กระบี่จงมา 231.1-232.2

 บทที่ 231.1 เมฆดำกดทับเหนือเมือง

โดย

ProjectZyphon

“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”


บนป้อมสูงเหนือกำแพงเมือง เทพเซียนเฒ่าที่ก้มหน้าลงมองทั้งเมือง ควบคุมสถานการณ์ทุกอย่างไว้ในกำมือร้องอุทานด้วยน้ำเสียงตกตะลึง เขาหันหน้าไปอธิบายให้แม่ทัพหม่าที่สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจฉงนฉงายฟัง “เกิดปัญหาใหญ่ขึ้นที่ศาลเทพอภิบาลเมือง ดูท่าทางจะมีปีศาจใหญ่สำแดงฤทธิ์เดชแสดงความโหดเหี้ยม ทำลายร่างทองมิดับสลายของท่านเทพอภิบาลเมือง ข้าจำเป็นต้องไปดูด้วยตัวเองสักครั้งถึงจะวางใจ เทพอภิบาลเมืองร่างทองคำมีความเกี่ยวพันกับเมืองแยนจืออย่างใกล้ชิด หากร่างทองของเทพอภิบาลเมืองเสิ่นพังทลายลงอย่างสิ้นเชิง ต่อให้ผ่านหายนะครั้งนี้ไปได้ เมืองแยนจือก็ยังต้องสูญเสียพลังต้นกำเนิดไปอย่างมหาศาลอยู่ดี!”


เทพเซียนเฒ่ามองไปยังทิศทางที่ตั้งของศาลเทพอภิบาลเมืองด้วยความกังวลใจ เขาถอนหายใจหนึ่งทีก่อนจะแค่นเสียงหยัน “ช่างเถอะ! ต่อให้เป็นบ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์ วันนี้ก็ต้องบุกเข้าไปให้ได้! ต่อให้ต้องยอมทุ่มด้วยตบะทั้งร่างก็ต้องลองดูว่าจะช่วยท่านเทพอภิบาลเมืองที่บาดเจ็บสาหัสออกมาได้หรือไม่ คิดไม่ถึงเลยว่าปีศาจที่มาก่อเรื่องในครั้งนี้จะมีพละกำลังมากถึงเพียงนี้ เดิมทีนึกว่าพวกมันแค่ใช้ค่ายกลดึงตัวท่านเทพอภิบาลเมืองเอาไว้ ไหนเลยจะคิดว่าพวกมันโหดเหี้ยมถึงขนาดคิดทำลายล้างเมืองทั้งเมือง แม่ทัพหม่า ช่วยไม่ได้ ตอนนี้คงต้องมอบหน้าที่ดูแลประตูเมืองตะวันออกไว้ที่เจ้าคนเดียวชั่วคราวแล้ว”


แม่ทัพหม่ากล่าวเสียงหนัก “ต้องการให้ส่งทหารฝีมือดีหลายๆ สิบคนไปช่วยหวงเหล่าอีกแรงหรือไม่? ในจวนเจ้าเมืองยังมีมือธนูที่ยิงได้แม่นยำเป็นพิเศษอยู่อีกหลายสิบคน พวกเขามีความสามารถในการสังหารภูตผีปีศาจมากที่สุด”


เทพเซียนเฒ่าโบกมือ “ไม่ทันแล้ว อีกอย่างเอาไปด้วยก็มีความหมายไม่มาก”


ถึงอย่างไรแม่ทัพหม่าก็คือแม่ทัพผู้ห้าวหาญแห่งสมรภูมิรบ จึงไม่ได้อิดออดให้เสียเวลา เพียงกุมมือคารวะ “ขออวยพรล่วงหน้าให้หวงเหล่าคว้าชัยชนะมาได้!”


“ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้เป็นจริงดังคำที่แม่ทัพหม่าอวยพร!” เทพเซียนเฒ่ากุมมือคารวะกลับคืน เขายิ้มบางๆ ก่อนร่างจะถลาลงมาจากกำแพงเมืองเหมือนนกร่อนปีก พอพลิ้วกายลงบนหลังคาที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบจั้งก็บินโฉบไปด้านหน้าอีกครั้ง โบยบินขึ้นๆ ลงๆ อย่างสง่างามอยู่หลายสิบครั้ง สุดท้ายร่างของเขาที่มองไกลๆ เหมือนเมล็ดข้าวสารเมล็ดหนึ่งก็ไปพลิ้วกายลงในศาลเทพอภิบาลเมืองที่ฝุ่นคลุ้งรอบด้านเริ่มจางลงแล้ว


ผู้ที่มารเฒ่าหมี่กับคู่สามีภรรยาเรียกว่าเซียนหลิวหลีผู้นี้ไม่ได้ตรงดิ่งไปที่ตำหนักเทพอภิบาลเมือง แต่พลิ้วกายบนลานกว้างของตำหนักใหญ่นอกกำแพงสูง ค่อยๆ เยื้องย่างไปข้างหน้า สะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ยันต์กระดาษเหลืองปึกใหญ่ก็ลอยออกมา กลายเป็นกลุ่มควันที่ซัดตลบอบอวลอยู่กลางอากาศ และเพียงชั่วพริบตาก็มีเด็กสาวชุดขาวถือกระบี่สิบกว่าคนพุ่งตัวออกมาจากกลุ่มควัน แต่ละคนก้าวเท้าแผ่วเบาว่องไว เรือนกายอรชรอ้อนแอ้นกระโจนเข้าใส่ตำหนักใหญ่ชั้นแรกที่ตั้งบูชาแม่ทัพบุกเบิกแคว้นผู้มีคุณูปการของแคว้นไฉ่อี


ตอนที่เทพเซียนเฒ่าเดินผ่านเทวรูปขุนนางสวรรค์สององค์ที่สภาพพิการแตกบิ่น สัตว์ห้าพิษต่างก็แยกย้ายถอยหนีกันไปนานแล้ว เดินเข้าไปในตำหนัก รูปปั้นดินเผาที่อยู่ในตำหนักแห่งนี้ยังคงสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์ ผู้เฒ่าย่อมรู้สาเหตุว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ นั่นก็เพราะเมื่อไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้านใน เทวรูปที่มองดูแล้วเปี่ยมไปด้วยอำนาจบารมีก็เป็นแค่ดินที่ช่างปั้นปั้นให้มีชุดสวมใส่เท่านั้น มารเฒ่าหมี่ไม่มีทางลงมือกับพวกมันให้เสียเวลา เพราะจะสิ้นเปลืองควันธูปที่เขาสร้างขึ้นเป็นพิเศษ


กลุ่มเด็กสาวถือกระบี่ที่เคยเผยกายบนแท่นสูงใจกลางทะเลสาบก้าวเดินว่องไว พุ่งตัวเข้าไปในลานกว้างขนาดเล็กที่อยู่ระหว่างตำหนักเทพไฉเสินกับตำหนักไท่สุ้ยอย่างรวดเร็ว เด็กสาวคนหนึ่งในนั้นริมฝีปากขยับเบาๆ คล้ายกำลังเรียกหาใคร แต่กลับไม่มีการตอบรับ เทพเซียนเฒ่าข้ามออกจากประตูหลังมาแล้วก็หยุดยืนนิ่งอยู่กับที่ กวาดตามองไปรอบด้านแล้วขมวดคิ้วกล่าวว่า “ไม่ต้องเรียกแล้ว พี่สาวไฉ่อี (ไฉ่อีแปลว่าชุดหลากสี ชุดสีสันสดใส ซึ่งหมายถึงชุดที่ใช้ในการแสดง) ของพวกเจ้าถูกคนทำลายให้กลับสู่สภาพเดิมไปแล้ว แม้แต่ข้าก็ยังสัมผัสถึงวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของนางไม่ได้ คนที่ลงมือมีตบะสูงยิ่งนัก”


ผู้เฒ่าพลันยกแขนขึ้นกวักหนึ่งครั้ง กระบี่ยาวสีแดงสดที่ถูกซ่อนไว้ในพุ่มใบไม้ระหว่างกิ่งสูงของต้นสนโบราณก็เข้ามาอยู่ในมือของเขาในเวลาเพียงเสี้ยววินาที เขาก้มหน้าลงดมตัวกระบี่ก็พอจะคลายใจลงได้เล็กน้อยเพราะไม่มีปราณปีศาจทิ้งไว้ นี่เป็นเรื่องดี มารเฒ่าหมี่ไม่ได้ค้นพบเบาะแสแล้วชิงเอา ‘ตราทางการเหล็กกล้า’ ที่ลักษณะเหมือนเครื่องประดับชิ้นนั้นไปก่อน จากนั้นเขาก็โยนกระบี่ยาวให้กับเด็กสาวที่มีใฝตรงมุมปาก ผู้เฒ่าเดินไปข้างหน้าช้าๆ แม้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้จะไม่ได้เดินไปยังจุดที่เลวร้ายที่สุด แต่ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ ตำหนักเทพอภิบาลเมืองพังถล่มลงไปแล้ว เทพอภิบาลเมืองร่างทองเสิ่นเวินก็กลายมาเป็นเพียงเนินดินกองหนึ่ง เทวรูปบุ๋นบู๊สองตนที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาก็มีจุดจบเดียวกัน ตราทางการเหล็กกล้าไม่รู้หายไปอยู่ที่ไหน


