อัจฉริยะสมองเพชร 2310-2135

 ตอนที่ 2130 วรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์!

บึ้มมมม!


ยอดเขาแบะเป็น 2 ซีกทันทีก่อนทุกอย่างจะหายวับไป ตอนนี้ไม่มีทั้งยอดเขาและซุนฉาง ในเวลาเดียวกัน ด่านคอขวดที่กีดขวางวรยุทธของเขาไว้ก็หายไปด้วย


ประตูสู่วรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ถูกเปิดออกแล้ว!


เพราะฉะนั้น นี่ก็คือความรู้สึกระหว่างเจ้านายกับลูกน้องสินะ จางเซวียนคิดพร้อมกับยิ้มออกมา เขาขับเคลื่อนพลังปราณให้สอดคล้องกับความรู้สึกภายใน


เมื่อครั้งที่เขาฝึกฝนเคล็ดวิชาเทียบฟ้า เขาจำกัดกระแสพลังปราณให้อยู่ในเส้นทางการไหลเวียนตามที่เทคนิควรยุทธให้คำจำกัดความไว้ นั่นเป็นวิธีเดียวที่เขาจะฝึกฝนพลังปราณอันไร้เทียมทานและเพิ่มประสิทธิภาพการต่อสู้ให้สูงขึ้นถึงขีดสุดได้


แต่คราวนี้จางเซวียนตัดสินใจที่จะไม่จำกัดตัวเองแบบนั้นและปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไป พลังปราณจะไหลไปพร้อมกับความรู้สึกของเขา


เขารับรู้ได้


อะไรก็เป็นเทคนิควรยุทธและเทคนิคการต่อสู้ได้ทั้งนั้น


แม้แต่อารมณ์และความรู้สึกก็อาจใช้เป็นเทคนิควรยุทธได้


ความรู้สึกอาจใช้แทนดาบเล่มหนึ่งได้เลยทีเดียว


แก๊ง! แก๊ง!


เสียงระฆังดังก้องอยู่ในหูของเขาขณะที่พลังจิตวิญญาณพลุ่งพล่านอยู่ในร่างกายอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้พละกำลังของเขาเพิ่มสูงขึ้นมาก


วรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์!


วรยุทธที่สกัดกั้นความก้าวหน้าของอัจฉริยะนับไม่ถ้วนในมิติเบื้องบน…ในที่สุดเขาก็เข้าถึงมัน!


จางเซวียนกินยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์เพิ่มเข้าไปเรื่อยๆ รังสีพิเศษที่โอบล้อมร่างของเขาไว้หายไปอย่างรวดเร็ว


ครู่ต่อมา จางเซวียนก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง


ตอนนี้เขาใช้ยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์ที่ได้จากหอนิรันดร์ไปหมดแล้ว ทั้งยังใช้รังสีพิเศษจากแท่นรูปวงกลมไปจนหมดทั้ง 20 วง


ขณะที่คนอื่นๆต้องการรังสีพิเศษเพียงวงเดียวเพื่อการฝ่าด่านวรยุทธ เขาต้องใช้มากกว่าคนทั่วไปถึง 20 เท่า


น่าเสียดายที่เรายกระดับวรยุทธได้แค่ขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ระดับสูง ยังห่างไกลนักกับวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์-สรวงสวรรค์…จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่


สุดท้าย ปริมาณยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์ที่เขามีอยู่ก็ยังไม่มากพอ อีกอย่าง ด้วยการฝ่าด่านวรยุทธของเขา คุณภาพของพลังจิตวิญญาณที่เขาต้องใช้เพื่อการฝ่าด่านวรยุทธจึงจำเป็นต้องเพิ่มสูงขึ้นอีก ดังนั้น จางเซวียนจึงทำได้แค่ฝ่าด่านวรยุทธไปสู่วรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ระดับสูงโดยใช้ยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์ 20 เม็ดที่มีอยู่ ก่อนจะหมดเรี่ยวแรงไป


จางเซวียนครุ่นคิดใหญ่ก่อนจะได้ชื่อสำหรับเทคนิควรยุทธใหม่ของเขา


นี่คือเทคนิควรยุทธที่เราคิดค้นขึ้นได้ระหว่างการทำความเข้าใจความรู้สึกของเราเอง เพราะฉะนั้น เราจะเรียกมันว่าเวทนาสวรรค์!


บางที อาจเป็นเพราะคำถามของซุนฉางที่ทำให้เขาฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้สำเร็จ ความรู้สึกแรกที่เขารับรู้จึงเป็นความผูกพันระหว่างเจ้านายกับลูกน้อง


แก่นสารของความสัมพันธ์รูปแบบนี้คือความเชื่อใจซึ่งกันและกัน


ซุนฉางไม่เคยเป็นคนแข็งแกร่งมาแต่ไหนแต่ไร แต่พร้อมจะยืนหยัดรับมือกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าหรือแม้แต่ทั้งสภาปรมาจารย์ หากสิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์กับจางเซวียน การยืนหยัดเย้ยฟ้าท้าดินอย่างไม่หวั่นไหวเพื่อใครคนหนึ่งที่เขาตัดสินใจแล้วว่าจะยืนเคียงข้าง นี่คือคุณค่าของความจงรักภักดีและความผูกพันฉันพี่น้อง


เมื่อถูกหลอมรวมเข้ากับความรู้สึก เคล็ดวิชาเทียบฟ้ามีความแตกต่างจากเดิมอย่างชัดเจน ดูเหมือนมันจะมีทั้งจิตวิญญาณ พละกำลังและอำนาจอยู่ในตัว


ขอทดสอบพลังหน่อยเถอะ! จางเซวียนคิด


เขารวบรวมพละกำลังเข้าสู่ฝ่ามือและปล่อยมันออกไป


แคร่กกกก!


มิติอันมั่นคงหนักแน่นที่อยู่ตรงหน้าถูกฉีกกระชากให้เปิดออกทันที เผยให้เห็นรอยแยกแห่งมิติสีดำสนิท


จางเซวียนถึงกับอึ้ง


เขาเห็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์มาแล้วมากมาย อันที่จริง อสูรทั้ง 8 ตัวของเขาก็สำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์แล้ว จึงรู้ดีว่านักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์โดยทั่วไปมีพละกำลังแค่ไหน


ในแง่ของประสิทธิภาพการต่อสู้ ตอนนี้จางเซวียนเทียบเท่ากับนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ที่มีพละกำลังมหาศาลคนนั้น…ชายวัยกลางคนที่เขาได้พบที่ทะเลพลัดดาว


เขาไม่คาดคิดว่าจะได้รับพลังมากขนาดนี้หลังจากการฝ่าด่านวรยุทธ ต่อให้นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์คนนั้นระเบิดวรยุทธตรงหน้าเขาอีกครั้ง จางเซวียนก็จะไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ!


“ออกมา!”


จางเซวียนโบกมือ จากนั้นก็นำมังกรอสรพิษ นกฟีนิกซ์ไฟเก้าหัวและดาบถงซังออกมา


“ใช้การโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของคุณเล่นงานผม!” จางเซวียนสั่งการ


ฟึ่บ!


อสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ทั้ง 2 ตัวกับของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์อีก 1 ชิ้น รวมตัวกันสร้างค่ายกลผนึกกำลังและปล่อยการโจมตีอย่างดุเดือดเข้าใส่จางเซวียนเป็นชุด จางเซวียนตอบโต้ด้วยการนั่งนิ่งอยู่กับพื้น ไม่เคลื่อนไหวแม้แต่ก้าวเดียว ใช้แค่นิ้วมือแทนดาบเพื่อปัดป้องการโจมตีของอีกฝ่าย


ครู่ต่อมา การโจมตีของทั้ง 3 ก็อ่อนแรงลงและสลายตัวไป ไม่อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้อีก แม้จะรวมตัวกันเพื่อสร้างค่ายกลผนึกกำลัง ก็ยังทำอะไรจางเซวียนไม่ได้


“นายท่าน พละกำลังของคุณ…”


มังกรอสรพิษกับนกฟีนิกซ์ไฟเก้าหัวแทบไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น


พวกมันคิดว่าตัวเองคือสุดยอดของทวีปที่ถูกลืมเพราะฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นสรวงสวรรค์ได้สำเร็จ แต่แล้วก็แทบไม่เชื่อสายตาเมื่อพบว่าพวกมันล้วนไม่ต่างอะไรกับมือใหม่เมื่ออยู่ต่อหน้านายท่าน ต้านทานการโจมตีเพียงครั้งเดียวของอีกฝ่ายยังไม่ไหวด้วยซ้ำ!


“เมื่อครู่นี้ผมเกิดแรงบันดาลใจและฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นสรวงสวรรค์ได้สำเร็จ” จางเซวียนหัวเราะหึๆขณะลุกขึ้นยืน


เขาเก็บทั้ง 3 เข้าไปในกระสอบอสูรและแหวนเก็บสมบัติ ก่อนจะเรียกคนที่เขาอยากประลองด้วยตลอดมา-ตัวโคลน


“คุณ แลกหมัดกัน!”


พลั่ก!


จางเซวียนที่หน้าบวมฉึ่งกระเสือกกระสนลุกขึ้นยืนขณะกระชากเสียง “บ้าจริง รอหน่อยไม่ได้หรือไง! ผมจะท้าทายคุณอีกทีเมื่อผมสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์-สรวงสวรรค์แล้ว!”


ตัวโคลนยักไหล่อย่างไม่แยแส จากนั้นก็กลับเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติ


จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่และได้แต่ส่ายหน้า


ตัวโคลนของเขาช่างบ้าบอ ไม่เพียงหมอนั่นจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้สำเร็จ ตลอด 2-3 วันที่ผ่านมา ยังหาวิธียกระดับไปเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์-สรวงสวรรค์ได้ด้วย


แน่นอนว่าจางเซวียนสู้ตัวโคลนของเขาไม่ได้!


เขาแข็งแกร่งขึ้นมากหลังจากได้ทำความเข้าใจเวทนาสวรรค์ แม้วรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ระดับสูงของเขาจะยังเป็นรองวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์-สรวงสวรรค์ของตัวโคลน แต่ช่องว่างก็ไม่ได้ห่างกันมากมาย ขอแค่เขาฝ่าด่านวรยุทธได้อีก 2-3 ครั้ง ก็น่าจะทัดเทียมกับตัวโคลนได้


“ว่าแต่เราจะหายาเม็ดอมตะมหัศจรรย์ได้จากที่ไหน?”


ด้วยระดับวรยุทธของเขาตอนนี้ ยาเม็ดทั่วไปและแม้แต่หยดเลือดของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ก็ใช้ไม่ได้ผล เขาต้องการสิ่งที่มีศักยภาพกว่านั้น


ซึ่งสิ่งเดียวที่จางเซวียนนึกออกว่าน่าจะยังใช้การกับเขาได้ก็คือยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์ แต่ยาเม็ดชนิดนี้ขึ้นชื่อว่าแสนจะหายากและมีราคาสูงลิ่ว ถึงขนาดที่แม้แต่สำนักใหญ่อย่างสำนักดาบเมฆเหินก็มีมันอยู่ไม่มากนัก


จางเซวียนเดินออกจากห้อง เขามุ่งหน้าสู่คลังสมบัติของสำนักดาบเมฆเหิน สถานที่ที่มีแต่เจ้าสำนักในแต่ละรุ่นเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป


จางเซวียนพบยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์จำนวนหนึ่งที่นั่น แต่รวมแล้วมีเพียง 10 เม็ด


“ไปตำหนักคว้าดาวกันเถอะ”


เพราะฝ่าด่านวรยุทธสำเร็จแล้ว จางเซวียนจึงไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องอยู่ที่นี่ต่อไป เขาเรียกจ้าวหย่า ซุนฉาง และคนอื่นๆมารวมตัวกันก่อนจะนำมังกรอสรพิษออกมา ทุกคนขึ้นขี่หลังมังกร ไม่ช้าก็ออกเดินทาง มุ่งหน้าสู่ตำหนักคว้าดาว


…..


3 วันต่อมา


เมื่อเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ของตำหนักคว้าดาวอีกครั้ง จางเซวียนพบเจียงเหยา จ้าวเยว่ คุ่ยเฉี่ยว ฉิงหย่วน หานเจี้ยนชิว และเหล่าผู้อาวุโสคนสำคัญของทั้ง 4 สำนัก


ก่อนหน้านี้ เขาส่งคำขอไปยังอีก 3 สำนักที่เหลือให้นำยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์ที่พวกเขามีอยู่มาที่ตำหนักคว้าดาว แต่ทุกคนก็หามาได้รวมกันเพียง 27 เม็ด


พูดอีกอย่างก็คือ ตอนนี้จางเซวียนมียาเม็ดอมตะมหัศจรรย์อยู่กับตัวเพียง 37 เม็ดเท่านั้น


เขารีบเข้าสู่ห้องส่วนตัวห้องหนึ่งในตำหนักคว้าดาวก่อนจะกลืนยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์ทั้งหมดลงไปรวดเดียว หลังจากนั้นอีกหลายนาที จางเซวียนก็ยกระดับวรยุทธไปสู่ขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ปฐพีได้สำเร็จ


ขณะที่วรยุทธของเราสูงขึ้น ประสิทธิภาพของยาเม็ดก็ต่ำลงอย่างชัดเจน


ก่อนหน้านี้ 20 เม็ดก็มากพอจะทำให้สำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ขั้นสูงแล้ว แต่ตอนนี้ ขนาดกินเข้าไปตั้ง 37 เม็ด ก็ยกระดับวรยุทธได้เพียงหนึ่งขั้นย่อย ถ้าเป็นแบบนี้ เราคงต้องการอย่างน้อยก็ 100 เม็ดถึงจะสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์-สรวงสวรรค์ได้


ความต้องการพลังจิตวิญญาณของเขาเพิ่มสูงขึ้นพร้อมกับระดับวรยุทธ และนั่นทำให้ปวดหัวไม่น้อย เขาจะไปหายาเม็ดอมตะมหัศจรรย์ตั้ง 100 เม็ดได้จากที่ไหน?


