หมอดูยอดอัจฉริยะ 232-233

 ตอนที่ 232

 

ทรมาน

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากที่หญิงชราป่าวประกาศบ้านใหม่ของเยี่ยเทียนให้คนได้รู้ ก็ทำให้คนในตระกูลเยี่ยถึงกับประหลาดใจจนแวะมาเยี่ยมเยียนราวกับฝูงผึ้งที่บินเข้ามาไม่หยุด เยี่ยเทียนเองก็ไม่ได้มีการห้ามใดๆ ขอเพียงแค่ไม่ต้องอาศัยอยู่ที่นี่นาน พักเพียงแค่วันหรือสองวันก็จะส่งผลดีต่อร่างกาย


บ่ายวันนี้ที่เรือนสี่ประสานของเยี่ยเทียนดูครึกครื้น หลิวหลันหลันที่กินข้าวเสร็จก็ถูกเยี่ยเทียนลากกลับมาที่เรือนเก่า


สำหรับการเปลี่ยนแปลงเรือนสี่ประสานนั้น ในใจของทุกคนรู้ดี แต่ไม่มีใครที่พูดออกมา ปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นกับตัวของเยี่ยเทียนไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองครั้ง


ตอนที่กินข้าวตอนเย็น เยี่ยเทียนพูดกับพ่อว่า “พ่อ พรุ่งนี้ยืมรถใช้หน่อยนะ ผมจะไปซื้อของหน่อย……”


“ซื้อของอะไร” เยี่ยตงผิงตะลึงสักพัก “ลูกไม่มีใบขับขี่ ถ้าขับรถออกไปแล้วถูกจับจะทำยังไง ที่นี่ไม่ใช่ชนบทที่เจียงหนานนะ”


ตอนที่เยี่ยเทียนมีอายุสิบสี่สิบห้าก็ขับรถได้แล้ว ระบบการจัดการในเมืองเล็กๆอย่างเจียงหนานไม่เข้มงวด เขาก็เลยไม่ไปสอบใบขับขี่มาโดยตลอด แต่ที่เมืองปักกิ่งไม่เหมือนกัน หากถูกจับในข้อหาไม่มีใบขับขี่นั้นไม่สามารถบอกได้เลยว่าจะโดนจับกี่วัน


“ฝั่งนั้นจะเริ่มทำกับข้าวแล้ว ของที่ต้องซื้อไม่น้อยเลย ไม่งั้น พ่อ พรุ่งนี้พ่อก็พักผ่อนวันหนึ่ง ไปซื้อของเป็นเพื่อนผมหน่อย……”


เยี่ยเทียนส่ายหน้า ดูเหมือนว่าการใช้ชีวิตในเมืองนี้โดยไม่มีรถนั้นไม่สะดวกจริงๆ แต่เขาเหลือแค่สองแสนกว่าหยวน เกรงว่าพรุ่งนี้หลังจากซื้อของจะไม่เหลือเงิน เรื่องซื้อรถจึงดูห่างไกลในเวลานี้


“เยี่ยเทียน ทำกับข้าวทั้งสองบ้านสิ้นเปลืองมากนะ ทางป้าใหญ่จะทำเยอะหน่อย เธอวิ่งมาสองก้าวก็ได้กินข้าวแล้ว!” เยี่ยตงผิงยังไม่ทันได้พูด หญิงชราก็พูดว่าไม่เห็นด้วยแล้ว อายุเธอมากแล้วจึงชอบความรู้สึกที่กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัวมากกว่า


เมื่อเห็นหญิงชราเกิดร้อนใจ เยี่ยเทียนก็รีบอธิบายว่า “ป้าใหญ่ ป้าดูสิหัวของผมยังดำไม่หมดเลย หลายเดือนมานี้ผมต้องบำรุงรักษาร่างกาย ของที่กินไม่เหมือนกัน เลยต้องทำเป็นพิเศษ……”


การฝึกทั้งหมดของเยี่ยเทียนต้องทำควบคู่ทั้งภายในและภายนอก ต้องการอาหารและเครื่องดื่มที่มีคุณภาพสูง โดยเฉพาะช่วงนี้ที่เขาคิดจะยืมพลังชีวิตที่อยู่ในอาคมมาทำลายพลังที่ฝึกในปัจจุบัน ยิ่งต้องเลือกอาหารที่มีคุณภาพสูงมากิน และความสามารถในการกินจะทำให้เกิดสภาวะเหมือนเมื่อก่อน


และทุกวันเยี่ยเทียนยังต้องบำรุงด้วยอาหารตุ๋นยาจีนชนิดพิเศษบางอย่างซึ่งหญิงชราไม่ชำนาญพอ เรื่องนี้เขาจึงต้องทำด้วยตัวเอง ดังนั้นเยี่ยเทียนถึงอยากจะทำอาหารที่บ้านใหม่เอง