ผู้เฒ่าสีหน้ามืดทะมึน ใคร่ครวญอยู่ในใจ หรือว่าบุคคลยิ่งใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังของเบื้องหลังเรื่องครั้งนี้ก็สนใจตราประดับเสี่ยนโย่วโป๋อภิบาลเมืองชิ้นนั้นเหมือนกัน? ก็เลยปิดบังตน ปล่อยให้คนอื่นได้โอกาสแย่งชิงไปก่อน? แต่ผู้เฒ่าก็ล้มเลิกความคิดนี้ไปอย่างรวดเร็ว ไม่น่าจะเป็นไปได้ ไม่น่าจะถึงขั้นนั้น ด้วยสถานะเทพเซียนผู้อาวุโสที่ยืนอยู่บนยอดสูงสุดของแจกันสมบัติทวีปที่แท้จริงผู้นั้น สมบัติอาคมประเภทนี้อาจเป็นของดีที่มีค่าควรเมืองสำหรับผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลาง ซึ่งผู้คนยอมหัวร้างข้างแตก ยอมทุ่มชีวิตไปแย่งชิงมันกับคนอื่น แต่สำหรับคนผู้นั้นแล้ว มันไม่มีค่ามากพอให้เขาต้องตระบัดสัตย์คืนคำเพียงเพื่อจะแย่งชิงมัน


ความปรารถนาของคนผู้นั้นยิ่งใหญ่มากเกินไป เขาต้องการให้ห้าแคว้นซึ่งรวมถึงแคว้นไฉ่อีกับแคว้นกู๋อวี๋เปิดสงครามโกลาหลครั้งใหญ่ ต้องการให้พื้นที่ใจกลางของแจกันสมบัติทวีปมีเสียงกลองรัวกระหน่ำ ควันปืนลอยคละคลุ้ง


ผู้เฒ่าที่เป็นเซียนอิสระฝึกวิชานอกรีตเดินหน้าเคร่งเข้าไปในซากปรักหักพังของตำหนักเทพอภิบาลเมือง สุดท้ายเดินมาหยุดอยู่ด้านข้างผนังที่ล้มครืนลงไปทั้งแถบ


แม้ว่าผนังแถบนี้จะรักษาสภาพเดิมไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ มีรอยปริร้าวไม่มากนัก แต่ความเสียหายเล็กๆ น้อยๆ กลับมากอย่างถึงที่สุด ผู้เฒ่าไล่สายตามองไปยังทุกรายละเอียดอย่างตั้งใจ ภาพสาวงามบินสู่ฟ้าเก้าเก้าแปดสิบเอ็ดคนที่วาดอยู่บนผนัง ตอนนี้หลงเหลือแค่สามสิบกว่าคนที่สภาพค่อนข้างดี ผู้เฒ่ากระทืบเท้า กล่าวด้วยความเสียดายอย่างสุดซึ้ง “ย่ำยีวัตถุสวรรค์!”


หลังจากที่ผู้เฒ่าแน่ใจแล้วว่ารอบด้านไม่มีคน แต่ก็ยังสั่งให้ดรุณีน้อยชุดขาวที่ถือกระบี่ทั้งหลายไปเฝ้าจับตามองตามตำแหน่งต่างๆ ของผนัง จากนั้นเขาถึงทรุดตัวลงนั่งยอง มือซ้ายควักเอาถ้วยแก้วใบเล็กงดงามสีรุ้งใบหนึ่งออกมา มันส่องประกายรัศมีน่ามอง พอผู้เฒ่าหยิบมันออกมาจากชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง มันก็ส่องแสงให้รอบด้านเกิดริ้วคลื่นหลากสี งดงามจับตา


ผู้เฒ่ารีบโบกชายแขนเสื้อข้างขวาข่มรัศมีแสงสีรุ้งที่ไหลไปทั่วทุกพื้นที่ให้ลดระดับลงเล็กน้อย ปากท่องพึมพำแผ่วเบา สาวงามหลากหลายรูปแบบบนภาพวาดฝาผนังเริ่มขยับตัวอย่างเชื่องช้า ทุกคนพลิ้วกายออกมาจากผนัง พากันกรูเข้าไปในถ้วยแก้วใบเล็ก สตรีบนผนังภาพวาดที่หน้าตา อาภรณ์และระดับขั้นดีที่สุดสามสิบคนผลุบหายเข้าไปในถ้วยใบเล็กก่อน จากนั้นถึงเป็นสตรีอีกสิบกว่าคนที่ใบหน้ายังคงสมบูรณ์แบบ แต่แขนขาเสื้อผ้าเสียหาย สุดท้ายบนผนังจึงเหลือแค่สตรีที่ทั้งใบหน้าและร่างกายต่างก็เสียหายย่อยยับซึ่งคล้ายกำลังร้องสะอื้นแผ่วๆ เสียงเบาเหมือนเสียงธารน้ำสายเล็กที่ไหลไปตามร่องหิน


ผู้เฒ่ายังไม่ยอมเลิกราง่ายๆ แม้แต่สีพื้นของภาพวาดก็ยังถูกเขาดึงออกมาเก็บไว้ในถ้วยใบเล็ก เหล่าหญิงสาวพิการที่เหมือนสูญเสียบ้านให้อยู่อาศัยก็ยิ่งร้องคร่ำครวญน่าสงสาร สะอื้นไห้อยู่กลางผนังที่ว่างเปล่า


ผู้เฒ่าเก็บถ้วยใบเล็ก ลุกขึ้นยืน ก้มหน้าลงมองสตรีพิการที่กระจัดกระจายอยู่บนผนังแล้วส่ายหน้าอีกครั้ง ในใจเสียดายอย่างถึงที่สุด แต่แล้วเขาก็ยกชายแขนเสื้อขึ้น หนึ่งฝ่ามือตบลงไปแรงๆ ผนังแถบนั้นก็แหลกสลายกลายเป็นผุยผง


……


ร้านขายข้าวเปิดประตูอีกครั้ง แต่ไม่ได้ทำการค้า ลูกจ้างร้านสามคนต่างก็แยกย้ายกันไปตามจุดต่างๆ ของเมือง โดยเฉพาะเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่ตอนวิ่งออกไป ใบหน้าเต็มไปด้วยความปิติยินดี ส่วนผู้เฒ่าเถ้าแก่ร้านขายข้าวก็พาสองสามีภรรยาไปเดินอยู่ในตรอกที่เงียบสงัดตรอกหนึ่ง สตรีแต่งงานแล้วถามว่า “เทพอภิบาลเมืองร่างทองของศาลเทพอภิบาลเมืองกลายเป็นหุ่นเชิดของมารเฒ่าหมี่อย่างเจ้าแล้ว ต่อให้ตบะจะลดระดับลงไปบ้าง แต่ทำไมจู่ๆ ร่างทองถึงระเบิดแตกได้? ในเมืองแยนจือเล็กๆ แห่งนี้มียอดฝีมือห้าขอบเขตกลางซ่อนตัวอยู่หรือไร?”


มารเฒ่าหมี่อารมณ์ไม่ดีนัก ท่าไม้ตายและยันต์คุ้มกันกายที่ใหญ่ที่สุดหายวับไปอย่างไม่ทราบสาเหตุใด ไม่ว่าใครก็อารมณ์ดีไม่ไหวกันทั้งนั้น


เขาคิดแล้วก็แบมือออก คิดจะลองเสี่ยงใช้วิชาอภินิหารมองภูเขาและแม่น้ำผ่านฝ่ามือ เวทลับชั้นเยี่ยมของตระกูลเซียนแท้จริงซึ่งมีน้อยจนนับนิ้วได้แบบนี้มักถูกเก็บรักษาไว้เป็นความลับ ไม่ให้แพร่งพรายให้คนนอกรู้ง่ายๆ มารเฒ่าหมี่เองก็เพราะบังเอิญ ถึงไปได้ตำราลับนอกรีตที่ไม่สมบูรณ์แบบเล่มหนึ่งมา เลยเอามาศึกษาจนมีความรู้แบบงูๆ ปลาๆ เนื่องด้วยในตำราลับขาดสัจจคาถาอันเป็นโชวาสนาไปถึงครึ่งหนึ่ง ทุกครั้งที่ใช้จะต้องจ่ายด้วยค่าตอบแทนมหาศาลด้วยเลือดในหัวใจของเขาหนึ่งหยด อีกทั้งหากสถานที่ที่แอบลอบมองอยู่ไกลๆ มีผู้ฝึกลมปราณที่ขอบเขตค่อนข้างสูงอยู่ด้วยก็ง่ายที่จะถูกจับได้ และมีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าจะถูกสืบสาวเบาะแสจนตามมาเจอตัวและอาจถึงขั้นไล่ฆ่าเขา วิชาอภินิหารไร้เทียมทานที่ยอดเยี่ยมกลับกลายมาเป็นเหมือนซี่โครงไก่เพียงแค่เพราะความขาดแคลนไม่สมประกอบ


การที่ตระกูลเซียนบนภูเขาสามารถหยั่งรากฐานได้อย่างลึกล้ำ สาเหตุส่วนใหญ่นั้นอยู่ที่พวกเขามีเวทลับอันเป็นใจกลางสำคัญที่สืบทอดต่อกันมาหลายรุ่นหลายสมัย ไม่มีโรคร้ายที่อาจทิ้งไว้เบื้องหลัง และเมื่อบรรพาจารย์แต่ละรุ่นแก้ไขปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็ยิ่งสมบูรณ์แบบมากขึ้น ไม่มีข้อบกพร่องช่องโหว่ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องให้ลูกหลานหรือลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจซึ่งเป็นคนรุ่นหลังต้องคลำหาหนทางกันเอาเอง เล่าลือกันว่าเวทลับชั้นเยี่ยมสูงสุดบางอย่างถึงขนาดทำให้คนที่ฝึกตนมีหวังว่าจะเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบน และถ้าเป็นสำนักนอกรีตซึ่งมีลำดับรองลงมาก็สามารถช่วยให้คนในสำนักเดินไปบนมหามรรคากว้างใหญ่ของห้าขอบเขตกลางได้


แต่หากเป็นไปในทางตรงข้าม ผู้ฝึกตนอิสระกี่มากน้อยบนโลกใบนี้ที่เดินสู่วิถีมาร ธาตุไฟเข้าแทรกเพราะสาเหตุนี้? มีมากมายจนนับไม่ถ้วน!