ดูเหมือนจะอ่านใจของจางเซวียนได้ หานเจี้ยนชิวอธิบาย “เจ้าสำนักจาง ยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์น่ะเป็นทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธที่มีแต่นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์เท่านั้นที่จะใช้ได้ ทั้ง 6 สำนักใหญ่มีนักรบระดับนั้นแค่สำนักละคน จึงเป็นธรรมดาที่พวกเราจะไม่ได้สำรองมันไว้มากนัก แต่สำหรับหอนิรันดร์นั้นแตกต่างออกไป พวกเขามีตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ ทั้งคำ จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าน่าจะมีนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์มากมายอยู่ในนั้น ที่นั่นจึงน่าจะมียาเม็ดอมตะมหัศจรรย์อยู่มาก”


“พูดอีกอย่างก็คือหอนิรันดร์มียาเม็ดอมตะมหัศจรรย์อยู่มากมาย?” จางเซวียนย้ำให้แน่ใจ


จริงด้วย!


เมื่อหวนนึกดู ยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์ 20 เม็ดที่เขามีก็มาจากหอนิรันดร์ ในเมื่อหอนิรันดร์เป็นกลุ่มอำนาจใหญ่ที่ตั้งอยู่มากว่าหลายพันปี ก็แน่นอนว่าทรัพย์สมบัติของหอนิรันดร์ย่อมมีมากกว่าทั้ง 6 สำนัก


ปัญหาเดียวตอนนี้ก็คือเขามีเรื่องขัดแย้งกับหัวหน้าหอนิรันดร์ แถมยังทำลายสำนักงานใหญ่ของพวกเขาจนพังพินาศโดยไม่ได้ตั้งใจ


ต่อให้เขาสั่งยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์จากหอนิรันดร์ ก็ไม่น่าจะได้มันมา


แต่ถึงอย่างไรก็ต้องลองดู เรายังมีตราสัญลักษณ์ที่ปรมาจารย์ขงมอบให้ เพราะฉะนั้นก็มีโอกาสที่เหล่าศิษย์สายตรงของหอนิรันดร์จะต้องจัดหาอะไรก็ตามแล้วแต่เราจะต้องการ จางเซวียนคิดด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย


เขายังลังเลที่จะใช้ตราสัญลักษณ์หลังจากรู้แล้วว่ามันคือสิ่งที่ชี้พิกัดของเขาให้กับหอเทพเจ้า ส่งผลให้เกิดความพยายามลอบสังหารครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ในเมื่อตอนนี้วรยุทธของเขาเข้าถึงขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ปฐพีแล้ว ก็ไม่มีใครในโลกนี้จะทำร้ายเขาได้อีกนอกจากปรมาจารย์ขง


แล้วเขาจะต้องกลัวอะไรอีก?


อันที่จริง เขาจะดีใจมากถ้าปรมาจารย์ขงมาเผชิญหน้ากับเขาตัวต่อตัว เพราะนั่นจะทำให้เขาไม่ต้องสิ้นเปลืองเวลาออกตามหาอีกฝ่าย


ตอนที่ 2131 พวกเราอยากไปกับคุณ

จางเซวียนมองหานเจี้ยนชิวและตั้งคำถาม “แล้วผมยังเข้าสู่หอนิรันดร์ได้ไหม?”


หานเจี้ยนชิวดูจะรู้ใจจางเซวียน เขาได้แต่หัวเราะหึๆขณะตอบรับ “ได้สิ”


แม้สำนักงานใหญ่ของหอนิรันดร์จะถูกทำลายไปแล้ว แต่สาขาอื่นยังคงใช้การได้เป็นปกติ บรรดานักรบยังเข้านอกออกในได้ตามสบาย ระบบการซื้อขายทรัพยากรเพื่อการฝึกฝนวรยุทธยังเป็นไปตามเดิม


“ถ้าอย่างนั้นผมจะเข้าไป” จางเซวียนระบุ


เขานำตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลที่เคยใช้ออกมาและถ่ายทอดจิตใต้สำนึกเข้าไป ไม่ช้าก็พบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ตรงหน้าอาคารสูงตระหง่านที่คุ้นตา


จางเซวียนเดินเข้าไปหาพนักงานต้อนรับอย่างไม่ลังเลและยื่นตราสัญลักษณ์ที่ได้จากปรมาจารย์ขงออกไป


“ผมต้องการยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์ 100 เม็ด” จางเซวียนแจ้งความจำนงด้วยสีหน้าเรียบเฉย


“ยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์ 100 เม็ด?”


ผู้อาวุโสของหอนิรันดร์ตัวสั่นด้วยความพรั่นพรึงเมื่อได้ยินคำสั่งนั้น เขาชำเลืองมองตราสัญลักษณ์ในมือของชายหนุ่มก่อนจะรีบพลิกบันทึกดู ครู่ต่อมาก็พูดว่า “ตอนนี้เราไม่มียาเม็ดอมตะมหัศจรรย์จำนวนมากขนาดนั้น แต่สามารถโยกย้ายของสาขาอื่นมาที่นี่ได้ ผมคิดว่าน่าจะรวบรวมได้ตามจำนวนที่คุณต้องการภายใน 1 วัน…”


“ดี ตอนนี้คุณมีเท่าไหร่ก็เอามาให้ผมก่อน แล้วอีก 1 วันผมจะมารับที่เหลือ!” จางเซวียนตอบ


“ขะ-ขอรับ ท่านแขกผู้มีเกียรติ” ผู้อาวุโสรีบเข้าไปในห้อง ราว 1 ชั่วโมงต่อมาก็ออกมายื่นขวดหยกหลายใบให้จางเซวียน “นี่คือยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์ 30 เม็ด”


“ได้” จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจก่อนจะถอนจิตใต้สำนึกของเขาออกจากหอนิรันดร์


เขานึกกังวลว่าปรมาจารย์ขงคนนั้นอาจเพิกถอนสิทธิพิเศษทั้งหมดหลังจากรู้เช่นเห็นชาติตัวเขาแล้ว แต่ก็น่าประหลาดที่มันยังคงใช้การได้


เป็นไปได้ว่าปรมาจารย์ขงคงยุ่งอยู่กับการเยียวยาอาการบาดเจ็บจากฝีมือของตัวโคลนจนหลงลืมเรื่องนี้ไป…แต่ถึงอย่างไร นี่ก็จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะใช้สิทธิพิเศษนี้ได้


แม้ผู้อาวุโสจะบอกไว้ว่าสามารถรวบรวมยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์อีก 70 เม็ดที่เหลือได้ภายในวันพรุ่งนี้ แต่ปัญหาก็คือข่าวน่าจะรั่วไหลไปถึงสำนักงานใหญ่ของหอนิรันดร์ก่อน ซึ่งหากเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นเมื่อไหร่ สิทธิพิเศษที่เขาได้รับจากตราสัญลักษณ์อันนี้จะต้องถูกเพิกถอน และยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์ 70 เม็ดก็คงไม่มีวันถึงมือเขา


เพราะถึงอย่างไร ปรมาจารย์ขงก็ไม่มีทางโง่เง่าถึงขนาดจะมอบทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธให้ศัตรู


จางเซวียนจึงทำได้แค่กอบโกยให้มากที่สุดเอาไว้ก่อน


หลังจากสั่งยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์จากหอนิรันดร์ จางเซวียนก็เดินทางไปยังพื้นที่ว่างเปล่าเหนือทะเลพลัดดาว รอคอยอย่างอดทนให้มีใครสักคนมาหา


แต่ก็เป็นไปตามคาด แม้จะรออยู่พักใหญ่ ก็ยังไม่มีใครจากหอเทพเจ้าตามมา


เขาอดละเหี่ยใจไม่ได้


ที่ผ่านมา ปรมาจารย์ขงเป็นสปอนเซอร์ทั้งยาเม็ดและทรัพยากรอื่นๆอีกมากให้เขา แต่ต่อไปจะไม่มีอีกแล้ว…


ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ เราจะรีดหอนิรันดร์ให้เกลี้ยงก่อนจะท้าทายหอเทพเจ้า


จางเซวียนอดทนรออีก 2 ชั่วโมง แต่ก็ไม่พบร่องรอยของใคร สุดท้ายเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องกลับตำหนักคว้าดาว


“ผมจำได้ว่าปรมาจารย์ขงบอกว่าเขาถูกกดข่มมาหลายพันปีแล้ว และยังไม่กลับคืนสู่สภาพเดิม แถมยังใช้พลังงานมหาศาลในการสังหารหมู่และปิดกั้นหอเทพเจ้า ดังนั้นพละกำลังที่แท้จริงของเขาก็น่าจะมีมากกว่าที่สำแดงออกมาในครั้งนั้นหลายเท่า ว่าแต่…ใครกันที่เก่งกาจขนาดกดข่มเขาได้?”


การที่ปรมาจารย์ขงสามารถทำการสังหารหมู่ผู้คนในหอเทพเจ้าก็เกินพอจะชี้ชัดแล้วว่าเขาทรงพลังแค่ไหน ขนาดองค์กรระดับหอเทพเจ้ายังรับมือไม่ไหว ด้วยเหตุนี้ จึงยากจะเชื่อว่าในมิติเบื้องบนแห่งนี้จะมีใครที่ทรงพลังมากพอจะกดข่มเขาไว้ได้หลายพันปี ถึงขนาดที่เพิ่งฟื้นคืนสติได้ดังเดิมเมื่อไม่นานมานี้เอง


จางเซวียนใคร่ครวญเรื่องนี้อยู่ครู่ใหญ่ แต่ก็ยังไม่เข้าใจ ลงท้ายจึงล้มเลิกความคิดทั้งหมด


เขาเข้าไปในห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง จากนั้นก็กลืนยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์ทั้ง 30 เม็ดที่เพิ่งได้มาและยกระดับวรยุทธขึ้นได้อีกเล็กน้อย แต่ก็ยังห่างไกลจากการสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์-สรวงสวรรค์


แต่ถึงอย่างนั้น จางเซวียนก็ยังรู้สึกได้ถึงพละกำลังอันน่าทึ่งที่พลุ่งพล่านอยู่ในร่างกายของเขา เขานึกอยากทดสอบประสิทธิภาพการต่อสู้อีกสักครั้ง


นัยน์ตาของจางเซวียนฉายแววโหดเหี้ยม เขาเรียกตัวโคลนออกมา


คราวนี้ทั้งคู่ต่อสู้กันได้อย่างทัดเทียม พละกำลังของเขาเทียบชั้นกับตัวโคลนได้แล้ว


แถมเขายังไม่ได้ใช้ศิลปะเพลงดาบเลยด้วย


“ดูเหมือนในที่สุดเราก็แข็งแกร่งกว่าตัวโคลนเสียที” จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก


นับตั้งแต่เขาสร้างตัวโคลนขึ้นเมื่อ 2 ปีก่อน ก็ถูกอีกฝ่ายแซงหน้ามาตลอด ต่อเมื่อคิดค้นเทคนิควรยุทธของตัวเองได้ จึงเอาชนะตัวโคลนได้สำเร็จ


“ถึงเวลาบุกหอเทพเจ้าแล้ว” จางเซวียนพึมพำขณะเดินออกจากห้องอย่างมั่นใจ


เขาควรจะมุ่งหน้าไปหอเทพเจ้าเพื่อช่วยชีวิตตู้ชิงหย่วนและชำระความแค้นกับปรมาจารย์ขงให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด


จางเซวียนเรียกรวมพลจ้าวเยว่ เจียงเหยา กับคนอื่นๆ ก่อนจะจัดการให้หวู่เฉินนำแท่นบูชาของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นมา


“เจ้าสำนักจาง ผมออกจะกังวลเรื่องนี้นะ เพราะในเมื่อคุณคิดได้ อีกฝ่ายก็น่าจะคิดได้เหมือนกัน มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะวางกับดักล่อคุณไว้ที่นั่น รอให้คุณเดินเข้าไปหา” หานเจี้ยนชิวพูดอย่างกังวล


การที่ปรมาจารย์ขงรู้เวทมนตร์ที่ใช้ประกอบพิธีกรรมก็ย่อมหมายความว่าเขามีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าแท่นบูชาทำอะไรได้บ้าง อย่างน้อยที่สุด ก็ปลอดภัยกว่าที่จะคาดเดาไว้ก่อนว่าความรู้ของอีกฝ่ายเหนือชั้นกว่าทุกคนที่นี่


อาจเป็นไปได้ด้วยซ้ำว่าปรมาจารย์ขงคนนั้นวางแผนให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่เห็น! เขาจงใจสกัดกั้นทุกเส้นทางไว้เพื่อให้จางเซวียนไม่มีทางเลือกนอกจากใช้แท่นบูชาตามหาเขา