เมื่อได้ยินว่าเยี่ยเทียนบำรุงร่างกาย หญิงชราได้เพียงแต่รับปาก มองไปที่น้องชายแล้วพูดว่า “ตงผิง พรุ่งนี้ไปเป็นเพื่อนเสี่ยวเทียนเถอะ นายเป็นพ่อจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงร่างกายของลูกชาย……”


“เกี่ยวอะไรด้วย ปีนั้นเด็กคนนี้โอ้อวดไปช่วยท่านลุงหลี่ในการแก้ไขฟ้าดินเปลี่ยนโชคชะตา ผมเองก็ได้แต่คัดค้านแบบจำยอม”


เยี่ยตงผิงยิ้มเจื่อนๆ จ้องตาลูกชายอย่างไม่สบอารมณ์ พูดว่า “ได้ พรุ่งนี้พ่อพาไป เอ่อ เยี่ยเทียน พ่อกำลังอยากจะพูดกับลูกพอดี สำนักงานที่ลูกเช่าก่อนหน้านี้ไม่ใช่บริษัทหลักทรัพย์เหรอ ประธานแก่คนนั้นฆ่าตัวตายแล้วเมื่อวาน!”


“ประธานเฉินฆ่าตัวตายแล้วเหรอครับ”


หลังจากที่ได้ยินพ่อพูด ทันใดนั้นร่างอ้วนเตี้ยร่างหนึ่งก็ได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าเยี่ยเทียน ตอนนั้นเนื่องจากสาเหตุซาหลิงเซียว ประธานเฉินก็ดูแลตัวเขาค่อนข้างดี


“ใช่ ได้ยินว่าไปร่วมมือปั่นราคาหุ้นกับหลายตระกูล เลยถูกคนแจ้งความผิดกับหน่วยงานราชการ กระทรวงรักษาความปลอดภัยสาธารณะก็เข้าไปพัวพันด้วย……”


เยี่ยตงผิงได้เปลี่ยนสำนักงานของเยี่ยเทียนเป็นห้องน้ำชา ทุกวันคนที่เข้าออกห้องนี้ต่างเป็นคนที่ว่างและมีเงิน ไม่เคยขาดแหล่งข่าวซุบซิบพวกนี้เลย


เยี่ยเทียนส่ายหน้า “ดั้งจมูกเขาหักสามท่อน แถมจมูกก็เอียง ร่องจมูกบางยาวและยังมีไฝหนึ่งเม็ด กินยาฆ่าตัวตายใช่ไหม”


ตอนที่เจอประธานเฉินครั้งสุดท้าย ก็เคยพูดประโยคนี้ขึ้น แต่ประธานก็ไม่ใส่ใจ ช่วงเวลานี้เยี่ยเทียนก็ยุ่งกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจเรื่องนี้


แต่ในชีวิตทุกวันนี้มักจะเจอเรื่องที่ไม่คาดคิด เยี่ยเทียนไม่สนิทกับประธานเฉินขนาดพอที่จะไปเตือนได้ และแล้วอีกฝ่ายก็ไม่สามารถหลบภัยพิบัติในครั้งนี้ จึงทำได้เพียงคิดเสียว่าโชคอีกฝ่ายไม่ดีก็เท่านั้น


แต่การตายของประธานเฉินในครั้งนี้ เยี่ยเทียนก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยไม่มากก็น้อย หลังจากที่ขมวดคิ้วคิดเพียงครู่หนึ่ง เยี่ยเทียนพูดว่า “พ่อ ประธานเฉินตายแล้ว ต้องเปลี่ยนประธานใหม่แน่นอน ผมว่าพ่อเอาห้องนั้นไปคืนเถอะ พวกเราก็คงเช่าไม่ได้ราคาถูกอีกแล้ว……”


สำนักงานห้องนั้นที่ประธานเฉินให้เยี่ยเทียนเช่า ถ้าคิดตามราคาท้องตลาดแล้ว หากไม่ได้ราคาสามหมื่นหยวนต่อเดือนก็อย่าหวังจะได้เช่า ถ้าหลังจากเปลี่ยนประธานคนใหม่แล้ว เงินค่าเช่าหนึ่งพันสองร้อยหยวนนั่นคงโดนปฏิเสธแน่


และตอนที่เยี่ยเทียนเจอซาหลิงเซียวหลังจากที่ไม่ได้เจอนาน ก็พบว่าเขามีคิ้วที่ดกขึ้น  ช่วงนี้น่าจะทำผิดกับคนที่ต่ำต้อยกว่า ถึงแม้ว่าเยี่ยเทียนจะเตือนเขาสักประโยคแล้ว แต่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าซาหลิงเซียวจะต้องพบเจอเรื่องอะไร


หากตอนที่เยี่ยตงผิงบอกว่าประธานเฉินได้ฆ่าตัวตายไปแล้ว เป็นไปได้ว่าคนจะไปโจมตีซาหลิงเซียว ผู้อำนวยการซาดีกับเยี่ยเทียนมาโดยตลอด ในตอนนี้เยี่ยเทียนจึงถ่วงความเจริญเขาไม่ได้