—–


บทที่ 231.2 เมฆดำกดทับเหนือเมือง

โดย

ProjectZyphon

มารเฒ่าหมี่หัวเราะหึหึ “สวรรค์ช่วยข้าจริงๆ! เจ้าเฒ่าเฉินอดทนไม่ไหวจนต้องไปตรวจสอบที่นั่นด้วยตัวเอง เขามันพาตัวมาติดกับดักชัดๆ!”


สายตาของสตรีแต่งงานแล้วเป็นประกาย จ้องเขม็งไปยังถ้วยแก้วใบเล็กที่อยู่ในมือของเซียนหลิวหลีกลางภาพ “นั่นก็คือถ้วยหลิวหลีมรดกของเซียนผู้หนึ่งหรือ?”


มารเฒ่าหมี่พลันกำฝ่ามือเข้าหากัน ไอเลือดที่อยู่ใจกลางฝ่ามือกลุ่มนั้นลอยกลับเข้าไปในร่าง หันหน้ามาส่งยิ้มเย็นชา “ทำไม คิดจะแย่งกับข้างั้นรึ?”


ริ้วคลื่นในดวงตาของสตรีแต่งงานแล้วไหลวูบวาบ ยิ้มหวานกล่าวว่า “บ่าวหรือจะกล้า”


มารเฒ่าหมี่ไม่สนใจท่าทางเสแสร้งของสตรีแต่งงานแล้ว ในใจของเขารีบชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียอย่างรวดเร็ว


สิ่งที่ตาเฒ่าเฉินต้องการในครั้งนี้ แรกเริ่มคือภาพจิตรกรรมฝาผนังที่อยู่ใต้เปลือกตาของเทพอภิบาลเมืองร่างทอง


ปากเขาบอกว่าอยากได้สาวงามมีชีวิตชีวาบนภาพฝาผนังซึ่งผ่านการรมควันธูปมานานหลายร้อยปี จึงบ่มเพาะให้เกิดกลิ่นอายแห่งเซียนอย่างแท้จริง


อีกอย่างหลังจากที่เขาเก็บวิญญาณหญิงสาวจากในสุสานไร้ญาติมาได้ก็สามารถเอาภาพฝาผนังนี้มาเป็นที่พักพิงของดวงวิญญาณพวกนาง ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถหล่อเลี้ยงให้เกิดวัตถุหยินผีสาวอย่างสตรีสวมชุดสีสันสดใสได้อีกหลายคน


เวลานี้มารเฒ่าหมี่ถึงได้กระจ่างแจ้งอยู่ในใจ


ไม่แน่ว่า…ตราประทับที่มาจากจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ชิ้นนั้นอาจจะไม่ได้อยู่ในจวนเจ้าเมืองหรือจวนเจ้า แต่อยู่ในศาลเทพอภิบาลเมืองมาตั้งแต่แรก!


และสหายเก่าแก่ของเขาคนนี้ก็คิดจะฮุบผลประโยชน์ทั้งหมดไว้คนเดียวมาตั้งแต่ต้น ไม่คิดจะทิ้งตราประทับที่พวกเขาอาจารย์และศิษย์ต้องวางแผนอย่างยากลำบากหลายปีเพื่อให้ได้มันมาครองอย่างที่ได้เคยตกลงกันไว้


ตาเฒ่าเฉิน เซียนหลิวหลีตัวดี!


สหาย ในเมื่อเจ้าไม่มีคุณธรรมก็อย่าว่าโทษว่าข้าไร้น้ำใจ!


……


ท้องฟ้าเหนือเมืองแยนจือที่เดิมทีเป็นสีฟ้าสดใสเริ่มค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นมืดสลัวอึมครึม เมฆดำล่องลอยมาจากสี่ทิศกดทับปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง ทำให้ผู้คนรู้สึกกระวนกระวายไม่เป็นสุข


รถม้าคันหนึ่งขับออกไปจากประตูใหญ่ทางทิศใต้ของเมืองอย่างปลอดภัย กุนซือเฒ่ามือหนึ่งกุมเชือกบังคับม้า อีกมือหนึ่งหยิบสุรารสดีหนึ่งกาที่เตรียมมาทำท่าจะยกขึ้นดื่ม แต่กลับมองไปเห็นว่าข้างถนนทางหลวงที่ห่างออกไปไม่ไกลมีบัณฑิตยากจนคนหนึ่งกวักมือยิกๆ ปากก็ตะโกนไปด้วย “เหล่าซ่งๆ ข้าคือเพื่อนของคุณหนูใหญ่พวกเจ้า นางอยู่บนรถม้าไหม?”


ผู้เฒ่าร่างผอมสูงใจกระตุก หรือว่าปีศาจหมายตาจวนเจ้าเมืองมานานแล้ว? ตัดสินใจว่าจะตัดรากถอนโคน? แม้แต่คุณชายกับคุณหนูใหญ่ก็ยังไม่ยอมปล่อยไป?


หญิงสาวรีบเลิกผ้าม่านขึ้น กล่าวด้วยน้ำเสียงเบิกบาน “ท่านอาซ่ง นั่นเพื่อนข้าเอง เขาชื่อหลิ่วชื่อเฉิง เป็นบัณฑิตที่เดินทางมาจากแคว้นไป๋ซาน”


จากนั้นอีกศีรษะหนึ่งก็ลอดตามมา ถามอย่างสงสัย “หลิ่วชื่อเฉิง เจ้าออกจากเมืองไปตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมเพิ่งเดินมาถึงตรงนี้? แอบไปเกี้ยวพาคุณหนูตระกูลใดระหว่างทางหรือไง?”


ผู้เฒ่าลังเลไปชั่วขณะ แต่ก็ยังหยุดรถม้า


เฝ้าสังเกตเหตุการณ์อยู่เงียบๆ


ได้ยินคำหยอกเย้าจากว่าที่น้องภรรยาอย่างหลิวเกาหวา หลิวชื่อเฉิงก็กลอกตา วิ่งเหยาะๆ มาเบื้องหน้า


แม้ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ตาเฒ่าประหลาดถึงพลิ้วกายลงมาจากท้องฟ้ากะทันหันแล้วคืนร่างให้ตนชั่วคราว แต่หลิ่วชื่อเฉิงก็คร้านจะสนใจเรื่องพวกนี้ ถึงอย่างไรซะตาเฒ่าก็รับปากแล้วว่า ขอแค่ตนเกลี้ยกล่อมให้รถม้าคันนี้ย้อนกลับเข้าไปในเมืองได้ เขาก็สามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างให้ตนได้ด้วยนิ้วมือข้างเดียว


ตอนนี้บนร่างของหลิ่วชื่อเฉิงยังคงสวมชุดเต๋าสีชมพูชุดนั้น แต่ตาเฒ่าบอกว่าหากเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบลงไป รวมถึงเทพเซียนโอสถทองคำกระจอกๆ ต่างก็ไม่สามารถมองผ่านเวทอำพรางตามหัศจรรย์ที่เขาร่ายไว้ได้


หลิ่วชื่อเฉิงยืนอยู่ข้างรถม้า หอบหายใจฮักๆ ถามว่า “ทำไม พวกเจ้าก็จะหนีเหมือนกันหรือ? หลิวเกาหวา เจ้ามันลูกอกตัญญู ทำใจดำโยนบิดามารดาของเจ้าทิ้งลงน้ำลึก ทิ้งลงกองไฟได้ลงคอหรือ? ในเมืองมีปีศาจก่อเรื่องวุ่นวายมากมายถึงเพียงนั้น ในเมื่อเจ้าเป็นบุตรชายของเจ้าเมืองก็ควรเป็นคนแรกที่เสนอตัวออกหน้า อย่างน้อยก็ควรชูมือกู่ร้อง เฝ้าพิทักษ์ประตูใหญ่ของจวนเจ้าเมืองให้ดี สาบานตนว่าต่อให้ต้องตายก็ไม่ยอมถอยหนีถึงจะถูก ข้าออกจากเมืองไปไกลมากแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่าจะจากไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้ เจ้าลองคิดดู ข้าเป็นแค่คนนอกคนหนึ่งยังรู้สึกว่าต้องเผชิญหน้าอย่างมีคุณธรรม บัณฑิตที่ผ่านการเล่าเรียนเขียนอ่านอย่างข้าควรสละชีวิตอย่างไม่กลัวตายเพื่อความถูกต้อง…”