“ผมคงช่วยตู้ชิงหย่วนไม่ได้ถ้าไม่ทำแบบนี้ จะมัวเสียเวลาอยู่ที่นี่ไม่ได้หรอก” จางเซวียนส่ายหน้า


เขาเองก็คิดถึงความเป็นไปได้ข้อนั้น แต่รู้ดีว่าไม่อาจรอช้าได้


เขาเคยสู้กับปรมาจารย์ขงแล้ว ซึ่งอีกฝ่ายก็มีพละกำลังทัดเทียมกับตัวโคลนของเขาแม้ร่างกายจะยังไม่ฟื้นคืนสภาพเดิม ถ้าอีกฝ่ายได้พละกำลังเต็มพิกัดดังเดิมกลับมาเมื่อไหร่ โอกาสที่เขาจะเอาชนะได้คงน้อยเต็มที


ถึงเวลานั้น หากเขาจะถูกสังหารก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ทุกคนที่อยู่รอบตัวเขาคงตกเป็นเหยื่อของปรมาจารย์ขงด้วย


ดังนั้น จางเซวียนจึงถอยไม่ได้


จ้าวหย่ากับคนอื่นๆเดินเข้ามา “ท่านอาจารย์ พวกเราอยากไปกับคุณ”


“ตอนนี้พวกคุณยังอ่อนด้อยเกินไป ผมเก็บรังสีพิเศษที่พวกคุณต้องใช้ในการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ไว้ที่นี่ ตั้งใจฝึกฝนวรยุทธให้ดี พวกคุณจะช่วยผมได้เมื่อเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์แล้ว” จางเซวียนพูด


เขาโบกมือ จากนั้นก็ยื่นขวดหยกที่เตรียมไว้ให้กับบรรดาศิษย์สายตรง


จ้าวหย่ากับพรรคพวกมีเทคนิควรยุทธและทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนมากพอสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธแล้ว แต่โชคร้ายที่ทุกคนมีระยะเวลาจำกัดในมิติเบื้องบน จึงยังห่างไกลกับการเข้าถึงวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์


ถ้าเด็กกลุ่มนี้ติดตามเขาไปหอเทพเจ้า ก็มีโอกาสสูงที่จะถูกจับตัวและใช้เป็นตัวประกันเพื่อบีบให้เขายินยอม ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น สู้ปล่อยให้ทุกคนตั้งใจฝึกฝนวรยุทธเพื่อสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ให้เร็วที่สุดจะดีกว่า


รู้ดีว่าพวกเขาไม่อยู่ในฐานะที่จะช่วยเหลือท่านอาจารย์ จ้าวหย่ากับคนอื่นๆได้แต่กำหมัดแน่นอย่างร้อนใจ


ทุกคนเกลียดความจริงที่ว่าพวกเขายังคงอ่อนแออยู่ มันเป็นแบบนี้เสมอ ท่านอาจารย์จะยืนหยัดอยู่แถวหน้า เผชิญกับภยันตรายทุกรูปแบบ ขณะที่พวกเขาได้แต่ยืนจนปัญญาอยู่ข้างหลัง พวกเขาเกลียดความรู้สึกที่รู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้


หลังจากจัดการกับศิษย์สายตรงของเขาแล้ว จางเซวียนก็หันไปพูดกับหานเจี้ยนชิว “หานเจี้ยนชิว สองสามวันนี้ผมพัฒนาความเข้าใจในเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้มากกว่าเดิม ผมจะถ่ายทอดให้คุณเดี๋ยวนี้แหละ…”


“ขอบคุณมาก เจ้าสำนักจาง” หานเจี้ยนชิวตอบด้วยนัยน์ตาแดงเรื่อ


เขาศึกษากรรมวิธีการทำความเข้าใจเจตจำนงของเพลงดาบของเทพเจ้าที่จางเซวียนถ่ายทอดให้ตั้งแต่ 2-3 วันก่อน และรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะเข้าถึงระดับนั้นแล้ว แต่ไม่อาจก้าวผ่านขั้นสุดท้ายได้ หานเจี้ยนชิวแน่ใจว่าภูมิปัญญาใหม่ที่จางเซวียนกำลังจะมอบให้จะต้องเป็นกุญแจที่เขาต้องการสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธ


หากเขาทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้เมื่อไหร่ ด้วยพละกำลังในฐานะนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ ต่อให้เขาไม่อาจเทียบชั้นความยิ่งใหญ่กับผู้ก่อตั้ง แต่อย่างน้อยที่สุดก็จะมีพละกำลังมากพอที่จะปกป้องสำนักดาบเมฆเหินทั้งจากหอนิรันดร์และหอเทพเจ้า


เพียงแต่เขาอดรู้สึกไม่ได้ว่าจางเซวียนกำลังมอบหมายหน้าที่ให้เขา และนั่นทำให้ออกจะหนักใจ


“ แต่ภูมิปัญญานี้มาจากการทำความเข้าใจของผมเอง จึงค่อนข้างจะแตกต่างกับเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าที่มีอยู่ในสำนัก ถ้าคุณอยากเรียนรู้ล่ะก็ คุณจะต้องศึกษาคำชี้แนะและเป็นศิษย์ของผม ไม่ทราบว่าคุณเต็มใจหรือเปล่า?” จางเซวียนตั้งคำถามหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง


เขาไม่ได้คิดจะดูถูกหานเจี้ยนชิว แต่กำลังใช้สิ่งนี้เป็นความพยายามเฮือกสุดท้ายที่จะสร้างหน้าหนังสือสีทองให้ได้สักหน้าหนึ่ง ก่อนจะต้องเผชิญหน้ากับปรมาจารย์ขง!


ไม่ช้าเขาจะต้องพบกับศัตรู ถึงตอนนี้จะยกระดับวรยุทธขึ้นได้มาก แต่ก็ไม่มั่นใจว่าจะได้ชัยชนะ


หากได้หน้าหนังสือสีทองมาสักหน้า ก็จะมีภาษีดีกว่าเดิมมาก


จางเซวียนไม่แน่ใจว่าเงื่อนไขของการสร้างหน้าหนังสือสีทองคืออะไร แต่รู้ว่ากุญแจข้อหนึ่งของมันคือความรู้สึกสำนึกในบุญคุณต่อตัวเขาจนหมดหัวใจในฐานะครูบาอาจารย์


“เป็นเกียรติของผมหากจะได้เป็นศิษย์ของคุณ” หานเจี้ยนชิวพยักหน้าอย่างไม่ลังเล


ในโลกนี้มีนักรบชื่อดังอยู่มากมายที่เต็มใจจะถ่ายทอดศาสตร์ลับของตัวเองให้เฉพาะกับลูกศิษย์เท่านั้น ซึ่งด้วยความล้ำลึกและเป็นเอกลักษณ์ของเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้า ก็พอเข้าใจได้ว่าทำไมจางเซวียนถึงไม่เต็มใจจะถ่ายทอดมันให้กับผู้ที่ไม่ได้เป็นศิษย์ของเขา แม้ตัวเขาจะเป็นถึงเจ้าสำนักก็ตาม


หานเจี้ยนชิวเคยเห็นความรักศักดิ์ศรีและความหยิ่งผยองของมนุษย์มามากมาย แต่ไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงใจที่จะเป็นศิษย์ของใครสักคนที่อ่อนอาวุโสกว่าเขามาก


เห็นหานเจี้ยนชิวตอบตกลง จางเซวียนเคาะนิ้วเบาๆและถ่ายทอดเจตจำนงเสี้ยวหนึ่งของเขาเข้าสู่หัวสมองของอีกฝ่าย


ตอนที่ 2132 นี่มันที่ไหน?

เมื่อได้รับภูมิปัญญาเกี่ยวกับศิลปะเพลงดาบจากจางเซวียน หานเจี้ยนชิวก็รีบชักดาบออกมาและตั้งต้นฝึกฝนศิลปะเพลงดาบ ตัวเขาเข้าถึงศิลปะเพลงดาบขั้นสูงอยู่แล้ว การจะพัฒนาให้สูงขึ้นอีกจึงยากเย็นไม่น้อย แต่ศิลปะเพลงดาบที่เขาสำแดงออกมาก็ดูจะเฉียบคมกว่าเดิม แต่ละกระบวนท่าไม่อาจคาดเดาได้


สุดท้ายก็มาถึงจุดที่ทุกอย่างดูเหมือนจะแตกสลาย พลังงานในร่างกายของเขาพลุ่งพล่าน ทั้งเนื้อทั้งตัวดูจะแปรสภาพเป็นดาบที่คมกริบและเยือกเย็น


ในที่สุดเราก็มาถึงขั้นนี้…หานเจี้ยนชิวมือสั่น


เพื่อทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้า เขาทุ่มเทเวลากว่า 100 ปีเพื่อฝึกฝนศิลปะเพลงดาบ แต่ความสำเร็จก็ดูเหมือนจะมาไม่ถึง สุดท้ายเขาก็นึกปลงว่าชั่วชีวิตนี้คงไม่มีวันนั้น


“ท่านอาจารย์ ขอบคุณที่ช่วยเติมเต็มความปรารถนาสูงสุดของผม!” หานเจี้ยนชิวทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นและโค้งคำนับอย่างงามเพื่อแสดงความเคารพ


เห็นภาพนั้น จางเซวียนรีบเพ่งสมาธิเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้า แต่หลังจากรออยู่ครู่ใหญ่ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น หน้าหนังสือสีทองไม่ปรากฏ


เขาขมวดคิ้ว


โดยปกติ หน้าหนังสือสีทองจะปรากฏหลังจากเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เขากำลังต้องการมัน ทำไมคราวนี้ถึงผิดพลาด?


จางเซวียนแอบถอนหายใจ เขารีบเดินเข้าไปพยุงหานเจี้ยนชิวให้ลุกขึ้น “ไม่ต้องมีพิธีรีตองหรอก”


จากนั้นก็หันไปมองเจียงเหยา ฉิงหย่วน และคุ่ยเฉี่ยว


จางเซวียนทดลองใช้วิธีเดียวกันกับคนเหล่านั้น เขาถ่ายทอดทั้งความเข้าใจเรื่องวรยุทธ การฝึกอสูร และเทคนิคการต่อสู้ให้อีกฝ่าย ซึ่งทั้งสามก็ได้ประโยชน์มากจากคำชี้แนะของเขา ทุกคนพัฒนาตัวเองได้อีกมากและต่างก็แสดงความสำนึกในบุญคุณอย่างสูงสุดที่จางเซวียนช่วยชี้แนะ


โชคดีที่คราวนี้เกิดหน้าหนังสือสีทองขึ้น 1 หน้าจากเจียงเหยา


นึกแล้วเชียว…ความสำนึกในบุญคุณไม่ใช่ปัจจัยเดียวของการเกิดหน้าหนังสือสีทอง เป็นไปได้ว่าน่าจะมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับความปรารถนาอันล้ำลึกของอีกฝ่ายด้วย จางเซวียนครุ่นคิดขณะถอนหายใจ


หานเจี้ยนชิว คุ่ยเฉี่ยว และฉิงหย่วนต่างก็สำนึกในบุญคุณของเขา แต่ในฐานะผู้นำของสำนัก ประกอบกับการเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ ความปรารถนาที่จะมีพละกำลังเพิ่มขึ้นจึงลดน้อยลงไปมาก แม้พวกเขาจะแสดงความขอบคุณต่อจางเซวียน แต่ความรู้สึกที่มีก็ไม่ได้เข้มข้นเท่าไหร่


ก็เหมือนกับการที่คุณให้ความรู้เรื่องการปรุงอาหารกับพ่อครัวของวังหลวง และอีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งกับคำชี้แนะของคุณมากนัก แต่ในทางกลับกัน ถ้าคุณมอบอมยิ้มอันหนึ่งให้เด็กน้อย เด็กคนนั้นก็จะรู้สึกว่าคุณคือคนดีที่สุดในโลกใบนี้


ผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากจะค่อยๆปล่อยความปรารถนาของตัวเองไป


เจียงเหยาไม่ได้เป็นหัวหน้าตำหนักคว้าดาว และเธอก็เกือบเอาชีวิตไปทิ้งในเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย จึงรู้ดีว่าในช่วงเวลาที่เธอต้องการพละกำลังแล้วไม่ได้มันมา จะรู้สึกสิ้นหวังแค่ไหน เธอจึงรู้สึกสำนึกในบุญคุณอย่างมากต่อจางเซวียนที่ยื่นมือเข้าช่วยเธอไว้ในเวลาที่เธออับจนหนทาง เรื่องนี้จึงพอเข้าใจได้


การเกิดขึ้นของหน้าหนังสือสีทองมีเงื่อนไขมากมาย แต่นี่คือสิ่งที่เขาพอจะสรุปได้ในเวลานี้


เมื่อลองคิดดู ความสำนึกในบุญคุณก็เป็นหนึ่งในความรู้สึกที่ประเมินค่ามิได้ของมวลมนุษย์ จางเซวียนรุ่นคิด


บางที ถ้าเขาใส่ใจรายละเอียดปลีกย่อยให้มากกว่านี้ ก็อาจทำความเข้าใจเวทนาสวรรค์ได้นานแล้ว คงไม่ต้องใช้เวลาเนิ่นนานหลายปีเค้นหัวสมองกว่าจะเข้าใจ


เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง จางเซวียนหันไปพูดกับหวู่เฉิน “เริ่มกันเถอะ”


หวู่เฉินโบกมือ แล้วเครื่องบรรณาการก็เรียงรายเต็มแท่นบูชา เขาดีดนิ้ว ทุกอย่างเริ่มมอดไหม้ ในเวลาเดียวกัน แท่นบูชาก็เริ่มลอยตัวขึ้นสู่กลางอากาศ แผ่รังสีเข้มข้นที่ดูจะทำให้ทุกคนหยุดหายใจ


หวู่เฉินเริ่มร่ายมนต์เสียงดัง


เปลวเพลิงบนแท่นบูชาลุกโชน มิติที่อยู่โดยรอบเริ่มบิดเบี้ยว ค่อยๆก่อตัวเป็นสิ่งหนึ่งที่มีหน้าตาเหมือนประตู


“ท่านอาจารย์ ผมเข้าไปก่อนดีไหม เผื่อมีอันตราย? ถ้ามีอันตรายอยู่อีกฝั่ง เราจะได้เตรียมหาวิธีตอบโต้” หานเจี้ยนชิวเสนออย่างร้อนใจ


“ผมไปเอง พละกำลังของผมอาจเทียบชั้นกับคุณไม่ได้ แต่ผมมีอุปกรณ์ช่วยชีวิตอยู่มากมาย” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวพูด


เห็นความกังวลใจของทั้งคู่ จางเซวียนส่งยิ้มอย่างมั่นใจและพูดว่า “ไม่จำเป็นหรอก ผมจะเข้าไปก่อน ถ้าพวกคุณอยากตามผมไปก็เข้าไปได้ ต่อให้ศัตรูคือหอเทพเจ้า เราก็จะแสดงให้พวกเขาเห็น ว่าการเข้ามาวุ่นวายกับพวกเราจะทำให้พวกเขาต้องสูญเสียอะไรบ้าง!”


