อัจฉริยะสมองเพชร 2312-2317

ตอนที่ 2312 ใครสังหารแก?

 

“ผมรู้มาว่าจอมราชันย์คนอื่นๆบ่มเพาะผู้เชี่ยวชาญไว้จำนวนหนึ่งเพื่อรับมือกับการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณครั้งนี้ พวกเขาลงทุนถึงขนาดใช้กระจกเงาแห่งมิติและเวลาเพื่อปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ของกาลเวลาให้นักรบเหล่านั้นมีเวลาฝึกฝนวรยุทธนานขึ้น การต่อสู้ครั้งนี้คงจะยากลำบากกว่าเดิมมาก นายน้อย…คุณต้องระวังตัวนะ!”


ไก่น้อยได้ยินว่าจอมราชันย์คนอื่นๆทุ่มเทให้กับการบ่มเพาะราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติรุ่นใหม่ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา แต่ส่วนชื่อเสียงเรียงนามและความสามารถของราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติเหล่านั้น มันยังไม่มีเวลาตรวจสอบ


แต่ในเมื่อคู่แข่งเริ่มเตรียมการแล้ว น่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดก็ต้องเตรียมตัวให้ดีเพื่อขจัดความเสียเปรียบในด้านต่างๆออกไป


จริงอยู่ว่าจางเซวียนคือคู่ต่อสู้ที่ไม่มีใครเทียบชั้นได้ในบรรดานักรบที่มีวรยุทธต่ำกว่าจอมราชันย์ แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงที่ศัตรูอาจรวมหัวกันเล่นงานเขา หากจางเซวียนต้องตกอยู่ในวงล้อมของราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติหลายสิบคนพร้อมกับบรรดาของล้ำค่าและค่ายกลชนิดต่างๆที่ประดังกันเข้ามา ต่อให้เก่งกาจระดับเขาก็คงตกที่นั่งลำบาก


อีกอย่าง ก็ร่ำลือกันมานานแล้วว่าการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณมีกับดักตามธรรมชาติอยู่มากมายที่อาจทำอันตรายได้แม้แต่กับจอมราชันย์


รู้ดีว่าไก่น้อยแนะนำเขาด้วยความปรารถนาดี จางเซวียนจึงพยักหน้ารับคำแนะนำนั้น


ทั้ง 3 ทะลุมิติไปโดยเร็ว มุ่งหน้าสู่ทะเลท่วมท้น


ทะเลท่วมท้นตั้งอยู่สุดขอบโลก


ตอนที่จางเซวียนเห็นทัศนียภาพตรงหน้าเป็นครั้งแรกหลังจากพ้นรอยแยกแห่งมิติออกมา ก็พูดไม่ออกอยู่นาน


ที่ปลายสุดของท้องฟ้าสีฟ้าครามเหนือศีรษะของเขา มีหลุมพลังงานขนาดใหญ่ซึ่งดูจะนำไปสู่ดินแดนที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึง พลังงานรุนแรงที่แผ่ซ่านออกจากรอยแยกถูกกปิดกั้นไว้ด้วยปราการแสง


แต่ปราการแสงนั้นก็บอบบางมาก ดูพร้อมจะพังทลายได้ทุกขณะ


ไก่น้อยมองรอยแยกสีดำสนิทที่อยู่กลางอากาศอย่างพรั่นพรึงขณะอธิบาย “เมื่อ 40 ปีก่อน จู่ๆรอยแยกสีดำนั้นก็เกิดขึ้นกลางอากาศ แล้วพลังจิตวิญญาณที่อยู่ในสรวงสวรรค์ก็เริ่มพวยพุ่งออกมาราวกับบอลลูนที่ถูกสูบลมออก ส่งผลให้เกิดสิ่งที่เรารู้จักกันว่าเป็นการเสื่อมถอยของพลังจิตวิญญาณ”


“ทำไมจู่ๆรอยแยกนั้นถึงเกิดขึ้นได้? แล้ว…ในครั้งนั้น ใครสังหารแก?” จางเซวียนถาม


เขาสงสัยเรื่องนี้มานานแล้ว ใครกันที่เก่งกาจถึงขนาดสังหารจอมราชันย์อมตะได้?


นอกเสียจากจอมราชันย์ด้วยกัน ก็ไม่น่าจะมีใครเก่งกาจถึงขั้นที่สามารถสังหารจอมราชันย์อมตะ แล้วเมื่อ 40 ปีก่อน…เกิดเหตุการณ์อะไรที่ทำให้เขาต้องตาย?


มีบางอย่างเกี่ยวข้องกับรอยแยกสีดำที่จู่ๆก็ปรากฏขึ้นหรือเปล่า?


เมื่อคิดดูอีกที ปรมาจารย์ขงก็ปรากฏตัวในทวีปแห่งปรมาจารย์เมื่อราว 40,000 ปีที่แล้ว ซึ่งก็ตกราว 40 ปีในสรวงสวรรค์พอดี


ทั้งรอยแยกบนท้องฟ้าของสรวงสวรรค์และปรมาจารย์ขงล้วนเป็นลิขิตสวรรค์…หรือว่าทั้งคู่มีความเกี่ยวข้องกัน?


“หลังจากเสียชีวิต ผมก็ดูจะสูญเสียความทรงจำทั้งหมดไป ตอนนี้ผมได้วรยุทธกลับคืนมาแล้วก็จริง แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง ผมจำเหตุการณ์ครั้งนั้นไม่ได้เลย สัญชาตญาณบอกผมว่ามันต้องมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับรอยแยกนั่น” ไก่น้อยตอบอย่างเคร่งขรึม


“แกสูญเสียความทรงจำ?” จางเซวียนชะงัก


ทั่วทั้งสรวงสวรรค์ นอกจากหลัวลั่วชิงกับปรมาจารย์ขง ก็ไม่น่าจะมีใครที่มีความสามารถถึงขนาดลบความทรงจำของจอมราชันย์ได้!


“ไม่หรอก ไม่ใช่จอมราชันย์หลินชีหรือปรมาจารย์ขง!” ไก่น้อยปัดความคิดของจางเซวียนตกไป “ครั้งแรกที่รอยแยกสีดำปรากฏ ปรมาจารย์ขงยังอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ และเขาเพิ่งเกิด ส่วนจอมราชันย์หลินชีก็กำลังยุ่งอยู่กับการสมานรอยแยกสีดำเพื่อป้องกันไม่ให้พลังจิตวิญญาณรั่วไหล เธอต้องแจ้งให้น่านฟ้าอื่นๆรับรู้และสร้างค่ายกลขนาดใหญ่เพื่อซ่อมแซมความเสียหายนั้น…เธอไม่มีเวลาหรือเรี่ยวแรงมากพอจะเล่นงานผมหรอก!”


“สมานรอยแยกสีดำ? แกจะบอกว่าฉนวนที่อยู่บนรอยแยกเป็นฝีมือของลั่วชิง?” จางเซวียนถาม


“ใช่” ไก่น้อยตอบ


เพราะเสียชีวิตไปหลังจากรอยแยกสีดำปรากฏได้ไม่นาน ไก่น้อยจึงไม่รู้เรื่องราวอีกมากมายที่เกิดขึ้นในอีก 40 ปีต่อมา แต่ก็ยังมีบริวารจำนวนหนึ่งรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นให้ได้รับรู้


จางเซวียนขมวดคิ้ว


ดูเหมือนสรวงสวรรค์จะมีชะตากรรมหมิ่นเหม่กว่าที่เขาคิดไว้มาก ซึ่งนั่นก็คือเหตุผลที่ทำให้หลัวลั่วชิงกับปรมาจารย์ขงต้องต่อสู้กัน


นี่อาจเป็นผลข้างเคียงของเศษเสี้ยวสวรรค์ก็ได้ ซึ่งหมายความว่าหอสมุดเทียบฟ้าของเขาก็มีส่วนเกี่ยวข้อง


ขณะที่ทั้งคู่ยังคงหารือกัน รอยแยกสีดำก็เริ่มสั่นสะท้านและเปล่งแสงออกมา


พลังจิตวิญญาณเข้มข้นระเบิดออก กระชากฉนวนและแผ่รัศมีออกไปราวกับทอร์นาโด


ท้องฟ้ามืดครึ้มภายใต้การระเบิดของพลังจิตวิญญาณ บดบังแม้แต่แสงอาทิตย์ ดูเหมือนทอร์นาโดสีดำกำลังกวาดล้างทั่วทั้งสรวงสวรรค์อย่างรวดเร็ว


“เร็วเข้า รีบเข้าไป!”


มีเสียงตวาดก้อง นักรบมากมายนับไม่ถ้วนในบริเวณนั้นพุ่งเข้าสู่ใจกลางทอร์นาโดและหายวับไปกับตา


…..


“การไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณเริ่มแล้วหรือ?” จางเซวียนถามอย่างเคร่งเครียด


เขานึกว่าคงต้องรออีกสักระยะ ใครจะไปรู้ว่าทุกอย่างจะเกิดขึ้นอย่างพรวดพราดแบบนี้?


“มันเริ่มแล้ว แล้วพวกนั้นก็เข้าไปกันหมดแล้วด้วย นายน้อยคงต้องรีบแล้วล่ะ” ไก่น้อยตอบ


มันโบกมือและกำลังจะส่งจางเซวียนกับหลัวฉีฉีเข้าไป ก็พอดีกับที่…


“เดี๋ยวก่อน มีเรื่องสุดท้ายที่ฉันอยากรู้ เมื่อกี้แกบอกว่ารอยแยกนั้นซึมซับพลังจิตวิญญาณของสรวงสวรรค์เข้าไปใช่ไหม? แล้วทำไมจู่ๆมันถึงปล่อยพลังจิตวิญญาณออกมาจนเกิดการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณ?” จางเซวียนรีบถาม


เขาอดรู้สึกไม่ได้ว่ามีบางอย่างแปลกๆ และนั่นทำให้รู้สึกไม่สบายใจอย่างหนัก


“ผมก็ไม่รู้ แต่ก็เหมือนกับกระแสน้ำในทะเลนั่นแหละ พลังจิตวิญญาณที่แผ่ซ่านออกมาจะคงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง จากนั้นก็จะกลับไป และปริมาณพลังจิตวิญญาณที่มันปลดปล่อยออกมาก็ไม่ถึงหนึ่งในร้อยส่วนของที่มันดูดเข้าไปด้วยซ้ำ” ไก่น้อยตอบ


สรวงสวรรค์มีความลับมากมาย แม้ตัวมันซึ่งเป็นถึงจอมราชันย์ก็ไม่อาจล่วงรู้ทุกอย่าง


เห็นไก่น้อยไม่มีคำตอบที่เขาต้องการ จางเซวียนใช้พลังจิตวิญญาณห่อหุ้มร่างของเขากับหลัวฉีฉีไว้ ก่อนจะปล่อยให้ไก่น้อยส่งพวกเขาเข้าสู่ทะเลท่วมท้น


เมื่อลืมตาอีกครั้ง ก็มายืนอยู่ท่ามกลางดินแดนรกร้างว่างเปล่า รอบตัวมีแต่โขดหินและกระแสพลังจิตวิญญาณที่สับสนปั่นป่วน ไม่มีพืชหรือสิ่งมีชีวิตชนิดใดให้เห็น


“นี่คือทะเลท่วมท้น?”


จางเซวียนชะงัก


เขานึกว่าศูนย์กลางของการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณที่ทรงพลังพอจะบีบบังคับให้ทั้ง 9 จอมราชันย์ออกมาจะต้องมีพลังจิตวิญญาณในปริมาณเข้มข้น บางทีอาจเข้มข้นถึงขนาดกลั่นตัวเป็นหยดน้ำได้ด้วยซ้ำ แต่กลับกลายเป็นว่าที่นี่แห้งแล้งกันดารกว่าสรวงสวรรค์เสียอีก


“ในเมื่อจอมราชันย์คนอื่นๆถึงกับเตรียมการเพื่อรอการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณ ก็แปลว่าที่นี่จะต้องมีทรัพย์สมบัติล้ำค่าบางอย่างแน่ สำรวจดูให้ทั่วกันเถอะ”


หลังจากตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จางเซวียนก็ตัดสินใจไม่คิดมาก ตัวเขากับหลัวฉีฉีบินตรงไปยังส่วนลึกของทะเลท่วมท้น


…..


10 นาทีต่อมา


บรรดาจอมราชันย์ต่างลอยตัวอยู่เหนือทะเลท่วมท้น


“ดูเหมือนมันกำลังจะเริ่มต้นเร็วๆนี้แหละ” จอมราชันย์มังกรเมฆโพล่งออกมาด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย


“ใช่”


จอมราชันย์คนอื่นๆพยักหน้า


เมื่อหวนนึกถึงการต่อสู้ที่เกิดขึ้น 2-3 วันก่อน จอมราชันย์ฟู่เหมิงแห่งน่านฟ้าทองคำแข็งกล้าส่ายหัว “ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมคิดว่าความสามารถในการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งจอมราชันย์ขึ้นอยู่กับสายเลือด และไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะพัฒนาไปได้ไกลกว่านั้นเมื่อเข้าถึงความเป็นจอมราชันย์แล้ว แต่หลังจากได้เห็นการต่อสู้ระหว่างจอมราชันย์หลินชีกับจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ ผมก็รู้ทันทีว่าจอมราชันอาจแข็งแกร่งกว่าเดิมได้อีก ทั้งยังพัฒนาไปได้ไกลกว่านั้นอีกมาก!”