กุนซือเฒ่าโมโหจนกัดฟันกรอดๆ อยากจะฟาดฝ่ามือใส่หน้าบัณฑิตยากจนคนนี้สักที


หลิวเกาหวามองบัณฑิตยากจนด้วยสายตาเหมือนมองคนปัญญาอ่อน


พี่สาวเขาตอนนี้สายตาเคลิบเคลิ้ม น้ำตาเอ่อคลอดวงตา ยกสองมือวางทับกันบนตำแหน่งหัวใจ รู้สึกว่าหลิ่วหลางของนางต้องเห็นแก่นางเป็นแน่


หลิวเกาหวามองค้อน “จะกลับเจ้าก็กลับไปเอง ข้าจะไปหลบภัยกับพี่สาว”


หลิ่วชื่อเฉิงบ่นในใจ ตาเฒ่า ทำยังไงดี ว่าที่น้องเมียข้าคนนี้ไม่มีความกล้าหาญดุจดั่งวีรบุรุษเอาเสียเลย ที่ข้าพูดไปก็ไม่ต่างจากสีซอให้ควายฟัง


แต่แล้วจู่ๆ หลิ่วชื่อเฉิงก็ค้นพบว่าเขาควบคุมขาของตัวเองไม่ได้อีกต่อไป เท้าของเขาเหยียบลงบนถนนทางหลวง ‘เบาๆ’


เสียงกัมปนาทดังสนั่นหวั่นไหว


บนถนนทางหลวงทั้งสายคละคลุ้งไปด้วยฝุ่น มองมาจากทางกำแพงเมืองจะเหมือนว่ามีเจียวหลงสีเหลืองยาวหลายลี้ตัวหนึ่งปรากฎขึ้นจากความว่างเปล่า


หลิ่วชื่อเฉิงกลืนน้ำลาย กระแอมหนึ่งที เอามือสองข้างไพล่หลัง พยายามให้ตัวเองมีมาดของยอดฝีมือมากที่สุด “บอกกับพวกเจ้าตามตรง ข้าหลิ่วชื่อเฉิงคือเทพเซียนขอบเขตโอสถทองที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำคนหนึ่ง!”


กุนซือเฒ่าพลันหน้าเปลี่ยนสี อึ้งค้างพูดไม่ออกไปชั่วขณะ


เกรงว่าคงมีเพียงปรมาจารย์ใหญ่แห่งวิถีวรยุทธ์ที่อยู่บนยอดสูงที่สุดของที่สุดในแคว้นไฉ่อี ยกตัวอย่างเช่นเซียนกระบี่เฒ่าที่ซ่อนตัวจากโลกภายนอกคนนั้นเท่านั้นกระมังที่ถึงจะมีพลังมหาศาลเพียงแค่กระทืบเท้าครั้งเดียวแบบนี้?


หรือว่าบัณฑิตยากจนเหลาะแหละตรงหน้าผู้นี้คือเทพเซียนบนภูเขาที่ลงมาท่องเที่ยวในโลกมนุษย์จริงๆ?


หลิ่วชื่อเฉิงพยายามเขย่งปลายเท้า หมายจะบินขึ้นไปบนรถม้าโดยตรง แต่ร่างของเขาไม่ขยับแม้แต่น้อย จึงได้แต่ปีนขึ้นไปบนรถม้าด้วยตัวเอง


หลังจากเบียดแทรกตัวเข้าไปในห้องโดยสารแล้วก็ไปนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างสองพี่น้องที่กำลงมองหน้ากัน ยกขานั่งขัดสมาธิ หลิ่วชื่อเฉินหันหน้าไปมองหญิงสาวที่เปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้งใจ แล้วยิ้มบางๆ กล่าวว่า “คุณหนูหลิว เมื่อใจมีความมุ่งมั่นและศรัทธาสิ่งที่ปรารถนาก็จะบรรลุผล ถูกไหม?”


……


เฉินผิงอันกับเด็กสาวสวมกระพรวนเงินวิ่งมาถึงบนหลังคาบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ใกล้กับจวนเจ้าเมือง เฉินผิงอันก็หยุดยืนนิ่ง เด็กสาวกำลังจะเปิดปากถาม เฉินผิงอันก็ชี้ไปยังหัวกำแพงของจวนและหอสูง เด็กสาวมองตามไปก็พลันใจหายวาบ เพราะนางมองเห็นธนูที่ทำขึ้นเป็นพิเศษของสำนักโม่ซึ่งกำลังชี้ปลายลูกศรแหลมคมมายังคนทั้งสอง มือธนูหลายสิบคนต่างก็สวมชุดเสื้อเกราะซึ่งเป็นรูปแบบของทางกองทัพแคว้นไฉ่อี เด็กสาวขมวดคิ้ว


“ดูเหมือนจะเป็นทหารของแม่ทัพหม่าที่เขาทิ้งไว้ในจวน ไม่แน่เสมอไปว่าจะรู้จักข้า ไม่อย่างนั้นให้ข้าตะโกนบอกพวกเขาดีไหม? ขอแค่ข้าออกหน้าเป็นคนอธิบายก็น่าจะพอ กลัวก็แต่ว่าหากทางการคิดจะสอบถามขึ้นมา คงเสียเวลาไม่น้อย”


เฉินผิงอันเงยหน้ามองสีท้องฟ้าแล้วก็เกิดลังเลเล็กน้อย “แยกย้ายกันไปดีกว่า เจ้าไม่ต้องรีบร้อนบุกเข้าไป ถ้าถูกขัดขวางก็อธิบายให้พวกเขาฟังสักหน่อยก็ได้ แต่ข้าต้องรีบหาเพื่อนๆ ข้าให้พบในทันที”


เด็กสาวเองก็มีนิสัยทำอะไรรวดเร็วฉับไว จึงพยักหน้ารับทันที “ตกลง! เอาตามที่ท่านเทพเซียนผู้เฒ่าบอก!”


เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วทะยานตัวกระโดดขึ้นสูง ลูกธนูลูกหนึ่งก็พุ่งมาถึงอย่างรวดเร็ว เฉินผิงอันดีดร่างขึ้นสูงอีกครั้ง เหยียบลงไปบนตัวลูกธนู ปลายเท้าแตะเบาๆ หนึ่งครั้งก็พุ่งตัวตรงดิ่งเข้าไปในจวนเจ้าเมือง


—–


บทที่ 232.1 พบกับเทพอภิบาลเมืองอีกครั้ง

โดย

ProjectZyphon

การฝืนบุกเข้าไปของเฉินผิงอันทำให้เขาต้องเผชิญหน้ากับการขัดขวางจากลูกธนูที่พุ่งเข้ามาอย่างแม่นยำระลอกแล้วระลอกเล่า ทหารคนสนิทที่แม่ทัพหม่าทิ้งไว้ในจวนเจ้าเมืองล้วนเป็นทหารกล้าฝีมือเยี่ยมที่เขาพากลับมาจากชายแดน มีพลังกล้ามเนื้อที่น่าตะลึงอย่างยิ่ง อีกทั้งยังมีประสบการณ์อยู่ในสมรภูมิรบมานาน ต่อให้เผชิญหน้ากับคนบนภูเขาก็ยังร่วมมือกันได้อย่างรู้ใจ เฉินผิงอันบินจากหลังคาของฝั่งนั้นเข้ามาพลิ้วกายลงในจุดลึกของจวนเจ้าเมือง และในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่ชั่วกะพริบตานี้ เขาจำต้องใช้มือปัดลูกธนูที่พุ่งเข้ามาอย่างดุดัน อีกทั้งยังแม่นยำอย่างถึงที่สุดถึงสองลูก


เด็กสาวกระพรวนเงินตะโกนเสียงดัง “ข้าคือหลิวเกาซินบุตรสาวของท่านเจ้าเมือง เทพเซียนผู้เฒ่าคือพันธมิตรที่มาให้ความช่วยเหลือ ขอทุกท่านโปรดวางธนูลงด้วย!”


หลังจากพลิ้วกายลงหน้าประตูใหญ่ของห้องโถงหลักได้แล้ว เฉินผิงอันที่ไม่แม้แต่จะเหลียวกลับไปมองเบี่ยงตัวเดินเอียงข้างไปสองก้าว ยื่นมือคว้าลูกธนูดอกหนึ่งที่ยิงมาจากด้านหลังของเขา ตัวของลูกธนูสลักลายเมฆาโบราณเรียบง่าย อีกทั้งยังเจาะหลุมเว้าเล็กๆ สามหลุม ระหว่างตัวลูกธนูมีประกายแสงเปล่งวูบวาบอยู่ตลอดเวลา เฉินผิงอันโยนมันส่งๆ ไปข้างหน้า ลูกธนูปักลงบนพื้น เขาตะโกนเสียงดัง “จอมยุทธ์ใหญ่สวี จางซานเฟิง พวกเจ้าอยู่ข้างในหรือไม่? ผู้เฒ่าที่แสดงวิชาอภินิหารบนแท่นสูงใจกลางทะเลสาบคืนนั้นคือผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังหายนะของศาลเทพอภิบาลเมืองครั้งนี้!”


