้ สมองพลันสว่างวาบ โพล่งปากพูดว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็อย่ารอเวลาต่อไปอีกเลย จัดงานแต่งงานให้พี่เมิ่งอี้พร้อมกันเลยเถอะเจ้าค่ะ”
สองผู้เฒ่าเมิ่งและสะใภ้เมิ่งต้าจินรวมถึงเมิ่งชื่อตะลึงจังงัง เมิ่งอี้กลับเงยหน้ามองนางด้วยความประหลาดใจระคนยินดี
เมิ่งจงจวี่ได้สติกลับมาคนแรก ลูบเคราตัวเอง ยกยิ้มพูดว่า “นับว่าเป็นวิธีที่ดี ทั้งได้คำนึงถึงหน้าตาของบ้านโจว ทั้งทำให้ชาวบ้านนำไปพูดลับหลังไม่ได้ ทว่า อีกไม่นานก็จะปีใหม่แล้ว พวกเขาแต่งงานไล่ๆ กันเช่นนี้ จะกระชั้นไปหรือไม่?”
เมิ่งจงจวี่ให้การสนับสนุนแล้ว หญิงชราเมิ่งจึงไม่มีอะไรจะพูดอีก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น