“ดี!”


คนอื่นๆตอบรับด้วยอาการฮึกเหิม


ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาบุกหอเทพเจ้านั้นเนิ่นนานแค่ไหนแล้ว? เหล่าบรรพบุรุษเคยทำสำเร็จ บางทีนี่อาจจะเป็นเวลาของตำนานคนใหม่


ไม่ว่าพวกเขาจะทำสำเร็จหรือไม่ ในเมื่อหอเทพเจ้ารุกรานพวกเขาก่อน ทั้ง 6 สำนักใหญ่ก็จะต้องยืนหยัดเพื่อแสดงให้พวกนั้นเห็นว่าไม่ควรเข้ามาก้าวก่าย!


จางเซวียนเดินไปที่ประตูและเปิดเข้าไป


เขาเห็นมิติที่อยู่รอบตัวบิดเบี้ยวไปหมด จางเซวียนยิ้ม จากนั้นก็นำตัวโคลนออกมาก่อนที่ตัวเขาเองจะเข้าไปอยู่ในแหวนเก็บสมบัติ


เป็นอย่างที่คนอื่นๆพูดไว้ หอเทพเจ้าเต็มไปด้วยอันตราย มีความเป็นไปได้สูงที่ปรมาจารย์ขงจะวางกับดักไว้เล่นงานเขา ซึ่งในเมื่อตัวโคลนไม่อาจถูกทำลายได้ ก็ไม่มีใครอีกแล้วที่จะเหมาะสมกว่านี้


ตัวโคลนขับเคลื่อนพลังปราณ จากนั้นก็เดินเข้าประตู


“เอ๊ะ? นี่มันที่ไหน?”


ที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ทั้งหอเทพเจ้าหรือสำนักงานใหญ่ของหอนิรันดร์ที่ถูกทำลาย กลับเป็นทางเดินแคบๆที่ทอดยาวสู่ความว่างเปล่า


แท่นบูชาที่เขาถูกส่งทะลุมิติมาอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา


“ไม่มีอะไรอยู่ที่นี่เลยหรือ?”


ร่างหนึ่งที่เหมือนกันเป๊ะปรากฏตัวขึ้นข้างตัวโคลนของจางเซวียน


เขาคิดว่าจะต้องเจอกับการโจมตีของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์มากมายนับไม่ถ้วนทันทีที่ถูกส่งทะลุมิติมา แต่กลับไม่เจอใครสักคน


แต่ที่นี่ก็ดูน่าสงสัย ยิ่งพินิจพิจารณามากเท่าไหร่ก็ยิ่งค้างคาใจมากขึ้นเท่านั้น


จางเซวียนกระโจนลงจากแท่นบูชา ตั้งใจจะรอให้คุ่ยเฉี่ยวกับคนอื่นๆข้ามมา ก็พอดีกับที่รู้สึกถึงกระแสความเย็นเยือกที่ถาโถมเข้าใส่กระดูกสันหลัง เขารีบยื่นมือออกไปคว้าแท่นบูชาไว้


แต่ยังไม่ทันที่มือจะได้แตะแท่นบูชา กระแสดาบฉีก็ระเบิดขึ้นจากด้านล่าง พลังงานมหาศาลฉีกกระชากแท่นบูชาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย


การที่แท่นบูชาถูกทำลายทำให้ประตูมิติที่กั้นระหว่างแท่นบูชาทั้งสองหายวับไป


พลั่ก!


ที่อีกด้านหนึ่งของประตู หวู่เฉินกระอักเลือดกองใหญ่ออกมา เขาหน้าซีดเผือดเพราะความอ่อนแรง ตัวสั่นไม่หยุด


“เกิดอะไรขึ้น?”


เห็นสภาพของหวู่เฉิน คุ่ยเฉี่ยวกับคนอื่นๆรีบหันมามอง


“ใครคนหนึ่งทำลายแท่นบูชาที่อยู่อีกฟากและตัดขาดการเชื่อมโยง ปรมาจารย์จางจะกลับมาไม่ได้อีกแล้ว…” หวู่เฉินพึมพำ นัยน์ตาเหลือกลานด้วยความพรั่นพรึง


“คุณหมายความว่าอย่างไร?”


ทุกคนถึงกับจังงัง


“แท่นบูชาของตำหนักคว้าดาวมีเพียงหนึ่งเดียว การที่มันถูกทำลาย ก็หมายความว่าเส้นทางเดียวที่นำไปสู่หอเทพเจ้าถูกตัดขาดไป เราไม่อาจเข้าไปช่วยชีวิตเขาได้อีกแม้จะอยากทำก็ตาม และเขาก็ไม่อาจกลับมาที่นี่โดยผ่านทางแท่นบูชาได้อีกแล้วเช่นกัน” หวู่เฉินตอบ


“เอ่อ…”


เมื่อรับรู้ความรุนแรงของสถานการณ์ ทุกคนมองหน้ากันอย่างอัศจรรย์ใจ


จ้าวหย่ากับคนอื่นๆนัยน์ตาแดงก่ำด้วยความร้อนรน


นี่หมายความว่าท่านอาจารย์ของพวกเขาตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวงใช่ไหม?


ทั้งหมดเป็นความผิดของพวกเรา! ถ้าพวกเราไม่อ่อนแอ ท่านอาจารย์ก็คงไม่ต้องอยู่ในสภาพสุ่มเสี่ยงแบบนี้


เราต้องยกระดับวรยุทธให้ได้โดยเร็วที่สุดเพื่อจะได้ช่วยชีวิตเขา!


นัยน์ตาของจ้าวหย่ากับพรรคพวกฉายแววมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวออกมา


ที่อีกฟากหนึ่งของประตู จางเซวียนมองแท่นบูชาที่ถูกทำลายไปต่อหน้าต่อตาขณะกำหมัดแน่น


ไม่ใช่ปฏิกิริยาโต้ตอบของเขาไม่เร็วพอ แต่เป็นเพราะศัตรูทิ้งค่ายกลไว้ใต้แท่นบูชาเพื่อให้แน่ใจว่ามันจะถูกทำลายทันทีที่เขามาถึง ส่งผลให้สกัดเส้นทางหลบหนีทั้งหมดของเขาได้


พูดอีกอย่างก็คือไม่ว่าศัตรูจะเตรียมอะไรไว้เล่นงานเขา นับจากนี้ไปเขาก็ทำได้แค่เดินหน้าและท้าชนอะไรก็ตามที่ขวางทาง การล่าถอยไม่ใช่ทางเลือกของเขาอีกแล้ว


“ผมนึกว่าคุณอยากได้หอสมุดเทียบฟ้าของผม มาทำลายแท่นบูชาเสียแบบนี้ แล้วจะประกอบพิธีกรรมได้อย่างไร?” จางเซวียนพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกขณะสำรวจพื้นที่โดยรอบ


เหตุผลที่ปรมาจารย์ขงส่งฟู่เฉิงสื่อกับคนอื่นๆไปจับตัวตู้ชิงหย่วนก็เพื่อให้ได้แท่นบูชาสำหรับการประกอบพิธีกรรมมา แต่หลังจากได้มาแล้ว ก็กลับทำลายมันโดยปราศจากความลังเล


หรือว่าเป้าหมายของปรมาจารย์ขงเปลี่ยนไป? เป็นไปได้ไหมว่าตอนนี้เขาไม่ต้องการหอสมุดเทียบฟ้าแล้ว?


เสียงของจางเซวียนดังก้องไปทั่วทางเดิน


แต่หลังจากรออยู่ระยะหนึ่ง ก็ยังไม่เกิดอะไร


ราวกับที่นี่ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นอีกเลยนอกจากตัวเขา


“ก็คงต้องเดินหน้าอย่างเดียว”


เมื่อคาดเดาไม่ได้ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร จางเซวียนรู้สึกเหมือนกำลังเดินเข้าถ้ำสิงโต เขาย่นหน้าผาก จากนั้นก็เดินหน้าต่อไปอย่างระแวดระวัง


ตัวโคลนตามหลังไปติดๆ


ทางเดินนั้นไม่ยาวนัก ไม่ช้าพระราชวังขนาดใหญ่ก็ปรากฏตรงหน้า


มันโอ่อ่าอลังการกว่าหอเทพเจ้าที่เขาเคยเห็นเสียอีก ทั้งยังสูงตระหง่านเสียดฟ้า


จางเซวียนชะงักไปเล็กน้อย


ภาพตรงหน้าเขาดูคล้ายกับแอ่งน้ำวนที่ถูกปีศาจตัวมหึมาปิดกั้นไว้ ไม่ว่าน้ำวนจะทรงพลังแค่ไหน ก็ไม่อาจทำให้ปีศาจตนนั้นสะทกสะท้าน เช่นเดียวกันกับความยิ่งใหญ่ของพระราชวังนี้


กระแสบรรยากาศสีดำสนิทดูเหมือนจะพุ่งเข้าสู่ความเวิ้งว้างว่างเปล่าที่ไม่อาจหยั่งถึง ทำให้ผู้พบเห็นใจเต้นรัวด้วยความหวาดกลัวและขยะแขยง แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรมันได้


เราต้องลองเข้าไป


ไม่ว่าปรมาจารย์ขงจะคิดอะไรอยู่ เขาก็ทำได้แค่พุ่งเข้าใส่และพยายามเอาชีวิตรอดกลับมาให้ได้ ทุกปัญหาไม่อาจคลี่คลายได้เองหากเขาเอาแต่รออยู่ข้างนอก


จางเซวียนเดินไปที่ประตูทางเข้าพระราชวังพร้อมกับตัวโคลน เห็นเสาหินขนาดมหึมาสองต้นตั้งตระหง่าน พุ่งทะยานขึ้นสู่ความว่างเปล่า ราวกับมันกำลังตรึงพระราชวังให้อยู่กับที่ ป้องกันไม่ให้ลอยละล่องไปตามกระแสของบรรยากาศ


ด้วยความงุนงง จางเซวียนเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้เพื่อเพ่งดูใกล้ๆ


“มันเป็นของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์?” เขาตั้งข้อสังเกตอย่างประหลาดใจ


จางเซวียนอดนึกถึงไม่ได้ว่าประตูของหอเทพเจ้าก็เป็นของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์เช่นกัน


เขาชักดาบถงซังออกมากวัดแกว่งเบาๆ


บึ้มมมมม!


กระแสดาบฉีระเบิดและพุ่งฝ่ากระแสบรรยากาศออกไป ตรงเข้าใส่เสาหินทั้งสองต้น


เกิดประกายไฟเมื่อกระแสดาบฉีกระทบเสาหิน แต่ไม่อาจทิ้งร่องรอยใดๆไว้ได้เลย


“แม้แต่เสาหินของที่นี่ก็แสนจะไร้เทียมทาน…มันคือที่ไหนกัน?” จางเซวียนพึมพำอย่างประหลาดใจ


ตอนที่ 2133 หรือพูดอีกอย่างก็คือ…

พระราชวังที่อยู่ตรงหน้าเขาแตกต่างกับหอเทพเจ้ามาก แถมวัสดุที่ใช้ก่อสร้างก็ดูจะมีคุณภาพสูงกว่า


ประตูวังไม่ได้ปิดหรือถูกล็อกไว้ จางเซวียนจึงเดินเข้าไปได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ


2-3 ก้าวให้หลัง เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ


จางเซวียนหันกลับไปมองตัวโคลนที่ยังยืนคาปากประตู เขาเอ่ยถาม “คุณไม่เข้ามาด้วยกันหรือ?”