ชายฉกรรจ์เคราดกพุ่งตัวออกมาก่อน ขุนพลฝ่ายบู๊สวมเกราะกับนักพรตจางซานเฟิงตามหลังมาติดๆ


มัลละผิวทองเหลืองสูงจั้งกว่าตนหนึ่งก้าวยาวๆ เสียงดังครืนครั่นตามมาด้วย ไม่พูดไม่จาก็ปล่อยหมัดเข้าใส่เฉินผิงอัน เฉินผิงอันได้แต่ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมารับหมัดนั้นไว้ มัลละร่างทองเหลืองที่นักพรตจงเมี่ยวตั้งใจวาดยันต์สร้างขึ้นมาตนนี้มีพละกำลังไม่ธรรมดา แม้ว่าระดับขั้นจะไม่สูง แต่พลังการต่อสู้ก็มากพอจะเทียบเคียงกับผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตสองขั้นสูงสุดคนหนึ่ง แต่พอถูกนิ้วทั้งห้าของเฉินผิงอันกำหมัดเอาไว้ ข้อต่อทั่วร่างกายของมันก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง ส่งเสียงลั่นเป็นระลอก และไม่อาจขยับมาด้านหน้าได้แม้แต่เสี้ยวเดียว


เจ้าเมืองหลิวเองก็เดินออกจากประตูใหญ่มาอย่างรวดเร็ว เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเด็กสาวกระพรวนเงินยืนอยู่บนหลังคา จึงรีบตะโกนเสียงดัง “นั่นคือบุตรสาวของข้า หลิวเกาซินบุตรสาวของข้า ทหารกล้าทุกท่านโปรดอย่าได้ทำร้ายนาง!”


มือดาบเคราดกก็รีบอธิบายให้ทุกคนที่อยู่ข้างกายฟังเช่นกัน “เพื่อนพวกเราเอง ชื่อว่าเฉินผิงอัน ก่อนหน้านี้ไปตรวจสอบสถานการณ์ที่ศาลเทพอภิบาลเมือง”


ขุนพลเสื้อเกราะพยักหน้ารับ เขาชูมือขึ้นทำท่าออกคำสั่ง พลธนูที่ซุ่มอยู่ในมุมต่างๆ ไม่มีใครปล่อยคันธนูในมือลง เพียงแค่กดหัวคันธนูลงเบื้องล่าง คันธนูที่สายถูกง้าวเต็มแรงเหมือนดวงจันทร์เต็มดวงกลับคืนมาเป็นทรงพระจันทร์เสี้ยวอย่างพร้อมเพรียงกัน แม้แต่การลดระดับของสายง้าวก็แทบจะเท่ากันทั้งหมดอย่างไม่มีผิดเพี้ยน


สวีหย่วนเสียเดินทางผ่านหลายแคว้นมีจิตใจที่ละเอียดอ่อนดุจเส้นผม หลังจากเห็นภาพนี้เขาก็ให้รู้สึกเลื่อมใสอย่างยิ่ง ไม่คิดเลยว่าสถานที่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของตำราอย่างแคว้นไฉ่อีนี้จะมีบุคคลที่เป็นดั่งหมาป่า เป็นดั่งพยัคฆ์ที่สามารถฝึกทหารได้อย่างมีระเบียบมีขั้นตอนแบบนี้ แม่ทัพหม่าที่ตอนนี้รับผิดชอบเฝ้าพิทักษ์ประตูตะวันออกต้องเป็นคนที่มีความสามารถในด้านการปกครองกองทัพคนหนึ่งอย่างแน่นอน


นักพรตจงเมี่ยวทำมุทราเรียกมัลละร่างทองเหลืองที่เพิ่งต่อสู้ก็พ่ายแพ้ตนนั้นกลับมา แค่นเสียงหยันด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยน่ามองนัก “เทพเซียนหวงเหล่าคือผู้บงการ? ฮ่าๆๆ เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเจ้าต่างหากที่หข้ารู้สึกว่าน่าจะเป็นคนชั่วที่หวังเข้ามาจับปลาในน้ำขุ่นมากกว่า!”


ผู้เฒ่าที่สวมชุดเต๋าสีสันสดใสหันหน้ามาเอ่ยกับเจ้าเมืองหลิวและแม่ทัพฝ่ายบู๊ว่า “หากเทพเซียนหวงเหล่าที่มีวิชาอภินิหารค้ำฟ้าเป็นผู้บงการที่มีจุดประสงค์ชั่วร้าย ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะยังต้องมานั่งวางแผนกันอยู่ตรงนี้ทำไม แค่รอตายก็พอแล้ว อีกอย่างถ้าหวงเหล่าเป็นผู้บงการ จะยังต้องมาเป็นฝ่ายเอ่ยเตือนพวกเราเหมือนคนที่ถอดกางเกงเพียงเพื่อผายลมไปทำไม?”


เจ้าเมืองหลิวใคร่ครวญตามแล้วก็เอ่ยว่า “เหตุผลฟังไม่ขึ้นจริงๆ”


แต่แม่ทัพฝ่ายบู๊กลับช่วยพูดให้ความเป็นธรรมกับเด็กหนุ่ม “พวกมารนอกรีตเชี่ยวชาญการใช้แผนเสี่ยงอันตรายมากที่สุด ไม่สามารถใช้หลักการทั่วไปมาประเมินพวกเขาได้ ตอนนี้ทางที่ดีที่สุดพวกเราไม่ควรเชื่อใครทั้งนั้น ไม่สู้ฟังก่อนว่าเด็กหนุ่มจะพูดเรื่องอะไร”


เด็กสาวหลิวเกาซินกระโดดลงมาจากหัวกำแพงแล้ววิ่งตะบึงมาตลอดทาง ทั่วร่างของนางเต็มไปด้วยปราณวิญญาณ โดยเฉพาะเมื่อกระพรวนสีเงินส่งเสียงกรุ๊งกริ๊ง รอบกายก็มีริ้วคลื่นสีทองกระเพื่อมแผ่เป็นระลอก เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่เริ่มเดินบนเส้นทางของผู้ฝึกตนแล้ว เจ้าเมืองหลิวไม่มีเวลามาสนใจว่าทำไมบุตรสาวถึงกลายมาเป็นเทพเซียนที่บินไปบินมาได้ รอจนนางมาหยุดอยู่ข้างกายก็รีบเอ่ยอย่างร้อนใจว่า “บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่? เจ้านี่มันจริงๆ เลย ตอนนี้ในเมืองวุ่นวายขนาดนี้ยังจะออกไปวิ่งวุ่นข้างนอกส่งเดช เหลวไหลนัก!”


หลิวเกาซินชี้ไปที่เฉินผิงอัน “เทพเซียนผู้เฒ่า…”


นางพลันตระหนักได้ว่าตัวเองพูดผิด เพราะก่อนหน้านี้ตอนที่เดินทางมาที่นี่ เทพเซียนผู้เฒ่าที่มีวิชากระบี่บินสะเทือนฟ้าสะท้านดินได้บอกกับนางว่าอย่าเล่าเรื่องการต่อสู้ในศาลเทพอภิบาลเมืองให้ใครฟัง ตอนนี้เขายังไม่อยากเปิดเผยตัวตน ป้องกันไว้ก่อนเผื่อว่าในจวนเจ้าเมืองจะมีเส้นสายของปีศาจแฝงตัวเข้ามา


หลิวเกาซินจึงรีบแก้ไขคำพูดเสียใหม่ “ข้ากับจอมยุทธ์น้อยเฉินผิงอันเจอกับผีสาวโครงกระดูกตนหนึ่งในศาลเทพอภิบาลเมือง นางก็คือสาวงามสวมชุดสีสันสดใสที่จำแลงกายามาจากแผ่นยันต์ซึ่งเผยโฉมหน้าบนแท่นสูงใจกลางทะเลสาบคืนนั้น นางก็คือหนึ่งในปีศาจที่เข้ามาสร้างหายนะในเมือง กว่าข้ากับจอมยุทธ์น้อยเฉินผิงอันจะกำราบนางไว้ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย คาดไม่ถึงว่าเทพอภิบาลเมืองและเทวรูปบุ๋นบู๊ใต้บังคับบัญชาของเขาสององค์ต่างก็ธาตุไฟเข้าแทรกกลายเป็นมาร มีควันดำผุดออกมาจากทวารทั้งเจ็ด หมายจะสังหารพวกเรา โชคดีที่มีเทพเซียนผู้เฒ่าคนหนึ่งที่เชี่ยวชาญเวทกระบี่บินปรากฎตัวมาให้ความช่วยเหลือพวกเราพอดี เพียงแต่ว่าเทพเซียนผู้เฒ่าก็บาดเจ็บสาหัสเหมือนกัน เลยบอกให้พวกเราเอาข่าวมาบอกก่อนว่า คนแซ่หวงผู้นั้นร่วมมือกับพันธมิตรของเขาเพราะต้องการครอบครองสมบัติอาคมชิ้นหนึ่ง เขาบอกให้ข้านำข่าวนี้มาบอกท่านพ่อ พวกเราจะชักนำหมาป่าเข้าบ้านไม่ได้เด็ดขาด! เทพเซียนผู้เฒ่าบอกว่าเขายังต้องการเวลา เมื่อปรับมหาสมุทรลมปราณและกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของตัวเองให้ดีขึ้นได้แล้วจะต้องลงมือ ให้ความช่วยเหลือพวกเรากำจัดปีศาจปราบมารอีกครั้งอย่างแน่นอน!”