ที่ผ่านมา เหล่าจอมราชันย์ต่างเข้าใจว่าพวกเขามาถึงขีดจำกัดที่ไม่อาจไปได้ไกลกว่าเดิมแล้ว จึงไม่ค่อยให้ความสำคัญกับมันเท่าไหร่


แต่เมื่อได้เห็นว่าจอมราชันย์พิชิตสวรรค์แข็งแกร่งกว่าพวกเขาแค่ไหนทั้งที่เพิ่งก้าวเข้าสู่ตำแหน่งจอมราชันย์ได้เพียง 40 ปี ก็รู้ทันทีว่าตัวเองเข้าใจผิดมหันต์


ยังมีบางอย่างที่อยู่เหนือกว่า ซึ่งเหล่าจอมราชันย์ต้องพยายามก้าวไปสู่จุดนั้นให้ได้


จอมราชันย์โจวหยางแห่งน่านฟ้าตะวันแผดเผาหัวเราะลั่น “ในการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณสองสามครั้งล่าสุด บรรดาศิษย์สายตรงของจอมราชันย์พิชิตสวรรค์คว้าทรัพย์สมบัติไปได้มากมายโดยใช้พละกำลังเหนือชั้นของพวกเขา แต่ตอนนี้ เมื่อไม่มีจอมราชันย์พิชิตสวรรค์แล้ว พวกเขาก็คงไม่อาจเข้าสู่ทะเลท่วมท้นได้อีก สิ่งนี้จะทำให้พวกเรามีโอกาสมากกว่าเดิมในการยึดครองทรัพย์สมบัติล้ำค่าพวกนั้น!”


มีพละกำลังประหลาดบางอย่างปกคลุมทะเลท่วมท้นไว้ ทำให้จอมราชันย์และราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติไม่อาจเข้าไปในนั้นได้ แต่ด้วยพละกำลังมหาศาลของจอมราชันย์ ก็ยังพอเป็นไปได้ที่พวกเขาจะส่งเหล่าราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติในสังกัดของตัวเองทะลุมิติเข้าไป


ดังนั้น เมื่อจอมราชันย์พิชิตสวรรค์เสียชีวิตไปแล้ว เหล่าราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติในสังกัดของเขาก็ย่อมไม่อาจเข้าสู่พื้นที่นี้ได้อีก


ตลอดเวลาที่ผ่านมา บริวารของจอมราชันย์โจวหยางถูกเหล่าศิษย์สายตรงของจอมราชันย์พิชิตสวรรค์เล่นงานมาตลอด ซึ่งนั่นทำให้เขาทั้งหงุดหงิดและสิ้นหวัง


แต่เมื่อจอมราชันย์พิชิตสวรรค์พบจุดจบไปแล้ว คราวนี้ก็ถึงยุคสมัยของเขาเสียที


จอมราชันย์นรกโลกันต์คำราม “อย่าลืมเจ้าหนุ่มที่อยู่เคียงข้างจอมราชันย์อมตะในวันนั้นสิ ถ้าเขาเข้ามาร่วมวงด้วยล่ะก็ บอกได้ยากทีเดียวว่าผู้ชนะตัวจริงในการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณจะเป็นใคร!”


ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแห่ง 9 น่านฟ้ามีระดับวรยุทธของจิตวิญญาณเหนือกว่าราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติคนอื่นๆ ทำให้เป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือด้วยได้ยากมาก


“ต่อให้ไร้เทียมทานแค่ไหน สิ่งเดียวที่เขามีก็คือวรยุทธของจิตวิญญาณเท่านั้น ส่วนกายเนื้อและพลังปราณน่ะยังมีระดับวรยุทธแค่ราชันย์เทพเจ้าขั้นต้น ขอแค่เราใช้ของล้ำค่าปกป้องจิตวิญญาณให้คนของเรา เขาก็ไม่มีทางทำอะไรได้หรอก” จอมราชันย์โจวหยางพูด


เขาจะไม่เตรียมการได้อย่างไรหลังจากได้รู้ว่ามีนักรบผู้ไร้เทียมทานอีกคนหนึ่งจากน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด?


ถ้าชายหนุ่มมีเวลาอีกราวครึ่งปี ก็มีโอกาสที่จะพัฒนาตัวเองไปจนไกลเกินกว่าที่ใครจะนึกถึง แต่ด้วยเวลาเพียง 1 หรือ 2 วัน อย่างมากที่สุดก็คงทำได้แค่รักษาระดับพลังงานที่ได้มาจากการได้รับตำแหน่งทรงเกียรติของโลกเท่านั้น!

 

 

 


ตอนที่ 2313 ศิษย์พี่? ศิษย์น้อง?

 

ภายใต้สภาวะที่ทั้งกายเนื้อและพลังปราณยังอ่อนด้อยแบบนี้ ขอแค่คนของพวกเขาปกป้องจิตวิญญาณของตัวเองได้ ก็คงเล่นงานชายหนุ่มได้สบาย


ลงท้าย ผู้ที่ได้เป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติจากการยกระดับเพียงแค่วรยุทธของจิตวิญญาณก็ไม่อาจเทียบชั้นกับราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติตัวจริงได้อยู่ดี!


“โจวหยางพูดถูก ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแห่ง 9 น่านฟ้าอาจไร้เทียมทานก็จริง แต่เขายังไม่ได้พัฒนาตัวเองจนถึงขีดสุด…ราชันย์เทพเจ้าที่ผมเพิ่งมอบตำแหน่งทรงเกียรติให้เมื่อไม่นานมานี้, จ้าวหย่า จะต้องเอาชนะเขาได้สบายแน่!” จอมราชันย์ฟู่เหมิงหัวเราะลั่น


ความเก่งกาจของสาวน้อยที่เขาทุ่มเททรัพยากรมากมายเพื่อบ่มเพาะนั้นเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะผู้น่าสะพรึง ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเธอสูงส่งเสียจนเล่นงานราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติที่คร่ำหวอดการสู้รบทีละหลายคนได้อย่างง่ายดาย


หากเธอสำแดงพละกำลังเต็มพิกัด ต่อให้ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแห่ง 9 น่านฟ้าก็ย่อมไม่มีทางเลือกนอกจากยอมจำนนให้


การขอยืมอำนาจสวรรค์ในทะเลท่วมท้นเป็นเรื่องที่ไม่อาจทำได้ ดังนั้น จึงไม่สำคัญเลยว่าชายหนุ่มจะได้การยอมรับจากโลกหรือไม่ เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีทางยืนหยัดได้อย่างแน่นอน


“ผมเคยได้ยินเรื่องราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติจ้าวหย่าของน่านฟ้าทองคำแข็งกล้าแล้ว แต่ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติเจิ้งหยางของเราก็ไม่ได้อ่อนด้อยกว่าเธอสักนิด หากพวกเขาต่อสู้กัน ผมเชื่อว่าจ้าวหย่าของคุณไม่มีทางสู้เจิ้งหยางของผมได้แน่!” จอมราชันย์โจวหยางคำราม


“นี่ นี่…ไม่ใช่แค่คุณสองคนหรอกนะที่เก็บเพชรได้” จอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่นแสยะยิ้ม “ลู่ชงของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนของผมอาจไม่ได้ดูโดดเด่นอะไร แต่ถ้าเขาหลุดรอดเข้าไปคว้าทรัพย์สมบัติทั้งหมดได้ล่ะก็ ไม่มีราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติของพวกคุณคนไหนตามเขาทันหรอก!”


ในฐานะผู้เชี่ยวชาญเรื่องศาสตร์แห่งจิตวิญญาณ ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาไม่ได้แข็งแกร่งนักเมื่อเทียบกับอีก 8 จอมราชันย์ แต่หากเป็นเรื่องการเสาะแสวงหาทรัพย์สมบัติและหลบหลีกศัตรูล่ะก็ ไม่มีใครเทียบชั้นกับเขาได้แน่!


จอมราชันย์นรกโลกันต์พูดแทรก “พวกคุณต่างก็มีอัจฉริยะเพียงแค่คนเดียว แต่น่านฟ้านรกโลกันต์ของผมมีทั้งหยวนเทา ตั้นเฉี่ยวเทียน และไป๋เหรินชิง ไม่ว่าจะมองอย่างไร ผมก็มีโอกาสมากกว่าพวกคุณ!”


“น่านฟ้ามังกรเมฆของผมก็มีทั้งขงซือเหยา หลิวหยาง และจางจิ่วเซี่ยว” จอมราชันย์มังกรเมฆเสริม


ในฐานะจอมราชันย์ เป็นธรรมดาที่พวกเขาทั้งภาคภูมิใจและเชื่อมั่นในตัวเอง ซึ่งไม่ง่ายเลยกว่าจะได้พบผู้สืบทอดที่พวกเขาพอใจ เรื่องแบบนี้จึงต้องอวดกันสักหน่อย


เมื่อได้รับรู้สิ่งที่จอมราชันย์เหล่านี้เก็บเป็นความลับมาตลอด เทพธิดาหลิงหลงอดหมั่นไส้ไม่ได้ “ถ้าบรรดาผู้สืบทอดของพวกคุณเก่งกาจเสียขนาดนั้น ทำไมไม่จัดการประลองระหว่างพวกเขาเสียเลยล่ะ?”


“ได้สิ ให้พวกเขาดวลกันเถอะ จะได้รู้ว่าใครเก่งที่สุด!” จอมราชันย์มังกรเมฆพยักหน้า


“ขงซือเหยา หลิวหยาง จางจิ่วเซี่ยว ออกมา!”


ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!


ชายสองหญิงหนึ่งปราดเข้ามาขนาบข้างจอมราชันย์มังกรเมฆ แต่ละคนแผ่รังสีคมกริบที่ดูราวกับจะฉีกกระชากมิติให้เป็นชิ้นๆได้


“จ้าวหย่า คุณออกมาเถอะ!” จอมราชันย์ฟู่เหมิงโบกมือพร้อมกับร้องเรียก


สาวน้อยคนหนึ่งบินเข้ามา


เห็น 2 จอมราชันย์เรียกตัวราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติของพวกเขา จอมราชันย์คนอื่นๆรีบทำตาม


ไม่ช้า ชายหนุ่มกับหญิงสาว 11 คนก็มารวมตัวกับเหล่าจอมราชันย์ที่ทะเลท่วมท้น


“พวกเขาช่างเป็นนักรบรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นจริงๆ…”


เห็นนักรบรุ่นใหม่ที่อยู่ตรงหน้า แม้เหล่าจอมราชันย์จะไม่อยากยอมรับ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าบรรดาราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติที่จอมราชันย์แต่ละคนบ่มเพาะมานั้นไม่ได้อ่อนด้อยกว่ากันเลย


เหล่าจอมราชันย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ขณะที่พวกเขากำลังจะเตือนราชันย์เทพเจ้าในสังกัดของตัวเองให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังเพื่อไม่ให้แพ้ใคร ก็เห็นนักรบทั้ง 11 คนประสานมือให้กัน


“ศิษย์พี่!”


“ศิษย์น้อง!”


…..


ทุกคนยิ้มร่าด้วยความตื่นเต้น ราวกับเพื่อนเก่าที่ในที่สุดก็ได้กลับมาพบกันอีกครั้งหนึ่ง


“เดี๋ยวก่อน…ศิษย์พี่? ศิษย์น้อง?”


เว้นแต่เทพธิดาหลิงหลง จอมราชันย์อีก 5 คนสบตากันด้วยนัยน์ตาเบิกโพลง แม้แต่ละคนจะเปี่ยมล้นด้วยภูมิปัญญาที่สั่งสมมานานนับปีไม่ถ้วน แต่ก็ไม่อาจทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า


ผมเคี่ยวกรำบ่มเพาะคุณเพื่อให้คุณเข้าสู่สมรภูมิทะเลท่วมท้น เอาชนะคู่แข่งคนอื่นๆให้ได้ และนำทรัพย์สมบัติกลับสู่น่านฟ้าของเรา…แล้วศิษย์พี่กับศิษย์น้องมันหมายความว่าอย่างไร?


หรือว่า…แท้ที่จริง พวกคุณทุกคนรู้จักกัน?


ในตอนนั้น เหล่าจอมราชันย์รู้สึกถึงแรงสังหรณ์เลวร้ายขึ้นมาทันที ราวกับที่ผ่านมา พวกเขาได้ละเลยบางอย่างที่มีความสำคัญยิ่งยวดไป


เมื่ออดรนทนไม่ไหว จอมราชันย์นรกโลกันต์ถามอย่างร้อนใจ “หยวนเทา มันเกิดอะไรขึ้น?”