หลังจากที่ได้ฟังลูกชายพูด เยี่ยตงผิงก็พยักหน้าและพูดว่า “พ่อก็คิดแบบนี้ พรุ่งนี้หลังจากพาลูกไปทำธุระก็จะไปคืนห้อง แถวสวนสาธารณะพานเจียมีร้านน้ำชาที่อยากขายเปลี่ยนมือ ช่วงนี้พ่อก็คุยๆ เอาไว้อยู่ ตรงนั้นก็ใกล้กับร้าน ไปมาก็สะดวกหน่อย”


“ได้ครับ พรุ่งนี้ไปตรงนั้นด้วยกันสักหน่อย ผมจะไปช่วยพ่อดูฮวงจุ้ยด้วย แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะซื้อต่อไหม” อย่างไรก็ตามตอนนี้ทุกคนในครอบครัวล้วนรู้แล้วว่าตัวเขาทำอาชีพอะไร ดังนั้นเวลาปกติเยี่ยเทียนจึงหลีกเลี่ยงที่จะพูด


ตอนกลางคืนหลังจากกลับมาที่บ้านใหม่ของตัวเอง เยี่ยเทียนนั่งสมาธิตลอดทั้งคืน เขาค่อยๆ รับรู้สึกถึงพลังในร่างกายที่กักเขาเป็นเวลาหลายปีเริ่มจะคลายในเวลานี้แล้ว และนี่ก็ทำให้เยี่ยเทียนร้อนรนจนทนรอไม่ไหว


ขอแค่เพียงพลังเยี่ยเทียนสามารถทำลายพลังที่อัดอั้นนี้ได้ วิชาอาคมของเขาจะเพิ่มขึ้นไปอีกหนึ่งขั้น ความลับของอาคมที่อยู่ในสมองเป็นจำนวนมากก็จะถ่ายทอดออกมา


แม้ว่าหลังจากทลายพลังแล้ว เยี่ยเทียนก็ยังไปไม่ถึงดินแดนของปรมาจารย์อยู่ดี แต่สามารถใช้เวทมนตร์หลอกล่อความลับของสวรรค์ได้ ใช้เล่ห์เหลี่ยมในการเปลี่ยนฟ้าแก้ไขโชคชะตาให้ตัวเองและคนรัก รวมถึงยังได้ออกจากคำสาปแช่งของนักเวทย์ที่อาภัพอับจนไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่งด้วย


เช้าตรู่ตีห้ากว่าในวันถัดมา หลังจากที่เยี่ยเทียนยืดเส้นยืดสายฝึกมวย ก็มาที่บ้านเก่าแต่เช้า และปลุกบิดาที่กำลังหลับอยู่ให้ตื่นขึ้น


สิ่งที่ทำให้เยี่ยตงผิงคิดไม่ถึงก็คือลูกชายที่ไม่ได้ไปตลาดสด แต่ให้เขาขับรถไปที่ซุ่นอี้ หลังจากที่สอบถามแล้วก็มาถึงที่ตลาดปศุสัตว์ซุ่นอี้


เมื่อเห็นลูกชายที่เป็นนักพรตเต๋ากำลังคุยราคาสัตว์เลี้ยงกับคนอื่น ในสมองของเยี่ยตงผิงก็เต็มไปด้วยความสับสน เขาลากเยี่ยเทียนแล้วว่า “พ่อว่านะ เยี่ยเทียน ลูกกำลังทำอะไรอยู่? คิดจะเอาเรือนสี่ประสานเป็นฟาร์มหรือยังไง”


“พ่อ ผมซื้อมาให้ตัวเองกิน แกะที่มีชีวิตอยู่จะสดและมีโภชนาการมากกว่าเนื้อที่ตายไปแล้วนะ……”


เยี่ยเทียนหันหลับมาอธิบายให้พ่อฟังประโยคหนึ่ง จากนั้นหันมาพูดกับพ่อค้าปศุสัตว์วัยห้าสิบกว่าปีว่า “คุณลุง ผมต้องการแกะวันละตัวทุกวัน คุณส่งให้ผมครั้งหนึ่ง 15 ตัว ค่าส่งผมจัดการเอง คุณคิดยังไงครับ”


เยี่ยเทียนเลือกลูกแกะที่ล้วนหนักสามสี่สิบกิโลมาทั้งหมด หลังจากที่ลอกหนังเอากระดูกออก เนื้อที่เหลือมากสุดก็น่าจะยี่สิบกว่าโล เพียงพอสำหรับวันหนึ่งที่เยี่ยเทียนต้องการเนื้อมาเสริมอาหาร


แต่ราคาลูกแกะพวกนี้ก็ไม่ได้ถูกเลย หนึ่งตัวก็ราคาห้าร้อยกว่าหยวนแล้ว ถ้าเยี่ยเทียนกินทั้งหมดหนึ่งเดือน เพียงแค่ค่าใช้จ่ายด้านนี้ก็ต้องใช้เงินถึงหนึ่งหมื่นกว่าหยวน


“พ่อหนุ่ม คุณอาศัยอยู่ที่ไหน”


พ่อค้าขายแกะถามเยี่ยเทียน หลังจากที่ฟังเยี่ยเทียนบอกที่อยู่ ใบหน้าของชายชราถึงกับมีสีหน้าไม่ดีออกมา


 “ที่นั่นไม่ให้พวกเราเอารถเข้าไป รถหนึ่งต้องบรรทุกไปด้วยสิบห้าตัว ผมส่งให้ไม่ได้หรอก!”