เฉินผิงอันสีหน้าเป็นปกติ แต่ในใจกลับเอ่ยชื่นชมความเฉลียวฉลาดรู้จักพลิกแพลงสถานการณ์ของเด็กสาว


เมื่อเทียบกับจูลู่บนภูเขาฉีตุน กับชายหญิงในยุทธภพที่ขี่ม้าด้วยชุดเลิศหรูซึ่งพบเจอหน้าวัดร้างกลุ่มนั้นแล้ว เด็กสาวกระพรวนเงินที่ชื่อว่าหลิวเกาซินผู้นี้แข็งแกร่งกว่ามากนัก


ทุกคนเดินเร็วๆ กลับเข้าไปในห้องโถงหลัก ไม่รอนั่งลงให้เรียบร้อยก็มีทหารสวมเสื้อเกราะที่เต็มไปด้วยคราบเลือดเดินเข้ามา บอกว่าในเมืองมีชาวบ้านที่ตกอยู่ในอำนาจของปีศาจหลายแห่ง พวกเขาเริ่มคลุ้มคลั่งสังหารผู้คน ไม่ว่าจะเป็นญาติมิตรหรือเพื่อนบ้านก็ล้วนหนีไม่รอด ชาวบ้านในเมืองที่เหมือนผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวถูกธาตุมารเข้าแทรกเหล่านี้มีจุดที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือมีเลือดไหลออกมาจากดวงตา อีกอย่างยังเคลื่อนไหวได้ว่องไวปราดเปรียว ค่อนข้างจะรับมือได้ยาก และตอนนี้ก็มีขุนนาง ทหาร รวมไปถึงมือปราบที่ได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก


ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น ในหลายๆ สถานที่ของเมือง ไม่ว่าจะเป็นสะพานหินโค้งที่นักท่องเที่ยวเดินสวนกันขวักไขว่ หรือในตรอกซอกซอยที่เงียบสงบก็มีประกายแสงสีแดงฉานปรากฎขึ้นแทบจะพร้อมๆ กัน พื้นที่โดยรอบในรัศมีสิบกว่าลี้ พืชหญ้าเหลืองแห้งเหี่ยว ปลาที่อยู่ในน้ำตายลอยหงายท้องขาว


บรรยากาศในห้องโถงหลักเคร่งเครียด เจ้าเมืองหลิวพยายามสงบสติตัวเองแล้วเริ่มวางแผนรับมือ นอกจากจะส่งคนไปยังประตูเมืองตะวันออกโดยเร็วเพื่อแจ้งข่าวให้แม่ทัพหม่าระวังเทพเซียนหวงเหล่าผู้นั้นแล้ว ทุกคนที่อยู่ในห้องยังจับคู่กันเดินทางไปตรวจสอบเหตุการณ์ประหลาดตามสถานที่ต่างๆ ในเมือง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน หากเจอชาวบ้านที่โดนธาตุมารเข้าแทรกหรือเจอกับพวกปีศาจวัตถุหยินก็สามารถสังหารได้ทันที


นอกจากนี้ข้าหลวงทั้งหมดที่อยู่ในจวนเจ้าเมืองต้องออกจากจวนไปแจ้งชาวบ้านว่าให้รีบกลับบ้านตัวเอง ห้ามออกจากบ้านชั่วคราว หากพบว่าใครฝ่าฝืนจะลงโทษสถานหนักแบบเดียวกับผู้ที่ฝ่าฝืนกฎห้ามออกจากเคหะสถานยามค่ำคืน มือดาบเคราดกสวีหย่วนเสียไปกับจางซานเฟิง หนึ่งผู้ฝึกยุทธ์ หนึ่งนักพรต ร่วมมือกันได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ นักพรตจงเมี่ยวไปกับขุนพลฝ่ายบู๊สวมเสื้อเกราะคนนั้น และภายใต้การยืนกรานขอร้องจากหลิวเกาซิน นางจึงได้ติดตามเฉินผิงอัน ต่อให้เจ้าเมืองหลิวจะเห็นแก่ส่วนรวมไร้ความเห็นแก่ตัวมากแค่ไหน ก็ไม่อาจวางใจปล่อยให้บุตรสาวไปเสี่ยงอันตรายได้ ยังดีที่เมื่อนักสู้ในยุทธภพคนนั้นเสนอตัวจะไปช่วยเฉินผิงอันที่จวนจ้าวอีกแรง เจ้าเมืองหลิวถึงได้กำชับหลิวเกาซินซ้ำแล้วซ้ำว่าอย่าหุนหันพลันแล่น ต้องฟังคำสั่งจากยอดฝีมือทั้งสองทุกเรื่อง


หลิวเกาซินดีใจมาก รีบรับปากทันที เจ้าเมืองหลิวกลัวว่านางจะไม่ใส่ใจจริงจังจึงลากตัวไปกำชับอีกรอบ


เด็กสาวเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว แต่จู่ๆ ‘เซียนกระบี่ผู้เฒ่า’ หน้าตาไม่โดดเด่นคนนั้นก็เอ่ยเตือนขึ้นมา “แม่นางหลิว อย่าทำให้เจ้าเมืองหลิวเป็นห่วง”


หลิวเกาซินอึ้งตะลึง หันหน้าไปมองก็เห็นว่าเฉินผิงอันไม่ได้มีสีหน้าโกรธเคือง แล้วก็ไม่ได้วางท่าว่าตนเป็นผู้อาวุโสจึงเอ่ยสั่งสอน ราวกับว่าเขาเพียงแค่เอ่ยออกมาง่ายๆ เพราะอยากให้นางทำได้ดียิ่งกว่าเดิม แม้หลิวเกาซินจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนัก แต่ก็ยังพยายามอดทนข่มกลั้นอารมณ์หงุดหงิดดี เอ่ยลาบิดาดีๆ รับรองว่าจะไม่ทำอะไรด้วยอารมณ์เด็ดขาด เจ้าเมืองหลิวถึงพอจะวางใจลงได้บ้าง สุดท้ายหันไปกุมหมัดขอบคุณเฉินผิงอันและชาวบู๊คนนั้น กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจว่า “คงต้องรบกวนให้ท่านทั้งสองดูแลบุตรสาวของข้าด้วยแล้ว”


คนทั้งสองคารวะกลับคืน


ทั้งสามคนมุ่งหน้าไปยังจวนตระกูลจ้าวที่อยู่ห่างไปแค่สองช่วงถนนอย่างรวดเร็ว


ชาวบู๊แซ่โต้วคนนั้นเงยหน้ามองสีท้องฟ้าแล้วส่ายหน้า กล่าวอย่างปลงอนิจจัง “เทพเซียนบนภูเขาก็ดี ปีศาจและมารก็ช่าง แท้จริงแล้วลึกๆ ในใจพวกเขาไม่เคยเห็นชีวิตมนุษย์อยู่ในสายตา ไม่ควรเป็นแบบนี้เลย”


เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร จึงได้แต่เงียบงันเท่านั้น


—–


บทที่ 232.2 พบกับเทพอภิบาลเมืองอีกครั้ง

โดย

ProjectZyphon

คนทั้งสามเพิ่งมาถึงนอกประตูจวนจ้าว ชายหญิงที่ถูกคาถามารมีเลือดซึมออกมาจากดวงตาก็พุ่งเข้ามาสังหาร พวกเขาแยกเขี้ยวกางกรงเล็บ วิ่งตะบึงว่องไว มือดาบและมือธนูส่วนใหญ่ที่อยู่ข้างนอกคือมือปราบและเจ้าหน้าที่ในจวนขุนนางของเมือง เวลาปกติอย่างมากก็แค่รับมือกับโจรสลัดในมหาสมุทร หรือไม่ก็พวกหัวขโมยเล็กๆ น้อยๆ ไหนเลยจะเคยเจอกับเหตุการณ์อย่างนี้มาก่อน คนส่วนใหญ่จึงมีสีหน้าซีดขาวราวหิมะ ยิงธนูแทบไม่เข้าเป้า อีกอย่างต่อให้ข้ารับใช้ชายหญิงของตระกูลจ้าวที่โดนอาคมปีศาจจะโดนลูกธนูยิงก็ยังสามารถเดินหน้าได้ต่ออยู่ดี เฉินผิงอันมองเห็นเด็กหนุ่มที่ใบหน้าเปื้อนเลือดคนหนึ่งถูกลูกธนูน้ำหนักมหาศาลยิงเข้าที่หน้าอกในระยะยี่สิบก้าว ร่างทั้งร่างถูกแรงกระแทกพาบินออกไป ผงะหงายล้มผลึ่งลงด้านหลัง แต่แล้วเขาก็ดิ้นรนลุกขึ้นยืน ตรงหน้าอกยังมีลูกธนูดอกใหญ่เสียบคาโผล่มาครึ่งท่อน กระอักเลือดพลางกระโจนมาข้างหน้าต่ออีกครั้ง