จอมราชันย์คนอื่นๆต่างหูผึ่ง


พวกเขาอยากรู้ว่าชายหนุ่มจะตอบว่าอะไร


“เรียนฝ่าบาท ผมขออนุญาตแนะนำทุกคนให้คุณรู้จัก จ้าวหย่าคนนี้คือศิษย์พี่อันดับ 1 ของผม, หวังหยิ่งคือศิษย์พี่อันดับ 2, หลิวหยางคือศิษย์พี่อันดับ 3, เจิ้งหยางคือศิษย์พี่อันดับ 4, ตัวผมรั้งอันดับ 5, ลู่ชงคือศิษย์น้องอันดับ 6, เว่ยหรูเหยียนคือศิษย์น้องอันดับ 7, จางจิ่วเซี่ยวคือศิษย์น้องอันดับ 8…” หยวนเทาแนะนำนักรบรุ่นเยาว์ทุกคนที่มารวมตัวกันเหนือทะเลท่วมท้นต่อจอมราชันย์นรกโลกันต์


“….”


จอมราชันย์นรกโลกันต์ จอมราชันย์มังกรเมฆ จอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่น จอมราชันย์โจวหยาง และจอมราชันย์ฟู่เหมิง


อัจฉริยะที่พวกเขาทุ่มเททรัพยากรมากมายเพื่อดูแลบ่มเพาะ…แท้ที่จริงแล้วเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องสายเดียวกันหรือ?


สวรรค์โปรด ใครบอกพวกเราได้บ้างว่ามันเกิดอะไรขึ้น!


“ถ้าพวกคุณคือศิษย์พี่ศิษย์น้องสายเดียวกัน แล้วท่านอาจารย์…”


จอมราชันย์นรกโลกันต์รู้สึกหายใจหายคอไม่ออกจนแทบจะลมจับ ส่วนจอมราชันย์คนอื่นๆก็ตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ ราวกับเห็นปีศาจอยู่ตรงหน้า


พวกเขารู้นานแล้วว่านักรบเหล่านี้มีอาจารย์ รู้ตั้งแต่ตอนที่รับตัวมาจากภูเขาสวรรค์สร้าง


ว่าแต่…นักรบคนไหนกันเล่าที่ไม่มีอาจารย์?


ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงไม่ได้ใส่ใจ


อีกอย่าง ก็ไม่มีใครคาดคิดถึงความเป็นไปได้ที่ผู้สืบทอดทั้ง 11 คนของ 6 จอมราชันย์จะมีท่านอาจารย์คนเดียวกัน…


ท่านอาจารย์ของอัจฉริยะเหล่านี้คือใคร?


ทำอย่างไรถึงมีลูกศิษย์ที่เก่งกาจจำนวนมากมายขนาดนี้?


“อ๋อ ท่านอาจารย์ของพวกเราคือ…”


หยวนเทากำลังจะเปิดเผยตัวตนของท่านอาจารย์ของพวกเขา ก็พอดีกับที่จ้าวหย่าส่งสายตาเชือดเฉือนใส่ “หุบปาก!”


“ดะ-ได้!” หยวนเทารีบปิดปากเงียบขณะยืนเหงื่อตก


เมื่อถูกจ้าวหย่าตะคอก เขาจึงเพิ่งนึกได้ว่าท่านอาจารย์เป็นคนรักสันโดษและเก็บเนื้อเก็บตัว แถมเกลียดการต้องตกเป็นจุดสนใจของใครๆ


การเปิดเผยตัวตนของท่านอาจารย์ต่อหน้าจอมราชันย์ทั้ง 6 ย่อมขัดกับนิสัยของท่านอาจารย์อย่างรุนแรง แถมตัวเขายังอาจถูกมองว่ากระด้างกระเดื่องด้วย


ยิ่งไปกว่านั้น ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทุกคนต่างก็ฝึกฝนวรยุทธในกระจกเงาแห่งมิติและเวลา ส่งผลให้พวกเขาแยกตัวออกจากโลกของความเป็นจริง จึงไม่รู้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันของท่านอาจารย์เป็นอย่างไร


การเปิดเผยตัวตนของท่านอาจารย์อาจทำให้อีกฝ่ายตกที่นั่งลำบากก็ได้


จ้าวหย่าประสานมือ “เรียนฝ่าบาท พวกเราต้องขออภัย แต่ท่านอาจารย์ของพวกเราชอบใช้ชีวิตเรียบง่ายและสงบสุข ในสรวงสวรรค์แทบไม่มีใครรู้จักเขา และเขาก็ปรารถนาให้เป็นแบบนั้น ในฐานะศิษย์สายตรง พวกเราไม่กล้าเปิดเผยตัวตนของเขาหากไม่ได้รับอนุญาต ดังนั้น…ฉันขอวิงวอนให้ฝ่าบาทเข้าใจด้วย”


“บ่มเพาะศิษย์สายตรงผู้เก่งกาจได้มากมายขนาดนี้ ท่านอาจารย์ของคุณจะต้องโดดเด่นมากทีเดียว…” จอมราชันย์นรกโลกันต์พูด แต่ยังไม่ทันจบประโยค พลังจิตวิญญาณที่อยู่โดยรอบก็พลันปั่นป่วนขึ้นมา


การไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณเริ่มต้นแล้ว!


“ในเมื่อพวกคุณเป็นศิษย์สายเดียวกัน การขอให้พวกคุณต่อสู้กันเองก็คงจะโหดร้ายเกินไป ทำแบบนี้แทนก็แล้วกันนะ ใครเข้าถึงทรัพย์สมบัติก่อนก็ได้ครอบครอง ห้ามฉกฉวยแย่งชิงกันโดยเด็ดขาด!”


แม้เหล่าจอมราชันย์จะพลาดพลั้งเลินเล่อและไม่ทันตั้งตัวกับสถานการณ์ที่พลิกผัน แต่อะไรที่เกิดก็เกิดขึ้นไปแล้ว หากประชันพละกำลังไม่ได้ เสี่ยงดวงกันก็ยังดี


ก่อนที่ทุกคนกำลังจะเข้าสู่ทะเลท่วมท้น จอมราชันย์มังกรเมฆก็โพล่งออกมา “ในทะเลท่วมท้นมีอันตรายมากมายนะ พวกคุณเป็นผู้สืบทอดของเราก็จริง แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องระวังตัวด้วย”


จ้าวหย่ากับคนอื่นๆหันมามอง


“ที่น่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด มีชายหนุ่มคนหนึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกคุณ ด้วยความเก่งกาจเหนือชั้นของเขา เขาได้รับตำแหน่งทรงเกียรติจากโลกและกลายเป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแห่ง 9 น่านฟ้า” จอมราชันย์มังกรเมฆพูด “ถ้าพวกคุณเจอเขา ปกป้องจิตวิญญาณของคุณไว้ให้ดี เขามีวรยุทธของจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งมาก ดังนั้น เล่นงานเขาโดยใช้พละกำลังของกายเนื้อน่าจะดีที่สุด”


“จริงด้วย พวกคุณเป็นศิษย์สายเดียวกันนี่ ใช่ไหม? ในเมื่อเป็นอย่างนั้น รวมตัวกันไว้ย่อมดีกว่า จะช่วยลดความเสี่ยงและอันตรายได้” จอมราชันย์โจวหยางเสริม


เขาอาจพูดได้ว่าราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติของเขาไม่เกรงกลัวจางเซวียน แต่แท้ที่จริงแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น


ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแห่ง 9 น่านฟ้า…


นี่คือสมญาที่ตลอดระยะเวลาแห่งประวัติศาสตร์ของสรวงสวรรค์ ก็มีแต่จอมราชันย์พิชิตสวรรค์เท่านั้นที่เคยได้รับ และประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาก็โดดเด่นอย่างที่ทุกคนได้ประจักษ์แล้ว


พวกเขายังไม่มั่นใจนักหากจะปล่อยให้ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติในสังกัดของตัวเองเคลื่อนไหวตามลำพัง แต่หากทั้ง 11 คนร่วมมือกันต่อสู้พร้อมๆกันล่ะก็…


ต่อให้ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแห่ง 9 น่านฟ้าคนนั้นฝึกฝนวรยุทธของกายเนื้อและพลังปราณจนแข็งแกร่งถึงขีดสุด ก็สู้กับคนเหล่านี้ไม่ได้อยู่ดี!


“วางใจเถอะ พวกเราจะดูแลกัน ไม่ว่าราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแห่ง 9 น่านฟ้าจะเป็นใคร ถ้าเขากล้าสร้างปัญหา พวกเราจะเอาคืนอย่างสาสม” จ้าวหย่าตอบพร้อมกับพยักหน้า


ในฐานะศิษย์สายเดียวกัน ทุกคนจำเป็นต้องดูแลซึ่งกันและกัน นี่คือสิ่งที่ท่านอาจารย์สอนไว้ พวกเธอจะทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวังไม่ได้


“ดี งั้นเข้าไปเลย!”


ได้ยินคำนั้น เหล่าจอมราชันย์ถอนหายใจอย่างโล่งอก

 

 

 


ตอนที่ 2314 โลกนี้ไม่มีความยุติธรรมเล...

 

จอมราชันย์มังกรเมฆ จอมราชันย์โจวหยาง จอมราชันย์ฟู่เหมิงและคนอื่นๆฉีกกระชากมิติที่อยู่ตรงหน้าเพื่อส่งบรรดาราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติในสังกัดของพวกเขาเข้าสู่ทะเลท่วมท้น


…..


“ฮ่าฮ่าฮ่า!”


หลังจากส่งทุกคนเข้าสู่ทะเลท่วมทนแล้ว ในที่สุดเทพธิดาหลิงหลงก็อดใจไม่ไหว เธอหัวเราะลั่น


“หลิงหลง มีความสุขอะไรนักหนา?” จอมราชันย์มังกรเมฆถาม


“อ๋อ ฉันก็แค่นึกถึงอะไรบางอย่างที่น่าสนใจมาก เลยอดหัวเราะไม่ได้”เทพธิดาหลิงหลงตอบขณะยิ้มจนตาหยี


“คุณนึกถึงอะไร? บอกพวกเราสิ เราจะได้หารือกัน” จอมราชันย์นรกโลกันต์พูด


“พวกคุณแน่ใจนะว่าอยากฟัง?” เทพธิดาหลิงหลงย้อนถามด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย


ฝูงชนพยักหน้า “อยากฟังสิ!”


“ฉันคิดว่าบอกพวกคุณแบบนี้คงจะดีกว่า…” เทพธิดาหลิงหลงพึมพำกับตัวเองก่อนจะหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็เงยหน้า “พวกคุณกังวลใช่ไหมว่าจางเซวียนจะคว้าสมบัติมากมายนับไม่ถ้วนที่มาพร้อมกับการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณไป และกลายเป็นจอมราชันย์พิชิตสวรรค์คนใหม่?”


“เอ่อ…”


ไม่มีใครตอบคำถามของเทพธิดาหลิงหลง


พวกเขาไม่ยอมรับ แต่แท้ที่จริงก็หวั่นวิตกกับการพัฒนาวรยุทธของจางเซวียน รับมือกับจอมราชันย์พิชิตสวรรค์คนเดียวก็เกินพอแล้ว พวกเขาไม่อยากเห็นจอมราชันพิชิตสวรรค์ถือกำเนิดอีกคนหนึ่ง


หากต้องสู้ตัวต่อตัวกันอีกครั้งเหมือนที่จอมราชันย์พิชิตสวรรค์เคยทำ…ความถือดีในตัวของพวกเขาคงไม่ปล่อยให้พวกเขาทำแบบนั้นแน่!


เมื่อหวนนึกถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตลอด 40 ปีที่ผ่านมา ทุกคนก็เดือดดาล


“พวกคุณหวังว่าบรรดาผู้สืบทอดที่คุณบ่มเพาะจะสามารถเอาชนะจางเซวียนและนำทรัพย์สมบัติล้ำค่าของทะเลท่วมท้นมาให้คุณ คุณจะได้ก้าวข้ามด่านคอขวดที่เผชิญอยู่เสียที ใช่ไหม?”เทพธิดาหลิงหลงถาม


จอมราชันย์โจวหยางคำรามอย่างหมดความอดทน “หลิงหลง คุณพยายามจะบอกอะไร? พวกเราทุกคนก็เห็นการต่อสู้ที่เกิดขึ้นเมื่อ 2 วันก่อนแล้ว ผมไม่เชื่อหรอกนะว่าคุณไม่รู้สึกอะไรเลยกับสิ่งที่ได้เห็น!”


พวกเขาอาจเป็นถึงจอมราชันย์ แต่ก็มีความปรารถนาที่จะแข็งแกร่งกว่าเดิม


เป็นเพราะเหล่าจอมราชันย์เพิกเฉยกับการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณครั้งก่อน จอมราชันย์พิชิตสวรรค์จึงก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำได้อย่างรวดเร็ว แต่พวกเขาไม่อาจยอมรับจอมราชันย์พิชิตสวรรค์คนที่สองได้แล้ว ก็เพราะเหตุนี้ จึงต้องบ่มเพาะผู้เชี่ยวชาญในสังกัดของตัวเองไว้เป็นกำลังเสริม


“เข้าเรื่องเสียทีเถอะ!” จอมราชันย์ฟู่เหมิงคำราม


“อ้อมค้อมปั่นหัวพวกเราอยู่แบบนี้แล้วได้อะไร?” จอมราชันย์มังกรเมฆก็หมดความอดทน


“ฉันกำลังจะพูดเดี๋ยวนี้แหละ…”


แค่นึกภาพว่าแต่ละคนจะมีปฏิกิริยากับข่าวนี้อย่างไร ก็ทำให้เทพธิดาหลิงหลงหัวเราะออกมาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่ายั่วให้ทุกคนอยากรู้ถึงขีดสุดแล้ว ก็กระแอมและพูดว่า “คุณอยากรู้ใช่ไหมว่าท่านอาจารย์ของจ้าวหย่า เจิ้งหยาง และคนอื่นๆเป็นใคร พอดีว่าฉันรู้!”