“พ่อ งั้นต้องรบกวนพ่อแล้วล่ะ พรุ่งนี้ต้องลำบากช่วยผมหน่อยนะครับ ……”


หลังจากที่ได้ยินชายชราพูด เยี่ยเทียนเสนอเห็นไปให้พ่อเขา ท้ายรถสวาเกนยัดแกะเข้าไปได้แค่สองตัว ที่นั่งด้านหลังยัดเข้าได้อีกสองตัว ครั้งหนึ่งก็เอาเข้าไปได้แค่สี่ตัว


เมื่อเห็นเยี่ยเทียนใช้รถของเขาลากแกะ เยี่ยตงผิงก็โกรธขึ้นมาทันใด “ไอ้เด็กบ้า แกเห็นพ่อเป็นอะไร รถพ่อเอาไว้บรรทุกคน บรรทุกแกะเสร็จมีแต่กลิ่นสาบของเนื้อแกะ พ่อยังต้องใช้รถไหมล่ะ?”


ไม่ใช่ตัวเองที่ขับ เยี่ยเทียนก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เขาเอ่ยพร้อมรอยยิ้มหน้าตายว่า “พ่อ ร่างกายของลูกพ่อจะแย่แล้ว ถ้าพูดอีกก็คือ รถพ่อที่ผุพังนั่นก็จะควรเปลี่ยนได้แล้ว อย่างนี้แล้วกัน ครึ่งปี เวลาที่ใช้มากสุดน่าจะครึ่งปี ผมจะเปลี่ยนรถออดี้ให้พ่อสักคัน เป็นไงครับ”


“เด็กบ้า พูดแล้วอย่าคืนคำนะ” เยี่ยตงผิงหรี่ตามองลูกชาย ความจริงไม่มีคำสัญญานี้ของเยี่ยตงผิง เขาก็ต้องทำอยู่ดี


“ไม่คืนคำแน่นอน ทำอาชีพแบบผมโกหกได้เหรอ” เยี่ยเทียนพูดคำไหนคำนั้น อีกครึ่งปีถังเหวินหย่วนคนนั้นน่าจะมาหาตัวเอง ดังนั้นไม่ว่าจะเงินหรือรถคันนี้ก็ต้องตกเป็นของเขาอย่างแน่นอน


หลังจากสัญญากับพ่อแล้ว เยี่ยเทียนเอาเงินมัดจำให้กับคนขายแกะสองพันหยวน พรุ่งนี้ตอนเยี่ยตงผิงมารับแกะ ก็จะชำระในส่วนที่เหลือ จากนั้นก็ถือว่าเรียบร้อยแล้ว


หลังจากที่ไปจากซุ่นอี้ เยี่ยตงผิงมองไปที่ลูกชาย ถามด้วยใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์ว่า “จะต้องไปที่ไหนต่อล่ะ”


รอยยิ้มที่ประจบประแจงผุดขึ้นมาที่ใบหน้าของเยี่ยเทียน พูดว่า “ไปมณฑลเหอเป่ยเมืองอันกั๋ว ผมต้องการซื้อยาสมุนไพรจีน……”


“ทำไมถึงหาเรื่องทรมานขนาดนี้”


ในใจของเยี่ยตงผิงมีคำหนึ่งที่ชื่อว่าเสียใจ เพราะเดิมทีเขานึกว่าลูกชายจะไปแถวๆ ปักกิ่ง นึกไม่ถึงว่าจะไปที่ซุ่นอี้ก่อน หลังจากนั้นต้องวิ่งไปที่เหอเป่ย ชายแก่คงจะได้เป็นคนขับรถแล้วจริงๆ


“พ่อ แค่สองร้อยกว่ากิโลเมตรแค่นี้เอง พ่อขับเร็วหน่อย ตอนเที่ยงพวกเราก็ถึงที่นั่นแล้ว!”