การจัดขบวนรบอย่างหยาบๆ ของมือธนูกับนักปราบมือดาบแทบจะแตกซ่านเซ็น ได้แต่ต่อสู้ประชิดตัวกับมารร้ายที่ไม่กลัวตายพวกนั้น หากไม่เป็นเพราะพวกเฉินผิงอันสามคนมาถึงพอดี เกรงว่าคนของตระกูลจ้าวที่พากันกรูออกมาไม่หยุดคงกระจายตัวกันไปตามสถานที่ต่างๆ สร้างภัยพิบัติให้แก่ชาวเมืองเหมือนฝูงตั๊กแตนไปแล้ว เฉินผิงอันไม่รู้ว่ามีวิธีคลายอาคมปีศาจหรือไม่ เขาจึงยังใช้แค่หมัดและเท้าเตะต่อยให้คนตระกูลจ้าวที่เหมือนถูกผีสิงให้กระเด็นกลับไปใกล้ประตูใหญ่ของจวน กระพรวนของหลิวเกาซินสั่นสะเทือนรุนแรง ดอกไม้สี่ทองกระจายตัวกันไปสี่ทิศ อาคมปีศาจที่ขอแค่สัมผัสโดนดอกไม้สีทองก็จะแตกสลาย กลายมาเป็นเลือดสดเหนียวหนืดกองหนึ่งที่ส่งกลิ่นคาวคละคลุ้ง


หลังจากมือดาบแซ่โต้วชักดาบออกมา ตัวดาบก็ปล่อยประกายแสงสีขาวหิมะ ทุกดาบที่ฟันลงไปล้วนตัดร่างชายหญิงเด็กแก่ที่ถูกปีศาจเข้าสิงให้ขาดครึ่งท่อน วิชาดาบของชาวยุทธ์คนนี้ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าเป็นขอบเขตของปรมาจารย์ที่หวนกลับคืนสู่สภาพแท้จริงอันเป็นธรรมชาติที่สุด เด็ดขาดตรงไปตรงมา กระบวนท่าเรียบง่ายฉับไว ไม่มีอิดออดล่าช้าเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อเทียบกับวิชาดาบของสวีหย่วนเสียมือดาบเคราดกแล้ว การออกดาบของคนผู้นี้ขาดกลิ่นอายของความหยาบเถื่อนอย่างคนในสมรภูมิรบไปเล็กน้อย แต่มีบรรยากาศของการบรรลุถึงจุดสูงสุดของความสมบูรณ์แบบเพิ่มขึ้นมาแทน มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ขอบเขตสี่ที่กำลังก้าวเดินสู่เบื้องบน การที่เขาเก็บซ่อนความโดดเด่นตอนอยู่ในจวนเจ้าเมืองนั้นจึงสมกับคำว่าคนจริงไม่อวดตัวที่กล่าวกันในยุทธภพอย่างแท้จริง


หลังจากสกัดคนตระกูลจ้าวที่ถูกมารสิงร่างไปได้กลุ่มหนึ่ง หลิวเกาซินก็ค้นพบว่ารอบกายมีแต่เลือดสดนองเต็มพื้นเศษแขนขา เศษกระดูกกลาดเกลื่อน จู่ๆ นางก็ทรุดตัวลงนั่งยอง อาเจียนออกมาคำใหญ่


ในจวนจ้าวมีประกายแสงสีแดงเปล่งวูบวาบ แผ่กลิ่นอายของความมืดทะมึนน่าพรั่นพรึงอย่างเข้มข้น


เฉินผิงอันเห็นว่าหน้าประตูจวนจ้าวในเวลานี้ไม่มีอันตรายร้ายแรงจึงดีดปลายเท้า ทะยานร่างกระโดดข้ามกำแพงไปอย่างว่องไวดุจนกนางแอ่นถลาลม ตรงดิ่งไปยังต้นกำเนิดของแสงสีแดงนั้น


ไล่ตามเบาะแสแสงสีแดงไป เฉินผิงอันก็มาถึงเรือนที่เงียบสงบงามสง่าหลังหนึ่ง มีหอเก็บตำราส่วนตัวสามชั้นอยู่หนึ่งหลัง คุณชายสวมชุดขาวคนหนึ่งนั่งอยู่บนบันไดด้านนอกหอ ท่านั่งของเขาเกียจคร้าน ข้อศอกเท้าอยู่บนที่เท้าแขนเก้าอี้ มือหนึ่งเท้าคาง มือหนึ่งพลิกเปิดหน้าหนังสือโบราณพลางหาวไปด้วย


คุณชายที่หน้าตาหล่อเหลาชวนมองชำเลืองหางตามามองเฉินผิงอัน ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้? คุณชายท่านนี้บุคลิกลักษณะไม่ธรรมดา คือเซียนซือที่ฝึกตนอยู่บนภูเขางั้นรึ? หรือว่าเป็นลูกศิษย์ของปรมาจารย์ที่เดินทางท่องเที่ยวอยู่ในยุทธภพ?”


จากนั้นคุณชายตระกูลจ้าวก็ขยับตัวนั่งตรง ยกนิ้วขึ้นแตะน้ำลาย พลิกเปิดหน้าหนังสืออีกหนึ่งหน้า ระหว่างที่หน้าหนังสือถูกเปิดก็มีแสงสีแดงสดพุ่งวาบผ่านไปอีกครั้ง


แสงสีแดงมารวมตัวกันเป็นเชือกหนาเส้นหนึ่งคล้ายงูหลามที่บิดพลิกตัวอยู่กลางอากาศ ขยับขดตัวอยู่บนกำแพงสูงของลานบ้านชั่วขณะหนึ่งก็พุ่งเข้าไปยังบางจุดของจวน พยายามหาร่างของคนมาสิงสู่


เฉินผิงอันตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวหนึ่งที


งูหลามสีแดงสดตัวนั้นก็ถูกฟันขาดครึ่งท่อน


คุณชายชุดขาวเลิกคิ้วขึ้นสูง “โอ้โห คือเซียนกระบี่น้อยคนหนึ่งหรือนี่? ร้ายกาจๆ ได้ยินว่าพลังสังหารของผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่างมหาศาลมาก แต่ก็ง่ายมากที่เรี่ยวแรงจะไม่เป็นใจ พอปล่อยปราณกระบี่ออกมา ประกายแสงก็ส่องจ้าพร่า แต่ได้แค่ไม่กี่ครั้งก็หมดท่าแล้ว ไม่รู้ว่าเจ้าจะร้ายกาจกว่านั้นหน่อยหรือเปล่า?”


มือหนึ่งของคุณชายชุดขาวถือหนังสือ อีกมือหนึ่งเปิดหน้าตำราโบราณตั้งแต่หน้าแรกไปจนหน้าสุดท้ายเสียงดังพั่บๆๆ


งูน้อยสีแดงฉานหนาเท่านิ้วมือหลายสิบตัวผุดพุ่งขึ้นฟ้าจากหอหนังสือแห่งนี้ หมายจะกระจายตัวไปสี่ด้านแปดทิศ แต่คุณชายชุดขาวกลับเห็นว่าเด็กหนุ่มที่ผูกน้ำเต้าสีชาดบรรจุเหล้าไว้ตรงเอวยังมีอารมณ์ปลดน้ำเต้ามาดื่มเหล้า ไม่รอให้คุณชายตระกูลจ้าวส่งเสียงหัวเราะหยัน เขาก็ไม่มีโอกาสได้หัวเราะแล้ว


เพราะงูแดงตัวน้อยบนท้องฟ้าที่มีชื่อว่าปล้องแดงเหล่านั้นถูกสายสีขาวที่ตวัดฉวัดเฉวียนฟาดฟันย่อยยับในเวลาเพียงชั่วพริบตา


จากนั้นเขาก็รู้สึกเย็นวาบตรงหว่างคิ้ว เบิกตากว้างราวกับเห็นผีกลางวันแสกๆ ตายตาไม่หลับทั้งอย่างนั้น


ที่แท้กระบี่บินไม่เพียงแต่แทงหว่างคิ้วทะลุกะโหลกศีรษะของเขาไป ปราณกระบี่ขุมนั้นยังแทรกซอนเข้ามาในร่างกายและจิตวิญญาณ บดขยี้พลังชีวิตทั้งหมดของเขาอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบด้วย


ตอนที่เฉินผิงอันผูกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ตรงเอวเรียบร้อย ชูอีสืออูกระบี่บินสองเล่มก็พากันลอยเอ้อระเหยกลับเข้าไปในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่


ตรงกำแพงเรือน มือดาบแซ่โต้วยืนอยู่บนหัวกำแพง มองเห็นภาพนี้แล้วก็กุมมือคารวะให้เฉินผิงอัน


เฉินผิงอันใจกระตุกวาบ เอ่ยกับเขาว่า “บอกหลิวเกาซินสักคำว่าข้าจะไปที่ศาลเทพผืนดินสักหน่อย แปบเดียวก็กลับมา”


มือดาบหัวเราะเสียงดังกังวาน “สถานที่แห่งนี้ไม่มีอันตรายน่ากลัวอะไรแล้ว ก็แค่หมาแมวตัวเล็กๆ ไม่กี่ตัวเท่านั้น เซียนซือวางใจได้เลย”


เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย เดิมทีคิดจะรีบรบรีบจบ คิดไม่ถึงว่าจะมีคนมาเห็นภาพที่ตนใช้กระบี่บินสังหารศัตรู เขาพยักหน้าให้จอมยุทธ์ผู้มีคุณธรรมคนนั้นแล้วดีดปลายเท้า เพียงครู่เดียวร่างก็หายวับไป