“ผมข้ามประตูไปไม่ได้”


ตัวโคลนสาธิตด้วยการก้าวเท้าออกไป แต่พริบตาต่อมา พละกำลังชนิดหนึ่งก็พุ่งเข้าโจมตีเขา ทำให้ต้องถอยกรูดไปหลายก้าว ราวกับมีสนามพลังงานที่มองไม่เห็นสกัดกั้นอยู่ เขาไม่อาจก้าวออกไปได้แม้แต่ก้าวเดียว


“คุณข้ามประตูมาไม่ได้?”


จางเซวียนเดินกลับไปที่ประตูและพยายามแตะบริเวณที่ตัวโคลนของเขาไม่สามารถผ่านเข้ามา


ก็ไม่มีอะไรผิดแปลกสักนิด แต่เรื่องจริงก็คืออีกฝ่ายเข้ามาไม่ได้


“ไม่เป็นไร คุณเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติของผมก่อน” จางเซวียนพูดพร้อมกับโบกมือ


หลังจากเก็บตัวโคลนไว้ในแหวนแล้ว จางเซวียนก็เดินกลับเข้าประตูไปอีกครั้ง แต่ขณะที่เขากำลังจะผ่าน ตัวโคลนก็พลันปรากฏตัวขึ้นนอกแหวนเก็บสมบัติและเซถอยหลังไป


คราวนี้จางเซวียนถึงกับงง


ตัวโคลนของเขาถูกดีดออกมาแม้จะซ่อนตัวอยู่ในแหวนเก็บสมบัติ ปราการล่องหนอันนี้จะเก่งกาจไปหน่อยไหม?


ทั้งคู่พยายามใช้อีก 2-3 วิธี แต่ตัวโคลนก็ไม่อาจเข้าสู่พระราชวังได้


“ในเมื่อคุณเข้าไปไม่ได้ รออยู่ตรงนี้ก่อนก็แล้วกัน” จางเซวียนถอนหายใจเฮือก


ดูเหมือนปรมาจารย์ขงจะรู้ดีว่าการรับมือกับตัวโคลนของเราไม่ใช่เรื่องง่าย จึงพยายามทำอะไรสักอย่างเพื่อแยกเราออกจากตัวโคลน…จางเซวียนคิด


ถึงจะเก่งกาจไร้เทียมทานแค่ไหน แต่ก็ทำได้แค่ต่อสู้กับตัวโคลนอย่างสมน้ำสมเนื้อ เรื่องนี้ทำให้ปรมาจารย์ขงมองว่าตัวโคลนเป็นภัยคุกคามขนานใหญ่ จึงจงใจเตรียมสิ่งนี้ไว้เพื่อจะได้ไม่ต้องปะทะกับตัวโคลนอีก


พูดอีกอย่างก็คือ จางเซวียนน่าจะต้องพบเจอกับอันตรายไม่น้อยในพระราชวังแห่งนี้


แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น เขาควรเดินหน้าต่อหรือไม่?


จางเซวียนกำดาบถงซังไว้แน่น เขาสูดหายใจลึก


ถ้าเราเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์แล้ว แต่ยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับปรมาจารย์ขง ก็คงไม่อาจฝ่าปราการแห่งมิติและขึ้นสู่สรวงสวรรค์ได้ จางเซวียนหลับตาลงครุ่นคิด


สภาวะจิตของนักรบเป็นสิ่งสำคัญยิ่งยวด


มีแค่เส้นบางๆกั้นระหว่างความบ้าบิ่นกับความขลาดเขลา ทันทีที่นักรบคนหนึ่งพ่ายแพ้ให้กับความหวาดกลัว ก็จะสูญเสียความกล้าในการเดินหน้าต่อไป


จึงมีความเป็นไปได้ว่าปรมาจารย์ขงจัดเตรียมสิ่งเหล่านี้ไว้เพื่อทำให้เขาเกิดความลังเล


ถ้าจางเซวียนจะถอยกลับไปตอนนี้ก็ไม่ผิด เพราะเขามีแค่ชีวิตเดียว และการให้ความสำคัญกับความปลอดภัยก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร


แต่แล้วใบหน้าของหลัวลั่วชิงกับบรรดาศิษย์สายตรงของเขาก็ลอยเข้ามา มีบางอย่างที่สำคัญกว่าในเวลานี้ที่จางเซวียนไม่อาจละทิ้งได้ ต่อให้ต้องเสี่ยงก็ตาม


เขาจึงขจัดความหวาดกลัวออกไปและเดินตรงเข้าสู่พระราชวัง


ภายในห้องโถงนั้นมืดตื้อ ไม่มีอะไรให้เห็นเลย


แต่มีบางอย่างในความมืดมิดนั้นที่ดูจะพยายามบ่อนทำลายประสาทสัมผัสและหัวสมองของเขา แม้เขาจะเปิดใช้ดวงตาหยั่งรู้ ก็ไม่อาจมองเห็นมัน


“ผมอยู่นี่แล้วไง จัดการเลยถ้าคุณอยากฆ่าผม!” จางเซวียนรุกคืบเข้าไปช้าๆพร้อมดาบในมือ เสียงของเขาดังกึกก้องไปทั่ววัง แต่ไม่มีอะไรตอบกลับมา


ด้วยความมึนงง จางเซวียนถอยไปเล็กน้อยเพื่อออกจากความมืดให้ได้สักครู่หนึ่ง จะได้ประเมินสถานการณ์ทั้งหมดอีกครั้ง แต่พริบตาต่อมาก็รู้สึกได้ว่าหลังชนฝา


เมื่อครู่นี้เขาเดินออกห่างจากประตูมาเพียงไม่กี่ก้าว แต่ยังไม่ทันจะรู้ตัว ประตูก็หายวับไปแล้ว!


หรือพูดอีกอย่างก็คือ…


เขาติดกับค่ายกลที่ศัตรูวางไว้


ข้อบกพร่อง!


จางเซวียนทาบฝ่ามือเข้ากับผนังที่อยู่ด้านหลังและเพ่งสมาธิ


ถ้าเขาสามารถใช้หอสมุดเทียบฟ้าที่นี่ ก็คงจะมองทะลุค่ายกลที่อยู่ตรงหน้าได้


วิ้งงง!


หอสมุดเทียบฟ้ากระตุก แต่ไม่มีหนังสือที่ถูกประมวลออกมา


“บ้าจริง!” จางเซวียนพึมพำสบถ


เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ พระราชวังนี้ถูกปิดกั้นจากสายตาของสวรรค์ มีแต่ปรมาจารย์ขงและผู้ที่เข้าใจมลทินสวรรค์เท่านั้นถึงจะรับมือได้


จางเซวียนถูกขังอยู่ในความมืดมนอนธการ ประสาทสัมผัสของเขาสับสน หัวสมองก็วุ่นวายยุ่งเหยิง เขาอยู่ในสภาพที่อ่อนแอและเสียเปรียบมาก ดูเหมือนคราวนี้ไม้ตายของปรมาจารย์ขงจะเล่นงานเขาได้!


เราไม่มีทางเลือก ในเมื่อใช้ดวงตาและการรับรู้จิตวิญญาณไม่ได้ ก็ต้องพึ่งพาหู…จางเซวียนคิด


เขาร้อนใจ แต่ยังไม่ตื่นตระหนก จางเซวียนหลับตาและเพ่งสมาธิไปที่หู ความเงียบงันในอากาศเกิดเป็นเสียงหึ่งในหูของเขาที่ยากจะได้ยิน แต่ด้วยการเพ่งสมาธิเต็มเหนี่ยว จางเซวียนก็พอจับเสียงที่ลอยมาตามลมได้


จ๋อม! จ๋อม!


มันคือเสียงของหยดน้ำ และแว่วมาจากที่ไกลๆ


“ไป!”


จางเซวียนชักดาบออกมา กระแสดาบฉีสายหนึ่งพุ่งตรงไปยังทิศทางที่มีเสียงน้ำหยด


แต่ก็น่าประหลาดใจที่ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ


ราวกับความมืดมิดได้กลืนกินกระแสดาบฉีของเขาเข้าไป การโจมตีจึงไม่เป็นผล


ขณะที่จางเซวียนกำลังงุนงงอย่างหนักว่าเกิดอะไรขึ้น เสียงปรมาจารย์ขงก็ดังขึ้น “เดินออกจากห้องนี้ก่อนที่หยดน้ำจะมาถึงนะ ไม่อย่างนั้นคุณจะถูกขับออกจากที่นี่”


“ขับออกจากที่นี่?”


จางเซวียนยิ่งงงหนักกว่าเดิม


ปรมาจารย์ขงจงใจล่อเขามาที่นี่เพื่อเล่นงานเขาไม่ใช่หรือ?


แล้วทำไมต้องเดือดร้อนหากเขาจะถูกขับออกจากห้อง?


แท่นบูชาก็ถูกทำลายไปแล้ว เพราะฉะนั้น ต่อให้เราถูกขับออกจากพระราชวังแห่งนี้ ก็ออกจากที่นี่ไม่ได้อยู่ดี มีแต่จะติดอยู่ในกับดักจนกระทั่งตายไปเอง เพราะฉะนั้น เราจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามคำสั่งของเขาไปก่อน ทันทีที่เราพบตัวเขาและช่วยหัวหน้าตู้ได้สำเร็จ ก็จะเล่นงานเขาให้ราบคาบ…จางเซวียนครุ่นคิดขณะระบายลมหายใจยาว


ไม่ว่าปรมาจารย์ขงจะคิดอะไรอยู่ เขาก็แค่รับมือกับสิ่งที่อีกฝ่ายเตรียมไว้และเดินไปตามเกม สุดท้ายก็จะต้องพบปรมาจารย์ขงที่ปลายทางอย่างแน่นอน


เมื่อตัดสินใจได้ จางเซวียนสำรวจรอบตัวอย่างระแวดระวัง


ถึงเราจะมองอะไรไม่เห็น แต่ก็ไม่มีอะไรมาเล่นงานเราเหมือนกัน เป็นไปได้ว่านี่คงเป็นค่ายกลกักกัน จางเซวียนคิด


การที่มันขัดขวางการรับรู้จิตวิญญาณและดวงตาหยั่งรู้ของเขาได้บอกชัดว่ามันคือค่ายกลกักกันที่เหนือชั้นกว่าจินตนาการของเขา


แต่ก็แน่นอนว่าตราบใดที่มันเป็นค่ายกล ก็ย่อมมีข้อบกพร่องบางอย่างในกระแสการไหลเวียนของพลังจิตวิญญาณที่อยู่โดยรอบ ขอแค่เราจับกระแสการไหลเวียนพลังจิตวิญญาณได้ ก็น่าจะสามารถระบุพิกัดของแกนกลางค่ายกลและบริเวณที่ธงค่ายกลปักอยู่ ด้วยสิ่งนี้ การจะเอาชนะค่ายกลให้ได้ย่อมไม่ยากเกินไป จางเซวียนคิด


เขาหลับตาและเริ่มศึกษาสภาพแวดล้อมอย่างถี่ถ้วน


วัตถุประสงค์หลักของธงค่ายกลและแกนกลางค่ายกลคือการถ่ายทอดพลังจิตวิญญาณเข้าสู่บริเวณที่ค่ายกลต้องการพลังงาน ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ที่จะมีข้อบกพร่องบางอย่างในกระแสการไหลเวียนของพลังจิตวิญญาณบริเวณโดยรอบ


ขอแค่เขาสร้างแผนผังคร่าวๆของกระแสการไหลเวียนของพลังจิตวิญญาณให้ปรากฏในหัวสมองได้ ก็น่าจะพบวิธีแก้ปัญหา


นี่คือวิธีการถอดรหัสค่ายกลขั้นพื้นฐานที่สุดของทวีปแห่งปรมาจารย์


ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกลที่คร่ำหวอดและเชี่ยวชาญที่สุดในทวีปแห่งปรมาจารย์ แน่นอนว่าเขาคุ้นเคยกับเรื่องพื้นฐานเหล่านี้


มีบางอย่างแปลกๆ ดูเหมือนพลังจิตวิญญาณที่นี่จะ…เป็นเนื้อเดียวกัน?


จางเซวียนแปลกใจที่พบว่าความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณภายในพระราชวังแห่งนี้เท่ากันทั้งหมด ไม่มีจุดไหนที่มีความเข้มข้นเป็นพิเศษ เรื่องนี้ทำให้เขาออกจะงุนงง


เขาก้าวออกไป 2 ก้าวและพยายามสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบอีกครั้ง แต่ความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณก็ยังอยู่ในระดับเดิม


จางเซวียนขยับออกไปอีก 2 ก้าว…และอีก 2 ก้าว แต่ทุกอย่างก็ไม่เปลี่ยน


แบบนี้ดูจะไม่ใช่แล้ว ข้อสันนิษฐานของเขาผิดพลาด?


หรือว่าที่นี่ไม่มีทั้งธงค่ายกลและแกนกลางค่ายกล?