เยี่ยเทียนก็หาทางอื่นไม่ได้จริงๆ เมืองปักกิ่งนี้ถึงจะเป็นศูนย์กลางการปกครองและวัฒนธรรม แต่กลับไม่มียาจีนขาย และเยี่ยเทียนต้องการในปริมาณที่มาก ถ้าไปซื้อที่ถงเหรินถังด้วยเงินสองแสนหยวน คาดว่ารถสวาเกนคันนี้น่าจะบรรทุกไม่พอ


และที่มณฑลเหอเป่ยเมืองอันกั๋วเป็นตลาดยาจีนที่ใหญ่ที่สุด ตั้งแต่ราชวงศ์หมิงและชิงก็เริ่มมีการจัดยานี้ให้กับคนทั้งประเทศ แม้แต่สินค้าในสต็อกของถงเหรินถัง ก็มาจากที่นั่น


“ได้ ถือว่าพ่อติดหนี้ลูกก็แล้วกัน ไปเถอะ” เยี่ยตงผิงไม่มีทางออก เปลี่ยนรถตรงไปทางด่วนเพื่อมุ่งไปยังเมืองอันกั๋ว


เมื่อถึงช่วงเที่ยง ทั้งสองก็เร่งมาถึงเมืองอันกั๋ว สถานที่แห่งนี้สมกับเป็นเมืองยาตะวันออก หลังจากที่เปิดกระจกหน้าต่างรถ จมูกก็อบอวลไปด้วยกลิ่นยาสมุนไพรจีน

 

 

 


ตอนที่ 233

 

เข้าฌาน

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากที่มาถึง เยี่ยเทียนกับพ่อก็ไปหาร้านอาหารกินตามสบาย หลังจากนั้นก็สอบถามกับเถ้าแก่ร้านอาหาร ตรงไปที่ ‘เมืองยาตะวันออก’ ซึ่งเป็นฐานการค้ายาสมุนไพรจีนที่ใหญ่ที่สุดในเมืองอันกั๋ว


การค้ายาสมุนไพรจีนที่เมืองอันกั๋ว สิ่งที่สำคัญคือต้องผ่าน ‘เมืองยาตะวันออก’  ที่นี่เป็นหนึ่งในสิบเจ็ดตลาดที่เชี่ยวชาญด้านยาสมุนไพรจีนที่ได้รับการยอมรับจากประเทศจีน


พื้นที่ของตลาดทั้งหมดมีมากกว่าหกแสนตารางเมตร แบ่งเป็นสองชั้นด้านบนและด้านล่าง ผลประกอบการประจำปีเกินห้าพันล้านหยวน ปริมาณการใช้วัสดุยาประจำปีอยู่ที่หนึ่งแสนตันและลูกค้าที่ซื้อขายรายวันเกินกว่าหนึ่งหมื่นราย


“เฮ้ย นี่……นี่ใหญ่มากเลยนะ”


เมื่อมองไปที่ประตูมีตัวอักษรตัวใหญ่สี่คำว่า ‘เมืองยาตะวันออก’ เยี่ยเทียนถึงกับตกตะลึง เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า สมุนไพรเหล่านี้ที่เติบโตในภูเขาลึก จู่ๆ ก็มีสถานที่ค้าขายขนาดใหญ่เช่นนี้


แต่หลังจากที่ตกตะลึงไปได้สักพัก เยี่ยเทียนก็ออกจากภวังค์ ยาสมุนไพรจีนในตอนนี้ไม่ได้เก็บมาจากภูเขาเหมือนสมัยโบราณ แต่ส่วนใหญ่จะมาจากครอบครัวเกษตรกรที่ปลูกขึ้น ประสิทธิผลของยาเหล่านี้จึงสู้ยาที่มาจากป่าไม่ได้


“กลิ่นนี้ ทำให้คนตายได้เลยนะ”


หลังจากที่เข้าเมืองยา กลิ่นยาจีนนั้นอบอวลไปทั่วทุกโมเลกุลในอากาศ เยี่ยตงผิงขมวดคิ้ว เดินมาอยู่ข้างกายเยี่ยเทียนที่กลับใช้จมูกสูดดมด้วยท่าทางมีความสุข


เพราะตั้งแต่เยี่ยเทียนห้าขวบ เขาจะถูกนักพรตเต๋าอาบน้ำด้วยยาสัปดาห์เว้นสัปดาห์ ดังนั้นการดมกลิ่นยาสมุนไพรจีนจึงกลายเป็นความเคยชินไปเสียแล้ว รวมถึงการแยกกลิ่นยาจีนก็เป็นสิ่งที่เยี่ยเทียนชอบมาตั้งแต่ยังเล็ก


นักพรตเต๋ามักจะเก็บยาสมุนไพรพวกนี้บนภูเขา ผสมเข้ากันแล้วให้เยี่ยเทียนดม ถ้าแยกถูกก็จะได้กินเนื้อ แต่หากแยกผิดเยี่ยเทียนจะถูกลงโทษโดยการไปตักน้ำจากน้ำตก เยี่ยเทียนจึงใช้เวลาแยกสมุนไพรและเรียนรู้มาตั้งแต่ตอนนั้น


ขณะที่เยี่ยตงผิงกำลังขมวดคิ้ว เยี่ยเทียนก็ได้เลือกของที่แผงลอยอันหนึ่งซึ่งอยู่ตรงหน้าประตูเรียบร้อย แต่หลังจากที่ดมตัวอย่างไม่กี่ชิ้นแล้ว คิ้วของเยี่ยเทียนก็ขมวดคิ้วขึ้นเหมือนกับพ่อ เขามองไปที่เจ้าของร้านแล้วพูดว่า “คุณลุง ต้นละหุ่งนี้ระยะปลูกยังไม่พอนะครับ สรรพคุณทางยานี้ยังขาดอีกเยอะ!”