……


เฉินผิงอันห้อตะบึงไปตลอดทาง กระโดดข้ามกำแพงสูงแห่งแล้วแห่งเล่า สุดท้ายก็มาถึงศาลเทพผืนดินที่ว่างเปล่าไร้ผู้คนแห่งหนึ่งตามการชี้นำจาก ‘คนผู้นั้น’ ซึ่งดังขึ้นเป็น ‘เสียง’ ที่กระเพื่อมในทะเลสาบหัวใจของเขา พอเงยหน้ามองก็เห็นว่าด้านในศาลเทพผืนดินมีปัญญาชนท่วงท่าสง่างามคล้ายคนมีความรู้ลุ่มลึกคนหนึ่งกำลังกวักมือเรียกเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เพียงแต่ว่าเรือนกายของเขาส่ายวูบไหวเหมือนแสงตะเกียงเสี้ยวสุดท้ายที่อาจจะดับได้ทุกเมื่อถ้าถูกลมพัด


เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนพุ่งวูบเข้าไปหา


องค์เทพท่านนี้ยืนอยู่ด้านในของธรณีประตูที่มืดสลัว เฉินผิงอันยืนอยู่นอกธรณีประตูที่สว่างกว่า


ปัญญาชนแบมือสองข้างทับกันไว้ด้านหน้าแล้วโค้งตัวลงคารวะ พอยืดตัวขึ้นก็กล่าวพร้อมยิ้มบางๆ “นี่เป็นครั้งที่สองที่พวกเราได้พบกัน ข้ามีนามว่าเสิ่นเวิน คือเทพอภิบาลเมืองของเมืองแยนจือ คอยดูแลเมืองแห่งนี้มาหลายร้อยปีแล้ว ผลของวันนี้คือกรรมที่เคยกระทำในอดีต เป็นข้าที่บกพร่องต่อหน้าที่ก่อน หากไม่เป็นเพราะเจ้าช่วยทำลายตราผนึก ขัดขวางไม่ให้ข้าตกสู่วิถีมารได้สำเร็จ ไม่แน่ว่าสุดท้ายแล้วเทพอภิบาลเมืองร่างทองผู้ยิ่งใหญ่ของแคว้นไฉ่อีอาจช่วยคนชั่วก่อกรรมทำเข็ญ กลายเป็นฆาตกรที่ทำลายชาวบ้านที่ตัวเองต้องปกป้องคุ้มครอง ข้าต้องขอบคุณเจ้า”


กล่าวมาถึงตรงนี้ ปัญญาชนก็ยิ้มกว้าง “ก่อนหน้านี้ธาตุไฟเข้าแทรกจึงไม่มีสตินึกรู้ ทุกการกระทำคงทำให้เซียนซือน้อยตลกแล้ว การขอบคุณครั้งนี้ ทั้งขอบคุณที่เจ้าช่วยเหลือข้า ไม่ให้ข้าออกไปทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ ทิ้งชื่อเสียงฉาวโฉ่ไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์นานนับหมื่นปี แล้วก็ทั้งขอบคุณจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ของเจ้า ก่อนหน้านี้ถึงเป็นฝ่ายมอบกล่องไม้สีเขียวกล่องนั้นคืนให้กับข้า”


ตอนนั้นที่ก้าวเข้าไปในตำหนักเทพอภิบาลเมืองแล้วเด็กหนุ่มมอบกล่องไม้คืนให้ คือความดีอย่างหนึ่ง เป็นการทำเรื่องที่ดี


ทั้งๆ ที่ในร่างมีวัตถุฟางชุ่น แต่ตอนที่ส่งคืนกล่องไม้ กลับไม่ได้หยิบออกมาจากวัตถุฟางชุ่น แต่หยิบออกมาจากชายแขนเสื้อโดยตรง นี่หมายความว่าเด็กหนุ่มต่างถิ่นที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้แน่ใจตั้งแต่แรกแล้วว่ากล่องไม้ก็คือของของตำหนักเทพอภิบาลเมือง


นี่คือความดีอีกอย่างหนึ่ง คือจิตใจที่ดี


เฉินผิงอันมองประเมินเทพอภิบาลเมืองเสิ่นท่านนี้อย่างละเอียด เมื่อมองไม่เห็นวี่แววว่าอีกฝ่ายจะถูกธาตุมารเข้าแทรกก็พอจะคลายใจลงได้บ้าง


เขาสองจิตสองใจอยู่ชั่วขณะก็ยกมือกุมคารวะ “ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในตำหนักเทพอภิบาลเมือง เพื่อปกป้องตัวเอง จำต้องทำลายร่างทองของท่านเทพอภิบาลเมืองโดยมิได้เต็มใจ…”


เทพอภิบาลเมืองที่ไม่ได้เผยกายด้วยร่างของเทวรูปโบกมือ เปลี่ยนหัวข้อสนทนาโดยถามว่า “เซียนซือน้อย เจ้าใช่บัณฑิตหรือไม่?”


เฉินผิงอันส่ายหน้าเขินๆ “ไม่นับเป็นบัณฑิต ตอนนี้ก็แค่รู้จักอ่านตำราฝึกเขียนตัวอักษรเท่านั้น หวังว่าจะรู้จักตัวอักษรมากขึ้น เรียนรู้หลักการการเป็นคนจากในตำราให้มากขึ้น”


เทพอภิบาลเมืองเสิ่นเวินถามยิ้มๆ “รู้ประโยชน์ของเศษชิ้นส่วนร่างทองหรือไม่?”


เฉินผิงอันยังคงส่ายหน้า เขาไม่รู้จริงๆ


เทพอภิบาลเมืองเสิ่นอธิบายเบาๆ “เศษชิ้นส่วนร่างทองเหล่านั้นต้องเก็บรักษาไว้ให้ดี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถเสพสุขกับควันธูปในโลกมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเทพภูเขา เทพแม่น้ำ หรือเทพอภิบาลเมืองและเทพในศาลบุ๋นบู๊อย่างพวกเรา ล้วนมีคำเรียกขานว่าร่างทองทั้งสิ้น อันดับแรกต้องได้รับการแต่งตั้งจากทางราชสำนัก สร้างเทวรูป จากนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็จะต้องบำรุงบ่มเพาะรัศมีบารมีด้วยตัวเอง เพียงแต่ว่าร่างทองก็มีการแบ่งระดับสูงต่ำคล้ายคลึงกับในวงการขุนนาง โดยทั่วไปแล้วระดับขั้นร่างทองของทวยเทพห้าขุนเขาใหญ่จะสูงที่สุด ตามมาด้วยเทพวารีแห่งมหานที รวมไปถึงพวกเทพอภิบาลเมืองในเมืองหลวง อนุมานตามลำดับเช่นนี้ไปเรื่อยๆ”


“กล่องไม้สีเขียวกล่องนั้นด้านในบรรจุ ‘ตราประทับเสี่ยนโย่วโป๋เทพอภิบาลเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อี’ ที่ต้าเทียนซือรุ่นหนึ่งของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์สลักและประทานมาให้ด้วยตัวเอง เป็นอาวุธอาคมที่ซุกซ่อนพลานุภาพแห่งสวรรค์ซึ่งแข็งแกร่งมากชิ้นหนึ่ง เพียงแต่ว่าจำเป็นต้องใช้ร่วมกับคาถาห้าอสนีถึงจะใช้ได้ แม้ว่าข้าจะเป็นเทพอภิบาลเมืองของเมืองแยนจือคนปัจจุบัน แต่ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพื้นที่หนึ่ง จึงไม่สามารถใช้คาถาห้าอสนีของระบบเต๋าได้ และในความเป็นจริงแล้วตอนที่จวนเทียนซือมอบตราประทับชิ้นนี้มาให้ เดิมทีก็มีความหมายในเชิงสัญลักษณ์มากกว่า แค่ให้ช่วยปกปักษ์ฮวงจุ้ยของเมืองแห่งหนึ่ง ไม่ได้ให้ผู้ฝึกลมปราณหรือเทพอภิบาลเมืองของแคว้นไฉ่อีเอามาอวดอ้างอำนาจ หากไม่เป็นเพราะตราประทับเทียนซือสยบหมู่มารโดยมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ด้วยสุสานระเกะระกะนอกเมืองที่มีมานาน ความอาฆาตพยาบาทเข้มข้น หมู่มารทั้งหลายก็คงบุกเข้ามาในเมืองแยนจือนานแล้ว”


เฉินผิงอันคิดแล้วก็ถามว่า “ต้องการให้ข้าช่วยนำไปมอบให้เจ้าเมืองหลิวแทนท่านหรือไม่? หรือว่าจะมอบให้ฮ่องเต้ของแคว้นไฉ่อีพวกท่านดี?”


เทพอภิบาลเมืองเสิ่นเวินจ้องมองดวงตาใสกระจ่างคู่นั้นอย่างตั้งใจ แล้วพลันโบกชายแขนเสื้อ หัวเราะเสียงก้อง “อริยะมีคำสอนบอกไว้ว่า อาวุธเทพแห่งฟ้าดิน มีเพียงผู้มีคุณธรรมเท่านั้นถึงจะควรค่าครอบครอง!”


—–

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)