“เขาคือ…” พูดไปได้ครึ่งประโยค ใบหน้าหนึ่งก็ปรากฏในสมองของจอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่น เขาตัวแข็งขึ้นมาทันทีขณะเอ่ยถามอย่างระแวง “หรือว่า…”


“ใช่ เขาคือคนที่พวกคุณกังวลมาตลอดนั่นแหละ…จางเซวียน!” เทพธิดาหลิงหลงตอบอย่างสะใจ


หลังจากได้เป็นจอมราชันย์ มีเพียงไม่กี่อย่างที่ทำให้พวกเขาจังงังได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นบรรดาเพื่อนเก่ามีสีหน้าแบบนั้น


และทุกอย่างก็เป็นเพราะชายหนุ่มที่ชื่อจางเซวียน….


แถมชายหนุ่มคนนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาทำอะไรลงไป!


ไม่มีอะไรจะย่ำแย่ไปกว่าการมีปัญหากับคนอื่น แต่อีกฝ่ายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเขาทำให้เกิดอะไรขึ้น!


“คือ…”


5 จอมราชันย์สบตากันขณะเกิดแรงบันดาลใจบางอย่าง บทกวีเก่าแก่มากมายผุดขึ้นมาในหัวสมองของพวกเขา


ในเมืองใหญ่ที่เราไม่ได้ครอบครองแม้ดินแดนสักตารางนิ้ว แล้วเราทำงานหนักเพื่อใคร?


บุปผชาตินับร้อยที่เราหว่านเพาะเพื่อหยดน้ำหวาน เพียงเพื่อจะถูกฉกฉวยไปหมด!


ถักทอเส้นด้ายสีทองอยู่หลายปี แต่แล้วก็ต้องมอบเสื้อคลุมให้คุณ!


…..


จอมราชันย์หลินชีเป็นคนรักของคุณ จอมราชันย์อมตะคืออสูรของคุณ และคุณก็เป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแห่ง 9 น่านฟ้า…และราวกับเท่านั้นยังไม่พอ บรรดาผู้สืบทอดที่พวกเราบ่มเพาะมาด้วยความเหนื่อยยากก็เป็นศิษย์สายตรงของคุณเสียอีก!


จอมราชันย์ทั้ง 5 ยกมือกุมหน้าอกด้วยความท้อใจอย่างหนัก ทุกคนรู้สึกเหมือนถูกบางอย่างทิ่มแทง


พวกเขาหวังว่าจะใช้ประโยชน์จากการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณเพื่อยกระดับวรยุทธและกลายเป็นผู้ทรงพลังเทียบเท่ากับจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ แต่แล้วความหวังทั้งมวลก็พังทลาย


เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? โลกนี้ไม่มีความยุติธรรมเลยหรือ?


“ที่นี่มีของดีๆเยอะแยะเลย!”


จางเซวียนบินไปพร้อมกับหลัวฉีฉี ภายในระยะเวลา 4 ชั่วโมง ทรัพย์สมบัติล้ำค่าที่เขารวบรวมได้ก็มีมูลค่าพอๆกับเงินที่เขาหาได้ตลอดระยะเวลา 1 เดือนที่อยู่ในสรวงสวรรค์


เขาต้องขายยาเม็ดเพิ่มความงามกับยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธโดยไม่หยุดพักเพื่อให้ได้เงินมากขนาดนั้น แต่ตอนนี้กลับได้ทรัพย์สมบัติที่มีมูลค่าพอๆกันภายในเวลาเพียง 4 ชั่วโมง….


นี่คือความล้ำค่าของทรัพย์สมบัติต่างๆนานาในทะเลท่วมท้น


จิตวิญญาณอันทรงพลังของจางเซวียนมีส่วนช่วยอย่างมากในภารกิจนี้ เพราะจิตวิญญาณของเขา เขาจึงรับรู้สภาพแวดล้อมโดยรอบได้แม่นยำกว่าเดิม และอาณาบริเวณที่ประสาทสัมผัสของเขาครอบคลุมก็กว้างใหญ่กว่านักรบคนอื่นๆ


ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติโดยทั่วไปย่อมไม่อาจเสาะหาทรัพย์สมบัติได้มากมายอย่างที่เขาทำ


ท่ามกลางดินแดนรกร้างว่างเปล่าที่มีแต่โขดหินกระจัดกระจาย มีสมุนไพรล้ำค่าหลายชนิดเติบโตอยู่ แต่ละต้นมีมูลค่าสูงในตลาดของสรวงสวรรค์ ทั้งยังมีสินแร่ โลหะต่างๆ…


หากนำของเหล่านี้ไปขัดเกลา ก็จะได้ยาเม็ดและอาวุธระดับราชันย์เทพเจ้าอีกจำนวนมาก


“แต่ของพวกนี้ไม่มีประโยชน์กับเราแล้ว…” จางเซวียนส่ายหน้า


จริงอยู่ว่าสมุนไพรที่เห็นล้วนเป็นของล้ำค่า แต่ขนาดยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงสุดก็ไม่มีประโยชน์กับเขาแล้ว หากไม่ได้บางอย่างที่มีระดับขั้นสูงกว่านั้น ก็คงไม่อาจยกระดับวรยุทธของพลังปราณได้


“มีเกาะอยู่ตรงนั้น…”


เมื่อบินไปได้สักพัก ทั้งคู่ก็เห็นดินแดนหนึ่งอยู่ตรงหน้า


จะเรียกมันว่าเกาะก็พอได้ แต่ดินแดนนี้ดูจะครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่เสียจนมองไม่เห็นปลายสุดของมัน


เรื่องสำคัญก็คือที่นี่มีพลังจิตวิญญาณเข้มข้น พืชพรรณนานาชนิดขึ้นเขียวชอุ่ม


“เป็นไปได้ว่าตอนที่รอยแยกสีดำปรากฏขึ้นกลางอากาศ ดินแดนบางส่วนของสรวงสวรรค์คงถูกกวาดเข้าไปในนั้นด้วย” จางเซวียนคาดเดา


ความใหญ่โตของรอยแยกสีดำทำให้พลังจิตวิญญาณหลุดรอดออกมาได้อย่างรวดเร็ว จึงไม่แปลกหากจะมีดินแดนบางส่วนถูกกวาดเข้าไปในนั้น


ทั้งคู่ร่อนลงสู่พื้น จางเซวียนรีบปลดปล่อยการรับรู้จิตวิญญาณออกไปรอบตัว เขาสัมผัสได้ว่ามีทรัพย์สมบัติล้ำค่านับไม่ถ้วนอยู่ในบริเวณโดยรอบ สินแร่ที่หาได้ยากในสรวงสวรรค์มีอยู่ทั่วไป แม้แต่แม่น้ำที่อยู่ใกล้ๆก็เปี่ยมด้วยพลังจิตวิญญาณเข้มข้น


“ดูเหมือนจะมีคนอยู่ตรงนั้น” จางเซวียนสังเกต


จะต้องมีคนรู้เรื่องสถานที่แห่งนี้และตั้งใจมาที่นี่เช่นกัน


ไม่ไกลจากทั้งคู่ มีนักรบอยู่ 12 คน, เป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติคนหนึ่งกับราชันย์เทพเจ้าอีก 11 คน พวกเขารวมหัวกัน ดูเหมือนกำลังหารือบางเรื่องอย่างเคร่งเครียด


อีกฝ่ายสังเกตเห็นจางเซวียนกับหลัวฉีฉีและเอ่ยปาก “สหาย อยากรวมกลุ่มกับพวกเราไหม?”


“ปรมาจารย์จาง…” หลัวฉีฉีสบตา


“ไปเถอะ” จางเซวียนพยักหน้า


พวกเขามาที่นี่ด้วยวัตถุประสงค์เดียวกัน จึงไม่จำเป็นต้องหลบเลี่ยง


ขณะเดินเข้าไป จางเซวียนสังเกตเห็นว่าราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติที่มีอยู่เพียงคนเดียวในกลุ่มติดตราสัญลักษณ์ของน่านฟ้ามังกรเมฆ


“สหาย, ผมคือราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติอ้าวเฟิงแห่งน่านฟ้ามังกรเมฆ” ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติผู้นั้นแนะนำตัวพร้อมกับประสานมือ


จางเซวียนประสานมือตอบรับการทักทาย


“พวกเรามาที่นี่เพื่อเสาะหาทรัพย์สมบัติ แต่การอยู่ตามลำพังคงทำอะไรไม่ได้มาก ย่อมเสียเปรียบแน่หากต้องเผชิญกับอันตราย ถ้าเรารวมพลังและคอยดูแลซึ่งกันและกัน ก็น่าจะทำอะไรได้มากกว่า” อ้าวเฟิงพูด


ฝูงชนพยักหน้าอย่างเห็นพ้อง


นักรบระดับราชันย์เทพเจ้าที่เดินทางตามลำพังถือว่าอันตรายมาก เพราะที่นี่มีรอยแยกแห่งมิติกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป อีกทั้งกับดักต่างๆที่ต้องรับมือ ความประมาทเลินเล่อเพียงเล็กน้อยอาจหมายถึงความตาย


อีกอย่าง นักรบที่มาที่นี่ก็มักไม่ทันระมัดระวังกับดักจากธรรมชาติ มีราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติกับราชันย์เทพเจ้ามากมายที่ต้องตกเป็นเป้านิ่ง การพบเจอทรัพย์สมบัติก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่การจะนำมันออกไปได้อย่างปลอดภัยก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเช่นกัน


ด้วยเหตุนี้ ราชันย์เทพเจ้าและราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติกว่าครึ่งที่เข้าสู่ทะเลท่วมท้นจึงลงเอยด้วยการเอาชีวิตมาทิ้ง


“อย่างที่พวกคุณรู้ ราชันย์เทพเจ้าคนหนึ่งจะต้องได้การยอมรับจากจอมราชันย์และผ่านบททดสอบของตำแหน่งทรงเกียรติ หากไม่เป็นอย่างนั้น ต่อให้พวกเขาฝึกฝนวรยุทธหนักแค่ไหน ก็ไม่มีทางยกระดับวรยุทธได้อีก อายุขัยของพวกเขาจะหยุดอยู่ที่หมื่นปี และเมื่อเวลาสิ้นสุดลง ก็ต้องจบชีวิต” อ้าวเฟิงพูด


ราชันย์เทพเจ้าทั้ง 11 คนที่อยู่ตรงนี้ย่อมเข้าใจเรื่องนี้ดี


อุปสรรคของการได้เป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติไม่ใช่สิ่งที่จะก้าวข้ามไปได้ด้วยการหมั่นฝึกฝนวรยุทธเพียงอย่างเดียว มีราชันย์เทพเจ้ามากมายในสรวงสวรรค์ที่ต้องใช้ชีวิตอย่างหมดหวังหลังจากรู้แน่แก่ใจแล้วว่าพวกเขาไม่มีโอกาสยกระดับวรยุทธได้อีก


“พวกคุณทุกคนคงได้ทรัพย์สมบัติจากทะเลท่วมท้นมาบ้างแล้ว บางทีอาจมากพอสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุดด้วยซ้ำ แต่คุณคิดบ้างไหมว่ายังมีอะไรที่มากกว่านั้น? อายุขัยของคุณจะไม่ยืนยาวขึ้นเพียงเพราะคุณได้เป็นราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุดหรอกนะ”


อ้าวเฟิงพูดขณะจับจ้องราชันย์เทพเจ้าที่อยู่รอบตัวเขาทีละคน “สิ่งเดียวที่คุณต้องคว้ามาให้ได้ก็คือการยอมรับจากจอมราชันย์!”


“พวกเราก็รู้ว่าหากได้การยอมรับจากจอมราชันย์และได้รับคำชี้แนะของพวกเขา เราก็จะผ่านบททดสอบของตำแหน่งทรงเกียรติไปได้อย่างง่ายดายและกลายเป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ แต่คนอย่างพวกเราไม่มีโอกาสแม้จะได้พบจอมราชันย์ด้วยซ้ำ แล้วจะได้การยอมรับจากพวกเขาได้อย่างไร?” ราชันย์เทพเจ้าคนหนึ่งโพล่งออกมาด้วยสีหน้าถอดใจ


มีใครบ้างไม่อยากได้การยอมรับจากจอมราชันย์, บุคคลที่มีตำแหน่งสูงสุดของสรวงสวรรค์?