จางเซวียนไม่มีทางเลือก ในท้ายที่สุดเขาก็นำเข็มทิศออกมาวางบนฝ่ามือ


เขามองไม่เห็นแม้แต่ตัวเข็มเพราะความมืดมนอนธการที่อยู่รอบตัว แต่ทันทีที่มันเคลื่อนไหว ก็จะรู้ได้ว่ามันชี้ตรงไปยังทิศใด


ตัวเข็มที่อยู่ในเข็มทิศของจางเซวียนหมุนติ้วไม่หยุด


เรื่องนี้มีเหตุผลที่เป็นไปได้ 2 ข้อ คืออาจเป็นเพราะกระแสพลังจิตวิญญาณปั่นป่วนพลุ่งพล่านเกินไป หรือไม่อย่างนั้น ความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณก็อยู่ในระดับเดียวกันทั้งหมด


พลังจิตวิญญาณไม่ต่างกับกระแสน้ำ มีความเป็นไปได้ที่น้ำในบ่อจะสงบนิ่งไม่ไหวติง แต่ทันทีที่มีอะไรสักอย่างบุกรุกพื้นที่ของมัน ก็จะเกิดการกระเพื่อม…จางเซวียนคิด


ดังนั้น จึงไม่สมเหตุสมผลเลยที่พลังจิตวิญญาณจะยังคงไม่เคลื่อนไหวแม้เราจะเข้าสู่มิติแห่งนี้แล้ว เรื่องนี้บอกชัดว่าพลังจิตวิญญาณในบริเวณนี้ไม่ปกติ หรือไม่…การรับรู้จิตวิญญาณของเราก็ถูกปิดกั้น! พูดอีกอย่างก็คือ ค่ายกลกักกันอันนี้สกัดกั้นความสามารถในการรับรู้พลังจิตวิญญาณของเราด้วย


จางเซวียนไม่เคยเห็นค่ายกลกักกันแบบนี้มาก่อน แต่เพราะมีความรู้มากมายจากการอ่านหนังสือเกี่ยวกับค่ายกลเมื่อครั้งอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์รวมทั้งมิติเบื้องบน การไขข้อสงสัยของสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าจึงไม่ยากเกินไป


“ต้องลองปิดกั้นประสาทสัมผัสทั้ง 6 ดู!”


ค่ายกลกักกันส่วนใหญ่ทำงานด้วยการกีดขวางและรบกวนประสาทสัมผัสของนักรบ ดังนั้น วิธีเดียวที่จะป้องกันไม่ให้เกิดการกีดขวางก็คือปิดกั้นประสาทสัมผัสของตัวเอง


ทันใดนั้น จางเซวียนรู้สึกเหมือนตัวเขาสูญเสียความทรงจำ ไม่อาจมองเห็น ได้ยิน สัมผัส หรือได้กลิ่นอะไรสักอย่าง แม้แต่สติสัมปชัญญะของเขาก็ดูเหมือนจะถูกผลักดันให้เข้าสู่ภาวะชะงักงันเหมือนจำศีล


ความเงียบสงัดนั้นคงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้น ภาพช่องว่างเล็กๆที่มีน้ำหยดลงมาก็ดูจะผุดขึ้นในหัวสมองของจางเซวียน


ช่องว่างนั้นไม่ใหญ่นัก ทำให้น้ำหยดลงมาได้ตลอดเวลา เป็นที่มาของเสียงหยดน้ำที่เขาได้ยิน


“มันนี่แหละ!”


จางเซวียนอุทานในใจ เขาขับเคลื่อนเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าเข้าสู่ฝ่ามือก่อนจะกดลงไปบนช่องว่างนั้นอย่างแรง ราวกับตัวเขาเป็นดาบมหึมาเล่มหนึ่งที่ยาวจนแทบทะลุสวรรค์


“แคว่ก!”


ผืนผ้าสีดำที่เกิดเป็นความมืดรอบตัวเขาถูกฉีกกระชากจนแยกออกจากกัน


จางเซวียนลืมตา ซึ่งก็เป็นไปตามคาด ความสามารถในการมองเห็นของเขากลับมาอีกครั้ง คบเพลิงมากมายนับไม่ถ้วนส่องแสงเจิดจ้าประดับทางเดินที่อยู่ตรงหน้า


ค่ายกลกักกันคือกับดักสำหรับหัวใจ…จางเซวียนระบายลมหายใจยาวขณะนึกโล่งอก


เขารู้ดีว่าคราวนี้ตัวเองตัดสินใจถูก


ตอนที่ 2134 หมอนั่นคิดอะไรอยู่?

ค่ายกลกักกันไม่ได้ปิดกั้นเฉพาะประสาทสัมผัสของนักรบ แต่ยังสกัดกั้นจิตวิญญาณของผู้นั้นด้วย วิธีเดียวที่จะเอาชนะมันได้ก็คือละทิ้งการใช้ประสาทสัมผัสทั้งหมดไป ใช้แต่สัญชาตญาณดั้งเดิมเพื่อแยกแยะและระบุที่มาของเสียงน้ำหยด


อันที่จริง เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องเพียงเล็กน้อยกับความเข้าใจเรื่องค่ายกล เพราะขอแค่ใครสักคนมีสภาวะจิตที่แข็งแกร่งและสงบนิ่ง ก็จะค้นพบทางออกและเอาชนะบททดสอบได้อย่างง่ายดาย


“คุณเอาชนะค่ายกลหัวใจสูญเสียความทรงจำได้ภายในระยะเวลาเพียง 1 ใน 10 ของที่กำหนดไว้ พิสูจน์ให้เห็นว่าทั้งวรยุทธและสภาวะจิตของคุณนั้นแข็งแกร่งมาก คุณมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้ขึ้นไปชั้น 2” เสียงปรมาจารย์ขงดังขึ้น


จากนั้น บันไดหินอันหนึ่งก็ทอดตัวลงมาจากด้านบน


“ค่ายกลหัวใจสูญเสียความทรงจำ? มีคุณสมบัติเพียงพอ? คุณคิดบ้าอะไรอยู่?” จางเซวียนตวาดด้วยความงุนงงอย่างหนัก


เขาคิดว่าปรมาจารย์ขงน่าจะเตรียมนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ไว้มากมายนับไม่ถ้วนเพื่อโจมตีเขาทันทีที่เขาถูกส่งทะลุมิติผ่านค่ายกลเข้ามา แต่ทั้งหมดที่อีกฝ่ายทำคือจับเขาใส่เข้าไปในค่ายกลกักกัน และตอนนี้ก็บอกว่าเขามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้ขยับไปชั้น 2…


หมอนั่นคิดอะไรอยู่?


แต่จางเซวียนก็พบแค่ความว่างเปล่า ข้อข้องใจของเขายังคงไม่ได้รับคำตอบ


จางเซวียนสูดหายใจลึก จากนั้นก็เดินขึ้นสู่บันไดหิน


ทันทีที่ออกเดินก้าวแรก ก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาลที่ถาโถมเข้าใส่ ราวกับพยายามจะผลักจิตวิญญาณของเขาให้หลุดออกจากร่าง


แรงกดดันนี้น่าจะมีต้นกำเนิดจากเทพเจ้า…จางเซวียนหน้านิ่วคิ้วขมวดและครุ่นคิดขณะเดินขึ้นบันไดต่อไป


แรงกดดันที่ถาโถมเข้าใส่ทำให้เขารู้สึกถึงความอับจนหนทางที่อยู่ในส่วนลึกของหัวใจ ราวกับมันกำลังบั่นทอนสายเลือดและพลังชีวิตของเขา


มันคือความหวาดกลัวโดยสัญชาตญาณ เหมือนกับการที่มนุษย์ขาสั่นเมื่อเผชิญหน้ากับเสือ


นี่เป็นความรู้สึกที่มาจากส่วนลึกในจิตวิญญาณของเขา เขาไม่มีทางหลีกเลี่ยงมันได้


แต่ถึงอย่างไร บททดสอบระดับนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่


จี้ที่ห้อยอยู่รอบลำคอของจางเซวียนเรืองแสงอบอุ่นออกมา ช่วยสลายแรงกดดันที่อยู่รอบตัว


จางเซวียนเดินขึ้นบันไดไปโดยไม่มีปัญหาอะไร ไม่ช้าก็มาถึงบริเวณชั้น 2 ของพระราชวัง


เหมือนกับที่ผ่านมา เขาพบห้องโถงขนาดใหญ่ มีภาพวาด 8 ภาพติดตั้งอยู่ในลักษณะของค่ายกลแปดเหลี่ยม มันแขวนอยู่บนผนังที่อยู่ตรงหน้าเขา ราวกับกำลังพยายามปกปิดอะไรบางอย่าง


จางเซวียนพินิจพิจารณาภาพวาดเหล่านั้นอย่างถี่ถ้วน


ภาพวาดดังกล่าวเป็นภาพของชาย 8 คน แต่ละคนถืออาวุธต่างชนิดกันไป คนหนึ่งถือดาบ คนหนึ่งถือกระบี่ คนหนึ่งถือแส้เหล็ก อีกคนถือค้อนโลหะ…


ขณะที่จางเซวียนเดินตรงไปหาภาพวาด ก็รู้สึกได้ถึงความคมกริบที่แผ่ซ่านออกมาจากภาพเหล่านั้น


“ภาพวาดพวกนี้อาจไม่ใช่ผลงานศิลปะที่น่าทึ่งอะไร แต่แน่นอนว่าผู้วาดมีทักษะชั้นยอด ด้วยการสะบัดฝีแปรงเพียงไม่กี่ครั้ง ก็สามารถถ่ายทอดแก่นสารของผู้เป็นแบบลงไปในภาพวาดได้…”


ความเชี่ยวชาญด้านการวาดภาพของจางเซวียนเข้าถึงระดับ 9 ดาวตั้งแต่เมื่อครั้งที่อยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ เขาไม่กล้าอวดอ้างว่าทักษะการวาดภาพของเขาเทียบเท่ากับปรมาจารย์ขง แต่อย่างน้อยก็ไม่คิดว่าจะอ่อนด้อยกว่าอีกฝ่ายสักเท่าไหร่


ภาพวาดที่อยู่ตรงหน้าเขาล้วนแต่เรียบง่าย ถึงขนาดที่ต่อให้จิตรกรระดับ 3 ดาวของทวีปแห่งปรมาจารย์ก็รังสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพระดับนี้ได้สบาย แต่สิ่งที่ทรงพลังในภาพวาดเหล่านี้คือมันสามารถดึงเอาพลังและบุคลิกลักษณะของชายทั้ง 8 ออกมาได้อย่างละเอียดแม่นยำ


นี่คือความสามารถที่แม้แต่จางเซวียนก็ยังทำไม่ได้


“หรือจะเป็นภาพวาดของเทพเจ้า?”


จางเซวียนคิดว่าคงมีแต่เทพเจ้าตัวจริงเท่านั้นที่สามารถถ่ายทอดพลังอันน่าทึ่งผ่านพู่กันเข้าสู่ภาพวาดที่แสนธรรมดาสามัญ และรักษาพละกำลังของมันไว้ได้เนิ่นนานหลายปี


ในบรรดาภาพวาดทั้ง 8, มี 6 ภาพที่เป็นภาพสี หนึ่งในนั้นแปรเปลี่ยนเป็นสีเทา ทำให้ดูคล้ายกับภาพถ่ายขาวดำ และอีกภาพสูญเสียสีไปครึ่งหนึ่ง ทำให้เป็นภาพที่ไม่สมบูรณ์ ยากจะบอกได้ว่าจิตรกรลงสีไม่ครบถ้วนตั้งแต่แรก หรือมันซีดจางไปตามกาลเวลา


จางเซวียนศึกษาภาพวาดอีกครู่หนึ่ง แต่ไม่ได้เงื่อนงำที่เป็นประโยชน์ และไม่ได้ยินเสียงปรมาจารย์ขงด้วย


เขาจึงเดินเข้าไปพิจารณาภาพวาดภาพหนึ่งใกล้ๆ


ในห้องโถงขนาดใหญ่แห่งนั้นไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากภาพวาดแปดภาพ จางเซวียนจึงคิดว่ากุญแจของการเดินหน้าต่อไปจะต้องอยู่ในภาพวาด เขาน่าจะต้องค้นหาความลับในภาพวาดเหล่านั้นให้ได้


ภาพวาดที่จางเซวียนเดินเข้าไปดูคือภาพชายกล้ามใหญ่คนหนึ่งที่มีดวงตาโตราวกับระฆัง เขาถือค้อนโลหะอันใหญ่ไว้ในมือข้างละอัน กล้ามเนื้อปูดโปนบ่งบอกถึงพละกำลังที่มี จางเซวียนยื่นมือออกไปสัมผัสภาพวาดอย่างลังเล


ฟึ่บ!


จางเซวียนหายวับไป เมื่อปรากฏตัวอีกครั้ง ก็มาอยู่ในท้องทุ่งกว้างใหญ่ที่รกร้างว่างเปล่า


มันเป็นโลกสีขาวโพลน ปราศจากความเขียวชอุ่มและสีสันอื่นๆอย่างสิ้นเชิง ราวกับเขาได้เข้าสู่ความฝันที่เป็นภาพลวงตา


“ออกตัวมาเลย!”


จางเซวียนเงยหน้า เห็นชายกล้ามใหญ่พร้อมค้อนโลหะสองอันในมือกำลังจ้องหน้าเขาอย่างโกรธเกรี้ยว


“นี่เรา…เข้ามาอยู่ในภาพวาดหรือ?” จางเซวียนผงะ


ชายกล้ามใหญ่ตรงหน้าเขาคือชายที่อยู่ในภาพวาด ดูเหมือนเขาจะหลุดเข้ามาในภาพวาดจริงๆ!