“พ่อหนุ่ม ใช้เองเหรอ”


เจ้าของนั้นกลับไม่โกรธ เขาเป็นคนปลูกเจ้าพวกนี้เองตั้งแต่แรก แต่เยี่ยเทียนดมแล้วก็แยกปีและสรรพยาคุณยาออก ราวกับผู้เชี่ยวชาญ


เคยมีผู้เชี่ยวชาญที่เป็นเภสัชกรที่เข้าใจเฉพาะทางด้านนี้ที่มาที่นี่ แต่กลับไม่พูดถึงปัญหาของสรรพคุณยา พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นโรงงานผลิตยา ขอเพียงราคาถูก แม้คุณภาพของยาจะแตกต่างกันหน่อยก็ไม่เป็นไร ดังนั้นเจ้าของก็เลยตัดสินใจว่าเยี่ยเทียนน่าจะเอาไปใช้เอง


เยี่ยเทียนพยักหน้า  “ใช่ครับ คุณลุงพอจะมีคุณสมบัติยาที่ดีกว่านี้บ้างไหม ถ้ามาจากป่าได้ยิ่งดีใหญ่!”


ไม่ใช่ว่ายาที่ปลูกจะใช้ไม่ได้ แต่ถ้าเป็นแบบนั้น ปริมาณที่เยี่ยเทียนใช้จะมากเกินไป เดิมทีที่ต้องการวัตถุดิบที่อยู่ในป่าสิบกรัม หากเป็นวัตถุดิบที่ปลูกเองอย่างน้อยต้องสิบกิโลถึงจะได้


                หลังจากที่ได้ยินว่าเยี่ยเทียนต้องการซื้อยาที่เกิดตามป่า ชายวัยกลางคนจึงยิ้มขึ้นมา แล้วพูดว่า “พ่อหนุ่ม ซื้อวัตถุดิบยาที่ขึ้นตามป่าจะต้องเดินตรงเข้าไปข้างใน แผงลอยเล็กๆ พวกนี้ที่อยู่หน้าประตูหาวัตถุดิบยาที่ขึ้นในป่าไม่ได้หรอก แต่ลุงจะบอกว่าวัตถุดิบที่ขึ้นในป่านั้นแพงมากนะ……”


หลังจากฟังเถ้าแก่ที่ใจกว้างคนนี้จบ เยี่ยเทียนถึงเข้าใจว่าแผงลอยเล็กๆ ที่มีจำนวนมากในระยะเมตรสองเมตรนี้ ทั้งหมดเป็นธุรกิจของครอบครัวเล็กๆ ที่ปลูกยาและขายเอง แม้สถานที่จะแย่หน่อย แต่ราคาถูก ปีหนึ่งขอให้ได้เพียงสามร้อยถึงห้าร้อยหยวนก็พอแล้ว


แต่เพราะเยี่ยเทียนอยากซื้อยาที่ขึ้นในป่าจึงต้องไปซื้อกับผู้ค้ารายใหญ่ขึ้นมาหน่อย ด้านในคือสถานที่ขายยาโดยองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ วัตถุดิบยาด้านในจึงเพียงพอตลอดปี


นอกจากนี้ในเมืองยาแห่งนี้ยังมีห้องซื้อขายสินค้าอีกด้วย นี่คือธุรกิจท้องถิ่นที่รัฐบาลให้ความสำคัญรวมถึงก่อตั้งขึ้นมา


เพียงแต่เจ้าของร้านนั้นก็บอกแล้วน่าจะเป็นที่แห่งนี้ แต่ไม่ได้บอกว่าจะเป็นวัตถุดิบที่ขึ้นตามป่าทั้งหมด เจ็ดถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์ยังเป็นคนปลูกอยู่ แต่จะมีศักยภาพด้านเทคโนโลยีและจำนวนปีมากกว่าผู้ค้ารายย่อยพวกนี้


เยี่ยเทียนเคยใช้วัตถุดิบยาทั้งหมดตั้งแต่เล็ก แต่ทั้งหมดเป็นนักพรตเต๋าที่เก็บมาเองกับมือ จึงไม่เคยได้สัมผัสคำว่า ‘แพง’ คำนี้เลย แต่ตอนที่เขาเข้าไปในห้องซื้อขายสินค้า ทุกคนต่างตกตะลึง