 

 

 


ตอนที่ 2315 จิตวิญญาณหลอกหลอน

 

แต่จอมราชันย์คือบุคคลสูงส่งที่มีโลกของตัวเอง คนอย่างพวกเขาจะดึงดูดความสนใจของคนระดับนั้นได้อย่างไร?


ครั้งหนึ่ง เคยมีราชันย์เทพเจ้าที่พยายามทำให้จอมราชันย์ทึ่งด้วยการ ‘เล่นใหญ่’ แต่ลงท้าย สิ่งที่เขาได้รับกลับไม่ใช่การยอมรับจากจอมราชันย์ แต่เป็นการตบหน้าที่ทำให้เขาถึงแก่ความตาย


นับแต่บัดนั้น นักรบทุกคนก็รู้แล้วว่าไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามทำอะไรให้โดดเด่นเกินหน้าเกินตาต่อหน้าจอมราชันย์


ด้วยประสบการณ์ยาวนานหลายปี ราชันย์เทพเจ้ากลุ่มนี้รู้ดีว่ามีเพียง 2 ปัจจัยหลักที่จะทำให้พวกเขาได้การยอมรับจากจอมราชันย์


ข้อแรก ต้องมีความเก่งกาจปราดเปรื่องมากพอ


ข้อสอง ต้องได้การรับรองจากผู้มีอำนาจสักคน


หากไม่มี 2 ปัจจัยนี้ ก็ไม่มีทางทำอะไรได้


“ผมจะไม่พูดทั้งหมดนี่หรอกนะหากไม่มีทางออกให้พวกคุณ!”


เมื่อเห็นว่าทำให้ทุกคนหันมาสนใจได้สำเร็จ อ้าวเฟิงหัวเราะหึๆ “เรื่องจริงก็คือผมได้รับคำสั่งจากจอมราชันย์มังกรเมฆ จอมราชันย์ต้องการของล้ำค่าบางอย่างในทะเลท่วมท้น ซึ่งหากพวกคุณช่วยผมหามัน เขาจะต้องพึงพอใจมาก ผมแน่ใจว่าเขายิ่งกว่าเต็มใจที่จะรับฟังคำขอใดๆก็ตามจากคุณ ไม่ว่าคุณจะอยากเป็นศิษย์สายตรงของเขา หรือตำแหน่งทรงเกียรติ ก็ล้วนแต่อยู่ในวิสัยที่ทำได้!”


“จอมราชันย์มังกรเมฆต้องการของบางอย่างหรือ?”


“จริงหรือเปล่า? จอมราชันย์คือบุคคลผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลกใบนี้และไม่มีอะไรทำให้เขาหวั่นไหวได้นี่นา? ไม่น่าเชื่อว่าจะมีบางอย่างในโลกนี้ที่เขายังต้องการ…”


“ผมจะเชื่อคำพูดของคุณได้หรือ? ขอแค่เราหาของล้ำค่าที่จอมราชันย์มังกรเมฆต้องการมาได้ เขาก็จะรับเราเป็นศิษย์สายตรง หรือแม้แต่ให้ตำแหน่งทรงเกียรติกับเราด้วย ใช่ไหม?”


ทุกคนตื่นเต้นกับข้อเสนอของอ้าวเฟิง


เรื่องเดียวที่พวกเขากลัวก็คือจอมราชันย์ไม่น่าจะยังมีความอยากได้อะไร


ขอแค่มีบางอย่างที่จอมราชันย์ต้องการ พวกเขาก็พร้อมจะทำตัวให้เข้าตาจอมราชันย์และทำให้อีกฝ่ายพึงพอใจ ซึ่งนั่นจะนำไปสู่ความเป็นไปได้ของการได้รับตำแหน่งทรงเกียรติ!


“ไม่ทราบว่าจอมราชันย์ต้องการอะไร?” ใครคนหนึ่งในหมู่ฝูงชนตั้งคำถาม


ถ้าของสิ่งนั้นหายากเกินไปจนถึงกับต้องสละชีวิต ลงแรงไปก็ไม่มีประโยชน์


เหตุผลที่พวกเขาอยากได้รับตำแหน่งทรงเกียรติก็เพื่อยืดอายุขัยและผลักดันตัวเองให้อยู่ในสถานภาพที่สูงส่งกว่าเดิม แล้วจะมีความหมายอะไรหากต้องตาย?


“สิ่งที่จอมราชันย์ต้องการคือน้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นที่อยู่บนดินแดนนี้ ด้วยความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณที่อยู่ในนั้น แม้นักรบที่มีประสิทธิภาพการต่อสู้ระดับผมก็ยังไม่อาจใช้มันได้ มีแต่จอมราชันย์เท่านั้นที่สามารถซึมซับมัน” อ้าวเฟิงตอบ “แต่มีจิตวิญญาณหลอกหลอนจำนวนหนึ่งปกป้องพื้นที่นั้นไว้ ผมจึงเข้าไปคนเดียวไม่ได้ ผมต้องการความช่วยเหลือจากพวกคุณ”


“จิตวิญญาณหลอกหลอน?”


“มันคือสิ่งมีชีวิตพิเศษชนิดหนึ่งที่เติบโตในพื้นที่ที่อุดมไปด้วยพลังจิตวิญญาณ มันไม่มีกายเนื้อ และมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชันย์เทพเจ้า ทำให้รับมือได้ยาก ก่อนหน้านี้ผมเคยพยายามเข้าไปในพื้นที่แล้ว แต่ถูกผลักดันให้อยู่ข้างนอก แต่ถ้าเรารวมพลังกัน ก็น่าจะฝ่าด่านการคุ้มกันของพวกมันได้ไม่ยาก” อ้าวเฟิงพูด


หากเขาสามารถนำน้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นออกมาได้ด้วยตัวเอง คงไม่ยอมแบ่งความดีความชอบให้คนอื่นแน่


แต่แม้จะเป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแล้ว ก็ยังพบว่าไม่มีทางปฏิบัติภารกิจนี้ให้สำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว


“น้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้น?” จางเซวียนตาโต


เขาได้อ่านเรื่องของมันจากหนังสือที่อยู่ในที่พักของปรมาจารย์ขง น้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นมีพลังจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ยิ่งกว่ายาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงสุดเสียอีก


ถ้าเขาได้มันมา ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะฝ่าด่านวรยุทธของพลังปราณไปเป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขั้นสูงสุดได้ในรวดเดียว


ราชันย์เทพเจ้าคนหนึ่งตั้งคำถาม “จิตวิญญาณหลอกหลอนที่อยู่ที่นั่นมีจำนวนมากแค่ไหน? หากอันตรายเกินไป ผมคงต้องปฏิเสธ พวกเราอยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุขต่อไปมากกว่า…”


“ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขต่อไป…เฮอะ!” อ้าวเฟิงเยาะ “ดูซิว่าใน 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมานี้ สรวงสวรรค์ต้องเผชิญกับอะไรบ้าง? ด้วยการเสื่อมถอยของพลังจิตวิญญาณ การแย่งชิงทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธก็ยิ่งจะเข้มข้นดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ อย่าว่าแต่ยกระดับวรยุทธเลย ผมเชื่อว่าสำหรับพวกคุณส่วนใหญ่ ต่อให้จะรักษาระดับวรยุทธในปัจจุบันไว้ก็ยังยาก ให้ผมถามคุณตรงๆนะ คุณคิดว่า ทรัพย์สินที่คุณมีอยู่ทั้งหมดน่ะ จะใช้ไปได้อีกนานแค่ไหน?”


“ทันทีที่ทรัพย์สมบัติของคุณหมดไปและวรยุทธเริ่มถดถอย คุณคิดว่าศัตรูในอดีตที่เคยหวาดกลัวคุณจะทำอย่างไร? คุณคิดว่ากลุ่มอำนาจต่างๆที่เคยหนุนหลังคุณมาตลอดจะยังสนับสนุนคุณอยู่ไหม? ผมคงไม่ต้องพูดให้มากมายหรอก พวกคุณส่วนใหญ่น่าจะเข้าใจแล้ว”


“เอ่อ…”


ทุกคนพูดไม่ออก


วรยุทธก็เหมือนกับการว่ายทวนน้ำ ไม่อาจอยู่กับที่ได้ มีแต่จะก้าวหน้าหรือถดถอยเท่านั้น


แม้การรักษาวรยุทธให้อยู่ในระดับเดิมก็ต้องใช้ทรัพยากรปริมาณมหาศาลแล้ว เหมือนกับนักรบที่ต้องฝึกฝนร่างกายอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาระดับความแข็งแกร่งไว้


สรวงสวรรค์กำลังเผชิญหน้ากับการขาดแคลนทรัพยากรอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ถึงขนาดที่แม้นักรบระดับราชันย์เทพเจ้าก็แทบจะเสาะหาทรัพยากรให้เพียงพอต่อการรักษาระดับวรยุทธของพวกเขาไม่ได้


ราชันย์เทพเจ้าเกือบทุกคนมีตระกูลใหญ่หนุนหลัง หากพวกเขาถดถอย ตระกูลก็อาจล่มสลายเช่นกัน ทุกสิ่งที่สั่งสมมาจนถึงวันนี้ย่อมพังทลาย


“พวกคุณไม่มีทางใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้หรอกหากสรวงสวรรค์มีสภาพอย่างทุกวันนี้ มีแต่จะต้องมุ่งหน้าและเสาะแสวงหาเส้นทางของตัวเอง หรือไม่อย่างนั้น…ก็ถดถอยลงไปจนไม่มีอะไรเหลือ เรื่องมันก็มีแค่นี้ ต่อให้ตัวผมในฐานะราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติก็ไม่อาจหลุดพ้นจากชะตากรรมแบบนั้น!”


เห็นฝูงชนเงียบกริบเพราะคำพูดของเขา อ้าวเฟิงเปลี่ยนโทนเสียงและถอนหายใจเฮือก “ผมจะบอกพวกคุณตามตรงนะ เมื่อ 2 วันก่อนมีการต่อสู้บนดวงจันทร์ และจอมราชันย์พิชิตสวรรค์…แพ้!”


“คุณว่าอะไรนะ?”


“จอมราชันย์พิชิตสวรรค์ตายแล้วหรือ?”


“เขาตายได้อย่างไร? หรือว่า…การต่อสู้กับจอมราชันย์หลินชี?”


“จอมราชันย์ก็ตายได้?”


เรื่องนี้ทำให้ฝูงชนพากันออกความเห็นเซ็งแซ่


ปรมาจารย์ขงกับหลัวลั่วชิงต่อสู้กันบนดวงจันทร์ ดังนั้น นอกจากบรรดาจอมราชันย์และราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติคนสนิท ก็แทบไม่มีใครรู้ข่าว


การก้าวขึ้นสู่ความรุ่งเรืองของจอมราชันย์พิชิตสวรรค์จุดประกายความหวังให้กับนักรบทั่วไปจำนวนมากมาย พวกเขารู้สึกว่าตราบใดที่ฝึกฝนอย่างหนัก ก็มีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นคนพิเศษอย่างเขา


ด้วยเหตุนี้ จอมราชันย์พิชิตสวรรค์จึงเป็นไอดอลของนักรบมากมายในสรวงสวรรค์ คือบุคคลที่ใครๆยกย่องและยึดถือเป็นเป้าหมาย


หลายคนแน่ใจว่าจอมราชันย์พิชิตสวรรค์จะต้องมีชัยเหนือจอมราชันย์หลินชีแน่ ใครจะไปรู้ว่าสุดท้ายเขาจะเสียชีวิต?


ขนาดจอมราชันย์ยังไม่รอด นับประสาอะไรกับราชันย์เทพเจ้า สถานการณ์ของพวกเขามีแต่จะสิ้นหวังกว่าเดิม


ราชันย์เทพเจ้าทั้ง 11 คนเงียบไป บรรยากาศตรงนั้นหนักอึ้ง


“ผมไม่ได้บอกเรื่องนี้เพื่อให้พวกคุณหวาดกลัวนะ” อ้าวเฟิงพูด “แต่กำลังบอกพวกคุณว่าจะต้องทำตัวให้แข็งแกร่งกว่าเดิมเพื่อเอาชีวิตรอดและปกป้องตระกูลของคุณให้ได้ สรวงสวรรค์ตรงหน้าเราไม่ใช่สรวงสวรรค์ที่สงบสุขอย่างที่เราเคยรู้จักแล้ว”


“ผมจะไม่ปิดบังพวกคุณ การเผชิญหน้ากับจิตวิญญาณหลอกหลอนถือว่าอันตรายระดับหนึ่ง แต่หากเรารวมพลังและประสานงานกันให้ดี ผมก็มั่นใจว่ามีโอกาสประสบความสำเร็จเกิน 90%”


“ไม่มีทางเลือกไหนที่ดีไปกว่านี้นะ ผมยื่นโอกาสให้พวกคุณแล้ว คุณจะรับมันไว้หรือไม่ก็เป็นการตัดสินใจของคุณ”


“พวกเราขอคิดอีกหน่อย…”


“ถ้าอย่างนั้น ผมก็จะเสนอทางเลือกอีกทางหนึ่งให้” เห็นฝูงชนยังคงลังเล อ้าวเฟิงพูดต่อ “ขอแค่คุณเต็มใจไปกับผม ไม่ว่าเราจะได้น้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นมาหรือไม่ ผมก็จะมอบยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงสุดให้คุณหนึ่งเม็ด และถือว่าผมเป็นหนี้บุญคุณต่อคุณด้วย แต่แน่นอนว่าผมต้องแบกรับความเสี่ยง ดังนั้น หากเราได้ของล้ำค่ามา คุณก็ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องรางวัลใดๆจากจอมราชันย์นะ”


“คือ…”


ฝูงชนอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะตาโตด้วยความดีใจ


ราชันย์เทพเจ้าทั้ง 11 คนล้วนเป็นนักรบพเนจร บางคนสังกัดน่านฟ้า แต่ไม่มีราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติคนใดให้การสนับสนุน ดังนั้น ทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธที่พวกเขามีอยู่ในมือจึงมีปริมาณจำกัด


ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงสุดหนึ่งเม็ดถือเป็นโชคลาภครั้งใหญ่ แถมอาจได้รับความดีความชอบจากราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติด้วย


เพียงแค่เข้าร่วมทีม ก็จะได้รับ 2 สิ่งนี้


ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้พวกเขาไม่อาจเรียกร้องรางวัลจากจอมราชันย์มังกรเมฆ แต่หากตอบรับข้อเสนอ ก็ยังมีโอกาสที่จะได้เข้าตาจอมราชันย์มังกรเมฆ และอาจเอาชนะใจอีกฝ่ายสำเร็จก็ได้


ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็ไม่มีข้อเสีย


“ได้ ผมตกลง!”