“ทำไมผมต้องสู้กับคุณด้วย?” จางเซวียนขมวดคิ้วขณะมองชายตรงหน้าที่กำลังโกรธเกรี้ยว


เขาพยายามคิดตามว่ามันเกิดอะไรขึ้น อีกฝ่ายถึงยุให้เขาโจมตี


“ถ้าคุณไม่สู้กับผมล่ะก็ จะต้องถูกขังอยู่ที่นี่ชั่วชีวิต!” ชายกล้ามใหญ่คำราม


เขากวัดแกว่งค้อนเข้าใส่โดยไม่สนใจว่าจางเซวียนจะอยากสู้หรือไม่


ยังไม่ทันจะถึงตัว พละกำลังมหาศาลจากค้อนก็ทำให้แผ่นหลังของจางเซวียนชุ่มเหงื่อ


จางเซวียนประหลาดใจที่พบว่าพละกำลังของชายกล้ามใหญ่เหนือกว่านักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ที่เขาได้พบที่ทะเลพลัดดาวเสียอีก…อันที่จริง น่าจะเหนือชั้นกว่าแม้แต่ปรมาจารย์ขงด้วยซ้ำ!


“เทพเจ้า…”


ในตอนนั้น จางเซวียนรู้ทันทีว่าต่อให้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาไม่ใช่เทพเจ้า ก็คงไม่ห่างไกลจากนั้นเท่าไหร่


จางเซวียนเงื้อมือเพื่อจะชักดาบออกมา แต่แล้วก็พบว่าการเชื่อมโยงระหว่างตัวเขากับแหวนเก็บสมบัติถูกตัดขาดไป และในเวลาเดียวกัน ค้อนโลหะขนาดมหึมาคู่หนึ่งก็มาอยู่ในมือของเขา


จางเซวียนหน้าดำคร่ำเครียดเพราะไม่คิดว่าตัวเลือกในการใช้อาวุธจะถูกจำกัดตามภาพวาด เขาคงไม่คิดอะไรหากเป็นอาวุธชนิดอื่น แต่เพราะไม่เคยฝึกฝนเทคนิควรยุทธไหนที่ต้องใช้ค้อนมาก่อน!


ยังไม่ทันที่จางเซวียนจะตั้งตัวติด ชายกล้ามใหญ่ก็กวัดแกว่งค้อนโลหะเข้าใส่กระดูกซี่โครงของเขา


ความได้เปรียบของการต่อสู้ด้วยค้อนคือแรงเหวี่ยงอันทรงพลังที่เกิดจากน้ำหนักของมัน ทำให้นักรบผู้นั้นมีพละกำลังเพิ่มขึ้นอีกมาก แม้จะเป็นไปไม่ได้ที่นักรบผู้ใช้ค้อนจะว่องไวเหมือนนักดาบ แต่พละกำลังมหาศาลจากค้อนก็สามารถสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ได้


จางเซวียนถอยไปก้าวหนึ่งเพื่อหลบหลีกการโจมตีขณะคิดวนเวียนอย่างร้อนใจ เราคงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเรียนรู้มันเดี๋ยวนี้…


แม้จางเซวียนจะไม่เคยฝึกฝนเทคนิควรยุทธหรือสไตล์การต่อสู้ที่ต้องใช้ค้อนมาก่อน แต่ก็รวบรวมหนังสือเทคนิคการต่อสู้ที่เกี่ยวกับค้อนไว้ได้จำนวนหนึ่ง เพียงแต่เขาทิ้งมันไว้บนชั้นหนังสือของหอสมุดเทียบฟ้า ไม่เคยคิดจะศึกษาหรือประมวล


ในเมื่อตอนนี้ใช้ได้แค่ค้อน ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องรีบศึกษามัน


ประมวล!


จางเซวียนรวบรวมหนังสือทั้งหมดที่เกี่ยวกับการใช้ค้อนเข้าด้วยกัน จากนั้นก็ประมวลขึ้นเป็นหนังสือเล่มใหม่เอี่ยม


เขาใช้นิ้วแตะหนังสือที่เพิ่งประมวลใหม่ ความรู้ถูกถ่ายทอดเข้าสู่สมองของเขาทันที


จางเซวียนยังกังวลเรื่องไอสีเทาที่จะเพิ่มปริมาณขึ้นทุกครั้งที่เขาใช้หอสมุดเทียบฟ้า แต่ด้วยความคับขันของสถานการณ์ ก็ไม่อาจใส่ใจเรื่องนั้นได้มากนัก


ต่อไปค่อยหาวิธีแก้ไขก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้น คงต้องตายเพราะชายกล้ามใหญ่กับค้อนยักษ์ 2 อันนี้


การฉีกกระชากของสวรรค์ทำให้หอสมุดเทียบฟ้าไม่อาจระบุข้อบกพร่องของวัตถุใดๆได้ แต่เขายังสามารถเพ่งสมาธิเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้าและเข้าถึงข้อมูลที่อยู่ในนั้น


ขณะหลบหลีกการโจมตีของชายกล้ามใหญ่ จางเซวียนก็รีบซึมซับศิลปะการใช้ค้อนเทียบฟ้าและเปลี่ยนมันให้เป็นความรู้ของเขา


เมื่อทำความเข้าใจศิลปะการใช้ค้อนเทียบฟ้าได้ทั้งหมด รังสีของจางเซวียนก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ในชั่วพริบตา รังสีนั้นก็หนักแน่นราวกับขุนเขา ดูเหมือนจะไม่หวั่นไหวกับสิ่งใดทั้งนั้น


ตุ้บ! ตุ้บ! ตุ้บ!


จางเซวียนใช้ค้อนปะทะกับชายร่างใหญ่ แต่นั่นดูจะไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก น่าประหลาดใจที่ศิลปะการใช้ค้อนเทียบฟ้าของเขาอ่อนด้อยกว่าเทคนิคการต่อสู้ของชายกล้ามใหญ่อย่างเห็นได้ชัด จางเซวียนยังพอใช้พละกำลังรับมือได้ อย่างน้อยที่สุดก็สูสีกับพละกำลังของชายกล้ามใหญ่ แต่แรงปะทะแต่ละครั้งทำให้แขนของเขาได้รับบาดเจ็บหนักขึ้นเรื่อยๆ


โชคดีที่ดูเหมือนอีกฝ่ายก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน ความเร็วในการโจมตีของชายกล้ามใหญ่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด


“ถึงอย่างไรก็คงเอาชนะเขาได้ยาก พลังปราณของเราคงหมดเสียก่อน คงต้องหาวิธีอื่น…”


ถึงชายกล้ามใหญ่จะเป็นแค่คนในภาพวาด แต่พละกำลังของเขาเกือบจะเทียบชั้นได้กับเทพเจ้า จางเซวียนยังพอรับมือกับอีกฝ่ายไหวหลังจากที่เขาสำเร็จวรยุทธเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์แล้ว แต่การจะเอาชนะนั้นไม่ง่ายเลย


ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ต่อให้สุดท้ายเขาเป็นฝ่ายชนะ ก็คงเหนื่อยอ่อนจนแทบสิ้นชีพ


เรื่องนี้ถือว่าอันตรายมาก โดยเฉพาะเมื่อเขาไม่รู้ว่าตอนนี้ปรมาจารย์ขงอยู่ที่ไหนและคิดจะทำอะไร


ศิลปะการใช้ค้อนของชายกล้ามใหญ่ลึกซึ้งกว่าศิลปะการใช้ค้อนเทียบฟ้าของเราเสียอีก ถ้าหลอมรวมกระบวนท่าของเขาเข้ากับเทคนิคการต่อสู้ของเราได้ ก็น่าจะเอาชนะได้สำเร็จ…จางเซวียนคิด


ถึงเขาจะได้ฝึกฝนศิลปะการใช้ค้อนเทียบฟ้า แต่ก็ดูออกว่าเทคนิคการต่อสู้ของเขายังอ่อนด้อยกว่าคู่ต่อสู้อยู่เล็กน้อย เว้นเสียแต่เขาจะศึกษากระบวนท่าของอีกฝ่าย นำมันมาหลอมรวมเข้ากับกระบวนท่าของเขาเองและประมวลขึ้นเป็นเทคนิคการต่อสู้ใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าเดิมขึ้นมา ไม่อย่างนั้น การต่อสู้ครั้งนี้ก็จะเป็นงานยาก


เมื่อคิดได้ จางเซวียนรีบพิจารณากระบวนท่าของชายกล้ามใหญ่


ตุ้บ! ตุ้บ! ตุ้บ!


อีกฝ่ายยังคงเดินหน้ากดดันเขาด้วยการโจมตีอย่างดุเดือด ขณะที่จางเซวียนฉวยโอกาสนี้จดจำทุกกระบวนท่า


หลังจากปะทะกันไปกว่าร้อยครั้ง จางเซวียนก็เลิกคิ้วด้วยความอัศจรรย์ใจ


ศิลปะการใช้ค้อนของอีกฝ่ายมีกระบวนท่าพื้นฐาน 12 กระบวนท่า ซึ่งทุกอย่างที่นอกเหนือจากนั้นเป็นแค่การปรับเปลี่ยนและการขยายความ 12 กระบวนท่าที่กล่าวมาเท่านั้น?


ตอนที่ 2135 ไร้เทียมทานจริงๆ!

แม้ดูเผินๆ กระบวนท่าของชายกล้ามใหญ่จะซับซ้อน แต่อันที่จริง ทุกการโจมตีของเขาล้วนมีที่มาจาก 12 กระบวนท่าพื้นฐาน


ก็เหมือนกับศิลปะเพลงดาบเทียบฟ้าของจางเซวียนที่มีเพียงกระบวนท่าเดียว แต่ด้วยการปรับเปลี่ยนที่แยกย่อยออกไปมากมายจนนับไม่ถ้วน เขาก็สามารถสำแดงกระบวนท่าที่แตกต่างกันออกไปเพื่อรับมือกับสถานการณ์หลากหลายรูปแบบได้


หัวใจของเทคนิคการต่อสู้คือเจตจำนง ไม่ใช่รูปแบบ ขอแค่เจตจำนงถูกต้องชัดเจน การโจมตีก็ย่อมได้ผล


จางเซวียนรีบศึกษารายละเอียดของทั้ง 12 กระบวนท่าพื้นฐานที่อยู่ในหัว จากนั้นก็ได้แต่อุทานด้วยความอัศจรรย์ใจ


ศิลปะการใช้ค้อนนี้เหมือนกันมากกับเคล็ดวิชาเทพดาบเมฆเหินที่เขาเคยฝึกฝน ทั้ง 12 กระบวนท่าถูกสำแดงออกมาโดยเรียงลำดับแบบเดียวกัน


ประมวล!


จางเซวียนรีบจดจำทุกกระบวนท่าไว้ในหัวและประมวลเข้าด้วยกันให้เป็นศิลปะการใช้ค้อนเทียบฟ้า การเรียงลำดับที่ถูกต้องปรากฏขึ้นตรงหน้า และเขาก็รีบขยับค้อนไปตามกระบวนท่านั้น


บึ้มมมม!


หลังจากสำแดงไปได้เพียง 2 กระบวนท่า จางเซวียนก็รู้สึกได้ถึงรังสีอันแตกต่างจากเดิมที่พุ่งขึ้นจากส่วนลึกของร่างกาย เขาเกิดแรงบันดาลใจและได้รับภูมิปัญญาใหม่


“นี่คือ…เจตจำนงเพลงค้อนของเทพเจ้า?” จางเซวียนอ้าปากค้าง


เขาคิดไม่ถึงว่าจะสามารถทำความเข้าใจเจตนารมณ์เพลงค้อนของเทพเจ้าได้จากการศึกษาศิลปะการใช้ค้อนของชายกล้ามใหญ่ แถมมันยังไม่ต่างอะไรกับเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าที่เขาได้เรียนรู้มาก่อน คือเข้าถึงระดับของเทพเจ้าตัวจริง


หลังจากทำความเข้าใจเจตนาเพลงค้อนของเทพเจ้าได้สำเร็จ กระบวนท่าของชายกล้ามใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าเขาก็ดูอืดอาดยืดยาดขึ้นมาทันที จางเซวียนมองเห็นข้อบกพร่องทุกชนิดในการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย และด้วยการโจมตีจุดอ่อนเหล่านั้น เขาก็เอาชนะชายกล้ามใหญ่ได้ด้วยการตอบโต้เพียงไม่กี่ที


สภาพแวดล้อมรอบตัวเขาพร่าเลือนไป เมื่อรู้สึกตัว ก็มายืนอยู่ตรงหน้าภาพวาดทั้ง 8 อีกครั้ง จางเซวียนเห็นภาพวาดของชายกล้ามใหญ่ที่เคยเป็นภาพสีสูญเสียความเจิดจ้าไปต่อหน้าต่อตา มันแปรเปลี่ยนเป็นสีเทา


เขากระพริบตาปริบๆ


เพราะฉะนั้น เหตุผลที่ภาพวาดสูญเสียสีสันของมันไปก็เพราะมีใครบางคนท้าทายพวกมันได้สำเร็จและสามารถทำความเข้าใจเทคนิคการต่อสู้ของเทพเจ้าที่อยู่ในนั้น?


พูดอีกอย่างก็คือ…


ว่ากันว่าปรมาจารย์ขงฉกฉวยตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ มาได้ทั้งหมดหลังจากที่เข้าสู่หอเทพเจ้า ส่วนผู้ก่อตั้งสำนักดาบเมฆเหินได้ตัวอักษรนั้นมาเพียงครึ่งเดียว…หรือนี่จะเป็นสิ่งที่พวกเขาพูดถึง?