แน่นอนว่ามีวัตถุดิบยาที่ปลูกในป่า และมีไม่น้อยเลย แต่ป้ายบอกราคาสินค้าซึ่งอยู่ตรงด้านล่าง ทำให้หัวใจของเยี่ยเทียนถึงกับเต้น ‘ตุ้บๆ’ เงินที่อยู่ในบัตรเขากลับไม่สามารถซื้อโสมแก่ๆ  ได้


เขาไม่มีทางเลือกมากนัก เยี่ยเทียนจึงทำได้แค่กลับไปเลือกสิ่งที่สามารถซื้อได้ เขาเลือกวัตถุดิบยาจีนที่มีราคาถูกและมีคุณสมบัติเป็นยาเพียงพอ จากความรู้วัตถุดิบยาที่เขาสั่งสมมาทั้งหมดจะทำให้เขาไม่ถูกเอาเปรียบได้ง่ายๆ


ในระยะเวลาสั้นภายในสองสามชั่วโมง  เงินสองแสนกว่าในบัตรของเยี่ยเทียนก็หมดเกลี้ยง รวมถึงรูดบัตรของพ่อไปอีกสองแสนกว่า สิ่งที่ได้กลับมากลายเป็นถุงที่อยู่ในมือไม่กี่ชิ้นเท่านั้นเอง


“แกนี่เป็นลูกล้างผลาญครอบครัวจริงๆ ทรัพย์สินครอบครัวของพ่อนี่จะพอให้แกผลาญเล่นไหม”


หลังจากที่กลับมาบนรถ เยี่ยตงผิงที่เก็บความโกรธไว้นาน การที่วันนี้ได้ออกมากับเยี่ยเทียนนั้นทำให้ขาดทุนเกินขอบเขตเสียจริงๆ เงินที่ใช้หมุนก้อนสุดท้าย ก็ถูกเยี่ยเทียนผลาญจนหมด


“พ่อ ครึ่งปี ขอเวลาครึ่งปี ผมจะคืนให้ทั้งต้นทั้งดอก!”


เยี่ยเทียนคุยโวพลางตบหน้าอกของตัวเอง เขาหยิบกล่องวัตถุดิบยาสองสามกล่องขึ้นมาพิจารณาอย่างระมัดระวัง ในกล่องนั้นรวมไปด้วยเห็ดหลินจือ หญ้าฝรั่ง รกกวางชะมด โสมป่าธรรมชาติบริสุทธิ์และสมุนไพรอื่น ๆ ถึงแม้ว่าจะมีจำนวนไม่เยอะ แต่นี่กลับทำให้เยี่ยเทียนต้องจ่ายเงินเป็นจำนวนสองแสนกว่า


เมื่อก่อนนักพรตเต๋ามักจะให้พวกเขาฝึกกระบวนท่าจนถึงขั้นสุด นั่นคือ ‘วิชา มิตรภาพ ความมั่งคั่ง ที่ดิน’ ห้ามขาดแม้แต่อย่างเดียว แต่ในสี่คำนี้ คำว่า ‘ความมั่งคั่ง’ นั้นสำคัญที่สุุด


เมื่อก่อนเยี่ยเทียนแค่ได้กินเยอะหน่อยก็เพียงพอแล้ว ทำไมต้องเข้าใจคำพูดของอาจารย์ด้วย แต่หลังจากประสบเหตุการณ์ในครั้งนี้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าอะไรคือ ‘คนจนเรียนวัฒนธรรม คนรวยเรียนศิลปะป้องกันตัว’ แล้ว


โบราณกาลกล่าวว่า ประชาชนถือเรื่องอาหารการกินเป็นสิ่งสำคัญเท่าเทียมฟ้า ประชาชนธรรมดาสามารถพูดได้ว่า  กินดีหรือกินไม่ดีในแต่ละวันก็ใช้ชีวิตผ่านไปได้  แต่สำหรับคนที่ฝึกมวยกังฟูแล้ว กลับต้องการเนื้อในทุกมื้อ


การฝึกฝนศิลปะการต่อสู้คือการเผาผลาญร่างกาย กระตุ้นศักยภาพ หากไม่มีผลิตภัณฑ์บำรุง นั่นเท่ากับการเผาผลาญกล้ามเนื้อตัวเอง


ตำนานเล่าว่านักมวยชื่อดังหลายคนของสาธารณรัฐจีนสามารถกินวัวไปทั้งตัวได้ทุกวัน แม้การพูดแบบนี้จะรู้สึกว่าเกินจริง แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความอยากอาหารของผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้มีมากกว่าคนทั่วไป


“เด็กอย่างแก ไม่มีเงินค่อยบอกพ่อ พ่อขายของไม่กี่ชิ้นก็ได้แล้ว!” ถึงจะต่อว่า เยี่ยตงผิงก็ยังทะนุถนอมลูกชาย เขาหาเงินไปเพื่ออะไรเล่า? ไม่ใช่ว่าหลังจากนี้จะเหลือทั้งหมดให้เยี่ยเทียนหรือไง