“ผมก็ตกลง!”


…..


ความต่างที่สำคัญระหว่างข้อเสนอ 2 ข้อนี้ก็คือพวกเขาไม่จำเป็นต้องทุ่มเทเต็มที่ให้กับการเสาะหาน้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้น ต่อให้สุดท้ายพวกเขาถอนตัวและภารกิจล้มเหลว ก็ยังได้รับรางวัลอยู่ดี


นี่คือความเสี่ยงที่พอรับได้


ราชันย์ทั้ง 11 คนตัดสินใจได้ภายในไม่ถึง 1 นาที


เมื่อได้ความเห็นชอบจากทุกคน อ้าวเฟิงแอบถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะหันมาถามจางเซวียนกับหลัวฉีฉี “คุณสองคนจะว่าอย่างไร?”


“ผมก็ตกลง” จางเซวียนพยักหน้า


น้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นมีประโยชน์กับเขา เขาจึงตัดสินใจเข้ากลุ่มไว้ก่อน แล้วค่อยคิดอีกทีว่าจะทำอย่างไรต่อ


“เยี่ยมเลย! ตอนนี้เราเป็นพันธมิตรกันแล้วนะ นับจากนี้ ผมจะขอย้ำว่าพวกคุณทุกคนต้องทำตามคำสั่งของผม ผมจะให้โอกาสพวกคุณถอยทันทีที่เราต้องปะทะกับศัตรู แต่ก็ไม่คิดหรอกนะว่าคุณจะทอดทิ้งพวกเราในช่วงเวลาคับขันแบบนั้น และถ้าการกระทำของคุณทำให้คนอื่นๆตกอยู่ในอันตราย ผมก็จะไม่ปรานี เข้าใจไหม?” อ้าวเฟิงพูด


“พวกเราเข้าใจ”


ฝูงชนพยักหน้า


“ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเลย!”


เมื่อการเจรจาต่อรองเสร็จสิ้น อ้าวเฟิงออกเดินนำ ทั้งกลุ่มตามเขาไปติดๆ


ไม่ช้าก็มาถึงอาณาบริเวณของลำธารสายหนึ่ง


พลังจิตวิญญาณในพื้นที่นั้นเข้มข้นกว่าที่ผ่านมา พืชพรรณขึ้นเขียวชอุ่มสูงตระหง่านขึ้นไปกลางอากาศ บดบังท้องฟ้าไว้


อ้าวเฟิงชี้นิ้วไปแล้วพูดว่า “จิตวิญญาณหลอกหลอนอยู่ตรงนั้น”


ทุกคนมองตาม เห็นหลายร่างที่เหมือนกับหมอกขาวเคลื่อนที่ไปมา


พวกมันคือจิตวิญญาณของพืชที่ได้รับการบ่มเพาะจากพลังจิตวิญญาณเข้มข้นในพื้นที่ จางเซวียนคิด

 

 

 


ตอนที่ 2316 น้ำทิพย์ปฐพี

 

เขาสงสัยมาตลอดว่าไอ้จิตวิญญาณหลอกหลอนบ้าบอนี่คืออะไร แต่สุดท้ายก็เป็นแค่ต้นไม้โบร่ำโบราณและหญ้าที่มีชีวิตจิตใจเพราะได้รับพลังจิตวิญญาณเข้มข้นจากบริเวณโดยรอบ


ก็เหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับราชายาเม็ด


แม้จิตวิญญาณเหล่านี้จะมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชันย์เทพเจ้า แต่เพราะทำอะไรไม่ได้มาก ประสิทธิภาพการต่อสู้ของพวกมันจึงอ่อนด้อย แต่สิ่งที่ทำให้รับมือได้ยากก็คือจำนวนของมันที่มีมากมายมหาศาล ถึงขนาดที่ทำให้ใครๆอึ้งตะลึงได้


อีกอย่าง เพราะพวกมันเติบโตด้วยพลังจิตวิญญาณ จึงเรียกได้ว่าหากอยู่ในพื้นที่ที่มีพลังจิตวิญญาณเข้มข้น ก็แทบจะทำลายมันไม่ได้เลย มีแต่จะทำให้มันเกรี้ยวกราดและรับมือด้วยได้ยากขึ้นกว่าเดิม


“เป้าหมายของเราคือนำน้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นออกมาและไม่เอาชีวิตเข้าแลกกับจิตวิญญาณหลอกหลอนพวกนั้น ผมอยากให้พวกคุณตรงเข้าโจมตีจากทุกทิศทางเพื่อดึงดูดความสนใจของพวกมัน แล้วผมจะใช้ช่วงเวลาชุลมุนนั้นลอบเข้าไป ได้น้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นมาเมื่อไหร่ พวกเราจะถอนกำลังทันที!”


“ผมว่าก็เป็นความคิดที่ดี แต่จะเป็นอย่างไรล่ะถ้าคุณหนีไปพร้อมกับน้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นโดยไม่บอกพวกเรา?” ราชันย์เทพเจ้าคนหนึ่งพูด


พวกเขาเพิ่งพบกัน ยากที่จะไว้ใจอีกฝ่ายถึงขนาดเอาชีวิตเข้าเสี่ยง


“จริงด้วย ถ้าคุณหนีไปในช่วงชุลมุนหลังจากที่ได้น้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นแล้ว คุณก็ไม่จำเป็นต้องชดใช้และมอบความดีความชอบให้เรา พวกเราต้องเสี่ยงมากนะ ผมว่าแผนนี้ไม่เข้าที” ราชันย์เทพเจ้าอีกคนหนึ่งเสริม


“งั้นพวกคุณมีข้อเสนออย่างไร?” อ้าวเฟิงขมวดคิ้วเมื่อมีเสียงคัดค้านสิ่งที่เขาเพิ่งเสนอ


“เราจะบุกเข้าไปและถอยออกมาทีละคน!” ราชันย์เทพเจ้าคนเมื่อครู่ตอบ


“ใช่! เราจะบุกเข้าไปและถอยออกมาทีละคน!”


ฝูงชนที่เหลือพยักหน้า


“ทำแบบนั้นทำให้เรามองเห็นกันทั่วถึงก็จริง แต่คุณคิดบ้างหรือเปล่าว่าเราอาจถูกจิตวิญญาณหลอกหลอนพวกนั้นตีวงล้อมก็ได้?” อ้าวเฟิงถาม “ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นล่ะก็ ไม่เพียงแต่เราจะไม่ได้น้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้น ยังอาจต้องตายด้วย!”


“เอ่อ…”


ทุกคนขมวดคิ้วเมื่อได้ฟังข้อโต้แย้ง


สิ่งที่อ้าวเฟิงพูดก็มีเหตุผล ตรงนี้มีจิตวิญญาณหลอกหลอนอยู่มากมาย และแต่ละดวงมีพละกำลังเทียบเท่ากับราชันย์เทพเจ้า


หากพวกเขาติดกับ ไม่เพียงแต่จะไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ทั้งทีมยังอาจถูกกวาดล้างจนราบคาบ


ซึ่งภายใต้สถานการณ์แบบนั้น แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องยอมสละชีวิตใครสักคนเพื่อฝ่าวงล้อมออกมาให้ได้ แต่ในเมื่อทุกคนล้วนเป็นคนแปลกหน้าที่มารวมตัวกันเพราะผลประโยชน์ ใครเล่าจะเต็มใจสละชีวิตของตัวเองเพื่อช่วยเหลือคนอื่น? เรื่องแบบนั้นไม่มีทางเป็นไปได้!


“หลอกล่อจิตวิญญาณหลอกหลอนและเบี่ยงเบนความสนใจของพวกมัน-นี่คือวิธีที่ดีที่สุดที่เรามีอยู่ในตอนนี้ ถ้าแม้แต่เชื่อใจผม…พวกคุณยังทำไม่ได้ แล้วจะร่วมมือกันเพื่ออะไร?” อ้าวเฟิงโบกมืออย่างหงุดหงิด


ฝูงชนต่างเงียบกริบไปอีกครั้ง เมื่อครู่นี้พวกเขาเพิ่งรวมตัวเป็นพันธมิตรกันก็จริง แต่หากไม่ไว้วางใจผู้นำ ต่างคนต่างไปก็น่าจะดีกว่า


“ทำไมเราไม่ฝึกฝนการสร้างค่ายกลผนึกกำลังและหาทางฝ่าจิตวิญญาณหลอกหลอนเข้าไปล่ะ?”


“ค่ายกลผนึกกำลัง? ข้อแรกสุดเลยนะ ตอนนี้เรามีเวลาจำกัดมาก ข้อ 2, ไม่ช้าราชันย์เทพเจ้าคนอื่นๆก็จะรู้เรื่องน้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้น ทุกอย่างจะซับซ้อนวุ่นวายเกินเหตุหากเรามัวใช้เวลาไปกับการสร้างค่ายกล”


“จริงด้วย กว่าจะเชี่ยวชาญค่ายกลผนึกกำลังก็คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งเดือน แถมยังต้องประสานงานกันให้ดี เราไม่มีเวลามากขนาดนั้นหรอก”


“ถ้าพวกเรามีเวลามากขนาดนั้น ออกสำรวจหาทรัพย์สมบัติอื่นๆในบริเวณโดยรอบไม่ดีกว่าหรือ? น่าจะได้ของล้ำค่าที่มีมูลค่ามากกว่าน้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นด้วยซ้ำ!”


…..


เกิดการโต้แย้งในกลุ่ม


เหล่าราชันย์เทพเจ้านึกไม่ถึงว่าสิ่งที่ดูเหมือนง่ายจะวุ่นวายซับซ้อนขนาดนี้ ทั้งทีมดูจะแตกคอกันตั้งแต่ภารกิจยังไม่เริ่ม


“เอาล่ะ ทำแบบนี้เถอะ ผมจะพุ่งออกไปเป็นด่านหน้า ขณะที่พวกคุณที่เหลือคอยระวังหลังให้ผม คุ้มกันผมจากการโจมตีของจิตวิญญาณหลอกหลอน ตกลงไหม?”


เมื่อรู้แล้วว่าไม่น่าจะพึ่งพาพันธมิตรที่รวมตัวกันอย่างปัจจุบันทันด่วนได้ อ้าวเฟิงจึงทำได้แค่ประนีประนอม


ราชันย์เทพเจ้าพวกนี้หวังจะได้ทรัพย์สมบัติโดยไม่ต้องเสี่ยง โลกนี้มีเรื่องดีๆแบบนั้นด้วยหรือไง?


“ผมไม่มีปัญหา!”


ฝูงชนรีบตอบรับแผนการใหม่ของอ้าวเฟิง


ถึงตอนนี้ อ้าวเฟิงไม่มีเวลาเสาะหายุทธวิธีอื่น เขาสูดหายใจลึกและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ!”


เมื่อพูดจบก็พุ่งปราดเข้าไป


ฟิ้ววววว!