ในบรรดาภาพวาดทั้งแปด มีภาพหนึ่งที่กลายเป็นภาพขาวดำเหมือนภาพของชายกล้ามใหญ่เมื่อครู่ และยังมีอีกภาพที่สูญเสียสีสันของมันไปครึ่งหนึ่ง เป็นภาพชายถือดาบ


สิ่งนี้ดูจะตรงกันกับเรื่องราวที่เขาได้รู้มา


“เรื่องนี้อธิบายได้ว่าทำไมกระบวนท่าของการใช้ค้อนทั้ง 12 กระบวนท่าถึงเหมือนกันกับ 12 กระบวนท่าของเคล็ดวิชาเทพดาบเมฆเหิน” จางเซวียนตาโตเมื่อพลันเข้าใจ


เป็นไปได้ว่าผู้ก่อตั้งสำนักดาบเมฆเหินได้ต่อสู้กับบุคคลที่อยู่ในภาพวาด จึงฉกฉวยตัวอักษรคำว่าเทพเจ้ามาได้ครึ่งหนึ่ง แม้เขาจะศึกษาทั้ง 12 กระบวนท่าจนครบถ้วน แต่ก็ไม่สามารถเรียงลำดับได้อย่างถูกต้อง


เรื่องนี้ส่งผลให้ สำนักดาบเมฆเหินมีนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์โดยไม่ต้องท้าทายสะพานเบื้องบน เพียงแต่จำนวนของนักรบระดับนั้นก็มีน้อยมาก เทียบไม่ได้เลยกับหอนิรันดร์


“ในเมื่อเราเข้าใจศิลปะการใช้ค้อนทั้ง 12 กระบวนท่าแล้ว ก็หมายความว่าเราได้ตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ มาทั้งคำ เหมือนที่ปรมาจารย์ขงเคยทำได้ในครั้งนั้น ใช่ไหม?”


นั่นหมายความว่าสถานที่ที่เขาอยู่ในเวลานี้คือที่ที่ปรมาจารย์ขงและผู้ก่อตั้งสำนักดาบเมฆเหินเคยบุกเข้ามา!


ไม่น่าแปลกใจแล้วว่าทำไมตลอดหลายพันปีที่ผ่านมาถึงไม่มีนักรบสักคนในมิติเบื้องบนประสบความสำเร็จ เว้นแต่ทั้งคู่ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเอาชนะบรรดาผู้คนในภาพวาด


หลังจากทำความเข้าใจเวทนาสวรรค์และยกระดับวรยุทธขึ้นเป็นขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ปฐพีได้สำเร็จแล้ว นอกจากปรมาจารย์ขง จางเซวียนก็ถือเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่งของทวีปที่ถูกลืม


แม้จะมีพละกำลังระดับนี้ เขาก็ยังต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนไม่น้อยในการต่อสู้กับชายกล้ามใหญ่กว่าจะคว้าชัยชนะได้สำเร็จ


จากเรื่องนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าการจะคว้าตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ มาให้ได้นั้นยากเย็นแค่ไหน!


“คุณได้ตัวอักษรคำว่าเทพเจ้าแล้ว มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้เดินหน้าต่อไป”


ขณะที่จางเซวียนกำลังครุ่นคิดหนัก บันไดหินอันหนึ่งก็ทอดตัวลงมาจากด้านบนอีกครั้ง เผยให้เห็นเส้นทางที่ทอดยาวขึ้นไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด


จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขากำลังจะเหยียบบันไดขั้นแรก ก็พอดีกับที่เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา


ในเมื่อยังพอมีเวลา ทำไมเราไม่คว้าเทคนิคการต่อสู้ชนิดอื่นๆที่อยู่ในภาพวาดที่เหลือไปด้วย?


แม้เขาจะเสียเวลาระยะหนึ่งในการทำความเข้าใจศิลปะการใช้ค้อนและเล่นงานชายกล้ามใหญ่ แต่อันที่จริงก็ผ่านไปอย่างมากเพียง 10 นาทีเท่านั้น เมื่อพิจารณาจากความเร็วของน้ำที่หยดลงมา ก็ดูเหมือนจะใช้เวลาไปเพียง 1 ใน 4!


ในเมื่อยังมีเวลาเหลือมากมาย เขาก็น่าจะฉกฉวยตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ ให้ได้มากขึ้นอีกหน่อย


เพราะถึงอย่างไร เขาก็ไม่ใช่ผู้นำของสำนักเดียว แต่เป็นผู้นำของ 4 สำนักใหญ่ ไม่อาจทำตัวลำเอียงด้วยการถ่ายทอดเทคนิคการต่อสู้ให้เพียงสำนักใดสำนักหนึ่งได้


เมื่อคิดได้ จางเซวียนยื่นมือออกไปสัมผัสภาพวาดของสุภาพสตรีคนหนึ่งที่กำลังถือดาบ


ก็เหมือนคราวก่อน สภาพแวดล้อมรอบตัวเขาบิดเบี้ยวขณะถูกดึงเข้าสู่ภาพวาด ครู่ต่อมาสุภาพสตรีที่อยู่ในภาพวาดก็รี่เข้าใส่เขาพร้อมดาบในมือ


จางเซวียนปลดปล่อยเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าออกมาเป็นการตอบโต้ จากนั้นก็ชักดาบออกมาเพื่อต่อสู้กับเธอ


ผ่านไปเพียง 3 อึดใจ อีกฝ่ายก็ทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นสีขาวและแปรสภาพเป็นหมึกหย่อมหนึ่ง


“แบบนี้เราก็ประกอบตัวอักษรคำว่าเทพเจ้าของสำนักดาบเมฆเหินเข้าด้วยกันได้สำเร็จแล้วสิ” จางเซวียนพึมพำพร้อมกับหัวเราะหึๆ


ศิษย์สายตรงไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่นของสำนักดาบเมฆเหินฝึกฝนอย่างหนักจนสายตัวแทบขาดเพื่อหวังว่าจะนำตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือมาเติมครึ่งแรกที่มีอยู่ให้สมบูรณ์ ด้วยสิ่งนี้ จางเซวียนช่วยเติมเต็มความปรารถนาอันยาวนานของพวกเขาได้แล้ว


หลังจากภาพวาดเปลี่ยนเป็นสีเทา จางเซวียนก็ย้ายไปอีกภาพหนึ่ง เป็นภาพของชายชราที่กำลังสำแดงเทคนิคการต่อสู้ เขาตรงเข้าไปแตะภาพนั้นโดยไม่ลังเล


5 นาทีต่อมา จางเซวียนก็กลับมาปรากฏตัวในห้องโถงใหญ่อีกครั้ง ภาพวาดชายชราเปลี่ยนสภาพเป็นสีเทา


จากประสบการณ์ครั้งก่อนๆ เขารู้ว่าต้องทำอะไรบ้างทันทีที่ได้เข้าสู่ภาพวาด จึงใช้เวลาน้อยกว่าเดิมมาก


จางเซวียนทำแบบเดียวกันกับภาพวาดอีก 4 ภาพที่เหลือ เขาใช้เวลาไม่ถึง 15 นาทีในการจัดการภาพวาดเหล่านั้น เมื่อเสร็จสิ้นทุกอย่างแล้ว ก็ก้าวขึ้นสู่บันไดหินและมุ่งหน้าไปยังชั้น 3


บริเวณชั้น 3 ก็เป็นพื้นที่ที่กว้างใหญ่เช่นกัน


มีแสงสว่างสาดส่องอยู่โดยรอบ แต่ไม่มีภาพวาดหรือค่ายกลให้เห็น หากจะมีสักคำที่ใช้บรรยายสถานที่แห่งนี้ ก็คือ ‘ว่างเปล่า’


จางเซวียนชะงักฝีเท้า เขาสำรวจรอบตัวและตะโกนก้อง “ปรมาจารย์ขง คุณจะปรากฏตัวได้หรือยัง?”


ในเมื่ออีกฝ่ายจงใจจัดเตรียมทุกอย่างไว้และล่อเขามาที่นี่ ก็น่าจะถึงเวลาที่ควรปรากฏตัวได้แล้ว


เป็นอย่างที่จางเซวียนคาดไว้ ทันทีที่เขาพูดจบ ร่างสูงร่างหนึ่งก็ปรากฏตรงหน้า


ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากปรมาจารย์ขง!


จางเซวียนหรี่ตาเพื่อจับจ้องปรมาจารย์ขง เขาชักดาบถงซังออกมากำไว้แน่น


นี่คือชายที่พยายามคร่าชีวิตเขามาแล้วหลายครั้งเพื่อให้ได้ครอบครองหอสมุดเทียบฟ้า ในเมื่อหมอนี่ปรากฏตัวตรงหน้าเขา เขาก็ต้องเอาคืนให้สาสม!


แต่จางเซวียนก็รู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างแปลกๆ “เกิดอะไรขึ้น? คุณไม่กล้าเผชิญหน้ากับผมด้วยร่างกายปกติของคุณหรือไง?”


เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเป็นแค่เศษเสี้ยวหนึ่งของเจตจำนงของเขา ไม่ใช่ร่างที่สมบูรณ์


หรือว่าปรมาจารย์ขงรู้แล้วว่าเขาสำเร็จวรยุทธเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์และเกรงว่าจะรับมือกับเขาไม่ไหว?


ปรมาจารย์ขงไม่ใส่ใจคำยั่วยุของจางเซวียน เขาเอาสองมือไพล่หลังไว้และเอ่ยอย่างสุขุม “น่าทึ่งเหลือเกินที่คุณเอาชนะภาพวาดทั้ง 7 ได้ด้วยฝีมือตัวเอง แต่นั่นแหละ คุณก็ต้องต่อสู้กับผมเพื่อให้ได้รังสีสวรรค์มาเสียก่อน ถึงจะมีสิทธิ์ได้เป็นเทพเจ้าตัวจริง”


“คุณอยากจะสู้ไหม?”


เห็นปรมาจารย์ขงไม่หลบหนี จางเซวียนชูดาบถงซังขึ้นและฟาดฟันอย่างดุเดือด รู้ดีว่าคู่ต่อสู้คนนี้ทรงพลังมาก จึงใช้เจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าตั้งแต่แรกเริ่ม


“ผมไม่เอาเปรียบคุณหรอกนะ” ปรมาจารย์ขงหัวเราะหึๆ


เขากดข่มวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์-สรวงสวรรค์ลงมาเป็นขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ปฐพี ซึ่งเป็นระดับเดียวกันกับจางเซวียน


จากนั้นปรมาจารย์ขงก็กระดิกนิ้วและชักดาบออกมา ยากจะบอกได้ว่ามันอยู่ในระดับขั้นไหน ดาบนั้นแผ่รังสีสง่างามและเย็นเยือก เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและพุ่งเข้าใส่จางเซวียน


ฟึ่บ!


เจตจำนงเพลงดาบของเขาระเบิดออกมาราวกับมังกรที่กำลังโกรธเกรี้ยว


“ไร้เทียมทานจริงๆ!”


เพียงแค่ 2-3 กระบวนท่านี้ก็เกินพอที่จะบอกจางเซวียนแล้วว่าปรมาจารย์ขงคือผู้เชี่ยวชาญตัวจริง แม้สิ่งที่เขากำลังเผชิญหน้าจะเป็นแค่เศษเสี้ยวหนึ่งของเจตจำนงของอีกฝ่าย แต่ความเข้าใจในศิลปะเพลงดาบก็ไม่ได้อ่อนด้อยกว่าเขาเลย กลับตรงกันข้าม ดูจะเหนือชั้นกว่าด้วยซ้ำ


แม้จะลดระดับวรยุทธลงมาให้เป็นขั้นเดียวกัน จางเซวียนก็ไม่อาจถือไพ่เหนือกว่าได้!


“คุณทรงพลังขนาดนี้ได้อย่างไร?” จางเซวียนพึมพำอย่างไม่อยากเชื่อ


ก่อนหน้านี้ ปรมาจารย์ขงยังทำได้เพียงแค่ต่อสู้กับตัวโคลนของเขาอย่างสมน้ำสมเนื้อ


แต่ตอนนี้อีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าตัวโคลนแล้ว ทั้งยังสามารถทำความเข้าใจเทคนิคการต่อสู้ของเทพเจ้าได้อีกมากมาย หากเป็นสถานการณ์ปกติ จางเซวียนน่าจะเอาชนะเจตจำนงของอีกฝ่ายได้ไม่ยาก ไม่นึกเลยว่าจะต้องเจอกับการต่อสู้ที่ลำบากลำบนแบบนี้


“เขาใช้ศิลปะเพลงดาบเทียบฟ้าชนิดหนึ่งเช่นกัน”


ศิลปะเพลงดาบของปรมาจารย์ขงก็เชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกับโลกที่อยู่รอบตัวเขา ถึงจะเรียบง่าย แต่พละกำลังที่ถูกสำแดงออกมานั้นไม่อาจมองข้ามได้เลย


แม้พวกเขาจะใช้ศิลปะเพลงดาบเทียบฟ้าเหมือนกัน แต่ธรรมชาติของศิลปะเพลงดาบของทั้งคู่แตกต่างกันมาก ศิลปะเพลงดาบของจางเซวียนมุ่งเน้นการเล่นงานจุดอ่อนและข้อบกพร่องของอีกฝ่าย ขณะที่ศิลปะเพลงดาบของปรมาจารย์ขงสามารถสำแดงอิทธิพลดึงดูดเพลงดาบของคู่ต่อสู้ ทำให้อีกฝ่ายต้องทำตามคำสั่งของเขา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)