เยี่ยเทียนส่ายหน้า แล้วพูดว่า “ก็อีกไม่เยอะแล้ว น่าจะประคับประคองได้สามถึงห้าเดือน พอถึงเวลานั้นก็ไม่ต้องใช้เงินแล้ว……”


ผลของการรวมวิญญาณ ต้องเกิดจากจินตนาการของเยี่ยเทียน การฝึกฝนต้องใกล้เคียงกับเนื้อแท้ของพลังที่เหนือธรรมชาติ รวมทั้งสมุนไพรเหล่านี้จะต้องใช้ทั้งกินและอาบ เยี่ยเทียนเชื่อว่าตัวเองจะสามารถทำลายจุดกั้นของพลังได้ภายในสามเดือน


ถ้าหากยึดตามการฝึกวิทยายุทธภายในแล้ว ตอนนี้เยี่ยเทียนยังอยู่ในขั้นตอนการกลั้นลมหายใจ ในขั้นตอนนี้ ไม่ว่าเขาจะกินบำรุงมากน้อยขนาดไหน ทั้งหมดก็เข้าไปในร่างกาย ดังนั้นถึงต้องมีปริมาณที่บำรุงเยอะขนาดนี้


หลังจากกลับมาที่ปักกิ่ง เยี่ยเทียนก็ได้โทรหาอวี๋ชิงหย่าและเว่ยหงจวิน บอกพวกเขาว่าตัวเองต้องเข้าฌานอย่างสงบ และเข้าจะอยู่ที่เรือนสี่ประสานแห่งนั้น นอกจากเปิดลานจอดรถหนึ่งครั้งทุกครึ่งเดือนแล้ว ประตูใหญ่ก็จะปิดทั้งหมด


แต่สิ่งที่จะทำให้ผู้คนในถนนโบราณแห่งนั้นงงงวยได้ก็คือ ในเรือนสี่ประสานมักจะมีเสียงแกะร้องออกมา บางครั้งร้องอย่างน่าเวทนาจนทำให้ใจคนที่ได้ยินสั่นได้


ในสถานการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้จึงมีผู้คนเล่าลือว่ามีผีบ้านผีเรือนกลับมาโผล่ใหม่ ดังนั้นพอเลยสองทุ่มไปก็ไม่มีใครสักคนกล้าผ่านหน้าบ้านของเยี่ยเทียนแล้ว


เวลาผ่านไปสามเดือนก็ใกล้ถึงปลายปีแล้ว ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมามีหิมะตกหนักหลายครั้ง ทำให้ทั้งเมืองปักกิ่งปกคลุมไปด้วยหิมะ ทุกที่เหมือนเต็มไปด้วยมีอาภรณ์สีขาวคลุมให้ธรรมชาติ


แต่บรรยากาศปีใหม่นั้นไม่ได้ลดลงเลย  ในตอนนั้นจะได้ยินเสียงประทัดออกมาจากเรือนที่เยี่ยเทียนอาศัยอยู่ แต่ประตูใหญ่ที่เรือนนั้นกลับปิดสนิท ไม่มีแม้แต่ร่องรอยการเปิดประตู


ในตอนเช้าของวันที่ 29 ของปีใหม่นี้ กลับมีเสียงเปิดมาจากด้านในประตูเรือนที่ปิดอย่างแน่นหนามาสามเดือน พร้อมกับมีวัยรุ่นผมยาวคลุมไหล่เดินออกมา


“ผี ผีหลอก!”


หลังจากที่สองสามคนที่อยู่ไม่ไกลนักซึ่งตื่นขึ้นมากวาดหิมะแต่เช้าได้เห็นเยี่ยเทียนมีผมคลุมใบหน้านั้นก็ทิ้งไม้กวาด พร้อมร้องไห้และตะโกนวิ่งเข้าไปในบ้าน


เพียงแต่ว่าคนเหล่านี้วิ่งเร็วเกินไป พวกเขาจึงไม่รู้ว่าภายหลังประตูบานนั้นซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยหิมะกลับมีดอกไม้สดบานแรกแย้ม


“ผีเหรอ พวกพี่กลัวขนาดนี้เลยเหรอ”


เยี่ยเทียนนิ่งไปสักพัก พอหันไปเห็นผมที่ยาวคลุมไหล่ก็เข้าใจได้ทันที เขายื่นมือข้างซ้ายรวบผมขึ้น หลังจากนั้นใช้มือขวาปัดๆ ผม ทันใดนั้นก็มีผมสีดำตกลงมาที่พื้น


“จีจี……จีจี……”


ตอนที่เยี่ยเทียนปิดประตูลานบ้าน กลับมีแสงสีขาวสว่างวาบราวกับสายฟ้าแลบพาดผ่านไหล่ของเยี่ยเทียน ผมที่ยุ่งกระเซิงของเขาพันรอบคอราวกับผ้าพันคอที่เกิดเองตามธรรมชาติ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)