อ้าวเฟิงสำแดงพละกำลังของราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ ร่างของเขาพุ่งผงาดราวกับสายฟ้าฟาด ฝ่ามือแปรสภาพเป็นกรงเล็บขณะกวาดมิติที่อยู่ตรงหน้า ทำให้จิตวิญญาณหลอกหลอนที่รุมล้อมอยู่แตกสลายกลายเป็นพลังจิตวิญญาณ


“ตามผมมา!” อ้าวเฟิงตวาดก้อง


ราชันย์เทพเจ้าที่เหลือรีบตามไปติดๆ


จางเซวียนกับหลัวฉีฉีก็เกาะกลุ่ม


พูดได้เลยว่าอ้าวเฟิงคนนี้ทรงพลังมาก เขาปราบจิตวิญญาณหลอกหลอนที่มีความแข็งแกร่งระดับราชันย์เทพเจ้าได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว และไม่ทิ้งซากใดๆไว้เลย


เอ๊ะ? จิตวิญญาณหลอกหลอนพวกนี้ดูจะมีประโยชน์กับวรยุทธของจิตวิญญาณของเรา


จางเซวียนคิดขณะปัดป้องการโจมตีของจิตวิญญาณหลอกหลอนที่พุ่งเข้ามาจากด้านข้าง


พื้นฐานของจิตวิญญาณหลอกหลอนพวกนี้ก็คือจิตวิญญาณ เหมือนสิ่งที่เขาร่ายมนต์ใส่ จางเซวียนรู้ทันทีว่าหากซึมซับพวกมันเข้าไป ก็น่าจะยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของตัวเองได้ไม่น้อย


แม้จิตวิญญาณของเขาจะเข้าถึงระดับราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขั้นสูงสุดแล้วหลังจากที่ได้รับตำแหน่งทรงเกียรติจากโลก แต่ก็ยังต้องขัดเกลาวรยุทธนั้นอีกสักหน่อยก่อนที่จะพยายามฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นจอมราชันย์


ถ้าเขาซึมซับจิตวิญญาณเหล่านี้ได้ ก็มีโอกาสที่จะขัดเกลาวรยุทธของจิตวิญญาณได้ดีขึ้นอีกมาก


ต้องลอง!


เมื่อคิดได้ จางเซวียนพยายามซึมซับจิตวิญญาณดวงหนึ่งที่อ้าวเฟิงตีแตกกระจายเข้าสู่หว่างคิ้วของเขา


ถ้าจิตวิญญาณยังคงมีจิตใต้สำนึกหลงเหลืออยู่ การซึมซับมันย่อมเท่ากับการครอบงำ ส่งผลให้ซึมซับได้ยาก แต่จิตวิญญาณที่แตกสลายล้วนแต่สูญเสียจิตใต้สำนึกของมันไปแล้ว ทำให้กลายเป็นจิตวิญญาณบริสุทธิ์ สำหรับจางเซวียน เขาซึมซับมันได้ง่ายมาก


จางเซวียนพลันรู้สึกได้ว่าระดับวรยุทธของจิตวิญญาณเพิ่มสูงขึ้น เขาตาโตด้วยความตื่นเต้น


ไม่เลวเลย!


โชคดีที่เลือกเข้าร่วมกลุ่มนี้ ต่อให้ไม่ได้น้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นมา แต่อย่างน้อยก็เป็นการเดินทางที่ได้ประโยชน์


เมื่อมีอ้าวเฟิงเป็นกองหน้าและราชันย์เทพเจ้าอีก 13 คนคอยปัดป้องจิตวิญญาณหลอกหลอนอยู่ด้านหลัง จิตวิญญาณที่แตกสลายก็กระจัดกระจายไปทั่วบริเวณนั้น


เพียง 10 นาที จางเซวียนก็รู้สึกได้ว่าจิตวิญญาณของเขาพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว


…..


แต่แล้ว ทั้งกลุ่มก็ลงเอยด้วยการตกอยู่ในวงล้อมของจิตวิญญาณหลอกหลอนโดยไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว เหมือนที่อ้าวเฟิงเคยคาดการณ์ไว้


ลำธารในภูเขาสายนี้เต็มไปด้วยพืชพรรณและสมุนไพรที่มีชีวิตอยู่มาเนิ่นนานนับปีไม่ถ้วน อีกทั้งสภาพแวดล้อมโดยรอบก็แสนจะเหมาะสมกับการบ่มเพาะจิตวิญญาณหลอกหลอน ด้วยเหตุนี้ พวกมันจึงมีจำนวนมาก


แม้จะต่อสู้กันมาระยะหนึ่งแล้ว จำนวนจิตวิญญาณหลอกหลอนก็ดูจะยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ


ครู่ต่อมา จางเซวียนก็หยุดซึมซับจิตวิญญาณ


ประสิทธิภาพในการซึมซับจิตวิญญาณของเขาลดลงเรื่อยๆตามระยะเวลาที่ล่วงไป สุดท้ายก็มาถึงจุดที่หยุดนิ่ง ตอนนี้ จางเซวียนไม่ต้องการแม้จิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ที่สุดเพื่อยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของเขาอีกแล้ว


“น้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นอยู่ตรงนั้น!” อ้าวเฟิงตะโกนขณะชี้นิ้วไป


จางเซวียนมองตาม เห็นลูกทรงกลมที่มีสีขาวเหมือนน้ำนมลอยอยู่เหนือทะเลสาบ


ลูกทรงกลมนั้นมีขนาดเท่ากำปั้น แผ่คลื่นพลังจิตวิญญาณออกมาอย่างต่อเนื่อง ความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณภายในลูกทรงกลมสีขาวน้ำนมนี้น่าจะเข้มข้นกว่าพลังจิตวิญญาณในยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงสุดหลายเท่า


จางเซวียนรู้สึกได้ว่าพลังปราณในร่างกายของเขาเต้นเร่าด้วยความร้อนรนอยากจะซึมซับมันเข้าไป


มันคือของดีจริงๆด้วย จะต้องมีประโยชน์กับเราแน่…จางเซวียนตาโต


เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ หากได้ซึมซับมัน ก็น่าจะผลักดันระดับวรยุทธของพลังปราณไปเป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขั้นกลางหรือแม้แต่ขั้นสูงได้อย่างง่ายดาย


เพียงแต่…


เมื่อครู่นี้เขาง่วนอยู่กับการซึมซับจิตวิญญาณและไม่ได้ช่วยเหลืออะไรพรรคพวกมากนัก ในเมื่ออ้าวเฟิงกับราชันย์เทพเจ้าคนอื่นๆลงทุนลงแรงไปมาก เขาก็รู้สึกละอายหากจะฉกฉวยน้ำทิพย์มา


เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นปรมาจารย์ ไม่ใช่นักย่องเบา


และอีกอย่าง ก็น่าจะมีลูกทรงกลมที่บรรจุน้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นแบบนี้มากกว่า 1 ลูกอยู่แถวๆนี้ ไว้ค่อยตรวจสอบทีหลังก็ได้


ขณะที่คนอื่นๆต้องหาทางฝ่าจิตวิญญาณหลอกหลอนเพื่อให้ได้น้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นมา แต่จางเซวียนไม่ต้องพยายามถึงขนาดนั้น


เพราะเมื่อถึงเวลา เขาก็แค่ถอดจิตวิญญาณออกมาและปลอมตัวเป็นจิตวิญญาณหลอกหลอน ด้วยวิธีนี้ ก็จะเล็ดลอดผ่านพวกมันเข้าไปและนำน้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นออกมาได้โดยไม่ลำบากอะไร


ฟึ่บ!


ราวกับจะปกป้องน้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้น จำนวนจิตวิญญาณหลอกหลอนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องขณะที่ราชันย์เทพเจ้าทั้งกลุ่มรุกคืบเข้าไป ด้วยเหตุนี้ แรงกดดันที่พวกเขาได้รับจึงมากมายมหาศาล


ภายในไม่กี่นาที ก็มีราชันย์เทพเจ้า 4 คนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้แต่อ้าวเฟิงก็มีเลือดซึมออกจากมุมปาก


แถมทุกอย่างยังเลวร้ายลงไปอีก เพราะจิตวิญญาณหลอกหลอนเหล่านั้นแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมอีกมากจนมีวรยุทธเทียบเท่ากับราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุด พวกมันตรงเข้าเล่นงานทั้งกลุ่มโดยปราศจากความหวาดกลัว แถมยังมีทักษะการโจมตีจิตวิญญาณที่ถือว่าเป็นเลิศ ทำให้สภาวะจิตและประสิทธิภาพการต่อสู้ของทั้งกลุ่มย่ำแย่ลงมาก


“ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ พวกเราได้ตายที่นี่แน่” ราชันย์เทพเจ้าคนหนึ่งร้องออกมา


เกือบทุกคนในกลุ่มมีสีหน้าเคร่งเครียด


พวกเขาเคยคิดว่าหากรวมพลังกันก็น่าจะเอาชนะจิตวิญญาณหลอกหลอนได้สบาย ใครจะไปรู้ว่าประเมินความยากของภารกิจครั้งนี้ต่ำไป?


“เราต้องถอยแล้วนะ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ไม่มีชีวิตรอดกลับไปแน่!” ราชันย์เทพเจ้าอีกคนหนึ่งตะโกน

 

 

 


ตอนที่ 2317 ค่ายกล

 

ในชั่วพริบตา สมาชิกทุกคนในกลุ่มก็เริ่มลังเล-ควรถอยและล้มเลิกภารกิจ หรือเดินหน้าต่อไป?


ถึงพวกเขาจะอยู่ใกล้น้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นแล้ว แต่แรงกดดันที่ต้องเผชิญก็หนักหน่วงขึ้นในทุกวินาทีที่ผ่านไป หากเป็นแบบนี้ ไม่ช้าไม่นานก็คงถูกกวาดล้าง


“เรามาไกลขนาดนี้แล้วนะ จวนจะถึงเป้าหมายอยู่แล้ว จะล้มเลิกได้อย่างไร?” อ้าวเฟิงตวาดก้อง “ทุกคนรอผมตรงนี้สักครู่ ผมจะเข้าไปเอาน้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นออกมา!”


อ้าวเฟิงวิ่งตรงเข้าไปพร้อมกับคำรามกร้าว ในชั่วพริบตา เขาก็กลายร่างเป็นมังกรสีทองตัวมหึมา


มังกรตัวนั้นโถมกำลังเข้าใส่น้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นที่อยู่กลางอากาศ


อ้าวเฟิงรู้ดีว่าไม่อาจเข้าถึงเป้าหมายโดยใช้ร่างมนุษย์ จึงกลายสภาพกลับสู่ร่างเดิมโดยไม่ลังเล!


การปรากฏตัวของมังกรสีทองทำให้บรรยากาศโดยรอบดูจะเบาบางลงไป ปริมาณพลังจิตวิญญาณ ในบริเวณนั้นเข้มข้นดุเดือดยิ่งขึ้น


อ้าวเฟิงกำลังสำแดงพละกำลังที่แท้จริงของเขาในฐานะราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแห่งน่านฟ้ามังกรเมฆ


ฟึ่บ!


ทันทีที่มังกรสีทองปรากฏ จิตวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ตรงนั้นก็พุ่งเข้าใส่เขาอย่างบ้าคลั่ง บางส่วนถึงกับระเบิดตัวเองเพื่อเล่นงานอีกฝ่ายให้ได้รับบาดเจ็บ ในชั่วพริบตา การกระเพื่อมของมิติชั้นแล้วชั้นเล่าก็กระจายตัวออกไปโดยรอบ ทำให้มิติตรงนั้นเกิดความไม่เสถียร


ภายใต้การโจมตีอย่างไม่ลดละของจิตวิญญาณหลอกหลอน เกล็ดอันแข็งแกร่งของอ้าวเฟิงฉีกขาด บาดแผลรุนแรงปรากฏทั่วร่าง เลือดมังกรสีทองหยดลงพื้น เกิดเสียงฉี่ฉ่าบนโขดหินด้านล่าง


เมื่อรู้แล้วว่ากำลังเพลี่ยงพล้ำ อ้าวเฟิงใช้ลมหายใจมังกรของเขาโดยไม่ลังเล ลมหายใจนั้นเล่นงานจิตวิญญาณหลอกหลอนจำนวนหลายสิบที่ขวางอยู่ เกิดเป็นช่องทางให้อ้าวเฟิงผ่านเข้าไปได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง


ฟึ่บ!


อ้าวเฟิงรีบใช้โอกาสนี้พุ่งเข้าไป และขณะที่กำลังจะเข้าถึงน้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้น ปราการแสงก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า สกัดกั้นเขาไว้


“มันคือค่ายกลที่จิตวิญญาณหลอกหลอนสร้างขึ้น!” อ้าวเฟิงหน้าดำคร่ำเครียดขณะขนลุกขนชันทั่วทั้งตัว


ไม่เพียงแต่จิตวิญญาณหลอกหลอนพวกนี้จะมีชีวิตจิตใจ พวกมันยังผนึกกำลังกันเพื่อสร้างค่ายกลได้ด้วย…เรื่องนี้เกินความคาดหมายของเขามาก


อ้าวเฟิงรีบเงื้อกรงเล็บขึ้นเพื่อกรีดปราการแสงให้เป็นรู


ปราการแสงสั่นสะท้านจากการโจมตีของเขา แต่ก็ไม่เกิดความเสียหาย


ขนาดนักรบที่แข็งแกร่งระดับอ้าวเฟิงสำแดงพละกำลังเต็มพิกัด ก็ยังไม่อาจเล่นงานค่ายกลที่อยู่ตรงหน้าได้


“เราไม่เชื่อหรอก!”


อ้าวเฟิงรับไม่ได้หากต้องปล่อยน้ำทิพย์ปฐพีให้หลุดลอยไปทั้งที่มันอยู่ตรงหน้า ไม่ว่าอย่างไร เขาจะต้องปฏิบัติภารกิจนี้จนสำเร็จให้ได้


ไม่อย่างนั้น ถ้าใครต่อใครนำเรื่องความอันตรายของที่นี่ไปซุบซิบกัน ต่อไปเขาคงรวมทีมใหม่ได้ยาก พูดอีกอย่างก็คือ อ้าวเฟิงมีโอกาสครั้งนี้เพียงครั้งเดียวที่จะทำให้สำเร็จ ความล้มเหลวคือสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้


แต่เขาก็รู้ดีว่ามีเวลาไม่มาก ทุกวินาทีที่เขายังอยู่ตรงนี้ คนอื่นๆในกลุ่มจะต้องเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจากจิตวิญญาณหลอกหลอน


ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!


อ้าวเฟิงตวัดกรงเล็บกรีดปราการแสงครั้งแล้วครั้งเล่าจนปราการสั่นสะท้านไม่หยุด แต่ก็ไม่อาจทำลายมันได้


ปราการแสงนั้นยังไม่แตกสลายก็จริง แต่ก็บางลงเรื่อยๆจากการโจมตีอันดุเดือดของเขา การตวัดกรงเล็บแต่ละครั้งทำให้พลังจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งแผ่ซ่านออกไปโดยรอบ


จางเซวียนเฝ้ามองภาพนั้น เขาตาโตด้วยความตื่นเต้น


มันไม่ใช่ค่ายกล แต่เป็นรังดักแด้ที่ก่อตัวขึ้นจากน้ำทิพย์ที่บริสุทธิ์ที่สุดซึ่งสกัดจากจิตวิญญาณหลอกหลอนจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน…


หากมองเผินๆก็เหมือนปราการแสง แต่พลังงานที่แผ่ซ่านออกมาจากการโจมตีแต่ละครั้งทำให้เห็นชัดแล้วว่าไม่ใช่


ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิด เหตุผลที่พืชพันธุ์ชนิดต่างๆในบริเวณนี้มีจิตวิญญาณตั้งแต่กำเนิดก็เพราะการที่มีน้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นอยู่ ด้วยเหตุนี้ จิตวิญญาณเหล่านั้นจึงเห็นน้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นเป็นเสมือนมารดาของพวกมัน


เพื่อปกป้องมารดา จิตวิญญาณหลอกหลอนจะสกัดน้ำทิพย์จากจิตวิญญาณของพวกมันและนำมาสะสมรวมกันให้มากขึ้นเรื่อยๆเพื่อสร้างเป็นชั้นปราการปกป้อง


พูดอีกอย่างก็คือ…


แท้ที่จริงแล้ว ปราการแสงคือน้ำทิพย์ชั้นดีสำหรับเขา!


ถ้าเราได้ซึมซับมัน คงยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณได้อีกแน่ๆ


เมื่อคิดได้ จางเซวียนรีบปัดจิตวิญญาณหลอกหลอน 2 ดวงที่เข้ามาขวางให้ออกไปพ้นทางก่อนจะขยับตัวเข้าใกล้ปราการแสง เขารู้สึกได้ถึงพลังจิตวิญญาณเข้มข้นที่แผ่ออกมาและอบอวลอยู่ในอากาศ


เพียงแค่ซึมซับเข้าไปเสี้ยวหนึ่ง ระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของเขาก็เพิ่มสูงขึ้นอีกมาก


สิ่งนี้ช่วยยืนยันความคิดของจางเซวียน ถ้าเขาได้ซึมซับมัน จะต้องยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณให้เข้าถึงขั้นใหม่ได้อย่างแน่นอน


คงโง่เต็มทีหากยอมพลาดของดีๆแบบนี้!


จางเซวียนหันไปมองปราการแสง เห็นมันถูกฉีกกระชากออกไปชั้นแล้วชั้นเล่าด้วยการโจมตีอย่างไม่ลดละของอ้าวเฟิง จิตวิญญาณหลอกหลอนที่อยู่บริเวณนั้นซึมซับเอาพลังจิตวิญญาณเข้มข้นที่แผ่ซ่านออกมาจนพวกมันแข็งแกร่งขึ้น


“น่าเสียดาย…”


หากเป็นแบบนี้ แรงกดดันที่ถาโถมเข้าใส่กลุ่มราชันย์เทพเจ้าก็มีแต่จะเพิ่มขึ้นอีก เพราะจิตวิญญาณหลอกหลอนแข็งแกร่งกว่าเดิม ทั้งยังเป็นการสูญเปล่าหากจะปล่อยให้จิตวิญญาณหลอกหลอนพวกนั้นซึมซับน้ำทิพย์เข้าไปฟรีๆ


ถ้าเขาได้มันมา ประโยชน์ที่ได้อาจมากกว่าการซึมซับน้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นเสียอีก!


แบบนี้ไม่ได้การ เราควรซึมซับเสียเอง จางเซวียนคิดขณะเดินเข้าหาปราการแสง


…..


ระหว่างนั้น มังกรสีทองที่อยู่กลางอากาศก็ยังโจมตีปราการแสงอย่างต่อเนื่อง แรงตีกลับจากการปะทะทำให้กรงเล็บของมันมีเลือดไหลโกรก แถมบางครั้ง จิตวิญญาณหลอกหลอนที่อยู่โดยรอบก็ตรงเข้าเล่นงานมัน ทำให้อาการบอบช้ำยิ่งรุนแรงกว่าเดิม


มันรู้สึกเหมือนจะหมดแรงและร่วงลงจากกลางอากาศได้ทุกขณะ


อ้าวเฟิงกัดฟันกรอดขณะครุ่นคิด เราเป็นหนี้บุญคุณต่อจอมราชันย์มังกรเมฆ น้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นคือสิ่งที่จะช่วยให้จอมราชันย์มังกรเมฆยกระดับวรยุทธของเขาได้ ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไรเราก็ต้องปฏิบัติภารกิจนี้ให้สำเร็จ


ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติส่วนใหญ่ได้รับคำชี้แนะจากจอมราชันย์ ซึ่งทั้งน่านฟ้าทางทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก เหล่าราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติก็มีสายเลือดเกี่ยวพันกับจอมราชันทั้งนั้น


นั่นหมายความว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาแนบแน่นกว่าธรรมดา


หากจอมราชันย์ต้องการสิ่งใด ต่อให้ต้องเอาชีวิตเข้าแลก พวกเขาก็พร้อมจะหามันมาให้ได้!


อ้าวเฟิงโจมตีอย่างบ้าคลั่งต่อไป แต่ยิ่งออกแรงมากขึ้นเท่าไหร่ แรงตีกลับก็หนักหน่วงขึ้นเท่านั้น ไม่ช้าร่างของเขาก็บอบช้ำอย่างหนัก ดูเหมือนใกล้ทรุดเต็มที


อ้าวเฟิงรู้ดีว่าร่างกายของเขาใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว หากดันทุรังต่อไป คงตายก่อนจะได้เข้าถึงน้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้น เขาจนปัญญาอย่างหนักจนคิดจะออกคำสั่งให้ล่าถอย ก็พอดีกับที่เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าปราการแสงที่เขาเพิ่งโจมตีไปเมื่อครู่


ชายหนุ่มยิ้มอย่างลิงโลด เขาตั้งต้นซึมซับพลังงานที่แผ่ซ่านออกมาจากปราการแสง


“….”


อ้าวเฟิงในร่างมังกรก้มหน้าลงและเห็นทันทีว่าชายหนุ่มคนนั้นเป็นใคร


หมอนั่นคือหนึ่งในสองราชันย์เทพเจ้าคนสุดท้ายที่เขารับเข้ากลุ่ม


“ไม่ต้องสนใจผม คุณทำอะไรก็ทำไปเถอะ ผมแค่จะซึมซับมันสักหน่อยก่อนจะออกไป” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับโบกมืออย่างสบายใจ


“….” อ้าวเฟิงเกือบลมจับ


ไอ้น้อง!


ผมเกือบจะถูกจิตวิญญาณหลอกหลอนฆ่าตายอยู่แล้วขณะที่พยายามทำลายปราการแสงนี่! แม้ตอนนี้ ตัวผมก็ยังมีเลือดไหลไม่หยุด


แล้วคุณเข้ามาตรงนี้ได้อย่างไรโดยไม่มีแม้แต่รอยฉีกขาดบนเสื้อผ้า?


แถมยังอารมณ์ดีถึงขนาดยิ้มและโบกมือให้ผม…


จะบ้าหรือไง! ผมจะตายอยู่แล้ว! ถ้าคุณเก่งกาจขนาดนั้น ทำไมถึงไม่ลงมือทำอะไรตั้งแต่เมื่อกี้?


อ้าวเฟิงจ้องหน้าชายหนุ่มอย่างโกรธเกรี้ยว แต่ก็เห็นอีกฝ่ายง่วนอยู่กับการซึมซับพลังงานที่รั่วไหลออกมา จดจ่ออยู่กับมันจนดูเหมือนมีพายุทอร์นาโดขนาดย่อมก่อตัวขึ้นโอบล้อมร่างของเขาไว้


จิตวิญญาณหลอกหลอน 2 ดวงที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบริเวณนั้นรู้สึกได้ว่าแหล่งพละกำลังของพวกมันกำลังถูกชายหนุ่มแย่งไป มันพุ่งเข้าใส่ขณะกรีดร้องอย่างโกรธเกรี้ยว


“ระวังตัวด้วย!” อ้าวเฟิงตะโกน


ตุ้บ! ตุ้บ!


แต่ยังไม่ทันที่จิตวิญญาณหลอกหลอนจะได้เข้าใกล้ ชายหนุ่มก็โบกมือ


เกิดเสียงตุ้บหนักๆ 2 ครั้ง จิตวิญญาณหลอกหลอนทั้ง 2 ดวงแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นผงก่อนจะถูกชายหนุ่มซึมซับเข้าไป


ชายหนุ่มเงยหน้ามองอ้าวเฟิงอีกครั้ง เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไม่ต้องคอยระวังให้ผม คุณทำลายปราการแสงต่อไปเถอะ ตอนนี้มันก็บางมากแล้ว ถ้าคุณเร่งมือหน่อย น่าจะจัดการมันได้ภายใน 10 นาที!”


“10 นาที?” อ้าวเฟิงกระอักเลือดออกมา


เขายังคิดอยู่ว่าไม่ช้าก็คงทำลายมันได้สำเร็จ แต่ลงท้าย…10 นาทีเชียวหรือ?


เขาแทบจะเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อโจมตีมัน แต่สุดท้ายก็ทำลายปราการแสงไปได้ไม่ถึง 1 ใน 10 ด้วยซ้ำ?


ให้นรกกินเถอะ! ตกลงไอ้นี่มันแตกสลายได้ใช่ไหม?


อ้าวเฟิงกล้ำกลืนความชอกช้ำ เขาก้มหน้าลงอีกครั้ง เห็นชายหนุ่มเพิ่งเสร็จสิ้นการซึมซับพลังงานที่อบอวลอยู่โดยรอบ


เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว อีกฝ่ายเงยหน้ามองเขาด้วยสีหน้าขัดอกขัดใจก่อนจะตั้งคำถาม “คุณจะมัวยืนนิ่งทำไม? อย่าหยุดสิ!”


“ฮะ…”


อ้าวเฟิงคิดอะไรไม่ออก เขาตั้งต้นใช้กรงเล็บกรีดปราการแสงอีกครั้ง พลังงานแผ่ซ่านออกไปโดยรอบ


จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจก่อนจะหันกลับไปซึมซับพลังจิตวิญญาณที่อบอวลอยู่รอบตัว


เพราะได้ซึมซับน้ำทิพย์ของจิตวิญญาณที่อยู่ในปราการแสง จิตวิญญาณของจางเซวียนจึงแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งประสิทธิภาพการควบคุมพลังจิตวิญญาณก็ได้รับการขัดเกลาจนแม่นยำกว่าเดิม


ไม่ช้า ระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของเขาก็เข้าถึงขั้นที่น่าพอใจอีกครั้ง


ไม่มีอะไรต้องกังวล


ด้วยการใช้ความคิด จางเซวียนส่งต่อน้ำทิพย์ของจิตวิญญาณให้ตัวโคลนเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้จิตวิญญาณของอีกฝ่าย ซึ่งหมอนั่นก็ซึมซับทุกอย่างที่พอจะซึมซับได้


เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง จางเซวียนเห็นอ้าวเฟิงลอยอยู่กลางอากาศ ร่างมังกรของเขาโชกเลือดและอ่อนปวกเปียก ดูเหมือนใช้พละกำลังไปหมดเกลี้ยง


อีกฝ่ายดูไม่สง่างามเหมือนเคย


“ผมมียาเม็ดที่ช่วยฟื้นฟูพลังชีวิตของคุณได้ กินเสีย!”


จางเซวียนกระดิกนิ้ว จากนั้นก็โยนยาเม็ดหนึ่งให้อ้าวเฟิง


ถ้าอ้าวเฟิงสลบ เขาคงไม่อาจซึมซับน้ำทิพย์ของจิตวิญญาณที่อยู่ตรงนี้ได้เหมือนเดิม แถมเขาก็ซึมซับไปเยอะแล้ว สมควรตอบแทนบุญคุณของอีกฝ่ายบ้าง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)